พญานาคกับอดีตที่ผ่านมา

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 1 กันยายน 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]เหล่ามนุษย์ที่เหลือรอดมาได้ ต่างก็พยายามสั่งสมอารยธรรมขึ้นมาใหม่ ซึ่งพระแม่ก็ทรงคอยช่วยเหลือ ประทานความรู้ในการฝึกสัตว์ให้เชื่อง และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่จะทำให้มนุษย์กลับมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง พระนางยังทรงคิดค้นแม้กระทั่งดนตรี คือ แคนทรงกลมของจีนโบราณ ที่เรียกว่า เช็ง ([/FONT][FONT=&quot]Cheng) นั่นแหละค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]เพราะเหตุนี้ ชนชาติจีนในยุคแรกๆ จึงยกย่องพระนางเป็นพระแม่เจ้าผู้นอกจากจะประทานกำเนิดมนุษย์ และช่วยเหลือมนุษย์ในยามวิบัติแล้ว ยังทรงเป็นคุรุเทพผู้ประทานความรู้มากมายเหลือคณานับแก่มวลมนุษย์อย่างแท้ จริงค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]แต่ต่อมา คติการนับถือพระนางก็ค่อยๆ ลดลงหลังจากสิ้นราชวงศ์ซาง และเมื่อจีนได้รับศาสนาพุทธมหายานจากอินเดีย คติการบูชาพระนางก็ถูกนำเข้าไปรวมกับลัทธิเต๋า กลายเป็นเทพนารีองค์หนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมกราบไหว้กันนัก แต่ในเมืองไทยก็มีเทวรูปของพระนางอยู่ที่ ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรีค่ะ[/FONT]
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]พระสรัสวดี[/FONT][FONT=&quot] ([/FONT][FONT=&quot]Saraswati) ทรงเป็นมหาเทวีอีกองค์หนึ่งที่ได้รับการบูชาอย่างกว้างขวางในศาสนาฮินดูทุกวันนี้ โดยไม่จำกัดลัทธินิกายค่ะ

    [/FONT][FONT=&quot]แล้ว ก็ทรงได้รับการนับถือในฐานะคุรุเทพสูงสุด เหนือกว่าคุรุเทพอีกหลายองค์ในศาสนาฮินดูทุกวันนี้ เรียกได้ว่า ถ้าจะกล่าวถึงเทพแห่งสติปัญญาและความรู้ คนอินเดียจะนึกถึงพระแม่สรัสวดีก่อนเทพทุกองค์ค่ะ แม้ว่าในศาสนาฮินดูจะมีคุรุเทพที่บูชากันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม[/FONT]

    [FONT=&quot]พระแม่สรัสวดีทรงเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณ และศิลปวิทยาการ พระนางทรงอุปถัมภ์การศึกษาในศาสตร์ต่างๆ ทุกแขนงที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาได้ ดังนั้นพระนางจึงเป็นเทวีของครูบาอาจารย์ นักเรียนนักศึกษา และการเรียนการสอน การค้นคว้าวิจัยทุกชนิด [/FONT][FONT=&quot] นอกจากนี้ยังเป็นเทวีแห่งนาฏดุริยางค์ การละครและศิลปะการแสดงทุกชนิด ทรงเป็นแม้กระทั่งเทวีแห่งการเจรจา ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมต่างๆ ทั้งยังทรงเป็นมารดาแห่งพระเวท ซึ่งในส่วนนี้ก็ทรงได้รับการบูชามากกว่าพระพรหมเสียด้วยค่ะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Sarastibet.jpg
      Sarastibet.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.2 KB
      เปิดดู:
      55
    • Saraswati3.jpg
      Saraswati3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.2 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2012
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]เทวลักษณะของพระนางจึงเป็นสาวงามที่ฉลองพระองค์สีขาว แสดงถึงความเป็นนักบวช มักจะทรงถือเครื่องดนตรี เช่น วีณา ([/FONT][FONT=&quot]Vina) ซึ่งเป็นจะเข้ชนิดหนึ่งของอินเดีย (แต่ในภาพวาดมักถือตั้งขึ้นมาแบบถือกีตาร์ เพราะคนวาดส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวีณาจริงๆ ต้องวางราบกับพื้น เอาปลายข้างหนึ่งวางไว้บนหัวเข่าแล้วดีด) และพระหัตถ์ที่เหลือก็มักถือคัมภีร์ และสร้อยประคำ ที่มีความหมายเช่นเดียวกับพระพรหมค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]อันที่จริง พระแม่องค์นี้ทรงได้รับการบูชามาแต่เดิมในฐานะเทวีแห่งแม่น้ำสายหนึ่งซึ่ง ปัจจุบันหายไปแล้วในทะเลทรายพรหมวรรตค่ะ พระนางเป็นเทพพื้นเมืองซึ่งชาวอารยันนำมารวมไว้ในคัมภีร์พระเวท และทรงมีบทบาทสำคัญในการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ มาตั้งแต่ก่อนที่จะนับถือแม่น้ำคงคากันค่ะ[/FONT]
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]ต่อมาพระนางก็ถูกนำเข้ามารวมกับลัทธิบูชาพระพรหม โดยกล่าวกันว่าเป็นเทพนารีองค์เดียวกับพระนางศตรูปา ที่พระพรหมทรงสร้างขึ้นก่อนสร้างโลกน่ะแหละค่ะ ดังนั้นในพรหมนิกาย พระนางก็เป็นทั้งชายา (ศักติ) และธิดาของพระพรหม และร่วมกับพระพรหมในการสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งปวง[/FONT]

    [FONT=&quot]ที นี้เมื่อศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง คติการนับถือพระแม่สรัสวดีก็ยังสืบทอดต่อมาในลัทธิที่บูชาพระพรหมค่ะ และในช่วงต้นๆ พุทธกาลลัทธิที่บูชาพระนางก็เริ่มแยกเป็นเอกเทศจากลัทธิของพระพรหม[/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อศาสนาพราหมณ์เปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู พระนางก็กลายเป็นคุรุเทพที่ได้รับการบูชามากในระดับหนึ่ง มีการแต่งนิยายให้พระนางเป็นชายาพระนารายณ์ แล้วทะเลาะกับพระแม่ลักษมีจนพระนารายณ์ต้องยกให้พระพรหม (เป็นเรื่องที่คนไทยชอบเอามาเล่าสนุกสนานกันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแต่งที่คนอินเดียปัจจุบันก็ไม่เชื่อกันอย่างงั้นแล้ว) แล้วก็เป็นตัวประกอบในเทพนิยายของทางไศวะนิกาย [/FONT]
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]แต่สรุปก็คือพระนางไม่ถูกจัดเข้านิกายใดเป็นพิเศษค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ต่อมา ในขณะที่ลัทธิที่บูชาพระนางเป็นเทพสูงสุดยังคงสืบทอดกันอยู่ในภาคเหนือของ อินเดีย การบูชาพระนางในศาสนาฮินดูก็แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพระนางก็เลยกลายเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ถือเป็นพระโพธิสัตว์เพศหญิงที่สำคัญในลำดับต้นๆ รองจากพระนางปรัชญาปารมิตา และพระนางตาราเลยค่ะ และในทางมหายานนั้นนับถือกันว่าพระนางเป็นศักติของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์แห่งสติปัญญาค่ะ[/FONT]
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]คุรุ เทพของทางมหายาน นอกจากพระสรัสวดีซึ่งรับไปจากศาสนาพราหมณ์แล้ว ก็จะมีองค์มหาศักติ หรือที่เรียกกันว่า พระแม่องค์ธรรมของทางมหายาน ที่ได้รับการนับถือกันทั่วไปในอินเดีย ทิเบต และคาบสมุทรมลายูค่ะ แต่ไม่เป็นที่นิยมในจีน-ญี่ปุ่น พระแม่องค์นั้นก็คือ พระนางปรัชญาปารมิตา ([/FONT][FONT=&quot]Prajnaparamita)
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พระนางเป็นมหาศักติที่เกิดมาจากพระสูตรของมหายานคือ มหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖-๑๒ กล่าวกันว่าทรงมีฐานะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภาคสำแดงของ พระอักโษภยะพุทธะ เป็นสัญลักษณ์ของสุญตาค่ะ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]มหาเทวีปรัชญาปารมิตาทรงได้รับความนิยมมากในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวีผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ผู้ที่ต้องการศึกษาวิชาความรู้โดยเฉพาะพระธรรมให้แตกฉาน จะต้องบูชาพระนางปรัชญาปารมิตานี่แหละค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]ปกติ เทวรูปของพระนางมักมีพระเศียรเดียว มักมี ๒-๔ กร แสดงปางธรรมจักรมุทรา หรือไม่ก็ปางสมาธิ และถือคัมภีร์ปรัชญาปารมิตา กับดอกบัว หรือไม่ก็วัชระ แต่ถ้าเป็นแบบรูปตันตระ จะมีถึง ๑๑ เศียร ๒๒ กรเลยค่ะ บนศิราภรณ์นั้นก็จะมีรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ตรงกับสมัยศรีวิชัยของไทย พระนางปรัชญาปารมิตาก็เป็นที่นิยมบูชากันมากค่ะในชวา เทวรูปของพระนางที่สวยที่สุดในโลก ก็อยู่ที่ชวานี้เอง คือเทวรูปที่เรียกกันว่า [/FONT][FONT=&quot]Ken Dedes จากเมืองสิงหส่าหรีค่ะ แต่ในภาคใต้ของไทยได้พบแต่เป็นองค์เล็กๆ ซึ่งเป็นศิลปะศรีวิชัย แต่แม้จะเล็กก็เป็นของฝีมือประณีตมากเช่นกัน[/FONT]
     
  8. แหมบศรี

    แหมบศรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,067
    มะคืน อดหลับอดนอน วันนี้เลยมาหลับหน้าคอมคะ :'( อ่านอารายก็ม่ายรู้เรื่องแล้ว อิอิ
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]ส่วนในเขมรนั้น พระนางทรงได้รับความนิยมบูชามาตั้งแต่ราวๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๓ และมาได้รับความนิยมมากมายค่ะในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หรือรัชสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรขอมนั่นแหละค่ะ เพราะพระองค์ทรงยกย่องพระมารดาเป็นพระนางปรัชญาปารมิตา จึงมีการสร้างเทวรูปพระนางปรัชญาปารมิตาในขึ้นเป็นอันมากสำหรับให้ประชาชน บูชาในรูปแบบผสมระหว่างพระนางกับพระราชมารดาของพระองค์ค่ะ [/FONT]

    [FONT=&quot]เทวรูปของในศิลปะขอมนั้น ก็มีทั้งรูปปกติและรูปตันตระ ที่ได้เห็นกันในร้านขายของเก่าบ่อยๆ คือรูปเทวสตรียืนตัวตรง ๒ กร ในมือถืออะไรคล้ายๆ ดอกบัว กับก้อนกลมๆ นั่นแหละค่ะคือพระนางปรัชญาปารมิตา [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]และเทวรูปของพระนางส่วนใหญ่เลยนะคะ จะทำมาเป็นชุดเดียวกับพระพุทธรูปทรงเครื่องนาคปรก และเทวรูปพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ นิยมเรียกกันว่า พระรัตนตรัยมหายาน ค่ะ[/FONT]
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]กล่าวคือ ขณะที่เถรวาทเรานับถือพระรัตนตรัยว่าประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช่มั้ยคะ มหายานเขมรก็นับถือว่าประกอบด้วย พระพุทธ คือพระทรงเครื่องนาคปรก[/FONT][FONT=&quot], เมตตาบารมี คือพระอวโลกิเตศวร และ ปัญญาบารมี คือพระนางปรัชญาปารมิตา สื่อความหมายว่า ความเป็นพุทธะที่แท้จริงตามความคิดของมหายานเขมรนั้น ต้องประกอบด้วยเมตตา และปัญญารัตนตรัยมหายานนี่แหละค่ะ ที่นิยมทำกันตั้งแต่เป็นพระพิมพ์ ไปจนกระทั่งถึงพระบูชาสำริดชุดเล็กๆ และพระบูชาหินแกะสลักขนาดใหญ่ และมักจะตั้งกันไว้ในปราสาทที่มีปรางค์ ๓ หลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน เช่นที่ปรางค์สามยอด จ.ลพบุรีค่ะ ปรางค์องค์กลางตั้งพระพุทธรูปนาคปรก ขณะที่ปรางค์ซ้าย-ขวา ตั้งพระอวโลกิเตศวร และพระนางปรัชญาปารมิตา[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นถ้าเห็นพระพุทธรูปนาคปรกลอยองค์อยู่ที่ไหน ก็เดาได้เลยค่ะ ว่ามักจะมีเทวรูปพระอวโลกิเตศวรกับพระนางปรัชญาปารมิตาเป็นชุดเดียวกันเสมอๆ[/FONT]
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]ในขณะที่เทวรูปพระอวโลฯ กับพระนางปรัชญาปารมิตาที่เป็นหินแกะสลักกระจัดกระจายกันอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ และร้านค้าของเก่านั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องเคยมีพระนาคปรก กับเทวรูปอีกองค์ที่เป็นชุดเดียวกันอยู่ที่ไหนซักแห่งเสมอ แต่เป็นการยากค่ะที่จะตามให้ครบชุด เพราะว่าไม่รู้กันแล้วไงคะว่าองค์ไหนขนมาจากปราสาทไหน [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]อ้อ...พระนางปรัชญาปารมิตา ยังได้รับการนับถือในทางวัชรยานว่า เป็นมหาศักติของ พระอาทิพุทธเจ้า หรือองค์ปรมาตมันในทางมหายานนั่นแหละค่ะ การสร้างสรรค์สรรพสิ่งของพระอาทิพุทธเจ้า ก็เป็นการสร้างสรรค์ร่วมกับพระนาง [/FONT][FONT=&quot]ดังมีเทวรูปของทั้งสองพระองค์ในลักษณะสังวาส ที่นิยมเรียกกันว่า ยับ-ยุม ([/FONT][FONT=&quot]Yab-Yum) เป็นบุคลาธิษฐานซึ่งหมายถึงการรวมกันของทั้งสองพระองค์ที่ทำให้เกิดสรรพสิ่งในจักรวาลค่ะ[/FONT]
     
  12. จันทระ

    จันทระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +601
    เรื่องรามสูร กับ เมขลา เวอร์ชั่นนี้กุ๊กกิ๊กน่ารักมากคะ

    รามสูร หรือ ปรศุราม ตนนี้ ใช่คนเดียวกับ ฤาษีปรศุราม ในรามเกียรติ์ ไหมคะ? คนนั้นก็ได้รับขวานจากพระศิวะเหมือนกัน เป็นฤาษีที่มีฤทธิ์มาก ดุร้าย แต่รักและเคารพพระศิวะมาก จนตอนนี้พระรามไปหักศรพระศิวะที่พิธีเลือกคู่ครองของนางสีดา ฤาษีปรศุรามได้ยินเสียงศรหัก เลยตามมาฆ่าพระราม แต่ก็แพ้ความดีของพระราม ประมาณนี้คะ ว่าแต่...ใช่คนเดียวกันรึเปล่าคะ?
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]จอมเทพฝูซี เป็นเทพคู่กับ พระแม่หนี่วา ([/FONT][FONT=&quot]Nu Wa) และเป็นพี่น้องกันค่ะ ตามตำนานการสร้างโลกในเทววิทยาจีนกล่าวว่า หลังจาก เทพบิดรผานกู่ (Pan Ku) แยกฟ้าดินออกจากกัน และสิ้นพระชนม์จนพระวรกายของพระองค์แยกสลายก่อเกิดเป็นท้องฟ้า เมฆ ดวงดาว น้ำฝน ภูเขา แม่น้ำ ผืนดินฯลฯ แล้ว ก็เกิดเทพบรรพชนขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่าเป็นลำดับกษัตริย์ครองผืนแผ่นดินจีนและเป็นผู้สร้างสม อารยธรรมต่างๆ นับเนื่องกันมาตั้งแต่ราวๆ ๓,๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ดังที่มีบรรยายไว้ในเรื่อง ไคเภ็ก ค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แต่ในบางตำรา ก็กล่าวถึงคุรุเทพบางองค์ในลำดับกษัตริย์เหล่านี้ ในคติที่แตกต่างจากไคเภ็กมาก เพราะย้อนไปตั้งแต่ก่อนเกิดมีมนุษย์ขึ้นมาอีกค่ะ และคุรุเทพที่เก่าแก่ที่สุดในคตินี้ก็คือจอมเทพฝูซีนั่นเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ไม่มีใครทราบที่มาของจอมเทพฝูซีค่ะ ว่ามีกำเนิดยังไง ว่ากันว่าพระองค์อาจจะเป็นผู้วิเศษในยุคบรรพกาลของจีนซึ่งบำเพ็ญตนอยู่ริม ฝั่งแม่น้ำเหลือง หรือ ฮวงเหอ ดังนั้นคนจีนโบราณก็เลยบรรยายว่าพระองค์มีพระวรกายท่อนบนเป็นมนุษย์ และท่อนล่างเป็นมังกรหรืองู ซึ่งก็เหมือนกับพระขนิษฐาของพระองค์และเทพอีกหลายองค์ในยุคนั้นค่ะ [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Fu_Xi.jpg
      Fu_Xi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.9 KB
      เปิดดู:
      35
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]หลักฐานทางโบราณคดียุคแรกๆ จนมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นก็มักจะทำรูปพระองค์เป็นกึ่งคนกึ่งงู หรือกึ่งมังกร ถือพระอาทิตย์อยู่ข้างหนึ่ง ขณะที่พระแม่หนี่วาซึ่งมีรูปกายแบบเดียวกันถือพระจันทร์อยู่อีกด้านหนึ่งค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แต่จริงๆ แล้วจอมเทพฝูซีเป็นคนแน่นอนค่ะ การที่คนจีนโบราณถ่ายทอดเทวลักษณะของพระองค์แบบนั้น ก็เพราะมังกร และงู เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำเหลือง และเป็น "ประติมานวิทยา" แรกๆ ที่คนจีนสื่อความหมายถึงสิ่งที่มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติด้วย [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]ดังนั้นเทพยุคนั้นจึงมีพระวรกายกึ่งคนกึ่งงูกันหลายองค์ ซึ่งมิได้หมายความว่าทรงมีพระวรกายเป็นเช่นนั้นจริงๆ ค่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]นอกจากนั้น ยังมีตำนานอีกกระแสหนึ่ง ที่ผูกพันกับเรื่องน้ำท่วมโลก ตำนานนี้เล่าว่าพระองค์กับพระขนิษฐานั้นแท้จริงก็เป็นมนุษย์ธรรมดานี่แหละ ค่ะ แต่เข้าไปหลบอยู่ในแตงขนาดยักษ์ตอนที่น้ำท่วมโลก แล้วก็เลยเป็นมนุษย์คู่เดียวที่รอดจากภัยพิบัติครั้งนั้นมาได้ ทั้งสองจึงต้องแต่งงานกันแล้วให้กำเนิดลูกหลานสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป [/FONT]
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]อันนี้ก็เป็นแม่แบบของตำนาน น้ำเต้าปุง ที่แพร่หลายกันอยู่ในชนเผ่าไตทางตอนใต้ของจีน เรื่อยลงมาถึงชนเผ่าต่างๆ ทางภาคเหนือของไทยและลาวน่ะแหละค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]จอมเทพฝูซี ได้รับการนับถือว่าเป็นคุรุเทพองค์แรกที่สุดในลัทธิศาสนาเต๋าของจีน เพราะทรงสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักการประกอบพิธีกรรม ทรงค้นพบกฎของทวิลักษณ์ หรือ หยิน-หยาง และทรงคิดค้นอักษรภาพขึ้นแทนทวิลักษณ์นี้ จนนำมาผสมกันได้ ๘ ลักษณะเพื่อสื่อความหมายระหว่างคนและภพต่างๆ [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]แผนภูมิของหยินหยางที่ผสมกันได้ ๘ ลักษณะนี้เองค่ะที่เป็นพื้นฐานของเทพพยากรณ์อี้จิง ที่สามารถให้คำแนะนำถึงสิ่งที่ต้องกระทำในสถานการณ์ต่างๆ ถึง ๖๔ อย่าง กลายเป็นพื้นฐานของศาสตร์ฮวงจุ้ยของจีนที่ยังคงเป็นที่นิยมกันมาจนทุกวันนี้ค่ะ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
     
  16. dirtygirl

    dirtygirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +1,351

    ก็ว่าอยู่ ผู้หญิงสวยมักจะชอบผู้ชายโหดๆ ... แอร๊ยยย >.<"
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]ในขณะเดียวกัน แผนภูมิของหยินหยางที่ผสมกันได้ ๘ ลักษณะนี้ ก็ยังใช้กันต่อๆ มาในรูปแบบของยันต์แปดทิศ หรือ ยันต์ปากว้า ([/FONT][FONT=&quot]Pa Gua : แต้จิ๋วเรียกโป๊ยก่วย) ล้อมรอบวงกลมหยินหยางตรงกลาง เป็นเครื่องหมายของลัทธิเต๋าของจีน และเป็นยันต์สำหรับขจัดสิ่งชั่วร้ายด้วยค่ะ คนจีนนิยมใช้ยันต์นี้ทำลายกระแสพลังต่างๆ ที่ได้รับจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีค่ะ[/FONT]

    [FONT=&quot]เล่ากันว่า การหยั่งรู้ในทวิลักษณ์แห่งหยินหยาง และศาสตร์อี้จิงนั้น เกิดจากการที่องค์จอมเทพทรงสังเกตและครุ่นคิดถึงเรื่องราวของโลก ธรรมชาติ และพระองค์เองเป็นเวลานาน จนทรงปิ๊งไอเดียเมื่อเห็นเต่าตัวหนึ่งคลานกระดืบๆ ผ่านหน้าพระองค์ไป บนริมตลิ่งแม่น้ำเหลืองน่ะแหละค่ะ พระองค์ทรงเห็นการผสมผสานของหยินหยางทั้ง ๘ ลักษณะจากลวดลายบนกระดองเต่านี้เอง และในทางโบราณคดีก็พบหลักฐานว่าวิชาพยากรณ์รุ่นแรกๆ ของจีนนั้นใช้กระดองเต่าในการทำนายค่ะ[/FONT]
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [FONT=&quot]จอมเทฟฝูซี ทรงมีพระสมัญญานามอีกอย่างหนึ่งว่า ไท่เหา ([/FONT][FONT=&quot]Tai Hao) คำนี้แหละค่ะที่กลายเป็นสำนวนไทยเวลาพูดถึงเรื่องสมัยดึกดำบรรพ์ว่า "สมัยพระเจ้าเหา" [/FONT]

    [FONT=&quot]แล้วพระองค์ก็ทรงเป็นเทพปรมาจารย์ในวิชาการประมง คือทรงสอนให้มนุษย์รู้จักประดิษฐ์แหอวนขึ้นจับสัตว์น้ำเป็นครั้งแรกด้วยค่ะ

    จบแล้วคร้า..าา ขี้เกียจเล่าแล้ว เงียบกันจังเลย
    [/FONT]
     
  19. dirtygirl

    dirtygirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2012
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +1,351
    เทสๆๆๆ :cool:
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แวะเอาอะไรดีๆ เรื่องกรรม มาฝากกันค่ะ พบกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ บ้ายบาย

    พิมพ์จากหนังสือ ''ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น''
    หลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยานมหาเถระ)
    วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะมีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

    ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้น แล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำ เมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ''บ้า'' อีก
    ท่าน หนึ่งพูดว่า ''ทะลึ่ง'' ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรม และวจีกรรม ทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อ ๆ) ดังนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...