ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์” อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน อาตมาถามท่านด้วยปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ...”
    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู...! เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...!)
    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...!
    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง” อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย ส่งแอ๊ปเปิ้ลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า...(คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...!)
    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอ๊ปเปิ้ล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...!
    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือน้อยร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับพริบตาเดียวหมดเกลี้ยง แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่า ๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...!
    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวายหลวงพ่อ พวกรูป-เหรียญของหลวงพ่อที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่าน ไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...
    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...!
    มัวแต่ตกละลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะที่มุมศาลา...คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...
     
  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...” ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...!
    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิษฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาที แล้วหยุดเอง...!
    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ”...
    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว” ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ล่วงเกินไปแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี...
    ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อย ๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...” ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวาน ลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...
    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย”... “รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์”... “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”
    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ไม่มีใครทำแทนกันได้”... “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีน่ะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”
    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?” ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้หลวงพ่อไปทำอะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่อง ปัตตานุโมทนามัย มาก...
    ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...” นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...
    จนเวลาใกล้เที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัยและสิ่งของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อ ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่หลวงพ่อยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”
    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...” “เออ..ใช่... ใช่...องค์นั้นแหละ...” หลวงพ่อตอบเหมือนรับรอง ว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...
    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่าง ๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่าน บางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?!
    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ อาตมาตามไปทวงประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”
    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสาย แต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า...
    “ช่างเขาเถอะ...ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...” ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้น มีน้องเป้ (รังสิมา แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอัตรธานไปไหนหมดก็ไม่รู้...!
     
  4. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพริ้วนุ่มนวล เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...!
    ท่านไว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?” “ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...” ท่านตอบว่า...
    “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่ มีความสุขเสมอหน้ากัน” อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...?” ทิศเหนือคือทิศอุดร อาตมาหมายความว่า ท่านคือ หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”
    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?” “ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...!” ตอบได้เด็ดขาดมาก น่าเสียดาย ที่ไปแค่กลางทาง ท่านก็เล่นกล หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...!
    หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือพระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง” อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้ ...? อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...!?
    ภายหลังหลวงพ่อได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้าง มณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...!
    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ไปบูชา เมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับ ติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิง อิศรา กิติธีระกุล) เป็นของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...
    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตา คล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง...
    เห็นปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลีลาไปกันคนละโลกเลย แต่การพิสูจน์ครั้งนั้นเป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้นหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์หลวงพ่อ ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...!
    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลาหลวงพ่อได้ “ใครว่าร้ายท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหย ๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่า จะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...!
    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี หรือ อ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย....ฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ...ฯ
    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    บันทึกเพิ่มเติม ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”
    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างกันใหญ่โต จนท้ายสุด ท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ทดลองไปดูได้
     
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    แก้วมณีรัตนะ



    ใน จักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึงสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ว่าประกอบด้วย แก้ว ๗ ประการ คือ
    ๑. จักกรัตนะ (จักรแก้ว) ๒. อิตถิรัตนะ (นางแก้ว) ๓. มณีรัตนะ (ดวงแก้ว) ๔. ปรินายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ๕. คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) ๖. หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) ๗. อัสสรัตนะ (ม้าแก้ว)
    จักรแก้ว เป็นเครื่องหมายประกาศความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อานุภาพแห่งจักรแก้วนั้น ยามปรากฏขึ้น จะดึงดูดเอามหาสมบัติทั้งหมดในสะดือทะเล (อยู่แถว ๆ ท้องทะเล แฮ่...) มาไว้ในท้องพระคลังหลวง และเป็นพาหนะให้ขุนพลแก้ว พาทหารทั้ง ๔ เหล่าทัพ เหาะไปปราบปรามในทวีปทั้งสี่ (เหมือนยานขนส่งอวกาศเลย...)
    นางแก้ว เป็นอัครมเหสีคู่บารมีพระเจ้าจักรพรรดิ กลิ่นกายหอมเหมือนดอกอุบล หน้าหนาวเนื้อจะอุ่น หน้าร้อนเนื้อจะเย็น งามพร้อมด้วยเบญจกัลยาณีอิตถีลักษณ์ทุกประการ จะมีเทวดานำจาก อุตรกุรุทวีปมาถวาย (ขอข้อยจั๊กคนแหน่...!)
    ดวงแก้วมณีโชติ จะปรากฎผุดขึ้นใจกลางมหานคร แล้วเคลื่อนไปอยู่ในท้องพระคลัง ทำหน้าที่รักษาสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ให้มีเพียงพอเลี้ยงดูประชากรทั้งโลก ส่องสว่างอยู่ชั่วกาลนาน (เป็นทั้งยาม ทั้งนายบัญชีเลยนิ...)
    ขุนพลแก้ว ผู้ประกาศบารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ ให้ปรากฏไปตลอดทวีปทั้ง ๔ ใครไม่ยอมสวามิภักดิ์ ก็เป็นหน้าที่ของขุนพลแก้ว ที่จะปราบปรามให้ราบคาบ รบกับใครไม่มีคำว่าแพ้ ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติ ขุนพลแก้วก็จะขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน...
    ขุนคลังแก้ว เป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ หากยามใดที่ทรัพย์สมบัติมีทีท่าว่าจะไม่พอเพียง ขุนคลังแก้วก็จะใช้ทิพจักขุญาณ มองหาขุมทรัพย์ใต้ดิน แล้วขุดขึ้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลัง บ้านเมืองใดขัดสน ก็ขุดขึ้นมาให้เขาใช้จ่าย (ขอมั่งฮี่...)
    ช้างแก้ว เป็นช้างเผือกตัวประเสริฐ สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยคชลักษณ์อันอุดมมงคล จะมาสู่โรงช้างต้นด้วยตนเอง ยามออกรบแค่ช้างศึกฝ่ายตรงข้ามได้กลิ่น ก็แตกพ่ายไปเอง (แบบว่ามันเก่งมาตั้งแต่เกิดน่ะ...ฮิ...ฮิ...)
    ม้าแก้ว เป็นม้าอาชาไนยแห่งลุ่มน้ำสินธุ เกิดมาผ่าเหล่าผ่ากอ (เอ๊ะ..ชมหรือด่ากันแน่หว่า...?) ปรากฎเป็นลักษณะอันประเสริฐ มีฝีเท้าจัด ยามวิ่งเหมือนเดินบนที่ราบ (นี่มันอัสดรพันลี้ในกำลังภายในละมั้ง...?) จะเดินมาเข้ากรง เอ๊ย...โรงม้าด้วยตนเองเช่นกัน...
    ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะมณีรัตนะเท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก แห่ง วัดไชยมงคล (วัดวังมุย) จังหวัดลำพูน ท่านเป็นหนึ่งในพระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อแนะนำให้ลูก ๆ ไปทำบุญด้วย ท่านมีวิชา ปรอทสำเร็จ...
    คือท่านสามารถนำปรอทมาเสกเป็นตัว เพื่อทำตะกรุดปรอทได้ อาตมาเคยได้มาดอกหนึ่ง (ได้ให้ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ไปแล้ว) อันวิชาปรอทสำเร็จนั้น สุดจะยากเย็นแสนเข็ญอยู่แล้ว และความสามารถของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อเล่าว่า...
    หลวงปู่ชุ่มสามารถ เข้านิโรธสมาบัติด้วยอิริยาบถทั้ง ๔ (ปกติผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ จะเข้าได้เฉพาะอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่นั่งก็นอน) ซึ่งหลวงพ่อเล่าว่าในชีวิตของท่าน ไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำได้อย่างนี้มาก่อนเลย...
    แต่ความสามารถระดับนี้ของหลวงปู่ชุ่ม ท่านทำได้แค่เสกปรอทเป็นตัวเท่านั้น หลวงปู่บอกว่า ครูบาอาจารย์ของท่าน สามารถเสกปรอทเป็นแก้ว ได้ ปรอทนั้นมีทั้งตัวผู้ตัวเมีย ถ้าเสกปรอทตัวเมียจะเป็น แก้วราหู ถ้าเสกปรอทตัวผู้จะเป็น แก้วจักรพรรดิ...!
    หลวงปู่ท่านไม่ใช่มีแต่ราคาคุยเท่านั้น ลูกศิษย์ใกล้ชิดบางท่านที่โชคดี ก็ได้รับแก้วราหูจากมือหลวงปู่ไปบูชา ส่วนแก้วจักรพรรดินั้นหลวงปู่ได้รับมาแค่องค์เดียว วันหนึ่งหลวงปู่ซึ่งทราบวาระของท่านเอง ก็ไปหาหลวงพ่อถึงวัดท่าซุง...
    หลวงปู่ชุ่มได้มอบลูกแก้วจักรพรรดิแก่หลวงพ่อ พลางบอกว่า “หลวงพี่แก่แล้ว งานที่จะต้องทำไม่มีอีกแล้ว หลวงพี่ขอมอบแก้วจักรพรรดินี้ให้แก่หลวงน้องไว้ ต่อไปหลวงน้องต้องปกครองบริวารเป็นจำนวนมาก ลูกแก้วจักรพรรดินี้จะช่วยหลวงน้องได้มาก...”
    หลวงพ่อสนองความเมตตาของหลวงพี่ (อดีตชาติท่านเป็นพี่จริง ๆ) รับเอาลูกแก้วจักรพรรดิไว้ หลังจากนั้นไม่นาน หลวงปู่ชุ่มก็มรณภาพ (เฮ้อ...ไม่น่ารับเล้ย รับแล้วหนีเลย) ส่วนหลวงพ่อก็พกแก้วจักรพรรดิติดองค์เรื่อยมา...
    ต่อมา... “พระ” ท่านเสด็จมาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะต้องทำงานใหญ่ในกาลข้างหน้า ถ้าลูก ๆ ไม่มีความคล่องตัวในการเป็นอยู่จะสนับสนุนหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ ขอให้ไปหาลูกแก้วมา ท่านจะช่วยเสกให้ ผู้ที่ได้ไปจะเหมือนกับมีแก้วสารพัดนึกไว้ทีเดียว...
    หลวงพ่อท่านขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ขอดูลูกแก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์ ปรากฏว่ามีลักษณะเหมือนของหลวงปู่ชุ่มเปี๊ยบเลย กระทั่งสีสรรพ์ก็แทบไม่แตกต่างกัน ท่านปู่บอกด้วยว่า ขอให้หลวงพ่อทำตามที่พระท่านบอก ท่านปู่จะมาช่วยอีกแรงหนึ่ง...
    หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ไปหาลูกแก้วมา ลูกศิษย์ตัวดีก็เหลือเกิน ไปเหมาลูกแก้วเด็กเล่นที่บางลำพูมาทั้งกระจาด (จะให้ดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้) หลวงพ่อก็เมตตาทำพิธีให้โดยมีแก้วจักรพรรดิเป็นองค์ประธาน แล้วแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์เป็นการภายใน ๒ วาระ ปรากฏว่าผู้ที่รับไปต่างก็มีผลทางด้านลาภเป็นที่น่าอัศจรรย์...
    ต่อมาจึงทำแจกเป็นการสาธารณะ โดยใช้แก้วคริสตัลของออสเตรียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ที่ได้ไปก็ประสพผลในด้านต่าง ๆ ทั้งลาภผล แคล้วคลาด คงกระพัน เป็นสารพัดนึกจริง ๆ หลวงพ่อจึงเรียกว่า “แก้วมณีรัตนะ” คือ เหมือนกับมีแก้วจักรพรรดิไว้ในครอบครองนั่นเอง...
    หลวงพ่อเองก็ออกปากว่า ตั้งแต่ได้แก้วจักรพรรดิมา การงานการเงินมีความคล่องตัวมาก ในองค์หลวงพ่อพกของมงคลอยู่เพียง ๒ อย่าง คือพระบรมสารีริกธาตุ และลูกแก้วจักรพรรดินี้เอง การพุทธาภิเษกทุกครั้ง หลวงพ่อต้องนำแก้วจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน
    ลูกแก้วจักรพรรดิที่หลวงปู่ชุ่มมอบให้ เป็นลูกแก้วขนาดเขื่องกว่าลูกปิงปองเล็กน้อย มีลวดลายคล้ายสีทองในเนื้อแก้ว เปล่งแสงสีม่วงอ่อน เหลือบรุ้งสวยงามยิ่งนัก ต่อมางานของหลวงพ่อมากขึ้นทุกที “ท่านย่า” จึงมอบแก้วให้อีก ๑ องค์ บอกว่าเป็นองค์น้อง มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย หลวงพ่อก็ใช้ควบคู่กันเรื่อยมา...
    อาตมาพบปาฏิหาริย์ของแก้วมณีรัตนะ อย่างชัดเจนที่สุดวาระหนึ่ง คือ อาตมาตีเช็คล่วงหน้าไป ถึงเวลาหาเงินเข้าบัญชีไม่ทัน ถ้าหากเงินสองแสนบาทไม่ได้ภายในสองวัน ก็คงติดคุกหัวโตกันบ้าง หันหน้าไปพึ่งใครเข้าก็เบือนเป็นแถว (อีตอนพึ่งเราละวิ่งเข้าใส่...)
    หมดท่าเข้าจริง ๆ อาตมาก็พึ่งลูกแก้วของหลวงพ่อ นำลูกแก้วมาตั้งเฉพาะหน้า แล้วอธิษฐานขอเอาดื้อ ๆ จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจภาวนา ผลที่ออกมาเหลือเชื่อ คือมีผู้ให้ยืมเงินจำนวนสองแสนบาท โดยที่คนให้ยืมนั้น เคยเห็นหน้าอาตมาครั้งเดียวเท่านั้นเอง...!
    ผู้ที่ได้แก้วมณีรัตนะรุ่นแรก (แก้วเด็กเล่น) ไป ถึงได้หวงกันเป็นนักหนา ถึงลักษณะเป็นลูกแก้วเด็กเล่น แต่อานุภาพไม่ได้ล้อเล่นด้วย ท่านปู่พระอินทร์บอกว่าอานุภาพเกือบเท่าของจริงเลยทีเดียว (มิน่าล่ะ...ขออะไรได้อย่างนั้นเลย...)
    แก้วมณีรัตนะรุ่นแรกนั้น อาตมาได้รับจาก หลวงปู่มหาอำพัน โดยที่ผู้ได้รับพร้อมกันมี พี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) เกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ต่างคนต่างรักษายิ่งกว่าชีวิต เพราะของดีของมงคลที่รับจากมือครูบาอาจารย์แบบนี้ ใช่ว่ามีกันทุกบ่อยเสียเมื่อไร รับจากคนอื่นอาจเป็นของปลอมก็ได้ใครจะรู้...!
     
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พบพระองค์ที่ ๑๑


    หลังจากที่ “พระองค์ที่ ๑๐” เสด็จมาโปรดลูก ๆ ของหลวงพ่อ จนเกิดเรื่องราวกันวุ่นวายใหญ่โต หลวงพ่อก็สร้างศาลาที่โคนโพธิ์ริมน้ำประดิษฐานรูปหล่อของพระองค์ที่ ๑๐ และยังให้ช่างปั้นรูปหล่อของ “พระองค์ที่ ๑๑” ไว้บูชาคู่กันด้วย...
    หลวงพ่อเล่าว่า พระองค์ที่ ๑๑ นั้น ประกอบด้วยบุญญาบารมียิ่งกว่าพระองค์ที่ ๑๐ เสียอีก และในงาน เป่ายันต์เกราะเพชร ปลายปีนี้พระองค์ที่ ๑๑ รับปากว่า จะเสด็จมาโปรดลูก ๆ ของหลวงพ่อ เช่นเดียวกับพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง...
    พอศาลาและรูปปั้นของท่านสร้างเสร็จ อาตมาก็บอกบุญพวกพ้องทั้งหมด ให้ร่วมกันซื้อเก้าอี้นวมถวายท่าน ได้นัน (นันฑิญา เหลืองถาวรกุล) เจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ขายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษ แถมขนมาส่งให้จนถึงที่อีกด้วย...
    โส่ย (จันทกานต์ ตรีอุดมสิน) ถักหมอนอิงใบโตให้พวกเรา นำทั้งเก้าอี้และหมอนอิงสีขาวเข้ากันทั้งชุด ไปตั้งถวายเป็นพุทธบูชา ที่เบื้องหน้ารูปปั้นของท่าน อธิษฐานด้วยความปลื้มใจว่า “เมื่อท่านเสด็จมาโปรด ขอโอกาสให้ลูกได้พบด้วยเถิด...”
    พรรคพวกพี่น้องตามกันเป็นโขยง เพราะทุกคนเกิดความมั่นใจว่า อาตมาจะต้องเป็นคนพบพระองค์ที่ ๑๑ อย่างแน่นอน ก่อนงานสองวัน อาตมานำพี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) เกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) พร (ชยาพร ลี้ประเสริฐ) ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา) และลูกสาวคนโตที่เพิ่งหัดหนีเที่ยวของอาตมา คือ ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ไปวัดด้วยกัน...
    ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ คาราวานรถเทรลเลอร์ บรรทุกพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๙ นิ้ว เกือบ ๓๐๐ องค์ มาจากพิจิตร อาตมาและลูก ๆ ทั้งหลายของหลวงพ่อ ช่วยกันขนลงไปไว้ที่ใต้อาคาร โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา รอบรรดาโรงเรียนต่าง ๆ มารับแจก...
    เขาใช้เวลาขนขึ้นนานเท่าไรไม่รู้ แต่พวกเราช่วยเฮพักเดียวก็เรียบร้อย ยิ่งองค์หลวงพ่อลงไปบัญชาการเอง พวกเราก็ทำงานกันแบบลืมเหนื่อย ทั้งลูกหญิงลูกชายแข่งกันขนแบบไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย (ต่อหน้าพ่อต้องเก่งไว้ก่อน...)
    หลังงานขนพระแล้ว อาตมาก็นำพรรคพวก ตะลุยหา พระองค์ที่ ๑๑ รอบวัด จะมืดค่ำขนาดไหนไม่สนใจทั้งนั้น ลุยกันป่าราบเป็นแถบ ๆ งูเงี้ยวเขี้ยวขอเผ่นกันกระเจิง เพราะมีคนยกขบวนตามมาเป็นสิบ ๆ งานกวนข้าวทิพย์ก็กำลังสนุก ซ้ำมีคนมารายงานว่า ได้พบกับหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ด้วย พวกเรายิ่งลุยกันชนิดสุดแรงบ้าเลยล่ะ...
    เกือบเที่ยงคืนถึงยอมแพ้ กลับไปนอนหมดแรงที่อาคาร ๑๗ ห้อง เก้าคนนอนหัวชนกันเป็นลูกระนาดเลย ติ๋วซึ่งอุ้มแตงท้องโย้ นอนติดกับอาตมาตรงประตู แถมออกคำสั่งด้วยว่า “ดึก ๆ เขาจะปลุกไปเป็นเพื่อนตอนลุกไปห้องน้ำนะ...” เฮ้อ...ทำไมถึงต้องเป็นเรา...?
    ประมาณตีสาม อาตมาตื่นขึ้นมาตามความเคยชิน ลืมตาขึ้นมาก็งงเป็นไก่ตาแตก เรามานอนอยู่กลางแจ้งตั้งแต่เมื่อไรหว่า...? รอบตัวว่างโล่งไปหมด ทั้งหอพระ ตึกธัมมวิโมกข์ โบสถ์ หอนาฬิกา ศาลานวราชบพิตร ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด...!
    ฝั่งตรงข้ามที่เป็นวัดเก่านั่นเอง เทวดาองค์มหึมายืนตระหง่านค้ำฟ้า กายสีขาวสว่างจ้าอย่างกับเพชร นั่นท่านปู่มหานาคานี่นา ท่านปรากฏกายด้วยเหตุใดกัน...? ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด สิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา...!
    ประกายสีทองเจิดจ้าแพรวพราว ราวกับจะข่มทุกอย่างให้หมองราศี ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าตะวันออก แล้วเลื่อนลอยเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่ม ผิวพรรณสีทองอร่ามตา ยิ้มแย้มแจ่มใสสวยงามจนบอกไม่ถูก...!
    รูปร่างท่านคล้ายกับหลวงปู่ปานตอนหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด ภิกษุผู้ปรากฏกายอย่างพิสดาร กล่าวกับอาตมาว่า “ลูกเอ๋ย...อย่าไปเดินหาพ่อแบบนั้น มันอันตรายนะลูกนะ ถ้าอยากพบพ่อจริง ๆ พรุ่งนี้ให้ไปกราบรูปปั้นของพ่อที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ หรือไปกราบหลวงพ่อของเจ้า พ่อจะอยู่แค่สองที่นี้เท่านั้น อย่าลืมนะลูก...”
    พอจบคำท่านก็ลอยหายลับไปทางเดิม ท่านปู่มหานาคาก็หายวับไปกับตา หมู่ตัวอาคารต่าง ๆ ปรากฏพรึ่บขึ้นมาอย่างเดิม กลายเป็นอาตมานั่งอยู่ในห้องพัก รอบข้างเพื่อน ๆ ยังหลับเหมือนสลบไสล ไม่มีใครตื่นขึ้นมาร่วมรับรู้ด้วยซักคนเดียว...
    เช้ามืด...อาตมารีบไปยังใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวใครเลย พอไปเกือบถึงหน้ารูปปั้นของท่าน อาตมาก็เห็นพระภิกษุองค์หนึ่งห่มจีวรสีเหลืองอร่าม นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมอย่างสบายใจ อาตมาโมโหแทบไฟแล่บ “พระที่ไหนนะ...? ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเลย...!”
    ตรงเข้าไปจะต่อว่า ที่ท่านบังอาจมานั่งบนที่บูชา พอเข้าไปถึงก็ต้องขยี้ตาตัวเอง ไม่เห็นมีใครซักคน แล้วเมื่อกี้ใครกันล่ะ ? เก้าอี้และหมอนอิงต่างก็เป็นสีขาว ไม่มีทางที่จะตาฝาดเห็นเป็นสีเหลืองไปได้ อาตมาขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบกราบลงแทบไม่ทัน...
    ไม่กล้าบอกกล่าวกับใครเลย เพราะเหตุการณ์ทั้งเมื่อคืนและตอนเช้า อาตมาพบเห็นอยู่คนเดียว ไม่มีใครช่วยเป็นประจักษ์พยาน จึงไปช่วยงานที่ ศาลา ๔ ไร่ ผู้คนแห่กันมาในงานเป่ายันต์แน่นไปหมด ช่วยเขาจัดระเบียบแถวเข้าถวายสังฆทานเสียแทบแย่...
    การเป่ายันต์รอบแรกผ่านไป บรรดาผู้ที่ถูกของไสยศาสตร์มาต่างดิ้นกันแทบศาลาถล่ม พอการเป่ายันต์รอบสองจบลง กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ ได้ยินเสียงหลวงพ่อถามว่า “เออ...เมือคืนมีใครพบพระองค์ที่ ๑๑ บ้างหว่า...?”
    อาตมาได้แต่รับว่า “ผมครับ” อยู่ในใจ เพราะไม่มีใครเป็นพยาน เลยไม่กล้าเสนอหน้า กลัวโดนตะพด เสียงหลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า “เมื่อคืนพระองค์ที่ ๑๑ ท่านมาตอนตีสาม ท่านตั้งใจให้เห็นทุกคน ถ้าใครไม่หลับรับรองว่าได้พบท่านแน่...!”
    “ตอนนี้ท่านคุมฉันอยู่ และอยู่ที่โคนโพธิ์ริมน้ำอีกแห่งหนึ่ง ใครเป่ายันต์แล้วจะไปกราบท่าน ก็ข้ามไปที่ฝั่งวัดเก่านะ...” อาตมาแทบเขกกบาลตัวเองด้วยความเจ็บใจ พบกับท่านจัง ๆ ถึง ๒ วาระด้วยกัน แต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย...!
    กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมพระองค์ท่านไม่เสด็จมาแบบพระองค์ที่ ๑๐...? หลวงพ่อตอบว่า “ท่านกลัวพวกแกไม่ยอมปล่อยให้กลับเหมือนพระองค์ที่ ๑๐ เลยต้องมาแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพวกแกก็สร้างกรรมกับท่านแบบพระองค์ที่ ๑๐ อีก...!”
    มือลูกสิบนิ้ว ยกขึ้นเหนือคิ้ว
    ต่างธูปเทียนทอง
    มุ่นมวยเกศา ต่างมาลากรอง
    ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวาย
    ผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุเมศ
    บัวทองพรรณราย
    วาจาเพราะพร้อง ต่างละอองจันทร์ฉาย
    ขอน้อมถวาย บูชาทรงธรรม์
    ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  8. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    แหวนจักรพรรดิ

    ปลายปี ๒๕๒๙ มีผู้นำเพชรที่ขุดได้ที่ เขาพระงาม จ.ลพบุรี มาให้หลวงพ่อดู เป็นเพชรที่เปอร์เซ็นต์เนื้อสูงมาก เกือบจะเป็นเพชรแท้อยู่แล้ว อาตมาลองกรีดกระจกดู ผลคือ ตู้กระจกพังไปเลย..!
    หลวงพ่อถามว่า ถ้าต้องการเป็นจำนวนมาก เพื่อจัดสร้างเป็นวัตถุมงคล จะหาให้ได้หรือไม่...? เขาบอกว่าได้ พวกเราต้องการทราบว่าหลวงพ่อจะสร้างเป็นอะไร ในที่สุดก็ออกมาเป็นแหวน มีชื่อว่า “จักรพรรดิ”...
    ในพิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อเล่าเหตุมหัศจรรย์ให้ฟังว่า การปลุกเสกทุกครั้ง อานุภาพที่คลุมลงบนวัตถุมงคล จะเป็นละอองแก้วบาง ๆ เท่านั้น แต่คราวนี้ประกายแก้วหนาทึบจนมองไม่เห็นโต๊ะหมู่บูชาเลย...
    ยิ่งกว่านั้นคือ หลวงพ่อเริ่มพิธีหลังสามทุ่ม พอหลับตาลงจิตก็รวมดิ่งเป็นหนึ่งเดียว รู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว แต่พอลืมตาขึ้นมา ตีสี่พอดี...! คืนต่อมาเริ่มเหมือนเดิม ลืมตามาตีสาม...! ท่านบอกว่าเหมือนนั่งครู่เดียวจริง ๆ...
    “ตั้งแต่ป่วยมาหลายปีแล้ว เพิ่งมีครั้งนี้แหละ ที่จิตรวมตัวได้เต็มอัตราขนาดนี้...” เรื่องอานุภาพไม่ต้องพูดถึง ปกติน้อยครั้งที่หลวงพ่อจะกล่าวถึงสรรพคุณของวัตถุมงคล แต่คราวนี้ท่านบอกว่า “พระควรจะมีติดตัวไว้...”
    พระเจ้าจักรพรรดิสามารถเลี้ยงคนทั้งโลกได้อย่างไร ต่อไปภายหน้า หากพระต้องย้ายแยกกันไป เป็นผู้นำแก่หมู่ชนที่ใด จะได้เลี้ยงดูญาติโยมและศิษย์ทั้งหลายได้ ไม่มีการอดอยากขาดแคลน เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิฉันนั้น อยากได้นะอยากอยู่ แต่ราคามันแพงนะซิ...
    เรือนแหวนเป็นทอง ใต้ท้องแหวนสลักนามหลวงพ่อในขณะนั้น คือ “พระสุธรรมยานเถระ” หัวแหวนเป็นเพชรเรียงสามเม็ด เม็ดใหญ่อยู่กลาง เม็ดรองอยู่สองข้าง เพชรนี้มีเทวดารักษาเม็ดละ ๑ องค์เลยเลยทีเดียว...
    “พระ” ท่านให้กำหนดราคาสามเท่าของราคาทองคำ เพื่อนำเงินส่วนกำไรไปสร้างมณฑปแก้ว ราคาทองประมาณ ๒,๒๐๐ บาท สามเท่าก็ตก ๖,๖๐๐ บาท นับว่าแพงมาก จัดเป็นวัตถุมงคลราคาแพงที่สุดเท่าที่หลวงพ่อเคยมีมา ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน เพราะปกติราคายืนพื้นที่ ๑๐ บาท...!
    แต่แปลก...ราคาแพงปานนั้น คนกลับแย่งกันจองเหมือนได้เปล่า จ่ายมัดจำก่อน ๒,๒๐๐ บาท ของจะได้เมื่อไรก็ไม่รู้? ขนาดนั้นบัญชีรายชื่อยังยาวเหยียด และมีไม่น้อยที่สั่งหลายวง จะเผื่อคนอื่นหรือของตนเองก็ไม่อาจจะทราบได้...
    สำหรับพระนับว่าน่าเห็นใจ จะหารายได้มากมายแบบนั้นมาจากไหน หลวงพ่อเลยอนุญาตพิเศษ คิดราคาทุนเฉพาะพระ คือ ๒,๒๐๐ บาท สั่งได้องค์ละ ๑ วงเท่านั้น ใครสละสิทธิ์ ห้ามองค์อื่นใช้สิทธิ์แทนเป็นอันขาด ผู้ใดสวมสิทธิ์เจออาบัติปาราชิก...!
    อาตมาได้รับความเมตตาจากน้องสาวคนเล็กของ หลวงปู่มหาอำพัน คือ น้านิล (คุณนิลประไพ บุญ-หลง) น้านิลท่านสงสารพระจะผอมตายซะก่อน เลยช่วยจ่ายค่าแหวนให้ นับเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้...
    ตั้งแต่ได้แหวนจักรพรรดิมา เรื่องลาภผลมีความคล่องตัวจริง ๆ อาตมาสามารถถวายสังฆทานชุดละ ๑ พันบาท ได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละชุดบางเดือนถึง ๔ – ๕ ชุด แล้วยังการทำบุญอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน เรียกว่าถ้าสะสมเงินเป็นซะหน่อยเดียว แค่ปีสองปีก็รวยอื้อแล้ว...!
    อาตมามีดวงสมพงษ์กับผีมาก ไม่ว่าจะไปไหนเป็นต้องถูกผีหลอกเสมอ กลางปี ๒๕๓๐ อาตมาย้ายมาเข้าเวรหน้าตึกของหลวงพ่อจำต้องย้ายที่อยู่จากป้อมตะวันออก มาพักที่ตึกกองทุน ฝั่งวัดเก่าแทน...
    ตึกกองทุนนั้น เดิมเป็นที่ตั้งของกุฏิเจ้าอาวาสองค์ก่อน หลวงพ่อทำตะกรุดแจก คนแย่งกันรับจนกุฏิพัง หลวงพ่อเลยสร้างใหม่ กลายเป็นตึกกองทุนในปัจจุบัน เคยเป็นที่หลวงพ่อรับแขกอยู่ระยะหนึ่ง มีชื่อเสียงทางผีดุเป็นพิเศษ...ฮ่า...!
    มีโครงกระดูกเก่า ๆ อยู่ในตึกโครงหนึ่ง อาตมาเห็นไม่มีใครสนใจเลยเอาไปไว้ในห้องด้วย ผลคือคุณเธอมาหานะซิ...! ยังดีที่มาแบบสวยงาม รายต่อมาคือนาฬิกาปลุกประจำตัว ถ้าถึงเวลากรรมฐานแล้วยังนอนละก็ เคยหวดอาตมาด้วยกระบองจนดาวกระจายว่อนมาแล้ว โหดชะมัดเลย...!
    อีกรายมาเป็นชุด เป็นพวกหมอศัลยกรรม หามศพเข้ามาวางข้าง ๆ อาตมา จัดการผ่าอุตลุด หั่นให้ดูทีละชิ้น ทีละชิ้น เลือดนองพื้นไปหมด กลิ่นคาวแทบอาเจียน พอทนไม่ไหว แกก็หายวับไปทั้งกลุ่ม...เฮ้อ...รอดตายไปที...!
    โดนแบบนี้ก็ไม่ว่ากันหรอก ถือว่ามาดี มาช่วยให้เข้าถึงธรรมเร็วขึ้น แต่ไอ้ประเภทที่มาร้ายนี่ซิ โดนเข้าทีเข็ดไปนานเลย ตอนนั้น อาตมาตื่นมาภาวนาตอนตีสาม พอถึงตีห้าชักเมื่อย เลยคิดจะนอนภาวนาแทน...
    พอเอนตัวลง ดึงผ้าห่มคลุมออก ผีผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ขนาดเด็ก ๕ – ๖ ขวบ กระโดดติดผ้าขึ้นมาเลย คว้าคออาตมาได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาบีบ...บีบ...บีบ...ไม่รู้ว่าโกรธแค้นกันมาแต่ปางไหน เห็นตัวเล็กแค่นั้นมือหนักชะมัดญาติ อย่างกับถูกบีบด้วยคีมเหล็กก็ไม่ปาน...!
    อาตมาดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด ลมหายใจเหลือนิดเดียว จะขาดใจอยู่รอมร่อแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่า เราพกแหวนจักรพรรดิอยู่ในกระเป๋าอังสะแท้ ๆ ยายผีนี่นั่งทับแหวนอยู่เลย ทำไมแหวนถึงไม่ช่วยเรานะ...?
    พอคิดว่าทำไมแหวนไม่ช่วยเท่านั้นเอง ก็มีประกายสว่างวาบอย่างกับฟ้าแลบ สีขาวเจิดจ้าหมุนคว้างเต็มไปทั้งห้อง ยายผีเด็กและองครักษ์ที่ยืนประจำสี่มุมห้อง ป่นเป็นผุยผงแหลกราญไปในพริบตา...!
    โอ้โฮ...! อานุภาพแหวนจักรพรรดิ ร้ายกาจถึงปานนี้เชียวหรือ...? ยายผีนั่นจะแหลกหาซากไม่เจอขนาดไหนก็ช่างเถอะ สมน้ำหน้ามันเสือกมาบีบคอเรา แต่องครักษ์ทั้งสี่นั่นซิ...เทวดาทั้งนั้นนะ...!
    อาตมากำหนดจิตเรียกสักเท่าไร สี่องครักษ์ก็ไม่เห็นกลับมา แม้จะจุดธูปขอขมาก็แล้ว สัญญาว่าจะไม่เผลอใช้แหวนจักรพรรดิอีกก็แล้ว หายเงียบเรียบร้อย คงหลบไปรักษาตัวกระมัง...? ถ้าเป็นคนคงเจ็บปางตายทีเดียว...
    จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ สามปีเข้าไปแล้ว จะหาผีสักตัวมาแผ้วพานที่ตึกกองทุนก็แสนยาก โธ่...เขาผิดไปแล้วจริง ๆ ...ขอร้องล่ะ...กลับมาเถอะนะ คราวนี้จะอัดหนักขนาดไหนก็ยอมล่ะ...ช่วยกลับมาหลอกทีเถอะ...ผีจ๋า...!
    ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  9. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปลุกตัวเอง


    ตอนเด็กอยู่นั้น ทางบ้านของอาตมา เขามีการปลุกตัวเองในหลายรูปแบบ ไม่ใช่การปลุกให้ตื่นจากหลับนะจ๊ะ หากแต่เป็นการทดสอบเครื่องรางของขลังว่า มีอานุภาพเป็นประการใด และการปลุกอีกแบบหนึ่ง เป็นการกระทำเพื่อดูนรก – สวรรค์...
    การทดสอบอานุภาพของขลังนั้น เขาจะให้คนที่ต้องการทดลองกำของขลังชิ้นนั้นไว้ ภาวนาคาถาอะไรก็ไม่ทราบ เห็นหลับตาเฉยไปครู่หนึ่ง แล้วร่างกายจะค่อย ๆ สั่น แรงขึ้น...แรงขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีกระโดดโครม ๆ เรือนแทบทรุด...!
    บางรายไปสักมาจากอาจารย์ดัง ๆ มีการทดสอบด้วยการปลุกตัวบ่อย ๆ นัยว่าเพื่อเพิ่มความขลัง ก็ปลุกขึ้นดี แต่เวลามีเรื่องกัน เห็นถูกเหยียบหามมาเหมือนกัน ได้ยินว่า ถ้าไม่ใช่ครูเผลอหลับ ก็คงเป็นว่าของมันขึ้นแต่เวลาปกติจนชิน ถึงเวลาฉุกเฉินเกิดถ่านหมด เลยงอมพระรามกลับมา...!
    ส่วนการปลุกตัวเพื่อดูนรก – สวรรค์นั้น เขามักจะทำกันเวลามีคนตาย และทำกันในหมู่คนจีนเป็นส่วนใหญ่ ดูวิธีการคล้ายกับการเข้าทรง พอสั่นได้ที่คราวนี้อยากรู้ว่านรก – สวรรค์ เป็นอย่างไร ญาติพี่น้องตายแล้วไปไหน เชิญถามได้เลย...
    บางคนปลุกแรงไปหน่อย เอามือตีอกหรือหน้าขาตัวเองจนช้ำไปหมด มาภายหลังอาตมาเห็นการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังของ “หลวงพ่อ” แล้ว เหมือนกับการปลุกตัวแบบนี้เปี๊ยบเลย ของจีนกับไทยทำไมเหมือนกันได้ก็ไม่รู้...?
    วันหนึ่ง...หลวงพ่อรับแขกที่ศาลานวราชบพิตร ท่านได้เล่าเรื่องที่ท่านทดลอง คาถาหัวใจปลาไหลเผือก โดยให้เด็กอายุ ๔ – ๕ ขวบภาวนาคาถา พอคาถาขึ้นก็ให้ผู้ใหญ่ช่วยกันจับ ปรากฏว่าผู้ใหญ่ ๕ – ๖ คน จับไม่ติด เด็กมันลื่นเป็นปลาไหลจริง ๆ...
    เอ๊ะ...น่าเล่นนี่ อาตมาจึงกราบขอคาถานี้กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่า “ไม่ได้...ลูกข้าหนีเขาก็ขายหน้าหมด มันต้องสู้ถึงจะใช้ได้...! เอาคาถาหัวใจหนุมาน ดีกว่าลูก ถ้าทำขึ้น ต่อให้มาเป็นร้อยก็สู้เขาได้สบาย...”
    แล้วหลวงพ่อก็เล่าสรรพคุณคาถาหัวใจหนุมานว่า สมัยท่านอยู่ตลิ่งชัน ท่านกับเพื่อนเห็นกับตา หมอแผนโบราณท่านหนึ่ง รักษากำนันอิทธิพลแล้ว ค่ารักษาไม่ได้ไม่ว่า แต่ค่าบูชาครูต้องมี เมื่อกำนันไม่ให้ก็ใช้ลูกศิษย์มาทวง...
    เงินบูชาครูไม่กี่สตางค์ แต่คนพาลซะอย่าง นอกจากจะไม่ให้แล้ว ยังสั่งลูกน้องรุมตีเขาอีก เปรี้ยงเดียวจากคมแฝกไม้จริง ไอ้หนุ่มลูกศิษย์คุณหมอก็ปลิวติดรั้ว พอไม้สองซ้ำตูมเข้าให้ ก็ได้เรื่องทันที...!
    ร่างที่ตามปกติต้องม่อยกระรอกแน่นอน กลับหมุนควับกลับมาพร้อมกับซอไม้ไผ่ที่ถอนจากรั้ว ตะลุยเข้ากลางหมู่ศัตรู ตีกระจุยเลย ผลัวะไหนผลัวะนั้นไม่มีพลาด ฝ่ายตรงข้ามตีมาเท่าไรหลบได้หมด ลิงที่ว่าไวยังอาย...!
    หลวงพ่อกับเพื่อนที่เตรียมช่วยก็เลยได้แต่ยืนดู พอนวดลูกน้อง กำนันหมอบกระแตดีแล้ว ไอ้หนุ่มก็ทวงค่าบูชาครูซะใหม่ คราวนี้กำนันรีบให้แฮะ ไม่งั้นร่างที่นอนหาระเบียบไม่ได้บนพื้น คงเพิ่มกำนันผู้ยิ่งใหญ่อีกคนแน่ ๆ ...!
    พอตามไปถามดูก็ถึงบางอ้อ ไอ้หนุ่มบอกกับหลวงพ่อและเพื่อนว่า พ่อหมอทราบอยู่แล้ว ว่าถ้ามาต้องมีเรื่อง เลยให้เขาปลุกคาถาหัวใจหนุมานจนขึ้นดีแล้วค่อยมา พ่อลูกน้องกำนันรุมตี ผลก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ...
    อีกครั้งหนึ่ง...หลวงพ่อกับเพื่อนได้รับคำสั่งให้ไปปราบโจรที่ไหน อาตมาจำไม่ได้แล้ว พอดีฝนตกก็เลยเข้าไปนั่งหลบฝนในร้านกาแฟ ในนั้นมีเจ้าถิ่น ๓ – ๔ คนเมาเหล้าตาขวางอยู่ก่อนแล้ว แต่หลวงพ่อไปหลายคนเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง...
    สักครู่ก็มีหนุ่มต่างถิ่นเดินตากฝนมา ขอซื้อเหล้าดื่มแก้หนาวถ้วยหนึ่ง แล้วออกเดินทางต่อ บรรดาเจ้าถิ่นเห็นเหยื่อมาเดี่ยว ได้โอกาสระบายความคลั่งของตน ก็ถือไม้คมแฝกบ้าง ตะพดบ้าง ไล่ตี...
    หนุ่มต่างถิ่นวิ่งหนีแต่ไม่พ้น โดนฟาดตูมเข้าท้ายทอยตะครุบกบแน่นิ่ง อีกรายหวดซ้ำที่กลางหลัง อย่างกับปาฏิหาริย์...ไอ้หนุ่มต่างถิ่นเด้งติดไม้ขึ้นมา หันหน้าจมูกชนกับคนตีแล้วหันหลังเดินไปหน้าตาเฉย...!
    คนตีทรุดฮวบคว่ำกับพื้น เพื่อน ๆ พลิกตัวหงายขึ้นมาแล้วครางฮือ...! เก้ารูจากสะดือถึงคอหอย ไอ้หนุ่มต่างถิ่นชักมีดเหน็บแทงเอาเมื่อไรดูไม่ทัน ตายขาดชนิดไม่ได้ร้องซักแอะ ถ้าตามไปอีกก็คงตายหมดแน่ ๆ ...!
    “ลักษณะโดนซ้ำแล้วสวนทันที คือลักษณะของคนเล่นคาถาหัวใจหนุมาน ถ้าซ้ำของจะขึ้น คราวนี้ทั้งไวทั้งเหนียวมาเท่าไรก็ไม่เหลือ...” “แล้วถ้าไม่ซ้ำละครับ” “ก็น้ำค้างตกนั่นแหละถึงจะฟื้น” โธ่...แบบนี้ไม่เอาละครับ...
    เกิดทำคาถาขึ้นดี ถูกเพื่อนแกล้งเตะเบา ๆ ก็ไปฟื้นเอากลางดึกแบบนี้ไม่ไม่ไหวครับ...เอาคาถาอื่นดีกว่า หลวงพ่อหัวเราะชอบใจ บอกวิธีเล่นสนุกวิธีใหม่ เป็นการปลุกตัวเองแบบทดสอบอานุภาพวัตถุมงคล...
    ให้เอาของกำไว้ในมือ ทำใจสบาย ๆ ว่าคาถา “สุนักขัตตัง สุมังคะลัง” ไปเรื่อย ถ้ากำลังใจได้ที่ของจะขึ้น อาการที่แสดงออกจะทราบได้ทันทีว่าของชิ้นนั้นทำมาด้านไหน จะเป็นมหาอุตม์ คงกระพันชาตรี หรือ เมตตามหานิยมก็สังเกตุเอา...
    อาตมาได้คาถาและวิธีการมาแล้วก็ลองทันที เอาพระของหลวงพ่อใส่มือ ทำใจสบาย ๆ ว่า สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ไปเรื่อยประมาณ ๓๐ นาที ก็ได้เรื่อง มือมันค่อย ๆ สั่น จากเบาเป็นแรงขึ้นเรื่อย จนตีอกตัวเองดังป้าบ ๆ เลย...!
    อยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้ พอบังคับหยุดมันเหมือนมีแรงฝืน ดึงมือเราไปเขย่าจนได้ เหนื่อยแทบขาดใจ พอดิ้นหลุดเอาพระออกก็หยุดสั่น พอจับพระใหม่ก็สั่นทันที ต้องรีบวาง กลัวจะเหนื่อยตายซะก่อน...!
    พอหายเหนื่อยก็ลองใหม่ คราวนี้ใช้สมเด็จวัดระฆัง พอขึ้นปุ๊บมือทั้งสองคล้ายมีคนดึง มันค่อย ๆ พุ่งขึ้นฟ้า แทบจะฉุดเอาตัวลอยขึ้นไปทั้งตัว เอ๊ะ...? อานุภาพไปคนละทางกันจริง ๆ ลองกับพระของหลวงปู่บุดดา ปรากฏว่ามือทั้งสองค่อย ๆ แกว่งไปทางซ้าย – ขวา อย่างช้า ๆ ดูนิ่มนวลมาก ถ้าจีบมือซะหน่อยคงเป็นท่ารำไทยไปเลย แสดงออกถึงความเมตตาที่ชุ่มเย็นอย่างชัดเจน...
    พอทำขึ้นคราวนี้จับองค์ไหนก็ขึ้นหมด ถึงขนาดนอนนึกก็ดิ้นโครม ๆ ซะแล้ว ใจหนึ่งอยากลองภาวนาคาถาหัวใจหนุมาน อีกใจก็ค้านว่าอย่าดีกว่า ไปนอนให้เขาหาม มันไม่เข้าท่าแน่ และที่ไม่ลืมเด็ดขาดคือ จะไม่เผลอเอาธงมหาพิชัยสงครามมาปลุกเด็ดขาดกลัวตายก่อนอายุขัย...!
    นอนสั่นอยู่หลายวันจึงเข้าใจ ว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นแค่อุปจารฌานเท่านั้น ถ้าเรากำหนดจิตให้สูงกว่านั้น อาการสั่นก็จะหายไปเอง เฮ้อ...กว่าจะเข้าใจก็นอนดิ้นซะตึกแทบพัง เหนื่อยจะตายชัก...!
    ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ไม่ได้เข้ามา2วันแล้วครับ
    ขอเชิญท่านทั้งหลายมาอ่าน หรือมาเเชร์ หรือบอกข่าวอะไร..ก็เชิญได้นะครับ
    แล้วผมจะเอาเรื่องสนุกๆได้บุญได้ความรู้มาลงเรื่อยๆนะครับ
    ผมเข้ามาก็เห็นพี่ๆน้องๆ มาตามอ่านอยู่หลายๆท่านเหมือนกันครับเเต่ไม่เห็นมีใครยอมแสดงตัวหรือทักทาย ฝากลายพิมพ์เอาไว้เลยครับ เเต่ไม่เป็นไรครับ
    เดี๋ยวผมค่อยมาลงใหม่นะครับ
     
  11. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    สาธุจ้า พี่ก็ไม่ได้แวะเข้ามาเยี่ยมหลายวันเหมือนกัน ขอโมทนาในบุญกุศลคุณความดีงามทั้งหมดทั้งมวล
    ของน้องpromwihar และทุกๆท่านด้วยนะคะ(f)
     
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ประสบการณ์ตรง สดๆร้อนๆ ครับ คือเมื่อวันที่12/08/55 กลางดึกครับ

    คือเมื่อวันที่12/08/55นี้ผมไม่ได้สวดมนต์2 ทุ่มครึ่งครับ เพราะอยู่เวรตั้งเเต่หกโมงเย็น-เที่ยงคืน
    เเต่ผมก็สวดตอนกลางวัน
    พอเลิกเวรผมกลับบ้านดูเน็ตหน่อยนึง คือจิตไม่ได้มีสมาธิอะไรครับ
    เสร็จก็อาบน้ำนอน ผมนอนซักประมาณตี1 เเล้วครับ คือไม่ง่วงด้วย
    ผมปิดไฟนอน แต่ไฟห้องพระก็สว่างทะลุมาจากบานเกร็ดผมไม่ได้ลงม่าน (เเละเดี๋ยวนี้ไฟห้องพระผมจะเปิด เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา ศังฆะบูชา 24 ชั่วโมง)พอผมล้มตัวนอนไม่กี่นาที ตัวเริ่มเเข็ง ตายังไม่ได้ปิด ทีนี้ขาผมค่อยๆยืดยาว แล้วจะลอยๆ ไร้การควบคุม หูนี่ได้ยินเสียงวิ๊งๆๆๆๆๆ คือเวลาจะมีอะไรพพิเศษผมจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ขนาดนั่งอ่านหนังสือยังเป็นครับ
    ซักพักผมกวาดตารอบๆว่าวันนี้ใครจะมาก็ไม่เห็นใคร ผมจึงนึกในใจว่า ผมรู้แล้วว่าคุณอยู่ ผมเห็นคุณแล้วว่าคุณมา ...ไปเถอวันนี้ผมจะนอน(ผมมั่วไปงั้นที่จริงไม่เห็นอะไร
    อาการคงเดิม แต่ถ้าผมเอาใจไปภายนอกเกินไปก็จะหลุด(คือหายจากอาการนั้น เราก็ยังลืมตาอยู่เเต่อาการนั้นไม่มี)หากอยากกลับไปอาการนั้นอีกคือเมื่อหลุดออกมา เราอยากเข้าใหม่ ก็อย่ากระดุกกระดิกตัวแรงอย่าเปลี่ยนท่า หลุดปุ๊บทำอารมเดิมโดยเร็วโดยอัตโนมัตคือถ้าหลุดปุ๊บ ไม่ต้องคิดอะไร ทำหัวว่างๆทำเหมือนเวลาเราจะหลับก็เข้าได้เองเเค่ วินาทีเดียวครับ
    แรกๆผมจะนอน..แม้ไม่ง่วงเพราะมันดึกเเล้ว
    เเต่พอจะหลุดผมเสียดายผมเข้าใหม่2-3รอบ พอมันเข้าเต็มตัว เเน่ใจว่าไม่หลุดผมจึงจับคำภาวนา เดี๋ยวนี้ผมจับไตรสรณคม เเต่เมื่อคืนไม่ทราบจับองค์อะไร
    จับไปแป๊บเดียว(อย่างมีสตินะ ตายังลืมอยู่เลยมองเเสงในห้องพระ แป๊บเดียว ผมไปโผล่ที่วัดถ้ำเมืองนะ รู้สึกว่าไม่เห็นใครนอกจากหลวงตาม้าองค์เดียว หลวงตาม้าที่ผมเห็น ท่านสูงนะ สูงใหญ่ ท่านเดินมาที่ผม ผมไม่ทันกราบ ท่านก็เอาบางอย่างผูกข้อมือข้างซ้ายให้ผม ที่นี้ผมก็รู้ว่าตัวผมนั่นนอนอยู่ที่บ้านเมื่อกี๊ยังไม่หลับ และที่มาที่นี่ นี่เเค่จิต เเต่คงมาไม่ถึง100%นะเพราะตัวผมที่ไปนั้นแม้ว่าจะกำหนดทำอะไรก็ได้ตามใจ เเต่ ตาของผมนั้นมองเห็นไม่ชัด เห็นเเค่ประมาณ90กว่า% ไม่ชัดเจนเหมือนตาเนื้อ ทีนี้หลวงตาเอาผ้าบางอย่างนะ หนาๆ หน่อย รู้สึกจะเป็นสีออกเหลืองอมน้ำตาล แต่จะหนักไปทางน้ำตาลนะ ห่มให้ผม คือคล้ายๆ เอามาคลุมให้หน่ะ(เพราะผมไม่ได้ใส่เสื้อไปผมนอนผมใส่บ๊อกเซ่อตัวเดียวครับ เพราะมันร้อนมากครับ
    ที่นี้ผมก็บอกหลวงตาว่าหลวงตาครับ ผมปรารถนา นิพพานในชาติปัจจุบัน หลวงตารีบตอบว่าผมพูดมาตั้งนานแล้ว หรือ พูดอยู่ตั้งนานแล้วนี่แหละครับ
    ทีนี้ท่านเดินหันหลังไปเหมือนจะไปเอาไปหยิบอะไรใกล้ๆ ผมจึงก้มลงกราบที่พื้นเพราะที่มายังไม่ได้กราบท่าน
    ที่นี้ หมาคนข้างบ้านมันมายืนเห่าที่หน้าบ้านเสียงดังมากเพราะผมปิดเเค่มุ้งลวด หนวกหูมาก(เพราะผมรู้สึกว่าผมไปแค่80-90% หากตกใจอะไรก็จะวื๊บ กลับมาทันที และก็เป็นเช่นนั้นครับ
    ผมนี่สงสัยจริงๆครับ ท่านจะบอกอะไรผมครับ
    ผมย้ำนะครับทุกอย่างไม่ได้ฝันครับผมยังไม่หลับครับ ยกเว้นผมจะบ้าเท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ซึ่งผมได้ PM ไปเล่าให้กับพี่ชายที่เคารพของผมฟัง เพื่อถามความคิดเห็น เผื่อแกบอกว่าผมบ้า และพี่ชายผมแก PM ตอบมาอย่างนี้ครับ

    ( PM จากพี่ชายผม)
    ไม่บ้าแน่นอนครับเพราะหลวงตาท่านก็มาเข้าฝันพี่หลายครั้งแล้วเหมือนกันครับ ถ้าคนไหนมีสายใยจากหลวงปู่ดู่ ท่านก็จะไปหาเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติครับ ส่วนผ้าสีน้ำตาลก็คือสีประจำวัดถ้ำเมืองนะครับ ท่านห่มผ้าสีน้ำตาลให้ก็คือท่านรับน้องเอกเป็นลูกศิษย์แล้วครับ น้องเอกเคยเห็นองค์จริงหลวงตาม้าท่านหรือเปล่าครับ ท่านตัวสูงใหญ่จริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2012
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    และพี่ชายผมแกก็ PM ตอบมาอีกว่า

    องค์จริงของหลวงตาท่านใจดีมากๆครับและที่พี่มั่นใจหลวงตาเพราะหลายปีก่อนท่านบอกว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพ พี่ไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ สุดท้ายก็น้ำท่วมหนักจริงๆ และครั้งหลังสุดที่ไปกราบท่าน ท่านบอกว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉิกให้พวกเราเตรียมตัวหนีไปที่ท่าด้วง เพชรบูรณ์สามชั่งโมงก็จะถึง ท่านได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว กรุงเทพไม่นานคงต้องจบตามที่ท่านบอกแน่นอนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กันยายน 2012
  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ขอบพระคุณครับพี่ chanakrap ผมก็โมทนากับพี่ด้วยเช่นกัน
    มีอะไรดีก็มาบอกมาเล่ากันอีกนะครับพี่chanakrap
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975


    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
    promwihar, apiluk_tarot, spharm


    สวัสดีครับทุกๆท่าน มีอะไรก็แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    คือจริงๆ แล้วบทความของครูบาอาจารย์ที่ผมลงไว้ มีทั้งธรรมมะ เพื่อจะได้เหมาะต่อแต่ละคนที่จริตไมตรงกัน แต่มีที่ตรงกันคือรักดี ครับ และก็มีความรู้ทั่วๆไปที่ครูบาอาจารย์ท่านได้บอกกล่าวเอาไว้ รู้ไว้ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ มีความรู้หลายๆด้านหลายๆเรื่องก็เป็นสิ่งดีครับ อยู่ไหนก็มีกำไรครับ ส่วนอันไหนเป็นอย่างไร ผมว่าเราทุกคนแยกแยะได้ครับ อันไหนเป็นอย่างไร เรื่องทางโลกรู้ได้เเต่ยึดติดไม่ได้ แต่รู้ได้ ถ้าไม่รู้แล้วจะเอาอะไรไปต่อสู้กับโลก กับกิเลส ในเมื่อไม่รู้เขาซะเเล้ว จะรบเขาให้ชนะนั้นมันยากครับ

    ปล.รู้ไว้หน่ะดี แต่เราไม่ไปยึดครับ
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ผู้ที่อยู่ในกระทู้ตอนนี้..พี่ , CHOLPRATAN319, nitikoon29, apiluk_tarot
    ผมต้องขอ อนุญาต ขอตัวก่อนนะครับ
     
  19. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    สาธุ สาธุ สาธุ เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ เลยนะคะเนี่ย วันหลังต้องมีอีกแน่ๆ เลย :cool:
     
  20. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่ diya
     

แชร์หน้านี้

Loading...