ขอบคุณ คุณ raquaz มากครับที่เอาประสบการณ์มาเล่าแบ่งปัน ^_^ อ่านแล้วสนุกมาก เพลินจริงๆ เหมือนเป็นหนังเลย มีเป็นฉากๆ มีการลำดับเรื่องราว, การพัฒนาตัวละคร ^^ ผมก็เคยไปหา อ.อาชวินครั้งหนึ่งตอนต้นปี ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตตัวเองครั้งนึงเหมือนกันครับ
คุณojo เล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานกับผมบ้างซิครับว่าฝึกอะไรยังไงน่ะครับ กระทู้นี้จะได้คึกคักขึ้นไงครับ มีกระทู้ฝึกดูออร่าน่ะครับ ข้างล่างนี้เลย http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=3610 ลองเริ่มจากการฝึกตามกระทู้ที่ให้ก่อนก็ได้ครับแล้วพอมีโอกาสเข้ากรุงเทพ ค่อยเข้ามารับคำแนะนำจากอาจารย์ก็ได้ครับ อยากเขียนเหมือนกันครับ แต่ยังไม่มีอะไรเด่นๆน่าเขียนเลย ฮ่าๆ กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่อีกนิดหน่ะครับ แต่ถ้าให้เขียนบ่นโน่นบ่นนี่ล่ะก็ได้ เลย แต่เดี๋ยวกระทู้นี้จะน่าเบื่อไปเสียก่อน อิอิ ไอ้ที่ว่า อ่านแล้วรู้สึกสงบเนี่ย แปลว่ามันไม่สนุก หรือว่าอ่านแล้วเศร้าล่ะน่ะ อิอิ ว่าแต่ แปลกใจจังที่แต่ละคนดูจะชอบๆการเขียนของผม ทั้งๆที่ผมอ่านของผมเองว่าเฉยๆแท้ๆ คงเป็นเพราะทุกคนใจดีนั่นเองซินะครับ อิอิ
Thank you very much for sharing your experiences on this website. I do enjoy reading you articles. They are easy to follow, simple and concise. Thank you again.
ขออนุญาติตอบเป็นภาษาไทยนะครับ เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษยิ่งอ่อนแอกว่าภาษาไทยมากมาย (- -; ) ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ ที่มันดูอ่านง่ายอย่างที่คุณ xanadu ว่านั้น อาจจะเป็นเพราะผมไม่ชอบอ่านเรื่องยากๆ เลยเอาตัวเองเป็นมาตรฐานในการเขียนน่ะครับ และอยากจะให้เข้าใจง่ายๆ อ่านแล้วผู้อ่านจะได้รู้สึกว่ามันไม่ได้อยากเกินกว่าที่จะลองทำน่ะครับผม คุณxanadu ไม่มีอะไรมาแบ่งปันบ้างเหรอครับ อิอิ
เรื่องพลังจิต ผมคิดเองว่าคนเราคงเข้าใจว่าคนมีพลังจิตต้องเก่งต้องฝึกหนักจริงๆแล้วทุกคนมีหมดทุกคนอาจจะมีมากมีน้อยแล้วแต่บุญบารมีแต่ที่สำคัญต้องมีความเชื่อให้เกิดขึ้นในมาโนจิตก่อนเพราะอะไรเพราะถ้าเราเชือว่าเรามีพลังจิตมโนจิตก็จะบอกจิตภายในว่าเราทำได้ยกตัวอย่างง่ายเห็นคนตกใจกลัวแล้วยกโองน้ำขนาดใหญ่ได้เป็นต้นผมถึงบอกว่าทุกคนมีหมดถ้าเราเชื่อและเริ่มฝึกได้ตลอดเวลาทุกสถานที่ยกตัวอย่างเช่นฝึกขั้นแรกดูจิตตัวเองก่อนว่าใครว่าอะไรเราโกรธหรึอเปล่าถ้าโกรธก็ไม่ผิดหรอกครับเพราะอะไรเพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีโกรธบ้างเพราะเราเพิ่งฝึกตอนนี้ใครว่าเราลองเฉยๆเราไม่คิดตามเขามาดูอารมณ์ตัวเองให้นิ่งไว้เมื่อไรจิตนิ่งและลึกหมายว่าจิตเป็นสมาธิจะฝึกทำอะไรได้หมดฝึกพลังจิตได้เต็มแต่ขออย่างต้องรู้จักบุญคุณของ บิดา,มารดา,ครูอาจารย์,ชาติ,ศาสนา,พระมหากติย์,การทำพลังจิตของท่านจะสำเร็จครับ(สุดท้ายนี้อย่างจะบอกเพื่อนๆอย่าท้อทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราถ้าท่านอยากช่วยคนที่ท่านรักให้พ้นภัยท่านยี่งต้องทำครับ)
ขอบคุณมากๆเลยครับ สำหรับประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปัน อ่านวิธีอาบน้ำกายทิพย์แล้วก็เลยอาบซะหน้าจอคอมเลย เย็นดีครับ ผมว่าทำได้ทุกวันเลยนะเนี่ย วันละหลายๆครั้งด้วย แต่ซักเดี๋ยวก็คงจ้องไปอาบน้ำกายหยาบด้วย เหนียวตัวไปหมด(555) ผมเองก็ไม่ค่อยได้ทำสมาธิเท่าไหร่ อาจเพราะยังมีกิเลสกล้าแข็ง ก็จะพยายามขึ้นด้วย แต่เหตุหนึ่งคืออาการร้อนที่จะแผ่ไปทั่วทั้งร่าง แล่นวนรอบตัวนี่สิ มันขับเหงื่อออกม่ทางรูขุมขนเลยทีเดียว จนบางทีเห็นไอระเหยออกจากผิวหนังก็ยังมี เดี๋ยวต้องลองถ่ายเทพลังไปสู่ผืนดินบ้าง (มิน่า พักนี้ปลูกต้นไม้อะไรมันก็ไม่โต จะเฉาท่าเดียว ) ผมเคยลองถ่ายพลังเข้ากระตุ้นสมองเพื่อนที่หมดสติเพราะเมาเหล้า (โดยใช้เพื่อนอีกคนเป็นตัวกลางกั้นพลัง) ปรากฏว่าเพื่อนคนที่เมานี่สะดุ้งกระเด็นไปเลยครับ แล้วจากนั้น เขาก็อาละวาดแบบจำสติตัวเองไม่ได้เลย (สงสัยสมองจะรับพลังมากไปหน่อย) จากนั้นมาก็ไม่เคยลองใช้พลังอีกเลย เคยแกล้งตัวเองครั้งหนึ่ง ด้วยการรีดพลังไว้ที่ปลายนิ้ว แล้วแตะไว้ที่ต้นแขน เดินพลังไปเรื่อยๆราวๆ 10 นาที เป็นรอยไหม้เลยครับ หากมีโอกาส ผมก็อยากไปพบอาจารณ์ทุกๆท่านเหมือนกันครับ ยินดีกับคุณ requaz อีกครั้งนะครับ และ ยินดีต้อนรับสู่โลกของพลังจิตครับ
สนุกดี เรื่องดี... อ่านแล้วเห็นว่า น่าจะดี ไปเรื่อยๆอีก ไม่ถูกจริตใครก็ไม่ต้องไปกังวลหรอก เขียนไปเถอะ
คิดเหมือนผมเลยครับ ทุกคนมีพลังอยู่แล้วล่ะครับ แต่ยิ่งเราทำดี ยิ่งอยู่ในธรรมมากๆ พลังตรงนี้ก็จะยิ่งหยิบมาใช้ได้มากขึ้นครับ และที่จะขาดเสียไม่ได้คือ ความนอบน้อม ถ่อมตน กตัญญู ต่อผู้มีพระคุณ อย่างที่คุณชานนคนไทยกล่าวครับผม คุณ demonicus ต้องลองไปพบกับอ. อาชวินดูจะดีกว่านะครับ จะได้เรียนรู้ถึงวิธีการใช้อย่างถูกต้อง เหมือนกับผม ที่ตะก่อนดูดเอาอาการป่วยคนอื่นมามั่วซั่ว จะตัวเองเดือนร้อนล่ะครับ อ้อ ลืมไป รูปช่วงหน้าแรกจะดูไม่ได้แล้วล่ะครับ แต่จะมีการโพสใหม่อีกทีอยู่แถวๆหน้าหลังน่ะครับ ลองไปดูได้ครับผม
ตามอ่านมาตลอดเลยเขียนได้ดีมากๆอ่านแล้วมองเห็นภาพเลย ท่านจอมยุทธเยี่ยมมากอย่างนี้ผู้น้อยขอฝากเนื้อฝากตัวกับท่านจอมยุทธด้วยครับ
มิบังอาจๆ ท่านพี่ก็ถ่อมตัวเกินป๊ายยยย ตอนนี้ท่านพี่ยังพลังยุทธสูงกว่าข้านัก อย่างน้อยก็พลังยุทธด้านสมาธิล่ะนะ ว่าแต่ ท่านพี่ ไม่แบ่งปันอะไรบ้างรึ อิอิ
หนึ่งวัน7วัด เหตุเกิดเมื่อวันพฤหัสที่23 คุณทานะบารมีได้โทรศัพท์มาบอกบุญชวน ไปเที่ยววัดที่อยุธยาด้วยกันในวันอาทิตย์ที่26 สัปดาห์หน้าตั้งใจว่าจะไปทำบุญที่อยุธยาอยู่แล้วแท้ๆ แต่เผอิญเพิ่งได้เงินมาจากการทำงานชิ้นหนึ่ง ราวๆ 5000 บาท คงไม่เดือดร้อนเรื่องทำบุญ ก็เลยว่า อืม งั้นทำบุญมันสองวันเลยดีกว่า ก็เลยตอบตกลง เราออกกันแต่เช้าตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง เอากล้องไปด้วย โดยพี่ทานะบารมีได้มารับผมด้วยรถตู้ของญาติธรรมท่านหนึ่ง ได้พบกับคุณ<!--พิชญ์-->พิชญ์ ที่อยู่ภายในรถเช่นกัน หลังจากนั้นกก็ไปรับ อาจารย์โคมฉาย กับสหายธรรมของท่าน วัดตโนด วัดแรกที่เราไปถึง เรามาเพื่อร่วมพิธีบวงสรวงพญานาค จริงๆแล้วพิธีนี้จะรู้กันแค่ภายใน แต่ว่ากันว่า พวกพี่ทานะบารมี ได้รู้เรื่องพิธีนี้จากการที่ได้เดินทางไปอยุธยาสัปดาห์ที่แล้ว และขับรถหลงไปถึงวัด จึงได้แวะคุยกับเจ้าอาวาสนั่นเอง นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ทำให้พวกเราได้เข้าร่วมพิธีนี้ พวกเราไปถึงกัน เกือบ 8โมง แต่พิธีจะเริ่ม9 โมง เราจึงได้ขออนุญาติหลวงพ่อ เปิดอุโบสถให้กราบไหว้พระกันก่อน พระวัดโตนดนี้เมื่อผมได้ไปกราบ รู้สึกว่าปวดตุบๆบริเวณตาที่3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาจ้องที่มือของพระองค์ใหญ่ ไม่รู้เพราะทำไม จนกระทั่ง 9 โมง เราจึงไปร่วมพิธีกัน มาดูบรรยากาศในพิธีกันครับ สภาพงานโดยรวม คนไม่ค่อยเยอะ เพราะรู้กันไม่มากน่ะครับ บายศรี ในพิธี เจ้าอาวาสวัดตโนด มาร่วมพิธีหลังจากที่ไปรับนิมนต์งานแต่งข้างนอกมา พระอาทิตย์ทรงกลดระหว่างพิธี ระหว่างพิธี หลายๆท่านมีองค์มาลงประทับร่าง ออกมาร่ายรำกัน เป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก เรื่องตรงนี้ หากคนไม่เข้าใจ ก็อาจจะหาว่าแปลกก็ได้ แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นประสพการณ์ที่น่าประทับใจทีเดียว ตรงนี้ คณะเราได้เข้าร่วมกับคณะของคุณ จิตต์ปภัสสร ผู้รู้เรื่องแถวอยุธยาดี ราวกับเป็นบ้านของตนเอง แต่มาร่วมพิธีช้าเนื่องจาก หลงทาง (อ้าว) พอเสร็จพิธี เจ้าอาวาสวัดก็แสดงธรรมให้กับพวกเรา รับถวายเพล แจกของติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกคน และยังอุตส่าห์เอ่ยปากให้พวกเราทานข้างที่วัดอย่างเป็นกันเอง อาหารที่จัดมานั้น เป้นอาหารที่ใช้ในพิธีส่วนหนึ่ง และที่ทำมาเลี้ยวกันโดยเฉพาะส่วนหนึ่ง ซึ่งแต่ละอย่างก็เอร็ดอร่อยมากทีเดียว หลังจากกินเสร็จ พวกคุณจิตต์ปภัสสร ก็เข้าไปไหว้พระที่อุโบสถอีกครั้ง และเดินทางไปวัดต่อไปที่อยู่ใกล้ๆทันที วัดสะแก วัดที่อยู่ใกล้ๆกันกับวัดตโนด เมื่อไปถึง ผมก้รู้สึกดีใจมาก เพราะเป็นวัดของหลวงพ่อดู่ ซึ่งผมไม่เคยได้มากราบไหว้ท่านเลย แต่ผมสวดบทมหาจักรพรรดิ์อยู่ทุกวัน จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผมทีเดียว ภายในพื้นที่สวดมนต์ของวัดสะแก ภาพพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่คุณจิตต์ปภัสสรเรียกให้ผมดู ผมถ่ายเก็บไว้เพราะดูงามดีครับ หน้าพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ดู่ ครับ ข้างในมีสิ่งบูชาต่างๆมาจัดเอาไว้ให้ดูด้วยครับ ภายในพิพิธภัณฑ์ ดูรูปปั้นนี้แล้ว รู้สึกสบายใจมากเลยครับ หลังจากที่เดินชมพิพิธภัณฑ์แล้ว พวกเราก็เดินทางต่อ โดยขับรถ แค่ข้ามสะพาน ก็มาถึงวัดต่อไป วัดโกโรโกโส ที่อาจารย์อาชวินเคยว่าไว้ วัดที่นี่เล็กมาก แต่พอพวกเราเข้าไปก็เจอคนแก่คนเฒ่ามากมาย เรียนธรรมะกันอยู่ จุงดูเหมือนว่าแม้จะเล็ก แต่ก็เป็นวัดที่มีค่าทางจิตใจของคนอีกหลายๆคน ขนาดของอุโบสถวัด กว้างเพียงประมาณ 7 คนยืนเท่านั้น องค์พระภายใน ที่อาจารย์อาชวินกล่วไว้ว่า ให้โชคทางลาภ เนื้อที่ภายใน พอไว้พรุพุทธรูปแล้ว ก็เหลือเนื้อที่ให้นั่งกันแค่ประมาณ 5 คนเองเท่านั้น ก่อนกลับพวกเราได้เข้าทักทายเจ้าอาวาส ท่านได้รดน้ำมนต์และให้ของที่ระลึกแก่พวกเราทุกคนอีกด้วย ถึงตรงนี้ ญาติธรรมที่มากับคุณจิตต์ปภัสสร ก็ขอตัวลากลับ เนื่องจากมีงาน เราจึงได้คุณจิตต์ปภัสสรเข้ามาร่วมเดินทางด้วยกันต่อ รวมทั้งหมด 7 คนครับ เราเดินทางไปต่อที่วัดหน้าพระเมรุ ที่นี่เป็นวัดที่ค่อนข้างเก่าครับ เราได้ไปแค่ไหว้พระเท่านั้น เพราะต้องเริ่มทำเวลา มี2อุโบสถ ที่เราไปไหว้ อุโบสถใหญ่ครับ ผมจำรายละเอียดเกี่ยวกับพระที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว รู้แต่ว่า งามไปอีกแบบหนึ่งน่ะครับ องค์นี้จะอยู่ในอุโบสถเล็ก ใกล้ๆกันครับ อายุราว 700 ปี (ถ้าจำไม่ผิด) แล้วเสร็จแล้ว เราแวะวัดใกล้ๆ(จำชื่อไม่ได้อย่างแรง) เพื่อไหว้รูปสมเด็จพระเจ้าตากสินครับ จากนั้นเราเดินทางไปต่อที่วัดพุทธไธศวรรย์กันครับ ที่นี่จะเด่นในเรื่ององค์จตุคามรามเทพเช่นกัน เนื่องจากบูชากันมาเนิ่นนานแล้ว องค์พ่อจตุคามที่บูชากันมาเนิ่นนานในวัด องค์พ่อจตุคามปางหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในวัด ทำแกมาได้อ่อนช้อยงดงามมาก ที่วัดนี้ อาจารย์อาชวินบอกว่ามีวิญญาณคนตายมากมายจากการสู้รบกับพม่าครับ อาจารย์โคมฉายและพวกผมเมื่อเดินอยู่ตรงนี้ก็รู้สึกขนลุกซู่ด้วยกันทุกคนเลยทีเดียว ตรงนี้ พวกเราจึงได้อุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาที่มาต้อนรับเราก่อนไปครั้งหนึ่ง แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปดูภายในต่อ ภายในจะมีเจดีย์บรรจุอัฎฐิของพระจ้าอู่ทองให้พวกเราได้ไปสักการะกันด้วยครับ พระพุทธบาทที่ตั้งไว้ก่อนทางเข้าไปสักการะพระบรมโกฏิของพระเจ้าอู่ทอง พระบรมโกฏิของพระเจ้าอู่ทอง สงบ เงียบมากๆ น่านั่งสมาธิเป็นอย่างยิ่ง พระนอน บริเวณใกล้ๆกัน หลังจากนั้นเราก็เดินมาที่ท่าน้ำตามที่อาจารย์อาชวินได้แนะนำว่าควรจะมาแผ่เมตตาที่นี่ เราทำการแผ่เมตตา และหยุดพักคุยกันที่นี่สักครู่หนึ่ง จนกระทั่งประมาณเกือบ5โมง เราจึงดินทางไปต่อที่วัดสุดท้าย วัดวรเชษฐ์ อุโบสถวัดวรเชษฐ์ ที่ใหญ่กว่าวัดโกโรโกโสเพียงไม่มาก เนื่องจากเพิ่งจะถูกสร้างใหม่ เพราะถูกหลงลืม ทั้งๆที่เป้นวัดที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดตามประวัติศาสตร์ ภายในอุโบสถ ที่บรรจุพระบรมโกฏิขององค์สมเด็จพระนเรศวร บรรยากาศแถวๆนี้ค่อนข้างจะหนักและเศร้าๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ บริเวญนี้เป็นหลุม พระท่านว่าตะก่อนมีทางเดินไปถึงพระบรมโกฏิขององค์สมเด็จพระนเรศวรได้ แต่ถูกปิดลงแล้วในปัจจุบัน แต่เรายักสามารถสักการะท่านได้จากตรงนี้เข่นกัน ที่นี่ ชาวคณะเราหลายคนได้ร่ำไห้ในขณะที่กำลังกราบไหว้ท่าน ผมเองก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นฟูมฟายแต่อย่างใด ภาพอันหน้าเศร้าที่ถูกทิ้งร้าง รอวันบูรณะของบริเวณรอบๆวัดวรเชษฐ์ พระท่านเล่าให้ฟังว่า หืนก้อนนี้ ถูกเรียกว่าหินร้องทุกข์ เนื่องจากมันได้ส่งจิตไปบอกกับชาวต่างชาติผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อตอนที่ฐานของหินก้อนนี้พังทลาย ทำให้หินตกอยู่ที่พื้นและถูกคนเหยียบย่ำ จะได้เกิดปาฏิหารย์มีคนในเครื่องแบบหลายคนเข้ามาช่วยชาวต่างชาติคนนั้น ยกจนหินกลับมาอยู่ดังที่เห็น ก่อนที่เราจะไปดูเนินที่อาจารย์อาชวินกล่าวไว้ พวกเราได้อธิษฐานให้กับองค์สมเด็จพระนเรศวร ขอให้คาถาที่กักกันองค์ท่านอยู่เสื่อมลง และให้ท่านคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์เพื่อคุ้มครองปวงชนชาวไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่เดินทางไปดูเนินที่อาจารย์อาชวินว่าไว้ เราได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มขึ้นอีกคน น่าจะเป็นสุนัขที่ถูกเลี้ยงไว้ที่นี่ ไม่เห่า แต่คอยเดินตาม ใครขึ้นเนินก็ขึ้นตาม เหมือนคอยระวังความปลอดภัยให้ พวกเราถูกชะตากับมันทุกคน บริเวณทุ่งกว้างก่อนจะถึงเนิน เจ้าหมาน้อยก็อยู่กับพวกเราข้างหน้า ผมเดินขึ้นมาบนเนิน ถ่ายรูปจากมุมสูง สิ่งที่เราเห็นบนเนิน เหมือนมีใครมาประกอบพิธีกรรมอะไรไว้ มันจะเป็นเหมือนเสาธงเล็กๆ แต่ไม่มีธง ปักเต็มไปหมดบริเวณนั้น ต้นไม้ต้นนี้น่าจะเป็นต้นใหญ่ขนาด 4 คนโอบ ตามที่อาจารย์อาชวินว่าไว้ แต่น่าแปลกที่ถ่ายกี่รูปๆ ก็ออกมาไม่ชัด หลังจากนั้นพวกเราก็ไปทักทายเจ้าอาวาส ท่านได้ให้พวกเราเอาสายสินญย์พันศีรษะกันจนทั่งทุกคนและสวดมนตร์ให้กับพวกเราซึ่งกินเวลากว่าชั่วโมงครึ่ง ในขณะสวด ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างแรง ตามคำขอของหลวงพ่อ ที่ต้องการให้ฝนตก เนื่องจากพรุ่งนี้จะมีคนมาส่งต้นไม้เพื่อปลูกบริเวณวัด จึงต้องการน้ำเพื่อไม่ให้ต้นไม้แห้งตายหลังปลูก พวกเราสนทนากับท่านจะเกือบ2ทุ่ม จึงได้เดินทางกลับ ทั้งๆที่ฝนยังไม่หยุด ลงมาจากกุฏิท่าน ก็เจอเจ้าหมาน้อยตัวเดิมมาคอยอยู่แล้ว เหมือนมาคอยส่งพวกเรากลับกรุงเทพกัน และพวกเราก็เดินทางกลับกรุงเทพ ก็ทิ้งอยุธยาไว้เบื้องหลังอีกครั้ง การได้ทำบุญกับญาติธรรมที่สามารถพูดคุยภาษาเดียวกันได้อย่างนี้ นอกจากจะอิ่มบุญแล้ว ยังสบายใจอีกด้วย อีกทั้งเป็นแรงให้เดินไปไหนต่อไหนได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ได้ริเริ่มงานนี้ พี่ทานะบารมี ที่ได้ชวนผมไปร่วมงานในครั้งนี้ ขอบคุณพี่คนที่มาขับรถให้พวกเรา โดยไม่คิดค่าน้ำมันใดๆ ขอบคุณอาจารย์โคมฉายและญาติธรรมของท่าน ที่คอยเป็นบุคคลที่ช่วยชี้นำพวกเราหลายๆอย่าง ขณะทำบุญด้วยครับผม ขออนุโมทนาสาธุสำหรับบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการร่วมทำบุญกันในครั้งนี้ ส่งเสริมให้ทุกท่านเจริญขึ้นในธรรมต่อไป สุดท้าย ขอให้เรียกผมไปอีกในงานหน้าด้วยครับ ถ้าไม่ติดอะไร รับรองไปแน่ๆ อิอิ
ทัวร์บุญ... รวดเร็วทันใจ ดัจังเลยนะคะ คุณมง..(kiss) แหม...แต่ภาพที่ อ.โคมฉาย ถ่ายคู่กับไก่ 2 ตัว ดูไก่ตัวเล็กไปทันทีเลย หุหุ....(deejai)
เธอผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาและให้การต้อนรับ ( 4 ขา) ณ บนเนินดินแห่งนี้ น่ารักมากและทำปฏิกิริยาโต้ตอบ (deejai)
ขอบคุณ คุณraquaz ครับ สำหรับการแบ่งปันสิ่งดี ดี กับทุกคน ประสบการณ์ของคุณ เป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยอานิสงฆ์ของการเป็นผู้ให้ที่ดี ย่อมได้รับในสิ่งที่ดีคืนกลับไปเช่นกัน (bb-flower
ขอบคุณมากค่ะรูปออกมาประทับใจมาก ได้ฟังคำพูดคุณ พูดว่าไม่เคยมาวัดเหล่านี้มาก่อนและคุณรู้สึกประทับใจ ทำให้รู้สึกดีใจมาก โอกาสหน้าบุญจัดสรรแล้วจะนำพาคุณ ไปสถานที่มีมนตรา ที่ตราตรึงจิตและประทับใจคุณอีกครั้ง ขอให้บุญรักษา คิดค้นหาสิ่งใดจักได้คำตอบนั้น ธรรมใดที่ไม่ได้เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออย่าให้คุณได้เจอะเจอ (อย่าเพิ่งแอบไปนิพพานก่อน รอเพื่อน ๆ พี่ ๆ ด้วยนะครับ) คราวหน้าก็อย่าลืมเอาเป๊ปซี่ ไปฝากเพื่อนด้วยนะ
ผมเขียนเพิ่มเติมแล้วน่ะครับ ลองไปชมดูด้านบนใหม่ได้อีกครั้งครับผม ช้ากว่าที่สัญญาไปนิด ต้องขออภัยด้วยครับ เรื่องภาพ ขอไม่ออกความเห็นแล้วกันครับ พี่โคมฉายมีตัวประกันอยู่อ่ะ เดี๋ยวโดนเอามาเปิดเผยล่ะก็ อายแย่เลย ฮ่าๆ น่าเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านมากเลยนะครับ คอยดูแลแถมมาส่งพวกเรากลับอีกต่างหาก อนุโมทนาครับ คุณตรีพักตร์ ถ้าบทความของผมเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้ก็จะดีใจมากๆเลยล่ะครับ ขอให้คุณตรีพักตร์ได้แต่สิ่งทีดีๆด้วยเช่นกันครับผม ดีใจและเป็นเกียรติมากครับ ที่ได้รับคำชวน ถึงแม้ผมจะดูเป็นมือใหม่ที่สุดในบรรดาพวกพี่ๆทั้งหมดก็เถอะ แต่ก็ให้ความช่วยเหลือและการต้อนรับเป้นอย่างดีครับ ขออนุโมทนาบุญที่ได้จัดสรรโครงการดีๆอย่างนี้ด้วยครับ อ้อ ยังไม่รีบไปนิพพานหรอกครับ ยังติดทางโลกอยู่เยอะ แต่ตอนนี้ อธิษฐานที่ไหน ก็ขอแค่ให้เจริญๆทางธรรมขึ้นไปเท่านั้นเอง แต่คงยังไม่ลงท้ายด้วยการบวชไม่สึกหรอกครับ ฮ่าๆ
บุญจัดสรร.. คงไม่ใช่แค่น้ำเป๊บซี่แล้วล่ะ........ยังขาดน้ำแดง น้ำเขียว และน้ำเปล่าด้วย....คงจะทราบกันนะว่าน้ำของใคร..เหอ เหอ เหอ(deejai) (deejai) (deejai)
ใครนินทาผม ผมมีรูปเป็นตัวประกันทุกคน อิอิ(b-ahh) ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัดไชย ริมน้ำทางไปวัดพุทธฯ เสียดายไม่ได้แวะ มีคนรอ เมื่อคืนว่าเข้าฝันว่าทำไมไม่แวะไป หุหุ ดูดีๆว่าหลังผมนะมีใครบ้าง 555