<<<<<<<______คนส่องพระ ______>>>>>>>

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย อั๋นวัดสาม, 22 ตุลาคม 2012.

  1. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598

    นะโมโพธิสัติโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

    นะโมโพธิสัติโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

    นะโมโพธิสัติโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
     
  3. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป)
    "ท่าน เขมโกภิกขุ” หลวงปู่เกษม หรือ หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่เราท่านเคารพบูชา และรำลึกภาวนา ขอบารมีจากท่านช่วยคุ้มครอง ปกป้องจากอันตราย ยามเมื่อเกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เพราะบารมี หลวงพ่อที่เพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยความมานะบากบั่น ยากที่จะมีผู้ปฏิบัติได้เสมือนนั้น สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นสูงยิ่งนัก" หลวงพ่อเกษมท่านเจริญวิปัสสนาด้วยถือสันโดษเป็นที่ตั้ง ใช้อำนาจจิต ควบคุมร่างกายเข้าสู่สมาธิภาวนา เบื้องหน้าเชิงตะกอน ท่านไม่ติดรสอาหารเมื่อมีผู้นำมาถวาย แม้อาหาร จะเสียจนราขึ้น ถ้าหลวงพ่อท่านยังมิได้แผ่เมตตา ท่านก็จะรับประเคนบาตรแล้วแผ่เมตตาให้ หลวงพ่อ เป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ และเมตตาธรรมสูงส่ง ท่านหมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส และเปี่ยมล้นด้วยบารมี ทุกวันนี้ หลวงพ่อยังเป็นดุจร่มโพธิ์ร่มไทรที่ให้ความร่มเย็นแก่พวกเราทุกคน
    ประวัติและเรื่องราวต่าง ๆ ของท่าน จึงถูกบันทึกเพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ได้รับรู้ถึงในยุคปัจจุบัน ประวัติบางตอนของ ครูบาศรีวิชัย ตอนหนึ่งกล่าวว่า ท่านครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ว่า จะมีตนบุญมาเกิดที่ลำปาง ครั้นต่อมาครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพไป โดยทิ้งคำพยากรณ์นี้ไว้ให้ชาวลำปางได้เฝ้ารอคอยการมาจุติของตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ จนเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี ก็ยังไม่ปรากฏ แต่ชาวลำปางก็ยังเชื่อในคำพยากรณ์ของครูบาศรีวิชัย
    เมื่อปี พ.ศ.2455 ได้มีครอบครัว เชื้อเจ้าผู้ครองนครลำปาง หรือเขลางค์นครในอดีต หัวหน้าครอบครัว คือ เจ้าหนูน้อย ณ ลำปาง ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ รับราชการเป็นปลัดอำเภอ ภรรยาชื่อ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปางทั้งสองเป็นหลานเจ้าของพ่อบุญวาทย์ วงศ์มานิตย์ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย
    ครอบครัวนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านท่าเก๊าม่วง ริมแม่น้ำวัง อ.เมือง จ.ลำปาง อยู่กินกันมาอย่างมีความสุขในที่สุดเจ้าแม่บัวจ้อนได้ตั้งครรภ์ และพอถึงกำหนดคลอด ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวดร.ศ.131 ค.ศ.1912 เจ้าแม่บัวจ้อนให้กำเนิดทารกเพศชาย เป็นลูกคนแรกของครอบครัว
    ขณะนั้นไม่มีใครทราบกันเลย ตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว บิดามารดาก็ได้ตั้งชื่อทารกนั้นเกษม ณ ลำปาง เพราะเด็กชายเกษม ณ ลำปาง ได้เกิดมาในเชื้อสายของเจ้าทางเหนือ จึงได้รับการยกย่องของคนทั่วไป ทุกคนต่างเรียกกันว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง หลังจากที่ได้คลอดบุตรมาได้ไม่กี่ปี เจ้าแม่บัวจ้อนได้ให้กำเนิดทารกอีกคน แต่เป็นเพศหญิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องของ เจ้าเกษม สืบสายเลือด แต่ทว่าเจ้าแม่น้อยคนนี้วาสนาน้อย ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่มีโอกาสได้รูว่าพี่ชายของเธอคือ ตนบุญ ที่ชาวลำปางรอคอยเป็นสิบ ๆ ปี
    ข้อมูลตรงนี้ คุณพัลลภ ทิพย์วงศ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่เกษม โดยคุณแม่ของคุณพัลลภ เป็นพี่สาวแท้ ๆของโยมแม่หลวงปู่ ได้ทักท้วงมาว่า ที่แท้จริงแล้ว เจ้าแม่บัวจ้อน ได้ให้กำเนิดทารกน้อยอีกคนหนึ่ง เป็นเพศชาย ชื่อ "สวาสดิ์" และได้เสียชีวิตแต่เล็ก โดยมีหลักฐานใบเกิดเก็บไว้กับญาติใกล้ชิด ระบุชื่อ เพศ วันเดือนปีเกิด คือ เกิดเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ร.ศ. ๑๓๔ ตรงกับวันพุธ แรม ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๗๗ จึงได้ทักท้วง เพื่อให้ผมแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง จึงต้องขอขอบคุณ คุณพัลลภ ไว้ ณ ที่นี้ (อ.เล็ก พลูโต - ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗)
    เมื่อวัยเด็ก เจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนมีลักษณะค่อนข้างเล็กบอบบาง ผิวขาวแต่ดูเข้มแข็ง คล่องแคล่ว และมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นเด็กที่ชอบซน คืออยากรู้อยากเห็น เมื่อถึงวัยเรียน เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้รับการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ อ.เมือง จ.ลำปาง สมัยนั้นเปิดเรียนชั้นสูงสุดแค่ชั้นประถมปีที่ 5 เท่านั้น เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้ศึกษาจนจบชั้นสูงของโรงเรียน คือชั้นประถมปีที่ 5 ใน พ.ศ.2466 ขณะนั้นอายุ 11 ปี
    เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้เรียน อยู่บ้าน 2 ปี ใน พ.ศ.2468 อายุขณะนั้นได้ 13 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยบรรพชาเป็นสามเณร เนื่องในโอกาสบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว ครั้นบวชได้เพียง 7 วันก็ลาสิกขาออกไป ต่อมาอีก 2 ปี ราว พ.ศ.2470 ขณะนั้นมีอายุ 15 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่ง โดยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบุญยืน จ.ลำปาง เมื่อบรรพชาแล้วสามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดบุญยืนนั่นเอง สามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง เรียนทางด้านปริยัติศึกษาธรรมะจนถึง ปี พ.ศ.2474 สามเณรเจ้าเกษม ก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ครั้นมีอายุได้ 21 ปี อายุครบที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ.2475 ณ พัทธสีมาวัดบุญยืน โดยมีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระ ธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอากาสวัดบุญวาทย์วิหาร ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคุณเจ้าท่านพระครูอุตตรวงศ์ธาดา หรือที่ชาวบ้านเหนือรู้จักกันในนาม ครูบาปัญญาลิ้นทอง เจ้าอาวาสวัดหมื่นเทศ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดลำปางในขณะนั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และยังพระเดชพระคุณ ท่านพระธรรมจินดานายก(อุ่นเรือน) เจ้าอาวาสวัดป่าดั๊วเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เขมโก แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม
    หลังจากได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว พระภิกษุเกษม เขมโกก็ได้ศึกษาทางด้านภาษาบาลี ซึ่งเป็นการศึกษาปริยัติอีกแขนงหนึ่ง ที่สำนักวัดศรีล้อม สมัยนั้นก็มีอาจารย์หลายรูป เช่น มหาตาคำ พระมหามงคล เป็นครูผู้สอน และยังได้ไปศึกษาที่สำนักวัดบุญวาทย์วิหาร ซึ่งมีพระมหามั่ว พรหมวงศ์ และพระมหาโกวิทย์ โกวิทญาโน เป็นครูสอน
    ในเวลาเดียวกันนั้น พระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก ก็ได้ไปศึกษาทางด้านปริยัติ ในแผนกนักธรรมต่อที่สำนักวัดเชียงราย ครูผู้สอนคือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระเทพวิสุทธิโสภณ ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดลำปางสมัยนั้น ปรากฎว่าพระภิกษุเจ้าเกษมเขมโก ก็สามารถสอบนักธรรมชั้นเอกได้ในปี พ.ศ.2479 ส่วนทางด้านการศึกษาบาลีนั้น ท่านเรียนรู้จนสามารถเขียนและแปลได้เป็น (มคธ) เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกองค์ต่างเข้าใจว่า พระภิกษุเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น
    เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติพอควรแล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้โดยไม่หลงทาง ท่านจึงหันมาปฏิบัติต่อไปจนแตกฉาน แค่นั้นยังไม่พอ พระภิกษุเกษม เขมโก ได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ จนกระทั่งได้ทราบข่าวภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา ภิกษุรูปนี้ คือ ครูบาแก่น สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดประตูป่อง
    ครูบาแก่น สุมโน เป็นพระภิกษุสายวิปัสสนา ถือธุดงค์เป็นวัตร หรือที่เรียกกันว่า พระป่า หรือภาษา ทางการเรียกว่า พระภิกษุฝ่ายอรัญญวาสี ตอนนั้นครูบาแก่น ท่านได้ธุดงค์แสวงหาความวิเวกทั่วไป ยึดถือป่าเป็นที่บำเพ็ญเพียร นอกจากมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนาแล้ว ท่านยังเก่งรอบรู้ในด้านพระธรรมวินัยอย่างแตกฉานอีกด้วย
    พระภิกษุเกษม เขมโก จึงเดินทางไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ และได้อธิบายความต้องการที่จะศึกษาในด้านวิปัสสนาให้ครูบาแก่นฟัง ครูบาแก่น สุมโน เห็นความตั้งใจจริงของภิกษุเกษม เขมโก ท่านจึงรับไว้เป็นศิษย์ และได้นำภิกษุเกษม เขมโก ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวก และบำเพ็ญเพียรตามป่าลึกตามที่ภิกษุเกษม เขมโก ต้องการ จึงถือได้ว่า ครูบาแก่น สุมโน รูปนี้เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานรูปแรกของ พระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก
    ดังนั้น พระภิกษุเกษม เขมโก จึงได้เริ่มก้าวไปสัมผัสชีวิตของภิกษุฝ่ายอรัญญวาสี ประกอบกับจิตของท่านโน้มเอียงมาทางสายนี้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องลำบากสำหรับในการไปธุดงค์ กลับเป็นการได้พบความสงบสุขโดยแท้จริง กับความเงียบสงบ ซ้ำยังได้ดื่มด่ำกับรสพระธรรมอันบังเกิดท่ามกลางความวิเวก พระภิกษุเกษม เขมโก จึงมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โดยมีครูบาแก่นแนะอุบายธรรมอย่างใกล้ชิด ระหว่างท่องธุดงค์แสวงหาความวิเวกในที่สงัดตามป่าเขาและป่าช้าต่าง ๆ การฉันอาหารในบาตร คือ อาหารหวานคาวรวมกัน เรียกว่า ฉันเอกา ไม่รวมอาสนะกับสงฆ์อื่น ฉันมื้อเดียว ช่วงบ่ายก็จะเดินจงกรม เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ พร้อมกำหนดจิตจนกระทั่งถึงเย็น เมื่อเสร็จจากการเดินจงกรม ก็กลับมานั่งบำเพ็ญภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงประมาณ 5ทุ่ม เสร็จจากการบำเพ็ญภาวนาก็สวดมนต์ทำวัตรเย็น ในตอนดึกก่อนจำวัดท่านก็ไม่นอนเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ท่านจะหมอบเท่านั้น และท่านจะทำเป็นกิจวัตร คือการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    จนกระทั่งถึงช่วงเข้าพรรษา ที่พระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราว ต้องอยู่กับที่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะเป็นวัดอาราม หรือถือเอาป่าช้าเป็นวัด โดยกำหนดเขตเอาตามพุทธบัญญัติ ดังนั้นภิกษุเจ้าเกษม เขมโก จึงต้องแยกทางกับอาจารย์ คือ ครูบาแก่น ตั้งแต่นั้นมาภิกษุเจ้าเกษม เขมโก กลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออกพรรษาภิกษุเกษม เขมโก ก็ติดตามอาจารย์ของท่าน คือครูบาแก่น ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ท่านถือปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา
    ต่อมาเจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืนถึงแก่มรณภาพลง ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนว่าง ทางคณะสงฆ์จึงต้องเลือกภิกษุที่มีคุณสมบัติมาปกครองดูแลวัด เพื่อเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อไป คณะสงฆ์จึงได้ประชุมกันและต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะเป็นภิกษุเกษม เขมโก เพราะเป็นพระที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัด เพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านก็เห็นว่าบัดนี้ทางวัดบุญยืนมีภารกิจต้องดูแล ก็ถือว่าเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงไม่อาจจะดูดายภารกิจนี้ได้ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน
    ครูบาเจ้าเกษม เขมโก อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.2492 ท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ทำหนังสือลาออกกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าพระอินทรวิชาจารย์ (ท่านเจ้าคุณอิน อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง) แต่ก็ถูกท่านเจ้าคุณยับยั้งไว้ ครูบาเจ้าเกษม เขมโก จึงจำใจกลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืนอีกระยะหนึ่งนานถึง 6 ปี ท่านคิดว่าควรจะหาภิกษุที่มีคุณสมบัติมาแทนท่าน เพราะท่านอยากจะออกธุดงค์ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน โดยยื่นใบลากับคณะสงฆ์ในเขตปกครอง ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงเดินทางไปลาออกกับเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งอยู่ที่วัดเชียงราย แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่อนุญาต
    เรื่องการลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสของครูบาเจ้าเกษม เขมโก นี้ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องแปลกพิสดาร แม้แต่การสละตำแหน่งลาภยศ ท่านยังต้องประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ นานา ไม่เหมือนกับพระองค์อื่น ๆ ที่ฟันฝ่าเพื่อแสวงหาลาภยศ เมื่อท่านลาออกไม่สำเร็จประมาณปี พ.ศ.2492 ก่อนเข้าพรรษาในปีนั้น หลวงพ่อก็หนีออกจากวัดบุญยืนก่อนเข้าพรรษา เพียงวันเดียวโดยไม่มีใครรู้ พอเช้าวันรุ่งขึ้นเข้าพรรษา หมู่ศรัทธาก็นำอาหารมาเตรียมถวายในวิหาร ทุกคนรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหลวงพ่อเกษม จึงเกิดความวุ่นวายเที่ยวตามหาตามกุฏิก็ไม่พบหลวงพ่อเกษม พอมาที่ศาลาทุกคนเห็นกระดาษวางบนธรรมาสน์ เป็นข้อความที่หลวงพ่อเกษมเขียน ลาศรัทธาชาวบ้านยาวถึง 2 หน้ากระดาษ
    ข้อความบางตอนที่จำได้มีอยู่ว่า ทุกอย่างเราสอนดีแล้ว อย่าได้คิดไปตามเรา เพราะเราสละแล้วการเป็นเจ้าอาวาส เปรียบเหมือนหัวหน้าครอบครัวต้องรับผิดชอบภาระหลายอย่าง ไม่เหมาะสมกับเรา เราต้องการความวิเวกจะไม่ขอกลับมาอีก แต่พวกชาวบ้านก็ไม่ละความพยายาม เพราะชาวบ้านเหล่านี้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อพอรู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหนเมื่อรวมกันได้ 40-50 คน ก็ออกเดินทางไปตามหาหลวงพ่อเกษม และไปพบหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน หลวงพ่อเกษมได้ปฏิบัติธรรมที่นั่น พวกชาวบ้านได้อ้อนวอนหลวงพ่อขอให้กลับวัด บางคนร้องไห้เพราะศรัทธาในตัวหลวงพ่อมาก แต่หลวงพ่อเกษมท่านก็นิ่งไม่พูดไม่ตอบ จนพวกชาวบ้านต้องยอมแพ้ ตลอดพรรษาปี 2492 หลวงพ่อเกษมท่านก็อยู่ที่ศาลาวังทานโดยไม่ยอมกลับวัดบุญยืน
    พวกชาวบ้านจึงพากันเข้าไปพบโยมแม่ของหลวงพ่อ โยมแม่รักหลวงพ่อเกษมมาก เพราะท่านมีลูกชายคนเดียว จึงให้คนพาไปหาหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน โดยมี (เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง) ตอนนั้นยังบวชเป็นสามเณรอยู่ โยมแม่ได้ขอร้องให้หลวงพ่อเกษมกลับวัด แต่หลวงพ่อกลับบอกโยมแม่ว่า
    แม่เฮาบ่เอาแล้ว เฮาบ่เหมาะสมกับวัด เฮาชอบความวิเวก เฮาขออยู่อย่างวิเวกต่อไป เฮาจะไปอยู่ที่ป่าเหี้ยวแม่อาง จนทำให้โยมแม่หมดปัญญา ไม่รู้จะขอร้องยังไง ผลที่สุดก็ต้องตามใจหลวงพ่อ วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเกษมก็ออกจากศาลาวังทานเดินทางไปบ้านแม่อางด้วยเท้าเปล่า เช้ามืดไปถึงป่าเหี้ยวแม่อางก็ค่ำพอดี ฝ่ายโยมมารดาพอกลับมาบ้านก็เกิดคิดถึงพระลูกชาย เพราะเกรงว่าพระลูกชายจะลำบากจึงออกจากบ้านไปตามหาพระลูกชาย โดยมีคนติดตามไปด้วยชื่อ โกเกตุ โยมแม่สั่งให้โกเกตุขนของสัมภาระเพื่อจะไปอยู่บนดอย ของที่เหลือในร้านเพชรพลอยแจกให้ชาวบ้านจนหมดเกลี้ยง ไม่เอาอะไรเลย นอกจากของใช้ที่จำเป็นบางอย่างเท่านั้น
    เกตุ พงษ์พันธุ์ ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดก็พาโยมแม่ไปส่งที่แม่อาง และพวกชาวบ้านเห็นโยมแม่ของหลวงพ่อมาก็สร้างตูบกระท่อมอยู่ข้างวัดแม่อาง ส่วนหลวงพ่อเข้าบำเพ็ญภาวนาในป่าช้าบนดอยแม่อาง บำเพ็ญภาวนาบารมีวิปัสสนาปฏิบัติธรรมได้หนึ่งพรรษา ทิ้งให้โยมแม่ซึ่งอยู่กระท่อมตีนดอยก็คิดถึงพระลูกชาย โดยแม่ก็ตามไปหาที่ป่าช้าข้างเนินดอย ก็มีชาวบ้านแถวนั้นอาสาสร้างตูบกระท่อมให้โยมแม่พักใกล้ ๆ ที่หลวงพ่อปฏิบัติ ธรรม โดยมแม่บัวจ้อนได้พำนักที่ข้างเนินดอยได้พักหนึ่ง ก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้ป่า ชาวบ้านก็ไปตามหมอทหารมาฉีดยารักษาให้ แต่โยมแม่ท่านมีสติที่เข้มแข็ง และยังได้สั่งเสียเณรเวทย์ว่ามีเงินซาวเอ็ดบาท ให้เก็บไว้ถ้าโยมแม่ตายให้เณรไปบอกลุงมา เมื่อสั่งเสร็จโยมแม่ก็หลับตา เณรเวทย์ก็ไปบอกหลวงพ่อเกษม หลวงพ่อก็มา ท่านได้นั่งดูอาการของโยมแม่ท่านนั่งสวดมนต์ เป็นที่น่าแปลกใจขณะที่หลวงพ่อสวดมนต์ มีผึ้งบินมาวนเวียนตอมไปตอมมาสักครู่ใหญ่ ๆ โยมแม่ก็ถอดจิตอย่างสงบ นัยน์ตาหลวงพ่อเกษมมีน้ำตาค่อย ๆ ไหลขณะที่ท่านแผ่บุญกุศลให้กับโยมแม่ ท่านยังเอ่ยว่า “แหม เฮาว่า เฮาจะบ่ไห้(ร้องไห้) แล้วนา…”
    ศพของโยมแม่บัวจ้อน มีเณรเวทย์และชาวบ้านได้มาช่วยจัดการจนเสร็จพิธี ชาวบ้านช่วยเป็นเงินในสมัยนั้นได้ 700 บาท ถือว่ามาก ศพของโยมแม่บัวจ้อนเผาที่ป่าช้าแม่อาง หลังจากที่เสร็จพิธีงานศพโยมแม่จ้อนแล้ว หลวงพ่อก็สั่งเณรเวทย์ให้กลับไปเรียนธรรมที่วัดบุญยืน อยู่มาไม่นานหลวงพ่อก็จากป่าช้าแม่อางกลับมาบำเพ็ญภาวนาที่ป่าช้าศาลาวังทานอีก เพียงหนึ่งพรรษาท่านก็เดินทางไปอยู่ที่ป่าช้านาป้อ และกลับมาอยู่ประตูม้า ซึ่งก็คือ สุสานไตรลักษณ์ ในปัจจุบัน
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านได้ปฏิบัติธรรมจนเป็นพระที่ขาวสะอาด และเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วประเทศ ศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระไม่ติดยึดใคร ต้องการอะไร ขออะไร ไม่เคยปฏิเสธ จนสังขารของท่านดูแล้วไม่แข็งแรง แต่จิตของหลวงพ่อแข็งแรง และท้ายที่สุด หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ละสังขาร ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลศูนย์ภาคเหนือ จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่ศานุศิษย์ทั่วประเทศ
     
  4. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    จากย่า...สู่หลาน.... ^_^

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    ใส่กรอบพร้อมแขวน... ^_^

    ปล. ย่าผมเวลามอบพระให้ลูกให้หลาน..มักจะเปรยๆเสมอว่า..

    " ย่าให้ไปแขวนไว้คุ้มครองตัวนะ..ไม่ใช่เอาไปเก็บเฉยๆ " ^^


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     
  6. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598


    หลวงปู่ดู่กับในหลวง

    เมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งที่มีข่าว
    ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต
    หลวงปู่เคยเล่าว่า


    ท่านเกิดความสลดสังเวชมาก ว่าคนไทยหลายคน

    "ยังขาดกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อพระเจ้าอยู่หัว"

    ท่านคิดอยู่เสมอว่า

    ทำอย่างไรจะให้คนไทยมีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์


    องค์ท่านเองนั้น ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้
    แม้กาลเวลาล่วงเลยไป
    หลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่ท่านทำอยู่มิได้ขาด
    คือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมา
    ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป

    หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่า

    "เพราะพระเจ้าแผ่นดิน(ร.9) ท่านปฏิบัติ(ธรรม)
    ต่อไปพุทธศานาในเมืองไทยจะเจริญขึ้น
    เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง"

    สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ ยังทรงสังขารอยู่นั้น
    บ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรย
    กับคณะศิษย์ที่ประกอบด้วย "คนตาดี" หลายคนว่า

    "พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง"


    เข้าใจว่าท่านคงหมายถึง กายทิพย์ หรือ บารมี

    ที่ พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวง


    ศิษย์ท่านหนึ่งก็ "เข้าที่" ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า

    "หลวงพ่อเกษมครับ"
    หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า "นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก"

    ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที "หลวงพ่อนั่นแหละครับ"

    ท่านมองหน้าแล้วถาม "ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น"

    ศิษย์จอมซนอธิบายว่า

    "อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง
    แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง"

    เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป...

    นี่คือเรื่องเล่า ที่อาจบอกได้ว่ายังมีอะไร ๆ
    ในโลกที่เราผู้ครองความเป็นปุถุชนยังเข้าไปไม่ถึงอีกมาก
    สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี

    ค่ำของวันหนึงเป็นที่เลื่องลือกันมานานปากต่อปากรุ่นต่อรุ่น
    นานมาแล้วสมัยหลวงพ่อดู่ยังไม่ย่างเข้าวัยชรามากนัก
    มีรถคันหนึงขับเข้ามาในวัดสะแกและมีคน 2 คนลงจากรถมุ่งไปยัง
    กุฎิหลวงปู่ ภายหลังเป็นที่ทราบมาว่าเป็นพ่อกับลูกสาว
    มากราบนมัสการหลวงปู่ โดยมากันเองพร้อมคนขับรถ
    และผู้พ่อใส่แว่นดำ พอมาถึงหลวงปู่ก็ได้จัดแจงรออยู่แล้วเสมือนรู้
    ทั้งๆที่ไม่ได้มีการนัดหมายก่อนมา

    พ่อลูกคู่นั้นได้สนทนากับหลวงปู่ประมาณชั่วโมงจึงได้กราบ
    ลาหลวงปู่ หลวงปู่ได้ให้พร และยังแซวว่า

    "มาแบบเงียบๆนี้และดี เพราะเดี๋ยวคนจะล้นวัด"

    ทั้งหลวงปู่กับพ่อลูกคู่นั้นได้หัวเราะอย่างรู้กัน..

    หลังคุณพ่อและลูกสาวออกมาจากกุฎิหลวงปู่
    คุณพ่อและลูกสาวก็ได้ให้คนขับรถขับมาเทียบหน้าวัด
    พอมาถึงคนลูกสาวก็ได้ลงมาซื้อข้าวแกงกับแม่ค้าแถวนั้น
    โดยผู้พ่อก็ลงมาสมทบด้วย และพูดคุยกับแม่ค้าอย่างไม่ถือตัวและเป็นกันเอง

    ระหว่างนั้นแม่ค้าผู้นั้นก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้
    ช่างคุ้นหน้าเสียจริง จนทั้งคู่ได้กลับขึ้นรถและขับออกไปแม่ค้า
    จึงได้ถึงบางอ้อด้วยความตื้นตัน หลังจากนั้นมีผู้เห็นพ่อลูกคู่นั้น
    ได้มาในลักษณะเดียวกันอีก 2-3 ครั้ง โดยมีบางครั้งผู้พ่อมาคนเดียวก็มี

    พ่อลูกคู่นั้นจะเป็นใครอันนี้ก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดพิจารณา
    ถ้าคิดๆดูคงพิจารณาออกไม่ยาก หากรู้แล้วก็ขอให้ประทับความ
    ซึ้งใจนี้ไว้ในจิตเป็นบุญที่ได้รู้ก็พอ

    แหมก็คนลูกสาว เมื่อวันเปิดพิพิธพันธ์หลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก
    เมื่อปี 2535 ก็ยังมาร่วมงานอยู่เลย


     
  7. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    เหรียญรุ่น ก.เกษม อนุสรณ์ 700 ปีลายสือไทย จัดสร้างโดย คุณสมศักดิ์ ตันติสุนทโรดม ศึกษาธิการจังหวัดสุโขทัย วัตถุประสงค์เพื่อหารายได้สร้างและบูรณะ วิหารวัดไทยชุมพล อันเป็นวัดเก่าโบราณและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดสุโขทัย หลวงพ่อเกษม เขมโก เมตตาอธิฐานจิตปลุกเสกให้ในวันที่ 15 เมษายน 2527 ซึ่งตรงกับวันพญาวัน

    หนึ่งเดียวที่รังสีออร่าแผ่กว้างไกลที่สุด.!!!!!!!!

    นิตยสารโลกทิพย์เล่มหนึ่งได้นำกล้องมาถ่ายภาพออร่าของวัตถุมงคล มีรายชื่อพระเครื่องหลายอย่าง อย่างสมเด็จวัดระฆัง(ไม่ทราบว่ารุ่นไหน)ถ่ายภาพเห็นออร่าไกลถึง 2 เมตรเป็นรัศมีรอบวัตถุมงคล มีเพียงพระเครื่องเกจิรูปหนึ่งที่ลองนำมาถ่ายภาพออร่าที่ปรากฎรัศมีไปไกลถึง 10 เมตร และเป็นเพียงวัตถุมงคลหนึ่งเดียวที่มีรัศมีไกลขนาดนั้น....
    ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เลือกพระเครื่องมาทดสอบ ไม่ได้ทดสอบมากมายอะไร พระเกจิรูปนี้คือ หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง และวัตถุมงคลรุ่นที่นำมาทดสอบ คือเหรียญรุ่น ๗๐๐ปีลายสือไทย ปี๒๕๒๖
    เมื่อผู้จัดสร้างนำความขึ้นกราบเรียนขออนุญาตจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่น 700 ปี ลายสือไทย หลวงพ่อเกษมจึงอนุมัติอนุญาตให้สร้างในทันทีด้วยความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นที่สุด ด้วยหลวงพ่อเกษมท่านมีความเคารพในตัวหนังสือไทยมาแต่แรกเริ่มในฐานะครูบาอาจารย์ ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
    และท่านยังได้พูดกับคนใกล้ชิดก่อนมนต์เหรียญรุ่นนี้ไว้กับปากอีกด้วยว่า
    "พิธีนี้ เราจะเบ่ง(พลังปลุกเสก)เต็มที่..!!!!!"

    เหตุที่700 ปีลายสือไทย หลวงพ่อเกษมตั้งใจปลุกเสกรุ่นนี้มาก เพราะท่านรักตัวหนังสือ และให้ความเคารพมากๆ
    จากภาพที่นำมาให้ชม เป็นภาพหลวงพ่อก้มเก็บกระดาษเก่าๆที่มีตัวหนังสือ ท่านบอกว่าไม่อยากให้ใครมาเหยียบย่ำ สมัยที่ท่านอยู่จะเห็นกระดาษหนังสือต่างๆห้อยตามต้นไม้เต็มไปหมด เพราะท่านไม่อยากให้ใครทำลายและเหยียบตัวหนังสือ แสดงถึงว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีจิตใจสูงส่งและละเอียดรอบคอบดีจริงๆ


    [​IMG]


    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  8. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  9. คนอวดพระ

    คนอวดพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +6,598
    [​IMG] [​IMG]


    :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     
  10. บางแสน

    บางแสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,534
    ค่าพลัง:
    +8,269
    พระที่พ่อเคยห้อยคอและมีประสบการณ์ และตกทอดมาถึงผม ผมให้น้องชายไป ภายหลังน้องชายนำมามอบให้ผมเก็บรักษา
    พระของขวัญหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    [​IMG]
     
  11. jaguarnusing

    jaguarnusing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    4,901
    ค่าพลัง:
    +15,583
    เพิ่งกลับมาจากงานวัดแขก คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก ไว้จะนำรูปมาให้ชมจร้า
     
  12. เอกสุกิตติมา

    เอกสุกิตติมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,814
    กึ่งโชว์กึ่งถามครับ ว่าเหรียญพระอาจารย์ตี๋เล็กดูดีและจารแท้ไหมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    เหรียญโบสถลั่น ดังตั้งแต่ตอนเสก
    เหรียญห้าเสือ หาจนวันนี้ก็ยังไม่แจอถูกใจ
    สองเหรียญนี้เยี่ยมจริงๆครับ
     
  14. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    โชคดีจริงๆ ครับ ที่ได้พบกับท่าน
     
  15. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    องค์นี้เนื้อหาจัดจ้านได้ใจมากๆครับ
     
  16. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    เหรียญเลื่อนสองเหรียญนี้น่าสนใจมากครับ
    เพราะเป็นของดีของเกจิที่น่าเลื่อมใส
    สำหรับของปี 08 นั้น
    สำหรับผมรู้สึกว่าราคาไกลเกินเอื้อมแล้ว
     
  17. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    เหรียญนี้ดีจังครับ :cool:
    แขวนองค์เดียวครบเครื่องเลย
     
  18. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    กราบครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ
    อรุณสวัสดิ์เช้าวันพฤหัสบดีครับพี่้น้อง
    อากาศเย็นตอนเช้าๆ สายมาร้อนแฮะ รักษาสุขภาพกันนำเด้อ[​IMG]
     
  19. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    อรุณสวัสดิ์ครับ พี่พลศิริ
    ตื่นแต่เช้าทุกวันเลยนะครับ
     
  20. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    เหรียญมังกรคู่ พ.ศ. 2517
    โค๊ตวัด บล็อคหางเล็ก
    หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน ปราจีนบุรี


    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...