แวะเข้ามาอ่าน ก็เลยเจอ เรื่องเล่า ของ คุณ Raquaz พระเอกที่ ถ่ายรูปเรื่อง วัดวรเวษฐ ทั้งก่อน และหลังการรื้อ ดาบสะกดวิญญาณ..ที่พวกเราต้องขอบคุณ เขา. .ถ้าไม่มีเขา..เราจะไม่รู้ว่า อีกฝ่าย กำลัง ทำอะไร อย่างไร ขณะนี้ สงคราม เรื่อง วิญญาณ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช ได้ เปลี่ยนมารบกันบนจอ นี้ แล้ว ศัตรู ปรากกฏตัวออกมาต่อ ต้าน และ สู้กับเราอีกแล้ว อย่างน้อย 2 คน ลองอ่านไล่กระทู้ดู ก็จะรู้ว่า เป็นใคร เพ่งดู กำลังจิต แล้ว...ไม่เท่าไหร่ แต่มีความคิด เรื่องสงคราม แรง คุณRaquaz เพ่งดูแล้ว เห็นตาที่สามใกล้จะคลอดเต็มที จึงไม่เปิดให้..เพราะ วันที่ 9 กย.2550 พอไปเจอ ดร. ชูศักดิ์ เปิด จักระ ที่ 6 ให้..ตาที่สามก็.จะโป๊ะเชะเอง ผมไม่ต้องออกแรง ตาที่สามเมื่อเปิด นานๆๆก็จะเมื่อย จะต้องรู้วิธี ปิด-เปิด ตา เลยสอนให้ไป ใหม่ๆๆ มันไม่ชิน มันก็ปิดๆๆ เปิดๆๆ..งง คือไม่รู้ว่า มันปิด หรือ เปิด ก็จะกลายเป็นเรื่องตลก ตามที่เล่า ตอนนั้น มีคนมีพลัง จิตสูง สัก 7-8 เห็นจะได้ สิ่งที่คุณRaquaz เล่า ยังไม่หมด..ขยักไว้ เห็นไพ่ แล้ว..แต่ยังไม่หงายให้คนอื่นรู้. ก็ดีครับ..เป็นมารยาท ที่อาจารย์ ให้เห็นก่อน แล้วไม่ปากโป้งไปบอกใคร วันที่ 9 กย. 2550 ค่อยมาดูกัน.. เออ!!..ลืมบอกไป..การจะปิด จะเปิด ตาที่สาม มีคาถา อยู่ สี่ คำ..ง่ายๆๆ ใครตาที่สามเปิดแล้ว..จะบอกให้ บอกไปตอนนี้.ยังไม่มีประโยชน์
ห้าตา เหรอ 1. ตาซ้าย 2. ตาขวา 3. ตากุ้งยิง 4. ตาต้อ 5. ตาแฉแหม (เออ..ภาษาอะไร..แปลว่า อะไร..ใครรู้มั่ง..จำเขามาพูด..น่ะ) 555
เด็กอนุบาลก็รู้สึกปวดที่ตาที่สามเวลาดูรูปที่มือพระ คุณ raquaz ครับ เด็กอนุบาลก็รู้สึกปวดตึงหน่วงๆที่บริเวณตาที่สามเช่นกันเมื่อมองที่มือขององค์พระ อาการนี้มักจะเป็นเวลามองรูปองค์พระ มองภาพอภินิหาร ภาพพระเกจิ และตอนที่จับภาพพระภาวนาเป็นพุทธานุสสติครับ ถ้าคุณหรือท่านผู้รู้ท่านอื่นพอจะให้วิทยาทานเรื่องนี้กับเด็กอนุบาลเรื่องที่มาของอาการนี้ได้ก็จะยินดีมากครับ
Dear Professor The Third Eyes, 5. ตาแฉแหม (เออ..ภาษาอะไร..แปลว่า อะไร..ใครรู้มั่ง..จำเขามาพูด..น่ะ) Language: Teo Chou, a Chinese dialect Meaning: blind I know that you know, just kidding. For sir with love.
คร๊าบบบบบบบบ!!! ใคร มี 5 ตา ยกมือขึ้น เพราะผมเองก็มีเช่นเดียวกัน ครับ จ.ข.ก.ท. ก็มีเหมือนกัน 1. ตาขวากระตุก = ร้าย 2. ตาซ้ายกระตุก = ดี (กระตุกเมื่อไหร่ทรัพย์ใหญ่มาทุกที คร๊าบ) 3. ใส่แว่น ด้วย บวก อีก 2 (ชอบบอก ว่า พวก 4 ตา ) 4. ตาที่สาม รวม กันได้ 5 ตา พอดี อ่ะ ครับ (b-uh) (b-uh) (b-uh)
โอ้ว!!แม่เจ้า คุณraquaz ตาที่3ใกล้จะเปิดแล้วหรือครับ95%แล้วดีใจด้วยนะครับ มันเป็นผลของความพยายามของคุณแน่ๆเลย ส่วนของผมตอนนี้ออกอาการตาถั่วหน่อยๆแล้วครับเพราะปวดตา+ปวดหัวบ่อยๆครับเลยอาศัยนั่งสมาธิสวดมนต์ไหว้พระก็สบายใจดี แล้วไปเจอกันวันอาทิตย์นะครับท่านว่าที่คุรุน้อย (แต่ตัวใหญ่)หุ หุ
น่าจะเป็นอาการที่ตาที่3 เริ่มถูกใช้น่ะครับ ผมปัจจุบันเวลานั่งสมาธิก็ปวดตุบๆ หน่วงๆเหมือนกัน รอให้ผู้ที่เก่งกว่ามายืนยันดีกว่าครับ ผมยังมือใหม่อ่ะ อิอิ เอ แต่จากข่าวอีกแหล่งหนึ่ง ได้ยินว่าตาที่3ของคุณ A_wiwat เปิดไปนานแล้วนี่ครับ ดีใจด้วยเช่นกัน ผมว่าพวกเราโชคดีนะครับที่ได้เจออาจารย์ดีๆและสหายธรรมดีๆอย่างทุกท่านเช่นนี้ เพราะพูดได้เต็มที่ว่าถ้าไม่ได้ทุกท่านมา ผมก็คงไม่มาถึงตรงจุดนี้ได้แน่นอนเลยครับ ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ ว่าแต่ ที่หลายๆท่านพลังสูงๆกัน เพราะมีมากกว่า 3 ตา รึเนี่ย แต่คงต้องยกเว้นผมไว้สักคนนึงล่ะนะ อิอิ
หนทาง ยังอีกยาวไกลครับ แต่ถ้าสำเร็จแล้ว ขอในตระกร้า สักลูก2ลูกนะครับ อิอิ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย หิว
คุณ Bajang ครับคุณ raquaz ครับความจริงแล้วตอนนี้ผมมี4ตาครับ ตาเนื้อ2ตา+แว่นตา แถมเริ่มจะเป็นตาถั่วอีกตะหาก พักไม่รู้เป็นไรเดินแล้วขาชอบจะพาเท้า เข้าไปทักทายกับอุนจิเจ้าตูบเลื่อยๆ (b-uh)
นอกจากตาที่5 แล้ว บางทีคุณA_wiwat อาจจะต้องการจมูกที่2 เพื่อช่วยเหลืออีกด้วยนะเนี่ย ฮ่าๆ ว่าไปนั่น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อตาที่ 5เปิดแล้ว จะหายซุ่มซ่าม ชนโน่นชนนี่ รึป่าว เหอๆ
สนทนาธรรม กับหลวงน้อง หลวงน้อง เอ หรือจะเรียกว่าหลวงเพื่อนดี หลวงน้ององค์นี้ เป็นเพื่อนผมในสมัยมัธยมครับ ไม่ได้เรียนโรงเดียนเดียวกัน แต่ได้รู้จักกัน ตั้งแต่รู้จักกัน พี่ๆของเขาแต่ละคนไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเท่าไร ชอบมาขอเงินพ่อแม่ และขอเงินกับน้องตัวเองอย่างเขา ทำให้เขาต้องเรียนไปทำงานไป เพื่อที่จะหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว เขาเคยพูดว่า เขาเคารพและรักผมมากกว่าพี่จริงๆที่เขามีเสียอีก เราก็เลยเหมือนเป็นพี่น้องกันไป สมัยผมไปเรียนที่ญี่ปุ่นได้สัก 2 ปี เราคุยกันผ่านเมสเซนเจอร์ประจำ วันนั้นเขามาแจ้งว่าเขาจะบวช สักพรรษานึง ถามว่าทำไม ก็ตอบมาแค่ว่า หาความสงบใส่ตัว ที่บ้านปัญหาเยอะ เราก็อนุโมทนาบุญด้วย เพราะเนื่องจากไม่สะดวก จึงไม่ได้ไปร่วมงานบวช จนกระทั่งปัจจุบัน หลวงน้องก็ยังไม่สึก แรกๆ ที่ผมยังไม่ได้เข้ามาทางธรรมเนี่ย ผมก็แกล้งบ่นว่า เหงาๆนะ เพราะหลวงน้องดันไปบวชเสียไกลโยชน์ ไปมาหาสู่ลำบากมากมาย หลังๆเนี่ย เห็นดีเห็นงาม แบบว่า เดี๋ยวจะตามไปบวชด้วย ฮ่าๆ ขอให้เบื่อโลกนี้มากๆก่อนเถอะนะ วันนี้ ได้มีโอกาสคุยกับท่านอีกครั้ง หลังจากที่ท่านไม่ได้คุยผ่านโปรแกรมทางเนทมานาน(เพราะวันนี้ท่านต้องอัพเดทคอมของทางวัดพอดี) รู้สึกว่าได้ความรู้มากมายจากการสนทนาในครั้งนี้ จึงได้นำมาแบ่งปันให้กับทุกท่านครับ จะแบ่งเป้นหัวข้อๆนะครับ เพื่อจะได้ไม่ให้รู้สึกยาวเกินไป
เกี่ยวกับสมาธิ ผม: เวลาทำสมาธิเนี่ย การจะเปลี่ยนจากขณิกสมาธิ เป็นอุปจาระสมาธิเนี่ย เราต้องกำหนดจิตอย่างไรเหรอครับ.<O หลวงน้อง:<O ไม่ต้องเลย<O</O หลวงน้อง:<O</O การทำสมาธิ ที่ถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด คือไม่ต้องทำอะไร <O</O หลวงน้อง:<O ปล่อยให้จิตมันเป็นไปตามสภาวะ<O หลวงน้อง:<O เพราะถ้าเราทำ หรือคิดจะทำเมื่อไหร่จิตมันจะไม่เป็นธรรมชาติ<O ผม:<O ปัจจุบัน ผมเริ่มนั่งสมาธิบ้างน่ะครับ แต่ยังนั่งได้ไม่นานเท่าไร<O หลวงน้อง:<O ดีมากๆๆ<O หลวงน้อง:<O นั่งสมาธิ ไม่ต้องอยากให้นาน <O ผม:<O และดูเหมือนจะยังได้แค่ปิติ คือรู้สึกตัวโยกบ้างฯลฯ<O ผม: <O รู้สึกว่าจะยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไร<O หลวงน้อง:<O อื มมมม<O ผม: <O ไม่ทำอะไรเลยดีกว่าเหรอครับท่าน<O หลวงน้อง:<O จะบอกว่าไม่ทำก็ไม่ได้<O หลวงน้อง:<O จะบอกว่าทำก็ไม่ได้อีก<O หลวงน้อง:<O เอาอย่างนี้<O หลวงน้อง<O</O เวลาเราจะนั่งสมาธิ <O หลวงน้อง:<O ให้เราทำความเข้าใจกับตัวเองก่อน<O หลวงน้อง:<O ว่าเราจะนั่ง เพื่อ จะนั่ง<O หลวงน้อง:<O แล้วก็กำหนด ดูอะไรก็ได้ ที่เราใช้เป็นบาทฐาน <O หลวงน้อง:<O จะดูลม ก็ดูไปเรื่อยๆ<O หลวงน้อง:<O ที่พูดไว้ ก็เผื่อ ไว้ก่อน <O หลวงน้อง:<O เพราะโดยส่วนมาก คนที่นั่งสมาธิให้ๆ พอถึงขั้นปิติ มันจะมีความสุขบ้าง เล็กๆๆ คนส่วนใหญ่ ก็จะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่อง ดี สุดยอด ก็จะพยายาม ยึดเอา ปิติ เป็นอารมณ์ทีนีละ จะไม่เจอปิติอีกเลย ตลอดชีวิต<O หลวงน้อง:<O เวลาพี่มง (ผมเอง) นั่งบริกรรมอะไร<O หลวงน้อง:<O พุทโธหรือว่า นับเลข<O หลวงน้อง:<O หรือว่า ดูลม<O ผม:<O ก็หายใจเข้าพุท หายใจออก โท เท่านั้นเองครับ<O หลวงน้อง:<O เรื่องนี้สำคัญมากๆๆ หลวงน้อง:<O ดีๆๆ<O หลวงน้อง:<O แต่อยากจะให้ลอง อีกแบบนึง<O หลวงน้อง:<O พุทโธ ก็ดี อย่แล้ว<O หลวงน้อง:<O แต่ลองทำตามคัมภีร์ วิสุทธิมรรคดู<O
เกี่ยวกับสมาธิ 2 ผม: ทำอย่างไรครับ<O หลวงน้อง:<O จริงๆๆพูทโธ มันสั้นเกินไป<O หลวงน้อง: <Oทำให้จิตใจ หลงได้ง่าย บางทีเราพุทธอยู่ แต่จิตมันไม่ได้อยู่กับพุทโธ<O หลวงน้อง:<O ให้ทำแบบนี้คือเราดูลมหายใจเหมือนเดิม แต่ให้นับเลขแทน หลวงน้อง:<O เข้านับ 1 ออก นับ 1<O เข้านับ 2 ออกนับ2<O ไปเรื่อยๆๆ จนถึง 5<O หลวงน้อง:<O จากนั้น กลับมานับ เข้า1 ออก1 ใหม่ ไปเรื่อยๆๆรอบ2 นี่นับให้ได้ ถึง 6<O หลวงน้อง:<O รอบ 3 ก็ทำเหมือนเดิมแต่ให้ถึง 7<O หลวงน้อง:<O รอบ 4 ก็ให้ได้ ถึง 8<O หลวงน้อง:<O รอบที่ 5 ก็ให้ได้ ถึง 9<O หลวงน้อง:<O ต่อไปก็ย้อนกลับมา เริ่ม 5 ให้ <Oหลวงน้อง:<O 5 ใหม่<O หลวงน้อง:<O พอจะเข้าใจมั้ย <O ผม:<O หมายความว่า<O หลวงน้อง:<O แล้วจะ ตลกตัวเองมากๆๆตรงที่ ถ้าสมาธิไม่ดีพอเชื่อมั้ย คนเกือบ 100% นับ 1 ไม่ถึง 5 <O ผม:<O นับไปให้ถึง 5 และวนกลับมาหนึ่งใหม่ ไป 6 7 8 จนถึง 9 ผม:<O แล้วกลับมาเริ่ม 5 ใหม่เหรอครับ <Oหลวงน้อง:<O ปกติ พี่มง เข้าพุทธออกโธใช่มั้ย <O เปลี่ยนเป็น เข้า 1 ออก 1 <O เข้า2 ออก 2<O เข้า3 ออก3<O เข้า4 ออก4<O เข้า 5 ออก 5<O <O ก็กลับมา เข้า1 ออก 1 ใหม่ <O หลวงน้อง ใช่ๆๆ<O ผม:<O แต่ให้จบที่ เข้า 6 ออก6 ใช่ไหมครับ<O หลวงน้อง:<O ลองดู วิธีนี้ ลองแล้ว ใช้ได้ดีกว่า พุทโธอีกสำหรับคนที่ชอบที่จะบริกรรม พุทโธ นะ<O หลวงน้อง:<O ใช่<O หลวงน้อง:<O วนไปเรื่อยๆๆ <Oหลวงน้อง:<O อย่าให้ ขาด<O หลวงน้อง:<O คืออย่ให้เผลอถ้าเผลอ เมื่อไหร่ ก็เริ่มใหม่ <O ผม:<O จนกระทั่ง เข้า 9 ออก9 <O ผม:<O แล้วก็กลับไปเริ่มที่ เข้า 5 ออก5 ใหม่นะครับ<O หลวงน้อง:<O บางที นั่งไป ครึ่งชั่วโมง แล้ว ยังนับไม่ถึง 9 ซักที มาเริ่มใหม่อยู่นั้นล่ะ<O></O> ผม:<O ก็คือว่า ไม่ให้ไปถึง 10<O หลวงน้อง:<O ใช่แล้ว<O หลวงน้อง:<O เอาแค่ 9 พอ<O หลวงน้อง:<O ธรรมชาติ ของคน 9 แล้วจะต้องไป 10 มันจึงขาดความระวัง เพราะ 9 แล้วไป 1 นี่มันฝืนธรรมชาติ นิดๆ แต่ก็ทำให้เรามีสติมากขึ้น<O หลวงน้อง:<O ก่อนอื่น ต้องถามก่อนนั่งสมาธิ เพื่อ อะไร <O ผม:<O หาความสงบน่ะครับ (แล้วก็เพื่อฝึกทางด้านพลังจิตด้วย แต่คิดว่าเม้มไว้ก่อนดีกว่า ก็เลยยังไม่บอก)<O หลวงน้อง:<O ตอบถูก ปฏิบัติ เป็นตอบผิด นี่ลำบาก<O หลวงน้อง:<O อืมมม<O ผม:<O ช่วงนี้รู้สึกใจไม่สงบยังไงไม่รู้<O หลวงน้อง:<O ถูกนิดนึง<O หลวงน้อง:<O จริงๆๆ แล้ว เรานั่งสมาธิ ก็เพื่อ เพิ่มพูด กำลังสติ<O หลวงน้อง:<O สติในที่นี้ ก็หมายถึง เราสามารถ ระลึกได้ อยู่ตลอดเวลา ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังคิดอะไร (แต่ไม่ใช่นั่งคิด) ให้เห็นความเป็นไป ของความคิด<O หลวงน้อง:<O ความสงบนั้น จะเกืดขึ้นมาเอง เมื่อนั่งสมาธิ ได้ถูกวิธี<O หลวงน้อง ถ้านั่งไม่ถูก นั่งยังงัย ก็ไม่สงบ แถม ยิ่งฟุ้งซ่านหนักกว่าเดิม<O หลวงน้อง:<O ที่บอกนี่ไม่ได้ อยากให้ท้อ หรือชี้ให้เห็นว่ายาก <O หลวงน้อง:<O แต่การปฏิบัติ ถ้าทำให้ถูก แล้ว จะพัฒนาได้เร็ว <O หลวงน้อง:<O ได้ผลแน่นอน<O หลวงน้อง:<O ถ้าทำผิด นอกจากไม่ได้ แล้วยังเสียอีกตะหาก<O ผม:<O จะลองนำไปปฎิบัติดูครับ<O หลวงน้อง: <Oดีมากๆๆ อนุโมทนาด้วยเลย <Oหลวงน้อง:<O สาธุๆๆ<O ผม:<O ขอบคุณท่านมากๆครับ<O
วิปัสสนานุบาล ขณะที่สอนไป หลวงน้องก็ส่งไฟล์วิปัสสนานุบาลมาให้ผมฟัง วิปัสสนานุบาล คือการผสมคำระหว่าง วิปัสสนา กับอนุบาล ซึ่งก็คือ การวิปัสสนาขั้นต้น สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ลองฟังดูแล้ว เข้าใจง่ายมากๆเลย ผมเลยเอามาแบ่งปันให้เช่นกันครับ เกี่ยวกับไฟล์เหล่านี้ หลวงน้อง: มี 9 files หลวงน้อง: อันนี้ดีมากๆๆ เหมาะกับผู้เริ่มที่จะ ปฏิบัติธรรม ผม: ชั้นอนุบาลเลยนะเนี่ย หลวงน้อง: จริงๆๆแล้ว การปฏิบัตทั้งหมด มีอยุ่ 2 อย่าง หลวงน้อง: Doctor ไม่ต้องเรียนอนุบาล รึ ผม ครับ ผม: ต้องเรียนครับ หลวงน้อง: อย่าดูถูกเชียวนะ พระอรหันต์ ส่วนใหญ่ ได้เป็นอรหันต์ ก็เพราะเรื่องอนุบาลๆนี่แหละ ผม: ไม่ได้ดูถูกหรอกครับ หลวงน้อง: อันนี้แหละ แจ๋วมากๆๆ หลวงน้อง: อย่างน้อย ก็ได้รู้ก่อน ว่าอะไร คือ สมถะ อะไรคือ วิปัสสนา
การสวดมนต์ หลวงน้อง: ชิวิตคนนี่มันเร็วจริงๆๆ เนอะ<O หลวงน้อง:<O แผลบๆ<O ผม:<O ผมก็ 31 แล้ว<O หลวงน้อง:<O นี่ก็กี่ปีมาแล้วไม่รู้ <Oผม:<O เริ่มหาความสงบให้ชีวิตแล้วครับเนี่ย ฮ่าๆ<O หลวงน้อง:<O ดีแล้วล่ะ <O หลวงน้อง:<O ความสุข ยิ่งกว่าความสงบไม่มี<O ผม:<O สาธุๆ<O หลวงน้อง:<O ลองฝึกไปเรื่อยๆๆ<O ผม:<O ครับผม<O หลวงน้อง:<O ที่สำคัญ ต้องเพียร มากๆๆ หน่อยหมั่นๆๆ <O ผม:<O ขอบคุณท่านมากๆ ที่ให้แนวทางครับ<O ผม:<O ปัจจจุบัน นั่งสมาธิวันละ 3 เวลาครับ ฮ่าๆ<O ผม:<O เช้า เย็น และก็ก่อนนอน<O หลวงน้อง:<O รับรอง ถ้าทำได้เมื่อไหร่ มันจะเหมือนมีความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาความสามารถ หรือความเห็น ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ นี่แหละจะเป็นตัวทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ ในอย่างที่มันเป็นได้ <O หลวงน้อง:<O โหหห<O หลวงน้อง:<O นั่งบ่อยกว่าพระอีก <O หลวงน้อง:<O 55555<O ผม:<O เดี๋ยวนี้สวดมนต์ด้วยไงครับท่าน<O ผม:<O ก็เลยนั่งหลังสวดมนต์เสียหน่อย<O หลวงน้อง:<O ดีที่สุดเลย<O หลวงน้อง:<O ถ้าทำได้ บ่อยๆๆ นะความสุขอยู้ไม่ไกลแล้วล่ะ<O หลวงน้อง:<O เพราะเหตุใกล้ให้เกิดความสุข คือควางสงบ<O ผม:<O เช้าสวดพระไตรญาณชินบัญชร เย็นสวดบทมหาจักรพรรดิ์ครับ<O ผม:<O ก่อนนอน สวดขอขมาพระรัตนไตรอยู่<O หลวงน้อง:<O โหหหห<O หลวงน้อง:<O มีบทแปล หรือเปล่า<O ผม:<O เปลี่ยนไปเยอะไหมท่าน ผมอ่ะ ฮ่าๆ<O ผม:<O บทแปลของอะไรครับ<O หลวงน้อง:<O จะบอกว่ายังงัยดีไม่น่าเชื่อเลยแหละแต่ก็เป้นนิมิตหมายที่ดี หลวงน้อง:<O ก็ทุกๆบท ที่สวด <Oผม:<O ส่วนมากมีครับ<O ผม:<O เพราะได้อ่านคำแปลเลยรู้สึกอยากสวดนี่แหละครับ<O></O> หลวงน้อง:<O เพราะการสวดมนต์ จะให้เกินผลดีที่สุด ต้องสวดถูกต้องแล้วต้องรู้ความหมายจึงจะนำมาใช้ได้ <O หลวงน้อง:<O จริงๆๆ แล้ว บทสวดมนต์ ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละท่านใส่ไว้ในนั้นทั้งหมดแต่ชาวพุทธส่วนใหญ่ ไม่รู้บาลี ก็สักแต่สวดๆๆ ไป ไม่รู้ความหมายบางที ทึกทักเอาเอง เลยมั่วไปหมด แทนที่จะได้ผลกลับตรงข้ามไปหมด <Oหลวงน้อง:<O สวดออกเสียงหรือเปล่า<O ผม:<O จริงครับ<O ผม:<O ออกเสียงเบาๆน่ะครับ<O ผม:<O ไม่ถนัดสวดในใจเท่าไร<O หลวงน้อง:<O จะให้ดี ต้องออกเสียงด้วยนะเป็นการบริหารปอด กับหัวใจด้วย<O หลวงน้อง:<O ออกดังๆๆ ไปเลย<O หลวงน้อง:<O ไม่ต้องไปกลัวใครรำคาญ <O ผม:<O กลัวแค่มันจะไปรบกวนห้องข้างๆเท่านั้นเองครับตอนนี้<O ผม:<O ย้ายบ้านแล้วกะจะสวดดังๆอยู่เหมือนกัน อ่าๆ<O หลวงน้อง:<O จริงๆๆ แล้ว อยากให้ทำแบบนี้นะตอนนี้พระกำลังทำงานวิจัย(เรียกซะหรู) จริงๆแล้วเก็บเป็นสถิติน่ะ <O></O> ผม:<O ครับ<O หลวงน้อง:<O คืออยากให้คนที่คิดจะเริ่มปฏิบัติธรรม เช่นการนั่งสวดมนต์ หรืออะไรก็ตามให้วิเคราะห์ บรรยากาศภายในบ้าน อารมณ์ของผู้อาศัยอยุ่ด้วยกันทั้งครอบครัว แล้ว ค่อยๆๆ ชวนกันมาทีละคน 2 คน เริ่มที่พ่อกับแม่ก่อน แล้ว ค่อยขยายไปสู่คนทั้งบ้าน<O หลวงน้อง:<O แล้วลองประเมิณผลดี รับรอง บ้านไหน ไม่ดีขึ้น ยอมสึก <O หลวงน้อง:<O ตอนนี้มีตัวอย่าง ไม่กี่คน หลวงน้อง:<O พระว่าครอบครัวนั้น จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนแต่มันยาก ที่จะหาคนทำได้เพราะทุกวันนี้ เวลาจะมองหน้ากันแทบจะไม่มี ผม: ก็น่าจะดีขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้วนะครับ ผม: เพราะผมเองก็รู้สึกสงบขึ้นเยอะเหมือนกัน หลวงน้อง: จริงๆแล้ว ควรต้องรักษาศีล ควบคู่กันไปด้วย
ศีล และ กิเลส ผม: ศีลก็พยายามรักษาอยู่ครับ หลวงน้อง: จริงๆแล้ว ต้องรักษาศีลด้วย อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะศีลนี่มันจะช่วย ให้ใจเราสงบมากขึ้น ผม: เดี๋ยวนี้ก็พยายามไม่ตบยุงแล้ว หลวงน้อง: แจ๋วมากๆๆ แบบนี่เขาถึงเรียกว่า มนุษย์ ผม: แต่จะติดก็อยู่ข้อแค่กาเม (น่าอายมากๆแต่ปฏิเสธไม่ได้) หลวงน้อง: ธรรมดา ผม: เอ่อ ที่ผิดเนี่ย ไม่ได้ไปผิดลูกเมียใคนนะท่าน หลวงน้อง: มันไม่ผิด หลวงน้อง: แต่ถ้าทำไปมากๆๆ เดี๋ยวมันก็ละได้เอง ผม: แต่ยังติดดูอะไรๆที่มันไม่ดีอยู่ (อายว่ะ แต่ก็อยากให้ทุกคนได้เอาไว้เป็นแนวคิดครับ) หลวงน้อง: กามจริงๆๆ แล้ว จะละได้ขาด โน่น พระอรหันต์เลย หลวงน้อง: คนธรรมดา ยังตัดได้ไม่เด็ดขาด เพียงแต่เมื่อมีอารณ์จร มา เราจะไปสนอง อารมณ์ มันหรือเปล่า แต่ถ้าเราเข้าใจว่า อารมณ์รัก อารมณ์ใคร่ มันก็เป็นเพียงแค่ สิ่งๆหนึ่งๆ ที่เข้ามา แวบเดียว มันก็หายไปได้เอง โดยไม่ต้องไปทำอะไร ผม: แต่ช่วงนี้น้อยลงแล้ว เพราะรู้สึกไม่ดี พยายามจะเลิกอยู่เหมือนกันครับ หลวงน้อง: นั่นล่ะ มันก็จะเริ่มๆที่จะถ่ายถอนได้ทีละนิด หลวงน้อง: อย่าไปเลิก หลวงน้อง: เพราะ กิเลสนี่ยิ่งฝืนมันยิ่งเก่ง หลวงน้อง: ที่เขาเปรียบเหมือนพญามาร นี่ล่ะใช่เลย ผม: ต้องค่อยๆพิจารณาซินะครับ หลวงน้อง: ถ้ามีความรู้สึกเมื่อไหร่ ก็ให้ดูที่จิดใจตัวเอง ว่าขณะนี้จิดเรามีความรัก ความใคร่ เข้ามาอยุ่ ให้ดูเข้าใปที่จิต( ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า) ถ้าดูด้วย ความเป็นกลาง ความกำหนัด ความใคร่ มันจะหายไปได้เอง หลวงน้อง: ทำนองนั้ง หลวงน้อง: เพราะเมื่อไหร่ ที่เราคิดจะตัดกิเลส นั่นล่ะ เรากำลังแพ้ กิเลสอย่างแรก ผม: ครับผม หลวงน้อง: เพราะความอยากที่จะดี ก็เป็นกิเลส เหมือนกัน หลวงน้อง: แหมๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้คุยเรื่องแบบนี้ผ่าน msn ผม: อนุโมทนา สาธุๆ หลวงน้อง: ไม่เค้ยย ไม่เคยมีใครที่คิดจะคุยเรื่องแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ขนาดพระก่อนบวช เรื่องแบบนี้ แทบจะไม่สนใจ ผม: ผมก็ไม่คิดเหมือนกันแหละครับว่าผมจะเข้ามาทางนี้ได้ หลวงน้อง: แต่พอได้มาศึกษาแล้ว ถึงรุ้ว่า โหหห น่าจะมาบวชตั้งนานแล้ว ผม: แต่ทางนี้ก็สงบดีเหมือนกันครับท่าน หลวงน้อง: อื มมมม ผม: ถ้าไม่ติดหนี้สินที่พ่อให้ช่วยค่าผ่อนบ้านใหม่ ผมอาจจะไปบวชแล้วเหมือนกัน ฮ่าๆ หลวงน้อง: มาเลย เดี๋ยวอยุ่รอ หลวงน้อง: แต่เอาเถอะ อยุ่ข้างนอกก็ปฏิบัติธรรมได้ ไม่เกี่ยว หลวงน้อง: ไม่เกี่ยง ผม: ครับผม หลวงน้อง: จริงๆแล้ว ในวงการสงฆ์ ก็วุ่นวาย ไม่เบาเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่า ธรรมดา หลวงน้อง: พระ ก็เป็นคน เหมือนกัน แค่จับมา โกนหัว ห่มผ้าเหลือง เท่านั้น จะต่างกัน ก็ต้องเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระส่วนมากไม่ดี อย่างน้อยอยุ่เป็นพระได้ ก็ต้องทำบุญมามากพอสมควร ผม: ที่เขาเรียกว่า บวชแค่กาย ไม่ได้บวชที่ใจ ซินะท่าน หลวงน้อง: จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะคนโดยมาก ที่จะมาบวชส่วนมาก ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พออยู่ไปๆ ได้ศึกษา จิตก็อาจจะโน้มนำไปในทางที่จะละ ได้เหมือนกัน ผม: สาธุๆ หลวงน้อง: ที่จะหวังว่ามาบวชเพื่อละ จริงๆๆ นั้น แทบจะไม่มี