จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาติตอบแทนพี่ภูค่ะ

    วิธีเดิม ๆ ยกตัวอย่างเช่น เอาแต่นั่งแช่ทำสมาธิทั้งวันทั้งคืนโดยไม่เกิดสติกับปัญญา มีแต่หลงนิมิต ติดปีติ สุข อยู่อย่างนั้นชั่วนาตาปี

    รือไม่ก็เอาแต่เดินจงกรมทำแต่สติอย่างเดียวโดยไม่สนใจจะดูกายดูจิตของตนว่ามีอาการหรืออารมณ์อย่างไร เกิดวิปัสสนาญาณขึ้นแล้วไม่สามารถจะทำให้ญาณนั้นเจริญอย่างต่อเนื่อง จึงไม่เกิดปัญญาญาณตามมา ตีอวิชชาตัวสุดท้ายไม่แตก

    หรือบางทีอ่านตำราอ่านธรรมะฟังธรรมะมาก แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ใครสอนก็ไม่ได้เพราะฉันรู้มากกว่า

    หรือบางคนหลงฤทธิ์หลงเดชก็ไปคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ใครจะมาเหนือกว่าเราไม่ได้

    หรือบางคนติดศรัทธาทำแต่บุญภายนอก ใครมาบอกให้ทำสมาธิก็ส่ายหน้าบอกว่าทำไม่ได้ ใครมาบอกให้เจริญสติก็ส่ายหน้าอีกบอกว่าทำไม่เป็น ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมรับคำแนะนำเพิ่มเติม เพราะหลงอยู่กับความพอใจของตนเป็นใหญ่

    เหล่านี้คือตัวอย่างของวิธีเดิม ๆ ที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติกันมานานแต่ไม่มีความก้าวหน้าทางจิต ถ้ามีก็เป็นไปอย่างช้ามาก ๆ พี่เพ็ญเลิกแปลกใจไปนานแล้วว่าทำไมผู้ปฏิบัติบางท่านจึงใช้เวลานานถึง 30-40 ปีในการบรรลุธรรม กว่าท่านจะได้มรรคได้ผลท่านใช้เวลานานมากจนสังขารเสื่อม จะทำงานทางโลกหรือทางธรรมก็ทำไม่ค่อยไหวแล้ว ได้แต่สอนกันไปแบบเบา ๆ ตามแต่สังขารจะเอื้ออำนวย

    เพราะฉะนั้นจิตเกาะพระจะสร้างครูสอนธรรมะได้ทุกเพศทุกวัยไม่จำกัดสถานะ ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดสถานที่ ยกเว้นคนสติไม่ดีเท่านั้นที่ฝึกไม่ได้

    คำว่าอย่ายึดติดรูปแบบหมายความว่า รูปแบบและวิธีการเดิม ๆ ที่ท่านเคยทำมาแล้วทำไม่ได้ผล ก็ขอให้วางไว้ก่อน แล้วมาลองทำวิธีใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะช่วยให้จิตเจริญและพัฒนาได้เร็วขึ้น และไม่ยึดติดว่าครูผู้สอนจะต้องคร่ำเคร่งอยู่แต่กับวัดหรืออยู่ในป่าหรือในอาศรมเท่านั้น และไม่ติดว่าครูผู้สอนจะต้องได้ฤทธิ์หรืออภิญญามีตาทิพย์หูทิพย์เป็นผู้วิเศษจึงจะสอนได้ดี

    แต่รูปแบบและวิธีการเดิมก็สามารถนำมาปรับใช้กับจิตเกาะพระได้ทุกอย่าง เพียงแต่ท่านจงตั้งใจทำอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้น และใช้ทุนเดิมที่เคยฝึกฝนหรือศึกษาเล่าเรียนมาช่วยเสริมให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น จึงจะเป็นผลดีและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    กด LIKE ให้แบบอินฟินิตี้ นับไม่ถ้วนเลย:cool:
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอพูดคำเดียวว่า "แหล่มเลย"​
    *ขอคำถาม/คนถัดไป

    ครูเพ็ญข๋า! ลืมดูเวลาไปหรือเปล่า?


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2012
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    มีจิตอนาคามีท่านไหนอีกไหม๊ ที่จะมาเป็นหนูทดลองกันบนกระทู้สดๆ
    ท่านพ่อรอผู้ใจกล้าอยู่
    แต่คุณหมอถอนตัวไม่ทันแล้ว สายไปแล้ว ขึ้นเขียงแล้วขึ้นเลย


    หนูเล็งเป้าไปที่คุณลินดาไว้แล้วค่ะพี่ภู ถ้าท่านยังไม่ยกจิตก่อนคุณหมอ เธอจะถูกเชิญขึ้นเขียงเป็นรายต่อไป พี่เพ็ญหนุกหนาน 555

    ไปนอนก่อนดีก่า เดี๋ยวไม้เรียวพี่ภูจะลอยมา
    ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  5. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    วันอาสาฬหบูชา

    [​IMG]

    ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม

    ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8

    วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่า วันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

    ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปล ว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ

    สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ

    [​IMG] 1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

    [​IMG]การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค

    [​IMG] การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

    ดัง นั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

    [​IMG]1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง

    [​IMG]2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม

    [​IMG]3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต

    [​IMG]4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต

    [​IMG]5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต

    [​IMG]6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี

    [​IMG]7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด

    [​IMG]8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

    [​IMG] 2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

    [​IMG] 1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

    [​IMG] 2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ

    [​IMG] 3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

    [​IMG] 4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น

    กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา

    พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบ ตัวสูงขึ้นอย่างนี้...




     
  6. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    กราบพระพุทธ..
    กราบพระธรรม..
    กราบพระสงฆ์..
    เป็นเวลา2,600ปีมาแล้ว ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนได้กราบพระรัตนตรัยครบถ้วนทั้ง3องค์..
    (อ้ายพวกเราๆนี้ก็เวียนว่ายตายเกิด มากราบกันกี่รอบแล้วก็ไม่รู้.. ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายก็แล้วกัน ที่เหลือก็ไปกราบกันที่ข้างบนโน่นก็แล้วกัน..)

    ก่อนอื่นขอโมทนาสาธุกับครูแอ๋วด้วย.. รวดเร็วทันใจ ดีเจงๆ.. อุตส่าไปหาบทความวันอาสาฬหบูชามาให้ท่านพุทธศาสนิกชน(ผู้หลงลืม)ไปแล้วว่าวันนี้มีความสำคัญและเป็นมาเป็นไปเช่นไร.. สาธุหลายๆเด้ออ..


    เมื่อเช้านี้ได้ไปที่วัดมากับทางบ้าน แล้วก็พึ่งจะกลับมาจากวัด..
    ได้ทำบุญถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าป่าถ้วยชาม(ทอดผ้าป่าเพื่อจัดซื้อถ้วยชามให้วัด) และถวายภัตตาหารให้พระภิกษุสงฆ์
    แล้วได้อธิษฐานจิต ขอน้อมนำบุญกุศลนี้อุทิศให้แก่ ท่านจิตบุญ ท่านจิตบำเพ็ญบุญและท่านจิตเกาะพระทุกๆท่านให้เจริญในศีลในธรรมและถึงฝั่งฝานิพพานในภพชาตินี้ด้วยเทอญ..สาธุ
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ๊ สาธุ สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญกับครูลูกพลังและครอบครัวนะค่ะ สาธุ
     
  8. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [FONT=&quot]ขั้นตอนการเวียนเทียนตามหลักชาวพุทธ[/FONT]
    [FONT=&quot]การเวียนเทียน[/FONT][FONT=&quot] คือ การถือดอกไม้ธูปเทียนที่จุดแล้วเวียนขวา (เวียนประทักษิณ โดยให้สิ่งที่เวียนอยู่ทางขวามือของตน) รอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถาน [/FONT][FONT=&quot]3 รอบ ด้วยอาการสำรวมเคารพพร้อมทั้งน้อมใจระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยในขณะนั้นด้วย เป็นการแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัยด้วยกาย วาจา และใจ อย่างสูงสุด จัดเป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]
    [FONT=&quot]การเวียนเทียนมีความมุ่งหมายดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ท่านกำหนดให้มีพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนาขึ้นนั้นก็เพื่อ ประกาศเกียรติคุณ เทิดทูนพระคุณสมบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้สมกับที่พระองค์เป็นพระศาสดาของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อเป็นการเตือนใจพุทธศาสนิกชนให้ซาบซึ้งในพระคุณสมบัติของพระองค์และพระ รัตนตรัย เจริญภาวนามัยกุศลอีกส่วนหนึ่ง ดังปรากฏตามความในประกาศคณะสงฆ์ เมื่อวันที่ [/FONT][FONT=&quot]1 พฤษภาคม พุทธศักราช 2496 ใจความว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]"การเวียนเทียนที่เรียกว่าทำประทักษิณนั้น มีความมุ่งหมายให้แสดงความเคารพต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของพุทธศาสนิกชนทั้งปวง ด้วยการเดินให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เบื้องขวาของตน และสำรวมใจนึกถึงพระคุณของพระองค์ วาจาบริกรรมคือกล่าวพระคุณของพระองค์ตลอดเวลาที่เวียนเทียน มือถือเครื่องสักการบูชา ถือธูปเทียนดอกไม้ประนมเสมออก เพื่อให้จิตใจของตนอยู่กับพระ ไม่ส่งใจไปสู่ที่อื่นซึ่งมิใช่สิ่งที่ตนเคารพบูชาหรือมิใช่สรณะที่พึ่งสูง สุดของตน การเวียนเทียนนี้เป็นการแสดงความเคารพบูชาตามหลักวัฒนธรรมของไทย เป็นระเบียบที่นิยมปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาล"[/FONT][FONT=&quot]

    การบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มุ่งหมายให้ทำในวันเวียนเทียนนั้นมี 2 อย่างคือ

    1. อามิสบูชา บูชาด้วยสิ่งของ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น
    2. ปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น เสียสละ ให้ทาน รักษาศีล เว้นจากการทำความชั่วทุจริต เว้นจากการเบียดเบียนกัน งดเว้นจากอบายมุขทางแห่งความวิบัติทั้งหลาย ไม่เสพสุรายาเมา ไม่เล่นการพนัน ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต งดเว้นจากการเที่ยวเตร่เฮฮา เว้นจากความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เป็นต้น เมื่อเว้นแล้วก็อบรมจิตใจ ให้สงบ ให้นิ่งด้วยการเจริญภาวนาทำสมาธิ(Meditation) หรือฟังธรรม อ่านหนังสือธรรม สนทนาธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา เป็นต้น

    เวียนเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

    การได้บูชาพระรัตนตรัยด้วยการเวียนเทียนก็ดี ด้วยการปฏิบัติบูชาตลอดวันนั้นก็ดี ย่อมเกิดผลดีต่อผู้กระทำเอง คือ

    1. ได้ชื่อว่าเป็นศาสนิกที่ดี ปฏิบัติกิจทางศาสนาตามหน้าที่ที่พึงทำ แสดงถึงความไม่ย่อหย่อนทางจิตใจและศรัทธาต่อพระศาสนา
    2. ได้รับความแช่มชื่นเบิกบานใจหลังจากได้ประกอบพิธีในวันนั้นแล้ว
    3. ได้สั่งสมบุญบารมีอันเกิดจากการให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา อันจะส่งผลให้ได้รับโภคสมบัติ รูปสมบัติ และปัญญาสมบัติสืบไป
    4. ได้ทำชีวิตตนให้มีค่ายิ่งขึ้นด้วยการงดเว้นจากอบายมุข มุ่งปฏิบัติธรรมความดีเพิ่มพูนยิ่งขึ้น 5. ได้ชื่อว่าได้บูชาพระรัตนตรัยด้วยการบูชาอย่างยิ่งย่อมได้มงคลในชีวิตตลอดไป

    วันสำคัญทางศาสนาวันสำคัญทางศาสนาที่นิยมทำพิธีเวียนเทียนนั้น ท่านกำหนดไว้ 4 วัน คือ

    1. วันวิสาขบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]2. วันอัฐมีบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]3. วันมาฆบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]4. วันอาสาฬหบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]ระเบียบปฏิบัติในการเวียนเทียน[/FONT][FONT=&quot]

    - เมื่อวันสำคัญนั้นๆ เวียนมาถึง ให้ทางวัดประกาศให้พระภิกษุสามเณรและชาวบ้านทราบทั่วกันว่าจะประกอบพิธี เวียนเทียนในวันไหน เวลาเท่าไร และสถานที่ไหน

    - เมื่อถึงเวลากำหนด ทางวัดให้สัญญาณระฆังประชุมพระภิกษุสามเณร ทายกทายิกา พร้อมกันที่อุโบสถหรือศาลาการเปรียญแล้วแต่จะกำหนด

    - เพื่อรอเวลาให้ชาวบ้านมาพร้อมกัน พระภิกษุสามเณรควรทำวัตรเย็นและสวดพระสูตรที่เกี่ยวกับวันสำคัญนั้นๆ ไปก่อน จบแล้วอาจให้ทายกทายิกาทำวัตรเย็นต่อก็ได้

    การเวียนเทียน ต้องเวียนขวา 3 รอบ

    การเวียนเทียนคือการถือดอกไม้ธูปเทียนที่จุดแล้วเวียนขวารอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถาน 3 รอบ

    - โดยทั่วไปจะมีพระธรรมเทศนาหรือปาฐกถาอธิบายพระสูตรที่สวดในวันนั้นหลังจาก เสร็จเวียนเทียนแล้ว แต่ปรากฏว่าชาวบ้านจะกลับเสียเป็นส่วนมาก ที่เหลือฟังอยู่จะมีก็แต่พระภิกษุสามเณรและทายกทายิกาแก่ๆ ไม่กี่คน เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องอันนี้ ทางวัดจึงควรจัดให้มีการแสดงธรรมหรือปาฐกถาธรรมก่อนจะทำพิธีเวียนเทียน เป็นการให้ธรรมเป็นทานแก่ชาวบ้านได้ทั่วถึง ทั้งทำให้เขาได้รับประโยชน์จากการฟังธรรมโดยไม่รู้สึกตัวว่าถูกบังคับด้วย

    - เมื่อพร้อมกันแล้ว หัวหน้าสงฆ์จุดเทียนและธูป ทุกคนจุดตาม (บางแห่งจุดทีหลัง) แล้วหันหน้าไปทางพระปฏิมาหรือปุชนียวัตถุปูชนียสถานที่จะเวียน หัวหน้าสงฆ์กล่าวคำบูชาเป็นวรรคๆ ตามแบบ ทุกคนว่าตามด้วยการเปล่งเสียงได้ยินชัดเจน

    - ต่อนั้น หัวหน้าสงฆ์เดินประนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนนำแถวเวียนประทักษิณ ทุกคนเดินเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน แถวละ 2-3-4 คน แล้วแต่จะเหมาะ เว้นระยะห่างกันพอสมควร ตามหัวหน้าไปช้าๆ

    - ระหว่างเดินเวียนรอบที่หนึ่ง พึงตั้งใจระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยบทว่า อิติปิ โส ภควา..... รอบที่สอง ระลึกถึงพระธรรมคุณด้วยบทว่า สวากขาโต ภควตา ธมโม.....รอบที่สาม ระลึกถึงพระสังฆคุณด้วยบทว่า สุปฏิปนโน ภควโต สาวกสงโฆ.....

    - เมื่อครบสามรอบแล้ว นำดอกไม้ธูปเทียนไปวางหรือปักไว้ ณ ที่ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ แล้วเข้าไปยังสถานที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง กราบพระ 3 ครั้งแล้วสวดบทแผ่เมตตา กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญ กราบพระอีก 3 ครั้ง เสร็จพิธี

    - ถ้าไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์หรือเทศน์ก่อนทำพิธีเวียนเทียนจึงเมื่อเวียนเทียนแล้วควรทำวัตรสวดมนต์และมีเทศน์ในตอนนี้

    การเวียนเทียนให้นึกอยู่เสมอว่าวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันสำคัญของศาสนา

    ข้อเตือนใจในการเวียนเทียน

    เพื่อให้พิธีกรรมนี้เกิดความเรียบร้อย เป็นแบบแผนที่ดีของอนุชน และเกิดผลดีแก่ผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริง ในขณะที่เวียนเทียนจึงควรคำนึงถึงข้อต่อไปนี้

    - ให้นึกอยู่เสมอว่าวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันสำคัญของศาสนา เป็นการแสดงความเคารพบูชาตามหลักวัฒนธรรมไทย จึงต้องปฏิบัติให้ถูกระเบียบแบบแผนอย่าแสดงกิริยาวาจาคะนองอันส่อถึงความไม่ เคารพเช่นส่งเสียงอึกทึกโวยวาย โห่ร้อง เย้าแหย่หยอกล้อกันควรเดินด้วยอาการอันสงบ สำรวมมือเท้าและปากในขณะเดินเวียนเทียน

    - ขณะเดินเวียนเทียนควรเว้นระยะให้ห่างกันพอควร อย่าให้ไฟธูปเทียนลวกลนผู้อยู่ใกล้ตน หรือทำเทียนหยดใส่หลังผู้เดินข้างหน้าตน เป็นการรบกวนผู้ที่ตั้งใจสำรวมจิตให้สงบด้วยการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอยู่ ให้ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ เป็นการตัดหรือขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น

    - ผู้ใหญ่ที่เป็นครูบาอาจารย์ บิดามารดา หรือผู้ปกครองควรแนะนำตักเตือนหรือควบคุมศิษย์ลูกหลานหรือคนในปกครองของตน ให้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามระเบียบในการเวียนเทียน อย่าให้ประพฤติผิดระเบียบ อันเป็นการสร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น และเป็นการทำลายวัฒนธรรมของชาติของศาสนาเป็นที่น่าละอายแก่คนต่างชาติต่าง ศาสนาอย่างมาก

    - ผู้มีอำนาจและผู้ใหญ่ควรจะได้ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยการไปร่วมประกอบพิธีกรรมนี้ด้วยตนเองพร้อมทั้งชักชวนให้ผู้น้อยไปร่วม ด้วย จักเป็นการปลูกฝังนิสัยรักประเพณีวัฒนธรรมไทยแก่อนุชนไทยได้ดีกว่าการชักชวน ให้ทำเพียงอย่างเดียว[/FONT]

    [FONT=&quot]ขอบคุณข้อมูลจาก [/FONT][FONT=&quot]www.dmc.tv


    ผมตั้งใจนำข้อมูลดีๆเนื่องในวันอาสาฬหบูชา มาฝากทุกๆท่าน น้อมนำไปปฏิบัติ
    เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต
    แหล่งที่มาของข้อมูลความรู้ใดๆ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าดี มีประโยชน์ก็ให้เก็บไว้ ข้อมูลด้านไหนถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ ก็ปล่อยวางไปเสีย อย่ายึดติด อย่าเก็บมาคิดให้เสียกำลังใจไปเปล่าๆ ทุกๆที่ย่อมมีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป อยู่ที่จิตและสติของเราว่าจะสามารถแยกแยะสิ่งนั้นได้หรือเปล่า
    ขอให้ทุกท่านได้รับแต่สิ่งดีๆเป็นมงคลเข้ามาในชีวิตด้วยกันทุกท่านนะครับ

    ขอเจริญในธรรม ทำจิตเกาะพระ ให้มีพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตตลอดเวลา สาธุ

    ด้วยจิตคารวะ

    นิวเวป จบ.14
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]


    วันนี้เจ้าอยู่กับฉัน พรุ่งนี้มันไม่แน่...(หลวงพ่อปัญญาฯ)



    "ผู้ไม่รู้"
    คือ ไม่เข้าใจหลักแห่งความจริงของสิ่งทั้งหลาย
    เมื่อไม่เข้าความเป็นจริง
    เวลาสิ่งนั้นมันเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์ไม่สบายอกไม่สบายใจ
    เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเช่นนั้น
    มันต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น
    เช่นเรื่องความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
    เรามีวัสดุมีสิ่งของอะไรเราก็พออกพอใจในสิ่งนั้น
    เวลาสิ่งนั้นสูญหายไป เราก็ไม่สบายใจ

    ความจริง "ความไม่จริง" มันเป็นของเดิม "ความมี" น่ะมันมาที่หลัง

    เราไม่ได้นึกว่า "ความไม่มี" มันของเดิมแต่ไปนึกถึง "ความมี" ตลอดเวลา
    สมมติว่าในบ้านเรา เมื่อก่อนมันไม่อะไร
    แล้วเราก็ไปซื้อหามาใส่ ให้มันรกบ้าน
    เอาโต๊ะตัวนั้นมาวางตรงนั้น
    ไอ้นี่มาวางตรงนี้....วางให้เต็มไปหมดเลย
    มีของอะไรเป็นเครื่องประดับประดาตามสมัยนิยม

    ชาวบ้านเขานิยมอะไร ก็เอามาประดับประดาไว้ เอามาอวดไว้ในบ้าน

    ตื่อเช้าขึ้นมาก็มองไป เออ....ยังอยู่ มองไอ้นั่นก็ยังอยู่ มองไอ้นี่ก็ยังอยู่
    สบายใจ ดูแล้วมันสบายใจ
    แต่ไม่ได้คิดว่า วันหนึ่งมันอาจจะเคลื่อนที่ไปก็ได้
    เพราะมีคนประเภทหนึ่ง ที่มีฤทธิ์มีเดช มาเคลื่อนที่ไป
    กลางคำกลางคืนเราเผลอๆ มันก็มาเคลื่อนเอาไปเสีย
    อาจจะถึงวันนั้นเข้าสักวันหนึ่งก็ได้
    เมื่อเราไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
    พอมันเป็นขึ้นมาจริงๆ ตื่นเช้าขึ้นใจหาย หายใจเกือบไม่ออก
    นี่เพราะไม่ได้เตรียมตัวเอาก่อน
    พอเจอแล้วมือตบอก โอ๊! ตายแล้วตายแล้ว!! ตายแล้ว!
    ดูตรงนั้น มันเอาหมด หายไปหมดแล้ว
    ไม่ได้คิดไว้ก่อน เรียกว่า ไม่รู่ ไม่รู้ว่ามันจะจากไป
    ความจริงเขียนติดไว้ที่ของบ้างก็ได้ "วันนี้เจ้าอยู่กับฉัน พรุ่งนี้มันไม่แน่"
    เขียนติดไว้ที่แจกันสวยๆ ที่ตู้ ที่วิทยุที่โทรทัศน์ อะไรต่างๆ
    เขียนตัวพออ่านได้ มองเห็นแต่ไกล
    "วันนี้เจ้าอยู่กับฉัน พรุ่งนี้มันไม่แน่"


    เขียนไว้อย่างนั้น ทีนี้ถ้าวันไหนมันเกิดหายไป

    ใครมายกไปเราก็พูดว่า เหมือนที่นึกไว้ไม่ผิด
    หรือพูดว่า "กูว่าแล้ว ว่ามันจะหายไปสักวันหนึ่ง แล้วมันก็หายจริงๆ"
    อย่างนี้แล้วก็สบายใจเรียกว่ายิ้มออกทันที
    ยิ้มออกเพราะอะไร เพราะเรารู้ เราเตรียมตัวไว้ต้อนรับสถานการณ์
    ว่ามันต้องหายไปสักวันหนึ่ง เรานึกไว้อย่างนั้น
    ถ้านึกไว้อย่างนั้นแล้วก็สบายใจ....
     
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ถูกต้องเลยครับคุณหมอ

    วางอยาก ..แล้วจะได้

    เกาะพระไป พิจารณาไป ก้มหน้าก้มตาทำไป

    ไม่ต้องคาดหวัง อย่าอยาก

    เอาจิตเป็นกลาง ลุยอยู่กับพระไปนะครับ

    สู้ๆๆๆ
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สวัสดีครับพี่ภู

    ผมก้อกำลังปลุกปล้ำจิตอนาคามีอยู่หลายดวงครับ

    สงสัยถ้ายังอืด จะส่งขึ้นกระทู้มั่ง 5555

    ท่าทางจะยกเป็นLot ครับคราวนี้ มากันแบบขายยกชุด
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    แต่ขอตอบคุณหมอเรื่องนี้ก่อน เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ

    ...........................

    เป็นโรคปวดหลัง คอ สะบัก โดยเฉพาะด้านซ้ายค่ะ

    ครือว่าอย่างนี้นะคะคุณหมอ ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่พี่เพ็ญเล่า แค่รู้ไว้เฉย ๆ ก็พอค่ะ

    ในอดีตชาติคุณหมอเคยเกิดเป็นพระราชาตัวใหญ่ ๆ ผิวขาว ผมหยิก (ลองนึกถึงคุณไพโรจน์ ใจสิงห์) บ้าอำนาจ หัวเราะชอบใจอย่างสะใจทุกครั้งที่เห็นคนถูกทารุณจิตใจหรือร่างกาย แล้วชอบสั่งลงโทษหรือทรมานนักโทษหรือคนที่ชอบขัดใจตัวเองจนตาย

    มีนักโทษชายอยู่คนหนึ่งถูกพระราชาสั่งลงโทษ ราชมัลเอาไม้ท่อนใหญ่ทุบตีเขาจนหลังหัก แล้วก็ตีซ้ำจนตาย บริเวณที่เขาถูกตีสาหัสคือบริเวณที่คุณหมอปวดหลัง คอ และสบักทางซีกซ้าย เขาตายด้วยความเจ็บปวดและทรมาน เขาอาฆาตทั้งคนที่ตีเขาและพระราชามาก เขาคับแค้นใจมาก เขามาเอาคืน...

    วิธีแก้ เขาขอแค่สังฆทานกับผ้าไตร แต่พี่เพ็ญขอให้ถวายพระพุทธรูปตั้งแต่ห้านิ้วขึ้นไปเพิ่มด้วย เพื่อนำจิตเขาเกาะพระและเป็นแสงสว่างนำทางดวงจิตให้หลุดพ้นจากความพยาบาทและอาฆาตไปสู่ภพภูมิที่เป็นสุขคติ

    พรุ่งนี้วันพระถ้าคุณหมอสะดวกช่วยไปทำบุญให้เขาหน่อยนะคะ แล้วอธิษฐานจิตขออโหสิกรรมต่อกัน ขอให้กรรมทั้งหมดจงสิ้นสุดแต่เพียงแค่นี้ แล้วอุทิศบุญที่เราได้อริยมรรคอริยผลให้เขา เราได้บุญอย่างไรก็ขอให้เขาได้บุญอย่างนั้นด้วย

    พี่เพ็ญก็ขอแผ่เมตตาและอุทิศบุญให้กับท่านผู้ทุกข์ทรมานซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณหมอด้วยเหมือนกัน บุญกุศลที่เราบำเพ็ญไว้ดีแล้ว เราขออุทิศให้ท่านทั้งหมด ขอท่านจงโมทนา เทอญ

    ปล.ใครอ่านมาถึงตรงนี้ อย่า pm มาถามนะว่าแล้วกรรมของผม/ฉันคืออะไร ปฏิบัติต่อไปค่ะ ติดขัดอย่างไรจะมีสื่อมาให้ทราบเอง อาจจะสื่อโดยตรงไปที่จิตของท่านหรือสื่อไปที่จิตครูก็ได้ค่ะ



    [/QUOTE]
    การบ้าน 2 สค 55<O:p</O:p
    พี่เพ็ญค่ะ ขอบคุณมากค่ะ เรื่องเจ้ากรรมนายเวร วันนื้หนูออกไปทำบุญ ยกยอดฉัตร 2 ยอด ตอนเช้า และไปนั่งสมาธิ เดินจงกรมกลับมาเย็นแล้ว เพิ่งเห็น mail พี่เพ็ญ<O:p</O:p
    พรุ่งนี้ จะไปถวายสังฆทาน+ผ้าไตร+พระ 9 นิ้ว ค่ะ<O:p</O:p
    วันนี้รู้สึกลมหายใจละเอียดกว่าปกติ แม้ตอนไม่ได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม พระอยู่ในจิตแนบแน่นขึ้น<O:p</O:p
    ตอนเดินจงกรม ขณะที่ก้าวเท้าไปก็เห็นขึ้นมาว่าแต่ละย่างก้าวที่เดินไป เป็นความไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ ในที่สุดก็หายไป ทุกขณะที่ปัจจุบันเกิดขึ้น ย่างก้าวที่ผ่านมาก็กลายเป็นอดีต และเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์<O:p</O:p
    วันนี้ลูกศิษย์ที่ไปด้วย พอทราบว่าจะมีการบรรจุฐานพระ ก็ถอดพระจากคอ 4 องค์ มาร่วมบรรจุหมด เคยชวนทำจิตเกาะพระ ก็บอกว่าผมยังเจ้าชู้อยู่ครับ คนที่เคยเล่าว่า ชอบตีแมลงสาบก็มาบอกว่า วันนี้ผมฆ่าจิ้งจกไป 1ตัว ปิดประตูหนีบโดน คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบว่าศีลอยู่ที่เจตนา เลยบอกให้อธิษฐานขอให้รักษาศีล 5 ให้ได้ทั้ง 2 คน<O:p</O:p
    ขอบคุณค่ะ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ฮ่าๆ
    คุณLinda2009 จะเป็นคนถัดไป ที่จะขึ้นเขียง
    งานนี้คุณลินดาคงจะหนีไม่ออก นอกจากเธอยกจิตเอง

    อยู่ๆเราอยากให้จะให้จิตยกเองนั้นไม่ได้หรอก
    แต่ถ้าทำกันง่ายๆ ป่านนี้ก็มีจิตพระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว
    เพราะจิตจะยกกันได้ นอกจากจิตจะมีสมาธิ มีปัญญาเป็นพื้นฐาน
    จิตยังต้องเกิดสมาธิอย่างต่อเนื่องเสียก่อน หรือจิตอยู่ที่ประมาณอุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน)
    หรืออัปปนาสมาธิก็ยิ่งดีใหญ่(ฌานหนึ่งเป็นต้นไป) จิตจึงจะเข้าสู่การวิปัสสนาของเขาเองโดยอัตโนมัติ
    หรือ เมื่อจิตใกล้จะหมดวาระกรรม

    *ใครอยากหมดวาระกรรม(ไม่ดี) ก็หยุดทำกรรมไม่ดี และพยายามเร่งกระทำแต่กรรมดีอย่างเดียวเข้าไว้
    ไม่มีใครหนีกรรมได้ นอกจากทำจิตให้เหนือโลก คนเหนือโลกพวกเราอาจจะได้เคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว เราถึงจะปิดประตูกรรมกันได้
    *ประตูกรรมก็คือ จิตที่ชอบเกิด-ดับนั่นเอง
    จิตมันก็ไม่เที่ยง แท้ที่จริงแล้วที่เราเข้าใจว่าจิตดับนั้นหมายถึง จิตมันทรงฌาน
    เมื่อจิตทรงฌานอยู่นั้น จิตหยุดเกิดดับชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ฌานถอย(ฌานเสื่อม)
    หรือจิตไม่นิ่ง จิตก็จะไหลไปตามกิเลสอีก จิตก็เกิดดับอีก
    หรือจิตส่งออกนอกก็จะไปรับเอาความทุกข์เข้ามาใส่จิตใจตนเองอีก
    นี่ไงถ้าใครได้ฌานแล้ว ถึงจะได้ฌาน๘ก็ตาม หรือได้มโนยิทธิ
    *มโนยิทธินี้ดีตัดกิเลสละเอียดได้ผลดีมาก มโนยิทธิจะบรรลุธรรมได้ก็ต้องนำมโนยิทธิที่ตนเองได้นี้ ไปตัดกิเลสละเอียดตนเองให้ได้ ไปละสังโยชน์ให้ได้ครบ 10 ข้อให้ได้เสียก่อน)
    มิได้หมายถึงเป็นผู้บรรลุธรรม อย่าเข้าใจผิดๆ ผู้ที่จะบรรลุธรรม หรือหลุดพ้นได้ ต้องนำจิตในขณะทรงฌานอยู่นั้น นำไปวิปัสสนาและจะต้องวิปัสสนาให้สำเร็จด้วย
    หมายถึงจิตจะต้องเข้าไปให้ถึงธรรม จิตพบสภาวธรรม จิตเข้าไปถึง/เห็นความจริงแห่งธรรมชาติ จนจิตปล่อยวาง จนจิตเกิดญาณหยั่งรู้ตัวใดตัวหนึ่ง
    ญาณทั้งหมดมี๑๖ วิปัสสนาญาณทั้งหมดมี๙ (ไปอ่านเพิ่ม)

    หรือดับ/พ้นทุกข์ถาวร คือเราไม่นำจิตไปพัวพัน เกี่ยวข้อง ยึดติดกับร่างกายอีกต่อไปแล้ว จิตรู้ทุกธรรมแล้ว จิตเข้าไปรู้ความจริงของธรรมชาตินั้นๆแล้ว
    และจิตจะเป็นผู้ทำหน้าที่ละ ปล่อย วางเอง มิใช่เราวางเองได้

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติ นอกจากศีลครบกันแล้ว
    ต่อไปก็มาดูที่สติของตนเองนั้นเกิดบ่อยและเกิดอย่างต่อเนื่องแค่ไหน
    แค่นี้เอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตตลีลาศิลป์​

    จิตของคนเราเปรียบเสมือน สีต่างๆ
    สติของคนเราเปรียบเสมือน พู่กัน
    ร่างกายของคนเราเปรียบเสมือน วัสดุ หรือกระดาษ
    การดำเนินชีวิตของคนเราเปรียบเสมือน รูปภาพ​

    *ส่วนใครจะวาดรูปหรือภาพได้สวยกันแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าอยู่ที่การใช้พู่กันอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว หรือชำนาญแค่ไหน
    เพราะทั้งสี ทั้งพู่กันเป็นแค่อุปกรณ์เขียน/วาดภาพเท่านั้น
    *เราจึงเปรียบร่างกาย หรือการดำเนินชีวิตของตนอย่างไร
    ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติจะมี/จะสร้าง/จะฝึกฝนสติกันมากน้อย และต่อเนื่องกันเพียงใด

    **เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของคนเรานั้น ไม่ว่าจะสุขหรือเป็นทุกข์ ก็จะขึ้นอยู่กับตนเองทั้งนั้น
    ที่จะต้องฝึกฝนเอากันเอง
    สำหรับฝึกฝน/ดูจิต/สนใจจิตตนเองอย่างสม่ำเสมอ ผู้นั้นจะไม่ค่อยทุกข์ หรือทุกข์น้อยลง
    (ผู้ทำสมาธิเป็น ผู้ที่ทำจิตตนเองนิ่ง)
    หรือไม่รู้สึกทุกข์(ผู้บรรลุธรรม ผู้รู้จักธรรม)

    ***สำหรับผู้ที่ฝึกจิต ดูจิต สนใจจิตตนเอง หรือผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระอย่างสม่ำเสมอนั้น
    ปลายทางก็จะพบแต่ความสุข ไปจนถึงบรมสุข
    แต่สำหรับที่ทำตรงข้ามที่กล่าวมาแล้ว ปลายทางมีแต่เพิ่มความทุกข์มากขึ้น จนทนไม่ไหวกัน
    เรียกได้ว่า เป็นทุกข์กันทั้งๆที่ยังมีลมหายใจ ขนาดตายไปแล้วก็ยังทุกข์อีก
    หรือทุกข์เพราะจิตเดินหลงทาง
    ทุกข์เพราะเราไม่นำจิตไปฝึกฝนกัน จิตจึงไม่รู้จัก คำว่า ทุกข์คืออะไร ทุกข์เกิดจากอะไร
    ไม่รู้จักวิธีดับทุกข์ และไม่รู้จักหนทางแห่งความหลุดพ้นจากกองทุกข์
    (ศึกษาอริยสัจจ์เพิ่มเติม)

    ต่อไปจะพูดเน้นเรื่องสติให้มาก


    ผิดถูกอย่างไร วิจารณ์ได้ตามสบาย
    พร้อมน้อมจิตรับผิดทุกประเด็น โดยไม่มีเงื่อนไข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2012
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ไปสอนจิตเกาะพระที่วัดดอยเปามาค่ะ
    เอาบุญมาฝากทุกท่านค่ะ
    ขอทุกท่านจงโมทนากันเทอญ
    พักนี้ไหงงานมาเข้าที่ครูเพ็ญเนี่ย
    ทางอีเมลมาใหม่ 2 ที่วัดดอยเปาทำท่าจะ 2-3
    ท่านพ่อขาลูกขอแยกร่างด่วนๆๆๆ

    เห็นพี่ภูจะพูดเรื่องสติ หนูขอฝากนิดหนึ่ง
    ช่วยแจกแจงเครื่องปรุงและวิธีทำสติให้หน่อยค่ะ
    ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่เข้าใจว่าสติทำยังไง
    เอาเหมือนที่พี่ภูทำเด๊ะๆ เลยนะ


    ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แอบเปลี่ยนFontเธอหน่อยนะ รู้สึกว่าตัวหนังสือแบบนี้ ผมเห็นตั้งแต่ยังจำความได้ใหม่ๆ ฮ่าๆ
    ขอโทษครับ ที่จิตพัฒนาไปพร้อมกับโลกาภิวัตน์
    หมั่นฝึกฝนจิตกันดีกว่า...
    อย่าให้โลกาภิวัตน์มาเปลี่ยนจิตให้เลวร้ายไปกว่านี้กันเลย
    ทั้งโลกาภิวัตน์ นวัตกรรม เทคโนโลยี+วิทย์ หรือความเจริญต่างๆ
    ผู้เขียนเห็นว่า ยิ่งทำให้ผู้ที่ไม่ฝึกจิตนั้น ยิ่งฉุดจิตให้ตกต่ำกว่าเดิม
    ทุกข์มากกว่าเดิม เพราะผู้ที่ไม่ฝึกจิตจะตามพวกนี้(กิเลสโลก)ไม่ทัน
    จะตามทันกันได้อย่างไร ขนาดกิเลสตนเองก็ยังตามไม่ทัน
    ขนาดจิตอยู่ที่ตนเอง ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรกันเลย
    นับประสาอะไรจะไปตามทันกิเลสโลก เลิกคิดได้เลย
    ต่อไปนี้ ไม่ว่าโลกวิทยาศาสตร์ของเราจะเจริญก้าวหน้าแค่ไหน
    แต่ตัของเราเองนี่แหล่ะ ก็ควรจะนำจิตตนเองไปรู้เท่าทันโลกตามไปด้วย
    คือฝึกจิต โดยการตามดู ตามรู้จิตของตนเอง หรือพัฒนาจิตตนเองไปด้วย

    ก่อนอื่นขอโมทนาสาธุกับคุณหมอ ในการกระทำความดี
    จิตคนจะละเอียดได้นั้น จะต้องอาศัยตนเองคอยสร้างสติให้มาก ให้บ่อย
    และให้ต่อเนื่องเท่านั้น จิตจึงจะเข้าสู่ความสงบ จึงจะผ่านวิปัสสนาเอง
    จิตยิ่งละเอียด ศีลก็จะละเอียดตามไปด้วย
    เมื่อทั้งจิตและศีลละเอียดแล้ว โอกาสจิตก็จะเจริญในธรรมมากขึ้นไปตามลำดับ
    จิตยิ่งละเอียด จิตก็จะยิ่งเข้าใจธรรมมากเท่านั้น(มันเข้าใจเอง ถ้าจิตใครนิ่ง จิตยิ่งนิ่งมาก จิตก็จะยิ่งรู้มากเท่านั้น)
    ไม่ใช่อยู่ดีๆ จิตจะเลียดกันได้เมื่อไหร่

    นี่ไง๊! ครูถึงชอบกระทุ้งจิตกัน โดยเฉพาะจิตใกล้จะยก จิตพร้อมจะยก
    บอกกันจนปากจะแฉะ ปากจะฉีกถึงหูกันก็ด้วยเหตุนี้
    เข้าใจกันหรือยัง? ไม่ใช่ครูจะนำเธอไปฆ่า ไปเผา ไปวิจารณ์ให้ใครต่อใครรู้เมื่อไหร่
    ผู้ปฎิบัติจงจำไว้อยู่อย่างนึงก็คือ สอนนะสอน มิใช่ตำหนิ ครูเขามีแต่เมตตา
    เหมือนทหารที่ฝึกใหม่ เขาจะโดนครูฝึกลงโทษทุกอย่างที่ชอบทำนอกเหนือจากครูฝึกสอน
    ในขณะฝึก ในขณะที่ครูลงโทษนั้น ก็เลยนึกว่าครูเขากลั่นแกล้ง
    พอจบไปหลายปีนั้นแหล่ะ ถึงจะรู้ ถึงบางอ้อกัน

    ผู้จะปฎิบัติธรรม หรือทำจิตเกาะพระ กำลังใจจะต้องมีมากด้วย
    เพราะไม่มีใครไปบังคับให้มาปฎิบัติกันได้ บอกไปแล้วไง ใกล้จะหมดวาระกรรม โดยเฉพาะกรรมไม่ดี
    ส่วนกรรมดีไม่ต้องพูดถึง คนเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ก็ลองหลับตากันดูสิว่า โดยเฉพาะพวกที่ไม่ยอมฝึกจิต
    ลองถามตนเองดูว่าเราทำบุญหรือบาปมากกว่ากัน
    เห็นไหม๊? ผู้ที่ไม่ยอมฝึกจิตก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ที่ที่เรากำลังทำอยู่นี้
    ก็รู้ตัวนะว่าผิด หรือผิดศีลธรรม แต่ก็ยังจะทำกันอยู่น่ะ
    ถามว่าสติมีไหม๊? มี แต่มีไม่มากพอ
    พอสติน้อย พวกเราจึงกล้าทำผิดกันนี่ไง
    เพราะฉะนั้น คนที่มีสติมาก กับคนมีสติน้อย จึงแตกต่างกันมาก
    แต่พวกเรามองไม่เห็นความชั่วของตนเอง ที่มันแอบหลบอยู่ข้างในจิตตนเองนั้น
    เหมือนกับผู้รักษาศีลหยาบได้ แต่รักษาศีลละเอียดกันไม่ได้
    ก็เพราะว่าจิตมันหยาบ ก็เลยมองไม่เห็นศีลละเอียด
    สำหรับผู้ที่รักษาศีลหยาบไม่ได้ เพราะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องศีล(ตนเอง)
    และนึกว่าศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็เลยมองข้ามศีลตนเองไป
    เพราะด้วยจิตมุนษย์หยาบเกินไป นี่เอง
    พอเข้าใจกันเน๊อะ เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องเข้าใจกัน เราต้องให้โอกาสกัน
    แต่มิได้เห็นดีเห็นงามกับเขาเหล่านั้นนะ แต่นำจิตตนเองเข้าอุเบกขาไป

    ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย เรื่องศีล หรือเรื่องสตินั้น สำคัญมาก
    เพราะถ้าคนรวยปราศจากศีลหรือสติ อาจจะจนโดยไม่รู้ตัว
    หรือคนจนรักษาศีลหรือสติมาก ก็อาจจะร่ำรวยได้

    หรือสำหรับผู้ที่ไม่ฝึกจิต ก็จะไม่มีทางรู้ว่าอะไรผิดถูกอย่างชัดเจน ก็ไม่มีทางจะหายจากความลังเล
    หรือความสงสัยในชาตินี้ไปได้ คืออยู่ก็หลง ตายก็ยังหลงอยู่อีก มีที่ไป/จุติก็ชัดเจนก็คือ ทุคติภูมิ หรือนรกภูมิเท่านั้น

    สรุปแล้วผู้ที่ไม่ฝึกจิต มีโอกาสจะตกนรกมีมากกว่าผู้ที่ฝึกจิต
    เพราะผู้ฝึกจิตมาดี ก็มีโอกาสเดินสายอริยมรรค หรือไปนิพพานกันได้
    สำหรับผู้ที่ขยันฝึกจิตนั้น คำว่า พระนิพพาน จึงไม่ไกลเกินเอื้อม
    แต่ถ้าผู้ไม่ฝึกจิตนี่ คำว่า พระนิพพานไกลเกินเอื้อมนั้น ก็จะเป็นจริงตามที่พูด
    จึงด้วยเหตุผล ฉะนี้แลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2012
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ***สำหรับผู้ปฎิบัติไม่สนใจศีล(ตนเอง) สติ(ตนเอง)
    มิใช่ให้ไปสนใจในศีลของผู้อื่นกันนะ
    คือ ไม่หมั่นเจริญสติภาวนาให้อยู่เป็นเนืองนิจ ไม่ทำความรู้สึกตัวอย่าสม่ำเสมอ
    ผู้ปฎิบัติท่านนั้น บอกได้เลยว่า ไม่มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมเท่าที่ควร
    หรือปฎิบัติมาหลายปีแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที
    แต่ถ้าใครพอจะรู้ตัวให้หันหลังกลับไปนับหนึ่งกันใหม่ คือ เจริญสติ+ศีล
    ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเดินไป

    คนที่มีสติน้อยเกินไป ไม่มีทางที่จะพบกับจิต หรือดวงจิตของตนเองได้เลย
    เมื่อหาจิตตนเองไม่พบ เราก็จะต้องชลอการที่จะมีดวงตาเห็นธรรมกันต่อไป
    ก่อนจะฝึกจิตกัน เราต้องมาฝึกสติ คือทำสติให้เกิดมากๆก่อน
    เพราะสติตัวนี้แหล่ะ ที่จะไปทำให้จิตของพวกเรานิ่ง แต่ถ้าจิตคนเราไม่นิ่ง
    จิตก็ไม่มีทางจะเป็นสมาธิ เป็นฌาน ยิ่งปัญญาก็ไม่ต้องพูดถึง
    มรรคผลก็ยิ่งไกล และคำว่า พระนิพพาน จึงไกลเกินเอื้อมสำหรับเขาจริงๆ
    คือผู้ไม่สนใจเรื่องสติ เรื่องจิตของตนเองนะ

    ตอนนี้ขอให้ผู้ปฎิบัติมาสนใจเรื่องสติให้มากก่อน เพราะถ้าไปดูจิตกันแล้วจะงงมาก
    เพราะสติตามไม่ทันจิต เราจึงมองไม่เห็นจิตตนเองสักที
    มาปูพื้นฐานของจิตให้แน่นกันก่อน เราจึงจะตามจิตของเราได้ทัน
    หรือมาสร้างอินทรีให้แข็งแกร่งกันก่อน

    ***เพราะพื้นไม่แน่น เสาเข็มไม่แข็งแรง
    ถึงตึกสวยแค่ไหน จิตไวแค่ไหน ก็ไปไม่รอด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2012
  18. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917

    กราบนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด

    โมทนาสาธุคะ ครูลูกพลังและครอบครัว ขอบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่ท่านได้ส่งมาจงย้อนกลับไปหาท่านและครอบครัวเป็นล้านเท่าทวีคูณ

    เมื่อคืนไปทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ เวียนเทียนและถวายชุดหลอดไฟที่วัด ขอบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลของลูกจงสำเร็จแก่จิตบุญ จิตเกาะพระ จิตบำเพ็ญทุกท่านทุกดวงจิต ให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ และจงสำเร็จแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏขอจงพ้นทุกข์ และมีความสุขยิ่งๆขึ้นเทอญ

    สาธุคะ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    รู้นะ! คิดอะไรอยู่​

    [​IMG]
    อยากไปพระนิพพานชาตินี้กันไหม?
    นี่คือคำถาม...
    ขอให้ตอบภายในใจตนเอง
    สำหรับผู้ที่กำลังเกาะกระทู้ หรือผู้ที่กำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่ในขณะนี้

    คำถามต่อไป...
    คุณรู้ใช่ไหม๊? ว่าจิตผู้ที่จะไปพระนิพพานกันนั้น จะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นอย่างไร
    ผู้เขียนจะลำดับตั้งแต่แรกเริ่ม ไปจนถึงนิพพาน
    มีอะไรบ้างที่พวกเราจะต้องเตรียมและจะต้องปฎิบัติกันให้ได้
    พอจะให้พวกเราได้มองเห็นถึงภาพรวมกว้างๆดังต่อไปนี้ ก็คือ
    1.สติ
    สำหรับสติผู้ที่พร้อมจะยกจิตไวๆนั้น ก็ได้แก่ สติ+ต่อเนื่อง= 80-90% เป็นอย่างน้อย
    เพราะไม่มีสติผู้ใดสามารถทำให้เกิด 100%เต็มได้ สติก็ไม่เที่ยง แต่พยายามทำให้เกิดอยู่บ่อยๆ
    ซึ่งจะต้องอาศัยความเพียรเป็นหลักของผู้ปฎิบัติเอง
    2.ศีล
    ศีล5(ศีลหยาบ)จะต้องครบบริบูรณ์ แต่ศีลหยาบเน้นแค่ที่เจตนาตนเองเป็นหลัก
    แต่เชื่อว่ายิ่งจิตใครละเอียด ศีลก็จะละเอียดตามไปด้วย ตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ปฎิบัติจริงๆจัง
    แต่ถ้ารักษาศีลหยาบกันไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่อง มรรคผลกันเลย
    ยิ่งคำว่าพระนิพพานนั้น ก็ยิ่งไกลออกไปกันใหญ่ และเป็นไปตามที่พวกที่ชอบทำทุศีลเขาพูดกันมาจริงๆ
    3.จิต
    จิตจะต้องอยู่กับศีลกับธรรมมากกว่าอยู่ทางโลก (อันนี้ลองถามตนเองก็รู้แล้ว)
    หรือผู้ที่กำลังทำจิตเกาะพระอยู่ในขณะนี้ จิตก็ต้องอยู่ที่พระได้เกือบจะทั้งวัน ทั้งคืน
    ไม่ใช่รอเลิกงานหรือระลึกนึกถึงพระแค่ก่อนนอนหรือตื่นนอน อันนี้ถือว่ายังน้อยไป
    แต่มิใช่หมายถึงเวลาในขณะงานยุ่งมากนะ เวลาเบรคทำงาน หรือเวลาที่ไม่ยุ่ง
    เราสามารถส่งไปหาพระได้ตลอดเวลา นี่คือความต่อเนื่อง
    จิตจะต้องเป็นระดับอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำ แต่รู้สึกว่าจะต่ำไป
    สำหรับจิตเกาะพระนี้ จะให้ได้ผลอย่างดี จิตจะต้องระดับอัปปนาสมาธิ หรือฌาน4 ก็ยิ่งดีใหญ่
    4.สมาธิ หรือฌาน
    สมาธิหรือฌานนั้น เรา(จิต)จะต้องทรงสมาธิ ทรงฌานจะเรียกได้ว่า เมาฌานกันทั้งวัน ทั้งคืน
    คำว่าเมาฌานไม่เหมือนเมาเหล้านะ หมายถึง เรามีสติสัมปชัญญะมาก คือรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็ว่าได้
    5.ปัญญา และวิปัสสนา
    อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าเราสติมีไม่มาก จิตก็จะไม่นิ่ง ในเมื่อจิตไม่นิ่ง จิตก็จะไม่เกิดสมาธิ
    หรือเกิดปัญญา และถ้าปํญญาไม่เกิดต่อเนื่องกัน จิตก็จะไม่ทำวิปัสสนา
    สรุปแล้ว นอกจากจิตจะทรงสมาธิ ทรงฌานอย่า
    6.ปัญญาญาณ และวิปัสสนาญาณ
    อันนี้ก็แน่นอนที่สุด ก็คือ ถ้าจิตไม่เกิดปัญญา จิตไม่ทำวิปัสสนาแล้ว
    จิตเราก็จะไม่เกิดปัญญาญาณ ไม่เกิดวิปัสสนาญาณอย่างแน่นอน
    จิตของเราก็ยกไม่ได้ เพราะเรายังมีสติไม่มากพอ จิตของเรายังนิ่งไม่พอ
    จิตเรายังทรงสมาธิ ทรงฌานยังไม่ต่อเนื่องพอ จิตมีปัญญาไม่มากพอ จิตก็จะไม่ยอมทำวิปัสสนา
    จิตไม่ยอมทำวิปัสสนา จิตของเราก็เเข้าไปไม่ถึงธรรม หรือจิตเข้าไปไม่ถึงความจริงแห่งธรรมชาติ
    เมื่อจิตเข้าไปไม่ถึงกระแสจิต จิตก็ไม่เข้าถึงกระแสธรรม
    เมื่อจิตยังเข้าไปไม่ถึงกระแสธรรม จิตก็จะไม่ทำหน้าที่ผู้ละ ปล่อย วาง กับคำว่า
    สิ่งสมมุติทั้งหลาย ทั้งปวง

    ***ขอบรรยายสรุปสั้นๆ พอให้พวกเราเข้าใจในภาพรวม ของการปฎิบัติจิตเกาะพระ
    เพียงเท่านี้ก่อน ต่อไปจะพูดเรื่องร่างกายบ้าง
    coming up next...
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บางท่านคงจะมีคำว่าถามว่า ร่างกายหายไปไหน
    ทำไมไม่พูดถึงบ้าง

    เพราะทั้งๆที่ร่างกายก็สำคัญ
    ตอบว่าใช่
    แต่ผู้ปฎิบัติธรรม จะต้องให้ความสำคัญจิตมากกว่าร่างกาย
    เพราะคนที่จะไปพระนิพพานกันนั้น มิใช่ว่าร่างกายที่จะไปกันได้
    แต่จะไปได้ต้องจิตเท่านั้น
    หมายความว่าไปแต่อาทิสมานกาย(กายละเอียด) แต่ร่างกาย(กายหยาบ)ไม่ได้ไปด้วย
    เพราะถ้าเราตาย ร่างกายนี้ก็จะตกเป็นสมบัติโลกไป

    เพราะฉะนั้น เราจึงเน้นเรื่องจิต ฝึกแต่จิต มิได้ฝึกกาย
    ถ้าจะฝึกกายให้แข็งแรงก็ต้องไปออกกำลังกาย
    แต่ถ้าฝึกจิตให้แข็งแรงจะต้องเจริญสติภาวนากันมากๆ(ทำสมาธิ)

    สรุปแล้ว ร่างกายใครร่างกายมัน จะต้องดูแลกันเอง เพราะพวกเราก็ดูแลกันมาถึงป่านนี้แล้ว
    แต่จิตอยู่ที่ตนเองกลับไม่ดูแลกัน ทั้งๆที่ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    แต่คนส่วนใหญ่กลับไปหลงใหล หรือ ให้ความสำคัญกับร่างกายภายนอกกันมาก
    แต่เวลาทุกข์เกิดขึ้นมา ก็เที่ยวไปโทษคนอื่น โทษจิตใจของตนเองมันย่ำแย่
    แต่ไม่เคยจะไปโทษตัวตนเองเลย ทั้งๆที่ร่างกายมันเสื่อมอยู่ทุกๆวัน
    แต่กลับมองไม่เห็น ร่างกายนั้นไม่เที่ยงก็ทราบกันดี แต่ก็มีหลายคนที่ยังพยายามช่วยหาช่วย/หาเครื่องมือมาทำมิให้เราแก่ หรือทำให้แก่ช้า

    ใครถามถึงอายุก็ไม่ได้ ถามถึงน้ำหนักก็ยิ่งพาลโกรธ ไม่พอใจกันซะงั้น
    พวกเราจะหลงใหลเข้าป่าไปถึงไหนกัน
    คนที่หลงกายหยาบ จิตก็จะหยาบตามไปด้วย
    รู้กันใช่ว่า คนที่หลงกายมากๆนั้น จิตส่วนใหญ่มักจะไปจุติกันที่ไหน
    ถ้าไม่ใช่แดนอบายภูมิ นรกภูมิ
    หรือแล้วพวกที่ชอบพูดว่า อยากจะไปพระนิพพานกับเขาบ้าง
    พวกเราก็ลองถามตนเองกันนะว่า
    ตอนนี้จิตของคุณอยู่ที่ไหน(นรกหรือสวรรค์) กำลังทำอะไร(บาปหรือบุญ)
    เห็นไหม๊? ทุกคนก็ตอบได้หมด
    แล้วใครเป็นคนเลือกที่จะไปนรก ไปสวรรค์ หรือไปพระนิพพาน
    ถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของตนเอง
    นี่จับกันได้คาหนังคาเขาถึงขนาดนี้ พวกเรายังจะไปโทษผู้อื่นกันอีกไหม?
    หรือว่า กรรมลิขิต ฟ้าลิต ก็ใช่อ่ะดิ ก็อดีตไปทำอะไรกันมาเล่า
    ลองถามย้ำลงไปที่ส่วนลึก ที่ก้นบึ่งหัวใจของพวกเรากันดูสิว่า

    ที่ผ่านมาพวกเรากระทำความดี-ความชั่ว หรืิอทำบาป-บุญมากกว่ากัน
    เช่น หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อวานนี้ อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว
    ปีแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะพวกเราเริ่มลืมไปบ้างแล้ว
    รู้ตัวเองไหมว่า เราทำ/พูด/คิด ดีหรือไม่ดี บาปหรือบุญ กุศลหรืออกุศล
    อย่างไหนมันมากกว่ากัน
    เห็นไหม๊?
    ศีลหยาบ(การกระทำ)พวกเรามักไม่ค่อยทำผิดบ่อยหรอก
    แต่จะทำผิดกันบ่อยมากที่สุด ก็คือ ศีลกลาง(คำพูด)/ละเอียด(ความคิด)

    ***พูดแบบไหนถึงผิดศีล
    สัมมาวาจา ข้อที่ 3 การพูดจาชอบ เมื่อเห็นว่าการเบียดเบียนกันไม่ดี ข้อนี้จึงเป็น
    การระวังวาจาว่าจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเขา จะพูดอะไรต้องระวังก่อนว่า จะไปเบียดเบียนคนอื่นเขาหรือเปล่า
    เมื่อตั้งใจอยู่ตลอดว่าจะไม่พูดเบียดเบียนก็เป็นสัมมาวาจา ได้แก่
    การงดเว้นจากการพูดเท็จ คือพูดไม่จริง พูดตรงกันข้ามกับความจริง เพื่อให้เข้าใจผิด
    งดเว้นจากการพูดส่อเสียด คือพูดยุยงให้คนอื่นแตกกัน ทะเลาะกัน พูดให้เขาเจ็บใจ พูดนินทากัน
    งดเว้นจากการพูดคำหยาบ คือพูดคำระคายหู คำหยาบโลน ไม่น่าฟัง ไม่เป็นคำผู้ดี
    งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือพูดพล่าม พูดเหลวไหล ไม่มีสาระ วกวนไม่รู้จบ ทำให้เสียเวลาและประโยชน์
    สัมมาวาจา - วิกิพีเดีย

    ***คิด/เห็นแบบไหนถึงผิดศีล
    คือคิดแบบมิจฉาสังกัปปะ(คิดผิด) ได้แก่ คิดแบบกามราคะหรือโลภะ/พยาบาทหรือโทสะ/โมหะ)
    และมิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ได้แก่ ฟังแต่คนอื่นโดยที่ไม่ไตร่ตรองให้ดี
    และการทำในใจโดยไม่แยบคาย การไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ความไม่รู้จักคิด การปล่อยให้อวิชาครอบงำ ตรงกันข้ามกับคำว่า โยนิโสมนสิการ
    สัมมาสังกัปปะ ข้อที่ 2 ดำริชอบ คิดชอบ คือคิดจะออกไปจากการเบียดเบียนคน
    อื่น คิดจะไม่เบียดเบียนคนอื่น นั่นเรียกว่าเราคิดถูกทางแล้วคิดชอบแล้ว
    สัมมาสังกัปปะ - วิกิพีเดีย
     

แชร์หน้านี้

Loading...