จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    พี่ฟ้า "จิตราภรณ์ ฮันเดิร์ก"

     
  2. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    รายงานตัวประจำวันจร๊าาา..(กำลังจริงจังมากเลยค่ะ ตอนนี้555+++)

    โมทนากับจิตบุญทุกดวงและคุณครูผู้สอนทุกท่านค่ะ..โมทนา..สาธุการ..
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีจ้าาาา อ้าวว...แล้วหนูมาดี มีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว(ร้องให้เป็นเพลงนะจ๊ะ) 5555 มีครูประจำรึยังจ๊ะเนี่ย รึว่าหนูยังเป็นขาจรอยู่ค่ะ อิๆ({)({)({)
     
  4. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ขอลาไป ไฮ้ย่า(นอน)ก่อนนะคะ จริงๆยังไม่ง่วงนะ แต่มีการบ้านของครู... ให้ทำGood night ค่า..(kiss)
     
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    มาแล้ววววววววว ระวังนะครับ ครูเกษมาแว้ววววววววววว
     
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    5555+ ตายแล้ว ลูกศิษย์ทั้งหลายเอ๋ย..ท่านอยู่ที่ใด โปรดทราบนะจร้าาาา ว่าไม่รอดจิตท่านคุณครูใหญ่ไปได้เด้อ..5555
    ว่าแล้วก็ยินดีกับพี่เพ็ญค่ะ ที่ได้ เลขานุกรณี แล้ว เย้..ตำราจิตเกาะพระ เต็มรูปแบบจักบังเกิดขึ้นแล้ว สาธุค่ะ (ว่าแล้วก็ชักจา..อยากได้ยินเสียงของครูพี่เพ็ญมั่งแล้วเรา 555)({)({)({)
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    พี่เพ็ญค่ะ ขอก๊อปมาไว้หน้านี้อีกรอบค่ะ เผื่อบางท่านอาจไม่เห็น 555
     
  8. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ทอดกฐิน

    วันนี้เรามาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด มาทำบุญทอดกฐินกับทางครอบครัว
    ที่วัดป่าศรีโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เป็นวัดป่าสาขาของหลวงปู่ศรี(ท่านพึ่งจะสิ้นไปเมื่อต้นปีนี้เอง) ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกับหลวงตาบัว
    พอดีว่าเรากับครอบครัวเป็นโยมอุปถัมที่วัดนี้มาหลายๆปีแล้ว ช่วยหาทุนมาสร้างโบถส์วิหารตั้งแต่ยังเป็นดินเปล่า จนวันนี้ได้ก่อสร้างมาซัก80%แล้ว ก็จะช่วยต่อไปจนสร้างเสร็จแหล่ะ คงจะอีกซัก2ปีน่ะ
    เพราะว่าตอนเรายังเด็กๆอยู่จำได้ว่าเคยไปวัดกับแม่ที่จังหวัดระยอง แล้วได้ทำบุญกระเบื้องหลังคาโบสถ์ชิ้นนึงแล้วได้เขียนชื่อตนเองลงไป
    จากนั้นเราก็แอบคิดในใจว่า วันนึง(some day some how)ถ้าเรามีโอกาสนะ เราก็อยากจะทำบุญสร้างโบถส์ขึ้นมาใหม่ซักหลังนึง (มันก็คล้ายๆกับการอธิษฐานจิตนะ คือมันค้างอยู่ในจิตเราเองมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตมาเลยล่ะ)
    จนแล้วจนเล่าวันเวลาผ่านไปสามสิบปี บังเอิญวาระกรรม/พระท่านจัดสรรให้มาพบเจอกับกลุ่มญาติธรรมและท่านพระอาจารย์ที่commitที่จะมาช่วยฟื้นฟูวัดป่าอันรกร้างแห่งนี้(วัดนี้ตั้งขึ้นมาสมัยรัชกาลที่5โน้น ร่วมร้อยปีแล้วเห็นจะได้)
    หลังจากที่หลวงปู่ศรีท่านได้เคยเมตตาช่วยดูแลมาก่อนช่วงระยะเวลานึง จนกระทั่งกลุ่มพระอาจารย์ ญาติธรรมและตัวเราได้เข้ามารับช่วงต่อ
    (คือท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เมื่อก่อนท่านผ่านมาแค่มาขอค้างคืนที่วัดนี้คืนนึงกับท่านเจ้าอาวาสคนเก่า ครั้นรุ่งขึ้นท่านเจ้าอาวาสวัดคนเก่าเก็บข้าวของแล้วก็บอกกับท่านว่า"เรายกวัดนี้ให้ท่านดูแลเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อไป" แล้วท่านก็เผ่นไปเลย..555 ทั้งวัดเมื่อคืนยังมีพระ2รูปแต่มาวันนี้เหลือท่านเพียงรูปเดียว แถมได้เป็นเจ้าอาวาสจำเป็นอีกต่างหาก..555 จากนั้นท่านก็อธิษฐานจิตจะขอฟื้นฟูดูแลวัดนี้ ตั้งแต่บัดนั้นมา กระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆ วัดป่ายากจนมากๆ"โคตรจนเลยง่ะ" เราเห็นวัดในเมืองมาเยอะและก็ไม่ค่อยจะศรัทธาซักเท่าไหร่(เมื่อก่อนนะ)
    จนวันนึงคำอธิษฐานของทั้ง2ฝ่ายได้เป็นจริงขึ้นมา โดยมีเหตุบังเอิญทำให้มาได้เจอะเจอกันกับเรา(และกลุ่มของเรา)
    หลังจากนั้น"ความมัน"จึงบังเกิดขึ้น!)

    พวกเราช่วยกันตั้งแต่ทางวัดไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายค่าไฟฟ้าเลยซักบาท จนมาวันนี้ก็สามารถที่จะสร้างโบถส์วิหารจนใกล้จะเสร็จแล้ว และก็มีพระสงฆ์เข้ามาจำวัดเป็นสิบกว่ารูปแล้ว
    มีญาติโยมฝ่ายฆารวาสมาอยู่ช่วยทางวัดแบบfull time(ชาวบ้านแถบๆนั้นน่ะ)
    ลักษณะภายในวัดก็ทำเหมือนกับวัดป่าบ้านตาดของหลวงตาบัว ร่มรื่นเป็นธรรมชาติต้นไม้ใหญ่ๆเพียบ
    เราจะบอกอะไรให้ครับท่านพี่ๆน้องๆทั้งหลาย.. โคตรเหนื่อย!จริงๆ แต่ว่าเราก็สุขใจที่จะทำ ทำมันไปเรื่อยๆทำมาซัก4-5ปีแล้วมั้ง แรกๆก็คิดว่าตรูท่าทางจะได้บุญเยอะมากเลย จนหลังๆมานี้ขี้เกียจไปคิดเรื่องว่าได้บุญเท่าไหร่แล้ว..คิดไม่ออก..555
    และภายหลังมาเราก็ขออธิษฐาน"ขอเข้าสู่มรรคผลนิพพานในภพชาตินี้เลย" หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มาพบเจอ"กระทู้ท่านพี่ภู"นี่แหล่ะ..

    คือเรานั่งเฉยๆอยู่ที่กุฏิเราเองในวัด ไม่มีอะไรทำ เราจึงเขียนนิทานมาเล่าสู่กันฟัง
    ก็คอยสมโภชน์กฐินในคืนนี้และทอดกฐินในวันพรุ่งนี้ครับ

    ส่วนวันนี้เราได้ส่งตัวแทน(ลูกน้องในบริษัทฯ)ให้ไปร่วมทอดกฐินที่วัดท่าไทร อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา หาทุนสร้างโบถส์เหมือนกัน สร้างมาได้หลายปีแล้วซัก70%เหมือนกัน
    ซึ่งก็เป็นวัดป่าติดชายทะเล ท่านเจ้าอาวาสก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เทส เทสรังษีด้วย

    เราก็ขอนำบุญกุศลที่ได้จากการทอดกฐินทั้ง2วัดนี้ในช่วงสุดสัปดาห์ จงส่งถึงท่านจิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระ แม้นท่านที่ได้เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ทุกๆท่านด้วย ขอให้มีความสุขกายสบายใจและมีความเจริญทั้งในทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ.. สาธุ สาธุ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    โอ้โห..คุณ นก ญ อ่ะ พูดมาทำให้คิดถึงบ้าน(เมืองไทย)เลยเนี่ย :':)'(
     
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ฟังเพลงของครูพี่ภูเพลงนี้ ซึ้งไปถึงใจเลย..นึกถึงท่านพ่อองค์ปฐม
    ลูกขอกราบนมัสการท่านด้วยเศียรเกล้า...
     
  12. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    มีคนเคยถามผมว่า ทำไมวัดต้องสร้างให้สวยงามด้วย ในเมื่อพระเองนั้นก็ไม่ได้ต้องการความหรูหราอยู่แล้วนี่นา
    อิๆๆๆๆๆ ลองถามดูเล่นๆเผื่อมีใครตอบเหมือนผม
     
  13. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,086
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ความประณีต ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยครับ
     
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เคยมีหลายคนถามพี่เพ็ญว่าประเทศไทยเราจะเกิดภัยพิบัติไหม
    พี่เพ็ญตอบว่าเกิดแต่ไม่รุนแรงเท่าต่างประเทศ
    โดยเฉพาะประเทศที่ไม่รักษาศีลอาจโดนหนักหน่อย
    ส่วนประเทศไทยเปรียบเหมือนน้ำเซาะทราย
    บางคนถามว่าทำไมเบาจัง
    ปากตอบผู้ถามไปว่าเพราะประเทศไทยมีศาสนาพุทธที่รุ่งเรืองที่สุด
    เทวดามารักษาศาสนากันเยอะ
    แต่ใจตอบไปว่าเพราะปัจจุบันประเทศไทยมีพระอรหันต์เยอะที่สุดในโลกน่ะสิ โธ่ ไม่น่าถาม อิอิ
    ถ้าถามว่าโดนแค่น้ำเซาะทรายมันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะสิ
    ไม่ใช่หรอก ภัยพิบัติมันก็เกิดของมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
    ภัยพิบัติอาจจะรุนแรงกว่าปกติ เนื่องจากสภาพแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไป
    เช่น การสร้างสิ่งขวางทางน้ำมีเยอะ
    การสร้างน้ำหนักเพิ่มให้โลกด้วยประชากรและวัตถุ
    การใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองเกินความจำเป็น
    เมื่อชีวิตและธรรมชาติถูกเบียดเบียน
    ก็คิดดูนะว่าผลจากการสูญเสียชีวิตและทรัพยากรที่ถูกทำลายจะส่งผลดีหรือผลเสีย
    ผลดีใครได้ ผลเสียใครได้
    เปรียเหมือนคน ๆ หนึ่งถูกรีดนาทาเร้นจนหมดตัว
    ความพยาบาทมันก็เกิดขึ้นใช่ไหม
    เมื่อความพยาบาทเกิดขึ้นมันจึงเกิดเป็นผลของการกระทำ(กรรม)ใช่ไหม
    ทรัพยากรก็เหมือนกัน ไปขุดมาจากที่หนึ่งแล้วเอาไปถมไว้อีกที่หนึ่ง
    ส่วนที่ถมก็สูงขึ้นส่วนที่ถูกขุดก็ต่ำลง
    ความสมดุลหายไป ธรรมชาติจึงต้องมีการทวงคืนความสมดุลของเขา
    ไม่เช่นนั้นธรรมชาติก็อยู่ไม่ได้ ต้องถูกทำลายอยู่ร่ำไป
    เมื่อมีผลของการกระทำคือภัย ดิน น้ำ ลม ไฟ
    คนและสัตว์ต่างก็เดือดร้อนใช่ไหม
    แต่ธรรมชาติท่านเรียกว่าสมดุลค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2012
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ครูพี่เกษ ไม่หลับไม่นอนเลยหรือครับนี่ ปลาเต็มเข่งแล้ววววววววว
     
  16. Espanda

    Espanda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +720
    มนุษย์มีสังคม หน่วยย่อยของสังคม เช่น บ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ต่างเกื้อกูลกัน
    สังเกตุดูว่าวัดสวย สะอาดและสงบ จะมีคนไปกันมาก แต่พระในวัดจะอยู่ในที่ของท่านนะ
    คนที่ไปวัดก็มีหลายเหตุผล ทั้งไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปปฏิบัติธรรม ทำบุญทำทาน
    ไอ้การที่จะไปบอกใคร ๆ ว่าทำบุญภายในกันดีกว่า จะมีสักกี่คนที่จะเชื่อ
    วัดจึงเป็นที่ยึดเหนี่ยวของสังคม มีอยู่เพื่อสังคม ที่ต้องการให้วัดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้คือคน มิใช่พระ(อริยสงฆ์)
     
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    การปฏิบัติจิตเกาะพระ เมื่อจิตเกาะพระได้แนบแน่น จะมีการทรงฌาน(ลักษณูปนิชฌาน)
    ซึ่งฌานก็มีสองแบบ คืออารัมมณูปนิชฌาน และลักษณูปนิชฌาน ฌานทั้งสองอย่าง
    มีความแตกต่างกันอย่างไร..ผมไปอ่านเจอบทความคุณดังตฤณ อธิบายไว้น่าสนใจดังนี้


    สภาพจิตที่เป็นฌาน

    - คือสภาพเป็นหนึ่งของจิต

    - คือสภาพที่จิตตั้งมั่นรู้เป็นฐานเด่น

    ตรงนี้ถ้าเอาคำว่าเอกัคคตามาโยงเข้ากับความหมายของฌาน
    ก็จะทำให้เกิดมุมมองตามประสบการณ์เพื่อเป็นที่เข้าใจกันง่ายขึ้น
    เพราะองค์ประกอบของฌานแม้จะต่างกันอย่างไร
    ที่สุดแล้วก็ต้องยืนพื้นอยู่ที่เอกัคคตา หรือความตั้งมั่นเป็นหนึ่งของจิตนี่เอง

    ความตั้งมั่นเป็นหนึ่งของจิตมีหลายแบบ
    แบบโจรที่กำลังจ้องจะเข้าปล้นบ้านคนอื่นก็มี
    แบบฤาษีที่เพ่งกสิณจนเกิดนิมิตชัด
    ประกอบพร้อมด้วยปีติสุขเกิดแต่วิเวกก็มี

    แต่ความตั้งมั่นเป็นหนึ่งแบบพุทธ
    นอกจากนิยามตามองค์ประกอบที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข แล้ว
    ยังมีนัยอื่นที่เป็นเครื่องชี้ "ความเป็นสมาธิชอบ" อยู่อีก
    ดังแสดงไว้ในปริกขารสูตร พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๑๕
    ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า...

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์แห่งสมาธิ ๗ ประการนี้
    ๗ ประการเป็นไฉน คือสัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑
    สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเอกัคคตาจิตประกอบด้วยองค์ ๗ ประการนี้ เรียกว่าอริยสมาธิ
    (ไม่ได้หมายความว่าผู้ได้อริยสมาธิต้องเป็นอริยเจ้าเท่านั้น
    ทำนองเดียวกับผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิเข้าใจอริยสัจจ์ ๔ ด้วยปัญญาทางนึกคิด
    ไม่จำเป็นต้องเป็นอริยเจ้าเสมอไป)

    เพื่อให้มองง่าย ถ้าตัดเอาองค์ประกอบอื่นๆออก
    เหลือเฉพาะสัมมาทิฏฐิ ก็จะเข้าใจได้ว่าฌานหรือสมาธิที่นำด้วยความเห็นชอบนั้น
    เป็นฌานที่จิตไม่โง่ ไม่หลงผิด ไม่มืดบอด มีลักษณะสว่าง
    และรู้แจ้งว่าสิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่ใช่อัตตา สภาพตั้งมั่นของจิตเองก็ไม่ใช่อัตตา
    หากจะพูดให้เห็นภาพก็อาจบอกว่านั่นคือจิตที่มีปัญญาตั้งมั่น
    หรือพูดตามศัพท์คือเอกัคคตาอันบันดาลขึ้นจากปัญญา
    สมาธิใดๆที่ตั้งต้นด้วยมิจฉาทิฏฐิ
    คือยังไม่เห็นตามจริงว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
    แม้ดำเนินจิตให้เข้าถึงความเป็นฌานได้
    ฌานนั้นก็จัดเป็นมิจฉาสมาธิ
    เรียกว่าต้นทางผิดปลายทางย่อมผิดตาม ไม่มีทางถูกได้เอง


    ชนิดของฌาน

    ๑.อารัมมณูปนิชฌาน ได้แก่การปักจิตแน่วอยู่ในอารมณ์เดียว
    ไม่มีความนึกคิดแบบปกติ
    แต่มีอาการน้อมกำหนดว่าเราจะเปลี่ยนระดับฌานได้
    ถ้าก่อนถึงฌานไม่มีปัญญาพิจารณาสภาพเกิดดับไว้ก่อน
    ก็จะไม่มี ตัวน้อมอัตโนมัติ เข้าไปดูว่าอะไรไม่เที่ยง อะไรไม่ใช่ตัวตน
    จะมีแต่ความยึดติด ดูดติดอยู่กับอารมณ์อันน่าชื่นใจในฌานเท่านั้น
    แต่ถ้าก่อนเข้าถึงฌานได้เคยพิจารณาความเกิดดับของขันธ์ ๕ ตลอดสายมาก่อน
    ก็จะมีอัตโนมัติประการหนึ่ง คือรู้อะไรก็ตาม จะเห็นสิ่งที่รู้โดยความเป็นไตรลักษณ์
    อาจจะเป็นครั้งเป็นคราวสำหรับปุถุชน แต่จะเกือบทุกครั้งสำหรับอริยบุคคล
    เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งกล่าวว่าอารัมมณูปนิชฌานเป็นฌานนอกศาสนา
    ฌานคือฌาน เป็นอาการของจิตอย่างหนึ่ง
    อาจเป็นบันไดส่งทอด หรืออาจเป็นอ่างสำหรับพายเรือ ขึ้นอยู่กับบุคคลและวาระ

    ๒.ลักขณูปนิชฌาน ได้แก่วิปัสสนาญาณ มรรคผล และผลสมาบัติ
    ในกรณีของฌานในฐานะของวิปัสสนาญาณนั้น
    จะมีความนึกคิดแบบปกติได้ รับกระทบตามปกติได้ เดินเหินได้ หรือกระทั่งพูดจาได้
    แต่ยืนพื้นอยู่บนสภาพจิตที่ตั้งมั่น แนบแน่น ในแบบของฌาน
    หมายความว่าจิตเคลื่อนจากสภาพแนบแน่นขึ้นรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง ๖ เป็นห้วงๆ
    แล้วตกกลับลงมาอยู่ในสภาพแนบแน่นเป็นหนึ่งเหมือนเดิม
    แต่ละครั้งที่รู้อารมณ์ แม้ความนึกคิด ก็รู้โดยความเป็นของไม่เที่ยง
    หรือรู้โดยสักแต่เป็นสภาพปรุงประกอบด้วยเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน
    หากถามว่าถ้ารู้อารมณ์ทางอายตนะได้ จะกล่าวว่าเป็นหนึ่งได้อย่างไร
    ก็ตอบว่าเป็นหนึ่งอยู่กับความว่างจากอัตตา ว่างจากอุปาทาน
    และความรู้สึกว่าว่างเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องบรรลุมรรคผลเสียก่อน
    ทำนองเดียวกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่นย่อมลืมว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร
    ต่างแต่ว่านี่เป็นความรู้สึกเต็มตื่น รู้เห็นว่าสิ่งปรากฏทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน
    จึงไม่หมายมั่นว่านั่นเป็นเรา เรามีชื่ออย่างนี้ สกุลอย่างนี้


    หลายท่านมองว่าลักขณูปนิชฌานคืออุปจารสมาธิ
    ก่อนอื่นต้องแยกแยะว่าอุปจารสมาธิไม่ใช่ศัพท์เดิมที่ใช้กันในพุทธกาล
    เพราะฉะนั้นความหมายเชิงประสบการณ์จึงค่อนข้างคลุมเครือ
    เนื่องจากนิยามนั้นจะหมายถึงสมาธิเฉียดฌาน
    ประกอบด้วยวิตก วิจาร ปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก
    ขาดอย่างเดียวคือสภาพจิตที่เป็นเอกัคคตา

    สำหรับนักภาวนานั้น เมื่อคุ้นกับอุปจารสมาธิมากเข้า
    ก็อาจเกิดความรู้สึกก้ำกึ่ง เห็นน้ำหนักและคุณภาพอุปจารสมาธิหลากหลาย
    เพราะแม้มีวิตก วิจาร ปีติสุขเหมือนกัน ทว่ากำลังก็ผิดกัน
    ความมั่นคงที่เป็นพื้นภายในก็ต่างกันมาก
    บางครั้งรู้สึกหนักแน่นเป็นหนึ่งเหมือนฌาน แต่กลับยังสามารถรับรู้อารมณ์ได้
    แม้แต่สภาพเอกัคคตาก็อาจขึ้นเร็วลงเร็วได้ในเวลาไม่กี่วินาที
    เหมือนไฟที่ติดๆดับๆ (โดยเฉพาะสำหรับคนเคยมีแน่นๆแล้วเสื่อมลง)

    ความสับสนอาจลดน้อยลง ถ้าเราไม่ไปให้ความสำคัญกับนิยามทางศัพท์มากนัก
    แต่มองตามจริงว่าอุปจารสมาธิกับฌานคือลูกพี่ลูกน้องที่หน้าคล้ายกัน
    และสูงต่ำกว่ากันไม่มาก เมื่อใช้คำว่าลักขณูปนิชฌานอธิบายประสบการณ์ใด
    ก็จะได้ไม่ต้องไปยึดติดว่าเป็นอุปจาระ (เฉียด)
    หรือว่าเป็นอัปปนา (แนบแน่นเป็นฌานแล้ว) กันแน่


    สัญญาในฌาน

    - ไม่มีอัตตสัญญา หรือความรู้สึกในตัวตนแบบเดิมๆ เพราะไม่นึกคิดด้วยโมหะ
    แม้ความคิดผุดขึ้นในลักขณูปนิชฌาน เมื่อจบหน้าที่คิด ก็หายไปทันที
    เพราะจิตตัดเข้าสู่สภาพแนบแน่น มีปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก
    (คำว่าวิเวกบอกลักษณะเอกา เป็นหนึ่ง
    ปราศจากกามฉันทะ พยาบาท ความง่วงงุน ความฟุ้งซ่าน และความสงสัย)

    - หากเป็นอารัมมณูปนิชฌาน อาจมีอัตตสัญญาว่าเรากำลังเข้าฌาน
    สภาพแนบแน่นของจิตเป็นเรา ซึ่งเป็นความรู้สึกในตัวตนระดับสูง ละเอียดประณีต
    หรือเมื่อรู้อารมณ์ใด เช่นลมหายใจหรือนิมิตกสิณ ก็จะยึดอารมณ์นั้นๆว่าเป็นของเรา
    มีความรู้สึกอยู่ลึกๆว่านั่นเนื่องด้วยเรา นั่นเป็นสมบัติของเรา

    - หากเป็นลักขณูปนิชฌาน จะมีอนัตตสัญญาเป็นฐานตั้งมั่น
    คือมีความรู้สึกว่าว่างจากตัวตนโดดเด่นกว่าอารมณ์กระทบแม้ความคิด
    ไม่รับรู้ถึงสำนึกแบบสัตว์ มนุษย์ เทวดา หรือกระทั่งพรหม
    แต่เป็นสำนึกที่แปลกใหม่อย่างสิ้นเชิง คือจิตเห็นตนเองเป็นเพียงสภาพรู้
    และสิ่งถูกรู้ทั้งหลายก็ปรากฏตามจริงว่านั่นแค่ธาตุ นั่นแค่เวทนา นั่นแค่สัญญาและสังขาร
    แม้เกิดสภาวะกระทบจิตให้รู้สึกแปลกประหลาดอย่างไร
    จิตก็เท่าทันว่านั่นเป็นเพียงสัญญาและสังขาร
    ตรงนี้ต้องผ่านการอบรมจิตรู้กายใจโดยความเป็นขันธ์ ๕ อย่างกระจ่างตลอดสาย
    มิฉะนั้นสัญญาและสังขารบางอย่างอาจลวงให้หลงยึด
    เพราะสภาพแปลกเกินปัญญาจะเท่าทันว่านั่นเป็นสัญญา นั่นเป็นสังขาร
    ล่อให้หลงว่านี่คือสภาวะอันพ้นใช่และไม่ใช่
    แต่หากกำหนดรู้โดยสักแต่เป็นความหมายรู้หมายจำ ปรุงแต่งจิตให้เป็นไป
    กระทั่งเห็นความดับของสัญญาและสังขารนั้นๆ จึงเหลือแต่รู้ล้วนๆ
    ซึ่งถ้าปัญญาในทางปริยัติถูกปูพื้นไว้รองรับดีแล้ว
    ก็จะเห็นว่านั่นสักแต่เป็นหนึ่งในวิญญาณขันธ์
    มีแต่สภาพรู้ และกำลังรู้ลักษณะนามธรรมของความว่างจากตัวตน
    หรือรู้ลักษณะนามธรรมของตนเอง
    เมื่อเคลื่อนสู่สภาพรู้ชนิดอื่น เช่นเห็นภาพ หรือได้ยินเสียง
    ก็เป็นการรู้ที่มีความว่างเป็นฐาน ไม่รู้สึกว่าการเห็นภาพและเสียงคือตน หรือเนื่องด้วยตน


    ผลของการมีฌาน

    แน่นอนว่าผู้มีฌานย่อมได้เปรียบผู้ไม่มีฌาน
    เพราะย่อมพิจารณาธรรมได้นานกว่า ต่อเนื่องกว่า
    มีกำลังหนุนให้เกิดธรรมชาติล้างผลาญสังโยชน์ได้มากกว่า
    แต่ก็ไม่ใช่ข้อบังคับของธรรมชาติ
    ว่าผู้จะถึงมรรคผลต้องผ่านฌานเสียก่อน
    เพราะมรรคผลที่ถูกต้องนั้น คลี่คลายมาจากการกำหนดรู้ความเกิดดับอย่างถูกต้อง
    หาได้เกิดจากความมีฌาน หรือกระทั่งมีญาณหยั่งรู้เหนือโลกแต่ประการใด

    ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าฌานจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ
    ต้องแน่ใจว่าตั้งความเห็นไว้ให้ถูก ให้ตรงเสียก่อน
    ทั้งในแนวทางโดยรวม เช่นรู้ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง จึงไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นเรา
    และทั้งในแนวทางโดยเจาะจง
    เช่นรู้ว่าจะต้องดูความไม่เที่ยงที่กาย เวทนา จิต ธรรมอันกำลังปรากฏตามจริง
    ไม่ใช่ไปสร้างเงื่อนไขอะไรขึ้นมาแล้วบอกว่าจะบรรลุธรรมด้วยเงื่อนไขนั้นๆ

    ผู้มีสัมมาทิฏฐิอยู่แล้ว จะเข้าฌานได้ลึกแค่ไหนก็ไม่น่าเป็นห่วง
    เพราะแน่ใจได้ว่าจิตจะฝักใฝ่มารู้ มาดูกายใจโดยความเป็นไตรลักษณ์แน่นอน
    แม้เข้าฌานในแบบอารัมมณูปนิชฌานในเบื้องต้น
    เมื่อถอนออกมา แล้วยังไม่ได้พิจารณาธรรมทันที
    แต่ก็ได้ชื่อว่าสั่งสมกำลังใหญ่ไว้ก่อน ประจุพลังดีๆไว้พร้อมใช้
    ระหว่างวันถ้าแค่พิจารณาอะไรเล่นๆว่าผิวหนังเราสะอาดเพราะสบู่
    อยู่ๆไปก็สกปรกด้วยคราบไคลเพราะปฏิกูลภายในกายไหลซึมออกมา
    จิตที่เกิดความสลดสังเวชนั้นอาจฉุดเอากำลังใหญ่ที่สั่งสมไว้ขึ้นมา
    กลายเป็นสภาพตั้งมั่น รู้กายโดยความเป็นปฏิกูลทั้งแท่ง
    แล้วเห็นปฏิกูลนั้นกระจายออกโดยความเป็นธาตุ
    หยั่งรู้เข้าไปตามจริงในสภาพที่ปรากฏขณะนั้น ที่เป็นก้อนกายเดี๋ยวนั้น
    ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแค่สภาพธรรมชาติหลายๆอย่างมาประชุมประกอบกันอยู่
    ไม่เกิดความมั่นหมายว่าเป็นก้อนอัตตา ไม่มีที่ตั้งของความรู้สึกในตัวตน
    อันนั้นเองจัดเป็นลักขณูปนิชฌานขึ้นมา
    มีองค์ฌานคือวิตก วิจาร ปีติ สุขปรากฏพร้อม
    โดยไม่ได้รู้เพียงอารมณ์เดียวเหมือนอย่างอารัมมณูปนิชฌาน

    และผู้มีสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างดี ถึงแม้ยังไม่ใช่อริยเจ้า ถึงแม้ไม่เคยถึงปฐมฌาน
    แต่เมื่อพิจารณาธรรมอยู่เสมอๆไม่ขาดสาย เห็นอะไรเป็นธรรมะแสดงอนิจจังไปหมด
    ทั้งในระดับคิดๆ และในระดับกำหนดสติเป็นสมาธิชั่วคราว
    ก็อาจเป็นตัวก่อกำลังให้ครบ ๕ ประการ
    คือศรัทธาที่จะหันมา วิริยะที่จะประคอง สติที่จะระลึกได้ สมาธิที่จะตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
    และสำคัญสูงสุดคือปัญญาที่จะเห็นความเกิดดับตามจริงของทุกสภาวะทั้งนอกและใน
    ถึงขีดสุดของพละ ๕ เมื่อไหร่ ลักขณูปนิชฌานก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
    คือสำนึกจะตั้งต้นที่ความรู้สึกว่างจากตัวตน
    และมีความคงเส้นคงวาเหมือนค้ำด้วยพลังเหลือเฟือ
    ไม่มีความเพ่ง ไม่มีความบีบรัดคับแคบ จิตมีความเป็นใหญ่แบบฌาน
    ..ฯลฯ.....

    (ดังตฤณ 30 พ.ย.2545)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 พฤศจิกายน 2012
  18. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    โมทนา สาธุกับลุงจีค่ะ คุณวัฒ...มันก็เหมือนคนจิตหยาบกับคนจิตละเอียดนั่นแล จิตหยาบส่วนใหญ่จะคิดแต่เรื่องอกุศล จิตละเอียดแม้เห็นสิ่งเดียวกันท่านก็คิดให้เป็นกุศลได้ จิตหยาบบางดวงกายอาจดูสุภาพแต่ข้างในหยาบโลน จิตละเอียดบางดวงกายอาจดูหยาบกร้านแต่ข้างในสุขุมนุ่มนวล มันก็ต่างกันตรงนี้แลจิตหยาบหรือจิตละเอียด
     
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    นับเป็นกุลศลบายของพระศาสดาที่พระองค์ท่านสอนให้คนรู้จักบริจาค ละความโลภไปในตัว แถมคนที่ไปวัดบ่อยๆนั้นก็ยังได้ฝึก พุทธานุสติแบบไม่รู้ตัวอีก

    ซึ่งตรงนั้นอาจจะเป็นเปลือกของศาสนา แต่ก่อนจะถึงแก่น เราก้ต้องเจอเปลือกก่อน แต่บางคนดันไปเห็นเปลือกน่ากิน ก็กินมันอยู่นั่น กินจนตายๆเกิดๆไม่รู้กี่ชาติ ก็ยังค้นหาแก่นไม่เจอ

    แต่ก็ยังดีกว่าที่บางคนเจอแก่นยังไม่เอาเลย กับไปเอากับสิ่งสกปรกโสโครก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความสวยงามไปได้ เมื่อวันหนึ่งที่ภัยพิบัติมาถึงตัวค่อยเรียกร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธ์ ก็อยากจะขอบอกว่ามันไม่ทันหรอกนาย

    แม้ตอนนี้เวลาเหลือไม่มาก แต่ก้ยังพอมี ก็ขอให้ท่านที่กำลังลังเลสงสัย มัวแต่เดินชมนกชมไม้อยู่ เร่งความเพียรเข้านะครับ อย่าประมาทเด็ดขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน เสียใจในนรกก็ไม่ทันแล้วนา
     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ขอส่ง คุณ สุชาดา จิตเกาะพระ ลูกศิษย์ พี่เพ็ญ ครูนก (ช) ครูอุษาวดี คุณครูบุษย์ และคุณครูนอร์ท เข้าร่วมด้วยค่ะ เธอ confirm มาแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...