จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917


    [​IMG]


    อนุโสตสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉนคือ

    บุคคลผู้ไปตามกระแส ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไปตามกระแสเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    ย่อมเสพกามทั้งหลาย และย่อมกระทำกรรมอันเป็นบาป นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้ไปตามกระแส

    บุคคลผู้ไปทวนกระแส ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไปทวนกระแสเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    ย่อมไม่เสพกาม และย่อมไม่กระทำกรรมอันเป็นบาป แม้มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่
    เพราะประกอบด้วยทุกข์บ้าง เพราะประกอบด้วยโทมนัสบ้าง
    ก็ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ได้ นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้ไปทวนกระแส

    บุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้วเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    เป็นผู้ผุดขึ้นเกิด ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว

    บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบกเป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
    เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
    นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก


    ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

    ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยังไม่ปราศจากราคะ
    มีปรกติบริโภคกาม ชนเหล่านั้นแล ถูกตัณหาครอบงำแล้ว
    เข้าถึงชาติและชราบ่อยๆ ชื่อว่าไปตามกระแส

    เพราะฉะนั้น ธีรชนในโลกนี้ เป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้วไม่เสพกาม
    และไม่ทำกรรมอันเป็นบาป แม้ประกอบด้วยทุกข์ก็ละกามได้
    นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าไปทวนกระแส


    นรชนใดแล ละกิเลส ๕ ประการเสียได้ เป็นผู้มีการศึกษาบริบูรณ์
    มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา ถึงความเป็นผู้ชำนาญในจิต
    มีอินทรีย์ตั้งมั่นแล้ว นรชนนั้นแลนักปราชญ์ทั้งหลายเรียกว่าผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว


    ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล อันบุคคลใดกำจัดหมดแล้ว
    ถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีอยู่ บุคคลนั้นเป็นผู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
    ถึงที่สุดแห่งโลก นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกว่าผู้ถึงฝั่งฯ



    **พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓**
    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2012
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    จิตเครียด....
    ต้องปล่อยวางไปตามสภาวะนะครับ เป็นผู้รู้เฉยๆนะครับ
    จิตเกาพระนี้ อย่าไปบังคับ อย่าไปเค้น
    การเกาะพระนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็นภาพเท่านั้น เราสามารถระลึกให้พระอยู่กับเราก้อได้ครับ
    ผมใช้หลักนี้ตอนทำงานครับ พระอยู่ในกายเราก้อได้
    เราก้อคอยเช็คภาพบ้างเป็นระยะ เช่น หลับตาหรือลืมตาดูว่าพระยังอยู่ไหม ถ้ายังอยู่ก้อระลึกต่อไป
    แต่ถ้าหลุด เกาะท่านใหม่ครับ

    วางกำลังใจสบายๆ ไม่กดดันนะครับ กลางๆ ไม่ต้องอยากนะครับ

    สติสำคัญนะครับ ตามให้ทันทุกสภาวะที่มากระทบเรา แล้วใช้ปัญญาพิจารณาครับ

    ขอให้เจริญในธรรมนะครับ

    วิทย์ จบ.11
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนส่วนใหญ่ถ้าสติน้อยเกินไป
    จิตไม่มีทางนิ่งได้ แต่ถ้าจิตนิ่งไม่ได้หรือนิ่งไม่เป็น ผู้นั้นก็ยากจะพบกับความสุขที่แท้จริง

    พระพุทธเจ้าก็ทรงวางรากฐานในเบื้องต้นของการปฎิบัติธรรม ให้กับพวกเราไว้ทั้งหมดแล้ว
    นั่นก็คือ กรรมฐาน40กอง
    กรรมฐาน40กอง นี่คือ วิธีการเจริญสติภาวนา ก็มีวัตถุประสงค์ก็เพื่อ ทำให้/ฝึกจิตของเราให้นิ่งกันเฉยๆ เพียงเท่านี้
    พวกเราก็มาเสียเวลากันแค่ทำให้จิตนิ่งเฉยๆ บางท่านก็ใช้เวลาไม่นานนัก แต่บางท่านใช้เวลาเป็นปี บางท่านก็ทั้งชีวิต ปฎิบัติไปเถอะ คือความสงบสุขก็ไม่เกิดสักที
    มันจะเกิดไม่ได้เพราะตราบใดที่จิตตนเองยังแกว่ง ยังไหวอยู่เช่นนี้
    เพราะยิ่งถ้าคนที่ไม่ฝึกกรรมฐาฯ(การเจริญสติภาวนา) ก็ไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรอ

    เพราะฉะนั้นแล้วกรรมฐาน(การเจริญสติภาวนา) แท้ที่จริงแล้วก็เป็นแค่ทำจิตของเราให้นิ่งเท่านั้นเอง นี่แค่เบื้องต้นของการปฎิบัติธรรม(แบบจิตเกาะพระ) เท่านั้นนะ
    นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงการเจริญสมาธิ เจริญปัญญา และการเจริญวิปัสสนากันนะ
    นี่คือหนทางแห่งการเดินจิต หรือเดินอริยมรรค เพียงแต่เราจะต้องทำความเข้าใจ+ถูกต้องให้มากๆเสียก่อน เราจึงนำไปปฎิบัติกัน แต่ถ้าติดขัดในขณะที่ระหว่างในการปฎิบัติ
    ก็ค่อยมาสอบถามครูทุกท่านที่นี่กันได้

    ผมจะบอกให้คนที่ชอบเดินทางอ้อม ก็คือ มักจะสำเร็จช้า นี่แค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้นนะ
    ผู้ปฎิบัติไม่สำเร็จนี่มีอยู่หลายปัจจัย เพราะฉะนั้นครูตามแก้ให้กับพวกเราไม่ไหว
    เอาแค่ช่วยกันไปก่อน แต่ผู้ปฎิบัติจะต้องช่วยตนเองให้มากที่สุดในระหว่างปฎิบัติ

    คนเดินทางอ้อม คนขี้สงสัย คนติดตัวรู้มาก(อีโก้) คนติดกรรมเก่าโดยเฉพาะกรรมหนักๆก่อน ได้แก่ กรรมที่เคยล่วงเกิน เช่น พระรัตนตรัย ผู้มีพระคุณ ทำแท้งและผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือเจตนาที่ทำการทารุณกรรมต่างอย่างโหดร้าย
    แต่ถ้าใครรู้ว่าเคยทำผิดมาก่อนให้รีบไปแก้ไขโดยด่วน เพราะฉะนั้นถึงผู้ปฎิบัติจะมีความตั้งใจมากแค่ไหน มีความเพียรมากแค่ก็จะสำเร็จยาก ขอให้พวกเราไปแก้ไขกันซะ
    กรรมไม่มีใครแก้กรรมให้กันได้ ที่บอกนี่ให้ไปขออโหสิกรรม ขอขมากรรม และแสดงความเสียใจหรือสำนึกผิด ไปสารภาพกันในพระสมาธิ อันนี้จะดีมาก เพราะไม่มีบุญใดที่จะแผ่ผลบุญถึง หรือถึงแต่เจ้ากรรมนายเวรไม่รับ แต่บุญกรรมฐานนี้ถือว่าเป็นบุญใหญ่
    จะทำให้ผู้เคยล่วงเกินเขามาก็จะทำให้หนักมาเป็นเบากันได้ และอีกอย่างในขรธที่เราทำกรรมฐานกันอยู่นั้น ยิ่งจิตนิ่งจิตสงบมากเท่าใด เราก็ได้บุญมากเท่านั้น หรือถ้าเราแผ่ไปให้เขาเหล่าเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น เขาก็ได้รับมากและพอใจ กรรมที่เราที่เคยล่วงเกินกันมานั้น ก็อาจจะอภัยให้กันดายดาย

    อย่าลืมนะ กรรมคนเรานั้นมีด้วยกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย ปัจจัยอยู่ที่ในกรรมปัจจุบันด้วยว่า เรา(จิต)ตั้งอยู่ในบุญกุศลมากน้อยแค่ไหน อันนี้ตัวเราเองเท่านั้นก็ย่อมที่จะรู้ดี

    ก่อนปฎิบัติทุกครั้ง ขอให้สมานศีล อย่าละเลยเรื่องศีลหยาบก่อน(ศีล5)
    เพราะผู้จะเจริญทั้งหลายย่อมมีศีลบริสุทธิ์(รักษษศีลครบ)ประจำใจเสียก่อน

    สรุปแล้ว ผมพยายามเน้นพื้นฐานจิตของพวกเราให้แน่นก่อน แต่ถ้าไม่แน่นแล้ว จิตก็จะนิ่งยาก แต่ถ้าผู้ปฎิบัติจิตยังไม่ค่อยดี การพัฒนาเรื่องจิตก็ยาก
    เพราะถ้าจิตไม่นิ่ง เราก็ไม่มีทางเจริญในธรรมแน่ๆ
    ก่อนจิตจะนิ่งก็มีหลายสาเหตุดังที่ได้กล่าวไปกันแล้ว
    แต่อันดับสุดท้ายก็ขอให้พวกเราหมั่นเจริญสติภาวนากันให้มากๆ ก็คือสร้างตัวสติ หรือให้หมั่นทำความรู้สึกตัวให้มากๆ นั่นเอง

    ศีลนะ ศีล!
    สตินะ สติ!

     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เกือบจะ100% มักจะล่วงเกินผู้มีพระคุณ ได้แก่ คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่เลี้ยงดูแลเรามาตั้งแต่เติบใหญ่ และรวมไปถึงครูบาอาจารย์ด้วย(กรณีผู้ที่ทำร้ายครูกาย+ใจ รีบไปขอซะ มักมีปัญหาเรื่องการงาน แต่สำหรับพ่แม่จะมีปัญหาทุกเรื่องไป แก้ไม่ยาก ก็แค่พวงมาลัยขนาดไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กเกินไป ทุกท่านที่ไปขอขมากรรม ถือเป็นสิ่งที่ดีมากๆ และทุกท่านก็จะพร้อมให้อภัยกันอยู่แล้ว ความเจริญใกล้แค่เอื้อม แต่เราจะไปเอานิพพานกันซะไกล บุญแค่เอื้อมเรายังมองข้ามไป มองข้ามพระอรหันต์ของตนเอง เช่นคุณพ่อคุณแม่)
    ไม่มีคุณพ่อคุณแม่ที่ไหนหรอก ที่จะไม่ให้อภัยลูกๆ ก็ลองนึกถึงเราเป็นพ่อแม่กันบ้าง เมื่อมีลูกก็จะรู้ได้เองว่า อะไรคืออะไร

    พอมาอ่านคำนี้
    Note : คนหนอคน เห็นอะไรก็ไหว้หมดยกเว้นพ่อกับแม่.....
    ผมหยุดพร่ำแร๊ะ
     
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ถึงผู้สมัครจิตเกาะพระที่ได้ส่งอีเมลไปหาพี่เพ็ญ
    พี่เพ็ญได้รับแล้วค่ะ แต่พี่เพ็ญยังไม่ได้ตอบท่านสักฉบับค่ะ
    เนื่องจากขันธ์ห้ายังมีการงานทางโลกเป็นภาระอิดอยู่ค่ะ
    แต่พี่เพ็ญจะพยายามไล่ตอบกลับไปให้ครบทุกท่านค่ะ
    ระหว่างที่รอพี่เพ็ญตอบกลับก็ขอให้เริ่มทำจิตเกาะพระ
    แล้วส่งการบ้านได้เลยค่ะ
    หรือถ้าท่านใดติดขัดในการปฏิบัติมาก
    แต่พี่เพ็ญตอบช้าก็ให้มาขึ้นคำถามไว้บนกระทู้ก่อนค่ะ
    เดี๋ยวจะมีครูเข้ามาช่วยกันตอบให้กระจ่าง
    ขอให้ทุกท่านทำจิตเกาะพระได้แนบแน่น
    ก่อนหลับก็ให้นึกถึงพระ
    ก่อนลืมตาก็ให้นึกถึงพระ
    ทำอะไร ๆ ก็ให้นึกถึงพระ
    นึกให้ถี่นึกให้บ่อยอย่างน้อย 4-6 ครั้งต่อชั่วโมง
    ทำทั้งวันทั้งคืนจดจ่อเอาให้ได้
    จิตท่านจะเกาะพระติดอย่างเร็วทันที อย่างกลาง 3 วัน อย่าช้า 7 วัน
    และอย่างอืดไม่มีกำหนด ฮ่าๆ ก็อยู่ที่ความเพียรล่ะนะ ครูไปทำแทนไม่ได้อ่ะ
    ขอให้ทุกท่านเจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
     
  6. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    สาธุ กราบขอบพระคุณ คุณครูจิตบุญลูกพลังมากมายค่ะ
    ที่ให้ความกระจ่าง เข้าใจแล้วค่า
    ทำทำทำทำค่าาา
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โปรดทราบ!​

    พี่ภูและชาวคณะจิตบุญ
    จะพยายามรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบมากกว่านี้ยิ่งๆขึ้นไป
    เพราะเห็นว่ามีผู้สนใจในการปฎิบัติจิตเกาะพระมากขึ้น แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น
    ชาวคณะจิตบุญจะพยายามรวบรวมสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์กับผู้ปฎิบัติ
    โดยจะตั้งชื่อ(สมมุติ)หัวข้อดังต่อไปนี้ ได้แก่...

    1.ความรู้เบื้องต้นในการปฎิบัติจิตเกาะพระ("จิตเกาะพระ" คืออะไร)
    2.การเจาะลึก/ลัดเข้าสู่ทางตรงด้วยมรรควิธี
    3.การเจริญสติ สมาธิ และปัญญาแบบ "จิตเกาะพระ"
    4.วิธีการค้นหาจิตเดิมแท้ของตนเอง
    5.ถาม-ตอบ ปัญหาเดิมๆ เรื่อง "จิตเกาะพระ"
    6.ผลของผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระของเหล่า "จิตบุญ"
    7.การวางกำลังใจสำหรับผู้มาใหม่ หรือ ผู้ปฎิบัติใหม่
    8.การวางกำลังใจสำหรับจิตบุญ
    9.คำศัพท์เฉพาะ "จิตเกาะพระ"
    10.วิธีการปฎิบัติจิตเกาะพระของชาวจิตบุญ(ทุกท่าน)

    ***พี่ภู ขอความกรุณาเฉพาะจิตบุญ หรือ จิตที่ยกเรียบร้อยแล้ว
    (ถ้าว่าง)ได้โปรดเขียนสรุปแบบสั้นๆ โดยย่อ โดยสังเขป
    แบบฉบับกระเป๋า(Pocket book )ของตนเองว่า...ท่านทำจิตเกาะพระอย่างไรถึงได้ยกจิต
    โดยเทคนิคการเขียนแบบธรรมชาติ ตามที่ท่านเคยปฎิบัติสำเร็จ/ได้ผลมาแล้ว
    วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สนใจโดยทั่วไป
    ได้อ่านแบบวิธีการปฎิบัติจิตเกาะพระของจิตบุญ หรือ
    ผู้ที่เคยทำสำเร็จจากการปฎิบัติจิตเกาะพระกันมาแล้ว
    จะได้เป็นแนวทางคร่าวๆ(Guide line)
    ผู้มาใหม่จะได้ปฎิบัติตามได้โดยง่าย หรือถูกจริตแนวทางกับจิตบุญท่านใด
    โดยจัดส่งมาที่ผม ครูเพ็ญ ลูกหว้า หรือที่กระทู้นี้ก็ได้


    ขอขอบพระคุณล่วงหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กราบคุณครูท่านภูค่ะ catt1วันนี้ทําสมาธิสักพักกราบสมเด็จองค์ปฐมและตามด้วยขอบารมีท่านอาจารย์ภูครูเพ็ญคุณแม่สุมาลีช่วยด้วยๆๆ สักพักมีแสงสีขาวจ้าสว่างมากเหนือหน้าผาก เลยนึกว่าไฟที่ตั้งไว้autoคงจะมา แต่ช่างเถอะ ก็ดูไปเรื่อยๆก็สว่างอยู่พอถึงเวลา ปรากฎว่าไม่ใช่ไฟบ้าน วันนี้จะหยิบจับอะไรก็รู้อยู่ค่ะ รวมทั้งมรณานุสติขณะเดินว่าก้าวไหนอาจเป็นก้าวสุดท้ายก็ได้ กราบคุณครูค่ะ (วันนี้เพื่อนอีกคนโทรมาเปลี่ยนใจจะจับภาพสมเด็จองค์ปฐมเพราะทําให้มีความสุข)
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ดีใจที่คุณครูอยู่สองคน (ควรจะวางเฉย)catt1catt1
     
  10. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    การห้ามสูบบุหรี่ มิได้ปรากฎอยู่ในศีล5, 8, 10 หรือแม้แต่ศีล227ของพระภิกษุสงฆ์ครับ..
    (แต่ตัวเราก็คงจะต้องตระหนักถึง พิษภัยของมันว่ามีคุณมีโทษเช่นไรนะครับ..)

    การวางกำลังใจคือ ก็ให้ฝึกทำจิตเกาะพระไป ทั้งในขณะที่สูบบุหรี่อยู่และไม่ได้สูบอยู่..

    การฝึกจิตเกาะพระนั้น อานิสงค์มีมาก:-
    - ขั้นสูงคือสามารถละวางจากสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ยึดติดในสรรพสิ่งใดๆทั้งมวลได้ ดับกิเลสตัณหาอุปทานต่างๆ ดับภพชาติ ดับทุกสิ่งไม่มีเหลือ ไม่หวนกลับมาเกิดอีกแล้ว..
    - ขั้นกลางคือสามารถทรงฌานได้ตลอด (ผู้ทรงฌาน-จะฌานต่ำหรือสูงก็แล้วแต่) มีความสงบในจิตใจสติตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลาในยามมีชีวิตอยู่ ตายไปก็จะไปเกิดเป็นพรหม..
    - ขั้นต่ำคือห้วงเวลาที่จะสิ้นใจ(ตาย) เพียงแค่จิตเราระลึกนึกถึงพระ(ตามที่เคยฝึกมาพอจะคล่องแล้ว) จิตเราตกอยู่ในแดนกุศล เมื่อตายไปดวงจิตนี้ก็จะเคลื่อนไปสู่สุขคติภูมิ..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุครับ
    (และพยายามเลิกสูบบุหรี่ให้ได้โดยเร็ววัน ก็จะดีมากเลยนะครับ..)
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถามตรง ตอบตรงๆ
    ตอบคำถามแรก...การสูบบุหรีไม่ผิดศีล5 แต่จะเป็นอันตรายต่อขันธ์5(ร่างกาย)
    แต่การสูบบุหรี ต้องไม่ทำให้เสียสตินะ
    แต่ถ้าคุณสูบเพื่อให้เสียสติ หรือสูบเพื่อไปเบียดเบียนผู้อื่นจนเขาได้รับความเดือดร้อน อันนี้ผิดแน่(ดูที่เจตนา)
    ศีลหยาบเอาเฉพาะตัวเจตนา(อะไรควรไม่ควร)เป็นตัวชี้วัดเท่านนั้นก็พอ

    แต่ถ้าเป็นศีลขั้นละเอียด ผิดครับ ถึงคุณไม่ได้ทำให้คนเดือนร้อน
    แต่คุณกำลังเบียดเบียนตนเอง ก็ถือว่าผิดศีลละเอียดแน่นอน
    แค่คนทำจิตตนเองให้เศร้าหมองก็ผิดศีลละเอียดแล้วครับ

    ตอบคำถามที่สอง...ไม่เลิกสูบบุหรี ก็ฝึกจิตเกาะพระได้
    เพราะเรามุ่งฝึกจิตอย่างเดียว ไม่ได้ฝึกกาย เราก็เลยไม่ได้ไปสนใจตรงนั้น
    แต่ถ้าคุณปฎิบัติไปได้สักพักหนึ่ง พอคุณมีปัญญามากพอ เดี๋ยวตัวปัญญาก็จะบอกคุณเอง
    พอจิตคุณเข้าขั้นละเอียด ศีลของคุณก็จะละเอียดตาม
    แต่ไม่นานนัก คุณเองก็อาจจะเลิกสูบบุหรีไปได้ในที่สุด
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับครูวิทย์และคุณkongkiatmด้วยครับ..
    คุณครูวิทย์ได้ตอบไปแล้วและได้แนะนำถึงวิธีการวางกำลังใจที่ถูกต้องให้สำหรับเป็นแนวปฎิบัติสืบต่อไป.. สาธุครับ

    เราขอเพิ่มเติมในส่วนของ"สมุทัย"ก็แล้วกัน คือหาเหตุแห่งทุกข์
    "ความเครียด"ก็คือทุกขเวทนาอย่างนึงที่จิตเราเสวยอารมณ์นั้นอยู่ ส่งผลข้างเคียงให้หงุดหงิดไม่พอใจโกรธง่ายสืบเนื่องจาก เรา(จิต)มันไม่ได้ดั่งใจ(ในสิ่งที่มันเคยได้มาก่อน)มันจึงเป็น"ทุกข์"
    สาเหตุของคุณkongkiat น่าจะมาจาก:-
    1. "ความอยาก" ที่เรา(จิต)มันนำผลจากการปฎิบัติในตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับสัญญา(ความจำในอดีต) ที่มันเคยทำได้ดีกว่านี้คือภาพพระคมชัดเจนกว่านี้ พอว่ามันไม่ได้ จิตเรามันก็กรุ่นๆไม่พอใจเล็กๆอยู่สะสมเอาไว้จนมากๆเข้ากลับกลายไปเป็น"ความเครียด" พอว่าดันมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบเพิ่มเติมอีก มันจึงกลายไปเป็นโกรธไปซะงั้น..
    2. เกิดจากความพยายามไป"เพ่ง" แบบตั้งใจมากเกินไปและยาวนานเกินพอดีไปหน่อย(คือว่าหวังผลลัพธ์ให้มันดีได้ดั่งวันก่อนๆ) การเพ่งเกิดขึ้นจากเราใช้กระบอกตา(ภายใน) ในการเพ่ง ยิ่งเพ่งนานๆเข้ามันจะเครียดกระบอกตาภายในและลามขึ้นไปถึงส่วนประสาทของสมองด้วย.. แล้วยิ่งทำบ่อยๆแบบนี้มันก็จะสะสมเอาไว้ ใคร"โชคร้าย"ดันมาเจอเราเข้าก็ซวยไป..
    (ผู้ฝึกใหม่ทุกท่าน.. นี้คือตัวอย่างในการวางกำลังใจที่ไม่ถูกต้องในการปฎิบัติ! ต้องขอโมทนากับคุณkongkiatmอย่างสูงด้วย ที่เป็นตัวอย่างและเป็นธรรมทานแก่ท่านอื่นๆด้วย..)
    การวางกำลังใจที่ถูกต้องในการปฎิบัติคือ ให้ทำอย่างที่ครูวิทย์ได้แนะนำไปแล้วตามกระทู้ด้านบน..
    การฝึกใหม่ๆ ความจริงแล้วมันมีอยู่2ส่วนคือ
    1. ความถี่ในการระลึกนึกถึงพระต่อวัน
    2. ความคมชัดของภาพพระ
    ให้น้ำหนักเน้นๆในข้อแรกให้มากๆๆๆๆๆๆเข้าไว้ๆๆๆ "เป็นหลัก"ก่อน ถ้าท่านทำข้อที่1ได้มากๆๆแล้ว ข้อที่2มันจะตามมาเองโดยอัตโนมัติ..
    การไปเข่นข้อที่2ให้คมชัด ก็จะทำให้เกิดยิ่งทำยิ่งเครียด ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปกันใหญ่เลย..
    กลางๆเบาๆสบายๆ เห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ได้แต่ว่าจิตเราเกาะอยู่กับพระอยู่ตลอด..(ความถี่) ถ้าสติเผลอดันลืม เอ้าก็ไม่เป็นไร เอาใหม่.. ทำใหม่.. แบบนี้แหล่ะไปเรื่อยๆไม่ต้องเครียด..
    เชกเช่นนักมวยน่ะ ออกหมัดแย๊บ..ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ เต้นฟลุคเวอร์คไปรอบๆเวที แย๊บไปเรื่อยๆทั้งวัน พอเราแย๊บไปจนคล่องแคล่วว่องไวแล้ว เดี๋ยวหมัดฮุกหมัดน๊อคมันจะมาของมันเอง..

    ขอให้เจริญในธรรม.. สาธุครับ
     
  13. คมวรรณ

    คมวรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +1,050
    การสูบบุหรี่-ติดบุหรี่นั้น..เป็นการทําร้ายร่างกาย-ฆ่าตนเองโดยไม่รู้ตัว...อย่างหนักครับ..ผิดศีลข้อที่หนึ่งคับท่าน..(ปาณาติตาปาฯ...)ท่านติดบุหรี่..เป็นเพราะชาติที่แล้วได้ขายบุหรี่ให้แก่เยาวชนทุกวันๆนะครับ..เป็นกรรมอาชีพคับติดตัวท่านมาขอรับ..ท่าน..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • c09c9c1b.gif
      c09c9c1b.gif
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      36
  14. gibbgubb

    gibbgubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +187
    ยังหาจิตไม่เจอเลยอ่าาาครูภู:'( เช้านี้เหมือนจิตตกผิดปกติ :':)':)'(
    หนูดื้อเองเหรอ หรือว่าจิตหนูดื้อ
    หนูไม่เห็นวางอย่างที่ครูวิทย์ว่าได้เลยอ่าา อ๊ากกก :':)':)'(
     
  15. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ความจริงแล้วในโลกนี้.. "ไม่มีสิ่งที่รัก หรือสิ่งที่เกลียดหรอก.."
    แต่ว่าจิตของเราเมื่อมันไปรับรู้มาแล้วก็อุปทานปรุงแต่งต่อยอดขึ้นเป็น"ของกู" (ขออภัย-ยืมใช้ภาษาท่านพุทธทาส) ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง เสร็จแล้วมันก็นำไปเก็บเอาไว้ที่สัญญา(ความจำ) ของเราเองว่า สมบัติของกู ลูกเมียของกู พ่อแม่พี่น้องของกู ญาติหรือเพื่อนของกู อะไรๆของกูเต็มไปหมด.. สารพัดจะของกู โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของกูมากเท่าไรมันก็จะมีความรักความผูกพันเป็นของกูมากขึ้นเท่านั้น..
    คนเราโดยส่วนใหญ่แล้วจะยึดติดใน"ตัวกู"มากกว่า"ของกู" เพราะว่ามันจะห่างออกจากตัวเองออกไปอีกชั้นนึง..
    การพิจารณาละวาง"ตัวกู"ก็ต้องหมั่นพิจารณากายให้มากๆ จนเกิดความเบื่อหน่ายในกายตนเองในเบื้องต้นและเข้าใจกฎแห่งธรรมชาติจวบจนละวางลงได้ในเบื้องปลาย..
    ส่วนการพิจารณา"ของกู"ในความจริงแล้วเมื่อเราพิจารณากาย(รูป)และนาม(หรือขันธ์5)ได้แล้ว.. 
    เมื่อสิ้นอัน"ตัวกู"แล้ว ไฉนจะมี"ของกู"ได้อย่างไร?.. (ลองนำไปคิดดูนะครับ..)

    เอาหล่ะ..คราวนี้มาตอบให้ตรงประเด็นคือ สิ่งที่รัก"ของกู" จะละวางลงอย่างไร?
    หลักในการพิจารณาก็คงหนีไม่พ้น"กฎแห่งธรรมชาติ"นั่นก็คือการพิจารณาไตรลักษณ์นั่นเอง โดยนำ"สิ่งที่รักของกู"ซึ่งจิตไปยกออกมาจากสัญญา(ความจำ)ของเรา นำขึ้นมาพิจารณาหมั่นทำบ่อยๆจนละวางลงได้.. (ความจริงมันก็คล้ายๆกับการพิจารณาเรื่องความจำน่ะ เพียงแต่ว่ารอบนี้มันเป็นความทรงจำในเรื่อง"สิ่งที่รักของกู"เท่านั้นเอง) โดยค่อยๆพิจารณาไปหรือเรียกว่าฝึก "วิปัสสนึก" ไปพลางๆก่อนค่อยๆอบรมจิตของตนเองให้คุ้นชินกับการพิจารณาไตรลักษณ์ในเรื่อง"สิ่งที่รักของกู"ซึ่งถ้าหมั่นทำไปเรื่อยๆมันก็พอจะละวางได้บ้างหรือละวางลงได้เลยแบบชั่วคราว (ณ.ขณะเวลาพิจารณานั้นๆ แต่มันจะหวนมากำเริบใหม่ภายหลัง) จวบจนเราสามารถทรงฌานจนมีกำลังแก่กล้าไปจนถึงชั้นฌาน4 แล้วจิตมันก็พิจารณาวิปัสสนาจริงๆจังๆจน จิตมันเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด มันก็จะสามารถละวางลงได้อย่างเด็ดขาด! ไม่หวนกลับมากำเริบอีก..
    นั่นก็คือการละซึ่งสังโยชน์ข้อที่4-กามราคะได้อย่างสิ้นเชิง รวมถึงข้อที่5-ปฎิฆะ ได้อีกด้วย จนสำเร็จบรรลุอริยบุคคลขั้นอนาคามีพรหม หัวใจสำคัญก็คือเราจะต้องมีกำลัง"ฌาน4"เป็นบาตรฐานและควบรวมกับ"ปัญญา"ซึ่งได้จากการพิจารณาไตรลักษณ์อย่างคล่องแคล่วแล้ว มันจึงจะละวางลงได้อย่างแท้จริง.. เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ต้องมาแยกแยะว่าอะไรเป็น"ตัวกู"อะไรเป็น"ของกู" จิตมันจะมีปัญญารู้แจ้งเห็นว่าเป็นธรรมดา ไม่ยึดติดอีกต่อไปและสามารถปล่อยวางลงได้จริงๆ..
    ตอบ:หัวใจมันก็คือสมถะกรรมฐาน"ฌาน4"และวิปัสสนากรรมฐาน"ปัญญา" ซึ่งการเจริญกรรมฐานทั้งสองอย่างนี้ก็คือการเดินอริยมรรควิธีนั่นเอง.. หมั่นทำบ่อยๆจนอินทรีย์แก่กล้า..ก็จะบรรลุสำเร็จผลเป็นขั้นๆขึ้นไป..

    คราวนี้มาดูกันว่าเมื่อถ้าบังเอิญเราละวางตัดได้ขาดจริงๆแล้ว "สิ่งที่รักของกู"มันจะมีสภาพเป็นอย่างไร? เช่นลูกเมีย/สามีกลายเป็นคนแปลกหน้าไป?
    ไม่ใช่ครับ.. เขาๆเหล่านั้นก็ยังคงเป็นลูกเมีย/สามีหรือแม้จะทรัพย์สมบัติต่างๆก็แล้วแต่ มันก็ยังคงมีสภาพเป็น"ของกู"อยู่เช่นเดิมครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ"ดวงจิต"ของเราเองที่รู้ว่าอันสิ่งเหล่านั้นยังคงเป็น"ของกู"อยู่แต่ว่าจิตมัน"ไม่ยึดติด"ในสิ่งเหล่านั้นๆอีกต่อไปแล้ว..
    ส่วนความรักที่มีอยู่ มันก็จะเป็นความรักแบบ"เมตตา กรุณา"ต่อสรรพสัตว์สรรพสิ่งต่่างๆเท่านั้น ไม่ใช่ความรักแบบอุปทานกิเลสตัณหาราคะอีกต่อไป.. การพูดจาว่ากล่าวตักเตือนอบรมสั่งสอนลูกเมีย/สามีก็เป็นไปตามหน้าที่สามี/ภรรยา/พ่อ/แม่ด้วยความเมตตากรุณา ไม่ยึดถือเอามาเป็นอารมณ์เพราะว่าที่สุดแล้ว "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"..

    ขอให้เจริญในธรรม.. สาธุครับ
     
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เมื่อเช้าเห็นผมตัวเองร่วงที่หมอนก็นึกว่าเมื่อคืนมันยังอยู่กับเรา(ของกู)ตอนนี้มันไม่อยู่แ้ล้ว(มันไม่ใช่ของกูแล้ว) ความยึดติดในสิ่งที่เรารักมันไม่แน่นอน เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ดับไปเสมอๆ วันหนึ่งเกิดเราเห็นสิ่งที่เรารักเน่าเปื่อยผุพังลง บางครั้งเรายังไม่กล้าเข้าไปจับเลย ผมใช้วิธีนี้คิดบ่อยๆครับ (ไม่รู้จะเข้าใจไหมนี่ 5555 )(เมื่อก่อนที่ครูลูกพลังสอนก็งงๆ จะทำยังไงหว่า มันเป็นยังไงหว่า ตอนนี้ถึงบางอ้อแล้วครับ)
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ทุกข์มีไว้ให้รู้ สมุทัยมีไว้ให้ละ

    ในวัฎฏสงสารนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

    เราห้ามทุกข์ที่จะวิ่งมาหา หรือ ห้ามไม่ให้มีกระทบก็คงไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมดา มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ พิจารณาลงไตรลักษณ์นะคะ

    อย่าลืมสร้างเหตุดีๆ เช่นเกาะพระให้แนบแน่น สรัางสติอยู่เนืองๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นกิจวัตร รักษาศีลให้แข็งแรง และพิจารณาลงไตรลักษณ์

    ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความเพียร และความอดทน เป็นอย่างยิ่ง

    ถ้าจุดหมายปลายทางคือการพ้นทุกข์ ก็ต้องเดินผ่านทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย เดินไปแล้วให้ได้

    รายการนี้เหมือนเกมส์แพ้คัดออก ถ้าผ่านไปไม่ได้ ก็เกิดใหม่ ก้มหน้ารับกรรมกันต่อไป

    จิตตกแล้วก็ขอให้มีสติ ลุกมาสู้ใหม่ได้ สู้ สู้ นะค่ะ:VO
     
  18. gibbgubb

    gibbgubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +187
    ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ:z12
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นั่นไงหล่ะ!
    น่าตีไหม๊หล่ะเธอนี่ แต่ดีนะที่สารภาพความจริงออกมาโดยไม่อาย
    แต่ถ้าอายแล้วจะไม่ได้อะไรเลย นั่งเกาะกระทู้ไปเห่อ
    ว่าพวกเขาทำไรกันหว่า ทำไมคนอื่นทำได้ ไง๊ตัวเรายังทำไม่ได้
    ยังหาจิตเดิมแท้ของตนเองไม่พบสักที
    มันจะไปพบได้อย่างไรหล่ะน้องจ๋า
    ก็สติของหนูมันมีน้อยเกินไป หรือนึกถึงพระน้อยไป
    ครูเพ็ญบอกว่า ถ้าทำจิตเกาะพระกันจริงๆจังๆนะ
    ประมาณ3-7 วันเอง คือให้เราหมั่นระลึกถึงพระให้บ่อย
    ความถี่ก็อยู่ระหว่างที่ 6-7 ครั้ง(โดยประมาณ) ต่อชั่วโมง
    อีกไม่นานนักจิตก็เริ่มจะจำได้แล้ว
    เพิ่มความเพียร+หน่อยนึง ถ้าอยากทำได้
    ครูได้แค่บอก แค่แนะให้เฉยๆเอง ถ้าทำแทนกันได้ก็ดีนะ
    แต่ถ้าไม่ได้ก็พยายามใช้ลูกตื้อ ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก จำไว้..
    ขยันหมั่นขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าบ่อยๆ
    เหตุที่ให้พวกเราทำจิตเกาะพระก็เพื่อ ให้จิต+สติ=สมาธิ
    ได้โดยง่าย เพราะเป็นจุดสนใจ/ดึงดูดทำให้จิตของเรานิ่งไว
    ทำจิตเกาะพระนี่เป็นกรรมฐานที่ปฎิบัติได้ง่ายที่สุด สะดวกทีสุดแล้ว
    เพราะไม่ไปเบียนบังเวลาทางโลกของเธอนักด้วย
    เพราะขอให้ผู้ปฎิบัติแค่แยกให้ได้ระหว่างกายกับจิตเท่านั้น
    คือกายเป็นหน้าที่ของทางโลก
    แต่จิตเท่านั้นทำหน้าที่เกาะพระไป
    สรุปก็คือ กายอยู่ทางโลก จิตอยู่กับพระพุทธเจ้าไป
    อย่านำมาปะปนกัน แต่ความจริงทุกวันของคนเรานี้ ก็คือ
    นำจิตไปยึด ไปเกาะกับทางโลกกันซะเยอะ จนเคยชิน เคยตัว
    เรียกได้ว่า กิเลสกับกายกับจิต มันรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันไปหมด
    ทุกวันนี้คนเราก็จัดการระเบียบได้ยากยิ่งนัก
    เพราะไม่รู้วิธีทำให้จิตตนเองนิ่งกันนี่เอง เรื่องของเรื่อง
    เมื่อจิตคนเรายังนิ่งไม่ได้ เพราะเราไม่เข้าใจ คำว่า ฝึกจิต
    แต่ก่อนจะฝึกจิต เราจะต้องฝึกการสร้างสติมากๆ โดยวิธี จิตเกาะพระ
    พี่ภูเตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้ว แต่ใช้ไม่ค่อยจะเป็นกัน
    วันนี้พี่ภูไม่ได้มาบ่นให้เธอฟังนะ มาบอกกันเฉยๆ
    แต่ถ้าเธอไม่ทำก็ไม่ได้อะไรกับใครเลย
    เพราะครูทุกท่านมีหน้าที่ หรือแสดงออกมาพร้อมใจกันเพื่อจะยกจิตให้กัน
    มาช่วยกระตุ้นจิตสำนึกที่ดีให้เกิดขึ้นให้จงได้ เพื่อหลุดพ้น
    เพื่อพระนิพพานตามที่ทุกคนปรารถนา
    แต่ใครจะไปได้ถึงไหนนั้น ก็ต้องตอบว่า
    ก็ขึ้นอยู่ที่ความเพียรของผู้ปฎิบัติโดยตรง+ความเนื่อง=จิตยกสำเร็จ
    และพวกเธอเห็นกันไหม๊หล่ะ มันเห็นผลเป็นอย่างไร
    ขี้เกียจโฆษณาขายยาแล้ว เบื่อแล้ว
    สรุปแล้วใครคิดว่าดีก็ทำไปเห่อ อย่าไปสนใจคนนั่นพูดที คนนี้พูดทีนึง
    เมื่อผู้ปฎิบัติไปสนใจในสิ่งที่คนอื่นพูดถึง ก็พอดีเสียเวลาเดินมรรคผลของตนเองหมด
    สำหรับผู้ที่หูเบา ลังเล สงสัยตามธรรมชาติก็เป็นทุกคนนะ
    เมื่อก่อนผมก็ยิ่งแล้วเลย พอดีไปถูกจริตกับครูเพ็ญเข้า ผมก็เลยโชคดีไป
    แต่ถ้าไม่อย่างนั้นนะ ป่านนี้ก็ไม่ทราบว่าจะลงเรือ หรือจะขึ้นบก
    คือไปตามหาคำว่า สัจจธรรม ความจริงที่ไหนในโลกนี้ก็ไม่ทราบ
    ขอกราบครูเพ็ญที่ท่านช่วยเปลี่ยนดวงตาให้ใหม่
    เหมือนท่านกลับลูกตาให้ใหม่เลย
    เพราะเมื่อก่อนใช้ดวงตาเห็นอะไรก็พอใจและไม่พอใจ
    หรือมีทุกข์และสุข อยู่อย่างนี้สลับกันไปๆมาๆ
    พอมานึกได้ว่าทำไม หาคำตอบกับใครก้ไม่ได้ คืออยากถามนะ
    แต่มันไม่รู้จะถามอะไร เพราะสติกับจิตมันไปคนละทิศทาง
    เหมือนลูกหลงแม่หากันไม่เจอ แต่ถ้าหากันเจอเมื่อไหร่นะ
    ทั้งสองคือแม่กับลูกต่างก็ดีใจ
    จิตกับสติก็เหมือนกัน ถ้าเราทำให้มันพบกันได้(สติ+จิต=1)
    ตัวเราเองนี่แหล่ะ!(ไม่ใช่ใครที่ไหน) ก็จะมีความสุข เพราะจิตนิ่ง จิตสงบได้
    จิตไม่นิ่ง จิตไม่สงบ เราก็จะหาความสุขไม่ได้เลยชาตินี้
    ความสุขทางโลกก้ไม่ยั่งยืน
    ***คิดใหม่ได้นะ สำหรับผู้ที่จะฝากความสุขของตนไว้กับคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆ
    อันนี้คิดผิดมากๆ
    เพราะผมจะขอพูดในฐานะที่เคยหน้ามืดมาแล้ว
    และตอนนี้ก็มีดวงตาใหม่แล้ว หรือเห็นอะไรมาเยอะ มันก็ถูกอีก

    สรุปแล้วตอนนี้ทำอะไรได้ อยู่ที่ไหน อยู่กับใครก็ได้
    จิตมันอยู่ที่ปลอดภัยแล้ว ตายตอนไหนก็ยอมรับได้ ไม่กลัวตายแล้ว
    แต่พี่ภูสงสารผู้ที่จิตยังไม่ยก จิตยังไม่ยอมรับความจริง
    พระธรรมของพระพุทธองค์นั้น สอนให้เรามีสติ จิตจะได้มีสมาธิ มีปัญญา
    สอนให้มีดวงตาเห็นธรรม เห็นสัจจธรรมความจริงของโลกมายานี้
    เห็นทุกข์ ห็นกิเลส เพราะทุกวันนี้โลกวิทยาศาสตร์
    ไม่เคยสอนเหมือนหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเลย
    เห็นมีแต่จะยิ่งเพิ่มกิเลสให้กับพวกเราติกๆ แต่พวกเราหารู้ทันไม่
    เพราะไม่เคยฝึกจิตกัน เราก็เลยตามไม่ทันกับกิเลสตนเองและกิเลสโลก

    จบดีก่า...ยาวแล้ว
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะคือโอสถ
    ธรรมะสดๆ ก็คือ สิ่งที่มากระทบจิตอยู่ทุกขณะจิต​


    ผู้ปฎิบัติท่านใด ที่ยังรู้สึกตนเองว่ายังมีความทุกข์อยู่ลึกๆภายในจิตใจบ้าง?

    นั่นก็แสดงว่า จิตต่ำกว่าฌาน๑ แล้ว
    ถ้ารู้สึกกันแบบนี้นะ ขอให้ผู้ปฎิบัติจงมีสติเยอะๆ
    โดยการระลึกถึงพระ หรือ ให้มีสติอยู่เกือบจะทุกอิริยาบถของตนเอง

    การสร้างสติกันง่ายๆ ได้จาก...
    1.ทำจิตเกาะพระ โดยการระลึกถึงพระบ่อยๆ เนืองๆ อย่างต่อเนื่อง
    (ทำในกรณีที่จิตไม่เบื่อเกาะพระนะ)
    2.ทำความรู้สึกตัวทุกอิริยาบถของตนเอง
    (ทำในกรณีที่จิตเบื่อพระ...เป็นบางครั้ง)


    เรียนธรรมะ เรียนจิตเกาะพระ ขอให้พวกเรานำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตกันให้มากๆ
    เรียนจนจิตเข้าใจ+อนัตตา(จิตปัญญาพิจารณาให้เลยไปถึงธรรมตัวสุดท้ายเลย)
    = จิตปล่อยวาง

    บททดสอบก็คือ เครื่องวัดกันได้โดยง่ายที่สุด ที่เราปฎิบัติมาตั้งเยอะแยะนี่
    ว่าเราสอบผ่านหรือไม่ผ่าน เราก็จะรู้เอง
    บททดสอบจิตของเราไม่ต้องไปรอเอาข้อสอบจากที่ไหนหรอก
    สิ่งต่างๆ ที่มันมากระทบจิตตนเองอยู่ทุกครานี่ไง๊หล่ะ
    ก็คือ ข้อสอบของจิตของพวกเราอย่างดีเลย

    จำกันไว้นะ
    เรียนธรรมะปุ๊บ หัดทดสอบจิตตนเองปั๊บ ในขณะที่เวลามีสิ่งที่มากระทบจิตนี่แหล่ะดี
    หัดทำบ่อย หัดพิจารณาธรรมไปเรื่อย ผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้างก็อย่าไปกังวล
    เรียกได้ว่า สิ่งที่มากระทบทุกขณะจิตของเรานั้น ก็คือ ตัวธรรมะตัวจริงเสียงจริงแล้ว
    (ดีกว่าไปเสียเวลาบวชเนกขัมมะเสียอีก)
    คุณนึกว่าใครจะมีข้อสอบมาให้ทดสอบอยู่บ่อยหรอ? ไม่มีหรอก
    ธรรมะของตนเองก็ผุดกันจะแทบทุกลมหายใจ แต่พวกเรามีสติกันน้อย
    เหมือนคนนอนละเมอ แต่เดินได้นะ พูดได้นะ แต่ตื่นเช้าถามว่า เธอละเมอพูดอะไร
    ตอบว่าไม่รู้ นั่น เป็นเช่นนั้น
    ก็เหมือนคนเราที่มีสติน้อย ก็ตามจิต ตามกิเลสตนเองไม่ได้ ไม่ทันกันนี่เอง

    ธรรมะแทบไม่ต้องไปปฎิบัติที่ไหน ธรรมแปลว่า ธรรมชาติที่มีอยู่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
    เป็นธรรมดาทุกวันนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่ได้สังเกตุ เพราะสติมันน้อยเกินไป
    ประกอบกับคำอ้างต่างๆนานา ว่ายุ่งอยู่กับเรื่องในสิ่งที่เราทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...