ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441



    Confessions of a Former White Hat Operative

    The Arcturian Wonder

    by Former White Hat

    Expect something globally wonderful to occur by the 7th dimension hands of the Arcturians, your friends,
    within the week.


    <abbr class="published" title="2012-10-27T21:06:43+0000">October 27, 2012</abbr>

    มีข่าวสั้นๆจากคำให้การของกลุ่มหมวกสีขาวครับ
    เค้าคาดหวังว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมทั่วโลกจะเกิดขึ้นด้วยมือของมิติที่ 7
    โดยชาว Arcturians เพื่อนของเรา
    ภายในหนึ่งสัปดาห์...

    เราติดตามดูกันครับ

    The Arcturian Wonder http://t.co/a4GTdoUC via @wordpressdotcom
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2012
  2. Meadwalker

    Meadwalker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2007
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +1,736
    [​IMG]

    เริ่มมีกระแสข่าวเกี่ยวกับเฮอริเคน Sandy ที่เข้าถล่มกรุงนิวยอร์ค
    ว่าเป็นผีมือของ Harrpp เพื่อสกัดกั้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
    จริงเท็จประการใดไม่ทราบ นายเบนจามิน ฟลูฟอรด์ เค้าได้รับข่าวนี้จากกลาโหมระดับสูงมาน่ะครับ

    Ascension Earth : Benjamin Fulford 10-29-12…”Bush the boogey man plays the HAARP as Halloween approa...


    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  3. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    (ตอนต่อจากข้อความที่ 6281 หน้าที่ 315)

    Trip to the Mothership Part 9 – The Seventh Dimension of the Mothership

    By Dr Suzan Caroll / Suzanne Lie – October 13, 2012
    Awakening with Suzanne Lie


    The Arcturians Speak:

    Mytre has shared his experience of his Super-subconscious Being. We will now tell you about the Super-subconscious of our Mothership. Of course, all states of consciousness intermingle within the Being of our Mothership, but just as your brain has certain areas that are more inclined to generate certain states of consciousness, our Ship has certain areas that generate certain frequencies of emanation that encourage correlate states of consciousness.

    Mytre ได้แบ่งปันประสบการณ์ของเขาเกี่ยวกับรูปธรรมความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของเขา. ทีนี้พวกเราจะบอกคุณเกี่ยวกับความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของยานแม่. แน่นอน, ทุกสถานะของความตระหนักรู้จะผสมผสานกันภายในรูปธรรมของยานแม่ของพวกเรา, เพียงแต่ว่าสมองของคุณมีพื้นที่เฉพาะ ที่มีแนวโน้มจะสร้างสถานะของความตระหนักรู้, ยานของพวกเราก็มีพื้นที่เฉพาะที่จะสร้างความถี่ของบ่อกำเนิด ที่ส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงของสถานะของความตระหนักรู้ต่างๆ.

    The Super-subconscious, which represents your animal container, represents the container of our Ship. In other words, the Super-subconscious of the Mothership is responsible for all the maintenance of the ever-changing form of the Ship. Just as your animal body grows and changes in reaction to different energy fields, our Mothership’s living structure constantly changes according to different situations.

    ความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษ, ซึ่งแสดงให้เห็นถึงที่บรรจุความเป็นสัตว์ของคุณ, แสดงให้เห็นถึงที่บรรจุของยานของพวกเรา. พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า, ความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของยานแม่จะรับผิดชอบต่อการรักษารูปที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทั้งหมดของยานแม่. เมื่อร่างกายสัตว์ของคุณพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาต่อสนามพลังต่างๆ, โครงสร้างของยานแม่ที่มีชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนแปลงไปตามสถานะที่แตกต่างเหล่านั้น.

    All information of all interactions and alterations of the Mothership since her multidimensional manifestation are stored in the Ship’s Super-subconscious. The Mothership that we have been discussing is actually a prototype, an archetypical example of most of our Motherships. Because this Ship has the most extensive Log of interactions with ascending realities, we have chosen Her to assist Gaia with Her Planetary Ascension.

    ข้อมูลทั้งหมดของปฏิสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆของยานแม่ หลังจากการเนรมิตหลากมิติของเธอจะถูกเก็บไว้ในความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของยาน. ยานแม่ที่พวกเราได้อธิบายไปเป็นต้นแบบอย่างแท้จริง, ตัวอย่างต้นแบบของส่วนใหญ่ของยานแม่ของพวกเรา. เพราะว่ายานนี้มีการเกิดเป็นจำนวนมากซึ่งกำลังยกระดับความเป็นจริงต่างๆ, พวกเราเลือกเธอเพื่อช่วยเหลือไกอาในการยกระดับดาวเคราะห์ของเธอ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  4. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    We, the Arcturians, have no aging process, as we do not exist within time. Furthermore, we prefer to visit or use form rather than wear it. We think of form as you might think of a coat. You would not wear a coat unless it was necessary. Furthermore, while you are in the privacy of your home, you wear clothing that is comfortable. However, if guests come to visit, you may put on a special outfit.

    พวกเราชาวอาร์ทูเรี่ยนไม่มีกระบวนการของอายุขัย, ซึ่งพวกเราไม่มีอยู่ภายในเวลา. ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเราชอบที่จะไปเยือนหรือใช้รูปมากกว่าที่จะสวมใส่มัน. พวกเรามีความคิดเกี่ยวกับรูป คล้ายกับที่คุณอาจจะคิดเกี่ยวกับเสื้อโค้ท. คุณจะไม่สวมเสื้อโค้ทโดยไม่มีความจำเป็น. ยิ่งไปกว่านั้น, ขณะที่คุณอยู่ในที่ส่วนตัวของบ้าน, คุณจะสวมเสื้อผ้าที่ให้ความรู้สึกสบาย. อย่างไรก็ตาม, เมื่อมีแขกมาเยือน, คุณอาจจะสวมเสื้อผ้าที่พิเศษขึ้น.

    In the same manner, while we are relaxing on the Ship, we are usually formless. However, we put on the appropriate form when we have visitors. The appropriate form is the version of our vaguely humanoid form that is most pleasing and comfortable to our guests. Hence, we usually wear a form with a head, body, two arms and two legs. On the other hand, when we have non-humanoid visitors, we often adapt our form to be similar to theirs.

    ในทางเดียวกัน, ขณะที่พวกเรากำลังผ่อนคลายอยู่ในยาน, ปกติพวกเราจะไร้รูป. อย่างไรก็ตาม, พวกเราจะสวมใส่รูปที่เหมาะสมเมื่อพวกเรามีแขกมาเยือน. รูปที่เหมาะสมก็เป็นรุ่นของรูปมนุษย์รางๆของพวกเรา ซึ่งเป็นที่พึงพอใจและรู้สึกสบายที่สุดสำหรับแขกของพวกเรา. ดังนั้น, ปกติพวกเราจะสวมใส่รูปด้วยหัว, ร่างกาย, สองแขน และสองขา. ในอีกด้านหนึ่ง, เมื่อพวกเรามีแขกที่ไม่ได้มีรูปกายมนุษย์, พวกเราก็มักจะปรับรูปของพวกเราให้คล้ายกับพวกเขา.

    Our Mothership can change shapes, and any of the shapes to which the Mothership has ever adapted is stored in Her Super-subconscious, which is generally located, but not limited to, the bottom areas of the Ship. We are aware that you are accustomed to thinking in terms of top and bottom. Hence, we will use them.

    ยานแม่ของพวกเราสามารเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้, และรูปร่างต่างๆที่ยานแม่เคยใช้จะเก็บอยู่ในความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของเธอ, ซึ่งตั้งอยู่ทั่วไปไม่ได้จำกัดอยู่ที่ส่วนใต้สุดของยาน. พวกเรารู้ว่าคุณคุ้นเคยกับความคิดในแบบยอดและก้น. ดังนั้น, พวกเราจึงใช้คำนี้.

    However, there are many occasions in which our Mothership takes on the form of an orb, and there is no bottom or top. In this case, your human thinking would conceive that the Super-subconscious is on the outside of the Ship. These assumptions are also incorrect, as outside and inside are human terms that do not apply to our reality.

    อย่างไรก็ตาม, มีหลายโอกาสที่ยานแม่ใช้รูปทรงกลม, มันจึงไม่มียอดและก้น. ในกรณีนี้, การคิดแบบมนุษย์ของคุณจะรับรู้ว่าความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษจะอยู่ภายนอกยาน. สมมุติฐานนั้นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน, ซึ่งภายนอกและภายใน ในความเข้าใจของมนุษย์ ไม่ได้ปรับใช้กับความเป็นจริงของพวกเรา.

    We are happy to speak in terms in which you can create a mental picture. On the other hand, please realize that your sequential manner of thinking will greatly limit your ability to understand the fifth dimension and beyond. We are pleased to see that many of you are attempting to adapt to your innate, multidimensional thinking.

    พวกเรามีความสุขที่ได้พูดในแบบที่คุณสามารถวาดภาพในใจได้. ในอีกด้านหนึ่ง, กรุณารู้ไว้ว่าพฤติกรรมการคิดแบบตามลำดับของคุณ จะเป็นข้อจำกัดอย่างมากในการเข้าใจมิติที่ 5 และสูงกว่า ของคุณ. พวกเรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นพวกคุณจำนวนมากพยายามปรับตัวสู่ความเป็นคุณในยุคแรกเริ่ม, การคิดแบบหลากมิติ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  5. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    Just as our Super-subconscious carries the patterns of every form the Ship has ever taken, our Seventh Dimensional consciousness holds the patterns of every Oversoul of every reality with whom we have interfaced. Allow us to define Oversoul for you. The seventh dimension is the last dimension that engages form as a means of expression.

    เนื่องจากความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษได้นำพารูปแบบของรูปทุกชนิดที่ยานเคยใช้, ความตระหนักรู้มิติที่ 7 ของพวกเราได้รักษารูปแบบของทุกๆวิญญาณระดับสูงของทุกๆความเป็นจริงกับผู้ที่พวกเราได้ติดต่อ. อนุญาตให้พวกเราให้คำจำกัดความ “วิญญาณระดับสูง” ต่อคุณ. มิติที่ 7 เป็นมิติสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับรูปในหนทางของการแสดงออก.

    Beings of the eighth dimension and beyond, such as the Arcturians, lower their resonance into their seventh dimensional Oversoul and go through that closet to find every form they have ever worn in any reality. Of course, this is a metaphoric definition, but if we were to speak in our timeless, formless Light Language, you would not understand us.

    รูปธรรมมิติที่ 8 และสูงกว่านั้น, เช่นชาวอาร์คทูเรี่ยน, จะลดระดับการสะท้อนของพวกเขาเข้าสู่มิติที่ 7 ของวิญญาณระดับสูง และเดินทางผ่านตู้นั้นเพื่อหาสิ่งที่พวกเขาเคยสวมในความเป็นจริงใดๆ. แน่นอน, นี่เป็นคำจำกัดความแบบอุปมา, แต่ถ้าหากพวกเราพูดในสภาวะไร้กาลเวลา, และในภาษาแสงที่ไร้รูปของพวกเรา, คุณจะไม่เข้าใจพวกเรา.

    Therefore, we must search the information in the brain of our embodied representative to translate our message. Our language is imagistic and is best translated in a metaphoric manner. However, these metaphors would not be technologically correct. Also, know that technology and creativity are the same term in our reality. With that explanation, we will say that the Oversoul is the Soul of the Soul.

    ดังนั้น, พวกเราต้องค้นหาข้อมูลในสมองของการแสดงออกทางกายของพวกเรา เพื่อที่จะแปลข้อความของพวกเรา. ภาษาของพวกเราเป็นภาษาจินตภาพ และมันเป็นการดีที่สุดที่จะแปลในแบบของการอุปมา. อย่างไรก็ตาม, การอุปมาเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกต้องในทางเทคนิค. เช่นกัน, ให้รู้ว่าเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์คือคำๆเดียวกันในความเป็นจริงของพวกเรา. ด้วยการอธิบายนั้น, พวกเราจะพูดว่า วิญญาณระดับสูง ก็คือวิญญาณของวิญญาณ.

    From the “bottom” of the pyramid of incarnation into the physical, individuals merge into increasingly expanded perceptions of their SELF as their consciousness expands. For example, the base of the pyramid would be the Individual/Personal experience of SELF. Over 3D time, this experience of SELF expands into a Familial/Cultural experience of SELF, then into a National expression, then to a Planetary expression of SELF.

    จากจุดต่ำสุดของพีระมิดแห่งการเกิดเข้าสู่ร่างกายทางกายภาพ, แต่ละคนจะรวมกันเข้าสู่การขยายการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นของตัวตนของพวกเขา ซึ่งความตระหนักรู้ของพวกเขาขยายออกด้วย. ยกตัวอย่างเช่น, ที่ฐานของพีระมิคจะเป็นประสบการณ์ของตัวตนส่วนบุคคล. ในเวลาแบบสามมิติ, ประสบการณ์ของตัวตนนี้จะขยายเข้าสู่ประสบการณ์ของตัวตน ครอบครัว/วัฒนธรรม, จากนั้นก็เข้าสู่การแสดงออกของประเทศ, จากนั้นก็เข้าสู่การแสดงออกของตัวตนของดาวเคราะห์.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  6. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    You, our Ascending Ones, have fully embraced your Planetary SELF and are preparing to perceive yourselves as your Galactic SELF. You have completed your cycle of polarized individuality and are ready to enter the fifth dimensional expression of your Galactic SELF.

    คุณ, ผู้ยกระดับของพวกเรา, ได้โอบกอดตัวตนดาวเคราะห์ของคุณอย่างเต็มที่ และกำลังเตรียมตัวในการรับรู้ตัวตนของคุณในฐานะตัวตนแกแลกติก. คุณได้ทำวงจรของความเป็นขั้วส่วนบุคคลสำเร็จแล้ว และพร้อมที่จะเข้าสู่การแสดงออกของมิติที่ 5 ของตัวตนแกแลกติกของคุณ.

    There are Galactic Beings who are not yet fifth dimensional, and you can enjoy that experience as well. Your Galactic expression of SELF will eventually expand into your Universal expression of SELF.

    ยังมีรูปธรรมแกแลกติกผู้ที่ยังไม่ได้เป็นมิติที่ 5, และคุณสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์นั้นได้เช่นกัน. การแสดงออกของตัวตนแกแลกติกของคุณจะขยายเข้าสู่ตัวตนจักรวาลของคุณในที่สุด.

    Please remember that your Multidimensional SELF is infinitely alive and aware. Therefore, when we speak of your progression, we actually mean the progression of the primary focus of the consciousness of expression of your SELF to whom we are speaking. However, ALL of your expressions are simultaneously expanding into higher frequencies of reality or diminishing into lower frequency expressions of SELF, such as taking a new physical form.

    กรุณาจำไว้ว่า ตัวตนหลากมิติของคุณมีชีวิตและการรับรู้อย่างไม่จำกัด. ดังนั้น, เมื่อพวกเราพูดถึงความก้าวหน้าของคุณ, พวกเราหมายความว่าเป็นความก้าวหน้าของตัวตนของการแสดงออกของความตระหนักรู้ของคุณที่พวกเรากำลังพูดด้วย. อย่างไรก็ตาม, การแสดงออกของคุณทั้งหมดกำลังขยายเข้าสู่มิติที่สูงกว่าของความเป็นจริงไปพร้อมๆกัน หรือกำลังสลัวลงสู่ความถี่ที่ต่ำกว่าของตัวตน, เพื่อเข้าสู่รูปทางกายภาพรูปใหม่.

    Hence, as your individual focus of SELF expands into your Planetary SELF, your Planetary focus of consciousness expands into your Galactic SELF and your Galactic focus expands into your Universal SELF. Your higher dimensional expanded SELF can easily perceive and interact with your lower dimensional versions of SELF.

    ดังนั้น, เมื่อการเพ่งความสนใจของตัวตนเฉพาะตัวของคุณขยายเข้าสู่ตัวตนดาวเคราะห์ของคุณ, การเพ่งความสนใจของความตระหนักรู้ระดับดาวเคราะห์ของคุณขยายเข้าสู่ตัวตนแกแลกติกของคุณ และการเพ่งความสนใจของความตระหนักรู้ระดับแกแลกติกของคุณขยายเข้าสู่ตัวตนจักรวาลของคุณ. ตัวตนที่ขยายเข้าสู่มิติที่สูงกว่าของคุณจะสามารถรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับตัวตนรุ่นที่มีมิติที่ต่ำกว่าของคุณได้ง่ายขึ้น.

    Therefore, you will not necessarily lose contact with your Personal expression of SELF when Gaia ascends. However, just as you can see a rock, but the rock does not see you, your lower dimensional expressions of SELF can only communicate with their higher expressions by expanding their consciousness to encompass that frequency of reality.

    ดังนั้น, คุณไม่จำเป็นต้องสูญเสียการเชื่อมโยงกับการแสดงออกของตัวตนส่วนบุคคลของคุณเมื่อไกอายกระดับ. อย่างไรก็ตาม, เมื่อคุณสามารถมองเห็นก้อนหิน, แต่ก้อนหินไม่สามารถมองเห็นคุณ, การแสดงออกของตัวตนมิติที่ต่ำกว่าของคุณ จะสามารถติดต่อกับการแสดงออกที่สูงกว่าของพวกเขาได้ ด้วยการขยายความตระหนักรู้ของพวกเขาเท่านั้น เพื่อรวมเข้ากับความถี่ของความเป็นจริงนั้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  7. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    The lower dimensional components of your SELF are still your Multidimensional SELF, but YOU have raised your primary focus into the higher dimensions of reality. Please remember, that these expressions are NOT lined up in a third dimensional manner. They are all interwoven and intermingled within the NOW of the ONE.

    องค์ประกอบของตัวตนของคุณในมิติระดับต่ำยังคงเป็นตัวตนหลากมิติของคุณ, แต่คุณได้ยกระดับการเพ่งความสนใจส่วนใหญ่เข้าสู่ความเป็นจริงของมิติระดับสูงแล้ว, กรุณาจำไว้ว่า, การแสดงออกเหล่านี้ไม่ได้เรียงแถวเข้ามาตามลำดับแบบมิติที่ 3, พวกมันทั้งหมดถักทอและผสมผสานกันภายในขณะนี้ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน.

    You will find that as your consciousness expands into the higher frequencies of expression, your third dimensional thinking will become increasingly cumbersome and somewhat obsolete. Hence, you will begin to forget how to think in that old-fashioned manner and unconsciously think from your Multidimensional SELF.

    คุณจะค้นพบว่าเมื่อความตระหนักรู้ของคุณขยายเข้าสู่การแสดงออกของความถี่ระดับสูง, การคิดแบบมิติที่ 3 ของคุณจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ และค่อนข้างล้าสมัย. ดังนั้น, คุณจะเริ่มลืมวิธีคิดในลักษณะเก่าๆนั้น และคิดโดยไม่รู้ตัวจากตัวตนหลากมิติของคุณ.

    The side effect of this experience might make you think that you are getting dementia or some other earthly condition. The truth is that you are expanding beyond ALL 3D earthly conditions, and are discovering that your old way of thinking is exceedingly cumbersome.

    ผลข้างเคียงจากประสบการณ์นี้อาจทำให้คุณคิดว่าคุณอยู่ในภาวะสมองเสื่อมหรือภาวะทางโลกแบบอื่น. ความจริงก็คือคุณกำลังขยายออกไกลกว่าสภาวะทางโลกแบบมิติที่ 3 ทั้งหมด, และกำลังค้นพบว่าการคิดแบบเก่ามันยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ.

    Why would you need a buggy whip when you are driving an automobile? Therefore, why would you need a sequential language of separate words when you think within the limitless, timeless NOW?

    ทำไมคุณต้องใช้แส้ในเมื่อคุณกำลังขับรถ? ดังนั้น, ทำไมคุณถึงต้องใช้ภาษาตามลำดับของคำที่แยกจากกันเมื่อคุณสามารถคิดภายในความไร้ขีดจำกัด, การไร้เวลาของขณะนี้?

    There are about two of your months left for this cycle of focusing your consciousness into higher and higher frequencies of expression. However, once your focus is firmly planted in your Planetary Expression of SELF, you will be aligned with Gaia’s time.

    ยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือนสำหรับวัฏจักรนี้ที่จะเพ่งความตระหนักรู้ของคุณ เข้าสู่การแสดงออกของความถี่ที่สูงขึ้นและสูงขึ้น. ดังนั้น, เมื่อการเพ่งความสนใจของคุณปลูกฝังอย่างแน่นหนาลงไปในตัวตนการแสดงออกของดาวเคราะห์, คุณจะปรับตัวเข้ากับเวลาของไกอา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  8. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    Gaia is expanding her Focus into Her fifth dimensional SELF. Hence, Her polarities of past and future are collapsing into the NOW, and 3D time is closing. Once you are fully aligned with Gaia’s NOW, there will not be time as you know it. You will know time, but not as passing moments in which you must do something or be somewhere. You will begin to adjust your thinking into the limitless, timeless NOW.

    ไกอากำลังขยายการเพ่งความสนใจของเธอเข้าสู่ตัวตนมิติที่ห้าของเธอ. ดังนั้น, ความเป็นขั้วของเธอของอดีตและอนาคตกำลังสลายตัวลงสู่ขณะนี้, และเวลาแบบมิติที่สามกำลังจะจบลง. เมื่อคุณปรับตัวเข้ากับขณะนี้ของไกอาอย่างเต็มที่, จะไม่มีเวลาอย่างที่คุณเคยรู้จักมัน. คุณจะรู้เวลา, แต่ไม่เหมือนชั่วขณะที่ผ่านไป ที่คุณต้องทำบางอย่างหรือต้องอยู่ที่ไหน. คุณจะเริ่มปรับความคิดของคุณเข้าสู่ความไร้ขีดจำกัด, การไร้เวลาของขณะนี้.

    Your Super-subconscious animal self, who is very comfortable with the NOW, will begin to fulfill the “ideals” that are passed into it via your Oversoul. An ideal differs from an idea in that an ideal is a Divine Concept that your consciousness has been able to embrace. You have been able to embrace these concepts because you have expanded your focus from your deepest, Super-subconscious animal self into your seventh dimensional Oversoul SELF.

    ตัวตนความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของความเป็นสัตว์, จะมีความสบายเป็นอย่างมากกับขณะนี้, จะเริ่มต้นเติมเต็ม”อุดมคติ”ที่ได้ผ่านเข้าสู่มันผ่านทางวิญญาณระดับสูง. อุดมคติแตกต่างจากความคิดตรงที่ อุดมคติคือหลักการศักดิ์สิทธิ์ที่ความตระหนักรู้ของคุณสามารถโอบกอบได้. คุณเคยสามารถโอบกอดหลักการเหล่านี้เพราะว่าคุณเคยขยายการเพ่งความสนใจของคุณจากส่วนที่ลึกที่สุดของคุณ, ตัวตนความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของความเป็นสัตว์เข้าสู่ตัวตนมิติที่เจ็ดของวิญญาณระดับสูงของคุณ.

    Your Super-conscious holds the codes and patterns of all your earthly incarnations. This component of your being steadily opens once you have focused your attention on the HERE and NOW Beingness of your animal self. Your Oversoul holds the codes and patterns of all the incarnations you have experienced in your current Galaxy.

    ความตระหนักรู้ชั้นพิเศษของคุณจะเก็บรักษารหัสต่างๆและรูปแบบต่างๆของการเกิดบนโลกทุกๆชาติ. องค์ประกอบนี้ของรูปธรรมของคุณเปิดขึ้นอย่างมั่นคงเมื่อคุณเพ่งความใส่ใจของคุณไปที่ รูปธรรมที่นี่และขณะนี้ของตัวตนความเป็นสัตว์ของคุณ. วิญญาณระดับสูงของคุณจะเก็บรักษารหัสและรูปแบบของการเกิดทุกๆชาติ ที่คุณมีประสบการณ์ในแกแลกซี่นี้ของคุณ.

    This component of your being steadily opens once you have expanded your focus into your Galactic SELF. With this expansion of consciousness, you will have completed the Alpha/Omega of your Planetary SELF, and be totally prepared to release all components of your denser, human form.

    องค์ประกอบนี้ของรูปธรรมของคุณเปิดขึ้นอย่างมั่นคงเมื่อคุณได้ขยายการเพ่งความสนใจเข้าสู่ตัวตนแกแลกติกของคุณ. ด้วยการขยายความตระหนักรู้นี้, คุณจะทำอัลฟา/โอเมกาของตัวตนดาวเคราะห์ของคุณได้สำเร็จ, และเตรียมตัวอย่างเต็มที่ในการปลดปล่อยองประกอบทั้งมวลของความหนาแน่นของคุณ, รูปมนุษย์.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  9. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    All these processes of Ascension overlap so that our Ascending Ones will always have a solid, familiar format, as well as a perceivable potential locked in to your consciousness. Hence, the Ascension process is much like crossing a rushing stream by walking from one stone to the next.

    กระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ของการยกระดับจะทับซ้อนกันอยู่ ดังนั้นผู้ยกระดับของพวกเราจะยังมีกายเนื้อ, รูปแบบที่คุ้นเคย, เช่นเดียวกับการรับรู้ถึงศักยภาพที่ถูกปิดอยู่ในความตระหนักรู้ของคุณ. ดังนั้น, กระบวนการของการยกระดับจะคล้ายกับการข้ามสายน้ำที่เชี่ยวกราก ด้วยการเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปสู่ก้อนหินก้อนถัดไป.

    You start on the shore, and then place one foot on a stepping stone. You do not place your second foot on the next stone until you are certain that it will hold your weight. Then you will keep your foot on that stone while you test the next stone with your other foot.

    คุณเริ่มต้นที่ชายฝั่ง, แล้ววางเท้าลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง. คุณจะไม่ก้าวเท้าที่สองไปสู่ก้อนหินถัดไปจนกว่าคุณจะมั่นใจว่าก้อนหินสามารถรับน้ำหนักคุณได้. คุณจะหยั่งเท้าลงไปที่ก้อนหินก้อนนั้น เพื่อทดสอบก้อนหินก้อนนั้นด้วยเท้าของคุณ.

    All of our Ascending Ones have expanded their consciousness beyond their Individual/Personal SELF. However, some of them are still attached to their Familial/Cultural SELF, which will keep them from releasing their perceived family, cultural and national obligations and/or attachments.

    ทั้งหมดของผู้ยกระดับของพวกเราที่ได้ขยายความระหนักรู้ของพวกเขา ไกลกว่าตัวตนส่วนบุคคลของพวกเขา. อย่างไรก็ตาม, บางคนยังยึดติดอยู่กับตัวตนครอบครัว/วัฒนธรรม, ซึ่งจะยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้จากการปลดปล่อยการรับรู้อย่างครอบครัว, วัฒนธรรมและประเทศของพวกเขา ความผูกพันต่างๆและ/หรือการยึดติดต่างๆ.

    There is nothing wrong with maintaining this attachment, but when you allow your family, culture and nation to hold you back from your process of Ascension, you are not able to assist with Planetary Ascension. Not participating in Planetary Ascension greatly limits your process of Personal Ascension, as Gaia is offering a free ride into the fifth dimensional expression of reality.

    ไม่มีอะไรผิดที่จะรักษาการยึดมั่นเหล่านี้. แต่เมื่อคุณอนุญาตให้ครอบครัวของคุณ, วัฒนธรรมและประเทศชาติ หน่วงเหนี่ยวคุณจากกระบวนการของการยกระดับ, คุณจะไม่สามารถช่วยเหลือการยกระดับของดาวเคราะห์. การไม่ได้มีส่วนร่วมในการยกระดับของดาวเคราะห์จะจำกัดคุณอย่างมากในกระบวนการยกระดับส่วนบุคคลของคุณ, ซึ่งไกอาได้ให้การเดินทางที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเข้าสู่การแสดงออกของความเป็นจริงมิติที่ห้า.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  10. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    However, those who remain attached to the third/fourth dimensional concepts of family, culture and nations will not be able to adhere their consciousness to the Unity Consciousness of Planetary Ascension. Within Unity Consciousness, every being is of the same ability and power.

    อย่างไรก็ตาม, เหล่าผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นในมิติที่ 3 / 4 ในหลักการของความเป็นครอบครัว, วัฒนธรรม และประเทศชาติ จะไม่สามารถเกาะติดความตระหนักรู้ไปสู่ความตระหนักรู้ของความเป็นหนึ่งเดียวกันของการยกระดับของดาวเคราะห์. ภายในความตระหนักรู้ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน, ทุกๆรูปธรรมจะมีศักยภาพและพลังอำนาจเสมอภาคกัน.

    In fact many children – and even infants – are more aligned with Ascension then their parents, who have had a lifetime of brainwashing. Cultures and Nations divide Gaia’s planet and restrict Unity Consciousness to Family, Cultural or National Consciousness. To catch the wave of Planetary Ascension you need to blend your consciousness into the immense Flow of Planetary Ascension.

    อันที่จริง เด็กๆเป็นจำนวนมาก - และแม้แต่ทารก - ก็มีการปรับตัวเข้ากับการยกระดับ แต่พ่อแม่ของพวกเขา, ผู้ที่ถูกล้างสมองมาตลอดชีวิต. วัฒนธรรมและประเทศชาติได้แบ่งแยกดาวเคราะห์ไกอา และจำกัดความตระหนักรู้ของความเป็นหนึ่งเดียวกันไว้ในความตระหนักรู้ของ(ครอบครัว, วัฒนธรรม และประเทศชาติ). เพื่อที่จะเกาะคลื่นของการยกระดับดาวเคราะห์ คุณจำเป็นต้องผสานความตระหนักรู้ของคุณเข้าสู่กระแสของการยกระดับดาวเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่.

    Those who maintain the 3D hooks of family, culture and nation (which include the religious and scientific 3D thinking) will remain in the illusion of third dimensional Earth for as long as that hologram is running. Therefore, they will have time to expand their consciousness if they choose.

    เหล่าผู้ที่ยังคงยึดมั่นถือมั่นอยู่ในความเป็นครอบครัว, วัฒนธรรม และประเทศชาติ (รวมถึงศาสนาและการคิดแบบมิติที่ 3) จะยังคงอยู่ในมายาการของมิติที่ 3 ของโลกตราบใดที่การฉายภาพ 3 มิตินั้นยังคงมีอยู่. ดังนั้น, พวกเขาจะมีเวลาที่จะขยายความตระหนักรู้ของพวกเขาถ้าหากพวกเขาเลือก.

    Also, once the final remnants of darkness are expelled from the body of Gaia, the cycles of fear that hold the third dimensional attachments in place will be completed. This fear is very close to being vanquished largely because of you, the Ascending Ones, who have become Masters of your Emotions and expelled fear from your consciousness.

    เช่นกัน, เมื่อเศษเสี้ยวสุดท้ายของความมืดถูกขับออกจากร่างกายของไกอา, วงจรต่างๆของความกลัวที่ยึดมิติที่ 3 ให้เข้าที่ จะถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์. ความกลัวนี้อยู่ใกล้มากกับการสิ้นฤทธิ์เพราะคุณ, ผู้ยกระดับของพวกเรา, ผู้ซึ่งกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนืออารมณ์ต่างๆของคุณ และขับไล่ความกลัวออกจากความตระหนักรู้ของคุณ.

    Fear is not alive like love. Love, especially unconditional love, is a living creative force seeking a being through which it can be expressed. Fear, on the other hand, is the “Grim Reaper” who cuts back the old and dying so that the new can be created and nurtured by love. Hence, fear is a necessary component of a third/fourth dimensional reality that is bound to a planetary existence.

    ความกลัวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหมือนความรัก. ความรัก, โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข, คือพลังสร้างสรรค์ที่มีชีวิตที่แสวงหารูปธรรมที่มันสามารถแสดงออก. ความกลัว, ในอีกด้านหนึ่ง, ก็คือ “ปีศาจแห่งความตาย” ผู้ก่อตั้งระบบเก่าและกำลังจะตาย เพื่อให้ระบบใหม่ถูกสร้างขึ้นและหล่อเลี้ยงด้วยความรัก. ดังนั้น, ความกลัวก็คือองค์ประกอบที่สำคัญของความเป็นจริงมิติที่ 3 / 4 ที่ผูกไว้กับการดำรงอยู่ของดาวเคราะห์.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  11. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    Since people, families and nations cannot leave the planet in search of a new home in the ever-expanding Galaxy, members of the planet must die so that there is room for expansion into a new way of being. Unfortunately, fear became embedded so deeply in the consciousness of many incarnated ones that they killed others to assure that they would have enough.

    เมื่อผู้คน, ครอบครัว และประเทศชาติไม่สามารถออกจากดาวเคราะห์ เพื่อหาบ้านใหม่ในแกแลกซี่ได้, สมาชิกของดาเคราะห์จำเป็นต้องตาย เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับการขยายเข้าสู่หนทางใหม่ของชีวิต. โชคไม่ดีที่, ความกลัวได้ฝังรากลงลึกมากในความตระหนักรู้ของผู้ที่มาเกิดหลายๆชาติ ซึ่งพวกเขาได้ฆ่าผู้อื่นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับเพียงพอ.

    Predation for possession and power is the result of the Earthling’s Draconian DNA. This DNA is very strong and powerful, as well as highly intelligent and decisive. However, if the human carries too much fear, they can easily move into the kill or be-killed mindset of that DNA. On the other hand, through Mastering your thoughts and emotions, you can use that DNA to assist you – rather than to control you, or others.

    การปล้นสะดมเพื่อครอบครองและอำนาจเป็นผลมาจาก Draconian DNA ของโลก. DNA นี้มีความแข็งแรงและทรงพลังมาก, เช่นเดียวกับมีความฉลาดและความแน่วแน่อย่างสูง. อย่างไรก็ตาม, ถ้าหากมนุษย์หอบหิ้วความกลัวมากเกินไป, พวกเขาสามารถเข้าไปสู่ความคิดของ DNA ในเรื่องการฆ่าหรือถูกฆ่า. ในอีกด้านหนึ่ง, ผ่านการเป็นนายเหนือความคิดและอารมณ์, คุณสามารถใช้ DNA นั้นเพื่อช่วยเหลือคุณ - มากกว่าให้ DNA นั้นควบคุมคุณ, หรือผู้อื่น.

    Becoming the Master of your Energy allows you conscious transit into your seventh dimensional Oversoul, which is the storehouse of ALL your Galactic knowledge, gifts, experiences and incarnations. Just as the Super-subconscious holds the codes and patterns for your Planetary SELF, the Oversoul holds the codes and patterns for your Galactic Self.

    ด้วยการเป็นนายเหนือพลังงานของคุณ จะอนุญาตให้ความตระหนักรู้ของคุณเปลี่ยนเข้าสู่วิญญาณระดับสูงของมิติที่ 7, ซึ่งเป็นคลังเก็บ(ความรู้, พรสวรรค์, ประสบการณ์ และชาติกำเนิด)ทั้งปวงของความเป็นรูปธรรมแกแลกติกของคุณ. ซึ่งความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษได้เก็บรักษารหัสและรูปแบบต่างๆของตัวตนดาวเคราะห์ของคุณ, วิญญาณระดับสูงได้เก็บรหัสและรูปแบบต่างๆของตัวตนแกแลกติกของคุณ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  12. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    It is through the activating of these codes that you can consciously connect with us, your Galactic Family. When you meet, commune and intertwine with one of your Galactic expressions of SELF, you will regain your Galactic perception of reality. Many of you will enter into intimate relationship with the YOU that is holding a higher dimensional expression of your SELF.

    ด้วยการกระตุ้นรหัสเหล่านี้ที่คุณจะสามารถติดต่อกับพวกเราได้ด้วยความตระหนักรู้, ครอบครัวแกแลกติกของคุณ. เมื่อคุณได้พบ, มีความสัมพันธ์ และผสานเข้ากับการแสดงออกของตัวตนแกแลกติกของคุณ, คุณจะกลับไปสู่การรับรู้ความเป็นจริงของตัวตนแกแลกติกของคุณ. พวกคุณจำนวนมากจะเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคุณที่เป็นการแสดงออกของตัวตนมิติที่สูงกว่า.

    Of course, you have many expressions of your Galactic SELF, just as you have many expressions of your human self. When you can fall into the Flow and surrender into the FEEL of your Galactic SELF you can remember how to live two, simultaneous realities. With practice, you will be able to experience more and more simultaneous realities within the NOW of the ONE.

    แน่นอน, คุณมีการแสดงออกของตัวตนแกแลกติกมากมาย, เนื่องจากคุณมีการแสดงออกของตัวตนมนุษย์มากมาย. เมื่อคุณสามารถจมลงสู่กระแสธารและยอมเข้าสู่ความรู้สึกของตัวตนแกแลกติกของคุณ คุณจะสามารถจำได้ถึงวิธีการที่คุณมีชีวิตอยู่ในสองความเป็นจริงพร้อมๆกัน. ด้วยการฝึกฝน, คุณจะสามารถมีประสบการณ์กับความเป็นจริงมากขึ้นมากขึ้นพร้อมๆกัน ภายในขณะนี้ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน.

    In this manner, you will regain connection with your Galactic Expression of SELF. Your Galactic expressions are aligned with you in the NOW and offering you a hand up into the fifth dimension. Every experience that you can remember having with your SELF in the fifth dimension and beyond is a gift that we ask you to share with the members of your Ascending reality.

    ในหนทางนี้, คุณจะกลับคืนสู่การเชื่อมโยงกับการแสดงออกของตัวตนแกแลกติกของคุณ. การแสดงออกต่างๆของแกแลกติกจะปรับเข้ากับคุณในขณะนี้และจะให้คุณเข้าสู่มิติที่ 5. ทุกๆประสบการณ์ที่คุณจำได้ที่มีต่อตัวตนของคุณในมิติที่ 5 และสูงกว่า ก็คือของขวัญที่พวกเราขอร้องให้คุณแบ่งปันกับสมาชิกของความเป็นจริงของการยกระดับของคุณ.

    We will allow you time to ponder what we have shared so far, and return shortly so that Mytre can share his first experience of the Seventh Dimensional Consciousness of our Mothership.

    พวกเราจะอนุญาตให้คุณมีเวลาไตร่ตรอง ในสิ่งที่พวกเราได้แบ่งปันนานกว่านี้, และจะกลับมาในเวลาไม่นานเพื่อให้ Mytre สามารถแบ่งปันประสบการณ์ครั้งแรกของเขา เกี่ยวกับความตระหนักรู้มิติที่ 7 ของยานแม่.

    The Arcturians
    ด้วยรักที่ไม่มีเงื่อนไข ขอบคุณครับ
    (ตอนต่อไปข้อความที่ 6305 หน้าที่ 316)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  13. NaCl

    NaCl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +289
    ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเลื่อนระดับชั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องของหมอท่านหนึ่ง ที่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการมองโลก จากบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด และไม่มีโอกาสแก้ตัว นอกจากมาเล่าเรื่องให้พวกเราได้อ่านกันเท่านั้น

    In Memory of Dr. Richard Teo (1972 - 2012)

    Below is the transcript of the talk of Dr. Richard Teo, who is a 40-year-old millionaire and cosmetic surgeon with a stage-4 lung cancer but selflessly came to share with the D1 class his life experience on 19-Jan-2012. He has just passed away few days ago on 18 October 2012.

    Hi good morning to all of you. My voice is a bit hoarse, so please bear with me. I thought I'll just introduce myself. My name is Richard, I'm a medical doctor. And I thought I'll just share some thoughts of my life. It's my pleasure to be invited by prof. Hopefully, it can get you thinking about how... as you pursue this.. embarking on your training to become dental surgeons, to think about other things as well.

    Since young, I am a typical product of today's society. Relatively successful product that society requires.. From young, I came from a below average family. I was told by the media... and people around me that happiness is about success. And that success is about being wealthy. With this mind-set, I've always be extremely competitive, since I was young.

    Not only do I need to go to the top school, I need to have success in all fields. Uniform groups, track, everything. I needed to get trophies, needed to be successful, I needed to have colours award, national colours award, everything. So I was highly competitive since young. I went on to medical school, graduated as a doctor. Some of you may know that within the medical faculty, ophthalmology is one of the most highly sought after specialities. So I went after that as well. I was given a traineeship in ophthalmology, I was also given a research scholarship by NUS to develop lasers to treat the eye.

    So in the process, I was given 2 patents, one for the medical devices, and another for the lasers. And you know what, all this academic achievements did not bring me any wealth. So once I completed my bond with MOH, I decided that this is taking too long, the training in eye surgery is just taking too long. And there's lots of money to be made in the private sector. If you're aware, in the last few years, there is this rise in aesthetic medicine. Tons of money to be made there. So I decided, well, enough of staying in institution, it's time to leave. So I quit my training halfway and I went on to set up my aesthetic clinic... in town, together with a day surgery centre.

    You know the irony is that people do not make heroes out average GP (general practitioner), family physicians. They don't. They make heroes out of people who are rich and famous. People who are not happy to pay $20 to see a GP, the same person have no qualms paying ten thousand dollars for a liposuction, 15 thousand dollars for a breast augmentation, and so on and so forth. So it's a no brainer isn't? Why do you want to be a gp? Become an aesthetic physician. So instead of healing the sick and ill, I decided that I'll become a glorified beautician. So, business was good, very good. It started off with waiting of one week, then became 3weeks, then one month, then 2 months, then 3 months. I was overwhelmed; there were just too many patients. Vanities are fantastic business. I employed one doctor, the second doctor, the 3rd doctor, the 4th doctor. And within the 1st year, we're already raking in millions. Just the 1st year. But never is enough because I was so obsessed with it. I started to expand into Indonesia to get all the rich Indonesian tai-tais who wouldn't blink an eye to have a procedure done. So life was really good.

    So what do I do with the spare cash. How do I spend my weekends? Typically, I'll have car club gatherings. I take out my track car, with spare cash I got myself a track car. We have car club gatherings. We'll go up to Sepang in Malaysia. We'll go for car racing. And it was my life. With other spare cash, what do i do? I get myself a Ferrari. At that time, the 458 wasn't out, it's just a spider convertible, 430. This is a friend of mine, a schoolmate who is a forex trader, a banker. So he got a red one, he was wanting all along a red one, I was getting the silver one.

    So what do I do after getting a car? It's time to buy a house, to build our own bungalows. So we go around looking for a land to build our own bungalows, we went around hunting. So how do i live my life? Well, we all think we have to mix around with the rich and famous. This is one of the Miss Universe. So we hang around with the beautiful, rich and famous. This by the way is an internet founder. So this is how we spend our lives, with dining and all the restaurants and Michelin Chefs you know.

    So I reach a point in life that I got everything for my life. I was at the pinnacle of my career and all. That's me one year ago in the gym and I thought I was like, having everything under control and reaching the pinnacle.

    Well, I was wrong. I didn't have everything under control. About last year March, I started to develop backache in the middle of nowhere. I thought maybe it was all the heavy squats I was doing. So I went to SGH, saw my classmate to do an MRI, to make sure it's not a slipped disc or anything. And that evening, he called me up and said that we found bone marrow replacement in your spine. I said, sorry what does that mean? I mean I know what it means, but I couldn't accept that. I was like “Are you serious?” I was still running around going to the gym you know. But we had more scans the next day, PET scans - positrons emission scans, they found that actually I have stage 4 terminal lung cancer. I was like "Whoa where did that come from?” It has already spread to the brain, the spine, the liver and the adrenals. And you know one moment I was there, totally thinking that I have everything under control, thinking that I've reached the pinnacle of my life. But the next moment, I have just lost it.

    This is a CT scan of the lungs itself. If you look at it, every single dot there is a tumour. We call this miliaries tumour. And in fact, I have tens of thousands of them in the lungs. So, I was told that even with chemotherapy, that I'll have about 3-4months at most. Did my life come crushing on, of course it did, who wouldn't? I went into depression, of course, severe depression and I thought I had everything.

    See the irony is that all these things that I have, the success, the trophies, my cars, my house and all. I thought that brought me happiness. But i was feeling really down, having severe depression. Having all these thoughts of my possessions, they brought me no joy. The thought of... You know, I can hug my Ferrari to sleep, no... No, it is not going to happen. It brought not a single comfort during my last ten months. And I thought they were, but they were not true happiness. But it wasn't. What really brought me joy in the last ten months was interaction with people, my loved ones, friends, people who genuinely care about me, they laugh and cry with me, and they are able to identify the pain and suffering I was going through. That brought joy to me, happiness. None of the things I have, all the possessions, and I thought those were supposed to bring me happiness. But it didn't, because if it did, I would have felt happy think about it, when I was feeling most down..

    You know the classical Chinese New Year that is coming up. In the past, what do I do? Well, I will usually drive my flashy car to do my rounds, visit my relatives, to show it off to my friends. And I thought that was joy, you know. I thought that was really joy. But do you really think that my relatives and friends, whom some of them have difficulty trying to make ends meet, that will truly share the joy with me? Seeing me driving my flashy car and showing off to them? No, no way. They won’t be sharing joy with me. They were having problems trying to make ends meet, taking public transport. In fact i think, what I have done is more like you know, making them envious, jealous of all I have. In fact, sometimes even hatred.

    Those are what we call objects of envy. I have them, I show them off to them and I feel it can fill my own pride and ego. That didn't bring any joy to these people, to my friends and relatives, and I thought they were real joy.

    Well, let me just share another story with you. You know when I was about your age, I stayed in king Edward VII hall. I had this friend whom I thought was strange. Her name is Jennifer, we're still good friends. And as I walk along the path, she would, if she sees a snail, she would actually pick up the snail and put it along the grass patch. I was like why do you need to do that? Why dirty your hands? It’s just a snail. The truth is she could feel for the snail. The thought of being crushed to death is real to her, but to me it's just a snail. If you can't get out of the pathway of humans then you deserve to be crushed, it’s part of evolution isn't it? What an irony isn't it?

    There I was being trained as a doctor, to be compassionate, to be able to empathise; but I couldn't. As a house officer, I graduated from medical school, posted to the oncology department at NUH. And, every day, every other day I witness death in the cancer department. When I see how they suffered, I see all the pain they went through. I see all the morphine they have to press every few minutes just to relieve their pain. I see them struggling with their oxygen breathing their last breath and all. But it was just a job. When I went to clinic every day, to the wards every day, take blood, give the medication but was the patient real to me? They weren't real to me. It was just a job, I do it, I get out of the ward, I can't wait to get home, I do my own stuff.

    Was the pain, was the suffering the patients went through real? No. Of course I know all the medical terms to describe how they feel, all the suffering they went through. But in truth, I did not know how they feel, not until I became a patient. It is until now; I truly understand how they feel. And, if you ask me, would I have been a very different doctor if I were to re-live my life now, I can tell you yes I will. Because I truly understand how the patients feel now. And sometimes, you have to learn it the hard way.

    Even as you start just your first year, and you embark this journey to become dental surgeons, let me just challenge you on two fronts.

    Inevitably, all of you here will start to go into private practice. You will start to accumulate wealth. I can guarantee you. Just doing an implant can bring you thousands of dollars, it's fantastic money. And actually there is nothing wrong with being successful, with being rich or wealthy, absolutely nothing wrong. The only trouble is that a lot of us like myself couldn't handle it.

    Why do I say that? Because when I start to accumulate, the more I have, the more I want. The more I wanted, the more obsessed I became. Like what I showed you earlier on, all I can was basically to get more possessions, to reach the pinnacle of what society did to us, of what society wants us to be. I became so obsessed that nothing else really mattered to me. Patients were just a source of income, and I tried to squeeze every single cent out of these patients.

    A lot of times we forget, whom we are supposed to be serving. We become so lost that we serve nobody else but just ourselves. That was what happened to me. Whether it is in the medical, the dental fraternity, I can tell you, right now in the private practice, sometimes we just advise patients on treatment that is not indicated. Grey areas. And even though it is not necessary, we kind of advocate it. Even at this point, I know who are my friends and who genuinely cared for me and who are the ones who try to make money out of me by selling me "hope". We kind of lose our moral compass along the way. Because we just want to make money.

    Worse, I can tell you, over the last few years, we bad mouth our fellow colleagues, our fellow competitors in the industry. We have no qualms about it. So if we can put them down to give ourselves an advantage, we do it. And that's what happening right now, medical, dental everywhere. My challenge to you is not to lose that moral compass. I learnt it the hard way, I hope you don't ever have to do it.

    Secondly, a lot of us will start to get numb to our patients as we start to practise. Whether is it government hospitals, private practice, I can tell you when I was in the hospital, with stacks of patient folders, I can't wait to get rid of those folders as soon as possible; I can't wait to get patients out of my consultation room as soon as possible because there is just so many, and that's a reality. Because it becomes a job, a very routine job. And this is just part of it. Do I truly know how the patient feels back then? No, I don't. The fears and anxiety and all, do I truly understand what they are going through? I don't, not until when this happens to me and I think that is one of the biggest flaws in our system.

    We’re being trained to be healthcare providers, professional, and all and yet we don't know how exactly they feel. I'm not asking you to get involved emotionally, I don't think that is professional but do we actually make a real effort to understand their pain and all? Most of us won’t, alright, I can assure you. So don't lose it, my challenge to you is to always be able to put yourself in your patient's shoes.

    Because the pain, the anxiety, the fear are very real even though it's not real to you, it's real to them. So don't lose it and you know, right now I'm in the midst of my 5th cycle of my chemotherapy. I can tell you it’s a terrible feeling. Chemotherapy is one of those things that you don't wish even your enemies to go through because it's just suffering, lousy feeling, throwing out, you don't even know if you can retain your meals or not. Terrible feeling! And even with whatever little energy now I have, I try to reach out to other cancer patients because I truly understand what pain and suffering is like. But it's kind of little too late and too little.

    You guys have a bright future ahead of you with all the resource and energy, so I’m going to challenge you to go beyond your immediate patients. To understand that there are people out there who are truly in pain, truly in hardship. Don’t get the idea that only poor people suffer. It is not true. A lot of these poor people do not have much in the first place, they are easily contented. for all you know they are happier than you and me but there are out there, people who are suffering mentally, physically, hardship, emotionally, financially and so on and so forth, and they are real. We choose to ignore them or we just don't want to know that they exist.

    So do think about it alright, even as you go on to become professionals and dental surgeons and all. That you can reach out to these people who are in need. Whatever you do can make a large difference to them. I'm now at the receiving end so I know how it feels, someone who genuinely care for you, encourage and all. It makes a lot of difference to me. That’s what happens after treatment. I had a treatment recently, but I’ll leave this for another day. A lot of things happened along the way, that's why I am still able to talk to you today.

    I'll just end of with this quote here, it's from this book called Tuesdays with Morris, and some of you may have read it. Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that. The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently. When I faced death, when I had to, I stripped myself off all stuff totally and I focused only on what is essential. The irony is that a lot of times, only when we learn how to die then we learn how to live. I know it sounds very morbid for this morning but it's the truth, this is what I’m going through.

    Don’t let society tell you how to live. Don’t let the media tell you what you're supposed to do. Those things happened to me. And I led this life thinking that these are going to bring me happiness. I hope that you will think about it and decide for yourself how you want to live your own life. Not according to what other people tell you to do, and you have to decide whether you want to serve yourself, whether you are going to make a difference in somebody else's life. Because true happiness doesn't come from serving yourself. I thought it was but it didn't turn out that way.

    Also most importantly, I think true joy comes from knowing God. Not knowing about God – I mean, you can read the bible and know about God – but knowing God personally; getting a relationship with God. I think that’s the most important. That’s what I’ve learnt.

    So if I were to sum it up, I’d say that the earlier we sort out the priorities in our lives, the better it is. Don’t be like me – I had no other way. I had to learn it through the hard way. I had to come back to God to thank Him for this opportunity because I’ve had 3 major accidents in my past – car accidents. You know, these sports car accidents – I was always speeding , but somehow I always came out alive, even with the car almost being overturned. And I wouldn’t have had a chance. Who knows, I don’t know where else I’d be going to! Even though I was baptised it was just a show, but the fact that this has happened, it gave me a chance to come back to God.

    Few things I’d learnt though:
    1. Trust in the Lord your God with all your heart – this is so important.
    2. Is to love and serve others, not just ourselves.

    There is nothing wrong with being rich or wealthy. I think it’s absolutely alright, cos God has blessed. So many people are blessed with good wealth, but the trouble is I think a lot of us can’t handle it. The more we have, the more we want. I’ve gone through it, the deeper the hole we dig, the more we get sucked into it, so much so that we worship wealth and lose focus. Instead of worshipping God, we worship wealth. It’s just a human instinct. It’s just so difficult to get out of it.

    We are all professionals, and when we go into private practise, we start to build up our wealth – inevitably. So my thought are, when you start to build up wealth and when the opportunity comes, do remember that all these things don’t belong to us. We don’t really own it nor have rights to this wealth. It’s actually God’s gift to us. Remember that it’s more important to further His Kingdom rather than to further ourselves.

    Anyway I think that I’ve gone through it, and I know that wealth without God is empty. It is more important that you fill up the wealth, as you build it up subsequently, as professionals and all, you need to fill it up with the wealth of God.

    (Please share his photo and words with others)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เห็นข้อความจาก Salusa ขาดช่วงไปหลายวัน
    เพิ่งรู้ว่าเค้ามีจัดการประชุมเตรียพร้อมสำหรับการเลื่อนระดับขึ้นที่ Sedona เป็นครั้งแรก
    ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี่เองครับ
    มีการรวมผู้รับการสื่อสารทั้ง Mike Quinsey, Suzy Ward (แม่ของแมธธิว), Blossom Goodchild, Wes Annac และอีกหลายๆท่าน
    และก็คงจะจัดงานแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดให้อ่านกันพอสมควร
    ในงานนี้ผู้ร่วมฟังบรรยายบอกไว้ว่าเหมือนเป็น 3 วันที่เข้าไปอยู่ในมิติที่ 5 เลยทีเดียว
    ไว้รอคุณ Empty คุณ Isreal มาแปลต่อนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าเลย ^^

    UPDATE: The 2012 Scenario Conference Sedona
    Preparing for Ascension Live Stream and 30-Day Archive
    From Los Abrigados Resort, Sedona, Arizona USA
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    (ตอนต่อจากข้อความที่ 6293 หน้าที่ 315)

    Trip to the Mothership Part 10 – Mytre’s First Experience of Mothership’s Oversoul

    By Dr Suzan Caroll / Suzanne Lie – October 15, 2012
    http://suzanneliephd.blogspot.co.uk/


    Mytre Speaks:

    I had not been on the Ship very long when I had my first experience of the Mothership’s Oversoul. I had been there long enough to understand that the Ship was a living, multidimensional being.

    ผมไม่ได้อยู่บนยานแม่นานนักเมื่อผมมีประสบการณ์ครั้งแรกของวิญญาณระดับสูงของยานแม่. แต่ผมก็อยู่มานานพอที่จะเข้าใจว่ายานแม่เป็นสิ่งมีชีวิต, เป็นรูปธรรมหลากมิติ.

    I had a vague understanding of the sixth dimensional areas of the ship. However, the seventh dimensional portion of the Ship is not an “area”. It is a formless Soul that overlooked all the Souls who resided on the Ship.

    ผมมีความเข้าใจพอประมาณเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนของมิติที่ 6 ของยาน. อย่างไรก็ตาม, ส่วนของมิติที่ 7 ของยานไม่ได้เป็น “พื้นที่”. มันเป็นวิญญาณที่ไร้รูปที่มองลงมายังทุกวิญญาณที่อาศัยอยู่บนยาน.

    The Super-subconscious frequency of the Ship automatically observes, repairs and updates the basic structure, which is always changing. Therefore it holds the basic form of every component of the Ship. On the other hand, the Oversoul Consciousness is a formless, yet tangible, energy that feels like an electrical field filled with love and cohesiveness.

    ความถี่ของความตระหนักรู้ใต้สำนึกชั้นพิเศษของยานจะสำรวจ, ซ่อมแซม และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยอัตโนมัติ, ซึ่งก็เปลี่ยนอยู่เสมอ. ดังนั้นมันจึงเก็บรักษารูปพื้นฐานของทุกๆองค์ประกอบของยาน. ในอีกด้านหนึ่ง, ความตระหนักรู้ของวิญญาณระดับสูงคือความไร้รูป, แต่สัมผัสได้, พลังงานที่รู้สึกเหมือนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยความรักและการเชื่อมโยงกัน.

    These feelings usually are most predominant on the upper areas of the Ship, such as the Bridge and all command centers. However, when necessary the Oversoul over-lights meetings, individuals, and devices on the Ship that are called upon to function at an exceptionally high state of consciousness.

    ความรู้สึกเหล่านี้มักจะมีความเด่นชัดมากที่สุดตรงบริเวณส่วนบนของยาน, เช่นเดียวกับที่สะพาน และศูนย์กลางการควบคุมทั้งหมด. อย่างไรก็ตาม, เมื่อมีความจำเป็นวิญญาณระดับสูงจะให้แสงสว่างระดับที่สูงกว่าแก่(การประชุม, บุคคล และอุปกรณ์บนยาน)ที่ถูกเรียกร้องให้ทำงานในสถานะของความตระหนักรู้ที่สูงมาก.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  16. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    I was taken to the Mothership shortly after I had left “time” during my meditation. Once I could leave time, a vast array of new abilities where just beyond my reach. Hence, I was taken to the Mothership for more advanced studies. The Arcturian and I entered a Scout Ship and headed for the Mothership. There were just the two of us in the Ship.

    ผมถูกนำตัวมาสู่ยานแม่ในระยะเวลาอันสั้นหลังจากผมได้ออกจากเวลาระหว่างการทำสมาธิ. เมื่อผมสามารถออกจากเวลา, มีศักยภาพใหม่ๆเป็นจำนวนมากที่ไกลเกินผมจะเอื้อมถึง. ดังนั้น, ผมจึงถูกนำตัวมาที่ยานแม่เพื่อเรียนรู้ความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น. ชาวอาร์คทูเรี่ยนและผมได้เข้าสู่ยานลูกและมุ่งหน้ามายังยานแม่. มีเพียงพวกเราสองคนบนยานลูก.

    I discovered later that the Arcturian could have simply bi-located us to the Mother Ship, but it wanted us to advance our relations beyond teacher/student into friends. It was then that I began to realize what a wonderful sense of humor that Arcturians have. The Arcturian and I had a chance to chat about whatever came into our minds, and the Arcturian actually made jokes about our experiences together.

    ผมค้นพบในภายหลังว่าชาวอาร์คทูเรี่ยนสามารถนำพวกเราทั้งสองไปตั้งอยู่บนยานแม่ได้อย่างง่ายๆ, แต่เขาต้องการให้พวกเราพัฒนาความสัมพันธ์ให้ไกลเกินกว่าความเป็นอาจารย์/ลูกศิษย์ เข้าสู่ความเป็นเพื่อน. มันก็หลังจากนั้นที่ผมเริ่มรู้ว่าชาวอาร์คทูเรี่ยนมีความตลกขบขันที่น่าอัศจรรย์มาก. ชาวอาร์คทูเรี่ยนและผมมีโอกาสที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่เข้ามาสู่จิตใจของพวกเรา, และชาวอาร์คทูเรี่ยนก็ทำให้มันตลกเกี่ยวกับประสบการณ์ร่วมของพวกเรา.

    I had the chance to see myself through the perception of a higher dimensional Being. This was a bit rough on my ego, which was the point. When I could laugh at my prior fears and misconceptions, I felt many ego-attachments begin to fade from my mind. By the time we arrived at the Mothership, I had released most of my insecurities about being “good enough”, as well as my fears of going to the Mothership.

    ผมได้มีโอกาสที่จะเห็นตัวเองจากการรับรู้ของรูปธรรมในมิติที่สูงกว่า. นี้เป็นความหยาบเล็กน้อยบนอัตตาของผม, ซึ่งมันเป็นจุดที่. เมื่อผมสามารถหัวเราะไปที่ความกลัวและความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้ของผม, ผมรู้สึกว่าการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาจำนวนมากเริ่มจางหายไปจากใจของผม. เวลาที่พวกเรากลับมายังยานแม่, ผมได้ปลดปล่อยส่วนใหญ่ของความไม่มั่นคงเกี่ยวกับการเป็นคนที่ต้อง”ดีพอ”, เช่นกันกับความกลัวของการเดินทางไปยานแม่.

    It was not that I was afraid to go to the Mothership. In fact, I was very excited and honored to be able to visit that Ship. However, I started our trip to the Mothership with great apprehension about what I would be called upon to do. Fortunately, because of the Arcturian’s humorous bantering, I was totally relaxed by the time the planetary-sized Mothership came into our view.

    มันไม่ใช่ว่าผมกลัวที่จะไปยานแม่. อันที่จริง, ผมตื่นเต้นมากและรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถไปเยือนยายแม่. อย่างไรก็ตาม, ผมเริ่มต้นการเดินทางสู่ยานแม่ด้วยความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้รับการร้องขอให้ทำ. โชคดี, จากการหยอกล้ออย่างมีอารมณ์ขันของชาวอาร์คทูเรี่ยน, ผมจึงผ่อนคลายอย่างเต็มที่เมื่อเวลาที่ยานขนาดพอๆกับดาวเคราะห์เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเรา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  17. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    I must say that the first sight of the Mothership was completely overwhelming. At the same time, it was a mystical experience. I had been training to perceive reality multidimensionally. Hence, I could clearly see the third/fourth dimensional holographic projection, which the Ship sometimes wore, as well as the fifth dimensional over-glow of that hologram, the sixth dimensional light matrix and the seventh dimensional emanation of Pure Spirit and All Knowing.

    ผมต้องพูดว่าการได้เห็นยานแม่ในครั้งแรกเป็นความเหลือเชื่ออย่างสมบูรณ์. ในเวลาเดียวกัน, มันเป็นประสบการณ์ที่ลึกลับด้วย. ผมได้รับการฝึกที่จะรับรู้ความเป็นจริงหลากมิติ. ดังนั้น, ผมจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนของเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมของมิติที่ 3 / 4, ซึ่งยานสวมใส่เป็นบางครั้ง, เช่นเดียวกับโฮโลแกรมที่สว่างมากของมิติที่ห้า, เมตริกซ์แสงของมิติที่หก และบ่อกำเนิดของวิญญาณบริสุทธิ์และความรู้ทั้งปวงของมิติที่เจ็ด.

    I also felt the eighth through tenth dimensional energy patterns of the Mothership, as well as patterns of the Arcturians and other Beings of that resonance. I KNEW that there were energy patterns beyond the tenth dimensions, but could not perceive them with any clarity at that time. The Arcturian touched my High Heart, and I received a brief experience of those higher dimensions.

    ผมรู้สึกถึงรูปแบบทางพลังงานของมิติที่แปดถึงมิติที่สิบของยานแม่ด้วยเช่นกัน, เช่นเดียวกับรูปแบบของชาวอาร์คทูเรี่ยนและรูปธรรมอื่นๆของการสะท้อนนั้น. ผมรู้ว่ายังมีรูปแบบทางพลังงานที่สูงกว่ามิติที่สิบ, แต่ไม่สามารถรับรู้พวกเขาได้อย่างชัดเจนในเวลานั้น. ชาวอาร์คทูเรี่ยนแตะที่หัวใจระดับสูงของผม, แล้วผมก็ได้รับประสบการณ์คร่าวๆของมิติที่สูงกว่าเหล่านั้น.

    Unfortunately, the resonant frequency of my mental processing was too low to retain any details of that experience. Nonetheless, I stored that FEELING in my High Heart, exactly where the Arcturian touched me. I vowed to believe that soon I would be able to fully experience this cherished moment.

    โชคไม่ดีที่, การสะท้อนของความถี่ของกระบวนการทางจิตใจของผมต่ำเกินกว่าที่จะเก็บรายละเอียดของประสบการณ์นั้นได้. ไม่ว่าจะอย่างไร, ผมได้เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในหัวใจระดับสูงของผมแล้ว, อย่างแน่นอนตอนที่ชาวอาร์คทูเรี่ยนแตะผม. ผมเชื่อว่าในไม่นานผมจะสามารถทำประสบการณ์นี้ให้เต็มสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่น่าทะนุถนอมนี้ได้.

    I will skip now to the point at which I had been studying in the Mothership for a while. I cannot give an exact amount of time, as time does not really exist at this level of consciousness. Conversely, those of us who were new to the Inter-Galactic Training Program were given quarters in which a period of day would be followed by a period of night.

    ผมจะข้ามเรื่องนี้ไป สู่จุดที่ผมได้เรียนอยู่ในยานแม่ในช่วงเวลาหนึ่ง. ผมไม่สามารถบอกได้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่, เนื่องจากเวลาไม่ได้มีอยู่ในระดับความตระหนักรู้นี้. ในทางตรงข้าม, พวกเราเหล่านักเรียนผู้มาใหม่สู่การฝึกฝนระดับแกแลกซี่ จะได้รับช่วงเวลาในเวลากลางวันตามด้วยเวลาในช่วงกลางคืน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  18. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    We were to remain in these quarters until we were able to focus our primary consciousness on our fifth dimensional SELF. Our fifth dimensional expression of SELF no longer needed the illusion of the passage of time, the fatigue that that illusion created or the sleep that was necessary to release the illusion of fatigue.

    พวกเราจะยังคงอยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ จนกว่าพวกเราจะสามารถเพ่งความตระหนักรู้หลักไปที่ตัวตนมิติที่ห้าได้. การแสดงออกของตัวตนมิติที่ห้าของพวกเรา จะไม่จำเป็นต้องมีมายาการของรูปแบบของเวลาอีกต่อไป, ความเหนื่อยล้าที่มายาการนั้นสร้างขึ้นหรือการนอนหลับ ซึ่งมีความจำเป็นเพื่อปลดปล่อยมายาการของความเหนื่อยล้านั้น.

    I quickly made friends with my roommates, but found myself constantly missing the Arcturian. One day, I caught myself being impatient with my roommates. This upset me greatly, as I knew it was a sign that my consciousness was slipping into the lower frequencies rather than expanding into the higher frequency. I excused myself and went to the Nature Area.

    ผมสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนร่วมห้องของผมอย่างรวดเร็ว, แต่ก็พบว่าตัวผมห่างหายไปจากชาวอาร์คทูเรี่ยน. วันหนึ่ง, ผมหมดความอดทนกับเพื่อนร่วมห้องของผม. เรื่องนี้ทำให้ผมเสียใจมาก, ซึ่งผมรู้ว่ามันเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความตระหนักรู้ของผม ได้ลื่นไถลเข้าสู่ความถี่ระดับต่ำมากกว่าที่จะขยายเข้าสู่ความถี่ระดับสูง. ผมขออนุญาตตัวเองแล้วไปในพื้นที่ส่วนที่เป็นธรรมชาติ.

    There is a huge section of the Mothership that is dedicated to Nature Areas. These areas were holographic, but you absolutely could not tell from being there. Once, when I asked the Arcturian why the 3/4D Nature Area was holographic, it said “All realities in the third and fourth dimension are holographic projections from the higher dimensions of reality”.

    มันมีส่วนที่มีขนาดใหญ่ของยานแม่ที่มอบให้เป็นพื้นที่ทางธรรมชาติ. พื้นที่เหล่านี้เป็นภาพโฮโลกราฟฟิก, แต่คุณจะไม่สามารถพูดถึงการได้อยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน. เมื่อผมถามชาวอาร์คทูเรี่ยนว่าทำไมพื้นที่ธรรมชาติของมิติที่ 3 / 4 จึงเป็นภาพโฮโลกราฟฟิก, เขาตอบว่า “ความเป็นจริงทั้งหมดของมิติที่ 3 / 4 เป็นฉายภาพโฮโลแกรมจากความเป็นจริงของมิติที่สูงกว่า”.

    I started to ask it, my Arcturian friend, to explain that concept to me but it disappeared in front of my eyes. Then, where the Arcturian had just been standing/floating, was a huge tree with birds, squirrels and other animals living off of the bio-system of that one tree. I moved forward to touch the tree, but there was a flash of light and the Arcturian stood where there was once a tree.

    ผมเริ่มถาม, เพื่อนชาวอาร์คทูเรี่ยนของผม, เพื่อให้อธิบายหลักการต่อผมแต่เขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาผม. ทันใดนั้น, ตรงที่ชาวอาร์คทูเรี่ยนยืนอยู่ก็มีต้นไม้ใหญ่ผุดขึ้นมาพร้อมกับนกต่างๆ, กระรอกและสัตว์อื่นๆที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศน์ของต้นไม้นั้น. ผมเดินเข้าไปเพื่อสัมผัสต้นไม้, แต่มันก็กลายเป็นแสงกระพริบแล้วชาวอาร์คทูเรี่ยนก็ยืนอยู่แทนที่ต้นไม้.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  19. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    “Do you see how I projected the hologram of Nature?”
    The Arcturians are very good at “one picture is worth a thousand words”. At the same time, I realized that my consciousness had become so low in frequency that I had forgotten basic premises that I had been taught.


    “คุณเห็นไหม ผมฉายภาพโฮโลแกรมของธรรมชาติอย่างไร?”
    ชาวอาร์คทูเรี่ยนเป็นตัวอย่างที่ดีมากในเรื่อง “ภาพหนึ่งภาพมีค่านับพันคำ”. ในเวลาเดียวกัน, ผมรู้ว่าความตระหนักรู้ของผมได้ลดความถี่ลง ซึ่งผมได้ลืมสถานะขั้นพื้นฐานที่ผมได้รับการสอนมา.


    “I have to leave the Rookie’s Quarters” I blurted out. “My consciousness is dropping because I am entraining with the newcomers, rather than with you or the Ship”.

    “ผมจะต้องออกจากช่วงเวลาของผู้มาใหม่” ผมโพล่งออกไป. “ความตระหนักรู้ของผมลดระดับลงเพราะว่าผมกำลังร่วมขบวนกับเพื่อนผู้มาใหม่มากกว่ากับคุณหรือกับยาน”.

    “We are happy that you realize that” the Arcturian said, as it vanished.
    OK, I knew the drill now – I had to figure it out for myself. If I wanted to move beyond my present quarters I would have to prove – to myself – that I was ready. I had become so overcome by the mere vision of the Mothership that I had allowed my consciousness to drop back down to a familiar resonance.


    “พวกเรารู้สึกยินดีที่คุณเข้าใจมัน” ชาวอาร์คทูเรี่ยนพูด, แล้วเขาก็หายไป.
    ผมรู้สิ่งที่ต้องฝึกแล้ว - ผมต้องคิดให้ออกเพื่อตัวผมเอง. ถ้าหากผมต้องการจะไปให้ไกลกว่าช่วงเวลาในตอนนี้ผมจะต้องพิสูจน์ - ต่อตัวผมเอง - ว่าผมพร้อม. ผมถูกเอาชนะโดยวิสัยทัศน์ของยานแม่ ที่ผมได้รับอนุญาตให้ความตระหนักรู้ของผมตกลงไปสู่การสะท้อนที่ผมคุ้นเคย.


    I discovered that the Rookie Quarters, as we had named it, was no longer comfortable because I had grown beyond it. I had needed more of the illusion of time to figure that out. Since I was on my own, I had to figure out how to convince myself that I WAS ready to release all the familiar markers of reality and fully embrace my new life.

    ผมค้นพบว่าช่วงเวลาของผู้มาใหม่, ที่พวกเราเรียกกัน, ไมมีความสบายอีกต่อไปเพราะว่าผมเติบโตก้าวล้ำกว่ามันแล้ว. ผมจำเป็นต้องได้รับมายาการของเวลาที่มากกว่านี้เพื่อที่จะบ่งชี้มันออกมา. จากการที่ผมทำมันด้วยตัวเอง, ผมคิดออกถึงวิธีโน้มน้าวตัวเอง ว่าผมพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยเครื่องบ่งชี้ความเป็นจริงที่ผมคุ้นเคย แล้วโอบกอดชีวิตใหม่ของผมอย่างเต็มที่.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  20. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    Since leaving time got me to the Mothership, and being placed in a time-bound area for new students was so frustrating, the solution was for me to release time again. However, I had to remember how I released time in the first place.

    ตั้งแต่การออกจากเวลาพาผมมาที่ยานแม่, ผมถูกนำมาสู่ส่วนที่มีขอบเขตของเวลาสำหรับนักเรียนใหม่มันช่างน่าอึดอัด, คำตอบสำหรับผมก็คือต้องปลดปล่อยเวลาอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม, ผมต้องจำได้ว่าผมปลดปล่อยเวลาครั้งแรกอย่างไร.

    What I had unconsciously done, I now had to do consciously and intentionally. What if I went back in time to when I first saw the Mothership from the Scout Ship? What if I could go back in time and perceive the Mothership with love and acceptance rather than the fear of being overwhelmed?

    สิ่งที่ผมทำไปด้วยความไม่ตระหนักรู้, ในขณะนี้ผมต้องทำมันด้วยความตระหนักรู้และด้วยความตั้งใจ. ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อผมแรกเห็นยานแม่จากยานลูก? ถ้าย้อนเวลากลับไปและรับรู้ยานแม่ด้วยความรักและการยอมรับมากกว่าความกลัวที่จะถูกครอบงำ?

    That sounded like a good idea, but I had no idea how to do it. Then I thought of the glowing energy around the Mothership that the Arcturian had called the Oversoul. The Arcturian had said that the Oversoul holds the codes and patterns of all the Soul Records of everyone who was living in or visiting the Ship. These Soul Records contain all the multidimensional experiences that each Soul had ever experienced.

    ฟังดูเป็นความคิดที่ดี, แต่ผมไม่รู้วิธีที่จะทำมัน. จากนั้นผมก็คิดถึงพลังงานแสงสว่างที่อยู่รอบๆยานแม่ ที่ชาวอาร์คทูเรี่ยนเรียกว่าวิญญาณระดับสูง. ชาวอาร์คทูเรี่ยนพูดว่าวิญญาณระดับสูงเก็บรักษารหัสและรูปแบบต่างๆของทุกๆบันทึกของวิญญาณ ของทุกๆคนที่มีชีวิตในยานหรือผู้มาเยือนยาน. บันทึกทางวิญญาณเหล่านี้ได้บรรจุประสบการณ์หลากมิติทั้งหมดที่แต่ละวิญญาณเคยมีประสบการณ์มา.

    Within my present body, I was clearly Pleiadian. However, I had suspected for quite a while that there was a large element of Arcturian Nature within my Being. I even had a dim memory of being Arcturian, but I could not recover any details of that expression of my Multidimensional SELF.

    ภายในร่างกายปัจจุบันของผม, ชัดเจนว่าผมเป็นชาวพลีอาเดี้ยน. อย่างไรก็ตาม, ผมมีความสงสัยชั่วขณะว่ามันน่าจะมีองค์ประกอบทางธรรมชาติจำนวนมากของชาวอาร์คทูเรี่ยนอยู่ภายในรูปธรรมของผม. ผมแม้แต่จะจำได้รางๆถึงการเป็นชาวอาร์คทูเรี่ยน, แต่ผมไม่สามารถฟื้นความทรงจำในรายละเอียดใดๆของการแสดงออกของตัวตนหลากมิติของผม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...