อเลสเตอร์ โครว์ลีย์ พ่อมดแห่งศตวรรษ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย itchy&scratchy, 12 กันยายน 2012.

  1. itchy&scratchy

    itchy&scratchy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +712
    ดูหนังซีรีย์ เกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญมาหลายเรื่อง เรามักจะได้ยินชื่อ ๆ หนึ่ง คือ อเลสเตอร์ โครว์ลีย์ ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง เป็นที่รู้จักใน การเป็นเจ้าลัทธิ, จอมขมังเวทย์ , พ่อมดชั้นสูง หลายคนมอบตำแหล่งสัตว์ร้ายประจำหมายเลข 666 ให้กับเขาด้วย

    อเลสเตอร์ โครว์ลีย์ เกิดเมื่อ 12 ตุลาคม 1875 เกิดในครอบครัวคริสเตียนที่มีฐานะมั่งคั่ง พ่อเป็นวิศวกร ซึ่งถือหุ้นอยู่ในบริษัทต่าง ๆ ทำให้ครอบครัวไม่จำเป็นต้องทำงาน พื้นฐานครอบครัวเคร่งครัดในศาสนาชนิดที่อ่านไบเบิลให้ลูก ๆ ได้ฟังทุกเช้า ชีวิตในวัยเด็กของเขาถูกส่งเข้าโรงเรียนคริสเตียน ที่ H.T. Habershon ซึ่งเป็น Pre School ของ เคมบริดจ์

    จากคำบอกเล่าของอเลสเตอร์จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเขา คือ ช่วงเวลาที่พ่อเขาตาย เมื่อเขาอายุได้ 11 ปี มรดกจากพ่อของเขาทำให้ครอบครัวของเขายังมั่งคั่ง เช่นเดิม แต่ อเลสเตอร์ ที่ขาดพ่อก็มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายครั้ง การเรียนในโรงเรียนคริสเตียนยิ่งทำให้เขาลำบากขึ้น ด้วยความที่เขารู้สึกว่าคำสอนแบบคริสเตียนมัน ไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย จนกลายเป็นต่อต้านเอาเสียเลย และเริ่มด้วยการมี SEX กับโสเภณี

    แต่ถึงอย่างนั้น พฤติกรรมต่อต้านสังคมของเขาไม่ได้มีผลต่อสติปัญญาของเขา เขาได้เข้าเรียนที่เคมบริดจ์ในปี 1895 ในสาขาปรัชญาและวรรณกรรม ระหว่างเรียนที่เคมบริดจ์ เขาเริ่มงานอดิเรกด้วยการปีนเขา ซึ่งคุณสมบัติที่โดดเด่นของเขาอย่างหนึ่งก็คือ ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในสิ่งที่เขาสนใจแบบกัดไม่ปล่อยนั่นเอง นอกจากนี้เขายังเข้าร่วมชมรมหมากรุก ซึ่งในปีแรกเขาถึงกับเอาชนะคนที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกันกับเขาได้ ถึงกระนั้นเขาก็มุ่งเป้าต่อไปด้วยการเป็นแชมป์เปี้ยนหมากรุก ด้วยการฝึกอีกวันละ 2 ชั่วโมง

    จนกระทั่งปี 1896 เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติอันเกี่ยวกับด้านเวทย์มนต์คาถา ผู้เขียชีวประวัติหลายคนกล่าวไว้ว่า เขาเริ่มพฤติกรรมแบบ homosexual และเริ่มศึกษาตำหรับตำราลัทธินอกรีต เวทย์มนต์คาถา และการเล่นแร่แปรธาตุต่าง ๆ

    ชีวิตในมหาลัยของเขานั้นไม่ได้ทำให้ความฟุ่มเฟือยในเรื่องทางเพศของเขาลดลงแต่อย่างใด เขายังคงใช้บริการจากโสเภณีเช่นเคย ยังไม่รวมถึงชีวิตแบบ Homo ของเขาซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งรุกและรับ ซึ่งด้วยกฎหมายในขณะนั้นมีโทษถึงจำคุก ในปี 1897 เขาได้คบกับประธานชมรม Cambridge Footlight Dramatic Club ชื่อ Herbert Chales แต่ไม่อาจไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะความสนใจพิเศษในเรื่องพิธีกรรมประหลาดนั่นเอง ในปีนั้นเอง อเลสเตอร์ถึงกับละทิ้งอนาคตทางการศึกษาที่เคมบริดจ์ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสถึงการได้รับเกีนรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชาที่ได้ศึกษาอยู่ เพื่อออกไปใช้ชีวิตแบบเจ้าลัทธิ เริ่มต้นด้วยการเดินทางไปยังเมือง St Peterberg ในฤดูร้อน

    ต่อมาในปี 1898 เขาเดินทางมายังสวิตเซอร์แลนด์ ได้พบ Julian L Baker นักเคมี ที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกัอย่างถูกคอ Julian ได้แนะนำเพื่อนอีกคนหนึ่งให้ คือ George Cecil ซึ่งเป็นสมาชิกของ ลัทธิ Hermetic Order of Golden Dawn ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปีื 1888 ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น อเลสเตอร์ได้แยกนิกายออกมาเป็นสาขาย่อย คือ Outer Order of Golden Dawn ซึ่งได้สถาปนาขึ้นที่ Mark London Hall และอเลสเตอร์ได้รับชื่อ ในนิกายว่า Frater Perdurabo ซึ่งแปลว่า ผู้รอคอยจนกว่าวาระสุดท้ายจะมาถึง

    อเลสเตอร์ได้เช่าที่พักในโรงแรม โดยมี Allan Bennet เป็นผู้ฝึกสอนด้านเวทย์มนต์คาถา และการยกระดับจิตวิญญาณด้วยการใช้ยาเสพติด ในปี 1899 อเลสเตอร์ ได้ย้านไปอยู่ที่สก๊อตแลนด์ .....To Be Continued zzzzz
     
  2. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    จะกลับมาอ่านต่อเหมือนกันคะ
    แปลกดี คะ เพิ่งเคยรู้ก็ตะกี่นี้เองที่ได้อ่าน
     
  3. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    มิจฉาฐิตธิตัวเดียวทำให้เลี้ยวผิดทิศทาง
     
  4. itchy&scratchy

    itchy&scratchy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +712
    ถิ่นพำนักของอเลสเตอร์ในสก๊อตแลนด์นั้นคือ ริมทะเลสาบล๊อคเนสนั่นเอง ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งเชื่อกันว่าสัตว์ประหลาดแห่งทะสาบล๊อกเนสนั้นเป็นฝีมือการทดลองอัญเชิญปีศาจของอเลสเตอร์ระหว่างที่พักอยู่ที่ทะเลสาปแห่งนี้

    ผลงานระหว่างที่อเลสเตอร์ได้เข้าร่วมกลุ่มกับ Hermetic Order of Golden Dawn ที่สำคัญที่สุดและถือเป็นรากฐานของวิชาไสยศาสตร์ตะวันตกนั้น คือ การร่วมกับเจ้าลัทธิ McGragor Mather ค้นคว้า บันทึกจากศตวรรษที่ 16 ของ Dr. John Dee ซึ่งเป็นสายลับคนสนิทของ สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ที่ได้แอบฝึกเวทย์มนต์และได้บันทึกแอบบันทึกไว้ ซึ่งผลการค้นคว้างานนี้ คือ Enochian World of Aleister Crowley โดยเขาเชื่อว่่าม้วนบันทึกนี้เป็นภาษาที่ถูกสร้างโดยเทวดาองค์หนึ่งเพื่อใช้สำหรับสื่อสาร หรือทำสัญญาระหว่างเทพและมนุษย์ นั่นเอง ภาษา Enochian หรืออีกนามหนึ่งคือ ภาษา Angelic นั้นเอง
     
  5. itchy&scratchy

    itchy&scratchy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +712
    ต่อมาในปี1900 อเลสเตอร์ได้เดินทางไปยังเม็กซิโก กับเพื่อนของเขา Oscar Eckenstein ดพื่อพิชิตยอดเขาต่าง ๆ ในทวีปอเมริกา ระหว่างการเดินทางนั้นเพื่อนของเขาได้ร่วมแบ่งปันงานค้นคว้าด้านเวทย์มนต์คาถาให้กับอเลสเตอร์ โดย Oscar มีความเห็นว่าการฝึกเวทย์มนต์ให้ก้าวหน้าได้นั้นต้องฝึกการควบคุมจิตใจตนเองด้วยเป็นสำคัญ และได้แนะนำ เทคนิคการฝึกจิตแบบ Raja Yoga หรือการฝึกโยคะให้กับอเลสเตอร์อีกด้วย

    อเลสเตอร์ยังได้เดินทางต่อไปในอีกหลายที่ ซานฟราน ฮาวาย ญี่ปุ่น ฮ่องกง จนกระทั่งมาถึงอินเดีย ศรีลังกา เขาก็ได้พลเพื่อนเก่าของเขาอีกครั้ง Allen Banett ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอยู่ที่นั่น อเลสเตอร์ได้บำเพ็ญตนฝึกฝนโยคะอยู่ที่นั่น ในระหว่างที่ได้ไปพบ Allen Bannett นั้น เขาได้ตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนานิกาย Theravada เถรวาท (T______T) และธุดงค์มาจนถึงประเทศพม่า ในระหว่างที่เขาเดินทางสู่อินเดียนั้นเขาได้ฝึกฝนศาสตร์ต่าง ๆ ในศาสนาฮินดูเป็นจำนวนมาก ต่อมาในปี 1902 เขาได้กลับมารวมกลุ่มกับเพื่อนของเขาอีกครั้ง Oscar Eckenstein เพื่อพิชิตยอดเขา K2 แต่ทั้งกลุ่มก็ไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยแผลหิมะกัด บวกกับไข้มาราเลีย ทำให้ต้องถอนตัวที่ระดับความสูง 6100 เมตร

    ต่อมาในปี 1903 อเลสเตอร์ตัดสินใจแต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนตัวเอง Rose Edith Kelly ด้วยเหตุผลว่าเพื่อความสบายใจของคนรอบข้าง แต่ภายหลังแต่งงานกลับกลายเป็นว่าอเลสเตอร์ตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับภรรยาที่แต่งเพื่อความสบายใจของคนรอบข้างนั่นเอง ต่อมาในปี 1904 อเลสเตอร์ได้พาภรรยาเดินทางไปที่อียิปต์ ระหวางเดินทางนั้น Rose ซึ่งได้ตั้งท้องอยู่ขณะนั้น ได้เกิดนิมิตได้ยินเสียงว่า "จงบอกเขา ว่าพวกเราได้รอเขาอยู่" ซึ่งเมื่อ Rose ได้บอกกับอเลสเตอร์นั้น อเลสเตอร์เข้าใจว่าน่่จะเป็นเสียงเรียกจากเทพ Thoth เทพเจ้าแห่งเวทย์มนต์ของอียิปต์ ซึ่ง Rose ซึ่งเป็นผู้รับสารนั้นบอกว่ามาจากเทพฮอรัส ต่อมาเมื่อได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองไคโร ภาพนิมิตได้ปรากฎขึ้นกับเธออีกครั้งและได้นำพวกเขาไปยัง ห้องเก็บจารึกอายุ 700 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเมื่อได้มาถึงห้องดังกล่าวได้ทำให้อเลสเตอร์ ถึงกับตกตะลึง เพราะห้องที่ได้เก็บจารึกนั้นไว้คือ ห้องหมายเลข 666 ซึ่งอเลสเตอร์เข้าใจว่านี่คือสารที่สิ่งศักดิ์สทธิ์ต้องการสื่อสารกับเขา ต่อมาในวันที่ 20 เดือนมีนา สองวันหลังจากที่ได้พบจารึกดังกล่าว ได้เกิดการยกระดับจิตขึ้นในห้องพักของโรงแรมนั้นเอง พร้อมสารที่ได้ส่งมาถึงอเลสเตอร์ก็คือ "The Equinox of God had Come"
     
  6. itchy&scratchy

    itchy&scratchy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +712
    ในวันที่ 8 เดือนเมษายน เป็นครั้งแรกที่อเลสเตอร์ได้ยินเสียงจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน ซึ่งชื่อว่า Aiwass ซึ่งอเลสเตอร์เชื่อว่า ไอว่่า คือ Holy Angel Guardian หรือเป็นเทพคุ้มครองของเขา (ทางตะวันตกมีความเชื่อ คล้าย ๆ กับคนตะวันออกในเรื่องที่ว่า คนทุกคนต่างก็มีเทพคุ้มครองประจำตัวทุกคน) จากสิ่งที่ไอว่า ได้บอกและสอนอเลสเตอร์ได้กลายมาเป็น The book of law ซึ่งเป็นเหมือนกับคำสอน ของลัทธิ Thelema ซึ่งได้ก่อตั้งโดยอเลสเตอร์โครว์ลีย์ สิ่งที่ปรากฎใน The Book of Law คือ Aiwass ได้บอกว่า ยุคใหม่แห่งมนุษยชาติได้มาถึงแล้ว อเลสเตอร์คือศาสดาพยากรณ์ที่มีหน้าที่นำสารนี้ไปสู่คนทั้งโลก และคำสอนนั้นคือ " Do what thou wilt shall be the whole of the law" คือถ้าแปลแบบบ้าน ๆ ก็คือจงทำตามที่ใจปราถนา แต่ความหมายของคำว่าตามใจปราถนานั้น อเลสเตอร์ได้ให้ความหมายถึง True Will ซึ่งมนุษย์เราทุกคนล้วนมี True Will อยู่ซึ่งทุกคนควรที่จะค้นให้พบและทำให้สำเร็จ ซึ่งได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานให้กับแนวความคิดของอเลสเตอร์ทั้งหมด และกลายเป็นหลักคำสอนพื้นฐานของลัทธิ Thelema อย่างไรก็ตาม อเลสเตอร์ในขณะที่ได้รับสารนั้นไม่แน่ใจนัก ที่จะทำตามสิ่งที่ไอว่าบอก ซึ่งก็คือ กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ และแปลจารึกที่ได้พบในห้องหมายเลข 666 ของพิพิธภัณฑ์ และเผยแพร่ออกไปทั่วโลก สิ่งที่อเลสเตอร์ทำกลายเป็นว่าพิมพ์บันทึก คร่าว ๆ และส่งกลับไปยังสำนักยังลัทธิเดิมของตน

    เมื่ออเลสเตอร์กลับมาถึง Boleskine ถิ่นพำนักเดิมใกล้ทะเลสาปล็อกเนสประเทศสก๊อตแลนด์ กลับพบว่า McGrager Mather กลับเชื่อในบันทึกของอ้ลสเตอร์ทั้งหมดและอิจฉาในความก้าวหน้าของอเลสเตอร์ จนถึงกับได้ใช้เวทย์มนต์ต่อกัน จนความสัมพันธ์ที่ดีมาแต่เดิมได้ถึงกาลแตกหัก จนกระทั่งเป็นเหตุให้อ้ลสเตอร์ต้องออกไปตั้งลัทธิของตน คือ ลัทธิ Thelema ในที่สุด ในปี 1905 Rose ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกกับอเลสเตอร์ ชื่อ สั้น ๆ ว่า Lilith (ชื่อจริงยาวมากครับ) ในปีนั้นอเลสเตอร์ได้เขียนบทกวี ขขึ้นมาชิ้นหนึ่งคือ The Sword of Song ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ในปีเดียวกันจากการล้มเหลวในการพิชิตยอดเขา K2 ทำให้อเลสเตอร์ต้องการจะแก้ตัวอีกครั้ง ด้วยการกลับไปพิชิตยอดเขา Kangchenjunga ซึ่งเป็นยอดเขาหนึ่งของ Himalayun อีกครั้ง ด้วยการชักชวนเพื่อนักปีนเขาที่เคยร่วมก๊วนที่ K2 มาก่อน เพื่อล้างอายร่วมกัน ตลอดการเดินทางอเลสเตอร์กับเพื่อนร่วมก๊วนก็ทะเลาะกัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดความเสี่ยง จนอเลสเตอร์ถึงกับต้องแยกตัวออกมากลางดึก แต่ปรากฎว่าอเลสเตอร์เป็นฝ่ายถูก ๕ณะเดินทางที่เหลือที่ได้เดินทางต่อไปตามเส้นทาง ที่อเลสเตอร์ได้บอกแล้วว่าอันตรายเกินไป ได้ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต ซึ่งตามคำล่ำลือ คือ อเลสเตอร์ได้เผลอหลุดปากไปว่าถ้าใครไปทางที่ว่าจะไม่ได้กลับลงมา ซึ่งก็ได้เป็นไปตามที่เขาพูดจริง ๆ

    เมื่อกลับจากการเดินทาง อเลสเตอร์ได้กลับไปพบกับ Rose และลูกที่รออยู่ที่กัลกัตตา แต่ก็ต้องรีบออกจากพื้นที่เนื่องจากอเลสเตอร์ได้ไปยิงชาวอินเดียที่พยายามจะขโมยของของเขาเข้า อเลสเตอร์ตัดสินใจที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศจีน และให้ Rose และ Lilith ดดินทางกลับไปยังยุโรปผ่านทางอินเดีย อเลสเตอร์ที่เดินทางไปจีนได้ไม่นานได้ตกจากที่สูงถึง 40 ฟุต แต่กลับไม่เป็นอะไรมากทำให้อเลสเตอร์เริ่มเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้คุ้มครองเขาอยู่ ทำให้อเลสเตอร์ในขณะนั้นฐานะทางเวทย์มนต์ของเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของ Second Order of the golden Dawn อยู่แล้วได้เปิดใจให้กับ Aiwass อีกครั้ง อเลสเตอร์ได้ใช้เวลาอยู่หลายเดือนในจีน เพื่อศึกษาตำรา Gortia และ Grimoire ซึ่งเป็นตำราที่ได้เคยร่วมแปลมากับ McGrager Mather อีกครั้ง โดยได้รับคำชี้แนะเพิ่มเติมมาจาก Aiwass หรือเทพคุ้มครองของเขานั่นเอง ตำรา Goetia นั้นเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อนึงว่า The lesser key of solomon ซึ่งเป็นตำราที่เล่ากันว่าเป็นบันทึกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสราเอล เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นกษัตริย์จอมเวทย์ที่สามารถเรียกใช้งานได้ทั้งปีศาจ และเทพ ในตำรา Goetia นั้นจะเป็นตำราด้านมืด กล่าวถึงตราสัญลักษณ์ วิธีที่ใช้เรียกและวิธีพันธนาการปีศาจทั้ง 78 ตน ที่กษัตริย์โซโลมอนได้เคยเรียกใช้ ตั้งแต่ตัวเล็ก ตัวน้อยยันเจ้านรกทั้ง 4 ส่วน Grimoire หรือที่รู้จักกันในนามของ The greater key of solomon นั้นเป็นตำราด้านสว่างครับ คือ จะเป็นตำราเทววิทยา ที่บอกรายชื่อเทพที่ประจำในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา ตำราการทำเครื่องลางเพื่อป้องกันตัวเองจากปีศาจ มีวิธีการเรียกเทพเพื่อมาช่วยเช่นกัน แต่จะเป็นในลักษณะขอร้องอ้อนวอนให้ช่วย ซึ่งเหล่าเทพจะตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นธรรมเท่านั้น ( ปล ไว้จะปลมาให้อ่านกันครับ ทั้งมืด ทั้งสว่าง) ...... to be Continued zzzzz
     

แชร์หน้านี้

Loading...