ถ้าพระพุทธองค์ตรัสว่าไม่มีสิ่งใดเปรียบดังนั้นเรื่องปฏิมาจึง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย manoflove, 23 มิถุนายน 2012.

  1. manoflove

    manoflove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +146
    ถ้าพระพุทธองค์ตรัสว่าไม่มีสิ่งใดเปรียบดังนั้นเรื่องปฏิมาจึงเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่ครับ มีใครอธิบายได้ ว่าเรา ปฏิบัติเกี่ยวกับรูปปั้นถูกหรือผิด คำว่า อปฏิโมคืออะไร ใครก็ได้มีความรู้ตอบที่ครับ
    [๑๔๓] เอกปุคฺคโล ภิกฺขเว โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ
    อทุติโย อสหาโย อปฺปฏิโม อปฺปฏิสโม อปฺปฏิภาโค ๑ อปฺปฏิปุคฺคโล
    อสโม อสมสโม ทิปทานํ อคฺโค กตโม เอกปุคฺคโล ตถาคโต
    อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อยํ โข ภิกฺขเว เอกปุคฺคโล โลเก
    อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ อทุติโย อสหาโย อปฺปฏิโม อปฺปฏิสโม
    อปฺปฏิภาโค อปฺปฏิปุคฺคโล อสโม อสมสโม ทิปทานํ อคฺโคติ ฯ

    อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกบุคคลบาลี หน้าต่างที่ ๒ / ๒.
    บทว่า อปฺปฏิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพเรียกว่ารูปเปรียบ. ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพของท่านไม่มี.
    อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใดล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่าผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทรายให้เหมือนอัตภาพของพระตถาคต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดยประการทั้งปวง.
    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... &i=139&p=2

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
    เอกบุคคลบาลี

    [๑๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิด
    ขึ้นเป็นผู้ไม่มีที่สอง ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเปรียบ
    เสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอ เสมอด้วยพระพุทธเจ้า
    ผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือ พระตถาคต
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก
    ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่มีสอง ไม่มีเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใคร
    เปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลเปรียบ ไม่มีใครเสมอ เสมอด้วย
    พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ฯ
    http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=585&Z=627
    ไปเจอมา เพราะเขาเถียงกัน
     
  2. manoflove

    manoflove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +146
    ช่วยขยายความหน่อยครับ เพราะ อยากเข้าใจว่าการปั้น รูปเปรียบ เนี่ย เราทำผิดหรือไม่ผิด พอดี เขาจะให้ร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อพระ ผมเลยว่าจะทำบุญก่อศาลาแทน
     
  3. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    พระพุทธรูป ≠ พระพุทธเจ้า
    แต่
    พระพุทธรูป = พุทธานุสติ

    ทำๆ ไปเถอะ หากเจ้าภาพเจตนาดี เจตนาบริสุทธิ์ ใช่ว่าผู้ที่ใช้ประโยชน์เป็นพุทธานุสติจะมีแค่คน ไม่ต้องห่วงได้บุญแน่ สบายใจเถิด
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เห็นด้วยครับ เราสร้างพระพุทธรูป เป็นพุึทธบูชา แค่นั้นแหละั :cool:
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ถ้าเป็นผม ผมจะสร้างพระพุทธรูปก่อน แล้วค่อยมาสร้างศาลา....
     
  6. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ

    เราๆๆทั้งหลายยังมีกิเลสมาก คำสอนของพระพุทธเจ้า เราๆๆยากที่จะเข้าใจได้นะครับ
    ลองอ่านชาดกดูนะครับ

    ในวัฏฏังคุลีชาดก กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ถวายนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลถามว่า “บุรุษสตรีผู้หนึ่งผู้ใด

    เมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมากร กระทำรูปเปรียบจำลองพระพุทธองค์ ขึ้นไว้ จะได้ประมาณอานิสงส์เช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”


    [​IMG]

    สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธดำรัสว่า “ดูกร มหาบพิตร ผู้เป็นมหาราชบุรุษหรือสตรีผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยศรัทธา เมื่อได้สร้างพระ

    พุทธปฏิมากรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธปฏิมากรนั้น บุคคลจะสร้างด้วยดินเหนียว หรือศิลาก็ตามหรือทำด้วยโลหะแลทองแดงก็ตาม จะทำ

    ด้วยไม้ แลสังกะสี ดีบุกก็ตาม จะทำด้วยรัตนะ เงินทองก็ตาม ผู้ที่สร้างทำนั้น จักได้อานิสงส์ผลอันมากพ้นที่จะนับประมาณ การที่สร้างพระ

    พุทธปฏิมากร หรือปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปก็ดี เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งยังเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร ครั้งเมื่อตถาคตเสวยพระชาติ

    เป็น พระโพธิสัตว์ ได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรซึ่งทำด้วยดินเหนียวหักขาดไปนิ้วหนึ่ง จึงนำเอาดินเหนียวมาปั้นทำให้เป็นบริบูรณ์เป็นปกติ

    แล้วทำการสักการบูชาด้วยมาลาแลของหอม ครั้งทำลายเบญจขันธ์ ก็ได้เสวยสมบัติในสวรรค์ ได้เป็นบรมกษัตริย์ในมนุษย์โลก สิ้นกาลนาน

    ภายหลังเมื่อโพธิสมภารพุทธการกธรรมเต็มบริบูรณ์แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า”


    [​IMG]

    แล้วทรงเทศนาถึงอดีตชาติของพระองค์ ดังนี้

    ในอดีตกาล มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ กุลภัทรกุมาร ไดัชักชวนพ่อค้าทั้งหลายเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ระหว่างทางเขาเห็นพระพุทธปฏิมากรทำ

    ด้วย ดินเหนียวองค์หนึ่ง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอาราม ในป่าชัฏ พระพุทธปฏิมากรนั้น มีนิ้วพระหัตถ์หักไปนิ้วหนึ่ง จึงเอาดินเหนียวมาขยำกับ

    น้ำอ้อย ปั้นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรปฏิสังขรณ์ให้เต็มบริบูรณ์ทั้ง ๕ นิ้ว แล้วเอาเงิน ๕ กหาปนะ ให้หญิงทาสีคนหนึ่ง คอยปฏิบัติ

    รักษา พระพุทธปฏิมากรนั้น และให้มูลค่าประทีป เทียน แลมาลา ของหอม สำหรับบูชาพระปฏิมากรนั้นด้วย ครั้นบูชาแล้ว จึงตั้งความ

    ปรารถนา ด้วยว่า “อานิสงค์ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิสังขรณ์นิ้วพระหัตถ์นี้ ขึ้นชื่อว่าข้าศึกศัตรูทั้งปวง อย่าให้มีเฉพาะหน้าข้าพเจ้าเลยอนึ่งขอให้ข้าพเจ้าได้

    ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วยเถิด”

    [​IMG]

    นับ แต่นั้นมา ข้าศึกศัตรูและ ร้ายทั้งหลายทั้งหลาย แม้แต่งู ตะขาบ และแมลงป่อง เป็นต้น ก็มิได้กล้ำกลายกุลภัทรกุมาร เมื่อตายไปได้เกิด

    เป็นเทพในสวรรค์ พวกอสูรในเทวโลกก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ พากันหนีหมด เมื่อปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี เทพบุตรซึ่งเป็น

    บริวารพันหนึ่งก็มาเกิดในครรภ์ของภรรยาพวกอำมาตย์ เมื่อประสูติพระกุมารแล้ว ในกาลนั้น ทั้งหลายมีช้าง แลม้าเป็นต้น แม้จะดื้อเพียงใด

    เมื่อพระราชกุมารยกนิ้วพระหัตถ์ชี้มาในกาลใด เหล่านั้นก็ซวนเซล้มลงพระราชกุมารจึงได้พระนามว่า “วัฏฏังคุลีราชกุมาร”

    เมื่อ ได้ครองราชย์เป็น “พระเจ้าวัฏฏังคุลีราชโพธิ ” ประกอบด้วยเมตตากรุณา ไม่เคยเบียดเบียนชีวิตใดเลย ตั้งมั่นอยู่ในศีล ในกาลนั้นพระยา

    ร้อยเอ็ด ทั้งหลายในชมพูทวีปจึงปรึกษากันจักไปชิงราชสมบัติ ของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช เพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ฆ่า เลย คงได้เมืองมาโดยง่าย

    เมื่อยกทัพมาประชิดเมืองของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช พระองค์เพียงชี้นิ้วพระหัตถ์ พวกพระยาร้อยเอ็ดและเหล่าทหารก็ตกจากยานพาหนะและหกล้ม

    ระเนระนาด พระยาร้อยเอ็ดจึงสวามิภักดิ์ยอมเป็นประเทศราชของพระโพธิ สมเด็จพระทศพลจึงตรัสพระคาถาว่า บุคคลผู้สร้างพระพุทธรูปนั้น จะ

    ได้เป็นพระอินทร์ ๘ ครั้ง จะได้เป็นสมเด็จบรมจักรพรรดิ ๘๐ ชาติหรือ ๑๐๐ ชาติ จะได้เป็นพระราชานับประมาณไม่ได้ ผลแห่งการ

    ปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมพระพุทธรูปนั้น ไม่ควรคิดว่ามีค่าเท่าใดเพราะเป็นอจินไตย ประมาณไม่ได้ บุคคลผู้ก่อสร้างพระพุทธรูปด้วยปีติเลื่อมใสแล้วจะ

    เกิดในสวรรค์สิ้นกาลนาน ผู้ปลูกมหาโพธิ์ นรชนผู้บวชตน นรชนผู้สร้างพระปฏิมากร นรชนสามจำพวกนี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยง

    แท้.....
     
  7. manoflove

    manoflove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +146
    เมื่อสร้างรูปเปรียบ ดั่งสร้างบุญเพียง ขนทราย ผม ปฏิบัติบูชา จะดีกว่าไม้ครับ ทำทานก็ทำไปไม่เลือก อย่างละนิดอย่างละหน่อย แค่ได้ทำ ถือศีล ฝึกสมาธิ เจริญปัญญา อุปญาก บิดามารดา แผ่บุญให้เทวดา บูญคงมากมากกว่าหรือไม่ครับ หรือจะทำควบกันไปเลย
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เรื่องบุญเรื่องทานนี้มันเป็นเรื่องของบุคคนนะครับ....ถ้าคุณพอใจในการกระทำสิ่งนั้นแล้วคุณคิดว่าดี คุณก็ทำไปเถอะ เพราะว่าอย่างไรมันก็เป็นความดีอยู่ดี...

    และเช่นกัน ในเรื่องของการสร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าเป็นการสร้างอุทเทสิกเจดีย์ไว้ในพระพุทธศาสนาซึ่งก็มีอานิสงค์ใหญ่ เช่นกัน ฉะนั้นถ้าเป็นผม ผมจะสร้างพระพุทธรูปก่อน แล้วผมจะสร้างวิหาร เพราะผมถือว่าผมสร้างวิหารเพื่อถวายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ผมได้ร่วมสร้าง....ผมถือว่าเอาอานิสงค์รวมกัน.....

    .........................................................................................................

    เจดีย์ 4 (สิ่งที่ก่อขึ้น, ที่เคารพบูชา, สิ่งที่เตือนใจให้ระลึกถึง, ในที่นี้หมายถึง สถานที่หรือสิ่งที่เคารพบูชาเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา เรียกเต็มว่า สัมมาสัมพุทธเจดีย์ หรือ พุทธเจดีย์ - shrine, Buddhist monument; objects of homage)
    1. ธาตุเจดีย์ (เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ - a relic shrine; sepulchral or reliquary monument; stupa enshrining the Buddha's relics)
    2. บริโภคเจดีย์ (เจดีย์คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย อย่างแคบหมายถึงต้นโพธิ์ อย่างกว้างหมายถึงสังเวชนียสถาน 4 ตลอดจนสิ่งทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าเคยทรงบริโภค เช่น บาตร จีวร และบริขารอื่นๆ เป็นต้น - things and places used by the Buddha, esp. the Bodhi tree)
    3. ธรรมเจดีย์ (เจดีย์บรรจุพระธรรม เช่น บรรจุใบลานจารึกพุทธพจน์แสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น - a doctrinal shrine; monument of the Teaching where inscribed palm-leaves or tablets or scriptures are housed)
    4. อุทเทสิกเจดีย์ (เจดีย์สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระพุทธรูป - a shrine by dedication, i.e. a Buddha-image)

    เจดีย์เหล่านี้ ในที่มาแต่ละแห่งท่านแสดงไว้ 3 ประเภท นับรวมที่ไม่ซ้ำเข้าด้วยกัน จึงเป็น 4.


    <TABLE class=ref width="100%"><TBODY><TR vAlign=top><TD width="50%">KhA.222;
    J.IV.228
    <TD>ขุทฺทก.อ. 247;
    ชา.อ. 6/185;
    วินย.ฎีกา 1/263.


    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
    ...........................................


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในเรื่องของอานิสงค์ในการสร้างเจดีย์ในพระศาสนานั้น(ซึ่งพระพุทธรูปชื่อว่าเป็น ๑ ใน เจดีย์ ๔ คืออุทเทสิกเจดีย์) มีมากมายหลายที่ เช่น ชาดกที่กัลญาณมิตรข้างบนนำมาให้อ่าน จะในเรื่องของการสร้างเจดีย์ทรายเพื่อเป็นสิ่งที่ระลึกแทนพระพุทธเจ้า(ก็คืออุทสิกเจดีย์เช่นกัน) .....อย่างไรตามศึกษาข้างล่างได้ครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    อานิสงส์การก่อเจดีย์ทราย

    <CENTER>ปุฬินถูปิยเถราปทานที่ ๘</CENTER><CENTER>ว่าด้วยผลแห่งการก่อสถูปเจดีย์</CENTER>[๘๘] ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์ มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อยมกะ เราได้ทำอาศรม
    สร้างบรรณศาลาไว้ที่ภูเขานั้น เราเป็นชฎิลผู้มีตบะใหญ่มีนามชื่อว่า
    นารทะ ศิษย์สี่หมื่นคนบำรุงเรา ครั้งนั้น เราเป็นผู้หลีกออก
    เร้นอยู่ คิดอย่างนี้ว่า มหาชนบูชาเรา เราไม่บูชาอะไรๆ เลย ผู้ที่
    จะกล่าวสั่งสอนเราก็ไม่มี ใครๆ ที่จะตักเตือนเราก็ไม่มี เราไม่มี
    อาจารย์และอุปัชฌาย์ อยู่ในป่า ศิษย์ผู้ภักดีพึงบำรุงใจครูทั้งคู่ได้
    อาจารย์เช่นนั้นของเราไม่มี การอยู่ในป่าจึงไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ควร
    บูชาเราควรแสวงหาสิ่งที่ควรเคารพก็ควรแสวงหาเหมือนกัน เราจัก
    ชื่อว่าเป็นผู้มีที่พึ่งพำนักอยู่ ใครๆ จักไม่ติเราได้ ในที่ไม่ไกลอาศรม
    ของเรา มีแม่น้ำซึ่งมีชายหาด มีท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ
    เกลื่อนไปด้วยทรายที่ขาวสะอาด ครั้งนั้น เราได้ไปยังแม่น้ำชื่ออมริกา
    ตะล่อมเอาทรายมาก่อเป็นเจดีย์ทรายพระสถูปของพระสัมพุทธเจ้าผู้ทำที่
    สุดภพ เป็นมุนี ที่ได้มีแล้ว เป็นเช่นนี้ เราได้ทำสถูปนั้นให้เป็น
    นิมิต เราก่อพระสถูปที่หาดทรายแล้วปิดทอง แล้วเอาดอกกระดึง
    ทอง ๓๐๐ ดอกมา เราเป็นผู้มีความอิ่มใจ ประนมกรอัญชลี
    นมัสการทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า ไหว้พระเจดีย์ทราย เหมือนถวายบังคม
    พระสัมพุทธเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ ฉะนั้น ในเวลาที่กิเลสและ
    ความตรึกเกี่ยวด้วยกามเกิดขึ้น เราย่อมนึกถึง เพ่งดูพระสถูปที่ได้
    ทำไว้ เราอาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นำสัตว์ออกจากที่กันดาร ผู้นำ
    ชั้นพิเศษ ตักเตือนตนว่าท่านควรระวังกิเลสไว้ แน่ะท่านผู้นิรทุกข์
    การยังกิเลสให้เกิดขึ้นไม่สมควรแก่ท่าน ครั้งนั้น เมื่อเราคำนึงถึง
    พระสถูปย่อมเกิดความเคารพขึ้นพร้อมกัน เราบรรเทาวิตกที่น่าเกลียด
    เสียได้เปรียบเหมือนช้างตัวประเสริฐ ถูกเครื่องแทงหูเบียดเบียน
    ฉะนั้น เราประพฤติอยู่เช่นนี้ได้ถูกพระยามัจจุราชย่ำยี เราทำกาลกิริยา
    ณ ที่นั้นแล้ว ได้ไปยังพรหมโลก เราอยู่ในพรหมโลกนั้นตราบเท่า
    หมดอายุ แล้วมาบังเกิดในไตรทิพย์ ได้เป็นจอมเทวดาเสวยราช
    สมบัติในเทวโลก ๘๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๐๐ ครั้ง
    และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ เราได้
    เสวยผลของดอกกระดึงทองเหล่านั้น ดอกกระดึงทอง ๒๒,๐๐๐ ดอก
    แวดล้อมเราทุกภพ เพราะเราเป็นผู้บำเรอพระสถูป ฝุ่นละอองย่อมไม่
    ติดกับตัวที่ตัวเรา เหงื่อไม่ไหล เรามีรัศมีซ่านออกจากตัว โอ
    พระสถูป เราได้สร้างไว้ดีแล้ว แม่น้ำอมริกาได้เห็นดีแล้ว เราได้
    บรรลุบทอันไม่หวั่นไหวก็เพราะได้ก่อพระสถูปทราย อันสัตว์ผู้
    ปรารถนาจะกระทำกุศลควรเป็นผู้ยึดเอาสิ่งที่เป็นสาระ ไม่ใช่เป็นด้วย
    เขตหรือไม่ใช่เขตความปฏิบัตินั่นเองเป็นสาระ บุรุษผู้มีกำลัง มีความ
    อุตสาหะที่จะข้ามทะเลหลวง พึงถือเอาท่อนไม้เล็ก วิ่งไปสู่ทะเล
    หลวงด้วยคิดว่า เราอาศัยไม้นี้จักข้ามทะเลหลวงไปได้ นรชนพึงข้าม
    ทะเลหลวงไปด้วยความเพียรอุตสาหะ แม้ฉันใด เราก็ฉันนั้นเหมือน
    กัน อาศัยกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ทำไว้แล้ว จึงข้ามพ้นสงสาร
    ไปได้ เมื่อถึงภพสุดท้าย เราอันกุศลมูลตักเตือนแล้วเกิดในสกุล
    พราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่ง ในพระนครสาวัตถี มารดาบิดาของเรา
    เป็นคนมีศรัทธานับถือพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสองนี้เป็นผู้เห็นธรรมฟัง
    ธรรม ประพฤติตามคำสอน ท่านทั้งสองถือเอาผ้าลาดสีขาว มีเนื้อ
    อ่อนมากที่ต้นโพธิ์มาทำพระสถูปทองนมัสการในที่เฉพาะพระพักตร์
    แห่งพระศากยบุตรทุกเย็นเช้าในวันอุโบสถ ท่านทั้งสองนำเอา
    พระสถูปทองออก กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ยับยั้งอยู่ตลอด
    ๓ ยาม เราได้เห็นพระสถูปเสมอ จึงระลึกถึงเจดีย์ทรายขึ้นได้
    นั่งบนอาสนะอันเดียวได้บรรลุอรหัตแล้ว.



    <CENTER>จบ ภาณวารที่ ๒๒.</CENTER>เราแสวงหาพระพุทธเจ้าผู้เป็นปราชญ์นั้นอยู่ได้เห็นพระธรรมเสนาบดี
    จึงออกจากเรือนบรรพชาในสำนักของท่าน เราได้บรรลุอรหัตแต่
    อายุ ๗ ขวบ พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาจักษุทรงทราบคุณวิเศษของ
    เราจึงให้เราอุปสมบท เรามีการกระทำอันบริบูรณ์ดีแล้ว แต่ยังเป็น
    ทารกอยู่ทีเดียว ทุกวันนี้ กิจที่ควรทำในศาสนาของพระศากยบุตร
    เราทำเสร็จแล้ว ข้าแต่พระฤาษีผู้มีความเพียรใหญ่ สาวกของ
    พระองค์เป็นผู้ล่วงพ้นเวรภัยทุกอย่าง ล่วงพ้นความเกี่ยวข้องทั้งปวง
    นี้เป็นผลแห่งพระสถูปทอง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธ
    ศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระปุฬินถูปิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.



    <CENTER>จบ ปุฬินถูปิยเถราปทาน.</CENTER><CENTER></CENTER>


    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  10. sawok B

    sawok B เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +230
    อยู่ที่เจตนาอีกล่ะ ครับ ว่าจะเห็นรูปปั้นเป็นอะไร อย่างเช่น เห็นรูปปั้นเป็นสิ่งศักสิทธิ์ อย่างนี้มีความเห็นผิดครับ อย่าทำแม้แต่น้อยครับ เพราะถ้าใครเชื่อว่ารูปปั้นนี้ศักสิทธิ์บุคคลนั้นเขาย่อม ไป ขอนั้น ขอนี้ อย่างเช่น ขอให้ถูกหวย ขอให้มีอายุยืน ขอให้ไม่ตกนรก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่พุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ เพราะการเห็นแบบนี้ จะไปตรงกับที่พระพุทธเจ้าบอกว่า สุขหรือทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล เทพบันดาล อิศรบันดาล ถ้าเราคิดแบบนี้พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นมิฉาทิฐิ(ความเห็นผิด) ถ้าใครกราบไว้รูปปั่นว่า เป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า แบบนี้จึงจะถูกต้อง แต่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งศักสิทธิ์ แค่ปูนหิน ดินทรายมันจะไปศักสิทธิ์อะไร รูปปั้นเหล่านั้นมันสอนอะไรเราได้ไหมล่ะ มีแต่นั่งนิ่งๆให้คนมากราบไหว้เท่านั้นแหละ สอนให้เราพ้นจากทุกข์ได้ไหมล่ะ แก้ การ แก่ เจ็บ ตายได้หมล่ะ ถ้าไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งศักสิทธิ์ เป็นแค่รูปปั้น ปูน หิน ดิน ทราย แต่ถ้าเราจะกราบไว้ว่า เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า อันนี้ได้ แต่ห้ามเหนือจากนั้น เพราะไม่มีประโยชน์ เราอย่าไม่สร้างพระพุทธรูปอีกเลยน่ะ ตอนนี้มันเต็มบ้านเต็มเมืองหมดและ แล้วบางคนก็บอกว่า จะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่องได้ มันจะเจริญรุ่งเรื่องบ้าเบาะอะไรล่ะ ก็เพียงแค่รูปปั้น ปูน หิน ดิน ทราบเพียงเท่านั้น มันสอนอะไรพวกเธอได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้ว เหตุที่ศาสนาจะเสื่อม และศาสนาจะตั้งอยู่ได้นาน พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเลยว่า อานนท์ หลังจากเราปรินิพานไปแล้ว เธอจงสร้างเครื่องบูชาเราน่ะ จะเป็นการทำให้ศาสนาของเราเจริญ ซึ่งไม่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแบบนี้เลย แต่พระองค์ตรัสว่า เหตุที่ทำให้พระศาสนาของเราไม่ตั้งอยู่นานคือ เมื่อคำสอนของหายไปจากศาสนา และมีแต่คำแต่งใหม่ของสาวกแทน เมื่อมีคนไปสนใจคำสาวกแต่งใหม่มากขึ้น คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นพุทธวจน จะหายไปและเป็นเหตุที่พระศาสนาจะเสื่อมลงเพราะไม่ได้รู้คำสอนที่เป็นคำสอนที่แท้จริง มีแต่สาวกรุ่นหลังไปแต่งกันเอาเอง แล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัส เกี่ยวกับความเจริญของพระศาสนา ศาสนาจะตั้งอยู่ได้เพราะ ธรรม เพราะวินัย ที่เป็นคำสอนของพระองค์เองเท่านั้น เมื่อมีคนนำมากล่าวอยู่ นำมาศึกษาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพุทธวจน เมื่อศึกษาแล้วนำออกเผยแผ่ให้กว้างขว้างมากขึ้นเรื่อยๆ นี้แหละจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้พระศาสนาตั้งอยู่นาน และจะเจริญรุ่งเรื่อง แต่ถ้าเราสร้าง ปูน หิน ดิน ทรายอยู่ เมื่อคนรุ่งหลังมาเห็น ก็จะเจอแต่พุทธรูปเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถกล่าวสอนธรรม อะไรกับเราได้ น่ะ ยกตัวอย่างมาแค่นี้แหละครับ
     
  11. เฟลม

    เฟลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +15
    ลองไปเสิร์ช วัฏฏังคุลีชาดก ในพระไตรปิฎกก็ไม่พบ
    เลยสงสัยว่าไปเอามาจากไหน สุดท้ายก็รู้ว่ามาจาก ปัญญาสชาดก ที่พระเถระนักปราชญ์ชาวเชียงใหม่ได้รวบรวมขึ้นนั่นเอง
    ปัญญาสชาดก
     

แชร์หน้านี้

Loading...