ชีวิตมาจาก สวรรค์ หรือ นรก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 12 สิงหาคม 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    พลังงานที่สร้างสิ่งมีชีวิตบนโลกนั้นมาจากใหน? มาจากแสงสว่าง และความร้อนจากแสงแดด ( สวรรค์) หรือมาจากความร้อนใต้พี้นพิภพ ( นรก) เมื่อก่อนนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ คิดว่าสิ่งมีชีวิตควรจะมาจากสวรรค์

    แต่จากข้อมูลใหม่ๆ พบว่าไม่แน่ซะแล้ว.... เนื่องจากมีการพบสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หลุดรอดลงไปได้ สิ่งมีชีวิตตัวแรกบนโลก อาจจะเกิดขึ้นใต้มหาสมุทร ในบริเวณที่เรียกว่า Deep-sea hydrothermal vents

    Deep-sea hydrothermal vents เป็นรอยแยกของเปลือกโลก ซึ่งอยู่ใต้มหาสมุทรลึก มีความสำคัญทางธรณีวิทยา เกี่ยวข้องกับการเกิดและเลื่อนตัวของชายฝั่งทะเล ตามแนวDeep-sea hydrothermal vents นั้นจะมีหินละลาย (magma) จากใต้พื้นโลกดันขึ้นมาเกิดเป็นแผ่นดินอยู่เรื่อยๆ หินละลายเหล่านี้มีอุณหภูมีสูงมาก น้ำทะเลที่อยู่บริเวณนั้นอาจมีอุณหภูมิสูงได้ถึง 404 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ในขณะที่น้ำทะเลรอบๆ มีอุณหภูมิเหนือจุดเยือกแข็งเล็กน้อย เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิต่างกันมาผสมกันสารประกอบพวกกัมมะถัน ก็จะทำให้เกิดควันดำพุ่งขึ้นมา เราเรียกว่า "black smoker"

    เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก ที่ค้นพบสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในสถานที่เช่นนี้ คาดกันว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยพลังงานเคมี และ ความร้อนที่พ่นออกมา
    การค้นพบนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพบสิ่งมีชีวิตในที่ๆ ไม่มีพลังงานจากแสงอาทิตย์เลย และเป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตแรกของโลก อาจเกิดจากสภาวะเช่นนี้

    และจากหลักฐานทางชีวะวิทยาพบว่าสิ่งมีชีวิตที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เป็นพวกที่สามารถปรับตัวเข้ากับความร้อนได้ดี ทำให้ทฤษฎีที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจาก Deep-sea hydrothermal vents มีความเป็นไปได้สูงมาก และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในขณะนี้

    การค้นพบนี้ทำให้เพิ่มความเป็นได้ว่าอาจจะมีชีวิตในดาวดวงอื่นนอกจากโลก
    เพราะสภาพของ Deep-sea hydrothermal vents นั้นพบได้ในดาวทั่วๆไป

    [​IMG]

    http://www.nationalgeographic.com/ngm/0010/feature6/index.html
    http://www.boston.com/dailyglobe2/256/science/Born_in_the_fire+.shtml
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** วิญญาณ กับ ยุคสมัย ****

    จิตวิญญาณ...ยังไม่หมดกิเลส.... ตายแล้วเกิดใหม่
    โลก...มียุคสมัย....นับไม่ถ้วน
    จิตวิญญาณบาปกรรมมาก...ยุคเก่า....ถูกเก็บ เหมือนถูกสาป ไว้ใต้โลกมีมากมาย
    โลกยุคต่อไปนี้
    จะมีการพิจารณา พิพากษา...การกระทำ
    ใครไม่รอดพ้นภัย....จะถูกสาปไปอีกนานแสนนาน
    เหมือนสิ่งมีชีวิตใต้โลกในตอนนี้

    รีบสะสมการกระทำด้วย "สัจจะ"...ก่อนหมดเวลา !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** พวกตกยุค พวกตกค้าง ****

    จิตวิญญาณ ที่อยู่ใต้โลก...คือ จิตวิญญาณ ที่ตกค้าง
    ไม่หลุดพ้นสักที !!!!
    ต้องรอวันเกิดใหม่ในยุคต่อๆ ไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** พวกจากฟากฟ้า ****

    จิตวิญญาณ ที่มาช่วยเหลือ...
    จิตวิญญาณที่อยู่บนโลก...ให้หลุดพ้น
    บางจิตวิญญาณ...มาแล้วหลงใหล !!!!
    หาทางกลับ บ้านนิพพาน ไม่เจอ !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ดาวหางยืนยันทฤษฎี 'อสุจิสากล' ชีวิตอุบัติขึ้นในจักรวาลนอกโลก
    [20 ส.ค. 50 - 00:05]

    ศาสตราจารย์จันทรา วิกรมสิงห์ แห่งศูนย์ชีววิทยาต่างดาว ผู้สนับสนุนทฤษฎี “อสุจิสากล” ที่เชื่อกันว่า ชีวิตกำเนิดขึ้นภายในดาวหาง แล้วจึงแพร่กระจายไปยังดาวเคราะห์ที่มีสภาพที่จะอาศัยอยู่ได้ไปทั่วจักรวาล
    คณะของอาจารย์จันทรา เผยว่า ยานสำรวจที่ส่งให้ไปโคจรเฉียดกรายดาวหางหลายดวง ได้เผยให้ทราบว่าชีวิตแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะได้ไปสำรวจดาวหาง “เทมเปิล 1” ซึ่งถูกพุ่งเข้าชน เมื่อ พ.ศ. 2548 ได้ค้นพบสารผสมของสารอินทรีย์กับอนุภาคดิน ภายในดาวหาง
    ทฤษฎีการกำเนิดของชีวิตเรื่องหนึ่งกล่าวว่า อนุภาคของดินเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แปลงโมเลกุลของสารอินทรีย์ขั้นต่ำให้มีโครงสร้างซับซ้อนมากขึ้น และยานสำรวจก็ได้พบโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอันซับซ้อนด้วยกันหลายชนิด ที่อาจจะเป็นอิฐบล็อกของชีวิต
    เขาคิดว่าสารกัมมันตภาพรังสี อาจจะเก็บรักษาน้ำในสภาพของเหลว ภายในดาวหางไว้ได้เป็นล้านๆ ปี ทำให้มันเหมาะที่จะมีสภาพเป็นเหมือนกับตู้กกของชีวิตระยะเริ่มต้น
    เขากล่าวว่า ดาวหางซึ่งมีอยู่ในระบบสุริยจักรวาลและทั่วจักรวาลอยู่เป็นพันล้านดวง มีโคลนดินติดอยู่รวมกันมากกว่าโลกเมื่อสมัยตอนต้นๆเสียอีก ด้วยเหตุนั้น โอกาสที่ชีวิตจะอุบัติขึ้นบนโลก มากกว่าภายในดาวหางดวงใดดวงหนึ่ง จึงมีเพียงแค่ 1 ในล้านล้านเท่า ผลการค้นพบของยานสำรวจดาวหาง ได้ยืนยันข้ออ้างของทฤษฎีอสุจิสากล ด้วยเหตุว่าเพราะมันมีธาตุอันจำเป็น อันมี โคลนดิน อณูสารอินทรีย์และน้ำ อยู่ด้วยกันครบถ้วน.



    http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=58051
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ชีวิตในจักรวาลอาจผิดแบบแตกต่าง จากรูปแบบ ชีวิตทั้งหมดบนโลก <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#ffffcc"><td valign="center"> </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> คณะนักวิทยาศาสตร์บอกเตือนสติองค์การอวกาศสหรัฐฯว่า ชีวิตที่มีอยู่ในจักรวาล อาจจะไม่จำเป็นต้องเหมือนกับที่เรารู้จักอยู่บนโลกก็เป็นได้


    พวกเขากล่าวแสดงความเห็นในวารสารของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯ หลังจากที่ได้ศึกษาทบทวน การศึกษาวิจัยว่าชีวิตเป็นอย่างไร และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ตลอดจนวิถีชีวิตที่อาจจะต่างออกไปบนโลกอื่น


    นักสมุทรศาสตร์จอห์น บารอสส์ แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ผู้ร่วมคณะคนหนึ่งกล่าวว่า "การศึกษาสอบสวนของเราได้ผลชัดว่า อาจมีชีวิตโลกอื่นที่มีรูปแบบแตกต่างจากที่อยู่บนโลกไปก็ได้"


    รายงานการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าตัวริ้นกับวาฬสีน้ำเงิน ต่างก็ได้มรดกได้ส่วนทางชีวเคมีมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ที่มีชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้วด้วยกัน และได้แตกแขนงออกไปเป็นรูปแบบชีวิตต่างๆ ทั้งหมดอย่าง ที่เราเห็นกันอยู่ในวันนี้ เราในฐานะมนุษย์ ก็ถือว่าเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษร่วมอันนี้ด้วย


    ชีวิตทั้งหมดบนโลก ต่างมีความเกี่ยวพันกันอยู่ในมรดกร่วมอันหนึ่ง อันนับเป็นการค้นพบที่ลึกซึ้งที่สุดอันหนึ่งของวิทยาศาสตร์ แต่มันอาจจะเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ในการตามหาชีวิตที่มีอยู่ที่ใดที่หนึ่งในจักรวาลก็ได้.

    </td></tr></tbody></table></td></tr> <tr><td><center>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</center></td></tr></tbody></table>
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    แข่งกันสร้างชีวิตสังเคราะห์ขึ้น ทำได้สำเร็จภายใน 3-10 ปีน
    [22 ส.ค. 50 - 00:21]


    นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจำนวนไม่กี่คนนัก กำลังแข่งขันกันสร้างชีวิตสังเคราะห์ขึ้น จากความว่างเปล่า และต่างใกล้จะถึงหลักชัยอยู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า จะต้องมีคนอวดว่าสามารถสร้างสิ่งซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันที่เรียกว่า “ชีวิตเปียกเทียม” ขึ้นได้ ภายในเวลา 3-10 ปีนี้
    นายมาร์ค บีโด หัวหน้าพนักงานปฏิบัติการบริษัทโปรโตไลฟ์ ที่นครเวนิส ประเทศอิตาลี แจ้งว่าร่วมอยู่ในการแข่งขันนี้ด้วย กล่าวว่า “มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนจะต้องรู้ เราพูดถึงเทคโนโลยี ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนพื้นฐานโลกของเราไปมากทีเดียว จนไม่อาจจะทายได้ถูก”
    เซลล์ของชีวิตเทียมเซลล์แรก ซึ่งสร้างขึ้นจากสารเคมีพื้นฐานของดีเอ็นเอ กับตาของคนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์อาจจะดูไม่ค่อยเหมือนนัก เพราะอันหนึ่ง มันต้องดูในกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น
    นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่ารูปแบบชีวิตที่เกิดด้วยน้ำมือมนุษย์ จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆลงได้ในวันหนึ่ง ตั้งแต่การต่อสู้กับโรคภัย ไปจนถึงการนำไปใช้โอบล้อมเก็บก๊าซที่ทำให้โลกร้อนเอาไว้ใช้ เพื่อทำลายขยะที่เป็นพิษต่างๆ.
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    *** เรื่องสากลโลก ****

    ได้เกิดเป็นมนุษย์...โชคดีที่สุดแล้ว
    เพราะ เลือกทางเดินได้...จะไปสวรรค์ จะไปนรก หรือจะหลุดพ้น
    ยิ่งได้พบ "หลักสัจจะธรรม"..."สัจจะปฏิบัติ"
    ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ...หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้มายาวนาน
    พบแล้ว..ไม่สนใจ ผ่านไป...ถือว่าช่วยไม่ได้
    จะไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้อีกแล้ว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ทีมผู้เชี่ยวชาญประสบความสำเร็จจำลองประสบการณ์นอกกายเนื้อ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline">โดย ผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="baseline">27 สิงหาคม 2550 14:26 น.</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td align="left" height="12" valign="bottom">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#cccccc"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"> <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top" width="160"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="4" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="center" valign="baseline">คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">นักวิจัยเชื่อว่า ประสบการณ์นอกกายเนื้อเกิดจากความไม่สัมพันธ์กันของข้อมูลจากการมองเห็นและจากสัมผัส</td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" height="1" valign="middle" width="165">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table></td> <td background="/images/linedot_vert3.gif" width="4">[​IMG]</td> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellspacing="7" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> เอเจนซี - ผู้เชี่ยวชาญพบวิธีสร้างประสบการณ์ ‘วิญญาณออกจากร่าง’ โดยใช้แว่นเสมือนจริง เพื่ออธิบายปรากฏการณ์นอกกายเนื้อที่คน 1 ใน 10 เคยประสบ

    สำหรับบางคน ประสบการณ์นอกกายเนื้อเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่กับบางคนประสบการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสถานการณ์อันตราย หรือประสบการณ์ใกล้ตาย ในภาวะกึ่งฝัน หรือขณะมึนเมา

    ทฤษฎีหนึ่งที่ใช้อธิบายเรื่องนี้คือ ภาพที่เรามองเห็นตัวเอง กล่าวคือคนที่ไม่มีความสุขหรือไม่สามารถสื่อสารกับตัวเองได้มักมีประสบการณ์นี้ ทว่า นักวิจัยจากยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (ยูซีแอล) และสวิส เฟเดอรัล อินสทิทิวต์ ออฟ เทคโนโลยี เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวมีคำอธิบายทางประสาทวิทยา โดยความไม่สัมพันธ์กันระหว่างข้อมูลจากการมองเห็นและการสัมผัส อาจเป็นที่มาของประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง

    ในการทดลองของนักวิจัยสวิสที่นำโดยโอลาฟ แบลงก์ อาสาสมัครถูกขอให้สวมแว่นเสมือนจริงที่ฉายภาพหุ่น 3 มิติหรือร่างกายเสมือนจริงของตนเอง กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของอาสาสมัคร และนักวิจัยใช้ปากกาเขี่ยหลังอาสาสมัคร

    หลังจากนั้น อาสาสมัครจะถอดแว่นออกและถูกพันผ้าปิดตาแทน และได้รับคำสั่งให้ถอยหลัง 2-3 ก้าว และเดินกลับไปยังจุดเดิม ปรากฏว่าอาสาสมัครเดินไปยังจุดที่เคยเห็นร่างกายเสมือนจริงยืนแทนที่จะเดินกลับไปจุดที่ตัวเองเคยยืนอยู่จริงๆ

    หลังการทดลอง อาสาสมัครรายงานว่า รับรู้ความรู้สึกของการสัมผัสจากหลังเสมือนจริงมากกว่าจากหลังจริง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ รู้สึกราวกับว่าร่างกายเสมือนจริงเป็นร่างกายของตัวเองมากกว่าเป็นภาพ 3 มิติ เพราะเมื่อกล้องฉายภาพด้านหลังของหุ่นและใช้ปากกาเขี่ยหลังหุ่น อาสาสมัครยังรู้สึกถึงสัมผัสนั้นราวกับหลังของหุ่นเป็นหลังของตัวเอง

    ส่วนในการทดลองของยูซีแอลภายใต้การนำของดร.เฮนริก เออร์สัน อาสาสมัครถูกขอให้นั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง และสวมแว่นเสมือนจริงที่ฉายภาพจากกล้องบันทึกวิดีโอที่วางอยู่ด้านหลังตนเอง จากนั้นนักวิจัยแกว่งแท่งโลหะเข้าหากล้องพร้อมๆ กับที่หน้าอกของอาสาสมัครถูกสัมผัส หลังจากนั้นแท่งโลหะจะหายไปจากหน้าจอ

    วิธีนี้ทำให้อาสาสมัครรู้สึกว่า ตัวเองนั่งอยู่ห่างจากตำแหน่งจริงไปทางด้านหลัง ซึ่งก็คือจุดที่กล้องตั้งอยู่นั่นเอง

    นักวิจัยยังพบว่า อาสาสมัครมีการตอบสนองทางร่างกาย คือมีเหงื่อซึมออกมาทางผิวหนัง เมื่อรู้สึกว่าร่างกายเสมือนจริงกำลังจะถูกค้อนทุบ

    ดร.เออร์สันอธิบายในรายงานที่เผยแพร่ผ่านวารสารไซเอนซ์ฉบับวันพฤหัสฯ (23) ว่าการทดลองนี้บ่งชี้ว่า ภาพเสมือนจริงที่คนเราเห็นตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์นอกกายเนื้อ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เรารู้สึกถึงตัวตนของตัวเองจากภาพที่เรามองเห็น

    นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาวิดีโอเกมเสมือนจริงที่ผู้เล่นจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเกมมากขึ้น นอกจากนั้น ยังอาจเป็นประโยชน์สำหรับการผ่าตัดทางไกล โดยที่ศัลยแพทย์ควบคุมร่างกายเสมือนจริงเพื่อผ่าตัดคนไข้ที่อยู่ต่างสถานที่

    อย่างไรก็ดี นักวิจัยยอมรับว่า ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์วิญญาณออกจากร่าง ที่มักเกิดกับผู้ที่เผชิญเหตุการณ์เลวร้าย เช่น อุบัติเหตุรถชน และมักเกี่ยวข้องกับภาวะที่สมองทำงานผิดปกติในผู้ป่วยโรคลมชัก ผู้ติดยาเสพติด และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  10. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    ข้อมูลกระทู้นี้เป็นในเชิงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่เราจะขอตอบในเชิงโลกทิพย์ ว่า


    บุคคลทั้งหลายแม้มามืดหรือมาสว่าง คือเบื้องบรรพ์จะมาจากสถานที่ใดก็ตาม


    เมื่อกำเนิดเกิดกายมาในภพมนุษย์นี้แล้ว ย่อมมีโอกาสเสมอกันในอันที่จะสั่งสมบุญหรือก่อบาปเวร ได้โดยอำเภอใจตน


    ก่อนปลายทางหลังหมดอายุขัย พลังแห่งต้นทุนทั้งสิ้นจะนำไปสว่างหรือไปมืด
     
  11. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    นรกไม่ได้อยู่ใต้โลก สวรรค์ก็ไม่ได้อยู่บนฟากฟ้า โลกมนุษย์เหมือนแค่ทรายเม็ดเดียวในห้วงจักรวาล นรกสวรรค์ก็เป็นภพภูมิที่ซ้อนอยู่ในห้วงจักรวาลอันไพศาล สวรรค์นรกจึงใหญ่โตมากกว่าภพมนุษย์มากกว่ามาก ใหญ่กว่าสุริยจักรวาลมากมายนัก
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ทุกสายพันธุ์บนโลก ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน ???

    หลายท่านคงจะสงสัยกันนะครับว่า "สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" แต่ก่อนที่จะตอบคำถามข้อนี้ เราคงต้องตอบคำถามข้อแรกๆ ก่อนที่ว่า "สิ่งมีชีวิตคืออะไร" ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เอง ก็ยังหาคำจำกัดความที่แน่ชัดไม่ได้





    สิ่งมีชีวิต (Life) หากจะอธิบายกันในแนววิวัฒนาการ (Evolution) ของ C. Darwin และ A. Wallace ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วๆไปจากนักชีววิทยา สิ่งมีชีวิตคือ สิ่งที่สามารสืบพันธุ์ได้ (Reproduction) ให้ลูกหลานที่มีความหลากหลายขึ้น (Variation) และกลายเป็นต้นทุนสำหรับธรรมชาติ ที่จะคัดเลือกหรือกรอง (Natural selection) ให้บางลักษณะบางชนิด ผ่านไปได้ นั้นคืออยู่รอดต่อไป และบางลักษณะบางชนิดไม่ผ่าน หรือสูญพันธุ์ไป ตัวกรองตามธรรมชาตินี้ นอกจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) แล้วยังรวมถึงสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพด้วย (Biological environment) คำอธิบายอื่นๆ ของคำว่าชีวิตนั้น ส่วนใหญ่ต้องมีข้อยกเว้นเพิ่มเติม





    ความหมายที่ยกมานี้คิดว่าใกล้ที่สุดกับบทความในคอลัมน์นี้ เพื่อที่เราจะได้พูดถึงต่อไป ดูเหมือนว่าแค่เริ่ม เรื่องก็ค่อนค้างยุ่งยากเสียแล้ว ไม่ต้องตกใจครับเราจะค่อยๆทำความเข้าใจกัน ...





    ลองคิดกันเล่นๆนะครับว่า เราทุกคนต่างก็มีพ่อและแม่ พ่อและแม่ของเราก็มีพ่อและแม่เป็นผู้ให้กำเนิด (ปู่ย่าตายาย) ปู่ย่าตายายของเราก็มีผู้ให้กำเนิด หากเราสืบสายตระกูลย้อนหลังไปเรื่อยๆ เราอาจจะพบว่าคนทุกคนบนโลกมีกำเนิดมาจาก มนุษย์ชายหญิงคู่แรกคู่เดียว (ไม่รู้เป็น Adam กับ Eve หรือเปล่า) หากเราย้อนหลังต่อไปเรื่อยๆ เราอาจจะพบว่า มนุษย์มีบรรพบุรุพร่วมกับลิง





    นักชีววิทยากลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ถ้าเรายังจะย้อนหลังต่อไปเรื่อยๆอีก ของทุกสายพันธุ์บนโลก (รวมทั้งสัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน จากสิ่งมีชีวิตแรก ที่มีลักษณะคล้าย สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแบบง่าย (prokaryotic cell) ที่ไม่มีผนังล้อมสารพันธุกรรม (DNA) และโครงสร้างอื่นๆภายในเซลล์





    ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างยอมรับแล้วว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกเริ่มจากแบบง่ายๆ เช่นพวกคล้าย Bacteria แล้วมีวิวัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ มีการรวมกันของหลายๆเซลล์เป็นหนึ่งสิ่งมีชีวิต มีการแบ่งหน้าที่ของเซลล์ให้ทำงานที่แตกต่างกัน มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น และหลากหลายอย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน คำถามมันก็มีอยู่ว่า "แล้วสิ่งมีชีวิตตัวแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อไร และที่ไหน?"





    เรารู้ว่าโลกมีกำเนิดเมื่อประมาณ 4.5 พันล้านปีก่อน โดยการประมาณเจากอายุของหินบนดวงจันทร์ และเมื่อประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตก็เริ่มมีจารึกในหิน (Chemical traces of life พบที่ Greenland) สำหรับ fossils ที่เก่าแก่ที่สุด ที่บอกเราว่า สิ่งมีชีวิตเป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์เกิดขึ้นแล้วนั้น มีอายุประมาณ 3.5 พันล้านปีก่อน (พบที่ Western Australia) ชึ่งมีลักษณะคล้าย cyanobacteria (blue-green algae หรือ สาหร่ายสี่น้ำเงินแกมเขียว, พวก prokaryote) ในปัจจุบัน ตอนนี้เราก็พอทราบแล้วว่า สิ่งมีชีวิตตัวแรกคงเกิดขึ้นในระหว่าง 4.5 ถ ึง 3.8 พันล้านปีก่อน แล้วที่ไหนล่ะ อันนี้มีสมมุติฐานประมาณ 4 แห่งด้วยกันครับ คือ ในอากาศ ในน้ำตื้น ใต้ทะเลลึก (พบ fossils อายุประมาณ 3.2 พันล้านปีก่อนเร็วๆนี้) และมาจากนอกโลก ต้องเข้าใจก่อนว่าบรรยากาศโลกเมื่อสมัยแรกๆไม่เหมือนกับตอนนี้ ตอนนั้นออกซิเจนมีน้อยมาก (ออกซิเจนเป็นก๊าซที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในปัจจุบันขาดไม่ได้ ก็ใช้สำหรับหายใจนี่ครับ) ที่สำคัญคือทุกที่ๆ กล่าวมานั้น จะต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบ เมื่อเร็วๆนี้คงจะได้ยินข่าวว่า NASA พบร่องรอยของน้ำบนดาวอังคาร ก็เลยทำให้คิดว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย
    <!--VSegment-->
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>
    [​IMG]
    ภาพจาก http://origins.jpl.nasa.gov/ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!--VSegment-->

    ย้อนกลับเข้าเรื่องนะครับ นอกจากนี้นักวิทย์คิดว่าต้องมีสารองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยเช่น ไฮโดรเจน, มีเทน, และ แอมโมเนีย น่าจะเป็นสสารพื้นฐาน ซึ่งเมื่อได้รับพลังงานเข้าไป เช่น ฟ้าผ่า หรือความร้อนจากปล่องไฟใต้ทะเลลึก (deep sea hydrothermal vents) ก็จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ทำให้ได้สารใหม่ (หรือจนกระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิต) ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงแค่สมมุติฐาน เพราะแม้ว่าจะได้มีการทดลอง เลียนแบบสภาวะต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ ผลที่ได้ก็เป็นเพียงแค่โมเลกุลง่ายๆ ซึ่งยังห่างไกลกับคำว่าสิ่งมีชีวิต อันนี้เลยทำให้นักวิทย์หลายท่านคิดว่า สิ่งมีชีวิตน่าจะมาจากนอกโลก ก็ไม่ทราบนะครับว่ามาจากไหน มีคนให้ชื่อนักวิทย์กลุ่มนี้ว่า Improbabilist (ยากที่จะเป็นไปได้) ในกลุ่มนี้มีคนดังอย่าง Francis Crick (Nobel laureate, คนพบโครงสร้างของDNA กับ J. Watson) ครั้งหนึ่งเขาพูดว่า "The origin of life appears to be almost a miracle" อีกกลุ่มหนึ่ง บอกว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ๆในโลกนี่แหละ แค่เรายังไม่สามารบอกได้อย่างแน่นอนว่าอย่างไร กลุ่มนี้ได้ชื่อว่า Inevitablilist (เลี่ยงไม่ได้ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน) เพราะเชื่อว่า เมื่อทุกอย่างพร้อม (อนินทรีย์สารและปัจจัยต่างๆ) ชีวิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน Richard Dawkins (นักวิทย์นักเขียนชื่อดัง) เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ หากเป็นไปตามกลุ่ม Improbablilist คำถามก็ยังคงอยู่เพียงแค่ย้ายสถานที่ ที่ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร (ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน)





    หากมันเกิดขึ้นจริง นักวิทย์ (โดยเฉพาะนักชีวเคมี) พอจะคาดการณ์ได้ว่า น่าจะมีลำดับเหตุการณ์สำคัญๆ (Key steps) ดังนี้


    1. การสังเคราะห์โมเลกุลเดี่ยว (Abiotic synthesis of monomers เช่น amino acids, nucleotides)


    2. การรวมตัวกันของพวกโมเลกุลเดี่ยวเป็น polymers (Polymerisation of monomers เช่น protein, nucleic acids)


    3. การรวมกันของพวก polymers แล้วมีคุณสมบัติแตกต่างจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว (มีคุณสมบัติ membrane selectivity, permeability) และอาจมีการสะสมพลังงานในตัว


    4. การเกิดขึ้นของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ถึงจุดนี้มีคำถามต่อไปให้ขบคิด แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นสารพันธุกรรมตัวแรก ปกติในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต DNA เป็นสารพันธุกรรม (ไวรัส มีRNA เป็นสารพันธุกรรมด้วย, ไวรัสเป็นตัวปัญหาตัวหนึ่งที่ทำให้คำนิยามของคำว่าสิ่งมีชีวิต ไม่ลงเอยเสียที) และจะมีการแปลงรหัสเป็น RNA ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือจากเอนไซม์ (ซึ่งเป็นสารพวกโปรตีนเป็นตัวเร่งปฎิกิริยา) ก่อนที่จะมีการอ่านรหัสเพื่อสังเคราะห์โปรตีนตามรหัสในDNAนั้นๆ ทั้งนี้อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือจากเอนไซม์





    คำถามมันก็เกิดขึ้นว่าถ้า DNA เป็น สารพันธุกรรมตัวแรก ยังไม่มีการสร้างเอนไซม์ DNAจะถูกแปลงรหัสให้เป็น RNA ได้อย่างไร เพราะเมื่อไม่มี RNA ก็ยังไม่มีโปรตีนพวกเอนไซม์ ต่อมามีการค้นพบว่า RNA มีคุณสมบัติอย่างเอนไซม์ได้ (biological catalyst) ทำให้นักวิทย์มองเห็นความเป็นไปได้ของข้อ 4. นี้ขึ้นมาทันที เลยคิดว่าสารพันธุกรรมตัวแรกน่าจะเป็น RNA และด้วย RNA ที่สามารทำงานแบบเอนไซม์ได้ จึงสามารสังเคราะห์โปรตีนได้ ต่อมาอาจเป็นเพราะเหตุผลของความเสถียรภาพ DNA ได้เข้ามาแทนที่ RNA ในการทำหน้าที่เป็นสารพันธุกรรม หรือโปรตีนเลยทีเดียวที่สามารทำหน้าที่เป็นสารพันธุกรรมได้ในระยะแรกเริ่ม แต่ยังไม่มีการยืนยันในสมมุติฐานอันนี้ (มีเพียงรายงานว่าโปรตีนขนาดเล็ก สามารถจำลองตัวเองได้)





    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสมมุติฐาน ที่ยังต้องพิสูจน์กันต่อไป จะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของชีวิตนั้นค่อนข้างมหัศจรรย์ทีเดียว สิ่งมีชีวิตมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง (ทั่วทุกแห่งจริงๆ) ไม่ว่าจะบนที่สูงเทียบฟ้า ในอากาศ บนดิน ใต้ดิน ใต้ทะเลลึก หรือกระทั่งในปล่องภูเขาไฟ แม้ด้วยเทคโนโลยีที่สูงสุดในปัจจุบัน มนุษย์ก็ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าสิ่งมีชีวิตบนโลก ถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร คำถามนี้คงจะท้าทายมนุษย์ไปอีกค่อนข้างนาน และยังมีคำถามเพิ่มอีกนิดหนึ่งว่า แล้วจริงหรือที่ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกมีกำเนิดมาจาก เซลล์แรกเซลล์เดียว เป็นไปได้ไหมที่มีการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิต หลายๆแห่งพร้อมๆกัน หากมีการเกิดขึ้นขึ้นมาจริงๆ





    ด้วยเหตุที่นักวิทยาศาสตร์เองยังหาคำตอบที่แน่นอนไม่ได้ ไม่นานมานี้ ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในอเมริกา ซึ่งเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้สร้าง (creator) ได้มีชัยชนะในการที่ให้โรงเรียนในรัฐของตน สอนเรื่องการสร้างโลกแก่นักเรียน เรื่องนี้ไม่ทราบว่าจะอธิบายเป็นความก้าวหน้าอย่างไรดี คงต้องเป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านเองในการพิจารณา หรือใครจะรู้ ปัญหาเรื่องกำเนิดสิ่งมีชีวิตอาจจะมีคำตอบในไม่ช้านี้ คิดเห็นอย่างไรเขียนมาเล่ากันฟังบ้างนะครับ แล้วจะเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังอีก พบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดีครับ





    อ่านเพิ่มเติมได้ที่

    http://www.thaied.net/Library/Biological/index.php3?link=

    http://216.167.84.216/Library/Biological/july8/lifearth.htm

    http://www.sigmaxi.org/amsci/articles/95articles/cdeduve.html

    http://www.sciam.com/explorations/112596explorations.html

    http://www.sciam.com/askexpert/biology/biology15.htm

    http://www.mesozoic.demon.co.uk/chemical.htm

    http://www.geocities.com:0080/CapeCanaveral/Lab/2948/originoflife.html

    http://www.origins.rpi.edu

    http://origins.jpl.nasa.gov/

    http://www.mattox.com/genome/
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,705
    ค่าพลัง:
    +51,934
    ละเว้นความชั่ว
    พึ่งทำความดี
    ทำใจบริสุทธิ์

    ทำความดี ให้เกิดขึ้นจริง ทุกวัน
    ด้วย..."สัจจะ"
    วันละข้อ....ทำให้ได้จริง
    เพื่อเป็นที่พึ่ง ในวันที่กรรมมาถึง !!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>กำเนิดและสมดุลแห่งพลังงานธรรมชาติ:

    </td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td width="28%"> </td> <td width="43%">
    </td> <td width="29%"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3">เริ่มต้นแห่งดาราจักรและเอกภพ</td> </tr> <tr> <td colspan="3">โดย Dr.G.G. Junior</td> </tr> <tr> <td colspan="3">www.universal-signal.com</td> </tr> <tr> <td colspan="3"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3">ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับดาราจักรและเอกภพ มนุษย์เป็นหนึ่งในสรรพชีวิต ที่มีการดำรงชีวิตอยู่บนพื้นดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า โลก ซึ่งมนุษย์มีความเชื่อว่า มีวิวัฒนาการที่ยาวไกล ด้วยเหตุผลของระยะเวลาอันยาวนาน ที่มนุษย์มีการจดบันทึกกันไว้ โดยการนำมาเปรียบเทียบกับช่วงอายุขัยของตนเอง ซึ่งไม่เกิน 100 ปี ต่อหนึ่งอายุขัยของหนึ่งชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนึ่งอายุขัยของมนุษย์นั้น เป็นเพียงจุดของเวลาสั้นและเล็กน้อยมาก จนเปรียบกันไม่ได้กับอายุของการเกิดของดวงดาวแต่ละดวง และระยะเวลายิ่งสั้นมากขึ้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับอายุของจักรวาล หรือยิ่งมีระยะเวลาสั้นมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเปรียบเทียบกับอายุของดาราจักร หรือเอกภพที่มีโลกใบนี้ลอยอยู่
    [​IMG]
    มนุษย์จะมีความเข้าใจพอสังเขปกับ สุริยะจักรวาล ซึ่งเป็นจักรวาลหนึ่งที่บรรจุอยู่ภายในดาราจักรที่ชื่อว่า... ทางช้างเผือก ซึ่งมีรูปร่างเหมือนใบจักรรูปวงรี แต่มีส่วนกว้างมากกว่า จึงดูคล้ายวงกลม หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามีความรีเพียงเล็กน้อย ตรงกลางของใบจักรนี้มีความหนาแน่นของพลังงานมากที่สุด จึงมีความสว่าง และมีพลังงานรวมกันอยู่ในนาม พลังงานบริสุทธิ์ มีเส้นสนามแม่เหล็กที่สานกันเป็นสายใย ร้อยเอากลุ่มวัตถุ และดวงดาวทั้งหมด ให้อยู่ในตำแหน่งไม่เคลื่อนปะปนกันมีพิกัดชัดเจน อีกทั้งจักรวาลน้อยใหญ่ที่บรรจุอยู่ทั้งหมดเหล่านั้น ก็ยังหมุนโคจรรอบพลังงานบริสุทธิ์ อยู่ในใบจักรที่เรียกว่า ดาราจักรทางช้างเผือก
    การกำหนดหาตำแหน่งของศูนย์กลางพลังงานของดาราจักรทางช้างเผือก คือ ลากเส้นตรงจากดวงอาทิตย์ไปดาวฤกษ์ดวงที่สาม นับจากปลายหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ กำหนดให้ตำแหน่งของดาวดวงที่สามนี้ อยู่ที่เทียบเท่ากับ ๕ นาฬิกา ตรงกลางของเรือนนาฬิกาคือ ดวงอาทิตย์ จะได้ตำแหน่งของพลังงานบริสุทธิ์อยู่ที่ตำแหน่ง ๑๒ นาฬิกา ดังนั้นจะมองเห็นพลังงานบริสุทธิ์คือ ไข่แดงของไข่ดาว และไข่ขาวคือ พื้นที่จักรวาลต่างๆ ทั้งหมด ที่บรรจุอยู่ภายในดาราจักรแห่งนี้ ดาราจักรที่โลกอยู่นี้เรียกว่า ทางช้างเผือก หรือ กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ส่วนดาราจักรที่อยู่ด้านขวา ใกล้ที่สุดกับทางช้างเผือกของโลกใบนี้ คือ ดาราจักรอันดรอมดา (Andromeda) หลายๆ ดาราจักรร่วมกันเป็นเอกภพนั่นเอง
    เอกภพ คือ พื้นที่ที่มีหลายๆ ดาราจักรรวมกันอยู่ มีขอบเขตกำหนดได้ด้วยจิต หรือคล้ายกับขอบของมิตินั่นเอง จะกว้างหรือแคบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสมดุลของพลังงาน ทั้งภายในและภายนอกเอกภพนั้นๆ ดังนั้นถ้าจะเรียงให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เห็นควรเริ่มจากขอบเขตขนาดเล็กไปหาขนาดใหญ่ จากดาวเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่นี้ คือ
    โลก [​IMG] สุริยะจักรวาล [​IMG] ดาราจักรทางช้างเผือก [​IMG] เอกภพ [​IMG] มหาเอกภพ
    [​IMG]
    ดาราจักรต่างๆ ที่รวมกันเป็นเอกภพ
    ณ การเริ่มต้นของเอกภพ
    “ ไม่มีอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าอยู่ที่ไหน ”
    ในห้วงอวกาศ ความเวิ้งว้าง คือ ความไม่มีรูปให้เห็น สิ่งที่มีอยู่ล้วนเป็นธาตุต้นกำเนิดแท้ๆ ในรูปของสิ่งที่ย่อยที่สุด คือ อณูของก๊าซที่รวมตัวเป็นก๊าซบรรจุอยู่ในอวกาศอย่างนั้น ก๊าซต่างๆ ปะปนกันโดยไม่มีแรงดูด ไม่มีแรงดึง ต่อมา กลุ่มก๊าซเหล่านี้ ล่องลอยด้วยมีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง กระทบกับมวลธาตุกลุ่มต่าง ๆ มีการเกิดการเสียดสีไปมา เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างธาตุ การเสียดสี และปฏิกิริยาเคมีมากขึ้น จนในที่สุดเกิดพลังงานความร้อนขึ้น ด้วยสาเหตุจากการสั่นสะเทือนของอณู จึงทำให้เกิดปฏิกิริยา “ฟิวชั่น (fusion)” มีการจุดระเบิดของปฏิกิริยาฟิวชั่นที่มีลักษณะการระเบิดอย่างต่อเนื่อง ผลของแรงระเบิดทำให้กลุ่มก๊าซต่างๆ อัดตัวกันเข้ากลายเป็นธาตุชนิดต่างๆ แต่ละชนิดเพิ่มขึ้น ระเบิดต่อเนื่องเป็นล้านๆ ปี จนที่สุดปฏิกิริยาฟิวชั่นลดลง จนกระทั่งหยุดการระเบิดเนื่องจากมวลธาตุที่เป็นมวลสารมาก จนส่งผลไปหยุดการสั่นสะเทือนของอณูก๊าซต่างๆ จึงมีอิทธิพลให้ปฏิกิริยาฟิวชั่นลดลง และหยุดในที่สุด ถึงจุดนี้มองดูมวลธาตุเหล่านั่นคือ มวลธาตุแท้ดั้งเดิม และเมื่อเริ่มเย็นลง พร้อมกับแรงอัดตัว เริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เมื่อใดที่ธาตุต่างๆเริ่มมีมวลที่แน่นขึ้น ย่อมเกิดแรงเหนี่ยวนำต่อกัน การระเบิดทำให้เกิดการหมุนเมื่อมีการหมุน จึงเกิดแรงดึงและแรงผลักดันระหว่างกันและกัน ทำให้เกิดการหมุนเหวี่ยงตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
    [​IMG] [​IMG]
    การกำเนิดระบบสุริยะ ​
    เมื่อแรกเริ่ม.. ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในสถานะของเหลวเหวี่ยงไปกระทบกับธาตุอื่นๆ เรื่อยๆ เกิดการรวมตัวกัน แล้วเย็นลงเป็นกลายเป็นกลุ่มดาวที่เกิดใหม่ บางดวงที่ยังคงสถานะเป็นแก๊ส และยังลุกไหม้จะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ในระยะแรกนั้น จะยังคงมีแรงระเบิดจากภายในอยู่เรื่อยๆ และมีแรงหมุนออกจากแกนกลาง ทั้งหมุนออกและหมุนเข้า แรงระเบิดส่งกลุ่มก๊าซและธาตุต่างๆ กระจายหลุดออกมา แล้วเริ่มเย็นตัวลงจนไม่มีแสงในตัวเอง แต่ยังมีความร้อนอยู่มาก กลายเป็นดาวเคราะห์ เมื่อดาวเคราะห์เย็นตัวลงแล้ว และอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ดวงใด ก็จะหมุนรอบดาวฤกษ์ดวงนั้น ด้วยแรงหนีศูนย์กลางที่สมดุลกับแรงดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง กลายเป็นดาวบริวารของดาวฤกษ์ที่เป็นดาวแม่ เจ้าทั้งหลายคงอยากรู้สิว่า แกนกลางดาราจักรพลังงานสูงสุดมาจากไหน แกนกลางดาราจักร นั้นกำเนิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการที่เอกภพเกิดการระเบิด และการรวมกันของก๊าซครั้งแรก ตามลักษณะปกติของการกำเนิดเอกภพ ในเวลานั้นการระเบิดจะเกิดขึ้นทั่วๆ ไป ทำให้มีการรวมตัวของธาตุและกลุ่มก๊าซต่างๆ เป็นกลุ่มก้อนกระจัดกระจายอยู่ทั่วๆ ไป ในที่สุดธาตุและกลุ่มก๊าซเหล่านั้น ก็จะเข้ารวมกันเป็นกลุ่มดาวต่างๆ จักรวาลต่างๆ แต่การระเบิดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเหตุให้เกิดแรงเหวี่ยง ซึ่งทำให้ดวงดาวที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหลาย กระทบกระแทกกันเกิดระเบิดซ้ำๆ ขึ้นอีก ในการระเบิดแต่ละครั้งธาตุหยาบก็จะจับตัวกันกลายสภาพเป็นวัตถุ ส่วนของพลังงานบริสุทธิ์ก็จะเข้าจับรวมตัวกันเช่นเดียวกัน อัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ แน่นขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดจึงกลายเป็นกลุ่มพลังงานที่ใหญ่ที่สุด มีแรงดึงดูดมากที่สุดทำให้วัตถุทั้งหลาย จักรวาล ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ กลุ่มดาว กลุ่มก๊าซที่อยู่ในบริเวณนั้น ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแรงดึงดูดของแกนพลังงานสูงสุดกลุ่มนั้น ทำให้เกิดสภาวะรวมตัวของดาราจักรขึ้น โดยมีแกนพลังงานสูงสุดเป็นแกนแกนกลางดาราจักร ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า แกนกลางดาราจักรเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการระเบิดของก๊าซต้นธาตุบริสุทธิ์เหล่านั้นนั่นเอง หากถามว่าดาราจักรหลายๆ ดาราจักรเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ตอบได้ว่าไม่พร้อมกัน
    เอกภพ คือ ที่ว่างปราศจากสิ่งใด ที่อยู่ในมิติเวลาหนึ่ง มีความสามารถขยายและหดตามอายุและวัฏจักรของมัน ตามวิธีนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดาราจักรมีหมดอายุได้ เช่น อันโดรเมดา เมื่อหมดอายุแกนกลางดาราจักรจะใช้งานไม่ได้ แม้มีพลังงาน ต้องรวมกับดาราจักรใกล้เคียง จึงเป็นเหตุให้เกิดการรวมเชื่อมต่อกัน ระหว่างดาราจักรทางช้างเผือกกับอันดรอมดา เป็นต้น
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td> </td> <td> </td> <td> </td> </tr> <tr> <td> </td> <td>[​IMG]</td> <td> </td> </tr> <tr> <td> </td> <td>ภาพที่ 1 พลังงานบริสุทธิ์รวมจับตัวเป็นจิตที่ตรงศูนย์กลางที่อยู่นั้นเป็นสภาพ สุญฺญตา</td> <td> </td> </tr> <tr> <td> </td> <td> </td> <td> </td> </tr> </tbody></table> การทำความเข้าใจอาจจะทำได้ยากเกินไป จึงเสนอตัวอย่างความเป็นไปของดาราจักรที่ชื่อว่า ดาราจักรอุตตรเกษตร เริ่มต้นเมื่อดาราจักรสมบูรณ์ด้วยพลังงาน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเริ่มอุบัติขึ้นบนดวงดาว พลังงานเริ่มกลับคืนสิ่งมีชีวิตต่ำค่อยๆ ขยับสูงขึ้นด้วยความสมดุลของธรรมชาติในระบบการวิวัฒนาการ นับได้ว่าตั้งแต่เริ่มของการอุบัติขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตนั่น หมายถึง การเริ่มต้นของพลังงานเพื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ความเป็นพลังงานบริสุทธิ์ดังเดิม ในที่สุด หมายสู่ความประภัสสรเข้าที่เดิม การเกิดแรงระเบิดที่ผลักให้มวลรวมตัวกัน เกิดพลังงานบริสุทธิ์รวมจับตัวเป็นจิตที่ตรงศูนย์กลางที่อยู่นั้นเป็นสภาพ สุญฺญตา (รูปที่ ๑) จิตที่พัฒนาขึ้นแล้วมีความไม่รู้ จึงเป็นธรรมชาติที่ต้องเอาอวิชชาออกจากจิตเหล่านี้ เพื่อการกลับคืนสู่พลังงานรวมตัวเป็นพลังงาน ไม่คงเหลือสภาพมิติ ภพภูมิไม่มี คงเหลือแต่มนุษย์รุ่นสุดท้าย เป็นมนุษย์ที่มีจิตสูงทั้งนั้น เป็นที่ขุดรื้อของวิญญาณสู่หนทางถูกต้อง จะสละสภาพกายหยาบเมื่อหมดอายุขัย เคลื่อนจิตเข้าสู่พลังงานสูงสุด ทุกอย่างคืนสู่ที่เดิมแกนกลางดาราจักร ในสภาวะปัจจุบันของโลกใบนี้ การขาดสมดุลเช่นนี้ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในมิติวัตถุต่างๆ ขาดจากการปรับให้เกิดความสมดุลได้ ดังนั้นพลังชีวิตเริ่มสลาย การสลายแรงยึดโยงกรรม ส่งผลให้เกิดสภาวะอายุของธาตุขาดการเหนี่ยวนำ พลังงานยึดโยงก็สลายตัวออก ธาตุผสมแยกตัวเป็นธาตุเดิม ทุกอย่างก็สลายตาม เปลี่ยนสถานะตัวเอง อย่างเช่นดาวฤกษ์มีการยุบตัวเรียกว่า การดับ เกิดโพรงหลุมคล้ายหลุมดำดึงดูดมวลต่างๆ ให้กลับคืนสู่ความสมดุล ส่วนหนึ่งเหลือแต่ซากเป็นฝุ่นละออง ทุกอย่างเหมือนฉายภาพยนตร์ย้อนกลับ กลับคืนเป็นกลุ่มแก๊ส กลับคืนสู่แกนกลางดาราจักรเหลือแต่ฝุ่น เมื่อมีพลังงานสมบูรณ์กลับเข้าสู่ตนมากขึ้น การหมุนจากแกนกลางแกนกลางดาราจักรยังมีต่อเนื่อง ความสมดุลคืนพลังงานขาวและพลังงานดำที่อยู่ร่วมกัน หลุมดำกับพลังงานบริสุทธิ์ จะกลับคืนพลังงานบริสุทธิ์มากกว่าความบริสุทธิ์มากกว่า ถามว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ตอบว่าเพราะเทวดารุ่นที่หนึ่งมีความสามารถปฏิบัติงานสำเร็จได้ นี้แหละคือความสำเร็จของเทวดารุ่นที่หนึ่ง เมื่อพลังงานบริสุทธิ์กลับคืนแกนดาราจักรมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความไม่สมดุลการระเบิดก็เกิดขึ้นอีก การระเบิดของธาตุและพลังงาน คือ พลังงานที่ประกอบเป็นของหยาบ พลังงานบริสุทธิ์ส่วนด้านนอกแกนกลางดาราจักรจะมีลักษณะที่หยาบกว่าด้านใน ส่วนด้านในของแกนดาราจักรจะบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เป็นที่จุดกำเนิดของธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ คือ บ้านของเทวดายังไง การระเบิดพลังงานธาตุในรูปของแก๊สจะค่อยๆ รวมตัวกัน เริ่มมีความร้อนเกิดขึ้นจากการเสียดสี แล้วเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นเป็นดาวฤกษ์ เมื่อความร้อนต่ำลงจะเริ่มควบแน่นเป็นของเหลวรวมกับธาตุอื่น เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบเป็นดวงดาวต่างๆ ในดาราจักรมีกลุ่มแก๊สที่เรียกว่า เนบิวลา แก๊สพวกนี้จะก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ๆ จะกระจายไปตามดาวต่างๆ ดาวเคราะห์มีมวลหนักแรงหมุนน้อยกว่าดาวฤกษ์ จึงเป็นบริวารของดาวฤกษ์ทำให้เกิดระบบสุริยะ แต่อยู่ในแรงดึงดูดเพื่อการจัดสมดุลของแกนกลางดาราจักร เหมือนแขนของพ่อกับแม่เรียก ดาราจักรใหม่ แต่เป็นดาราจักรใหม่ที่เกิดทับดาราจักรเก่าเวลาต่างกัน แกนกลางดาราจักรเดียวกัน จุดกำเนิดเดียวกันหมด มีอาณาเขตตามกำลังของแกนกลางดาราจักรที่จะเอื้อมไปถึง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมิติเวลาแห่งอาณาจักรขึ้น จากอาณาจักรเก่า “อุตตรเกษตร” เป็นอาณาจักรใหม่ “ทางช้างเผือก” ในปัจจุบันตามเวลาของมนุษย์ที่กำหนดบนโลกนี้
    </td></tr></tbody></table>
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>กำเนิดและสมดุลแห่งพลังงานธรรมชาติ:</td> </tr> <tr> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td rowspan="3" width="29%">
    [​IMG]
    </td> <td valign="top" width="71%">การกำเนิดมนุษย์และสรรพชีวิต</td> </tr> <tr> <td valign="top">โดย Dr.G.G. Junior</td> </tr> <tr> <td valign="top">www.universal-signal.com</td> </tr> <tr> <td colspan="2"> </td> </tr> <tr> <td colspan="2">
    เมื่อดวงดาวเริ่มเย็นตัวส่วนที่เป็นของหนักธาตุหนักจะตกลงไปอยู่แกนกลาง จากแรงระเบิดที่เหวี่ยงออกมาทำให้เกิดแรงหมุน แรงหมุนนั้นไม่จบ เมื่อธาตุหนักรวมตัวสู่แกนกลาง ธาตุเบาลอยขึ้นข้างบนเกิดชั้นของดินและบรรยากาศ หินแข็งเป็นแกนกลาง หินร้อน เย็นลงเป็นเปลือกโลก บางดวงดาวมีแต่แก๊สที่เป็นของเหลวก็จะจัดสรรตัวเองควบแน่นให้เป็นธาตุแข็งต่อไป ​
    ในการระเบิดที่เกิดจากการกระทบกันของธาตุต่างๆ และการระเบิดเองของดวงดาวด้วย จะทำให้เกิดพลังงานขึ้นมาด้วย เมื่อธาตุรวมกับธาตุเกิดธาตุหยาบดวงดาวต่างๆ พลังงานเมื่อรวมกับพลังงาน ทำให้เกิดธาตุรู้ขึ้นเล็กๆ มากมาย ธาตุรู้เหล่านี้เกิดการรวมตัวกัน และในขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมก็มีธาตุหยาบ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟที่สมดุลแล้ว ธาตุรู้ก็ไหลรวมกับธาตุหยาบที่สมดุล ทำให้เกิดสิ่งที่มีชีวิตเกิดขึ้น การกระทำของสิ่งที่มีชีวิตก่อให้เกิดกรรม เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้น จะสังเกตได้ว่า การมีความสัมพันธ์ของการเกิดขึ้นอยู่กับปัจจัย ประการที่หนึ่ง คือ ความสัมพันธ์ของลักษณะธาตุรู้ที่พกพาการเชื่อมโยงลักษณะของสิ่งที่มีชีวิต แสดงด้วยรหัสทางพันธุกรรม ตามชาติพันธุ์ที่ต่างกันตรงคุณภาพของกลุ่มธาตุรู้นั้นๆ ประการที่สอง ความสัมพันธ์ของกรรม รวมทั้งกรรมที่เพิ่มพูน หรือกรรมที่หักล้าง ก็สามารถส่งผลให้เกิดความผูกพันกันของสิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้น
    [​IMG]
    นอกจากรหัสพันธุกรรมตามชาติพันธุ์แล้ว ยังมีกรรมเหล่านี้แฝงอยู่ ส่งผลไปถึงการกำเนิดในภายภาคหน้าด้วย เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ แล้วยังส่งผลไปถึงการดำเนินชีวิต และวิถีชีวิตต่อไป ในที่สุดก็มีวิวัฒนาการมาถึงชาติพันธุ์ที่เรียกว่า “มนุษย์” อันเป็นชาติพันธุ์ที่ถือว่า ประเสริฐที่สุด เพราะได้พัฒนามาจนถึงขั้นที่มีสำนึกรู้เต็มที่สมบูรณ์ สามารถติดต่อสื่อสารกับธาตุรู้ยิ่งใหญ่ได้ การพัฒนานั้น มิได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลเดียว แล้วโตขึ้นเรื่อยเป็นมนุษย์ วิวัฒนาการนั้นมาจากกรรม ดังนั้น มนุษย์มิได้มีบรรพบุรุษมาจากลิงค่างที่ไหน มนุษย์มีบรรพบุรุษเป็นมนุษย์นั่นเอง เป็นวิวัฒนาการที่สร้างชาติพันธุ์ของตัวเองขึ้นจากสภาพจิตที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นวิวัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่แรกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์เลยแม้แต่น้อย จิตของสิ่งที่มีชีวิตใด ก็พัฒนาแบบของใครของมัน ตามขนาดและคุณภาพของจิต เนื่องจากสำนึกรู้ของธาตุรู้ในจิตที่มีขนาดและคุณภาพที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง ดังนั้นมนุษย์จึงต้องการองค์ประกอบของกายหยาบที่สมบูรณ์มากขึ้น ตามสภาวะของธรรมชาติก็จัดสรรองค์ประกอบของร่างกาย ให้อยู่ในรูปแบบของมนุษย์ มีความพร้อมของรยางค์ที่จะใช้ในการดำรงชีวิตคือ มือนิ้วกล้ามเนื้อต่างๆ ขา เท้า มีสมองที่ใหญ่ และมีความสามารถในการประมวลคำสั่งประมวลข้อมูลความรู้ต่างๆ รองรับอำนาจจิต ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ จากมนุษย์ร่างใหญ่ตัวโตมากก่อนยุคน้ำแข็ง แต่หลังยุคน้ำแข็งมนุษย์ลดขนาดลงเหมือนสัตว์อื่นๆ เพื่อความอยู่รอดถึงทุกวันนี้ มนุษย์ลดขนาดลงไปอีก เพราะมันแย่งกันกินแย่งกันอยู่ ถ้ามีปัจจัยในการดำรงชีวิตด ีร่างกายก็ใหญ่ขึ้นได้เช่นกัน
    สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีพัฒนาการของมันเอง ในแต่ละเผ่าพันธุ์ก็ยังมีแบ่งย่อยลงไปเป็นชนิดต่างๆ สิ่งนี้เกิดมาจากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ของตัวเองนั้นเอง อย่างเช่นมนุษย์ ก็ยังมีสายพันธุ์ที่เป็นผิวเหลืองผมดำตาดำ ผิวขาวผมแดงตาฟ้า ผิวดำผมหยิก อย่างนี้เป็นต้น นกก็เป็นตัวอย่างที่ดีมีหลายพวกมากทีเดียว แต่ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์นก การพัฒนาอย่างนี้เรียกว่า พัฒนาไปตามสายพันธุ์มีวิวัฒนาการ แตกแยกไปเรื่อยๆ แต่มนุษย์จะไม่ขยายพันธุ์ข้ามเผ่าพันธุ์เด็ดขาด และสัตว์โดยส่วนใหญ่มิอาจขยายพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ได้เหมือนกัน
    นั่นเพราะการผูกพันตามสายพันธุ์มันเกี่ยวข้องไปถึงระดับของจิต เมื่อมีการถือกำเนิดขึ้นนั้น มิใช่เป็นไปตามลักษณะทางเคมีและกายภาพอย่างเดียว มีความจำเป็นต้องมีจิตเข้าไปร่วมด้วย ฉะนั้นจิตจะถูกแบ่งกันไปตามลักษณะของความละเอียด ทำให้เกิดภพภูมิและทำให้เกิดชาติพันธุ์สายพันธุ์ขึ้น จิตของสัตว์แต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไป ตามความละเอียดและขนาดที่ทำให้เกิดมีสำนึกรู้ที่แตกต่างกัน มนุษย์ถือเป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุด
    ระดับของจิตแรกเริ่ม ทำไมจึงมีการแบ่งระดับของจิต เป็นเพราะจิตที่เข้ารวมกันนั้น บางครั้งมันก็รวมกันเข้าชิ้นเล็ก สมมติว่านับเป็น ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ก็แล้วกันนะ จิตที่รวมกันเข้าสองอณูแล้ว ไปเจอกับธาตุหยาบที่มีความพอดีสมบูรณ์เพียงพอ จะเป็นที่อยู่อาศัยของสองอณูนั้นพอดี ก็สวมเข้าไปเลยกำเนิดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง อะไรก็ไม่รู้หนึ่งอย่าง แล้วก็มีอณูสองอณู เหล่านี้ประมาณหนึ่งล้านดวง ก็เลยเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นหนึ่งล้านชีวิต อณูที่จะร่วมกับธาตุหยาบที่สมดุล เกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตได้ต้องมีจำนวนตั้งแต่ ๒ อณูเป็นต้นไป อณูเลขคู่จะเป็นสัตว์ อณูเลขคี่จะเป็นพืช
    สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็มีวิวัฒนาการมาจากสิ่งเดียวกันหมด ก็คือการรวมตัวของธาตุที่มีสารต้นกำเนิดที่เรียกว่า “รหัสพันธุกรรม” (ที่ประกอบด้วยกรดนิวคลิอิค พิวรีน และไพริมิดีน สองชนิดรวมตัวต่อเชื่อมกันด้วยน้ำตาล ไรบูโลส และฟอสเฟต) ที่ควบคุมธาตุเหล่านั้นอยู่บนโลกนี้แหละ ไม่ได้เอามาจากไหน แล้วจิตก็คือ พลังงานเดียวกัน เพียงแต่มีขนาดใหญ่เล็ก ทำให้เกิดสำนึกรู้แตกต่างกัน แต่มิได้เกิดจากวิวัฒนาการของสัตว์ แต่เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติเกิดจากสัตว์เล็กๆ ในน้ำก่อน แล้วมีวิวัฒนาการจากการรวมตัวของธาตุต่างๆ จึงแปลกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การกลายพันธุ์ ไม่ได้มาจากแบคทีเรียแล้วกลายเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่า แต่เป็นการอุบัติขึ้นจากการรวมตัวใหม่ๆ ของธรรมชาติในหลายๆ รูปแบบ รวมตัวเริ่มจากธาตุรู้เล็กรวมตัวเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
    แรกเริ่มเดิมทีอณูธาตุรู้ที่มารวมกัน จับกันเล็กๆ ก็ต้องการกายหยาบเล็กๆ บังเอิญธาตุรู้ที่จับกันใหญ่ขึ้น ก็ต้องการกายหยาบที่ใหญ่ขึ้น ธาตุรู้แรกเริ่มที่รวมตัวกันเป็นมนุษย์คนแรก ไม่ได้มาจากสัตว์ เป็นธาตุรู้ที่รวมตัวกันสมดุลเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นธาตุรู้ที่วิวัฒนาการจากการรวมตัวของตัวเอง มนุษย์สร้างกรรมด้วยตัวเอง แล้วก็ไปสร้างภพภูมิให้ตัวเอง ขึ้นลงด้วยกรรมของตัวเอง เขาเรียกว่า มาสว่างแล้วไปมืดด้วยตัวของเขาเอง พูดอย่างนี้เข้าใจไหม เข้าใจความหมายของการรวมตัวของธาตุรู้แรกเริ่มไหม ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมตัวกันเป็นรยางค์ มันก็เริ่มจากก้อนๆ หนึ่งก่อนอย่างที่บอกนั่นแหละ แล้วก้อนๆ นั้นก็เริ่มขยับวิวัฒนาการของตัวเองงอกแขนงอกขามาเป็นมนุษย์ การที่จิตเกิดจากอณูต่าง ๆ รวมตัวกันเข้าใจไม่ยากนะ อณูธาตุรู้ สองอณูรวมกันเป็นอณูจิตอณูเดียวก็เป็นสัตว์เซลเดียว บังเอิญการรวมตัวของเป็นอณูจิตสองอณูก็เป็นสัตว์สองเซล บังเอิญการรวมตัวของอณู ๑๖ อณู ก็กลายเป็นมนุษย์ไง การรวมตัวของธาตุรู้ที่มาเป็นมนุษย์มีสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด ฉลาดที่สุด จึงถูกผู้สร้างเลือกให้เป็นชาติพันธุ์ที่เป็นภพกึ่งกลาง จะเห็นรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่เทวดาแผลงจิตลงมาครองกายหยาบจึงเป็นรูปแบบที่ชื่อว่า มนุษย์นี่แหละ เพื่อทำงานสร้างสมดุลของธรรมชาติยังไง ใครมาบอกเจ้าว่ามนุษย์มาจากลิงอย่าไปเชื่อมันล่ะ สิ่งมีชีวิตในโลกของเจ้าทั้งหลายนี้ ที่มีสำนึกรู้สูงมากที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากมนุษย์ก็มีวัวและช้างอีกสองชนิดเท่านั้น ที่มีการรวมตัวของอณู ๑๖ แต่การวิวัฒนาการกายหยาบของมันในช่วงแรกไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เป็นสัตว์ทั้งสองชนิดอยู่ในฐานะสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ สัตว์ป่า หากินตามป่า หรือสัตว์ที่มนุษย์นำจากป่านำมาใช้งาน ด้วยความฉลาดกว่าสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ของมนุษย์นี่เอง ทำให้กำหนดสภาพร่างกายไปตามจิต มีการแปลงไปเรื่อยๆ จนเกิดความสมบูรณ์ของกายหยาบ อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ หมายความว่า ในโลกนี้มีภพภูมิต่างๆ สัตว์ก็จะเป็นภพภูมิหนึ่งเหมือนกันไม่ได้อยู่ภพภูมิเดียวกับมนุษย์ แต่ภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่ผสมปนเปกันอยู่ ประกอบด้วยหลายภพภูมิด้วยกัน มิติหยาบที่มองเห็นได้อยู่ร่วมกันได้ คือมิติมนุษย์จะมีภพภูมิมนุษย์ ภพภูมิที่เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ร่วมกันในมิตินี้ เกิดจากการทับซ้อนกันสนิทของภพภูมิมนุษย์และสัตว์ จึงมีสภาพที่เห็นว่าอยู่มิติเดียวกัน แต่ความเข้าใจที่มีต่อกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ก็ยังไม่สามารถปรับคลื่นได้ตรงกันพอดี จึงไม่สามารถสื่อสารกันได้ เป็นสิ่งซึ่งแสดงความต่างภพให้เห็น ความเป็นอยู่การใช้ชีวิต ความเข้าใจของเราเป็นอย่างหนึ่ง เขามองเราอย่างหนึ่ง เข้าใจอย่างหนึ่ง แตกต่างกันมากเหมือนคนละโลกทีเดียว ถ้ามนุษย์เอาหัวใจไปใส่ ใจสัตว์เหล่านั้นได้ จะพบว่าความเข้าใจแตกต่างกันมากมาย ไม่เป็นอย่างที่มนุษย์เข้าใจ แม้จะอยู่ร่วมกันได้ในมิติเดียวกันนี้ก็ตาม นอกจากนี้ ความที่กายหยาบมีความหนาบางไม่เท่ากัน จึงทำให้ซ้อนทับกันอยู่อย่างมองไม่เห็นอีกหลายภพภูมิ ที่จริงแล้วก็ซ้อนทับกันอยู่นี่แหละ อาจจะกล่าวได้ว่าภพภูมิที่ไม่สามารถมองเห็นกันได้เกิดจากการซ้อนทับกันไม่สนิทของภพภูมิ มนุษย์รวมภพภูมิทั้งหลายนี้ว่า สวรรค ์คือ ภพภูมิที่สูงกว่าภพภูมิมนุษย์ และนรก คือ ภพภูมิที่อยู่ต่ำกว่าภพภูมิมนุษย์ ภพภูมิทั้งหลายทั้งหมดนี้ เป็นที่อยู่ของจิตทุกดวงจิตได้ ขึ้นกับขนาดและสภาวะจิตที่เปลี่ยนไปนั่นเอง อย่างเช่นมนุษย์ที่มีขนาดจิตเล็กลงกว่าที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ขั้นแรกก็อาจจะเปลี่ยนจากการเป็นมนุษย์ไปเดรัจฉานได้ ถ้าสภาวะและขนาดของจิตเล็กกว่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ ก็ต้องเกิดเป็นสิ่งที่ต่ำกว่าสัตว์อย่างนี้ เข้าใจหรือยัง มนุษย์ผู้โง่เขลา การเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ปกติ แต่เป็นเพื่อการใช้กรรมต่างหาก มนุษย์ทั้งหลายจงฟัง... ภพมนุษย์ถือเป็นภพกึ่งกลาง ผู้สร้างกรรมหนัก เมื่อจบชีวิตจากภพมนุษย์แล้ว จะเปลี่ยนภพภูมิไปตามกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้น ระยะเวลาที่จะอยู่ในภพภูมิอื่นๆ ก็คือระยะเวลาของการใช้กรรมนั่นเอง สมมติว่ากรรมนั้นทำให้เกิดผลกรรมคือ วิบาก ที่จะต้องตกไปอยู่ในนิริยะภูมิคือ ภพภูมินรก ชั้นของเปรตเป็นระยะเวลา ๑๕๐ ปี คำนวณเวลาได้จากอะไร คำนวณเวลาได้จากผลกรรมที่กระทำนั้น ว่าจะต้องสังเวยผลนานเท่าไร เมื่อมนุษย์สิ้นภพชาติ ก็จะลงไปเสวยผลกรรมนั้น เมื่อครบแล้วใช้กรรมนั้นหมดแล้ว สมมติว่ามนุษย์ผู้นี้มีวิบากชั่วกรรมนั้นอย่างเดียว เมื่อพ้นกรรมนั้นแล้ว ชดเชยหมดแล้วใช้หนี้สินหมดแล้ว ก็จะกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิม เพราะดวงจิตนั้นคือมนุษย์ หากมนุษย์ผู้หนึ่ง กระทำความดีงาม เป็นที่พึงพอใจของตัวเองและผู้อื่นมาตลอด ก็จะต้องได้รับการเสวยผลบุญ หรือวิบากดี เมื่อมนุษย์พ้นภพชาตินี้ไป ก็จะไปอยู่บนภพภูมิของสวรรค์ แต่เป็นไปเพื่อการเสวยผล การกระทำของตัวเท่านั้น ไม่มีสิทธิสร้างผลกรรมในสถานที่นั้น เข้าใจไหม ผู้สร้างบุญหรือกรรม คือ มนุษย์เป็นภพที่อยู่ตรงกลาง เป็นผู้โชคดีที่สุด ที่จะเลือกหนทางของตัวเองได้ สมมติว่าทำทั้งวิบากดีและวิบากชั่ว สิ่งที่จะให้ผลครั้งแรกคือ ดวงจิตของมนุษย์ผู้นั้นก่อนจะสิ้นภพชาติ ผูกพันอยู่กับอะไรมากที่สุด จะพุ่งไปหาผลของกรรมนั้นก่อนสิ่งอื่นใด แซงหน้าสิ่งอื่นใด และยังมีความซับซ้อนในเรื่องของกรรมอีกมากนัก เช่นทำกรรมดีได้รับผลดี ทำกรรมชั่วได้รับผลชั่ว ทำกรรมดี ๕ อย่าง ซึ่งสอดคล้องไปข้องเกี่ยวกับกรรมชั่ว ๒ อย่าง อาจทำให้กรรมชั่วนั้นมีผลลดลง นี้คือมนุษย์กับการเชื่อมโยงของกรรมตน
    </td></tr></tbody></table>
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td colspan="3">[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]</td> </tr> <tr> <td width="73%"> </td> <td width="5%"> </td> <td width="22%"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"> การเกิด และการพัฒนาจิตของมนุษย์</td> </tr> <tr> <td colspan="3">โดย Dr.G.G. Junior</td> </tr> <tr> <td colspan="3">www.universal-signal.com</td> </tr> <tr> <td colspan="3"> </td> </tr> <tr> <td colspan="3">การควบแน่นของพลังงานที่มีอยู่ทั่วไปในจักรวาล ทำให้เกิดธาตุรู้เล็กๆ กระพริบขึ้นในอณูแห่งพลังงานนั้นๆ รวมตัวกันใหญ่ขึ้นเรียกว่า จิต เมื่อธาตุรู้มีมวลมากขึ้น ต้องการที่อยู่ จึงเกิดการรวมเข้ากับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สมดุล ทำให้บังเกิดความมีชีวิตของสรรพชีวิตทั้งหลายขึ้น การรวมกันของจิตและธาตุทั้ง 4 ที่มีความสมดุล การเกิดขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ 1. มีจิต 2. มีมวลที่ธาตุดิน น้ำ ลม และไฟที่สมดุล และมีการกำหนดสัญชาตญาณแห่งการมีชีวิตตามธรรมชาติ ด้วยการดำรงเผ่าพันธุ์ ส่วนกรรมที่สร้างขึ้นชักนำให้เกิดภพชาติ เป็นพันเป็นหมื่นภพ กรรมเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นไปของภพชาติ สัญชาตญาณของมนุษย์ทำให้เกิดอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน คือ การยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวตนในแต่ละภพชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เว้นแต่มนุษย์ที่มีปัญญาด้วยจิตที่มีสติ จึงสามารถสร้างเส้นทางของกรรมให้มีแนวทางใหม่ เพื่อลดกรรมที่อยู่บนเส้นทางเดิม ที่ลิขิตตนเองจากกรรมในภพก่อนๆ นั้นของมนุษย์ มนุษย์ผู้ไม่มีปัญญาจะไม่สามารถสร้างเส้นทางของกรรมใหม่ได้เลย มีแต่อารมณ์และสมองพิจารณาความเป็นตัวตนอยู่เช่นนั้น จึงทำให้กรรมเดิมทวีความรุนแรงขึ้นตามภพชาติแห่งตน เปรียบเสมือนกรรมในภพก่อนๆ นั้น ได้ขุดสร้างคลองแห่งกิเลสให้มนุษย์ในภพนี้ ดำเนินชีวิตไปเพื่อการชดใช้กรรม หรือการเดินทางร่วมของจิตทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกัน มนุษย์ผู้มีปัญญาพิจารณากิเลสทั้งหลาย เพื่อความสว่างของจิตที่มีสติอยู่อย่างต่อเนื่องแล้ว จึงเสมือนขุดคลองเส้นใหม่ ให้ดำเนินไปตามกรรมและชีวิตแห่งตน เพื่อการลดละกรรมทั้งหลาย ดังนั้นคลองเส้นใหม่เป็นเส้นทางที่ดีกว่าคลองเส้นเดิม
    การหมุนเวียนของจิตในวัฏสงสารนั้น มนุษย์สามารถมองเห็นความเป็นจริงของตนด้วยความเป็นมนุษย์เท่านั้น มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจว่า แต่ละภพชาติ มีการเปลี่ยนแปลงธาตุทั้งสี่ที่ประกอบขึ้นเป็นกายหยาบนั้น ไม่แน่นอนแม้แต่สักภพชาติเดียว มนุษย์ผู้เกิดมาเป็นพัน เป็นหมื่นภพ แล้วจะเลือกได้อย่างไรว่า ตนมีชื่อใด ตนมีสถานะเป็นใคร และตนนั้นมีความสัมพันธ์กับใคร ความจริงข้อนี้ก็คือ ความไม่แน่นอนทั้งปวงแห่งกายหยาบมนุษย์นั่นเอง เปรียบเสมือนดั่งการสวมเสื้อผ้าของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาเสมือนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ไม่นาน เสื้อผ้านั้นก็เก่า กายหยาบก็เช่นกัน เมื่อกายหยาบคือ ร่างกาย เสื่อมลงก็ต้องละทิ้งสังขารไปหากายหยาบใหม่ ก็เหมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ละครั้งนั่นเอง ระยะเวลาแต่ละภพของมนุษย์เสมือนดั่งละครหนึ่งเรื่อง เริ่มเปิดฉากขึ้น ต่างก็แสดงบทบาทไปตามที่ตัวละครตัวนั้นๆ ต้องเล่นไป จนปิดฉากลง นั่นคือ การจากโลกนี้ไปในแต่ละครั้ง เมื่อเริ่มต้นภพใหม ่ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องใหม่ แสดงเป็นตัวละครตัวอื่นใหม่ต่อไป ไม่สามารถเชื่อได้ยึดได้ว่า ตัวเราเป็นตัวละครตัวนั้นตลอดไปทุกภพทุกชาติ
    จิตมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะเป็นพลังงานละเอียด คือ การมีธาตุรู้ที่กระพริบให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า สติ สติเป็นตัวที่ทำให้เห็นความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ โดยแท้ด้วยปัญญา เมื่อพิจารณาได้ครบถ้วนแล้ว จะพบความเป็น "อนิจจัง" (ความไม่เที่ยง) ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ใช้สมองประมวลผลกลั่นกรอง พิจารณาภายใต้การควบคุมของสัญชาตญาณ ที่เป็นจิตสำนึก ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า อารมณ์ จึงไม่พบความจริงแท้ในธรรมชาติ มีแต่สภาวะที่ยึดมั่นถือมั่นในตน ในทรัพย์ในสถานะทางสังคมแห่งตน ทำให้พบแต่รากเหง้าของอวิชชา ตัณหา และอุปาทานเท่านั้น ที่เป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งหลาย โดยมนุษย์ใช้ความรู้เดิม ที่เป็นสภาวะมนุษย์จากสัญชาตญาณที่ไม่จริงตามธรรมชาติจากสมอง โดยจิตสำนึกเป็นเครื่องตัดสิน เพื่อยังประโยชน์แก่ตนในการเอาชีวิตรอด ในการรักษาทรัพย์ที่เชื่อว่าเป็นของตน และสถานะทางสังคมที่ดำรงอยู่เชื่อว่าเป็นของตน จึงพบแต่สภาวะที่เรียกว่า “อัตตา” มนุษย์รับข้อมูลด้วยอายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ทั้งหก ซึ่งมีขีดจำกัดในการรับรู้คือ รับส่งข่าวสารได้เพียงของหยาบเท่านั้น เมื่อทำงานเชื่อมส่งข้อมูลไปเก็บที่สมอง โดยมีสัญชาตญาณเป็นตัวควบคุมความเป็นมนุษย์นั้นอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถบรรลุถึงความเป็นจริงแห่งธรรมชาติได้ ซึ่งในขณะนั้น มนุษย์เพียงแต่ถูกสัญชาตญาณกำหนดให้พาตนไปให้มีชีวิตรอด รักษาทรัพย์แห่งตน และสถานะทางสังคมของมนุษย์ ด้วยความเชื่อแห่งความยึดมั่นถือมั่น มนุษย์สรุปส่งข้อมูลเหล่านี้ไปเก็บที่สมองเราเรียกว่า ความรู้เดิม และเมื่อรับรู้สัมผัสจากอายตนะครั้งต่อไป ก็ใช้ความรู้ที่เก็บในสมองนี้พิจารณาตัดสินทุกครั้งไป สุดท้ายความรู้เดิมแห่งความเป็นอัตตาเกาะยึดแน่นเพิ่มพูนทวี ให้จิตนั้นตกอยู่ในความมืดลงทุกขณะจิต
    มนุษย์ยึดติดกับกฎเกณฑ์ที่ตนเองสร้างขึ้น ไปพิพากษาผู้อื่นโดยไม่มีมาตรฐานเดียวกัน เช่น มนุษย์ผู้หนึ่งถือศีลตั้ง 227 ข้อ ในมือถือภาชนะใส่อาหาร มีจิตใจเบิกบานสว่าง ได้ให้โอกาสแก่มนุษย์ผู้อื่น ด้วยการเดินไปโปรดสัตว์ให้ได้สร้างกุศลแห่งการให้ทั้งปวง มนุษย์ผู้นี้ เดินเหยียบย่ำสัตว์ขนาดเล็กเสียชีวิตจำนวนมากทุกๆ วันที่ออกไปโปรดสัตว์ ปฏิบัติเช่นนี้จนสิ้นอายุขัย ผลแห่งกุศลจิตนำไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง ฉะนั้นการทำปาณาติบาตทุกวัน เหตุใดจึงไม่มีบาปไปตัดทอนการเป็นเทวดาชั้นสูง เหตุผลก็คือ เนื่องจากไม่มีเจตนาแม้แต่น้อย ที่จะหมายปองชีวิตของสัตว์ขนาดเล็กเหล่านั้น ดังนั้นจิตจึงไม่เกิดการรับรู้ต่อการกระทำนั้น และการได้เป็นผู้ให้ทำให้จิตมีความสว่างและเบิกบานเป็นการขยายจิตให้ใหญ่ขึ้น (การปฏิบัติเช่นนี้ เป็นการพัฒนาจิตให้ยกระดับขึ้น ขนาดของจิตใหญ่ขึ้น เนื้อจิตละเอียดขึ้น สว่างขึ้น มีอานุภาพมากขึ้น มนุษย์เรียกว่า “จิตวิวัฒน์” แต่ในความเป็นมนุษย์ทั้งหลายที่ยึดมั่นถือมั่น จึงใช้วิธีเข้าสมาธิสร้างจิตให้ใหญ่ ใช้อวิชชาจากความรู้เดิมที่สมองประมวลไว้ ยกตนให้มีจิตใหญ่เหนือมนุษย์อื่นด้วยฤทธิ์ อาคม มีความรู้ที่หลงผิดนึกเอาเองว่า จิตตนเองใหญ่ ดังนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่จริงตามธรรมชาติ ความไม่เห็นจริงตามธรรมชาติ) จึงเห็นได้ชัดเจนว่า มนุษย์ตั้งกฎเกณฑ์ของตนเพื่อความประสงค์ในความเป็นอยู่แห่งมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากความเห็นจริงตามธรรมชาติเช่นนั้นแล้ว สังเกตได้จากมนุษย์ตั้งกฎเกณฑ์ใดก็ตาม จะมีข้อยกเว้นเสมอ เพราะไม่เป็นสัจจะธรรมไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งข้อเท็จจริง สรุปว่ากฎเกณฑ์ของมนุษย์วัดอะไรไม่ได้เลย แต่การวัดที่เห็นจริงตามธรรมชาติ เกิดได้แต่จิต เรียกว่า เจตนา การเกิดกรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีองค์ประกอบที่ครบถ้วน คือ
    • คิดไตร่ตรองและมีความตั้งใจที่จะกระทำกริยานั้นๆ
    • วางแผนที่จะกระทำตามที่คิดและตั้งใจไว้
    • ลงมือกระทำให้บรรลุตามแผนการที่ตั้งใจไว้
    • การกระทำนั้นเป็นผลสำเร็จตามที่ไตร่ตรองไว้
    กรรมะที่สมบูรณ์เป็นกรรมที่มีทั้งโจทก์และจำเลย เป็นกรรมที่ต้องโทษด้วยบาปในการกระทำ นอกจากบาปที่จะได้รับจากการที่เจ้ากรรมนายเวรทวงถามแล้ว ยังต้องบาปเสมอเหมือนด้วยมนุษย์ต้องคดีอาญาด้วยอีก เป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งใดที่เป็นเครื่องส่องทางสว่างสำหรับมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากสัญชาตญาณเข้าสู่โมกษะ ในที่นี้จะกล่าวถึงอุปกรณ์เหล่านี้แบบย่อก่อนพอสังเขป สามารถค้นหาความละเอียดได้ในบริบทที่ว่าด้วยสมาธิ
    สมาธิ ฌาน สติ ญาณ ปัญญา สามารถใช้เป็นอุปกรณ์สร้างเส้นทางสู่โมกษะ คือ การหลุดพ้น หรืออมตะในศาสนาทั้งหลายได้
    สมาธิ คือ สภาวะของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นหนึ่งพิจารณาสิ่งเดียวเท่านั้น มีระดับของความสงบนิ่งต่างๆกันไปตามสภาวะของจิตนั้น
    ฌาน คือ สภาวะอารมณ์ของสมาธิ ที่มีความต่อเนื่อง แต่เพื่อความเข้าใจถึงการทำงานของฌาน จึงแบ่งฌานออกเป็นระดับต่างๆ ประมาณ 5 ระดับ
    1. สมาธิเบื้องต้นเพ่งอยู่กับสิ่งเดียวมีระยะสั้นยาวต่างกัน
    2. สมาธิขั้นกลางเริ่มอยู่กับจิตมีความนิ่งไม่สนใจภายนอกแม้แต่กายหยาบของตน
    3. เริ่มแสดงอาการของสมาธิในรูปที่มีปิติมีอาการต่างๆ เช่นน้ำตาไหล ขนลุก มีนิมิต
    4. เป็นสมาธิขั้นสูง ปิติจางหายไปรู้สึกได้ถึงความสงบเป็นสุข
    5. ถึงสภาวะเอกัคตาคือทิ้งทั้งหมดเหลือจิตนิ่งอย่างเดียวไม่มีปิติไม่มีสุขไม่มีอารมณ์ สภาวะนี้เทียบเคียงกับสภาวะพรหมันสมบูรณ์แบบแต่ไม่สามารถทำงานได้ หากต้องทำงานให้ย้อนไประดับที่สี่ เมื่อเทียบกับพรหมันในขั้นนี้พลังงานจิตก็เพิ่มขึ้นได้ถึงสิบสองเท่าเช่นกัน
    การอยู่ในสภาวะอารมณ์ฌาน 1 ถึง 4 นั้นจะเป็นพิจารณาความนิ่งเพื่อตัดกิเลสให้เสื่อมถอยไป เมื่อการเข้าสมาธิจากฌาน 1 ถึง 4 อีกซ้ำๆ จะสามารถตัดเอากิเลสที่อยู่ลึกลงไปเรื่อยๆ ให้หมดสิ้นไปในที่สุดและเข้าสู่สุญฺญตาต่อไป
    สติ คือ ตัวรู้แห่งจิต ทำให้เกิดปัญญาแห่งการหลุดพ้น
    ญาณ คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งดูความจริงโดยตัวรู้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ใช้ระงับอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลส ดังนั้นญาณจึงเป็นตัวตัดกิเลสนั่นเอง</td></tr></tbody></table>
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    สารจากยมบาล <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#ffffcc"><td valign="center"> </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> ผู้คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว

    ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง

    ตลอดชีวติของคน ตอนที่ใกล้จะตายให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

    ร่างกายแข็งทือหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้ :

    1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

    2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทือ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

    3. ถ้าตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ชึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกันเราก็ดูได้จาก “ตา หู จมูก ปาก” เป็นทหารทั้งสี่ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูกปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วถ้าวิญญาณออกจากทวารต่างๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดเป็นสัตว์น้ำ และเกิดเป็นพวกแมลง

    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> “ตา”

    พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่น พวกนกต่างๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้นพวกนี้ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ

    “หู”

    พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดีเรื่องร้ายๆ ต่างๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัวควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย

    “ปาก”

    พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของ สกปรก

    “จมูก”

    พวกที่ชอบหลงไหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่างๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลงต่างๆ

    เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร “ตา หู จมูก ปาก” นี้ ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี

    เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำรองที่คอยช่วยเหลือ “เจ้าของธาตุแท้” ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้องก็จะเป็น “ผู้เที่ยงตรงทั้งสี่” หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น “สี่มหาโจร” ซึ่งจะทำลายเจ้าของ ในเวลาปกติถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลงวิญญาณก็จะออกทางทวาร เหล่านี้โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ 4 ประเภท

    จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา

    แต่ก็ต้องอาศัยเหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่มาชำระคดีความจึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถที่จะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร

    ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคนก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง

    ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไปจะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ****

    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top">
    ขอบคุณที่มา

    สังคมธรรมะออนไลน์
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human

    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human


    [​IMG]
    ที่มาของเรื่องก็คือว่า.....
    เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้อ่านข่าวจากNation ว่า มีนักวิทยาศาสตร์เกาหลี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตัดต่อDNA ของมนุษย์ ได้ประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งมนุษย์แล้ว และได้รับการต่อต้านจากเกาหลี จึงหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ก็เป็นที่หวาดกลัวว่า ต่อไปจะมีการพัฒนาสายพันธ์มนุษย์เราให้แปลปรวนไป กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์อะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนในยุคปัจจุบัน ที่เชื่อว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ อีกก้าวหนึ่ง ที่มาที่ไปของเรื่องกำเนิดมนุษย์คนแรกในโลก มีบันทึกไว้แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละลัทธิศาสนา ในคัมภีร์ไบเบิลก็กล่าวว่า พระเจ้าสร้างอาดัม กับ อีวา เป็นมนุษย์คู่แรก บ้าง ทางพราหมณ์ก็ว่า พระมนูสร้างมนุษย์ ดังนั้นคำว่า " มนุษย์" ที่เราเขียนอยู่เนี่ยะ จึงแปลว่า " เนื่องมาแต่พระมนู "
    ผู้ที่สนใจในเรื่องกำเนิดมนุษย์คนแรกของโลกต่างพากันเสาะแสวงหาข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ ศาสนศาสตร์ก็ค้นคว้าหาหลักฐานว่า จริงแล้วมนุษย์คนแรกที่เกิดขึ้นบนพื้นโลกนี้เป็นไงมาไง แล้วพัฒนามาจนมีรูปร่างเป็นพวกเราปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ก็เลยรวบรวมข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง ส่วนใครจะมีข้อมูลเสริม ก็เชิญเติมต่อได้เลย เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันแหละ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาตัดต่อพันธุกรรมนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เอียงไปทางโบราณคดีมีความเชื่อกันว่าได้มีการพัฒนามาก่อนในยุคโบราณเป็นหมื่น ๆ ปีแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นพวกสมัยใหม่ก็ยังคัดค้านตามหลักทฤษฏีว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า จริงแล้วอย่างไหนถูกต้องกันแน่ เรามาลองพิจารณาหลักฐานและเหตุผล กันดีกว่า ว่าทั้งสองฝ่ายนี้ใครถูกต้องมากกว่ากัน ?
    [​IMG]
    [FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed] "คนเราเลือกเกิดไม่ได้", "ชีวิตที่เลือกไม่ได้", "มันคือพรหมลิขิต คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า" คำพูดพวกนี้ดูจะไม่มีปัญหาเสียแล้วสำหรับปัจจุบัน ในยุคที่วงการวิทยาศาสตร์สามารถทำให้มนุษย์สามารถเลือกที่เกิดได้ สามารถทำให้มนุษย์ได้เลือกเป็นอย่างสิ่งที่เขาอยากเป็น มีรูปร่างอย่างที่อยากมี มีสติปัญญาที่เฉียบแหลมตามต้องการ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ที่สะเทือนทั้งโลกทั้งวงการวิทยาศาสตร์(และอาจจะรวมไปถึงสวรรค์...ถ้าสวรรค์มีจริง) มนุษย์ได้อำนาจหลายๆที่จะครองโลกมาจากวิทยาศาสตร์ แต่ทว่า ไม่เคยมียุคไหนเลยที่มนุษย์จะมีอำนาจที่ทรงพลานุภาพและยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่ในมือ มันเป็นอำนาจที่สงวนไว้ในมือของพระเจ้าโดยเฉพาะ อำนาจที่จะจัดการแล้วก็ลิขิตชีวิต หลายๆคนกำลังวิตกว่า เราเดินไปถูกทางหรือไม่ในขณะนี้ และอะไรจะเกิดขึ้นหากราแตะต้องอำนาจที่ไม่ควรแตะ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวซ้ำสองหลังจากเรื่องแรกสุดอุบัติมาเมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้ว เรื่องของความลับแห่งพลังของอะตอม


    ผมกำลังพูดถึงเทคโนโลยีทางชีววิทยาด้านพันธุวิศวกรรม การตัดต่อและตบแต่งดัดแปลง DNA หลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำนี้แบบสั้นๆว่า Clone (ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธุวิศกรรมก็ตาม) ความรู้แขนงนี้จะมีประโยชน์หรือโทษกับมนุษย์อย่างไรบ้างผมคงไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากหลายวงการได้พูดกันอย่างกว้างขวางและถกเถียงชี้แจงกันไปหลายตลบแล้ว ถ้าสนใจน่าจะหาหนังสือหรือบทความอ่านได้ไม่ยาก ผมจะไม่ชี้ลงไปล่ะนะครับว่าถูกหรือผิด เพราะบรรทัดฐานในการวัดความถูก-ผิดของเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับจุดยืนของมนุษย์ว่าจะยืนมองมันจากมุมไหน ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผมและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเราโดยตรงก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง กำลังจะเจริญรอยตามภาพยนต์เรื่อง Jurassic Park นั่นคือ Clone มนุษย์โบราณขึ้นมา เพื่อเสาะหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของมนุษย์ โครงการนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งก็คงได้คำตอบออกมาให้พวหเราได้ในไม่ช้า เพียงแต่ว่าปัญหาที่มีก็คือ แม้ในวงการโบราณคดีก็ยังยุ่งเหยิงกับเรื่องราวของกำเนิดมนุษย์อยู่ ในขณะที่กลุ่มหนึ่งกำลังศึกษาโฮโมเซเปี้ยนรุ่นแรกซึ่งอายุไม่แสนปี อีกกลุ่มก็ไปขุดพบซากมนุษย์โบราณที่ดูเหมือนจะพัฒนาไปมากกว่ากลุ่มแรกแต่อายุดันย้อนหลังไปมากกว่าสามล้านปี

    มันหมายความว่ายังไงกันครับ? เกิดอะไรขึ้นกับการวิวัฒน์ของมนุษย์กันแน่ มิหนำซ้ำจากเทคโนโลยีนี้ เราก็ได้พบความกับปริศนาที่ดำมืดเข้าไปใหญ่ นั่นก็คือกำเนิดของมนุษย์น่าจะมีที่ไปที่มาจากเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันเสียด้วย มีใครบางคนเล่นตลกกับข้อมูลใน DNA ของบรรพบุรุษเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เรื่องนั้นเราจะค่อยๆพูดถึงกันทีหลังนะครับ ขอสรุปพัฒนาการด้านพันธุวิศวกรรมศาสตร์แบบย่อๆให้ท่านฟังกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่านายโซนิคเอาแต่พล่าม หาสาระไม่ได้ :)
    [/FONT]
    [​IMG]
    A Brief History of Assisted Reproduction and Nuclear Transfer

    1790: มนุษย์เริ่มเข้าใจกลไกลโดยสมบูรณ์ของการสืบพันธุ์
    1866: มีการนำแนวคิดของธนาคารอสุจิออกมาใช้
    1940: ทดลองเพาะไข่ของเพศหญิงในห้องปฏิบัติการ
    1952: Robert Briggs และ T. J. King แห่ง Institute for Cancer Research ทดลองโคลนเนื้อเยื่อของมนุษย์ซึ่งประสบผลสำเร็จในเบื้องต้น แต่เนื้อเยื่อนั้นมีอายุได้ไม่นาน
    1953-60's: ประสบความสำเร็จในการศึกษา พัฒนา และรักษาเชื้ออสุจิจากเพศผู้
    1962: ประสบความสำเร็จเบื้องต้นในการโคลนเซล โดยอาสัยเซลจากกบตัวผู้ แต่เหมือนเคยคือเนื้อเยื่อที่โคลนออกมามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก
    1978: เริ่มมีการทดลองการเพาะเนื้อเยื่อ การเร่งอัตราเติบโตของเนื้อเยื่อ แต่คราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
    1981: มีรายงานของการประสบความสำเร็จในการโคลนหนูทดลองจากเอมบริโอของหนู
    1986: Steen Willadsen แห่ง the Institute of Animal Physiology ในอังกฤษ ทำการทดลองโคลนแกะ และสัตว์ชนิดอื่นเช่น วัว แพะ ในเวลาต่อมา
    1997: เวลาที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เดือน ก.พ. เจ้าแกะ ดอลลี่ สัตว์โคลนนิ่งตัวแรกที่โคลนขึ้นมาจากเซลที่ไม่ใช่เอมบริโอได้ถือกำเนิดขึ้น ความสำเร็จนี้มีเบื้องหลังของการลองผิดลองถูกและความล้มเหลวอยู่มากมาย และความสำเร็จนี้พึงได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องเพื่อสรรเสริญความพยายามของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้
    1997: The Oregon Regional Primate Center ประสบความสำเร็จในการโคลนลิงฝาแฝดสองตัวขึ้นมาจากตัวอ่อนเพียงตัวเดียว นี่คือความสำเร็จครั้งแรกในการพยายามโคลนสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ขั้นตัวอ่อน
    1997: ตุลคาคม - British scientists สร้างตัวอ่อนของกบที่ไม่มีหัวได้สำเร็จ และทำให้หัวของมันงอกออกในเวลาต่อมา.. เทคนิคนี้อาจนำไปสู่การสร้างโคลนของมนุษย์ไร้หัว ที่สามารถงอกหัวออกมาใหม่เหมือนกับหางจิ้งจกอันเป็นคุณสมบัติพิเศษที่มีในสัตว์เลื้อยคลาน เหตุการณ์ชักจะเหมือนปาฏิหารย์ขึ้นทุกทีๆ
    ฯลฯ


    ครับ จะเห็นแล้วว่าอำนาจของวิทยาศาสตร์นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย จากข้างล่างนี้ เรื่องของซุนหงอคงที่สามารถดึงขนมีร่างแปลงถึง 72 ร่าง และบรรดาสัตว์ประหลาดในตำนานทั้งหลายแหล่ที่ถูกเนรมิตรขึ้นโดยเทพเจ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอีกแล้ว เพราะในปัจจุบัน มนุษย์เรา-(ผู้พยายามจะทำตัวเป็น)พระเจ้ารุ่นใหม่ ก็ทำอะไรๆได้ไม่แพ้พระเจ้าในตำนานเหมือนกัน



    1998: กรกฎาคม - นักวิจัยจาก the University of Hawaii ประกาศผลสำเร็จของการโคลนหนูทดลองออกมากว่า 50 ตัว ที่สำคัญก็คือมีหนูทดลองต้นฉบับเพียงหนึ่งตัวที่เอาเซลของมันมาโคลนเป็นหนูรุ่นที่สอง และจากเซลของโคลนรุ่นที่สองพวกเขาก็สามารถโคลนหนูรุ่นที่สามออกมาได้ อะไรมันจะปานนั้นครับ? และแน่นอนว่า โคลนทุกตัวเหมือนต้นฉบับทุกประการที่เหลือก็การศึกษานิสัยและพฤติกรรมล่ะครับ ว่าจะเหมือนตัวต้นฉบับไหม

    [​IMG]
    อย่างที่เราทราบกันว่า เรื่องของโคลนนิ่งถูกคัดค้านอย่างรุนแรงในหลายๆวงการ เพราะชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับสัตวทดลองนั้นไม่มีใครรับรองได้ว่ามันจะออกดีหรือสวยงามอย่างที่หวัง นั่นคือกับสัตว์..แต่ถ้าเป็นคนล่ะครับ? คนที่มีชีวิตจิตใจที่เกิดขึ้นมาจากการโคลนนิ่ง จะยังมีอะรมารับประกันชะตากรรมของเขาหรือไม่ ถ้าการทดลองผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้น? ทำลายทิ้งเหมือนสัตว์ในห้องทดลองยังงั้นรึ? หรือว่ากวาดล้างแบบที่พระเจ้ากระทำกับมนุษย์ - มนุษย์ที่ไร้คุณสมบัติที่พระองค์ต้องการโดยการบันดาลให้น้ำท่วมโลก แล้วก็คัดเอาเฉพาะตัวอย่างที่ดีๆ(เช่น โนอาห์)เก็บเอาไว้ ภาพด้านล่างเป็นสัตว์ทดลองที่เกิดจากการทดลองทางะพันธุกรรมของ NASA แพะที่มี 8 ขา!!!


    1999: Dr. Richard Seed ได้ประกาศว่า ขณะนี้ห้องแล็บของเขา (และเชื่อว่าอีกหลายๆที่ในโลก) มีความพร้อมที่จะดำเนินการโครงการโคลนนิ่งมนุษย์แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นสหรัฐได้ออกกฏหมายเกี่ยวกับการโคลนนิ่งขึ้นมาเช่นกัน ถึงกระนั้นองค์กรเอกชนก็ได้ประกาศตูมเรื่องการโคลนนิ่งเชิงธุรกิจออกมามากมาย นี่ยังไม่นับรวมไปถึงหน่วยงานของรัฐบาลแต่ละประเทศซึ่งกำลังเร่งดำเนินการทดลองอยู่อย่างลับๆอีกด้วย

    สองชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีในฐานะบรรพบุรุษของมนุษย์ตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ปัญหาถกเถียงกันมานานว่าเรื่องของการสร้างมนุษย์ในบทเยเนซิสนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่ความเชื่อทางศาสนามีมานานแล้ว นักวิทยาศาสสตร์บางกลุ่มหลีกเลี่ยงการตอบปัญหานี้เนื่องมาจากมันกระทบความรู้สึกของมหาชนเกินไป ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ได้เริ่มงานของพวกเขา นักวิทยาศาสตร์แห่ง University of Munich และ Pennsylvania State University ได้รายงานถึงการวิจัยของพวกเขาว่า จากการศึกษาข้อมูลที่ได้มาจากการสกัด DNA จากโครงกระดูกของมนุษย์นิแอนเดอร์ธัล ที่ขุดได้จากเขต Dusseldorf ในปี 1856 พบว่า มีความไม่เกี่ยวเนื่องกันหลายประการในข้อมูลที่อยู่ใน DNA ของมนุษย์โบราณและโมเดิร์นแมนเช่นพวกเรา และดูเหมือนว่าหากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นจริง มันก็มีห่วงโซ่ทางวิวัฒนาการที่หายไปอยู่อีกหลายเปลาะกว่าที่คิดกันไว้ในอดีต เพราะจากข้อมูลที่ออกมา เราและมนุษย์โบราณเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นญาติห่างๆกันเท่านั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสามารถวิวัฒนาการตามธรรมชาติจนออกมาเป็นมนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราได้เลย หรือ(ขอเน้นคำนี้หน่อยเหอะ)ถ้ามี เราก็ยังไม่พบเจ้าห่วงโซ่ที่ว่านั้นแม้กระผีกริ้น ซึ่งคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์และนักมานุษยวิทยาล่ะครับ ว่าคำตอบที่เราต้องการทราบกันนั้นจะออกมาในรูปแบบใด
    [​IMG]
    ความรู้เกี่ยวกับ DNA เข้ามาช่วยตรงนี้ได้มากครับ อย่าเพิ่งตกใจไป ผมจะไม่สาธยายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ให้ยาวยืดหรอกน่า ปูพื้นแค่นิดนึง(ไม่รู้จะเป็นการสอนหนังสือสังฆราชไหม เพราะเรื่องพวกนี้ผมคิดว่าทุกท่านคงจะทราบกันดี หลายท่านอาจจะรู้มากกว่านายโซนิคด้วยซ้ำ)ว่า ในโครงสร้างของ DNA นั้น จะมีส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดต่อผ่านไปให้ลูกหลานได้ ซึ่งแน่นอนครับหากว่าเราสามารถแกะเอาข้อมูลที่เก็บไว้ออกมาอ่านหรือตีความได้ เราก็จะสามารถทราบเส้นทาง รายละเอียดของการวิวัฒนาการได้เช่นกัน และสามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าบรรพบุรุษคนแรกของสายพันธุ์ที่เราศึกษานั้นมีชีวิตอยู่ในช่วงไหน สูงเท่าไหร่ ฟันผุกี่ซี่ อ้าว... ไม่ได้ล้อเล่นนะครับนี่เรื่องจริง นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ข้อมูลใน mitochondria ใน DNA ของเพศหญิงเพื่อตามรอยของบรรพบุรุษของเรา พวกเขาเรียกโค้ดเนมของบรรพบุรุษชายและหญิงว่า อาดัมกับอีฟ อย่างที่ปรากฏอยู่ในไบเบิล และได้พบว่า "อีฟ" น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณหนึ่งแสนปีที่ผ่านมาแล้ว ในขณะที่อาดัมมาเกิดในช่วงหลังเล็กน้อยประมาณหมื่นถึงสองหมื่นปีหลังจากอีฟ อ้าว... นี่มนุษย์ผู้ชายไม่ได้เกิดก่อนอย่างที่ระบุไว้ในไบเบิลหรอกรึ?
    [​IMG]
    มันก็ไม่แน่นัก อีฟอาจจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในสายพันธุ์ที่เราศึกษาอยู่ที่เหลือรอดมาในขณะนั้น หล่อนอาจมาพบกับอาดัม(ซึ่งเป็นเพศผู้ที่อยู่อีกสายพันธุ์หนึ่ง)และมีความสัมพันธ์กันจนผสมผสานมีลูกมีหลานเป็นพวกเรา เพียงแต่ว่าอาดัมเป็นสายพันธุ์ที่อายุน้อยกว่าเท่านั้นเอง จากการศึกษาบอกรายละเอียดเรามากขึ้นว่า สายพันธุ์ของมนุษย์เพศชายมีอายุน้อยกว่าหญิงประมาณสองหมื่นเจ็ดพันปี และถือกำเนิดขึ้นในช่วงประมาณ 37,000 - 49,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว เอาล่ะครับถ้าเราจะเอาตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการสาวรอยบรรพบุรุษของเรา เราก็น่าจะได้เวลาอย่างคร่าวๆที่บรรพบุรุษเราถือกำเนิดขึ้นมาคือประมาณไม่เกินห้าหมื่นปี นับว่าใกล้เคียงกับที่นักมานุษยวิทยาประมาณเอาไว้ มาดูกันนะครับว่าเค้าประมาณเอาไว้อย่างไร


    ภาพด้านซ้ายเป็นผังวิวัฒนาการของมนุษย์ครับนับช่วงเวลาเป็นล้านปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อประมาณ 3-4 ล้านปีมาแล้ว สัตว์คล้ายมนุษย์ หรือ โฮมินิด ที่ชื่อ ออสตรัลโลพิทธิคัสมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา(เพราะเป็นร่องรอยที่เก่าที่สุดที่ค้นพบ) จากฟอสซิลที่ศึกษาทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าออสตรัลโลพิทธิคัสมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์มากกว่าลิง จากการศึกษานี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงตามมาว่าโฮมินิดเหล่านี้จะเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์หรือไม่ (Hominid = คล้ายมนุษย์ ส่วนคล้ายลิงเราจะเรียกว่า Pongid) ดังนั้นนักวิทยศาสตร์บางท่านจึงได้แต่สันิษฐานว่า ออสตรัลโลพิทธิคัสอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันในอดีตกับมนุษย์ กล่าวคือวิวัฒนาการมาจากสายทางเดียวกัน และเมื่อประมาณสองล้านปีก่อน ปรากฏว่ามีโฮมินิดพันธุ์ใหม่ค่อยๆแผ่ขยายตัวอย่างช้าๆ เรียกว่าพันธู์โฮโมอาบิลิสและวิวัฒนาการไปเป็นโฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งในช่วงประมาณล้านถึงสองล้านปีก่อน เรียกว่าโฮโม อิเลคตัส ซึ่งเรื่องราวของมนุษย์ทั้งสองพันธุ์นี้ปัจจุบันก็ยังมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนนัก แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างโฮโมอิเล็คตัส กับสัตว์คล้ายมนุษย์ในยุคก่อนๆเช่น ออสตรัลโลพิทธิคัสกับ โฮโมอาบิลิส ได้แก่เรื่องของสมองและรูปร่าง ในช่วงเวลาไม่เกินสองล้านปีก่อน มีโฮมินิดพันธุ์หนึ่ง(ซึ่งอาจเป็นต้นตระกูลของมนุษย์โดยตรง) กลับมีสมองขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งโตกว่าสมองของออสตรัลโลพิทธิคัสถึงสองเท่าตัว รูปร่างก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของโฮมินิดสายนี้โตขึ้นและรูปร่างเปลี่ยนไป ปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่ขบไม่แตกในวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราก็ได้แต่คำตอบที่อ้อมแอ้มของพวกเขาว่า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สมองของโฮมินิดขยายตัวขึ้น ก็คงมาจากการกินเนื้อและระบบย่อยอาหารที่ดีขึ้น แต่กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาม-า-ก-ก-กและย-า-ว-วนานมากครับ กว่าจะเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมี"อะไร"หรือ"ใคร"ที่เข้ามาสอดแทรกตัวกลางขั้นตอนวิวัฒนาการของมนุษย์เรา

    Homo Sapien - ประมาณ 250,000 ปีถึงปัจจุบัน
    โฮโม เซเปี้ยนหรือมนุษย์ฉลาดวิวัฒนาการมาจากโฮโม อิเล็คตัส ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มเกิดมาไม่นานเมื่อเทียบกับโฮมินิดสายอื่นๆ และมนุษย์ในแบบปัจจุบันจริงๆมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เริ่มต้นเมื่อประมาณห้าหมื่นกว่าปีมาแล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงกลางๆยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายของโลกและเริ่มประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่แท้จริงเป็นลำดับขั้นดังนี้


    50,000 ก่อน ค.ศ. กำเนิดมนุษย์แบบปัจจุบัน
    50,000-10,000 ก่อน ค.ศ. เป็นยุคสังคมอนารยะของมนุษย์(ป่าเถื่อน)
    10,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มต้นเกษตรกรรมและอารยธรรม
    5,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มใช้ตัวอักษรเขียนหนังสือและบันทึกเรื่องราว อันเป็นผลพวงความก้าวหน้าของอารยธรรมทางการเกษตร


    นี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่พวกเราร่ำเรียนกันมา ณ จุดนี้ผมขอให้ทุกท่านวางมันลงหรือปาทิ้งไปก่อนก็ได้ เพราะจากนี้ไปจะเป็นหลักฐานหรือเงื่อนงำประหลาดๆ ที่ส่อให้เห็นว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นมันผิดโดยสิ้นเชิง บอกกล่าวเอาไว้ก่อนว่า ผมจะลากเอามนุษย์ต่างดาวและพระเจ้าจากอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด หลักฐานที่เอามาก็รับรองความน่าเชื่อถือได้โดยนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่นักลึกลับศาสตร์ที่ผมชอบเอามาอิงเหมือนที่ผ่านๆมา ดูกันไปทีละชิ้นไหมครับ ว่าหลักฐานเหล่านี้มันชวนให้สังคายนาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกันใหม่หรือเปล่า ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2007
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์In the Origin of Human 2

    [​IMG][FONT=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed] ภาพถ่ายที่ท่านได้เห็นจากข้างบนและต่อไปนี้ เป็นฝีมือของ Robert Connolly ผู้มีโปรเจ็คที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเพื่อหาหลักฐานของอารยธรรมโบราณ ผมยังไม่มีข้อมูลโดยละเดียดเกี่ยวกับกะโหลกที่จะนำมาให้ท่านชม แต่จากภาพเราน่าจะเห็นถึงความพิเศษของตัวอย่างที่นำมา จากลักษณะของกระโหลกเราสามารถบอกได้ทันที่ว่า เจ้าของกระโหลกเหล่านั้นจัดอยู่ในสายพันธุ์ Homo เช่นเดียวกับพวกเรา เพียงแต่รูปร่างของกระโหลกศีรษะเท่านั้นที่ดูแปลกออกไป กระโหลกที่มีความยาวและลักษณะเป็นโคนเช่นนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเป็นกระโหลกของมนุษย์สายพันธุ์ใด เนื่องจากเรายังไม่มีตัวอย่างที่มากกว่านี้ มีนักวิทยาศาสตร์บางเสนอไอเดียว่า กระโหลกนี้อาจจะเป็นของมนุษย์ที่ชาวอียิปต์โบราณยกย่องเป็นเทพเจ้า ลองมองดูลักษณะของกระโหลกแล้วนึกถึงภาพทรงผมหรือหมวกของชาวอียิปต์ที่มีลักษณะยาวเป็นโคนดูสิครับ รับกับกระโหลกเหล่านี้เป๊ะๆ[/FONT]
    [​IMG]
    ภาพที่ 1
    [​IMG]
    ภาพที่ 2 จากหุบเขากษัตริย์ในอีจิปต์
    [​IMG]
    ภาพที่ 3 เป็นภาพที่ได้จากแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ Al Ubaid ในประเทศอิรัค มีอายุประมาณ 5900-4000 ปีก่อน ค.ศ. หรือเกือบแปดพันปีมาแล้ว นักโบราณคดียังไม่สามารถเชื่อมต่อสิ่งที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดี Al Ubaid กับอารยธรรมส่วนอื่นของชาวสุเมเรียนได้ แต่คาดว่ารูปดังกล่าวน่าจะหมายถึงเทพเจ้าหรือกษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งศิลปินผู้สร้างนั้นอาจจะจงใจทำออกมาให้เป็นรูปสัญลักษณ์ แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะดูลักษณะของหัวแล้วก็อะไรบางอย่างที่เหมือนหมวกแล้ว มันทำให้นึกถึงนักบินอวกาศยังไงก็ไม่รู้ ที่สำคัญก็คือลักษณะศีรษะของกษัตริย์หรือเทพเจ้าดังกล่าว ก็ทำให้เราอดเชื่อมโยงมันเข้ากับกระโหลกศีรษะที่พบในเปรูดังภาพด้านบนไม่ได้


    น่าเสียดายที่กระโหลกดังกล่าวมีการขุดพบอยู่ไม่กี่ชิ้น มิฉะนั้นเราอาจได้เพิ่มสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์เข้าไปในสารบบมานุษยวิทยาก็เป็นได้ มานึกอีกแง่หนึ่ง ถ้าสายพันธุ์ดังกล่าวเคยดำรงชีวิตเป็นสังคมอยู่บนโลกเราจริง เราก็น่าจะพบหลักฐานมากชิ้นกว่านี้ในบริเวณใกล้เคียง ถ้าไม่พบก็เป็นไปได้ว่าพวกเขามีกันอยู่เพียงไม่กี่คนและไม่ได้มีถิ่นฐานอยู่บนโลกพระเคราะห์ใบนี้ หน้าต่อไปจะเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ความรู้สึกสักนิด ย้ำกันอีกหนว่าอ่านเรื่องของนายโซนิคเนี่ยต้องใช้วิจารณญาณกันสักหน่อยนะครับ อย่าเชื่อโดยไม่ทันคิด(แต่หลักฐานของผมเชื่อได้นา ผ่านการพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่เรื่องที่เมคขึ้น)หรือปฏิเสธทันที่ที่ได้ฟัง

    เราได้พูดถึงวิวัฒนาการโดยคร่าวๆของมนุษย์ ซึ่งหาอ่านจากตำราเล่มไหนส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆแบบนี้ เอาเป็นว่าถ้าเราเชื่อตามทฤษฎีเดิมว่ามนุษย์(หรือสิ่งมีชีวิตจำพวกมนุษย์) ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 2- 3 ล้านปีก่อน ผมก็คงจะมีคำถามสักหนึ่งข้อสำหรับใครก็ได้ ที่จะช่วยเฉลยให้นายโซนิคหายข้องใจว่า... นี่มันรอยเท้าของใครฟะ?

    ท่านผู้อ่านรู้จักไทรโลไบต์ไหมครับ? มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ในน้ำในยุคดึกดำบรรพ์นู้น ปัจจุบันไทรโลไบต์สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ทรากฟอสซิลให้มนุษย์รุ่นหลังได้ศึกษา นักวิทยาศาสตร์บอกกับพวกเราว่าไทรโลไบต์ นับเป็นหนึ่งในจำนวนสิ่งมีชีวิตโบราณที่สุดกลุ่มหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บนโลก มันเป็นบรรพบุรุษของสัตว์จำพวกปูและกุ้ง มีชีวิตอยู่ในช่วง 320 ล้านปีก่อนและสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อราวๆ 280 ล้านปีมาแล้ว นานจนจินตนาการไม่ออกใช่ไหมล่ะครับ แน่นอนว่านานก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะถือกำเนิดขึ้นมาโขนัก(3 ล้านปีก่อนหน้านี้)


    William J. Meister มีงานอดิเรกคือสะสมฟอสซิลของไทรโลไบต์ซึ่งอยู่ในภูเขาบริเวณรัฐยูทาห์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 1968 เขาบังเอิญได้พบรอยเท้ามนุษย์ซึ่งฝังอยู่ในดินบริเวณที่เขาขุด มันเป็นหินซึ่งมีรอยเท้ามนุษย์โบราณพิมพ์ติดอยู่ และเซอร์ไพรส์ครับท่าน... มีซากของไทรโลไบต์ติดอยู่ด้วย!! สถานที่ที่เขาพบรอยเท้ามนุษย์ดังกล่าวอยู่ที่ Antelope Springs ประมาณ 43 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเดลต้า มลรัฐยูทาห์


    ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาใช้ค้อนและเครื่องมือขุด กระเทาะหินออกมาอย่างระมัดระวัง แทบไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ รอยเท้าประทับเท้าข้างขวาของมนุษย์พร้อมด้วยตัวไทรโลไบต์ในหินก้อนเดียวกัน รอยประทับนี้คาดว่าเป็นรอยที่เจ้าของเท้าเหยียบลงไปในดินโคลน ซึ่งภูเขานี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เวลาที่ผ่านไปก็ได้ทำให้ดินนี้แข็งเป็นหินและฝังรอยประทับเอาไว้ นี่มันอะไรกันครับคนที่ไหนถึงได้ไปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับตัวไทรโลไบต์ 300 - ล้านปีก่อน... และที่มหัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น อย่างที่ท่านสามารถเห็นได้ด้วยตาของท่านเองจากในภาพ เท้าข้างนั้นดันสวมรองเท้าเสียอีกแน่ะ

    รอยเท้าดังกล่าวยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นเท้าขวาอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงของส่วนส้นเท้ามันชี้อยู่เห็นๆ แถมด้วยซากของตัวไทรโลไบต์ที่กับฝ่าเท้าอีก ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของรอยเท้าข้างนี้ เขาได้ทำกรรมขนานใหญ่คือเหยียบตัวไทรโลไบต์จนแบนแต๋ติดเท้า กลายเป็นหลักฐานรุ่นเก๋ากึ๊กให้คนรุ่นใหม่อย่างเราฉงนใจกันเล่น ๆ

    [​IMG]
    จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1968 Antelope Spring ได้ถูกนักธรณีวิทยานาม Dr. Clifford Burdick เข้ามาสำรวจบ้าง ด้วยเวลาไม่นานนัก ดร.คลิฟฟอร์ด ก็ได้พบรอยเท้าของเด็กประทับอยู่ในหินเช่นกัน ท่านด็อกกล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ได้พบรอยเท้าเช่นนี้ นี่เป็นรอยเท้าเด็กมีความยาวประมาณ 6 ฟุต ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ทางโบราณคดีเลยทีเดียว
    ครั้งสุดท้ายที่ค้นพบหลักฐานสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เดือน กันยายน 1968 Mr. Dean Bitter แห่ง Salt Lake City public schools system ได้พบรอยประทับเท้าแบบเดียวกันอีกสองรอยในบริเวณ Antelope Spring คราวนี้ไม่ยักกะมีไทรโลไบต์แบนแต๋ติดอยู่ครับ แต่พบไทรโลไบต์และสัตว์น้ำตัวเล็กๆอีกหลายชนิดกลายเป็นหินฝังอยู่ในก้อนเดียวกัน ...คนจากโลกนี้หรือโลกไหนครับที่มาฝากรอยเท้าเอาไว้บนโลก ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ หึ หึ อย่าบอกนะว่าพี่หนุ่ยอำพล...



    --------------------------------------------------------------------------------

    "It happened after the sons of men had multiplied...that daughters were born to them...and when the angels beheld them...they took wives...and they conceiving brought forth giants."


    ~ The Book of Enoch ~



    "There is an infinite variety of ways in which, since 1859, the general concept of evolution might have been demolished. Any topsy-turvy sequence of fossils would force us to rethink our current theory."



    ~ Steven M. Stanley ~



    <hr>

    ในปี 1908 ณ ไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีที่ Glen Rose มลรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแหล่งขุดค้นหลักฐานที่สำคัญในยุคครีเตเชียส (Cretaceous; dating from 135 million to 65 million years ago) นักสำรวจได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้โลกต้องหันมาทบทวนทฤษฎีวิวัฒนาการเสียใหม่ มันเป็นรอยเท้าของมนุษย์โบราณขนาดมหึมา ซึ่งประทับอยู่บนพื้นที่กลายเป็นหิน นั่นคงไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ถ้าหากว่า บริเวณใกล้ๆรอยประทับเท้านั้นไม่มีรอยเท้าของกิ้งก่าโบราณบางชนิด ที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์รวมอยู่ด้วย.
    [​IMG]
    Clifford L. Burdick และ Roland T. Bird นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจรอยเท้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิด Bird เป็นนักชีววิทยาและผู้เชี่-ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ยุคโบราณ หลังจากทำงานอย่างหนักถ้อยแถลงที่ทีมสำรวจนี้มีต่อ American Museum of Natural History ได้ทำให้ใครต่อใครพากันอึ้งไปหมดครับ เพราะตรงรอยประทับเท้าดังกล่าว นอกจากรอยเท้ามนุษย์แล้วยังมีรอยขนาดใหญ่ที่เจ้าของเท้ามีนิ้วเท้าสามนิ้วประทับซ้อนกันอยู่ ครับ มันเป็นรอยเท้าของสัตว์โบราณไดโนเสาร์ไม่ผิดแน่ และจากการวัดอายุ รอยเท้าทั้งสองอยู่ในยุคสมัยเดียวกันครับไม่ได้เกิดจากการทับรอยเมื่อเวลาผ่านไปอย่างที่หลายๆคนกำลังคิดอยู่ แปลกดีแฮะ


    จะไม่แปลกได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อไดโนเสาร์น่ะมีอยู่ในยุคครีเตเชียสและจูราสสิค ตั้ง 135-65 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วนะครับ ส่วนมนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีตัวตนเมื่อประมาณ 4 ล้านปีที่ผ่านมานี่เอง ไกลกันจนสุดกู่ การพบว่ามนุษย์(หรืออย่างน้อยก็สัตว์จำพวกมนุษย์)กับไดโนเสาร์เป็นสิ่งมีชีวิตร่วมสมัยกันเนี่ย แทบจะหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการไปจนหมดสิ้น นักวิทยาศาสตร์จากหลายวงการคิดกันหัวแทบแตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งนานวันหลังฐานที่พบก็สร้างความงุนงงให้กับพวกเขามากขึ้นทุกที (หลักฐานทั้งหลายผมจะค่อยๆเอามาให้ชมในบทถัดๆไปครับ) นายโซนิคก็อยากจะบอกพวกเขาล่ะนะครับว่าอย่าคิดมาก ให้ปลงแล้วก็หันหน้าเข้าวัดซะอะไรๆอาจจะดีขึ้น ปู้โธ่... ศาสนาพุทธของเรารู้มาตั้งนานแล้วสำหรับเรื่องนี้ พระพุทธองค์เองก็ยังเคยตรัสไว้ว่า โลกของเรานี้เคยมีอารยธรรม เคยมีมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดแล้วก็แตกดับถึงแก่กาลล่มสลายมานับไม่ถ้วน หัดไปศึกษาเรื่องวัฏสงสารมั่งนะท่านด็อกทั้งหลาย เผื่อจะได้เห็นทางสว่างขึ้นมาบ้าง

    [​IMG]
    Max Han ใช้เวลาในวันหยุดไปตกปลากับครอบครัวของเขาที่ Texas เขาได้พบกับหินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญบริเวณริมตลิ่งHan รู้สึกประหลาดใจกับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแท่งไม้ที่โผล่ออกมาจากหินก้อนหนึ่ง มันดูเก่าและเหมือนฟอสซิลของไม้ ด้วยความอยารู้เขาจึงงัด ขุด และนำเอาหินก้อนนั้นออกมา เมื่อเจาะหินออกมาได้ Han ก็พบกับเครื่องมือโบราณชิ้นหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายฆ้อนอย่างที่เห็นในภาพ Han นำไปให้ผู้เชี่-ยวชาญตรวจสอบเพราะเขาเองก็ไม่สันทัดกรณีมากนัก แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นของเก่า ครับ... เขาคิดไม่ผิดเลย เพียงแต่ว่าอายุของฆ้อนนั้น มันดันเก่ากว่าที่ Hanจินตนาการเอาไว้มาก



    ด้ามของฆ้อนมีลักษณะคล้ายไม้ที่กลายเป็นควอทซ์ ส่วนตัวหัวนั้น ผลการวิจัยจาก ห้อง Lab Betel บอกว่า มันมีส่วนประกอบของแร่ที่ดูแปลกไปจากปัจจุบัน คือ เหล็ก 96% คลอรีน 2.6% กับกำมะถัน 0.74 % แต่ไม่ยักกะมีคาร์บอน สิ่งที่แปลกเอามากๆก็คือ ภายใต้กาลเวลาที่เปลี่ยนไป หัวของฆ้อนไม่ปรากฏสนิมเหล็กให้เห็นเลย เพราะว่าโลหะที่ใช้ทำผ่านการถลุงจนกลายเป็นโลหะผสมที่บริสุทธิ์มาก แถมในเนื้อโลหะก็แน่นไม่มีฟองอากาศแม้สักกระผีกริ้น

    นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เจ้าฆ้อนโบราณด้ามนี้แม้จะเป็นอุปกรณ์ง่ายๆ แต่มันถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสูงมาก แม้แต่การหลอมหัวฆ้อนให้บริสุทธิ์และปราศจากฟองอากาศ ปัจจุบันเทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วฆ้อนด้ามนี้มีอายุเท่าไหร่กันนะ? คำตอบไม่ยากเลยครับเพราะหินที่ฆ้อนนี้ฝังอยู่ เป็นดินที่กลายเป็นคอนกรีตที่วัดอายุได้ง่ายมากมันอยู่ในยุคครีเตเชียสตอนปลาย ซึ่งตำราเรียนของเราบอกว่า อยู่ในช่วงเวลา 140ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ในช่วงที่ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่... ในเมื่อ 140ล้านปีก่อนยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเกิดขึ้นมาในโลก ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนทำฆ้อนอันนี้ขึ้นมาล่ะครับ? ไดโนเสาร์เหรอ? คงเป็นภาพที่ดูไม่จืดจริงๆถ้าเวโลซีแรพเตอร์ เที่ยวไล่ล่าหาอาหารด้วยการแบกฆ้อนยักษ์อันนี้ไปไล่ทุบหัวเหยื่อ ว่าแต่นิ้วแบบนั้นของไดโนเสาร์จะแบกฆ้อนได้ยังไงก็ไม่รู้สินะ ส่วนคำตอบที่ว่าฆ้อนอันนี้ใครเป็นคนทำและใครเป็นคนใช้นั้น นายโซนิคคิดว่าทุกท่านน่าจะได้คำตอบเลาๆอยู่ในใจบ้างแล้ว

     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    กำเนิดมนุษย์ In the Origin of Human 3

    [​IMG]เทคโนโลยีจิ๋วอายุแสนปี


    เอาล่ะครับ ดูฆ้อนยักษ์กันมาแล้วทีนี้เราลองมาดูของขี้ปะติ๋วกันสักหลายๆชิ้นดีไหมครับ เป็นวัตถุโบราณที่คาดอายุว่าจะอยู่ในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene: ประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว) วัตถุในภาพที่เห็นขุดพบบริเวณเทือกเขายูราลในรัสเซีย จากรายงานเท่าที่ได้ในปัจจุบันโดยสถาบัน Central Scientific Research Institute for Geology and Prospecting for Precious and Non-Ferrous Metals (ZNIGRI) (ชื่อยาวจริงๆ..) ในมอสโคว์กล่าวว่า ชิ้นส่วนต่างๆที่ขุดพบนั้นน่าจะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่มาจากต่างดาว หลังจากต้นปี 1990 เป็นต้นมา ได้มีการสำรวจบริเวณนั้นอย่างกว้างขวางและพบวัตถุปริศนาอีกมากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำ Narada, Kozim, และ Balbanyu ในบริเวณเทือกเขายูราลด้านตะวันออก วัตถุเล็กๆดังกล่าวถูกขุดพบมากมายนับพันชิ้น โดยมากจะพบในชั้นดินที่ลึกลงไปประมาณ 10 -40 ฟุต

    วัตถุประหลาดดังกล่าวมีขนาดที่น่าทึ่งมากครับ คือตั้งแต่ใหญ่สุดประมาณ 3 เซ็นติเมตรจนถึงเล็กสุดซึ่งมีขนาดเพียง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 1/10,000 นิ้วนั่นเชียว ก็ดังที่เห็นในภาพแหละครับ วัตถุพวกนี้มีลักษณะเป็นเกลียวจิ๋วและตอนแรก นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช้ทำอะไรได้ มีนักโบราณคดีบางคนตั้งทฤษฎีว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง โธ่เอ๋ย... ใครกันครับจะทำเครื่องประดับจิ๋วมหาจิ๋วแบบนี้ออกมาใส่กัน ครั้งจะเป็นเครื่องกลหรืออะไรเทือกนั้นมันก็เล็กไปอีกนั้นแหละ หลายชิ้นมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับเป็นนาโนแม็คคานิคส์โดยแท้เลยครับ วัตถุดังกล่าว ทำมาจากโลหะผสมหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็นทังสเตน โมลิบดินัม และทองแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าทังสเตนและโมลิบดินัมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมมาก มีจุดเดือดสูง การจะหลอมและผสมนำมาใช้งานจำต้องใช้ความร้อนมหาศาลและเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมที่สูงมาก เพราะแม้ในปัจจุบันเราก็ยังใช้โลหะสองประเภทนี้ในอุตสาหกรรมบางอย่างเท่านั้น (เช่นในอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้า หรือ การผลิตยุทโธปกรณ์) Dr. Valerii Ouvarov แห่ง the Russian Academy ofSciences ในเซนต์ปีเตอสเบิร์กได้ทำการวิเคราะห์วัตถุลึกลับเหล่านี้ และก็ได้แต่ส่ายหน้าเนื่องจากความสนเท่ในที่ไปที่มาของมัน


    ปัจจุบันเราทราบกันเพียงว่า วัตถุชิ้นจิ๋วดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามันถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อะไรเมื่อครั้งกระโน้น แต่อายุอานามของมัน ถูกแถลงจากนักวิทยาศาสตร์รัสเซียว่า มีช่วงอายุอยู่ราวๆเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    ภาพที่เห็นด้านบนนี้ คือภาพขยายของชิ้นส่วนเกลียวลึกลับพวกนี้ ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์คิดกันสมองแทบระเบิดก็ยังไม่ทราบว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง !!??
    [​IMG]
    ขั้วไฟฟ้าสมัยกว่าครึ่งล้านปีที่แล้ว

    ภาพที่เห็นนี้เป็นวัตถุประหลาดอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ทราบที่มาของมัน มันถูกห่อหุ้มด้วยดินที่กลายเป็นหินมากว่าครึ่งล้านปี เจ้าวัตถุชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ the Coso artifact ถูกค้นพบที่ยอดเขาในแคลิฟอร์เนีย ลักษณะของมันเหมือนขั้วไฟฟ้าหรือปลั๊กอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำมาจากโลหะแข็งและเปล่งประกาย นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยมันบอกว่า เจ้าวัตถุชิ้นนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการสร้างซูเปอร์คอนดัคเตอร์ หรือตัวนำยิ่งยวดในปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครพบหลักฐานอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เงื่อนงำพอที่จะคลำทางไปสู่ต้นกำเนิดของขั้วไฟฟ้าอายุกว่าห้าแสนปีนี้ได้ !!!

    [​IMG]
    นาซก้า อารยธรรมยุคพระเจ้าครองโลก -- Ica Stone แห่งเปรู


    บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่งทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น


    ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดนของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับที่นักโบราณคดีพากันสนใจ เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมากลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตาท่าทางประหลาด และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะจากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคนสงสัยกันว่า คนโบราณ(ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ ถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด นักโบราณคดีบางคนเรียกลายเส้นเหล่านี้ว่าสนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์ของสนามบินไม่มีผิด

    เรื่องของลายเส้นนาซก้านี้ ผมจะเอาข้อมูลมาสาธยายให้ท่านฟังจนเอียนทีเดียวล่ะครับ แต่ขอยกยอดไปทำในอีกบทหนึ่ง สำหรับตอนนี้เรามาดูปริศนาเล็กๆที่พบในบริเวณนั้นกันดีไหมครับ แม้จะไม่ใหญ่โตกินพื้นที่มากอย่างที่ราบนาซก้า แต่ก็สร้างความปวดหัวให้กับนักโบราณคดีได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว

    ดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกันดาร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีฝนตกเอาเสียเลยนี่ครับ ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นบริเวณแม่น้ำแถบนั้น เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ ตอนนั้นเองแหละครับที่หินจำนวนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่าหินเหล่านี้อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมาเพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ

    แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ? อืมห์... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยงที่มีภาพสลักของคนโบราณสลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นในรูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้ มันก็พิลึกกึกกือผิดยุคอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งเป็นรูปของกิจกรรมทางการแพทย์ เช่นผ่าตัด มีรูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศเมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง หา? ให้ผมทวนตัวเลขของปีเหรอครับ ได้สิ 13 ล้านปีไงครับ ก่อนหน้ายุคหินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งนานนมเลยคุณ เห็นไหมล่ะ ว่าก้อนหินพวกนี้มันพิลึกอย่างที่ผมบอกจริงๆ

    [​IMG]
    (ซ้าย)คนขี่ Pterodactyl กำลังล่าไดโนเสาร์ (กลาง)ภาพทวีปต่างๆของแผนที่โลก (ขวา)ภาพการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรบางอย่าง
    [​IMG]
    ภาพเล็กเป็นรูปของดาวหาง และคนที่คงจะเป็นนักวิทยาศาตร์กำลังใช้อุปกรณ์ประเภทกล้องดูดาวอยู่ ส่วนสองภาพด้านซ้ายขยายให้ดูกันจะๆครับ ว่าเหมือนหรือไม่
    [​IMG]
    ปัจจุบันยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่ และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎีการเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้นมันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...


    ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรูผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษาไอก้าสโตนได้พบภาพของปลาที่สูญพันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่าพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่นสะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว


    ในบรรดาคอลเล็คชั่นที่ Javier Cabrera ได้ไปศึกษาส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆอย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้ น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมาในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลายที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ

    Dr. Cabrera ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ของแผนที่ที่เขาพบในส่วนหนึ่งของหินดังกล่าว เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่า ภาพแผนที่โลกที่อยู่บนหินไอก้าแห่งเปรูนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอนหรือไม่ Dr. Don Patton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยกรุงลิมา ประเทศเปรู ได้ร่วมมือกับ Cabrera ในการศึกษาแผนที่ดังกล่าว เขารู้สึกประหลาดใจกับทวีปต่างๆที่แสดงบนแผนที่ มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่คุ้นเคยเอามากๆ แต่ตำแหน่งผิดไปจากปัจจุบันอยู่บ้าง แน่นอนครับ เขาเป็นผู้เชี่-ยวชาญทางด้านนี้จึงลงความเห็นหลังจากที่ค้นคว้าอยู่นานว่า เป็นปรกฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก เขาให้คำอธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าภาพแผนที่นั้น คือสภาพของโลกเมื่อ 13 ล้านปีก่อนอย่างแน่นอน

    [​IMG]
    จากการศึกษาอย่างยาวนานของ Dr.Cabrera เกี่ยวกับไอก้าสโตนและรูปปั้นดินเผา เขาได้ข้อสรุปออกมาโดยสังเขปดังนี้

    - คอลเล็คชั่นที่เขาเรียกว่าห้องสมุดนั้น สะสมไปด้วยบันทึกบนก้อนหินที่แตกต่างกันไป มีหลากหลายหัวเรื่องและสาขาวิชา เช่น การแพทย์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์โบราณ เป็นต้น

    - มันมาจากอารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการอย่างเหลือเชื่อ ความรู้ของอารยธรรมนี้สร้างหลายๆสิ่งที่ใกฃ้เคียงกับปัจจุบัน เช่น พาหนะที่เป็นนกเหล็ก ซึ่งน่าจะหมายถึงเครื่องบินหรืออากาศยาน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การศัลยกรรมสมอง พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้า รวมไปวิชาธรณีวิทยาที่รวบรวมเอาแผนที่ สภาพทางภูมิศาสตร์โลกและการเกษตรกรรมบางประการ

    - อย่างเหลือเชื่อ โลกในคำบรรยายจากคอลเล็คชั่นเหล่านั้นมีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งมีลักษณะเหมือนดาวเทียมมากครับ มีหินอยู่สี่ก้อนที่แสดงสภาพภูมิประเทศของทวีปต่างๆที่มองลงมาจากที่สูง(หรืออาจจะเป็นชั้นบรรยากาศ) น่าแปลกใจมากครับเพราะนอกจากทวีปที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแล้ว ยังมีส่วนของทวีปที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ไหมว่ามันคือทวีปแอตแลนติส หรือ มู ที่เรากำลังตามรอยอยู่ในปัจจุบัน

    - ผู้คนในอารยธรรมดังกล่าวรู้ถึงหายนะที่จะมาถึงโลก (ไม่แน่ใจว่าจะมาจากสาเหตุอะไรครับ เพราะท่านด็อกได้คอลเล็คชั่นไม่ครบพอที่จะทราบเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ได้ อาจจะเป็นดาวหางหรือน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว อะไรประมาณนั้น) พวกเขาอาจจะทั้งหมดหรือชนชั้นปกครองบางส่วนได้อพยพไปจากโลกนี้ มีส่วนหนึ่งของบันทึกที่กล่าวถึงกลุ่มดาวที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในนามของดาว Pleiades ดร.Cabrera ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาพแกะสลักบนไอก้า สโตน อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของหลักฐานที่ว่า เมื่อหลายล้านปีก่อนมีอารยธรรมอันรุ่งเรืองตั้งอยู่บนโลกนี้ พวกเขาได้ทิ้งหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า สมัยก่อนมนุษยชาติดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดไหนและสุดท้ายล่มจมลงด้วยวิธีใด

    - รูปปั้นดินเผาบางส่วน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้ปกครองหรือเทพเจ้าที่คนในดินแดนนี้เคารพนับถือ และรูปร่างของรูปปั้นมีลักษณะของกระโหลกที่ยาวผิดปกติ จนทำให้นักโบราณคดีอดที่จะเอาไปเชื่อโยงกับหัวกระโหลกแบบ Cone Head ที่กล่าวถึงมาแล้วด้วย

    ข้อสรุปของท่านด็อกเตอร์อาจจะฟังดูเหลือเชื่อสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวัตถุก็ยืนยันอยู่ มีบางคนแย้งว่า ไอก้าสโตนอาจจะเป็นฝีมือของอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพบางภาพมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนและชวนให้เข้าใจผิดๆ เช่น ภาพของการศัลยกรรมสมองเป็นต้น มันอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาสักอย่างหนึ่ง เช่น การทำมัมมี่หรือพิธีศพ ซึ่งก็ไม่เหมาะนักที่เราจะสรุปอะไรลงไปตรงนี้ก่อนได้หลักฐานที่ละเอียดกว่าที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้น หากเอาอารยธรรมนาซก้า ไอก้าสโตน และความรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมของชาวอินคา(เช่นความรู้ทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม) มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือนักวิทยาศาสตร์ห-ย่-า-ยหรอก คนธรรมดาอย่างพวกเราก็พอจะมองเห็นรอยต่อของสิ่งเหล่านี้อยู่รางๆเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?

    [​IMG]
    ภาพแสดงการผ่าตัดศัลยกรรมสมอง
    [​IMG][​IMG]


    ดูภาพนี้ให้ดีๆสิครับ ว่านี่เป็นอะไรถ้าไม่ใช่ไดโนเสาร์ไทรเซอร์ราท็อปที่สูญพันธุ์ไปเมื่อหลายล้านปีก่อน
    แล้วคนในยุคที่ทำเครื่องดินเผานี้เห็นไดโนเสาชนิดนี้ได้อย่างไร แสดงว่าในยุคที่ทำเครื่องปั้นนี้ยังมีไดโนเสาชนิดนี้อยู่...อ้าว แล้วตามที่นักพันธุ์ศาสตร์ว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อหลายล้านปีก่อนก็ผิดน่ะซี... หากจะว่าเขาไปจำมาเขียนไว้ ก็ต้องหาคำตอบว่า ไปจำรูปนี้มาจากที่ไหน และใครเป็นคนบันทึกไว้ จนสามารถถ่ายทอดให้เป็นรูปภาพอย่างที่เห็นนี้ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...