สักการะสังเวชนียสถาน๔ตำบลในอินเดีย-เนปาล

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย aprin, 30 ธันวาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ครั้งหนึ่ง ในชีวิตของชาวพุทธ ที่ควรปฏิบัติ คือ การเดินทางไป สักการะสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในประเทศอินเดีย-เนปาล อันมี ๑.สถานที่ประสูติ ลุมพินี / เนปาล ๒.สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยา / อินเดีย ๓.สถานที่แสดงปฐมเทศนา สารนาถ เมืองพาราณสี / อินเดีย และ ๔.สถานที่ปรินิพพาน สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา / อินเดีย

    การเดินทางในประเทศอินเดีย หลายท่านอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้วว่า มีความเหนื่อยยากลำบากพอสมควร เนื่องจากถนนหนทางไม่ดี รถราเยอะ ผู้คนไร้ระเบียบวินัย ทำให้เป็นปัญหาในการเดินทางที่ล่าช้า แต่ละช่วงต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง ๕-๖ ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสกปรกของบ้านเมือง และขอทาน ที่มีเยอะมากในทุกแห่งหน

    เรื่องต่างๆ เหล่านี้ ถ้าหากเราทำใจได้ ก็จะไม่เป็นปัญหา โดยคิดเสียว่า เราไปกราบพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบรมศาสดาของเรา สมัยพุทธกาลพระองค์ทรงลำบากกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่า พระองค์ก็อยู่ได้ จนตรัสรู้เป็นพระศาสดาที่มีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสทั่วโลก


    การเดินทางไปแสวงบุญยังสังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ ผู้ที่จะไปได้ต้องมี ๑.ความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ๒.มีปัจจัยใช้จ่ายในการเดินทาง ๓.มีเวลา (ถ้ามีงานมากก็ต้องตัดออกไปให้ได้) และ ๔.มีสุขภาพที่แข็งแรง หรือถ้าไม่แข็งแรงก็ขอให้มี "ใจสู้" เพราะคนวัย ๗๐-๙๐ ปี เดินไม่ค่อยไหวก็ยังไปได้ โดยนั่งวีลแชร์ ซึ่งมีให้พบเห็นอยู่เสมอ

    อย่างเช่นคณะที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ติดตามไปแสวงบุญด้วยนั้น ก็มีผู้สูงหลายท่าน อาทิ พระเดชพระคุณ หลวงปู่จำรัส (พระครูอรุณกิจโกศล) เจ้าอาวาสวัดแจ้ง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อายุ ๘๖ ปี พระเถราจารย์ที่ชาวเกาะสมุยให้ความเคารพนับถือกันมาก เป็นผู้นำคณะ พร้อมด้วยพระลูก ศิษย์อีก ๔ รูป ในส่วนของฆราวาส มีคุณพ่อคุณแม่ของ คุณวชิระ สถิรกุล เจ้าของสมุยนาเทียนรีสอร์ท อ.เกาะสมุย ซึ่งมีอายุ ๘๙-๘๘ ปี รวมทั้งหมด ๑๕ รูป/คน

    การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินแห่งชาติของอินเดีย คือ สนามบินอินทิรา คานธี กรุงนิวเดลี หรือไปลงที่สนามบินคยา (ที่ตั้งของพุทธคยา) ใช้เวลาบินประมาณ ๔ ชั่วโมง เวลาที่อินเดียช้ากว่าเมืองไทย ๐๑.๓๐ ชั่วโมง จุดแรกที่ไปสักการบูชาเมื่อไปถึง คือ พุทธคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ภายใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พระธรรมวิทยากร (พระสงฆ์ไทย) ในสายงานพระธรรมทูตอินเดีย ผู้ทำหน้าที่เหมือนคนนำทาง ได้พาเข้าสักการะ พระพุทรเมตตา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อายุกว่า ๑ พันปี, สักการะพระแท่นวัชรอาสน์ และสัตตมหาสถานที่พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุข หลังตรัสรู้ ๗ แห่งในบริเวณนี้ ซึ่งเนืองแน่นไปด้วยชาวพุทธจากนานาประเทศ โดยเฉพาะพระสงฆ์ชาวทิเบต มีมากกว่าชาติอื่นๆ รวมทั้งคณะศรัทธาชาวไทย ซึ่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส หลายคณะด้วยกัน

    คณะของเราโชคดีที่มีโอกาสได้ถวาย ข้าวมธุปายาส แด่หลวงพ่อพระพุทธเมตตา ซึ่งหัวหน้าทัวร์ได้สั่งทำไว้ล่วงหน้า และได้ห่มผ้าองค์พระพุทธเมตตา พร้อมทั้งสักการบูชาด้วยการปฏิบัติทักษิณาวรรต เวียนรอบพระมหาเจดีย์พุทธคยา รวมทั้งต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเริ่มผลัดใบ


    และที่พิเศษคือ มีโอกาสได้นั่งสวดมนต์บูชาพระพุทธเจ้า และนั่งสมาธิ ซึ่งบางคนที่ไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติในยามอยู่บ้านที่เมืองไทย ไปอินเดียจะได้ทำกันทุกวัน ทั้งที่สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล และสถานที่เกี่ยวเนื่องทุกแห่ง รวมทั้งขณะเดินทางด้วยรถโค้ชปรับอากาศ โดยพระธรรม วิทยากร ผู้บรรยายความเป็นมาของพุทธสถานทุกแห่งที่ไปสักการะ รวมทั้งเรื่องราวของชาวอินเดีย และบรรยากาศ ๒ ข้างทางรถที่ผ่านไป พร้อมทั้งทำบรรยากาษบนรถโค้ชปรับอากาศให้เป็นอุโบสถ โดยนำสวดมนต์ทำวัตรเช้าวัตรเย็นทุกวัน

    จากพุทธคยา วันรุ่งขึ้นได้ออกเดินทางสู่เมืองพาราณสี ระยะทางประมาณ ๒๐๐ กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕ ชั่วโมง ไปถึงแล้วได้ล่องเรือชมการอาบน้ำล้างบาปบูชาพระอาทิตย์ของชาวอินเดีย ริมฝั่งแม่น้ำคงคา พร้อมทั้งลอยประทีปบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และพระแม่คงคา จากนั้นไปสักการบูชา ธัมเมกสถูป สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ใกล้เมืองพาราณสี (สารนาถ) สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เสร็จแล้วเข้าพักที่โรงแรม ๑ คืน วันรุ่งขึ้นเดินทางสู่เมืองกุสินารา ระยะทางประมาณ ๒๗๕ กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๗ ชั่วโมง

    ที่เมืองกุสินารา ได้สักการะสถูปอันเป็นที่สถานที่ พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานองค์ใหญ่ สวดมนต์ไหว้พระ และทำสมาธิภาวนา ที่ตรงนี้เมื่อต้นปีนี้ยังไม่ได้กั้นเชือกล้อมองค์พระพุทธรูป แต่ไปคราวนี้มีเชือกกั้นเอาไว้ไม่ให้คนเข้าไปสัมผัสองค์พระพุทธปฏิมา แต่ถ้าขออนุญาตยามชาวอินเดียที่เฝ้าดูแลอยู่ เขาก็ให้เข้าไปปิดทองได้ ส่วนใหญ่คนไทยนิยมเอาศีรษะไปทาบกับพระบาทของพระพุทธรูปด้วยความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด บางคนปลาบปลื้มปีติมาก ถึงกับหลั่งน้ำตาก็มี

    จากนั้นพระธรรมวิทยากร ได้นำไปสักการะ มกุฎพันธเจดีย์(สถูป) สถานที่ถวายพระเพลิงพระสรีระสังขารของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันเป็นซากสถูปทรงกลมขนาดใหญ่ ทุกคนนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ เสร็จแล้วเดินทางไปทำบุญทอดผ้าป่าที่ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งมี พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เป็นเจ้าอาวาส ผู้มีผลงานอย่างมากมายในการสร้างวัดไทยทั้งที่อินเดียและเนปาล

    ที่วัดไทยแห่งนี้ มีพระอุโบสถและเจดีย์ทรงไทยอย่างสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจดีย์องค์นี้เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระบรม สารีริกธาตุที่ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ได้รับจากข้าหลวงใหญ่ ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปกครองประเทศอินเดีย ในสมัยที่อินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

    เข้าไปที่วัดนี้แล้วมีความรู้สึกว่า กำลังอยู่ในเมืองไทย เพราะเป็นบรรยากาศไทยๆ ได้พบเห็นวัตรปฏิบัติของพระคุณ เจ้าทุกรูปแล้ว น่าศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง และที่วัดแห่งนี้ ยังได้เปิด โรงพยาบาล ขนาดเล็ก สำหรับรักษาอาการป่วยไข้ของชาวอินเดียพื้นบ้านแถบนี้ โดยได้ว่าจ้างนายแพทย์ชาวอินเดีย เป็นผู้ดูแลรักษา เก็บค่าบริการเพียงคนละ ๘ รูปี (ประมาณ ๕ บาท) เท่านั้น รักษาทุกโรค (เฉพาะวันพระฟรีทุกอย่าง) สำหรับค่ายาส่วนใหญ่ได้รับจากการทำบุญบริจาคของคนไทย

    ออกจากเมืองกุสินารา คราวนี้จะเดินทางผ่านด่านไปประเทศเนปาล ระยะทางประมาณ ๑๖๐ กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๔ ชั่วโมง ระหว่างทางจะลงแวะ วัดไทยนวราชรัตนาราม (๙๖๐) วัดเล็กๆ ก่อนถึงชายแดนเนปาลเล็กน้อย เพื่อทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำชากาแฟ และรับประทานโรตีร้อนๆ ที่ทางวัดจัดเตรียมต้อนรับตลอดเวลา

    เสร็จธุระแล้วขึ้นรถผ่านเข้าเขตประเทศเนปาล ตรงไปสักการะ สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า สวนพินีวัน โบราณสถานแห่งนี้ประกอบด้วย สระโบกขรณี เสาศิลาจารึก พระเจ้าอโศกมหาราช มายาเทวีวิหาร ซึ่งภายในมีซากกิฐเก่า และรอยพระพุทธบาท ที่เชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริงของพระพุทธองค์ เมื่อต้นปีนี้สถานที่ภายในวิหารแห่งนี้ ยังถ่ายภาพได้ แต่ทุกวันนี้มีคำสั่ง ห้ามถ่ายภาพ

    ต่อมาคณะได้เดินทางไปทอดผ้าป่าที่ วัดไทยลุมพินี แล้วเดินทางกลับประเทศอินเดีย เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยต่อไป

    ตลอดระยะเวลา ๘ วัน ๗ คืน ที่คณะของเราได้ร่วมเดินทางแสวงบุญในดินแดนพุทธภูมิแห่งนี้ ถามว่า เหนื่อยไหม ต้องบอกตามตรงว่า เหนื่อยพอสมควร จากการนั่งรถในระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ต้องใช้เวลาเดินกว่า ๔ ชั่วโมงขึ้นไป แต่ก็หายเหนื่อยเมื่อได้ไปถึงพุทธสถานแต่ละแห่ง ที่ได้กราบไหว้สักการบูชาพระพุทธเจ้าในถิ่นกำเนิดของพระองค์ จนทุกรูป/คน บอกว่า ปีหน้าจะไปแสวงบุญกันอีก โดยให้บริษัท ทรัพย์พันแสน จัดให้เหมือนเดิม เพราะเท่าที่ผ่านมา ๘ วัน ๗ คืน บริการได้ดีมาก ถูกใจทุกรูป/คนในคณะนี้

    http://www.komchadluek.net/detail/20111229/118948/สักการะสังเวชนียสถาน๔ตำบลในอินเดียเนปาล.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.2 KB
      เปิดดู:
      44
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.3 KB
      เปิดดู:
      48
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.3 KB
      เปิดดู:
      40
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.1 KB
      เปิดดู:
      64
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.6 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2011
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    กราบอนุโมทนา สาธุ ๆ
    ในบุญกุศลทุกอย่างกับทุกท่าน
    ที่ได้ร่วมกันทำบุญสร้างกุศลทุกอย่าง
    เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  3. ปันบุญ

    ปันบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +135
    สาธุ อนุโมทามิ
    ได้ไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2554 เช่นกันค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...