แนวทางปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่ต่างๆ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 20 เมษายน 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร


    [​IMG]

    การเจริญวิปัสสนาค้นคว้าในกาย ขั้นเหตุนั้น จงกำหนดคาดหมายเสียก่อนว่า เป็นอย่างโน้น อย่างนี้ก็เราเคยเห็นมาแล้ว มนุษย์เพื่อนร่วมโลกร่วมสงสาร หญิงชายตายแล้ว เห็นแต่เป็นอย่างนี้ เอาไว้วัน ๒ วัน

    ไม่ฉีดยา ก็เหม็น เหม็นเบื่อหน่าย เหม็นน่าเกลียด เหม็นมนุษย์ร้ายกว่าเหม็นหมานั่นแหละ ทำไมเหม็นเน่าขนาดนั้น

    จึงว่า อสุภะ อสุภัง เป็นของเปื่อยเน่า เป็นของเหม็น น่าเกลียด เหม็นอย่างสุดยิ่ง นั่นแหละ ปฏิกูลน่าเกลียดสกปรกโสโครก มีหนังหุ้มอยู่ ภายนอกดูเกลี้ยงเกลาหลอกเรา หญิง ชาย หนุ่ม สาว ภายในนั้นมีอะไรบ้าง

    ดิน น้ำ ลม ไฟ หลายอย่าง เอ็น กระดูก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ทุกอย่าง อาการ ๓๒ ก็ล้วนแล้วแต่ของปฏิกูลทั้งนั้น

    นั่นแหละ เมื่อเอาของภายในออกภายนอกแล้วเป็นอย่างไร ก็มีแต่ของเปื่อยเน่า มีแต่ของปฏิกูลน่าเกลียดทั้งนั้น นั่นแหละทีนี้ ก็เห็นๆ กันมาอย่างนั้น ถึงแม้เรายังไม่เป็น ยังไม่ถึง คนอื่นก็เป็นมาให้เห็นอยู่

    บางคนหญิงชายตายแล้ว เก็บไว้คืน ๒ คืน ก็ส่งกลิ่นเหม็นออกมาแล้ว คืนที่ ๓ เอาไปป่าช้าเปิดหีบออก มันขึ้นสีเขียวหมดแล้ว สีเขียว สีดำ หน้าเบ้ อะไรก็ไม่น่าดู เปลี่ยนสภาพหมด มีกลิ่นเหม็น

    น้ำเน่าไหลออกจมูก ไหลออกปาก หญิง ชาย โอ๋...น่าเกลียด น้ำเน่านั้น เขาเลิกผ้าออกไปถึงทวารหนัก ทวารเบา น้ำเน่านั้นมันก็ไหลออกจากทวารหนัก ทวารเบา

    แพทย์เขาบอกว่า ผู้หญิงมันเน่าทวารเบาก่อน เหม็นเน่า น่าเกลียด ผู้ชายเน่าที่ท้องก่อน เหม็นเน่าน่าเกลียด ปฏิกูลน่าเกลียด แสนที่จะไม่น่าปรารถนา นั่นแหละ เมื่อถึงสภาพนั้น อะไรเป็นเขา เป็นเรา ก็ถามจิตดู

    เคยเห็นมาแล้ว หลายร้อยศพ ผลสุดท้ายก็เผาหรือฝัง เมื่อเผาแล้วเป็นอย่างไร ก็เหลือแต่ร่างกระดูกขาวๆ นั่นแหละ อสุภะ อันละเอียด จากนั้นไฟก็สังหารเป็นเถ้าถ่านจนหมด ถ้าฝังถมดินไว้ ดินก็ดูดกลืนกินหมด

    เหลือแต่กระดูกธาตุแข็งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นดีหรอก ของเขา ของเรา เมื่อถึงสภาพนั้นแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอย่างนี้

    นี่เป็นการเดินวิปัสสนาค้นคว้าในสกลกาย ธาตุขันธ์ อสุภะ คือ ความแก่ อสุภะ คือ ความเจ็บ อสุภะ คือ ความตาย นี่เป็นประจำอยู่ทุกธาตุ ทุกสังขาร แต่แล้วถ้าเราไม่พิจารณา ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่เห็นของจริง

    ตามที่พระองค์เจ้าทรงบัญญัติไว้


    จากเทปเรื่อง การฝึกจิต (๒๐ ก.ค. ๓๕)

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร

    http://www.dharma-gateway.com/monk-preach-index-page.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมพระอุดมญานโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป)
    วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี


    ธรรมโอวาท "หลวงปู่ขอบอกลูกหลานว่า

    นรกโลกนี้
    ยังไม่เผ็ดร้อน
    เท่ากับนรกในภพหลัง
    สวรรค์ในภพนี้ ไม่สุขสงบร่มเย็น
    ไม่อุดมสมบูรณ์ไพบูลย์
    เท่ากับสวรรค์ในภพภูมิอื่น
    นี่คือความจริง"

    คติธรรมพระอุดมญานโมลี
    ๑. "คนดีพวกน้อย แพ้คนชั่วพวกมาก"
    ๒."ทำดีไม่ได้ดี เพราะยังทำไม่ถึงดี หรือทำเกินพอดี"
    ๓."ที่คนทำดีแล้วมักบ่นว่าไม่ได้ดี เพราะดีนั้น มีโทษ"
    ๔."บุญจะให้คุณ ต่อเมื่อผู้ให้ลืมไปแล้ว"
    ๕."การพูดมาก แก้ปัญหาใดๆไม่ได้เลย แม้กับปัญหาที่พอจะแก้ไขได้"
    ๖."พายุร้าย ทำอันตรายได้น้อยกว่าวาจาส่อเสียด ยุแหย่ ใส่ร้าย นินทากัน"
    ๗."การคุยสนุกหากเกินหนึ่งชั่วโมง คือการทำลายเวลาอันมีค่าของตนเองและผู้อื่น"
    ๘."อย่าพูดอะไรเพียงเพราะเห็นว่าสนุกปาก เรื่องร้ายสงบได้ เมื่อหยุดพูดถึง
    ๙."ความรักดูเหมือนหอมหวาน ความชั่วดูเหมือนเผ็ดร้อน ทั้งสองนี้เป็นอารมณ์สุดโต่ง มีอำนาจเหนือเราเมื่อใด จะทำลายเราอย่างเจ็บปวดที่สุด"

    ความจริงที่ ‘ลบไม่เลือน’ (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป) : ศาลาธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_3176.JPG
      IMG_3176.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.2 MB
      เปิดดู:
      224
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงพ่อพุธ ธานิโย
    วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา


    ทวนความรู้สึก

    หลวงพ่อบวชมาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี ความตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต แหม... ถึงเวลามันอยากสึกมา นอนร้องไห้ เอ้า... อะไรที่มันอยากเราจะไม่กินมัน แม้แต่ของตกลงในบาตร ถ้ามองดูแล้วมันชอบ น้ำลายไหล หยิบออก อะไรที่มันไม่ชอบที่สุด เอาอันนั้นแหละมาฉัน เราไม่กินเพื่ออร่อย เรากินเพื่อคุณค่าทางอาหาร อะไรที่มันจะเป็นคุณค่าทางอาหาร เราจะเอาสิ่งนั้น แม้ว่าเราจะไม่ชอบก็ตาม ทีนี้คนที่เรารักเราชอบเราจะไม่เข้าใกล้ เราจะเข้าใกล้คนที่เกลียดขี้หน้าเราที่สุด ถ้าใครด่า ครูบาอาจารย์องค์ไหนด่ามากๆ เราเข้าหาองค์นั้น องค์ไหนยกย่องสรรเสริญเราไม่เข้าใกล้ ครูบาอาจารย์บางองค์ว่า... พระองค์นี้มันจองหอง เราอุตส่าห์เมตตาสงสารมัน มันไม่เข้าใกล้เรา มันเข้าไปหาแต่คนที่ด่ามันเก่งๆ

    คนด่านั่นแหละ...หลวงปู่มั่น เวลาลูกศิษย์ไปขออาศัยทีแรกนี่ ท่านจะดุ...ดุ ทำถูกก็ดุ ทำผิดก็ดุ ภายใน ๑ ปีนี่ต้องทุบกันเสียจนแหลกละเอียด แต่พอ๑ ปีผ่านไป ถ้าผู้ที่โดนนี่ไม่หลบหน้าหนี มีอะไรถ่ายทอดให้หมด นี่ครูบาอาจารย์ที่ดุเก่งๆ นี่ เวลาท่านดีกับเราแล้ว ก็เรียนถามท่านว่า ขอโอกาสเถอะ เมื่อกระผมมาอยู่กับท่านอาจารย์ ทีแรกทำไมท่านถึงได้ดุนักหนา ท่านว่าไง เขาจะตีเหล็กให้มันเป็นมีดเป็นพร้า เขาจะต้องเผาไฟให้มันร้อน แล้วก็ลงตะเนินหนักๆ เอาฆ้อนเล็กๆ มาทุบ มันจะเป็นมีดเป็นพร้าได้ยังไง ต้องเผาให้ร้อน เอาตะเนินหนักๆ ขนาด ๘ ปอนด์นั่นห้ำมันลงไป มันก็เหยียดออกมาเป็นมีดเป็นพร้าที่สวยงานได้ ท่านว่าอย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ยังข้องใจอยู่ว่าทำไมท่านถึงดุ พอท่านชี้แจงให้ฟังแล้ว อ้อเราโล่งอก เพราะฉะนั้นเราได้ดีเพราะอาจารย์ดุ

    ทวนความรู้สึก หลวงพ่อพุธ ธานิโย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • puth38.jpg
      puth38.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      107
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

    [​IMG]


    การพิจารณาก็ต้องน้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วมันก็วางเอง

    คูบาญาปู่มั่นท่านว่า “เหตุของเก่านี้แหละแต่ไม่รู้ของเก่า” ของเก่านี้แหละมันบังของจริงอยู่นี่ มันจึงไม่รู้ ถ้ารู้ของเก่ามันก็ไม่ต้องไปคุบ มีแต่ของเก่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ของเก่านี้แหละ

    ขา แขน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ของเก่านี่

    เวลามาปฏิบัติภาวนาก็พิจารณาอันนี้แหละ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง
    ให้มันรู้แจ้งออกมาจากภายใน มันจึงไปนิพพานได้

    นิพพานมันหมักอยู่ในของสกปรกนี่ มันจึงไม่เห็น พลิกของสกปรกออกดูให้เห็นแจ้ง

    นักปราชญ์ท่านไม่ละความเพียรเอาอยู่อย่างนั้นแหละ เอาคนรู้แจ้งเห็นจริง ทีนี้มันไม่มาเล่นกับก้อนสกปรกนี้อีก พิจารณาไปพิจารณาเอาให้นิพพานใสอยู่ในภายในนี่ ให้มันอ้อนี้เอง ถ้ามันไม่แจ้งมันไม่อ้อหนา

    เอาให้มันถึงอ้อจึงใช้ได้

    ครั้นถึงอ้อแล้วสติก็ดี ถ้ามันยังไม่ถึงแล้ว เต็มทีสังขารตัวนี้ พิจารณาให้มันรู้แจ้งเห็นจริง ในของสกปรกเหล่านี้แหละ

    ครั้นรู้แจ้งเข้า รู้แจ้งเข้ามันก็เป็นผู้รู้พระนิพพานเท่านั้น ที่มันหมักอยู่กับของสกปรกนี่หนา...จะไปเอาที่ไหนก็เอามันมีอยู่นี่แหละ ตา 1 หู 1 ตาดูรูป เป็นหญิงก็ดีชายก็ดีหรือเป็นรูปต่างๆ ก็ดี

    พอมันเกิดขึ้นเกิดมาแต่ที่ไหน คนนั้นว่าอย่างนั้นคนนี้ว่าอย่างนี้ ว่าอย่างไรก็ตามมันก็อันเดียวกันนี่แหละ

    จำไว้ดีๆ ถ้าไม่จำไว้ดีๆ มันก็คุบของเก่า

    อดีตอนาคตนี่แหละมันสำคัญ อตีตา ธัมมา อนาคตา ธัมมา อดีตอนาคตเป็นตัวเหตุ เอาเข้ามา มันก็หอบเอาๆ แหละ ไม่รู้เท่ามัน

    หลวงปู่มั่น ท่านว่า เอาที่นี่หนา จะไปเอาที่ไหนมากมาย เก็บเอาหอบเอาไม่ได้หนา ประเดี๋ยวไฟนรกไหม้

    คุบไปคุบมามันก็ของเก่านั่นแหละ เอาแต่มันให้รู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรมอันเป็นพระนิพพาน มันจึงเป็น มันจึงถึงพระนิพพาน จึงเป็นผู้เบื่อหน่ายต่อโลกทั้งหลาย คือ กิเลสนั่นแหละ

    ผู้ที่คุบของเก่าก็คุบอยู่นั่นแหละ มันก็เป็นของเก่าอยู่นั่นแหละ ตั้งจิตให้ถึงพระนิพพาน มันก็ของเก่านั่นแหละ... พิจารณาให้แน่หนานักปฏิบัติแท้ๆ ก็ยังไปคุบเอาของเก่าหนาว่าอย่างไร มันก็ไม่ยอมละ

    มันเคยยึดมานานแล้ว

    แยกแยะออกไปให้มันเห็นเป็นของสกปรก อย่างนั้นหรือ?

    ไม่ต้องไปแยกมันหรอก มันก็สกปรกอยู่นั่นแหละ อย่างเราถ่ายออกมามันก็เหม็นอยู่นั่น มันรู้แจ้งแล้วมันก็วางหมด ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง รู้จริงเห็นจริง มันก็มีเท่านี้แหละ

    หลวงปู่มั่นท่านว่า มันจะไปหาเอาที่ไหน จะไปหาบไปหามเอาที่ไหน ตา 1 หู 1 จมูก 1 ลิ้น กาย นี้ ใจ นี่ จำเอาของเก่านี่ หลงของเก่านี่


    "หลวงปู่แหวน สุจิณโณ"
    จากหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย”
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส
    วัดป่าพระสถิตย์ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


    [​IMG]

    หลักธรรมที่หลวงปู่บัวพา เทศนาอบรมสั่งสอนมักจะเป็นเรื่องการฝึกฝนอบรมจิตใจ และการรู้จักสภาพที่แท้จริงของจิต ท่านสอนว่า “ธรรมชาติของปกติจิต คือพื้นที่ของภวังคจิต เป็นจิตที่ผ่องใสไพโรจน์ จิตที่แปรผันออกจากพื้นที่ของมันเพราะตัวอวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันต่อโลก ไม่รู้เท่าทันต่ออารมณ์ จิตจึงได้ผันแปรออกจาก ‘ความปกติ’ (หมายถึงความสงบ) แล้วกลายเป็นบุญหรือกลายเป็นบาป

    บุญก็ดี บาปก็ดี ท่านเรียกว่า ‘เจตสิกธรรม’ ซึ่งมีอยู่ประจำโลก เป็นกลางๆ ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ บุญหรือบาปไม่ได้วิ่งเข้าไปหาใคร มีแต่ตัวบุคคลเท่านั้นที่วิ่งเข้าไปหาบุญแลบาป บุญนั้นมีผลเป็นความสุข ส่วนบาปมีผลเป็นความทุกข์

    อารมณ์ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จึงเปรียบเหมือนลม 6 จำพวก ทวาร 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และหทัยวัตถุ เปรียบเหมือนฝั่งมหาสมุทร จิตใจของคนเราก็เปรียบเหมือนน้ำในมหาสมุทร เมื่อลม 6 จำพวก เกิดเป็นพายุใหญ่ในเวลาฝนตก ทำให้น้ำในมหาสมุทรเกิดเป็นคลื่นแล้วระลอกใหญ่โต เรือ แพ หลบไม่ทันก็ล่มจมเสียหายขึ้นนี้ฉันใด อุปมัยดังพาลชนไม่รู้เท่าทันโลก ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ ปล่อยให้โลกเข้ามาประสมธรรม ปล่อยให้อารมณ์เข้ามาประสมจิต จึงเกิดราคะ โทสะ โมหะ

    ถ้าอยากเห็นวิมุตติ ก็ให้เพิกถอนสมมุติออกให้หมด เพราะโลกบังธรรม อารมณ์บังจิตฉันใด สมมุติก็บังวิมุตติฉันนั้น คนเราควรใช้สติปัญญาเป็นกล้องส่องใจจะได้รู้ว่าสภาพที่แท้จริงของจิตเป็นอย่างไร

    หนังสือแก้วมณีอีสาน
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ลี ธมฺมธโร
    วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

    [​IMG]


    ผู้จะต้องถึงมรรคผลนิพพานได้นั้น
    จะต้องทำใจ

    ถ้าไม่ทำทางนี้แล้ว
    จะทำกุศลสักเท่าไร
    ก็ถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้

    นิพพานนี้

    จะต้องถึงด้วยข้อปฏิบัติทางใจเท่านั้น
    ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา

    ศีลเป็นเหตุแห่งสมาธิ
    สมาธิเป็นเหตุแห่งปัญญา
    ปัญญาเป็นเหตุแห่งวิมุตติ

    สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ

    เพราะเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาและญาณ
    อันเป็นองค์สำคัญของมรรค
    จะขาดสมาธิไม่ได้

    ถ้าขาดแล้ว
    ก็ได้แต่จะคิด ๆ นึก ๆ เอา
    ฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ
    ปราศจากหลักฐานสำคัญ

    สมาธิเปรียบเหมือนตะปู
    ปัญญาเปรียบเหมือนค้อนที่ตอกตะปู

    ถ้าตะปูเอียงไป
    ค้อนก็ตีผิด ๆ ถูก ๆ
    ตะปูนั้นก็ไม่ทะลุกระดาน
    นี้ฉันใด

    ใจเรา

    จะบรรจุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้
    จะต้องมีสมาธิเป็นหลักก่อน
    แล้วจึงเกิดญาณ

    ญาณนี้

    จะได้แต่คนทำสมาธิเท่านั้น

    ส่วนปัญญา

    ย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย
    แต่ไม่พ้นจากโลกได้
    เพราะขาดญาณ

    ฉะนั้น
    ท่านทั้งหลายควรสนใจ
    อันเป็นทางพ้นทุกข์ถึงสุขอันไพบูลย์

    หลวงปู่ลี ธมฺมธโร
    หนังสือแก้วมณีอีสาน หน้า๒๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2015
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

    หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า

    ตอนที่เรา (หลวงปู่เจี๊ยะ) มาหาหลวงปู่เสาร์ ท่านอยู่ที่นี่ท่านไม่ค่อยเทศน์นักหรอก

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเข้าหาท่าน ดูแลท่านเรื่องอาพาธ เมื่อท่านหายป่วยร่างกายมีเรี่ยวแรง

    ญาติโยมขอฟังเทศน์ท่านว่า

    “หลวงปู่เทศน์ให้ฟังหน่อยพวกขะน้อย (ฉัน) อยากฟังธรรม”

    โยมที่มาถวายภัตตาหารเช้า เขานิมนต์ให้เทศน์ หลังจากท่านฉันเช้าเสร็จ
    “ทำให้ดู มันยังไม่ดู ปฏิบัติให้ดูอยู่ทุกวัน มันยังไม่ปฏิบัติตาม เทศน์ให้ฟังมันจะฟังหรือ?

    พวกเจ้าข้อยเฮ็ดให้เบิ่งยังบ่อเบิ่ง เทศน์ให้พวกหมู่เจ้าฟัง หมู่เจ้าสิฟังฤๅ”

    เมื่อหลวงปู่เสาร์พูดเสร็จ ท่านก็สั่งให้ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน

    ผู้เป็นลูกศิษย์ที่นั่งเป็นลำดับต่อจากท่านไปเป็นองค์เทศน์

    พระอาจารย์เสาร์ท่านมีปกติเป็นพระพูดน้อย ต่อยมาก ส่วนมากท่านทำให้ดู เพราะท่านมีคติว่า

    “เขาสิเชื่อความดีที่เฮาเฮ็ดหลายกว่าคำเว้าที่เฮาสอน”
    (เขาจะเชื่อในสิ่งที่เราทำมากกว่าจะเชื่อในสิ่งที่เราพูด)


    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    จากประวัติและปฏิปทาพระสุทธิธรรมรังสี
    (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 10.png
      10.png
      ขนาดไฟล์:
      486 KB
      เปิดดู:
      81
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
    วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี จ.มุกดาหาร

    [​IMG]

    สมถะ ความสงบก็ตั้งใจ

    วิปัสสนา ตัดขาดอุปทานก็ต้องตั้งใจ

    อุปาทาน คือ ความยึดความถือ

    วิปัสสนา เป็นอาวุธตัดเป็นยินดี - ตัดความยินร้าย - ตัดความเฉยเมย

    ตั้งใจของตนให้ดีตลอดต่อไป จนกว่าใจมันจะตั้งได้


    หนังสือมหาปุญโญวาท ( โดย หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ) วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี จ.มุกดาหาร
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ชา สุภัทโท
    วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

    ในเบื้องต้นของการประพฤติปฏิบัติ<WBR></WBR> คุณธรรมที่หลวงพ่อย้ำมากที่สุดคื<WBR></WBR>อสตินั่นเอง ซึ่งตรงกับพุทธพจน์ว่า ความไม่ประมาทเป็นทางอมตะ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

    วันหนึ่งมีสุภาพสตรีคนหนึ่งไปกร<WBR></WBR>าบหลวงพ่อ

    (สุภาพสตรี) ถาม : “หลวงพ่อคะ ขอให้หลวงพ่อให้ข้อปฏิบัติเริ่ม<WBR></WBR>ต้นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน”
    ...

    หลวงพ่อ : “เริ่มต้นให้มีสติ มีสติเป็นเจ้าของอยู่เรื่อย”

    ถาม : “แล้วการปฏิบัติเล่าคะ”

    หลวงพ่อ : “นี่แหละปฏิบัติ ให้กำหนดสติอย่าให้มันผิด ไม่ให้ทำชั่ว ให้เห็นเจ้าของ อย่าเรียนหลายเลย หลายมัดหลายผูกหลายเล่ม หลายเล่มขี้เกียจผูก อยู่ตรงนี้แหละ ดูจิตของเรา ภาวนาตรงนี้ ออกไปแล้วก็จับตรงนี้ รู้สติรู้จิตของเรา”

    ถาม : “ทำได้ทั้งวันหรือเปล่าคะ”

    หลวงพ่อ : “จนวันตายเลยโยม ทั้งวันนี่น้อยไปหน่อย บางคนก็ว่า โอ้ย! ฉันทำนึกว่าทำขนาดไหน ตอนเช้าฉันก็ทำ ตอนเย็นฉันก็ทำ ตอนเช้าฉันก็ทำวัตร ตอนเย็นฉันก็ทำวัตร ไม่ได้พัก หลวงพ่อก็ถามกลางวันทำอะไรหรือโ<WBR></WBR>ยม ไม่ได้ทำ มันอย่างนั้นแหละโยม ก็หายใจตอนเช้าตอนเย็นไม่ได้หาย<WBR></WBR>ใจหรือ? ตอนกลางวันหายใจหรือเปล่าก็ไม่รู้<WBR></WBR> เอาอย่างนั้นไหม?”

    ถาม : “ชีวิตประจำวันของเราก็ต้องมีภา<WBR></WBR>รกิจ”

    หลวงพ่อ : “นั่นแหละภารกิจ ถ้ามันมีสติมันก็เป็นภารกิจแหละ<WBR></WBR>โยม คนที่มีสตินั่นแหละ คนทำภารกิจเรียบร้อย ถ้าขาดสติสองนาทีก็เป็นบ้าสองนา<WBR></WBR>ที นาทีเดียวก็เป็นบ้า อย่าไปว่ากันและกัน นี่คือสติ ให้เรารู้จักว่ามันเป็นอะไร อย่างไร สตินั่นแหละ

    ตลอดเวลา ความคิดของเราไปคิดเบียดเบียนคน<WBR></WBR>อื่นหรือเปล่า มันผิดหรือเปล่า ให้มันเห็น คนอื่นไม่เห็นเราก็เห็นของเรา นี่มีสติไว้ครอบ ครอบงำ นี่แหละจะมีทั้งศีล จะมีทั้งสมาธิ จะมีทั้งปัญญา ให้โยมไปตรวจไปเถอะ ถึงแม้โยมจะพูดขึ้น มันก็มีคนบอกก่อนว่าจะให้พูดอะไ<WBR></WBR>ร พูดอย่างนี้มันหมายถึงอะไรไหม จะพูดวกไปนั่นหรือเปล่า หรือจะทำอย่างไรไม่รู้แหละโยม คือมีสติอย่างเดียว มันรู้แหละ รู้ อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตนด้วยตนเอง นั่นแหละจะเป็นที่พึ่งของตัว ถ้าหากเราหรือว่าจะเป็นลูกศิษย์<WBR></WBR> หรือลูกหลานเรา คิดอยากจะทำอะไรอย่างหนึ่งขึ้นม<WBR></WBR>า นี่ต้องมองข้างหน้าข้างหลัง แม่เราไม่อยู่พอเราไม่อยู่ ครูบาอาจารย์เราไม่มี ไม่มีใครเห็นเรา เอ้อ! เลยทำไปทันที นี่คือคนที่ไม่ดีแล้ว ไม่มีใครเห็นเราก็ทำ คือตัวเราไม่ใช่คนหรือ

    ถ้าเรามีสติอยู่จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ ครูไม่อยู่ก็แอบทำ พ่อแม่ไม่อยู่ก็แอบทำ นึกว่าเราปลอดภัยเสียแล้ว ที่จริงโง่ที่สุดในโลก ไปคิด กลัวคนจะเห็นเรา หรือเราต้องทำไม่ให้คนอื่นเห็น เราก็ข้ามคนไปคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่เห็นได้หรือ ถ้ารู้ธรรมะแล้วไม่มีโกหกได้หรอ<WBR></WBR>ก”

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    จากหนังสืออุปลมณี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • chah2.jpg
      chah2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่ศรีจันทร์ วณฺณาโภ
    วัดศรีสุทธาวาส (วัดเลยหลง) ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย


    [​IMG]


    การเข้าสมาธิมีประโยชน์ 2 อย่างคือ

    1. ทำให้กระแสจิตแรงกล้า มีแสงสว่างจ้ากว่าธรรมดา แสงสว่างนี้ เรียกว่าปัญญา ประโยชน์ของสมาธิในลักษณะนี้เราจะพูดสั้นๆ ว่า สมาธิทำให้เกิดปัญญาก็ได้ พระบาลียืนยันก็มีว่า สมาธิปริภาวิโต ปญฺญามหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิทำให้ปัญญาใช้ได้ผลมาก

    2. ทำให้กิเลสหมดไป หมายความว่า จิตคนเราตามปกติย่อมเต็มไปด้วยกิเลส ความรัก ความชัง ความหลง พอกพูนด้วยอารมณ์ทั้งดีทั้งร้าย จนกระทั่งได้ชื่อว่า ปุถุชนคนหนา ที่นี้จิตที่ถูกควบคุมเข้าสู่วงจำกัดทีละชั้นๆ นั้น จะทำได้ต่อเมื่อสละอารมณ์อันรุงรังออกจากจิตให้มากที่สุดจึงจะเข้าสมาธิชั้นในๆ ได้ เปรียบเหมือนว่า มีประตูอยู่ทั้งหมด 8 ชั้น ชั้นนอกกว้างแล้วก็แคบเข้าตามลำดับ คนๆ หนึ่งหาบของมารุงรังจะเข้าประตูนั้น ต้องทิ้งหาบอย่างน้อยก็ข้างหนึ่งจึงจะเข้าได้ พอไปถึงประตูที่ 2 ถ้ายังหิ้วของอยู่ก็เข้าไม่ได้ต้องทิ้งหิ้ง พอจะเข้าประตูที่ 3 ต้องทิ้งห่อ จนกระทั่งเหลือแต่ตัวจึงจะเข้าประตูสุดท้ายได้

    ฉันใดก็ฉันนั้น จิตจะต้องปล่อยอารมณ์เลวร้ายเรื่อยไป จึงจะเข้าฌานโดยลำดับ ไปจนถึงฌานที่ 8 ได้ ท่านผู้ได้รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ก็ยังเป็นส่วนโลกียะอยู่ จุติจากอัตตภาพนั้นแล้วย่อมไปเกิดในพรหมโลก ตามกำลังญาณของตน ส่วนผู้ปฏิบัติด้วยการชำระกาย วาจา และใจ ของตนให้บริสุทธิ์ สะอาด ผ่องใส จากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง มีราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะได้บรรลุมรรคผลสมประสงค์ทุกประการ

    รวมความว่า สมาธิมีประโยชน์ 2 อย่างคือ
    1. ทำให้ดวงปัญญาแก่กล้า แล
    2. ทำให้บรรลุนิพพาน

    หนังสือแก้วมณีอีสาน
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    วัดอาวุธวิกสิตาราม แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

    [​IMG]

    คำเทศน์สอนของคุณแม่บุญเรือ<WBR></WBR>นเน้นไปที่การปฏิบัติเพื่อเ<WBR></WBR>ข้าถึงพุทธธรรม

    ท่านบอกถึงหนทางของการปฏิบั<WBR></WBR>ติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรมไว้ว<WBR></WBR>่า ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธธรรมต้อ<WBR></WBR>งเชื่อมั่นในความตรัสรู้จริ<WBR></WBR>งของพระพุทธเจ้า การจะทำสมาธิลุล่วงตามแบบพร<WBR></WBR>ะพุทธองค์นั้นต้องรักษาศีลใ<WBR></WBR>ห้บริสุทธิ์ด้วย ถ้าศีลไม่วิสุทธิ์ก็จะเสียเ<WBR></WBR>วลาเปล่า

    ท่านว่า กายวาจาใจทั้ง 3 อย่างนี้ฝึกไม่ยาก วิธีง่ายๆ คือ พิจารณาว่าสังขารร่างกายของ<WBR></WBR>เรามีอะไรน่ารักบ้าง ดูให้ละเอียด พิจารณา ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน หู จมูก ให้เกิดธรรมสังเวช

    ถ้าเกิดธรรมสังเวชเมื่อไหร่<WBR></WBR>ให้เร่งรีบเพ่งดูให้ชัด


    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/คาบใบลานผ่านลานพระ/55292/รู้เอง-อิ่มเอง-คุณแม่บุญเรือน-โตงบุญเติม
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

    "เมื่อจิตสงบแล้ว ก็มองเห็นตัวเอง"

    สมาธิ หมายถึงการทำความสงบของใจให<WBR></WBR>้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดี<WBR></WBR>ยว จะทำภาวนาด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ถ้าจิตรวมลงเป็นหนึ่งได้แล้<WBR></WBR>วก็ได้ชื่อว่าภาวนาทั้งนั้น<WBR></WBR> จิตเป็นของไม่มีตัวตนแต่เมื่<WBR></WBR>ออบรมได้แล้วจะอยู่นิ่งเป็<WBR></WBR>นสุข

    จิตนี้มักแส่ส่ายไปตามกระแส<WBR></WBR>ของอารมณ์ต่าง ๆ เป็นลูกคลื่น เหมือนกับน้ำในทะเล กระทบแรงบ้างไม่แรงบ้าง (คือทุกข์และสุข)ไม่อยู่นิ่<WBR></WBR>งได้
    ...

    ฉะนั้นผู้ประสงค์ความสุขจึง<WBR></WBR>ต้องฝึกอบรมใจให้สงบ เหมือนคลื่นไม่มีแล้วย่อมปร<WBR></WBR>าศจากเสียงดังฉะนั้น เมื่อจิตสงบแล้วก็มองเห็นตั<WBR></WBR>วเอง (คือความสงบของใจ) นั้นแหละคือตัวเรา มองเห็นตัวเราแล้วจงรักษาตั<WBR></WBR>วเรานั้นไว้ให้มั่นคง

    ด้วยการทำสติกำหนดให้แน่วแน่<WBR></WBR>อยู่เสมอทุกเมื่อ มันจะคิดดีคิดชั่วหยาบละเอี<WBR></WBR>ยดก็รู้อยู่เสมอ ให้รักษาอยู่อย่างนี้จะนานแ<WBR></WBR>สนนานสักเท่าไรก็ตามใจ อย่าไปอยากรู้โน่นรู้นี่อะไ<WBR></WBR>รต่าง ๆ นานา มันเป็นตัณหาเดี๋ยวจิตจะเสื่<WBR></WBR>อมใช้ไม่ได้

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP_Tes01.jpg
      LP_Tes01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      165.2 KB
      เปิดดู:
      142
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


    [​IMG]

    ธรรมโอวาท - หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

    1. คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่

    2. ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง

    เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้

    3. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก

    4. การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน

    ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ

    5.ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย

    6. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้

    7. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

    8. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา

    9. พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด

    10. ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป

    11. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้

    แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้

    12. เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น

    13. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา

    ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ

    ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น

    14. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง

    นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง 9 เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม

    15. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้

    เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

    16. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุก ลมหายใจเข้าออก
    ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    17. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

    18. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา

    ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย

    เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น

    19. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้

    ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก

    20. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน

    21. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน

    22. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น

    23. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ

    จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง

    24. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน

    จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัย ก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ

    25. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง 3 อย่างเท่านี้

    ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย

    ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน

    26. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ

    27. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน

    28. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า "ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั่น"

    29. มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาท มัวเมาไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่

    เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่ายๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา...

    30. ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย กูก็จะตาย สูก็จะตาย จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม่...

    ธรรมโอวาท จาก พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์ และ ธรรมลิขิตหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ
    วัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี

    "คนที่เรารักเราพูดดีตลอดวั<WBR></WBR>น เราก็ดีใจ แต่ไม่มีคนรักคนไหนที่จะพูด<WBR></WBR>ให้ตรงใจเรา พูดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง อยู่กันไปนานๆ มีแต่เรื่องไม่ถูกใจ ใหม่ๆ ก็พูดดีให้กัน

    อยู่ไปนานๆ คุ้นเคยก็ไม่เกรงใจ พูดไม่ดีขึ้นมาก็ไม่สบายใจทั้<WBR></WBR>งวัน และเราก็หลีกเลี่ยงกันไม่พ้<WBR></WBR>น

    ก็ต้องฝึกใจ จะทำการทำงานก็ดี อยู่บ้านก็ดี มันคุ้นเคยกันมากก็แสดงออกม<WBR></WBR>าในสิ่งที่ไม่ดีตลอดวัน ขัดข้องหมองใจ ขัดหูขัดตาอยู่เรื่อย คนอื่นขัดเราเราก็ไม่สบายใจ<WBR></WBR> เราขัดเขา เขาก็ไม่สบายใจ ขัดหูเขา ขัดคอเขา ขัดการกระทำของเขา ทักท้วง ทัวงติง ไม่มีความสบายใจทั้งเราทั้ง<WBR></WBR>เขา

    แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ใ<WBR></WBR>ห้เรามานั่งสมาธินี้เรียกว่<WBR></WBR>า "ขัดใจตนเอง" ที่จะด่าจะว่าโต้ตอบ เราก็ไม่ด่าไม่ว่า ขัดใจตัวเองด้วยความสงบ มันอยากพูดก็ไม่พูด มันอยากด่าก็ไม่ด่า มันอยากเถียงก็ไม่เถียง มันอยากคิดเราก็หยุดคิดซะ

    "พุทโธ" ไว้"

    หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

    "การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทาง ความพอใจ ก็คือ กิเลส ความไม่พอใจ ก็คือ กามกิเลส

    กามกิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ<WBR></WBR> ธารน้ำน้อยใหญ่ ไม่มีประมาณ ไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็ม ฉันใดก็ดี กามตัณหา ที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมด อยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็ อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละ คือ ตัวเหตุ ทำความพอใจ ให้อยู่ที่ใจนี่"

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่บุดดา ถาวโร
    วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี


    ศิษย์ : หลวงปู่ครับ นิพพานโลกุตระ เป็นอย่างไร

    หลวงปู่ : มันก็หมดอาสวะซิ อวิชชาไม่เหลือ

    ศิษย์ : จิตยังอยู่ไหมครับ

    หลวงปู่ : จิตปรมัตถ์ไป เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์จิตยังอยู่ มันเกิด-ดับ มันเป็นสังคตะไป ไม่ใช่สัตว์ คน เป็นสังคตธรรมสังคตธรรมมีอยู่ อสังคตะธรรมมีอยู่ วิราคะธรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน เท่านั้น

    ศิษย์ : หมดสมมุติ หมดความยึดถือใช่ไหมครับ

    หลวงปู่ : ฮื้อ! มันไม่มีอาสวะ ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย ล่ะก็ กิเลส กรรม วิบาก มันก็ไม่มี จิตไม่มีนาม-รูปของขันธ์แล้ว มันเหนือนาม-รูปของขันธ์แล้ว สังคตะมันเหนือขันธ์ ๕ วิราคะธรรมมันเหนือขันธ์ ๕ (เหนือ คือ ไม่ถูกครอบงำ ไม่มีอุปาทานขันธ์ ย่อมไม่กลับกำเริบอีก) ขันธ์ ๕ ยังมีนามรูปติดต่อกันทางอายตนะธาตุนี่ ส่วนนิพพาน ปรมัตถ์นี้ไม่เกิดไม่ดับเป็นอสังคตะธรรม แต่ จิต เจตสิก รูป ปรมัตถ์นี้ยังเกิดดับเป็นสังคตะธรรม วิราคะธรรม ไม่มีราคะ หมดราคะถึงโลกุตระแล้วนั่น ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ เผาลนแล้ว

    หลวงปู่บุดดา ตอบเรื่อง นิพพาน และจิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 180PX-~1.JPG
      180PX-~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      11.3 KB
      เปิดดู:
      85
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่สาย เขมธมฺโม
    วัดป่าพรหมวิหาร ต.โนนเมือง อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู


    • เลิกยึดกายเสียบ้าง ปล่อยวางเสียที เขาเป็นธาตุ ๔ ไม่ใช่ตัวเรา เขาไม่เที่ยง เรื่องของเขา ให้เราปล่อยมือ อย่าถือให้หนัก เมื่อรู้จักความจริงว่ามันไม่เที่ยงตามเรื่องของสังขาร ไม่ยึดมันนั้นถูกทางแท้

    • ผู้ทำความเพียรถึงสว่างคือผู้เดินทางไปพระนิพพาน ไม่มีการพัก พระกรรมฐานต้องอยู่กับความเพียร เหมือนดวงดาวดวงเดือนที่ลอยตัวอยู่บนฟ้า ความเพียรกล้าจึงจะเห็นธรรม

    • คำเขาด่า เขาว่าเสียดสีใดๆ มันไหลเข้าหูใด ให้ไหลออกหูนั้น ท่านจะไม่ทุกข์ใจ เมื่อไม่เก็บมันไว้ ถ่านไม่มีไฟ ความร้อนมันก็หาย

    • แก้ตัณหากิเลสต้องแก้ที่ใจ แก้ที่อื่นไม่หาย แก้ที่ใจก็สิ้นเรื่อง มันตั้งบ้านตั้งเมืองมานานอยู่ที่นั้น ตัดกิเลสตัณหาให้ขาด ผู้ใดตัดไม่ขาด ผู้นั้นจะเป็นทาสของมัน หาวันจบไม่พบ

    หลวงปู่สาย เขมธมฺโม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1_979.jpg
      _1_979.jpg
      ขนาดไฟล์:
      166.1 KB
      เปิดดู:
      250
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2013
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมพระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป)
    วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ. อุดรธานี

    [​IMG]

    ขอให้ลูกหลานทุกคนรู้จักคำว่า ‘ทำนองคลองธรรม’ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม ทรงตรัสไว้ 10 ข้อ คือ

    1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง เราควรหมั่นให้ทาน เสียสละ

    2. การบูชามีผลจริง เราควรบูชา รำลึกถึงผู้มีพระคุณ

    3. การเคารพนอบน้อมมีผลจริง เราควรมีความเคารพยำเกรงต่อความดี

    4. ผลกรรมมีจริง เราควรละชั่ว ทำดี ไม่ควรทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

    5. โลกนี้มีอยู่จริง เราควรทำความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ และสัตว์โลก

    6. โลกอื่นมีอยู่จริง เราควรเตรียมตัวให้พร้อม เพราะวันหนึ่งเราต้องไป

    7. คุณของมารดามีจริงบูชาท่านไว้เหนือเศียรเกล้าท่านคือพระในบ้าน คือ ต้นกำเนิดศาสนา

    8. คุณของบิดามีจริง เคารพเชื่อฟัง ท่านคือพระอรหันต์ประจำบ้าน คือ ศาสดาองค์เอก

    9. เทพเทวดามีอยู่จริง ทำดีใครไม่เห็น แต่เทวดามีตา

    10. พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บรรลุธรรมชั้นสูงมีอยู่จริง ควรอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ให้ดำรงพุทธศาสนาไว้”

    หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป
    วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
     
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โอวาทธรรมหลวงปู่เนย สมจิตฺโต
    วัดโนนแสนคำ บ้านทุ่งคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร

    "ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป มาคนเดียวไปคนเดียว ไม่ได้ถืออะไรมา ไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป ปล่อยวางได้ สบาย อยู่สบาย ไปสบาย"

    หลวงปู่เนย สมจิตฺโต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • %CB%C5~1.JPG
      %CB%C5~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      85
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...