ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "มนุษย์ต่างดาว"กำลังจะมาเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการแล้ว !!!

    <TABLE class=tborder id=post6474745 style="BORDER-RIGHT: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-TOP: rgb(239,239,239) 1px solid; WORD-SPACING: 0px; FONT: 16px arial, verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; BORDER-LEFT: rgb(239,239,239) 1px solid; COLOR: rgb(0,0,0); TEXT-INDENT: 0px; BORDER-BOTTOM: rgb(239,239,239) 1px solid; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BORDER-LEFT: rgb(255,255,255) 1px solid; COLOR: rgb(0,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247)" width=175>Chayutt [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2005
    สถานที่: Vietnam
    อายุ: 40
    ข้อความ: 5,254
    Groans: 118
    Groaned at 27 Times in 21 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 15,884
    ได้รับอนุโมทนา 52,092 ครั้ง ใน 4,475 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3643[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_6474745 style="BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239)">ข้อความล่าสุดของท่านซาลูซ่า ประจำวันที่ 30/7/12 นี้
    Fun Factory Blog

    ก็บอกด้วยเช่นกันครับว่า พวกเขามีกำหนดเส้นตายเอาไว้ในใจแล้ว
    ว่าจะให้บรรดาผู้นำรัฐบาลโลกของเรา ออกมาเปิดเผยความมีตัวตนอยู่ของพวกเขา อย่างเป็นทางการ
    ภายในวันที่ 4/8/12 นี้ คือปลายสัปดาห์หน้านี้เองครับ

    ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะทำเอง ทำแบบที่จะไม่มีใครปฏิเสธได้ อะไรแบบนั้นครับ..

    ก็ลองติดตามกันดูต่อไปนะครับ..
    เหตุการณ์เริ่มเข้มข้นขึ้นมาทุกทีๆแล้วครับ เดี๋ยวข้อความเต็มชุดนี้ คุณ mr.empty ก็คงจะมาช่วยแปลให้พวกเราได้อ่านกันหนะนะครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-282
     
  2. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,014
    ค่าพลัง:
    +10,241
    สุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนาย

    เรื่องน่ารู้ที่ปรากฏในสุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนาย
    เอกวัฒน์ พัฒนวิบูลย์

    ....................................................................................................................
    <O:p</O:p
    วันที่ ๒๖มิถุนายน ของทุกปีนับได้ว่าเป็นวันที่มีความสำคัญยิ่งวันหนึ่งของคนไทยทั้งนี้เพราะเป็นวันที่ทุกคนต่างน้อมรำลึกถึงพระคุณของสุนทรภู่กวีเอกของไทยที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกย่องว่าเป็นกวีเอกคนหนึ่งของโลกนับตั้งแต่ปีพุทธศักราช๒๕๒๙ เป็นต้นมาหากเราได้ย้อนกลับไปศึกษาถึงผลงานที่สุนทรภู่ได้สร้างสรรค์ไว้จะพบว่าท่านได้รจนางานประพันธ์หลายเรื่องและหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นนิราศ กลอนนิทาน บทเสภาพระราชพงศาวดารกลอนสุภาษิต แบบเรียนสอนอ่านภาษาไทย บทเห่กล่อม บทละคร เป็นต้นผลงานดังกล่าวนับได้ว่ามีคุณค่าต่อการเรียนรู้ทั้งด้านภาษาและวรรณคดีไทยเป็นสำคัญทั้งนี้เพราะผลงานของท่านมิใช่จะนำเสนอเนื้อหาสาระในเชิงจินตนาการเพื่อสร้างความบันเทิงเริงใจเท่านั้นแต่เรื่องราวที่ท่านได้ร้อยเรียงขึ้นเป็นเรื่องราวนั้นได้รังสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์ที่ท่านได้ประสบเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆในชีวิตทั้งด้านสุขและด้านทุกข์ผสานเนื่องเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชมสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวในอดีต สมัยที่ท่านสร้างสรรค์ผลงานไว้ได้อย่างแจ่มชัดนับได้ว่าผลงานของสุนทรภู่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านวรรณศิลป์ที่เป็นแบบอย่างแห่งการแต่งกลอนสุภาพในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของสุนทรภู่ที่สละสลวยด้วยลีลาของสัมผัสในได้อย่างงดงามในขณะเดียวกันก็แสดงถึงคุณค่าทางสังคมที่จัดได้ว่าเป็นการบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์อีกรูปแบบหนึ่ง ผลงานของสุนทรภู่หลายเรื่องได้นำมาเป็นบทเรียนอยู่ในแบบเรียนหรือหนังสือเรียนมาทุกหลักสูตรและมีผู้ศึกษารายละเอียดในเชิงวิเคราะห์วิจัยอย่างมากมายนับแต่อดีตต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

    สุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนายเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของสุนทรภู่ที่มีต่อการสร้างสรรค์ผลงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประวัติและเรื่องราวของสุนทรภู่จากวรรณกรรมเรื่องเอกของท่านคือเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาสุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนายเล่มนี้เป็นผลงานของศาสตราจารย์กิตติคุณดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิตผู้สนใจศึกษาผลงานของสุนทรภู่และเรียบเรียงข้อคิดความเห็นไว้ในหนังสือเล่มต่าง ๆได้แก่ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และสึนามิในพระอภัยมณี, พระอภัย-มณี...มาจากไหนและ ลายแทงของสุนทรภู่สำหรับแก่นหลักที่ปรากฏในหนังสือสุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนายจัดพิมพ์โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดวันทูปริ้นท์ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๔มีรายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลงานของสุนทรภู่โดยตรงและมีคุณค่าต่อการศึกษาวรรณคดีในมุมมองของผู้แต่งที่น่าสนใจหลายประเด็นดังจะได้สรุปสาระสำคัญเฉพาะประเด็นหลักวรรณคดีของกวีดังนี้

    <O:p</O:p
    การศึกษากาพย์พระไชยสุริยาผลงานของพระสุนทรโวหาร(ภู่)
    ๑.การศึกษาระยะเวลาการแต่ง
    ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิตได้ให้ความสำคัญของระยะเวลาในการแต่งกาพย์พระไชยสุริยาว่าสุนทรภู่แต่งกาพย์เรื่องนี้ในราวปีชวด ถึงต้นปีฉลูพ.ศ.๒๓๘๓-๒๓๘๔ขณะนั้นสุนทรภู่มีอายุประมาณ ๕๓-๕๔ ปี โดยกล่าวว่า เมื่อแล้วเสร็จในผลงานเป็นกาพย์สุนทรภู่ก็คิดแสดงความสามารถให้ปรากฏไว้ในโลกอีกทันที ด้วยผลงานเป็นโคลงว่าตนก็ทำได้เช่นกัน และเป็นเรื่องที่ยาวมาก ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานว่าต่อจากต้นปีฉลูนั้น สุนทรภู่มีการเดินทางไปสุพรรณบุรีและแต่ง โคลงนิราศสุพรรณจึงมิใช่แต่งในช่วงต้นของชีวิตหรือในปีพ.ศ.๒๓๖๘ โดยอาศัยคำบอกเล่าประกอบของพระยาธรรมปรีชา(บุญ)ผู้เคยบวชอยู่ที่วัดเทพธิดารามในสมัยที่สุนทรภู่จำพรรษาอยู่ในอารามเดียวกันก็ได้เล่าประสบการณ์ที่ท่านทราบมาว่าสุนทรภู่แต่งกาพย์พระไชยสุริยาขณะบวชอยู่ที่วัดเทพธิดารามนับเป็นการบวชครั้งที่สองพร้อมด้วยบุตรสองคนน่าจะได้แก่หนูพัดและหนูตาบ การแต่งวรรณคดีเรื่องนี้น่าจะแต่งใกล้เคียงกับการแต่งเรื่องสุภาษิตสอนสตรีซึ่งแต่งขึ้นระหว่างปีพ.ศ.๒๓๘๐-๒๓๘๓ทั้งนี้เพราะเรื่องทั้งสองเป็นเรื่องทำนองเดียวกันในด้านผลดีผลเสียทางระดับจริยธรรม

    ๒.การศึกษาเนื้อหาและที่มาของกาพย์พระไชยสุริยา
    กาพย์พระไชยสุริยาแต่งเป็นคำประพันธ์ประเภท กาพย์ยานี กาพย์ฉบังและกาพย์สุรางคนางค์สุนทรภู่แต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นแบบสอนอ่านภาษาไทยคำที่ใช้แต่งสร้างจากคำในมาตราตัวสะกดต่าง ๆ เช่น
    ใช้คำในมาตราแม่กน ผสมกับแม่ ก กา ที่เรียนแล้วบรรยายถึงตอนที่พระไชยสุริยาและนางสุมาลีนอนในป่า มาตราต่อมาจะใช้คำในมาตรานั้นๆ ผสมกับคำในมาตราที่เรียนมาแล้ว
    มาตราแม่กง และแม่กน เป็นบทพรรณนาสภาพป่ามาตราแม่กกเป็นบทพรรณนาความทุกข์ยากลำบากของทั้งสองพระองค์
    มาตราแม่กด เป็นบทอัศจรรย์เมื่อทั้งสองเสพสังวาส
    มาตราแม่กบ เป็นตอนที่พระดาบสเข้าญานเล็งเห็นความเป็นมา และความทุกข์ของพระไชยสุริยา
    มาตราแม่กม เป็นบทที่พระดาบสเทศนาโปรด
    มาตราแม่เกย ใช้บรรยายความตอนที่พระไชยสุริยาและนางสุมาลีบำเพ็ญเพียรจนได้ขึ้นสวรรค์
    ตอนท้ายมีบทสรุปเตือนให้นักเรียนตั้งใจเรียน...
    ดังกาพย์ฉบับที่กล่าวไว้ตอนท้ายเรื่องว่า
    ภุมราการุณสุนทรไว้หวังสั่งสอน
    เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
    ก ข ก กา ว่าเวียนหนูน้อยค่อยเพียร
    อ่านเขียนผสมกมเกย
    ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ยไม้เรียวเจียวเหวย
    กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว

    ประเด็นหลักของเรื่องกล่าวถึงพระไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถีอย่างมีความสุขต่อมาเกิดเหตุอาเพศ เนื่องจากข้าราชการและข้าราชสำนักประพฤติบาปกระทำผิดศีลธรรมอันดีงาม พระสงฆ์ขาดวินัยปฏิบัติ "ผีป่าฟ้าดินจึงลงโทษด้วยให้มีน้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเมือง"พระไชยสุริยาและพระมเหสีต้องทรงลงเรือหนีภัยจนได้ทรงพบพระฤาษีเทศนาสั่งสอนเมื่อทั้งสองพระองค์ทรงเลื่อมใสในคำสอน จึงทรงออกบวชเป็นฤาษีทรงตั้งมั่นในหลักศีลธรรมอย่างเคร่งครัดจนดับขันธ์และได้ไปสถิตยังสรวงสวรรค์ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของน้ำท่วมเมืองสาวัตถีที่กล่าวในเรื่องนั้นศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิต ตั้งข้อสังเกตว่าสุนทรภู่น่าจะได้รับแนวคิดมาจาก พระบาลีมหาสุบินชาดกนิบาตที่กล่าวถึงคำพยากรณ์๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล ที่มีเมืองสาวัตถีเป็นเมืองหลวงอีกทั้งเรื่องพระสุบินแห่งพระยาปัตถเวนมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการแต่งกาพย์พระไชยสุริยาดังตัวอย่างคำทำนายที่ปรากฏใน พระสุบินแห่งพระยาปัตถเวนตอนหนึ่งว่า

    หนึ่งฝันว่าประชาชนขนน้ำ ช่วยกันปล้ำเทส่งลงตุ่มใหญ่
    ตุ่มน้อยร้อยพันเรียงกันไป หามีใครเข้าใส่แต่สักคน
    พระวรญาณโปรดประทานปกาสิต แนะนิมิตทายเข็ญให้เห็นผล
    ว่าภายหน้าเสนาเป็นนายพล ราษฎรจะปล้นทรัพย์ใส่ตุ่มโต
    ยิ่งมีก็ยิ่งได้ออกล้นเหลือ ยิ่งจนก็ยิ่งยากลงอักโข
    จะรุ่งงานตระการหน้าแต่พาโล ที่ซื่อก็จะโซดังตุ่มน้อย

    นอกจากคำพยากรณ์ในพระบาลีที่กล่าวมาแล้วสุนทรภู่น่าจะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาผลงานพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑)เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างจินตนาการแต่งเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาดังตัวอย่างคำพยากรณ์ถึงความเสื่อมที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองตอนหนึ่งว่า
    <O:p</O:p
    คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน
    มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาล เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
    พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
    ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร

    แรงบันดาลใจที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่สุนทรภู่ได้รับจากประสบการณ์โดยตรงก็คือการเกิดน้ำท่วมใหญ่และเกิดแผ่นดินไหว ในปีกุน พ.ศ.๒๓๘๒ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินไหว และทำให้ผู้เขียนคิดว่า เรื่องนี้ใน วันนั้นน่าจะเป็นการจุดประกายให้สุนทรภู่ได้คิดสร้างเรื่อง กาพย์พระไชยสุริยาได้อย่างน่าสนใจและน่าตื่นเต้นสมเหตุสมผลยิ่งขึ้นดังคำประพันธ์ที่ว่า

    ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย
    ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา
    หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา
    ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปรานี
    ผีป่ามากระทำ มรณกรรมเข้าบุรี
    น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาศัย

    ๓.แนวคิดสำคัญของกาพย์พระไชยสุริยา
    ประเด็นของน้ำท่วมและแผ่นดินไหวที่ปรากฏในเมืองสาวัตถีนั้นเป็นเหตุมาจาก กาลกิณีสี่ประการ ได้แก่ ๑. การเห็นผิดเป็นชอบไม่อยู่ในธรรมเนียมประเพณี ขาดความซื่อสัตย์ ๒.ความไม่มีสัมมา-คารวะของผู้อ่อนอาวุโส ๓. การประพฤติส่อเสียด ทำร้ายกัน ๔.ความโลภริษยา หนทางที่จะรอดพ้นจากกาลกิณีดังกล่าวนั้นบุคคลควรเป็นผู้มีความศรัทธาต่อหลักธรรมความดี ประพฤติบำเพ็ญธรรม ใช้ความเมตตาปราณีเพื่อนำไปสู่ความสุขนิรันดร ดังคำสอนที่ว่า

    วันนั้นครั้นดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปฐพี
    เล็งดูรู้คดี กาลกิณีสี่ประการ
    ประกอบชอบเป็นผิด กลับจริตผิดโบราณ
    สามัญอันธพาล ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม์

    สุนทรภู่บอกเหตุน้ำท่วมจากพุทธทำนายนับได้ว่าเป็นหนังสือในเชิงคิดวิเคราะห์ผลงานกาพย์พระไชยสุริยาวรรณกรรมเรื่องเอกเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่แสดงให้เห็นถึงความรักในวรรณศิลป์ของผู้ศึกษาและความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพื่อธำรงไว้ซึ่งวรรณคดีที่เป็นวัฒนธรรมของชาติไทยที่ควรเชิดชูควบคู่ไปกับกวีที่สร้างสรรค์ผลงานไว้จนได้เป็นกวีเอกของโลกคือสุนทรภู่ และในขณะเดียวกันข้อคิดจากการศึกษาเรื่องกาพย์พระไชยสุริยายังจะได้เป็นข้อคิดข้อเตือนใจให้แก่ไพร่ฟ้าประชาชนไทยได้น้อมนำเอาไปยึดถือปฏิบัติตนเพื่อป้องกันหรือแก้ไขเหตุการณ์ร้ายทั้งผองในยามวิกฤตเพื่อให้ภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวงผ่านพ้นไปได้อันจะเป็นการสร้างสรรค์สังคมไทยให้สงบสุขภายใต้ร่มเศวตฉัตรที่มั่นคงยั่งยืนสืบไป


    http://bangkokideaeasy.com/informations/attt/index.php?op=dynamiccontent_detail&dynamiccontent_id=9267&id=6296<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  3. warrrior

    warrrior Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +64

    ({)({)({)อยากสัมผัสตัวเป็นๆๆ ซักครั้งในชีวิตก่อนตายก็ไม่เสียดาย เจ๋งกว่าได้สัมผัสดารานักร้องเกาหลีซะอีก:cool::cool::cool::cool:
     
  4. PaPaMade

    PaPaMade สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    ยุคของพลังงานเก่า พลังงานเก่า คือ พลังงานอะไรครับ
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ผังวิชชาเครื่อง 666
    Twin Actions Multiple Orbit


    เป็นระบบการหมุนของเครื่องรหัส 666 (โลกยุคพลังงานใหม่) ซึ่งเริ่มใช้ใน ค.ศ.2003 ระบบ 333 (โลกยุคพลังงานเก่า) จะถูกยกเลิก เพราะไม่สามารถต้านสนามแม่เหล็กโลกที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้น ทำให้สภาพของโลกเกิดภัยพิบัติและภัยธรรมชาติขึ้นมาทำลายล้างสัตว์โลกอย่างมากมาย

    เครื่อง 666 จะเพิ่มกำลังขึ้นจากเดิมเป็น 2 เท่า เครื่องเดิม
    ฝ่ายธรรม จะหมุนทวนเข็มนาฬิกาและฝ่ายธาตุ (โลก) จะหมุนตามเข็มนาฬิกา เครื่องเดิม 333 จะหมุนทิศทางเดียว ถ้าหมุนซ้ายก็ซ้าย(ตามเข็มนาฬิกา) อาการหมุนไขลง ถ้าหมุนขวาก็ขวา(ทวนเข็มนาฬิกา) อาการหมุนไขขึ้น แต่รหัสปัจจุบันและอนาคตเป็นรหัสคนคู่คือ โลกและธรรมเดินคู่กันไป Code 26 เครื่องจะสามารถหมุนทั้งซ้ายและขวารอบทิศทาง

    ตัวเครื่องประกอบด้วยเส้นสีเตคีออน Tachyon สีต่าง ๆ ของทุกสาย สี วงศ์ 12 เส้น เพราะเป็นยุคที่จะรวมทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียว คืนสู่ต้นธาตุต้นธรรมด้วยรัก - สันติ - สามัคคี นี้คือธรรม

    Tachyon

    เตคีออน คือ อนุภาคที่เคลื่อนที่ในมิติเหนือกาลเวลาคือมิติในภพ จักรวาล สำหรับมนุษย์จะมีขึ้นหรือเกิดขึ้นต่อเมื่อสามารถทำสมาธิจิต ที่หยุด นิ่ง แน่น เป็นหนึ่งเดียว ความถี่ของคลื่นสมองอยู่ในระดับต่ำ 10 คลื่น/วินาที

    เส้นเตคีออนจะรับคลื่นความรักและความเมตตา ที่ภาคผู้ปกครองส่งมายังภพ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เป็นเส้นถ่ายทอดคลื่นจากภาคผู้ปกครอง ที่จะเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นธาตุต้นธรรม ทำให้ กาย ใจ จิต วิญญาณ เข้าสู่ระบบใหม่

    8 พลังของการสร้างสันติภาพ

    Eight forces sustain creation :Movement and stillness,Solidification and fluidity,Extension and contraction,Unification and division.

    แปดพลังที่ค้ำชูการสร้างสรรค์แห่งเครื่องใหม่ 666 เคลื่อนไหวและนิ่งแน่น
    แข็งและอ่อน ยืดและหด รวมแล้วแยก​

    ระบบการทำงานของเครื่องใหม่ 666 Code 26 ประกอบด้วย 8 พลังที่ทำงานเกาะเกี่ยวเลี้ยวลัด ไปตามกระแสการหมุนของ 12 เส้นแสงพิสัยไกล ไหลไปทั่วทุกทิศทุกทาง Multiple Orbit จนหมดรอบการทำงานจะรวม 12 เส้นเข้าด้วยกัน แล้วแยกออกเป็นส่วนธาตุและส่วนธรรม เส้น Fiber Obtic จากภาคผู้ปกครองใหญ่จะส่งคลื่นสันติภาพ สู่ส่วนธาตุส่วนธรรมคำนวณรวมเป็นหนึ่ง

    Fiber obtic

    คือ เส้นแสงพิสัยไกล มีความถี่สูงมาก ให้คลื่นพลังงานสูงสุด จะทำให้เกิดการระเบิดหรือทำลายวงจรใด ๆ ที่ส่งเข้ามาแทรกในวงจร จะถูกระเบิดทำลายสิ้นให้สงบได้ทันที เส้นแสงพิสัยไกลนี้ มีลักษณะเหมือนเส้นใยแก้ว ประกอบขึ้นจากเตคีออนเรียงรายนิ่งแน่น และถูกกลั่นจนใสสว่างจนเป็นเหมือนเส้นใยแก้ว มีประสิทธิภาพสูงมากต่อการรับ - ส่ง คลื่นยืด ใย ยนต์ วิทยุจากภาคผู้ปกครอง

    ทำให้ระบบใหม่ 666 ผู้คนจะอายุยืน สุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง จิตใจมีความรักและความเมตตา ทั่วทั้งโลกเหนือและโลกใต้ ล้วนเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม

    โลกเหนือที่เจริญทางวิทยาศาสตร์ จะกลับมาปฏิบัติทางจิตศาสตร์ โลกใต้ที่เจริญทางจิตศาสตร์ก็จะเจริญทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการโปรดสรรพสัตว์ทั่วสามภพ โดยมีองค์พระศรีอาริยเมตไตรย์เป็นประธาน ฯ คนรุ่นใหม่ที่มาเกิดใน ค.ศ. 2003 จะเป็นระบบใหม่ 666 ส่วนคนรุ่นเก่าที่เป็นระบบ 333 จะมีเจ้าหน้าที่ภาคผู้ปกครอง ทุกสาย สี วงศ์ องค์ มาทำหน้าที่ปรับเครื่องเข้าสู่ระบบใหม่ 666 ทั้งนี้งานจะแล้วเสร็จภายใน สิ้นปี ค.ศ. 2002

    การคำนวณวิชชา พิสดารคำอธิษฐาน

    องค์พระพุทธเจ้านั้นขาวใสสะอาด ควบคุมดวงธรรม
    พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้นขาวใสสะอาด ควบคุมโลก
    กายของหลวงพ่อสด(วัดปากน้ำ) ควบคุมอาชวะ

    ประเทศชาติให้รุ่งเรืองสูงสุดแห่งการปกครอง เข้าสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ บ้านเมืองสงบ ร่มเย็น สะอาดสะอ้านประชาชนมีความสุขความเจริญ เพียบพร้อมด้วยจตุรพิธพร ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันให้ได้รับความเดือดร้อน อยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา ศาสนจักรรุ่งเรืองไพโรจน์ อำนาจอธิปไตยเหล่าปัจจามิตรคิดร้ายต่อประเทศชาติ ทั้งทางโลกและทางธรรมให้วินาศสันติ ผู้ใดที่มีจิตคิดทำลายความสงบสุขหมู่ประชาชาติหรือเหตุอื่น ซึ่งคิดในแง่ของการทำลายให้แพ้ภัยพิบัติด้วยอำนาจพรหมวิหาร 4

    โลก เก็บผังสงครามทั่วโลกให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ มารตั้งฐานทัพอยู่ตะวันออกกลาง ก่อสงครามศาสนจักร อาณาจักร ทำให้เกิดสงครามระหว่างเชื้อชาติและระหว่างประเทศต่าง ๆ ขึ้น อีกทั้งภัยก่อการร้าย อาวุธชีวภาพ อาวุธเคมี อาวุธเชื้อโรคกลายพันธุ์ ให้เก็บผังวิบัติเหล่านี้ให้หมดสิ้นจนถึงหัวแก็สที่ถูกเซฟไว้กับ โลกบังคับติดโลก เก็บให้หมดหัวแก็สในโลกให้เหลือแต่หัวแก็สในธรรม ให้มนุษย์มีความรัก - สันติ - สามัคคี เพื่อดับทุกข์ภัย แห่งการก่อการร้าย การทำลาย การทะเลาะวิวาท การอาฆาตพยาบาทให้หมดสิ้น ให้โลกมีแต่สันติสุขแต่ส่วนเดียว ให้หัวแก็สส่วนธรรมมาจดติดโลก ผู้คนอยู่ในศีลในธรรม

    ภพ 3 มารควบคุมเครื่องการปกครองระบบ 333 มาหลายพันล้านปีแล้ว ถ้าจะชิงเครื่องต้องประมูลฤทธิ์กันทั้ง สามฝ่ายคือ ขาว กลาง และดำ นำมาซึ่งความเสียหาย การทำลายภพ วิชชาตอนนี้ต้องสุดละเอียดจริง ๆ ต้องทำวิชชาพิสดารภาคปราบในกายมนุษย์สำเร็จ ใช้กายมนุษย์รองรับกายพระพุทธเจ้าภาคปราบ ล้วนทั้งลับและเปิดเผย พระพุทธเจ้ามีพระชนม์ล้มตัวอยู่ตามที่ต่าง ๆ พระพุทธเจ้ากายเนื้อ และพระพุทธเจ้ากายสำเร็จ คำนวณรวมเป็นหนึ่งเพื่อแก้ไขเข้าสู่เครื่องใหม่ 666 ให้ถึงกันหมดทั้ง 3 ภพ จะได้ถึงผังชาวศิวิไลซ์ที่แท้จริง ที่มีแต่สุข - สันติ ตลอดถึงกัน ปราสาททำวิชชาภาคปราบงานเข้มข้นสุด ๆ ​

    ที่มา http://www.navagaprom.com/oldsite/con1.php?con_id=99

    ความรู้ใหม่เรื่องรหัส 666

    รหัส 666 เป็นตัวเลขสามมิติของพลังงานใหม่ของดาวเคราะห์โลก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเลขศาสตร์อันเป็นเครื่องหมายของซาตานแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    จงพิจารณาที่มาของเลข 6 ทั้งสามตัว ดังต่อไปนี้

    1. เลข 6 ตัวแรก ได้จากค่าที่เป็นหน่วยชั่วโมง/รอบ จากการที่ดาวเคราะห์โลกหมุนรอบตัวเองครบรอบคือ 24ชั่วโมง/รอบ ถ้านำเลย 24 มาแปลเป็นเลขฐาน 12 ตามเลขศาสตร์เรขาคณิตของจักรวาลโดยนำเอา 2 บวก 4 จะมีค่าเท่ากับ 6

    2.เลข 6 ตัวต่อมา ได้จารทิศทางการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ซึ่งเป็นการหมุนรอบทิศทั้ง 8 ทิศต่อรอบ และดาวเคราะห์โลกยังจะต้องหมุนต่อไปอีกอย่างต่อเนื่อง ลักษณะของการหมุนของโลก เป็นการหมุนไปในทิศทางเดียวกันตลอด ถ้ามนุษย์กำหนดจุดเริ่มต้นไว้ตรงตำแหน่งทิศใดทิศหนึ่งแล้ว ถ้าจุดดังกล่าวหมุนมาทับตรงจุดเดิม ถือเป็นการหมุนครบหมุนครบหนึ่งรอบพอดี หากยังาคงมีการเคลื่อนที่ต่อไปอีก ในความหมายของมนุษย์ก็คือการกลับทิศนั่นเอง

    จักรวาลจึงใช้เลข 8 คือ ทิศทั้ง 8 บวกกับการกลับทิศเข้าไปอีก 1 ทิศ รวมกันแล้วมีค่าเท่ากับ 9 ซึ่งเลขเก้านี้สามารถแทนค่าด้วยเลข 6 ได้(เนื่องจากเลข 6 ไม่ว่าจะยกกำลังอะไร ถ้าเป็นเลขจำนวนเดี่ยวแล้วจะมีค่าเท่ากับเลข 9 เสมอ)

    3. เลข 6 ตัวสุดท้าย เป็นการพิจารณาในมิติของแรงที่กระทำต่อมวลใดๆ ที่อยู่บนโลกซึ่งกำลังหมุนรอบตัวเองอยู่อย่างคงที่ ซึ่งวิทยาศาสตร์โลกเข้าใจว่ามันคือแรงโน้มถ่วงของโลกที่เป็นค่าคงที่ ที่กระทำต่อมวลของสรรพสิ่ง อันเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด แท้ที่จริงแล้ว ค่าของแรงที่กระทำต่อมวลใดๆ บนโลก ไม่ได้เกิดจากอำนาจแรงดึงดูดของโลกอย่างที่คิด แต่เป็นแรงที่กาแล็กซี่ทางช้างเผือกกระทำต่อมวลนั้นๆ บนดาวเคราะห์โลกต่างหาก (ค่าคงที่ของแรงลัพธ์ของกาแล็กซี่ต่อมวลบนโลกมีค่าเท่ากับ 6 เสมอ)

    ถ้าพิจารณากันโดยสรุปแล้ว รหัสรัก 666 จึงเกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์โลกในสามมิติดังนี้คือ มิติของอัตราความเร็วต่อรอบ ที่ดาวเคราะห์โลกหมุนรอบตัวเอง ทิศทางการหมุนอย่างต่อเนื่องของดาวเคราะห์โลกในการหมุนรอบตัวเองอยู่ในระบบสุริยจักรวาลและบนกาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้ แรงกระทำลัพธ์ของกาแล็กซี่ ที่กระทำต่อมวลขนาด 1 หน่วยที่อยู่บนดาวเคราะห์โลก

    จึงเห็นได้ว่าที่มาของรหัส 666 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นซาตานใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นสมการความสมดุลสำหรับโลกยุคพลังงานใหม่ที่เหมาะสมกว่าเก่าดังกล่าวแล้ว มันเป้นความรักที่จักรวาลได้มอบมาให้มนุษย์และดาวเคราะห์โลกโดยเฉพาะ

    credit: ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก โดย อาจารย์ปริญญา ตันสกุล
    จาก หนังสือจิตจักรวาลอ่านโลก www.jitchakraval.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตอบแบบสั้นๆ ก็หมายถึงพลังงานสนามแม่เหล็กโลกครับ

    อำนาจแม่เหล็กโลกเพิ่มขึ้นจาก 14 เก๊าส์ เป็น 22 เก๊าส์

    ในโลกยุคพลังงานใหม่ (ยุคชาววิไล) ครับ
     
  7. PaPaMade

    PaPaMade สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    "จิตต่อธาตุ ธาตุต่อธาตุ"
    ไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่มันวนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวันแล้ว
     
  8. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ปัจจุบันสนามแม่เหล็กโลก ที่ผิวโลก 30000 -60000 นาโนเทสลา
    หรือเท่ากับ 30000/1000000000 - 60000/1000000000
    =0.00003 - 0.00006 เทสลา

    1 เกาส์ เท่ากับ 0.0001 เทสลา

    ดังนั้นสนามแม่เหล็กโลกที่ผิวโลก ประมาณ 0.3 เกาส์ - 0.6 เกาส์
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ถูกต้องแล้วครับ ตอนนี้สนามแม่เหล็กโลกของเรา กำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆครับ จนกระทั่งแกนแม่เหล็กโลกพลิกกลับขั้วในปี 2555-2556 นี้ จึงจะทำให้สนามแม่เหล็กโลกค่อยๆ เพิ่มความเข้มขึ้นเป็น 22 เกาส์ในปี 2560 ครับ

    บทบาทของ สนามแม่เหล็กโลก ต่อสุขภาพ
    โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

    กายจิตของคนเรานี้ยังได้รับอิทธิพลจากสนามพลังของโลกและจักรวาลด้วย ตั้งแต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และจักรราศีต่างๆ สนามแม่เหล็กโลกซึ่งยังเปลี่ยนแปรกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำในมหาสมุทร คลื่นใต้น้ำและเหนือน้ำ อุณหภูมิของโลก พายุฝนฟ้า เป็นต้น ท้ายที่สุดคลื่นที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงไฟ เตาอบ ไดเป่าผม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ กระทั่งเสียงดนตรี เพลง เสียงสวดมนต์ รวมไปถึงคลื่นข่าว คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เหล่านี้คือองค์รวมของสิ่งต่างๆที่ส่งผลกลับไปกลับมาต่อชีวิตจิตใจของคนเรา

    เป็นที่รู้กันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งคนเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ต่างได้รับพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลาจาก พลังชีวิตของโลก พลังนี้ก็คือสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง มันเป็นสนามพลังอ่อนๆที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อไหร่เราไม่ได้รับพลังนี้ ก็อาจเป็นเหตุให้เราป่วยเจ็บได้ เรื่องนี้ได้จากการสังเกตว่าคนงานที่ทำงานก่อสร้างตึกใหญ่ๆ ซึ่งบางทีต้องใช้โครงสร้างเหล็ก หรือกระทั่งแผ่นเหล็กเป็นจำนวนมาก เป็นโครงสร้างของตึก เมื่อสร้างตึกไปหลาย ๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ อาการเหล่านี้พบอีกในเวลา 30 ปีหลัง

    ในหมู่นักบินอวกาศ องค์การนาซ่าเริ่มสังเกตอาการนี้ได้ จากนักบินรุ่นแรกๆ ซึ่งต้องออกไปนอกโลกพ้นจากแรงดึงดูดของโลก ก็ปรากฏอาการเหล่านี้เหมือนกัน เขาเรียกชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า "โรคอวกาศ (space sickness)"

    คนเราไม่รู้จักความสำคัญของสนามแม่เหล็ก จนกระทั่งนักบินอวกาศทั้งสหรัฐและรัสเซียเกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว มึนหัว เมื่อทำงานอยู่ในอวกาศนาน ๆ จนในที่สุดองค์การนาซาจึงต้องสร้างสนามแม่เหล็กเทียมขึ้นในสถานีอวกาศ โดยให้สนามดังกล่าวมีความถี่ที่ 7.8 ครั้ง/วินาที ซึ่งเท่ากับสนามแม่เหล็กโลก "โรคอวกาศ" จึงหายไป ขณะเดียวกัน ชุดอวกาสของรัสเซียยังได้ออกแบบให้ใส่แม่เหล็กไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของนักบินอวกาศด้วย

    ในญี่ปุ่น นักวิจัยชื่อ ไคโออิชิ นาคากาวา พบว่า คนงานก่อสร้างตึกสูงที่ต้องใช้โครงเหล็กเป็นจำนวนมาก มักป่วยด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ เขาพบว่าโครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึก ทำหน้าที่เป็นฉนวน ที่กันเอาสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร เป็นผลให้คนงานเกิดอาการป่วยเจ็บได้

    ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ชาวสำนักงานทำงานอยู่ในตึกสูงเสียโดยส่วนมาก อาการเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อย อาจเกิดจากภาวะพร่องสนามแม่เหล็กโลกก็ได้ และเหตุฉะนี้เอง การพักผ่อนตากอากาศ พาตัวเองไปอยู่ในท่ามกลางภูเขา แม่น้ำ ทะเล จึงเปิดโอกาสให้คนเราได้รับการอาบไล้จากสนามแม่เหล็กโลก เพิ่มพลังชีวิตสำหรับการทำงานอันตรากตรำในวันต่อๆไป และขณะเดียวกันการใช้อุปกรณ์ที่ให้สนามแม่เหล็กอ่อน ๆ แก่ร่างกายของคนที่เจ็บป่วยด้วยภาวะพร่องสนามแม่เหล็ก ก็จะพบว่าอาการป่วยเจ็บดีขึ้น

    นักสัตววิทยายังสังเกตว่า สัตว์แต่ละชนิดรับรู้ต่อสนามแม่เหล็กโลกที่แตกต่างกัน นกพิราบสื่อสารสามารถหาทางบินกลับรังได้ ก็เพราะบางส่วนในสมองของมันรับรู้ต่อความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกในจุดต่างๆ ที่แตกต่างกัน

    มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองใช้เครื่องปล่อยสัญญาณวิทยุขนาดเล็กติดไว้ที่หัวนกพิราบ สัญญาณดังกล่าวรบกวนการรับรู้สนามแม่เหล็กโลกของนกพิราบ ทำให้นกไม่สามารถบินกลับรังได้ ข้อคิดจากเรื่องนี้มีอยู่ว่า คนสมัยนี้ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน แต่มัวหลงระเริงโทรศัพท์มือถือคุยกับแฟนอยู่ตลอดเวลา อาจถึงกับหลงทิศผิดทาง กลับบ้านไม่ถูกก็เป็นได้

    ทีนี้มาถึงก้อนหินและแร่ธาตุบ้าง นักธรณีวิทยาเชื่อว่า สนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นโดยเหล็กหลอมละลายที่เป็นลาวาอยู่ใต้พื้นโลก เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาที่พุขึ้นแล้วเย็นตัวลงเป็นก้อนหินชนิดต่างๆ และกลายเป็นเปลือกโลกทีละชั้นๆ เปลือกโลกซึ่งก็ประกอบด้วยก้อนหินที่ปนธาตุเหล็กเหล่านี้จึงแฝงไว้ด้วยสนามแม่เหล็กแรงบ้าง ค่อยบ้าง อยู่ภายในหินชั้นต่างๆ เหล่านี้ ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ซึ่งวิวัฒนาการมาควบคู่กับกำเนิดของโลก ต่างก็มีอิทธิผลของสนามแม่เหล็กโลกแฝงอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิตอยู่ด้วย

    นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมนกพิราบจึงรับรู้สนามแม่เหล็กได้ เหตุเพราะว่าในสมองบางพื้นที่ของนก ปรากฏมีแร่ธาตุแมกเนไตต์อยู่มากเป็นพิเศษ และงานวิจัยในระยะหลังก็พิสูจน์ด้วยว่าสมองของคนเราก็มีแมกเนไตต์อยู่ในพื้นที่บางส่วน รวมทั้งที่ต่อมหมวกไตด้วย ตรงนี้เป็นข้อสันนิษฐานด้วยว่า นักเพ่งพลังจิตบางคนที่สามารถใช้ไม้รูปตัววาย หาแหล่งน้ำใต้ดินได้ก็อาศัยแมกเนไตต์ในสมองบางส่วน และความสามารถนี้จะหมดไปทันทีถ้าให้เขาสวมหมวกและปิดพื้นที่ต่อมหมวกไตด้วยเครื่องป้องกันสนามแม่เหล็ก ความรู้ต่อมาว่าด้วยสนามแม่เหล็กกับสิ่งมีชีวิตยังพบอีกด้วยว่า

    ทิศทางและการหันขั้วของสนามแม่เหล็ก มีผลที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโตและการเผาผลาญภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองปลูกเมล็ดข้าวรายด้วยการวางเมล็ดตามยาว และตามขวางต่อสนามแม่เหล็กโลกแล้วพบว่า เมล็ดที่วางไว้ให้ทอดตัวตามแนวเหนือใต้สามารถงอกและเติบโตดีกว่าเมล็ดที่ถูกวางไว้ตามขวาง ความรู้ละเอียดกว่านั้นยังพบอีกว่า ความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกแปรเปลี่ยนตามแต่ละสถานที่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเปลือกโลกในแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน รวมทั้งปริมาณแร่ธาตุใต้พื้นดินแต่ละแห่งที่แตกต่างกันด้วย

    นักธรณีวิทยาพบว่าสนามแม่เหล็กโลกที่อเมริกาหรือรัสเซียมีความเข้มกว่าสนามที่บราซิล สนามแม่เหล็กยังเปลี่ยนแปรตามช่วงเวลาอีกด้วย เวลากลางคืนสนามแม่เหล็กโลกจะเข้มกว่าเวลากลางวัน สาเหตุเพราะอิทธิพลของดวงอาทิตย์ ยามกลางวันพื้นโลกส่วนนั้นหันเข้าหาดวงอาทิตย์ แรงจากดวงอาทิตย์ทำให้สนามแม่เหล็กโลกไม่อาจเปล่งพลังสู่พื้นโลกเท่าที่ควร ยามกลางคืนพื้นโลกส่วนนั้นหันออกจากดวงอาทิตย์ แรงสนามแม่เหล็กโลกจึงเปล่งพลังสู่พื้นโลกได้เต็มที่ และเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกช่วยจรรโลงสุขภาพ

    ดังนั้น การนอนกลางคืนร่างกายมีโอกาส "ชาร์จพลัง" เพิ่มขึ้น ทำให้ตื่นด้วยความสดใสกระปรี้กระเปร่า ส่วนการนอนกลางวันร่างกายมีโอกาส "ชาร์จพลัง" ได้น้อยกว่า และใครที่ทำงานกลางคืนนอนกลางวัน สุขภาพจึงมักจะโทรมเร็ว
    วัยรุ่นวัยหวานโปรดฟังทางนี้ การนอนดึกๆ เล่นเน็ต ไม่หลับไม่นอนนั้น โทรมเร็วสุดสุดเด้อ...สิบอกไห่

    สนามแม่เหล็กโลกโดยปกติจะสั่นสะเทือนด้วยความถี่ 7.8 รอบ/วินาที ขณะเดียวกันยังมีการสั่นสะเทือนขนาดจิ๋วที่แปรเปลี่ยนอยู่ในระหว่างคลื่นสั่นสะเทือนพื้นฐานอีกด้วย มันมีขนาด 1 รอบจนถึง 25 รอบ/วินาที นักธรณีวิทยายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกแปรเปลี่ยนเป็นวัฏจักรคือลดลงและเพิ่มขึ้น ทั้งนี้โดยมีรอบระยะของการลดและการเพิ่มรอบละ 500,000 ปี และโลก

    ณ ขณะนี้อยู่ในระยะที่ความเข้มกำลังลดลง จากขนาดความเข้ม 4 เกาส์ เหลือเพียง 0.4-0.5 เกาส์ในปัจจุบัน เขารู้เรื่องนี้ได้โดยเก็บตัวอย่างของฟอสซิลอายุต่างๆ กันมาเทียบปริมาณความเข้มของสนามแม่เหล็กที่แฝงอยู่ในฟอสซิลเหล่านี้

    สมมติฐานจึงมีอีกว่า ปัจจัยอะไรก็ตามที่ไปลดความเข้มสนามแม่เหล็กโลก จะไม่ดีต่อสุขภาพ และปัจจัยที่เพิ่มสนามแม่เหล็กโลกที่มีต่อตัวเรา ด้วยความเข้มที่พอประมาณ จะช่วยจรรโลงสุขภาพ

    และตรงนี้เองเกิดมีข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่า ศาสตร์โบราณว่าด้วยการจัดทิศทางของอาคารบ้านเรือน ประตู หน้าต่าง การตกแต่งด้วยต้นไม้ สระน้ำ และก้อนหินในบ้านหรือสำนักงาน ที่เรารู้จักกันในนาม "เฟิงสุ่ย" หรือ "ฮวงจุ้ย" นั้น น่าจะมีอิทธิพลต่อสนามพลังของแม่เหล็กโลก

    ข้อสงสัยมีว่า เพียงแค่ก้อนหิน ต้นไม้ คอนกรีต จะไปมีแรงเหนี่ยวนำอะไรต่อสนามแม่เหล็กโลก จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องรู้จักเรื่องของปฐพีวิทยา เขาแบ่งสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นโลหะ ออกตามคุณสมบัติทางแม่เหล็กออกเป็น ไดอาแมกเนติก (diamagnetic) คือสารที่ถูกปฏิเสธหรือผลักดันโดยพลังแม่เหล็กแรงๆ และสารพาราแมกเนติก (paramagnetic) มีคุณสมบัติที่ถูกดูดดึงได้โดยสนามแม่เหล็กแรงๆ ชนิดหลังนี้ได้แก่ แกรนิต ดิน หินทราย ซึ่งล้วนเป็นวัสดุก่อสร้างแต่ครั้งโบราณจนปัจจุบัน สารพาราแมกเนติกแม้จะไม่ได้กลายเป็นแม่เหล็กในตัวมันเองได้เหมือนเหล็กหรือโคบอลต์ แต่มันก็ยอมรับและดูดซับพลังแม่เหล็กระดับหนึ่ง และวัสดุก่อสร้างเหล่านี้มีผลต่อคน สัตว์ และพืชที่อาศัยอยู่ในอาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้

    นี่คือความลับของสิ่งก่อสร้างโบราณนับตั้งแต่พีระมิดหรือแท่งหินโอเบลิสก์ของอียิปต์ สโตนเฮนช์ ในอังกฤษ สุสานซื่อซานหลิงในจีน รวมถึงตึกกลมในไอร์แลนด์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในแง่ของสนามพลัง และมีงานวิจัยที่สนุกสนานมากว่าด้วยสนามพลังเหล่านี้

    ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 12 สิงหาคม 2548 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1304 ​
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ครูบาอาจารย์ของคุณ PaPaMade ท่านคงมาเตือนให้รีบปฏิบัติธรรม โดยกำหนดรู้รูปนามในหลักของมหาสติปัฏฐาน 4 นั่นเองครับ

    สติปัฏฐาน 4 เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม


    โดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุมมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง ได้แก่
    • กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    • เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    • จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    • ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
    ที่มา สติปัฏฐาน ๔ - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  11. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    เรียนท่านเกษม
    ผมขออนุญาตนำบทความเรื่อง
    ผังวิชชาเครื่อง 666
    Twin Actions Multiple Orbit

    #28704
    ไปเผยแพร่ในห้องวิทยาศาสตร์ลึกลับครับ
     
  12. PaPaMade

    PaPaMade สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +11
    ขอบคุณครับ
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ได้ครับ และควรอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจด้วยว่า เป็นเรื่องของสายปฏิบัติธรรมในวิชชาธรรมกายชั้นสูง ของหลวงพ่อสด จันทสโร กรุณาอย่าได้ปรามาสด้วยประการใดๆทั้งสิ้น เพราะจะเกิดโทษกับผู้ที่กล่าวคำปรามาสนั้น อย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "พระมหาเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์"
    จากพุทธทำนายในศิลาจารึก !!!

    [​IMG]

    อ้างอิง คำทำนายในบทกลอนของสุนทรภู่

    พระไชยสุริยา ครองเมืองสาวัตถีอย่างมีความสุขต่อมาเกิดเหตุอาเพศ เนื่องจากข้าราชการและข้าราชสำนักประพฤติบาปกระทำผิดศีลธรรมอันดีงาม พระสงฆ์ขาดวินัยปฏิบัติ "ผีป่าฟ้าดินจึงลงโทษด้วยให้มีน้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเมือง "พระไชยสุริยาและพระมเหสีต้องทรงลงเรือหนีภัยจนได้ทรงพบพระฤาษีเทศนาสั่งสอน เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงเลื่อมใสในคำสอน จึงทรงออกบวชเป็นฤาษีทรงตั้งมั่นในหลักศีลธรรมอย่างเคร่งครัดจนดับขันธ์และได้ไปสถิตยังสรวงสวรรค์

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พลน้อย [​IMG]

    หลักฐานหนังสือทิพยอำนาจ ของลูกศิษย์ท่าน หลวงปู่มั่น และหลวงปู่มั่นท่านก็ยืนยันว่าเป็นจริง มีรายละเอียดดังนี้:-

    " พุทธปรินิพพานมา พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล พระมหาเถระโพธิสัตว์ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ เริ่มต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา "

    พุทธทำนายถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

    "พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณ(พระศรีอาริยเมตไตรย์)บังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา"

    พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ คือ พระมหาเถระโพธิสัตว์ เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ ที่อยู่ในหนังสือทิพย์อำนาจ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้บอกไว้

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ช้างเผือก-ที่โลกรอ.342917/page-3
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p10.jpg
      p10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.6 KB
      เปิดดู:
      793
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  15. kulchaya

    kulchaya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +61
    รบกวนถามว่ามีวันสองวันนี้มีใครเกิดอาการวูบบ้างมั้ยคะ แบบว่าอยู่ดีๆก็วูบ โดยที่ความดันก็ปกติ นอนก็ไม่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากเกิดอาการทั้งกลางวันกลางคืน เลยไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวเพราะป่วย หรือมีคนอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า
     
  16. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    2 ส.ค. 55 แมงมุมพูดได้

    คำพูด ของคน เป็นลม
    ระดม หลอกล่อ เงินตรา
    ได้เจอ ระวัง ไว้หนา
    เสียท่า ทรัพย์สิน เงินทอง

    มหาประชาบดี ๙๗<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "ในหลวง"ท่านทรงอภิญญาสมาบัติ !!!

    [​IMG]

    "เคยมีคนบอกว่าในหลวงท่านถอดจิตได้ ถ้าหากไม่ติดพระราชกรณียะกิจใดๆ ในหลวงท่านจะนั่งสมาธิตั้งแต่ 6 ทุ่มถึง 6 โมงเช้าทุกวัน"

    ฟังทีแรกยังไม่อยากเชื่อเลย แต่ได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ได้พูดถึงในหลวงว่า ท่านมีสมาธิดีมาก ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ตามธรรมดาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุงจะอัดเทปถวายในหลวง เพื่อนำไปเปิดขณะปฏิบัติธรรม เท่าที่ทราบมาท่านเอาเทปของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ที่อัดถวายแขวนคอแล้วเดินจงกรมที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน บางครั้งท่านก็นั่งสมาธิโดยจับเสียงคลื่นเป็นอารมณ์กรรมฐาน

    ในหลวงท่านทรงแนะนำให้บุคคลใกล้ชิดได้ปฏิบัติธรรมด้วย เช่น พระราชวงศ์ องคมนตรี องครักษ์ หรือแม้แต่บุคคลที่ใกล้ชิดท่าน มีหลายพระองค์บอกว่าในหลวงเป็นผู้ทรงฌานคนหนึ่ง เวลาท่านไปไหนพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายองค์ขยับแล้วขยับอีก แต่ในหลวงท่านเพียงแค่กระพริบตาอย่างเดียว นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยได้เป็นชั่วโมงๆ พลตำรวจเอกที่เคยเป็นองครักษ์ของท่านคนหนึ่งก็เคยพูดว่า ในหลวงท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยนั่งสมาธิเห็นร่างของท่านเป็นเนื้อแดงๆ ลอกออกจนเห็นกระดูกสีขาวๆ

    มีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในหลวงท่านเคยถอดจิต (จะเรียกว่าถอดจิตก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะโอเลี้ยงหายไปครึ่งแก้ว) มหาท่านหนึ่งที่มีบารมีมากสามารถต่อรองกับพระยายม เพื่อนำคนที่ตกนรกแล้วขึ้นมาได้ ในหลวงท่านถอดจิตมาหาก็เพราะต้องการให้ช่วยอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ขึ้นจากนรก แต่ท่านนี้ไม่ยอมช่วยเพราะเหตุไม่ถูกกับอดีตนายกฯ คนนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ ถ้าในหลวงท่านถอดจิตมา (มาแค่จิตอย่างเดียว ร่างกายไม่ได้มาด้วย) โอเลี้ยงคงไม่หายไปครึ่งถ้วยหรอกครับ เพราะเจ้าของบ้านให้คนไปซื้อมาถวายในหลวง

    แต่ที่นี่หายไปครึ่งแล้ว แสดงว่าในหลวงท่านหายตัวได้ครับ! ในหลวงท่านฝึกสมาธิจนถึงขั้นอภิญญา ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมีหลายคนทำได้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เท่านั้นเอง แต่ถ้าท่านรู้มากกว่านี้ ก็คือ ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ (พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และท่านก็มีบารมีมากพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่ๆแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะหายตัวได้
    พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว โดย พล.ต.อ.วิสิษฐ์ เดชกุญชร คัดลอกจาก http:www.ybat.org

    “ด้วยพระเมตตาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้มองชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายในหัวใจคนไทยทั้งแผ่นดิน“ หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาทแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด ด้วยคำสอนที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แต่ละข้อ แต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ทรงไตร่ตรอง พิเคราะห์ถึงปัญหานั้นอย่างถ่องแท้แล้วว่าจะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหา

    การดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจากนความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากสภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า จะทำต้องให้เร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกายและในจิตอันพร้อม เป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่าสมาธิเอง ก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง

    แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มาก หากผู้ใช้สมาธิรู้จักการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยาวัตรแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ “พระสมาธิ“ ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรคงจะได้เห็นด้วยความพิศวงทุกคนด้วยกันว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้นเมื่อทรงประทับนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้น ตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งจบ ไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย

    นอกจากนั้นยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียะกิจอย่างกระฉับกระเฉงต่อเนื่อง ไม่มีอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อยหรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวประมาณ 4 ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคนได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก

    ในการประกอบพระราชกรณียะกิจอื่นๆ ก็เช่นกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่แสดงว่าเอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรีที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย เป็นต้น ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรีตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯไปสรง ในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน

    ในการทรงเรือใบก็เช่นกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ ครั้งหนึ่งเคยเสด็จออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้มาเฝ้าฯอยู่ด้วยความฉงนว่า เพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าฟาวล์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นงานอีกชนิดหนึ่งที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อ และต่อเนื่องไปจนเสร็จเหมือนกัน

    พระราชกรณียะกิจอื่นๆ นั้น ทั้งน้อยและใหญ่ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือ ด้วยการเอาพระราชหฤทัยจดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะ จนกว่าจะเสร็จและไม่ทิ้งขว้าง แบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นว่าพระราชกรณียะกิจทั้งหลายนั้นสำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่ ผมไปรู้เอาหลังจากการเข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ไม่นานนักว่า ที่ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียะกิจได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ

    ผมไม่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงดำริฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ.2499 เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ( วัดพระแก้ว ) หลังจากทรงผนวชแล้วประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณะเพศเป็นเวลา 15 วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ ทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ( เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์ ) ให้เป็นพระอภิบาล ( พระพี่เลี้ยง ) ของพระเจ้าอยู่หัว

    เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้จะทรงมีเวลาน้อย แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย

    เมื่อผมเข้าเป็นตำรวจพระราชสำนักประจำปี พ.ศ.2513 นั้น ปรากฏว่าการศึกษาและปฏิบัติสมาธิหรือกรรมฐานในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นประจำ และข้าราชบริพารหลายคนทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารก็กำลังเจริญรอยตามพระยุคลบาทอยู่ ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น ผมไม่ได้ตั้งใจจะฝึกสมาธิแม้ว่าจะเคยศึกษามาก่อน โดยเฉพาะจากหนังสือของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ

    แต่ระหว่างตามเสด็จโดยรถไฟจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อ พ.ศ.2515 เป็นการเดินทางไกลกว่าที่ผมคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟก็อ่านจบเล่มเสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ประจำที่ถวายหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ จึงลองทำดูบ้าง โดยใช้อานาปานสติ ( กำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้าและหายใจออก ) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และท่านพุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด และเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมาย และเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและเป็นอีกผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิมาเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้

    เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่าพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่า แม้จะใช้อานาปานสติเป็นอุบายในการทำสมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงไม่สามารถที่จะกำหนดพระอาสาสะ ( ลมหายใจเข้า ) และพระปัสสาสะ ( ลมหายใจออก ) ได้แต่ลำพังต้องทรงนับกำกับ วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่งนับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สองนับสอง หายใจเข้าครั้งที่สามนับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้านับห้า เมื่อถึงห้าแล้วหากจิตยังไม่สงบก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหาห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้น จนกว่าจิตจะสงบ

    ทรงรับสั่งว่าที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับ “ หนึ่งเข้า หนึ่งออก “ ตลอดเวลา

    พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิ ด้วยการรวบรวมและประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน แล้วก็ทรงพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่ ครั้งหนึ่งทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของสมเด็จพระญาณสังวรฯให้ผม รับสั่งว่าเป็นเทปบันทึกการแสดงธรรมเรื่องฉักกสูตร ( คือพระสูตรว่าด้วยธรรมหมวด 6 รวม 6 ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ) และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

    ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้วก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงแล้วเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิดแล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนักได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชทานกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯแล้วหรือยัง เป็นอย่างไร ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตามตรงว่า ฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียง แล้วตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ได้ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคเป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ และประโยคเทศน์ของท่านนั้นถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

    พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯเทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนใช่หรือไม่ ว่าสมเด็จฯท่านพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ทรงแนะนำว่าให้กลับไปทำใหม่ คราวนี้อย่าคิดไปก่อน ว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร สมเด็จฯหยุดก็ให้หยุดด้วย ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯจากเครื่องบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้นฟังด้วยสมาธิ สมเด็จฯหยุดตรงไหนผมก็หยุดตรงนั้น และไม่คิดไปก่อนว่าสมเด็จฯจะพูดอย่างไร คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส เทปบันทึกเสียงม้วนนั้นเป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง

    ครั้งหนึ่งหลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้จากการนั่งสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้นรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้าทำท่าทางเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวทรงวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรเลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้นอีก

    ครั้งหนึ่งหลังจากทำสมาธิแล้วผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ คือตัวผมและที่ปลายข้างล่าง ผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมากกลัวจะหลุดออกจากท่อจึงเลิกทำสมาธิ รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว ( มีสติ ) อยู่ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยังอยู่และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรกับตน

    ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้ “ดำรงสติให้มั่น“ ในเวลาทำสมาธิ ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะกำลังทำสมาธิอยู่พระจิตสงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็นพระกร ( แขนท่อนล่าง ) ลอกออกทีละชิ้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ ( หนัง ) ลงไปถึงพระอัฐิ ( กระดูก )

    พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิ ในการประกอบพระราชกรณียะกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนักในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ได้โดยไม่สะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จ หรือความล้มเหลวอันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียะกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

    ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศ ที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเราและของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาท ด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา.

    บทความโดยคุณ ปลิวลม

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=86546
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • king_53.jpg
      king_53.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.7 KB
      เปิดดู:
      706
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    "สุนทรภู่"
    เตือนภัยคนกรุงเทพฯด้วยบทกลอน ?

    [​IMG]

    [​IMG]

    เรื่องย่อกาพย์เรื่องพระไชยสุริยา

    พระไชยสุริยาเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาวัตถีมีมเหสีชื่อสุมาลี บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ และเป็นสุขมาช้านานจนกระทั่งเมื่อข้าราชบริพารและผู้มีอำนาจพากันลุ่มหลงในอบายมุข และเที่ยวข่มเหงราษฎรจนเดือดร้อนไปทั่ว ในที่สุดน้ำป่าก็ไหลบ่าท่วมเมืองจนผู้คนล้มตาย ผู้ที่มีชีวิตรอดก็หนีออกจากเมืองไป ทิ้งสาวัตถีกลายเป็นเมืองร้าง

    พระไชยสุริยาพามเหสีและข้าราชบริพาร หนีลงเรือสำเภาออกจากเมืองแต่ถูกพายุใหญ่ พัดเรือแตก พระไชยสุริยากับนางสุมาลีว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งแล้วรอนแรมไปในป่า พระดาบสรูปหนึ่งเข้าฌานเห็นพระไชยสุริยากับนางสุมาลีต้องทนทุกข์ทรมานก็เวทนา เพราะเห็นว่าพระไชยสุริยาทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่ประสบเคราะห์กรรมเพราะหลงเชื่อเสนาอำมาตย์ จึงเทศนาโปรดจนทั้งสองศรัทธาและบำเพ็ญธรรมจนได้ไปเกิดบนสวรรค์

    ที่มา http://www.nmk.ac.th/myweb/prachai_2.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img030.jpg
      img030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      349.2 KB
      เปิดดู:
      115
    • img031.jpg
      img031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      357.6 KB
      เปิดดู:
      74
    • img034.jpg
      img034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      317.8 KB
      เปิดดู:
      142
    • img036.jpg
      img036.jpg
      ขนาดไฟล์:
      381.5 KB
      เปิดดู:
      46
    • img037.jpg
      img037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      356.5 KB
      เปิดดู:
      48
    • img038.jpg
      img038.jpg
      ขนาดไฟล์:
      410.6 KB
      เปิดดู:
      50
    • img042.jpg
      img042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      275.2 KB
      เปิดดู:
      245
    • img045.jpg
      img045.jpg
      ขนาดไฟล์:
      403.1 KB
      เปิดดู:
      63
    • img046.jpg
      img046.jpg
      ขนาดไฟล์:
      124.1 KB
      เปิดดู:
      1,407
    • img047.jpg
      img047.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.1 KB
      เปิดดู:
      2,072
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เด็กน้อยวัย 7 ขวบ กับข้อความต่างมิติ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 !!!

    บทสนทนากับเดวิดจาก Inua วันที่ : 13 มีนาคม 2011 เรื่อง : สิ่งที่เกิดขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้น! ที่มา :Humans Are Free: David from Inua: March 2011! What is Happening and What Will Happen! ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของเด็ก 7 ขวบ ที่แม่ของเขานำไปพบจิตแพทย์เพราะเขาได้รับการติดต่อด้วยเสียงของมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น เด็กคนนี้ชื่อ"เดวิด"แม้อายุของเขาจะยังน้อยมากบนโลก แต่เขาก็ได้ถือคำตอบของจักรวาลมาด้วย ดังที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้

    เดวิดบอกจิตแพทย์ของเขาที่ชื่อ Aryana ว่า...เสียงที่เขาได้ยินนั้นมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เขาเรียกเสียงที่เขาได้ยินว่า Aghton พวกเขาทั้งสองมาจากกลุ่มดาวอื่น ซึ่งจะทำให้มีการติดต่อนี้ต่อไป จนกว่าเดวิดจะสิ้นสุดการเดินทางของเขาบนโลก เขาจะอยู่ที่นี่ประมาณ 200 ปี หากเรานับปีเหมือนที่เราทำในตอนนี้ แต่เร็วๆนี้ เราจะเข้าใจถึงความแตกต่างกันของเวลาดังที่เป็นอยู่ และก่อนที่จะจบช่วงแรก เดวิดบอกว่า Aghton ได้ขอให้จิตแพทย์ของเขาช่วยเขียนหนังสือเพื่อที่ข้อความของเขาได้ส่งกระจายไปในวงกว้างยิ่งขึ้น. .

    เดวิตบอกว่า โลกจะถูกทำให้การสั่นสะเทือนในการกระโดดเข้าสู่มิติที่สี่และที่ห้า แต่อาจทำให้มนุษย์สับสน เพราะคิดว่าเราอยู่ในความหนาแน่นของมิติที่สาม และมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีของร่างกายมนุษย์ ที่จะทำให้ร่างกายโปร่งเบาขึ้น พร้อมกับได้รับดีเอ็นเอสายใหม่ที่กระฉับกระเฉง

    เดวิดยังกล่าวว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงมีภารกิจแตกต่างกัน เมื่อมีก้าวกระโดดเกิดขึ้น (ที่มีการทดสอบใหม่ๆอยู่เสมอ) ภารกิจของโลกเรา คือการจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงนี้ทั้งหมด โดยรักษารูปร่างและโครงสร้างเอาไว้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคยมีการทำมาก่อน ดังนั้นเราทั้งหมดจะได้รับประสบการณ์นี้พร้อมกันเป็นครั้งแรก

    เดวิดกล่าวว่า โลกที่เขาจากมา เรียกว่า Inua และตั้งอยู่ใกล้กับ Orion และนี่ เป็นส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของเขา..Aryana Havah ได้พูดคุยกับเดวิดและถามคำถามที่สำคัญบางประการ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกและสิ่งที่จะมาถึง ถ้าคุณไม่ทราบว่าเดวิดเป็นใครโปรดอ่านบทความเหล่านี้ :กรุณาเก็บข้อความไว้ในใจด้วยว่า เดวิดเกิดมาในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเขาคำนึงแล้วว่าตัวเองเป็นมนุษย์ในช่วงชีวิตนี้ เมื่อเขาพูดถึงอดีต ผมสังเกตเห็นว่าเขาหมายถึงเราคนเดียว ซึ่งเพราะเป็นชาติแรกของเขาในโลก

    13 มีนาคม 2011

    Aryana : เกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม? ที่คุณได้บอกฉันว่า มนุษย์ได้เลือกแล้ว
    David : มีเวลาไม่มากนัก และมนุษย์ได้เลือกเส้นทางแล้ว

    A : เราเลือกเส้นทางที่เป็นด้านบวกหรือไม่?
    D : เส้นทางทั้งหมดเป็นบวก เพราะมันจะนำทางไปสู่สิ่งที่ดีกว่าทั้งหมด มนุษยชาติจะตื่นตัวและจะทบทวนทัศนคติของตนใหม่

    A : คุณกล่าวว่าเราจะต้องเชื่อมต่อกับการสั่นสะเทือนของโลก เราจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ?
    D : โดยการทำความเข้าใจในธรรมชาติและดาวเคราะห์โลก

    A : ช่วยอธิบายให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย ว่าหมายถึงอย่างไร ?
    D : คุณเห็นมั๊ย ว่าโลกมีชีวิตและมีความตระหนักรู้ เธอรู้สึกถึงสิ่งที่คุณและผมคิด (หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ) เราถูกล้อมรอบด้วยพลังงาน และทุกอย่างที่เรารู้สึก คิดหรือทำ คือการส่งผ่านข้อมูล ทุกอย่างของความคิดเป็นรูปแบบทางพลังงาน สิ่งที่คุณให้ไป จะถูกส่งกลับมาที่คุณเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้! เมื่อเราทำให้อารมณ์ก่อตัวเป็นตัวรูปเป็นร่างขึ้น หากคุณมีความกลัว คุณก็จะได้รับความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณผลิตหรือสร้างความสงบสุข ความสงบก็จะห่อหุ้มคุณ

    A : ช่วยบอกหน่อย ว่าเราควรทำอย่างไร?
    D : ให้คิดบวก มีความเชื่อความศรัทธา และมองโลกในแง่ดี แต่คุณต้องซื่อสัตย์ในทุกสิ่งที่คุณทำ (ผู้สร้างมีความยุติธรรม) คุณไม่สามารถทำแต่สิ่งไม่ดี แต่ร้องขอเพื่อจะได้รับสิ่งดีๆได้ หรือการที่คุณโกหก แต่ขอความถูกต้อง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเชื่อมต่อ สิ่งที่คุณคิด สิ่งทีคุณพูด สิ่งที่คุณทำ จะต้องเป็นบวกเท่านั้น

    A : คุณได้ทราบข่าวแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ และคุณคิดอย่างไร?
    D : ใช่ มันก็จะเกิดขึ้นและจะเกิดในที่อื่นๆด้วย โลกกำลังทำความสะอาด

    A : แล้วที่ไหนล่ะที่จะมีความปลอดภัยสำหรับฉัน ฉันควรต้องย้ายหนีหรือไม่?
    D : หากภารกิจของคุณคือการย้ายล่ะก็ จนถึงตอนนี้ คุณต้องย้ายไปก่อนแล้ว

    A : หลายคนบอกว่าเราควรจะย้ายขึ้นไปบนภูเขา หรือที่สูงๆ
    D : บางที ผู้ที่บอกว่าจริงๆเราต้องย้ายนั้น ไม่ว่าจะได้เข้าพำนักที่ใดใดก็ตาม มันก็เป็นที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

    Alex : นี้หมายความว่าเราได้เลือกเส้นทางของเราแล้ว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น จะเป็นรูปแบบเฉพาะ นำความเชื่อมั่นของจิตวิญญาณผู้นำทางของคุณด้วยตนเองและทำตามที่คุณรู้สึก! ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยหลังแผนอันศักดิ์สิทธิ์ เราจะต้องสงบ มีความสมดุล และยึดมั่นอยู่ในแผน ยอมรับมันและยอมรับพลังงานใหม่ การดำรงอยู่ด้วยสมาธิมากขึ้น จะเป็นการทำให้มี"ฟอง"แห่งความรักคุ้มครองอยู่เสมอ จงมีพลังด้านบวกแห่งอนาคตอยู่ในหัวใจ จงอธิษฐานถึงมันเถิด...!

    และข้อมูลต่อไปนี้จะต้องส่งถึงผู้ที่ต้องการ กรุณาแบ่งปันให้กับคนที่คุณรู้จัก เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมาก

    A : ดวงอาทิตย์จะส่งผลกระทบต่อเราหรือไม่?
    D : ใช่ เป็นอันตรายมาก! มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้แย่ลง หลายๆคนจะบ้าคลั่ง เราควรจะทราบวิธีการป้องกันตัวเองเอาไว้

    A : ด้วยวิธีการใดหรือ?
    D : Aghton บอกว่า คุณมีความคิด ที่ถูกต้องอยู่แล้ว

    Alex : "Aghton" เขามีชีวิตอยู่ที่ดาว Inua ที่ยังมีการมีการติดต่อเกือบตลอดเวลากับเดวิด และคอยช่วยเขา เดวิดเป็นผู้ที่สามารถได้ยินเสียง" Aghton" เช่นเดียวกับเสียงโทรศัพท์ภายในหัวของเขา "Aghton" สามารถที่จะแสดงทุกอย่างที่เดวิดต้องการ เช่นเดียวกับภาพยนตร์ รวมทั้งอดีตของเขา เมื่อครั้งที่เขามีชีวิตอยู่บนดาว Inua โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดาวิดในลิงค์ที่ให้ไว้ข้างต้น

    A : กรงขังของฟาราเดย์?
    D : Aghton กล่าวว่าใช่ แต่ฉันเองก็ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คืออะไร

    A : เป็นกรงโลหะที่จะสร้างเขตพื้นที่ที่ทะลุทะลวงเข้าไปไม่ได้ แต่นานเท่าไหร่ที่เราควรจะต้องอยู่ภายในนั้นล่ะ?
    D : 6 วัน สองวันต่อครั้ง -- (รวม 3 ครั้ง) --

    A : หลังจากนั้น ก็หมายความว่าจะมีไม่มีไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ ?
    D : ใช่

    A : ผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นจำนวนมาก พวกเขาจะเป็นยังไง?
    D : ผมไม่ทราบ มีสิ่งหนึ่งที่แต่ละคนสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

    A : ฉันไม่เห็นด้วย! มีคนที่ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรและพวกเขาจะสับสนมาก
    D : พวกเขารู้สิ่งที่จะต้องทำ แต่เขาไม่สนใจมัน พวกเขาควรจะทำในสิ่งที่พวกเขารู้สึกและปรารถนา! แต่ทุกอย่างถูกตั้งค่าแล้ว มันจะเป็นวิธีการที่มันควรจะเป็นและมนุษย์จะมีการเริ่มต้นใหม่ (...)

    ผมรู้ถึงสิ่งที่จะถูกเปิดเผยให้ปรากฎ แต่ฉันไม่ต้องการที่จะบอกคุณ Aghton กล่าวว่า มันไม่ใช่ภารกิจของฉัน บรรดาผู้ที่ปกครองเหนือเราเกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว และแผนการของพวกเขานี้เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือ (มนุษย์) ของคุณ! จากนี้ไปมีเพียงผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับความดีของตัวเราเอง ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้จะเลวร้ายมากสำหรับมนุษย์...

    จงปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นไปตามแผน และเราจะได้รับการปลดปล่อยจากการสั่นสะเทือนเชิงลบ ฉันไม่สามารถพูดมากกว่านี้ได้ เพราะ Aghton บอกว่าคุณจะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้สำหรับตัวคุณเอง สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือการนำ"ความหวัง" ไม่ใช่ "ความกลัว" ถ้าคุณเพียงแต่ขอ แต่ไม่ทำอะไรเลย มันก็ไร้ประโยชน์

    A : เราสามารถหลบหนีรังสีโดยอาศัยอยู่ในถ้ำได้หรือไม่?
    D : Aghton กล่าวว่าไม่ได้ การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่จะส่งไปถึงแกนโลก แต่การ"สั่นสะเทือนส่วนบุคคล"จะมีความสำคัญมาก!

    A : วิธีการที่เราจะสามารถยกระดับการสั่นสะเทือนของเรา จะตัองทำอย่างไร?
    D : ต้องเป็นผู้มีเมตตา จิตใจดีงาม และคิดบวก

    A : มีอะไรที่คุณสามารถบอกฉันได้อีกหรือไม่ ?
    D : เมื่อใดที่ทุกๆอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด...มันก็จะดี...ดีมากจริผู้คนจะแตกต่างไปจากเดิมมาก พวกเขาจะรู้ถึงสิ่งพวกเขาผิดพลาดไป โลกจะเต็มไปด้วยความเมตตา มีความเอื้อเฟิ้อเผื่อแผ่ต่อกัน มันไม่ยากเกินไปหรอก เพราะว่าพวกเราเกือบจะถึงที่นั่นอยู่แล้ว!

    ฉันต้องการจะบอกกับคุณว่า มีเส้นทางสายใหม่ที่ดีกว่าที่เราจะเดินและปฎิบัติตาม แต่ก็มีเส้นทางสายหนึ่งที่ตรงกันข้ามอย่างมากด้วยเช่นกัน โชคดีที่เราไม่ได้อยู่บนถนนสายนั้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ยอดเยี่ยม จะจัดการเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อตัวเขาเองได้

    A : และเรายังคงจะต้องเผชิญกับ 2-3 ปีแห่งความยากลำบาก?
    D : ใช่

    A : มันจะเริ่มต้น เมื่อไหร่ ?
    D : ตอนนี้มันเริ่มต้นแล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคม

    A : นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเรียบร้อยในปี ค.ศ. 2014?
    D : ใช่

    Alex : พี่น้องของฉัน นี้เป็นบทสนทนาเล็กๆบางส่วน กับเดวิด ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ว่าฉันมีความสุขขนาดไหน หลังจากอ่านมัน

    เพื่อให้เดวิดได้จุติลงมาบนโลก..ชาว Inuakis รวมทั้งสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ได้เข้ามาแทรกแซงใน Matrix ของโลก เพื่อที่จะให้วิญญาณของพวกเขาส่งเข้ามาในการจุติบนโลก พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว และนอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการสั่นสะเทือนของโลกด้วยการแสดงตนของพวกเขา เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนให้เพิ่มสูงขึ้น ก่อนและหลังการก้าวกระโดด

    บางส่วนของโลกเรา ก็มีจิตวิญญาณเก่าแก่ที่มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อยู่มากมายด้วย เพื่อช่วยในมนุษย์โลกก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงในปี 2012 ซึ่งบางคนก็อาจจำอะไรไม่ได้ แต่มันมีอยู่ในโปรแกรมของพวกเขา ที่จะไม่จำอะไรจนกว่าจะได้ระลึกรู้มันอีกครั้ง ในปี 2012

    ที่มา http://hmongzones.com/topic/4660-ntuj-txoj-kev-cawm-dim-thiab-cawm-siav/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled.jpg
      untitled.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.9 KB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  20. เขามอ

    เขามอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +539
    เมื่อ สิบปีก่อน ผมมีความเชื่อว่า ตัวเราตายแล้วสูญไปเลย ไม่มีชีวิตหลังความตาย การเกิดใหม่ เป็นเรื่องธรรมชาติไม่เกี่ยวกับตัวเรา จนกระทั่งบุญได้นำให้พบกับ เทศนาธรรมของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ) เรื่อง ตายแล้วไปไหน ในเว็ป พระนิพาน ทำให้ผมได้กลับมาอยู่ในเส้นทาง ธรรม แทนการเดินไป อบายภูมิ

    เมื่อปี 2552 ได้ไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลพบุรี ท่านอาจารย์เจ้าอาวาสได้เทศนา บอกว่า ครูบาอาจารย์ของท่านได้สื่อมา ต่อไป โลกจะหยุดหมุน 3 วัน จะมีภัยพิบัติจะเกิดขึ้นจนถึงปี 2560 ผู้ที่มีศีล มีธรรม จึงจะมีโอกาสรอด ทีแรกฟังแล้วก็นั่งคิดในใจว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร โลกจะหยุดหมุน 3 วัน จนกระทั่งได้เข้ามาที่เว็ปพลังจิต และ ติดตามข่าวสารภัยพิบัติ และข้อมูลจากสมาชิกหลายท่าน ก็ทำให้ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ อย่างที่อาจารย์ท่านเตือนไว้ ที่น่าแปลกใจ คือพบว่า ข้อมูลจากหลายสาย ทั้งทาง พระฯ และ นักวิทยาศาสตร์ไทยบางท่าน และ ZETA มีความสอดคล้องกัน อย่างเหลือเชื่อ เพราะ พระอาจารย์ที่วัด ทั้งอินเตอร์เน็ต และ คอมฯ ก็ใช้ไม่เป็น โดยส่วนตัวจึงทำให้มีความเชื่อถึงการเกิดภัยพิบัติครั้งนี้มากกว่า ครั้งก่อน ๆ ที่จะได้ยินได้รู้มาเฉพาะทางฝ่ายฝรั่งฝ่ายเดียว เรื่องนี้ใครจะเชื่อ หรือ ไม่ ก็ไม่ว่ากันครับ
    อยู่ที่ การใช้วิจารณญาณ แต่ก็ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...