โชคดีที่ได้รู้ ภาค 1 : รู้ทันกรรม ถาม : ทำไมพี่น้องท้องเดียวกันจึงมีสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน เช่น คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน คนหนึ่งขี้โรค คนหนึ่งแข็งแรง เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ... ตอบ : ลูกไม่ใช่ผลผลิตของพ่อแม่ จิตวิญญาณของเขาท่องเที่ยวมาในวัฏสงสารหลายภพหลายชาติ ทำความดีความชั่วต่าง ๆ เรียกว่า สร้างกรรม (บางครั้งการทำความดีเรียกว่าการสร้างบารมี) การทำความดีนั้นก็มีมาก แต่ข้อสำคัญมี 3 อย่าง คือ ให้ทาน เป็นเหตุปัจจัยให้ฐานะ รักษาศีล รักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย เป็นเหตุปัจจัยให้มีรูปดี สุขภาพแข็งแรง อายุยืน ภาวนา เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติปัญญาดี สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนต่างกัน เราต่างทำความดีความชั่วไม่เท่ากันและอาศัยพ่อแม่มาเกิดในชาตินี้เท่านั้น บารมี กรรมดี กรรมชั่วที่สะสมไว้ในจิตวิญญาณของแต่ละคนต่างกัน จึงทำให้เกิดมามีสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ... คัดจากหนังสือ "โชคดีที่ได้รู้" โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก | Facebook
ให้ทาน เป็นเหตุปัจจัยให้ฐานะ รักษาศีล รักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย เป็นเหตุปัจจัยให้มีรูปดี สุขภาพแข็งแรง อายุยืน ภาวนา เป็นเหตุปัจจัยให้มีสติปัญญาดี ....สาธุเจ้าค่ะ....
ผมขอค้านนะครับว่า ลูกเป็นผลผลิตของพ่อแม่ เพราะคนเราเกิดจากกรรม ถ้าไม่มีกรรมที่สัมพันธ์กันก็ไม่สามารถมาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันได้ แต่ส่วนที่ผลของมันจะเป็นอย่างไรนั้นก็อยูที่บุคคลเป็นผู้ที่ได้กระทำไว้ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ยังมีปัจจัยอีกหลายๆปัจจัยที่อาจส่งผลให้กรรมดีและกรรมชั่วส่งผล บางครั้งก็ได้ผลแห่งกรรมดีก่อน บางครั้งก็ได้ผลแห่งกรรมชั่วก่อน หรือบางครั้งก็มาติดๆกัน แต่ผมขอเตือนท่านทั้งหลายว่า (ความคิดส่วนตัวนะครับ) ว่าเมื่อเวลากรรมชั่วมันมาบีบคั้นเราให้ต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ดี ขอท่านทั้งหลายจงมีสติยับยั้ง เพื่อเป็นการตัดกรรมอย่างแท้จริง อย่าให้กรรมเหล่านั้นต้องวนเวียนซ้ำๆ จากรุ่นสู่รุ่น ถามทวงกันไปมาโดยไม่รู้จักจบสิ้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า " เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร " เจริญในธรรม สวัสดี
อย่าว่าแต่พี่น้องท้องเดียวกันเลยครับ แม้แต่ฝาแฝด ยังมีสภาวะจิตใจที่ต่างกัน แต่ทั้งนี้ในเรื่อง กฎแห่งกรรม ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กันอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะเวียนว่ายตายเกิด ไปมากี่ครั้ง ผู้ที่เป็น พ่อแม่ พี่ เพื่อน บุคคลใด ๆ หรือแม้แต่ เจ้ากรรมนายเวรของเราเอง ก็ล้วนมาจากเหตุที่ สร้างสะสม กรรม วิบาก นั้น ๆ สัมพันธ์กันมาใน วัฐสงสารนี้ จนเกิด อุปทาน ภพ ชาติ ขึ้นมา แล้วที่กล่าวว่า ลูกไม่ใช่ผลผลิตของพ่อแม่ นี่ยังไงหนอ?
"ลูกไม่ใช่ผลผลิตของพ่อแม่ จิตวิญญาณของเขาท่องเที่ยวมาในวัฏสงสารหลายภพหลายชาติ ทำความดีความชั่วต่าง ๆ" ในที่นี่อาจจะหมายถึง สภาพความเป็นไปหรือความแตกต่างของลูกไม่ได้เป็นผลมาจากการกระทำของพ่อแม่ แต่เป็นผลมาจากกรรมดี กรรมชั่วที่สั่งสมอบรมมาแต่ละบุคคล...ก็เป็นได้....
พี่น้องที่เกิดร่วมกันนั้นแน่นอนย่อมจะทำเวรทำกรรมร่วมกันมาแล้ว(ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว) ส่วนลักษณะนิสัยนั้นก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละบุคคลที่ปลีกย่อยออกไปในภพภูมิต่างๆ จะส่งผลให้มีนิสัยที่แตกต่างกันออกไปครับ สรุปก็คือว่าไม่มีใครที่จะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้ครับ
เราไม่ควรนำคำว่าผลผลิตมาเปรียบเทียบในด้านการให้ผลแห่งวิบากกรรมเพราะมันเป็นคนละความหมายกัน หากพิจารณาให้ดี ความเป็นเราประกอบด้วย 1รูปธรรม คือร่างกายเรา อันนี้เป็นผลผลิตจากบิดามารดาแน่นอน ร่างกายเรามีขึ้นได้ ก็ด้วยอาศัยครรภ์แห่งมาดา และบิดาหาเลี้ยงชีพให้เราเสพและ เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ 2นามธรรม คือจิตเรา อันนี้เป็นผลผลิตที่เกียวเนื่องจากอดีตชาติเดิม หรือนิสัยสันดานเดิม ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับผู้เป็นบิดามารดา ดังนั้นจากทั้ง2ข้อจึงบังเกิดให้เป็นตัวเราขึ้นมา อนึ่งด้วยการมาเกิดเป็นบุตรของมารดาและบิดา ย่อมมีวิบากกรรมเก่าให้ผลก็ด้วยเคยเกี่ยวพันธ์เกี่ยวเนื่องกันมาก่อนแล้วทั้งสิ้น แลครั้งเมื่อตั้งครรภ์ กรรมใหม่ที่บุตรมอบไว้ให้แก่มารดาบิดาก็เริ่มก่อตัวขึ้นเช่นกัน คือบุตรย่อมเป็นหนี้บุญคุณบิดาและมารดาแล้วทันที ดังนี้บุตรทั้งหลายย่อมเป็นผลผลิตแห่งผู้เป็นบิดาและมารดาเสมอมิอาจเป็นอื่นได้ครับ เช่นนี้แล้วผู้เป็นบุตรทั้งหลายพึงต้องกระทำดีปฏิบัติดีต่อบิดารมารดาให้มากที่สุดครับ แต่กระนั้นบุตรทั้งหลายเหล่านั้นถึงแม้จะเป็นผลผลิตแห่ง บิดา มารดาก็จริงอยู่ แต่ด้วยบุญนำและกรรมแต่งจึงมีคุณลักษณะบางประการที่ไม่เสมอเหมือนกันเท่ากัน กับบิดามารดาหรือบุตรด้วยกันครับ สาธุ
อนุโมทนา สาธุ การได้บังเกิดเป็นมนุษย์นับว่าผลบุญหนุนนํา สิ่งจําเเนก เเยกเเยะให้มีความหยาบ ละเอียดอ่อนต่างกันก็คือตัวบุญนี้เเหละ อากาสัฏฐา จะ ภุมมานัง เทวะนาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ .... จิรัง รักขันตุ สาสะนัง