บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ เรื่องภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ลุงคนเชียงใหม่, 21 ตุลาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    เรื่องบ่อน้ำเป็นอะไรที่สำคัญที่สุด ให้ขุดไม่ลึกเกิน15ม ครับให้ใช้นำ้ผิวดินแทน ที่สำคัญต้องมีกรองหลายชุดช่วยกรองนำ้ให้สะอาดที่สุดของผมใช้กรองใหญ่3ชุดและกรองรีเวอสกับกรองยูวีอีกอย่างละหนึ่งครับ นำ้กินให้ซื้อนำ้สิงห์แพค6ขวดขนาด1.5ลิตรรอไว้เลย ราคาที่แมคโคร48บาทผมมี150แพคครับรีบไปซื้อได้แล้วครับ ปากบ่อให้เทปูนหนา30ซม.ปิดทับไว้แล้วเทห่างออกมาจากปากบ่อด้านละ1ม.ครับ
     
  2. tastiny

    tastiny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอถามคุณหมอหน่อยครับ ว่าน้ำที่ระดับลึกมีปัญหาอะไรหรือครับ

    ผมยังเข้าใจว่าน้ำที่ระดับตื้น หรือน้ำผิวดินมีการปนเปื้อนได้ง่าย
    ทั้งยาฆ่าแมลง สารเคมี ฯลฯ จากบ้านเรือนและอุตสาหกรรม
    รวมถึงกัมมันตรังสีต่าง ๆ ถ้าเกิดมีขึ้น

     
  3. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    ขอโทษครับตอบช้า มัวแต่ผ่าตัดอยู่ครับ เรามาว่ากัน.
    ช่วงเกิดภัยพิบัติแหล่งนำ้บนดินทั่วไปใช้อุปโภคบริโภคไม่ได้และไม่ควรครับ
    เราก็มาคิดกันว่าอะไรดีสุด. นำ้ฝนก็เป็นพิษ สุดท้ายมาได้นำ้บ่อบาดาลครับ
    ในยามปกติไม่มีแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากแนะนำเจาะให้ลึกเข้าไว้200ม.ยิ่งดีครับจะได้นำ้ที่ใสสะอาดมากจากการกรองผ่านชั้นหินและทรายหลายชั้นมาก
    แต่ในกรณีที่มีภัยพิบัติต้องคิดอีกแบบครับ ดังนี้
    กรณีแผ่นดินไหวจะมีรอยแยกเกิดขึ้นในชั้นหินใต้ดินหลายครั้งเราพบว่าแหล่งนำ้ชั้นหินลึกเหล่านี้หายไปจนเกิดเป็นหลุมยุบขึ้นได้ตามมาดังนั้นมีโอกาสอย่างสูงที่จะไม่มีนำ้ใช้หลังเกิดแผ่นดินไหว
    การเจาะหลุมลึกจะมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างใกล้เคียงได้
    แล้วการเจาะบาดาลผิวดินที่ไม่ลึกจะต้องมีหลักการง่ายๆคือเลือกเจาะบริเวณห่างจากหลุมส้วม50ม.อย่างน้อยและห่างจากที่ทำกสิกรรม500ม.อย่างน้อยและนำ้ที่ได้จะต้องผ่านกรรมวิธีกรองและฆ่าเชื้อก่อนอุปโภคเสมอและห้ามนำไปบริโภคเด็ดขาดครับ
    แล้วน้ำที่ได้จากบาดาลชั้นหินลึกก็มีโอกาสจะปนเปื้อนกับSO2,NO2จากแผ่นดินไหวได้สูง
    นอกจากนั้นผมยังแนะนำให้เทปูนปิดปากบ่อกันน้ำบนดินเข้ามาปนเปื้อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  4. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ตอนนี้น้ำใช้ที่บ้านเจาะบาดาลลึก 27 เมตร สูบขึ้นเก็บบนหอสูง ในถังน้ำดื่มไฟเบอร์ ตามแบบของกรมโยธาฯ
    แพลนว่าจะผ่านเครื่องกรองก่อนใช้อุปโภคบริโภค สงสัยว่าน้ำจะยังมีโอกาสปะปนเชื้อหรือไม่คะ
    ช่วยแนะนำด้วยคะ
     
  5. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ถ้าใช้เครื่องกรองน้ำ RO ก็สบายใจได้ไม่มีเชื้อโรคแน่นนอนครับ แต่ถ้าเชื้อโรคฟุ้งกระจายมากับอากาศก็ต้องทำใจ หรือไม่ก็ต้มน้ำกรองอีกครั้งครับ
     
  6. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452

    ขอบพระคุณมาก ค่ะ

    น้ำต้มสะอาดจริงแท้แน่นอน แต่กว่าจะรอให้เย็นใช้ดื่มใช้อาบ คงต้องลงไปนอนแน่แท้ .. 55555


     
  7. jack999924

    jack999924 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +69

    ผมอ่านก็ยังมีความเห็นตามคุณ Rawat 99
    ว่าเมื่อบุคคลผู้นั้นบรรลุอรหัตผลแล้ว
    สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ไม่อาจหวลกลับมาอีกได้
    เรียนท่านผู้รู้อธิบายเรื่องของท่านท้าวมหาพรหมชินะ
    เพื่อความกระจ่างแก่ผมได้ไหมครับ
    ขอบพระคุณครับ
     
  8. jack999924

    jack999924 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +69
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ mon_kasem [​IMG]
    สวนอีกบท
    บทชินบัญชร
    ----------------------------------------
    ในอดีตกาลครั้งองค์สมณะโคดมเจ้า ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครานั้นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของพระพุทธองค์ คือ พระโมคคัลลานะ ผู้เลิศในอิทธิฤทธิ์ และพระสารีบุตรผู้เลิศในปัญญา ณ แคว้นพาราณสี ปรากฏเด็กน้อยนามว่า ชินนะ บุตรของมะติโตพราหมณ์ และนางยะถานาพราหมณ์ โคตรบัญจะระ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแห่งองค์พระศาสดาแต่ครั้งเยาว์วัย ได้บวชเป็นสามเณร และเป็นศิษย์ของพระโมคคัลลานะ สามเณรชินนะ ทรงภูมิปัญญาเป็นที่เฉลียดฉลาดเป็นยิ่ง ศรัทธาในการบิณฑบาตอย่างสงบขยันหมั่นเพียรเป็นนิจ ครั้นอายุได้เพียง 7 ขวบก็สำเร็จอรหันต์

    สามเณร ชินนะ บัญชะระ นับว่ามีรูปงาม เสียงไพเราะ รู้พิธี เจ้าระเบียบ รอบคอบด้วยความสะอาด ตั้งอยู่ในศีลาจาวัตรอันงดงาม
    ครั้นย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม รูปร่างของท่านชินนะ บัญจะระ ยิ่งสวยสดงดงาม ผิวขาวละเอียดประดุจหยก หน้าแดงระเรื่อสีชมพู คิ้วโก่งดังคันศร ไว้เกษาเกล้าจุก เยื้องย่างสง่างามประดุจราชสีห์ ด้วยรูปงามเป็นที่ต้องตาต้องใจของสตรีเพศ จึงมีสตรีเพศต่างหลงใหลในตัวของท่านชินนะเป็นอย่างยิ่ง ด้วยท่านชินนะนั้นยึดพรหมจรรย์เป็นสรณะจึงมีแต่ความสงบ

    แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ท่านชินนะได้ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ได้มีหญิงผู้หนึ่งซึ่งแอบหลงรักท่านชินนะ มิอาจยับยั้งใจเอาไว้ได้จึงได้โผผวาเข้ากอดท่านชินนะอย่างลืมตัว ท่านชินนะ เห็นอาการของผู้หญิงคนนั้นกระทำแก่ท่านดังนี้ก็บังเกิดความสังเวชอย่างใหญ่ หลวง อันพรหมจรรย์ของท่านต้องมาแปดเปื้อนเสียดังนี้ ความยึดมั่นในพรหมจรรย์ของท่านต้องมาสะบั้นลง ท่านจึงดำริขึ้นว่า "ตัวท่านนี้มีรูปงามเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดอกุศลกรรมแก่อิตถีเพศ เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นด้วยมีกายรูปนี้เป็นเหตุ จะมีสักเท่าใดกันหนอที่ปรารถนาล่วงพรหมจรรย์ของท่านเช่นผู้หญิงคนนี้.."

    ท่านชินนะ คิดดังนี้ เห็นกายเป็นเหตุ กายทำให้พรหมจรรย์จิตเสื่อมสลาย กายก่ออกุศลจิตให้เกิดเป็นบาปกับอิตถีเพศผู้ยังมัวเมาในรูป ท่านจึงถอดกายทิพย์ออกจากร่าง ทิ้งสังขารไว้เมื่อยังไม่ถึงกาล เมื่ออายุท่านเพียง 23 ปี 6 เดือน กายทิพย์ของท่านจึงไปได้แค่ชั้นพรหมโลก ท่านชินนะ นับว่าเป็นผู้รอบรู้พิธีการต่างๆของโลกวิญญาณ ท่านสามารถสวดพระคาถาคลายพระเวทย์ได้อย่างเยี่ยมยอดยามท่านสวดพระคาถาไม่ว่า บนโลกหรือบนสวรรค์เสียงของท่านจะก้องกังวานไปทั่วนรกภูมิ และสวรรค์สามสิบสามชั้นเทพพรหมได้ยินจะสะเทือนจิตออกจากสมาบัติหมดสิ้น เพื่อรับทราบพิธีการที่ท่านชินนะจัดขึ้น

    ท่านชินนะบัญจะระ มีกายละเอียดอยู่ในชั้นพรหม ขณะนี้เป็นชั้นหัวหน้ารูปพรหม 16 ชั้น ควบคุมทั้งหมด ดังด้วยว่าสตรีเพศเป็นผู้ทำลายความบริสุทธิ์ของท่านเสียก่อนดังนี้ ทำให้ท่านละสังขารก่อนถึงกาลเวลาแห่งอายุดังนี้ จึงทำให้ท่านมีกำลังบุญอยู่ในแค่ชั้นพรหม ดังนั้นท่านจึงต้องสร้างบุญในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบุญบารมีนำท่านขึ้นไปสู่ แดนอรหันต์ ดังนั้น ชินบัญชรคาถา หากท่านได้ภาวนาเป็นประจำสม่ำเสมอจักก่อให้เกิดผลดียิ่งแก่ผู้ภาวนา เพราะท่านท้าวมหาพรหม ชินนะบัญจะระ จะทรงแผ่อำนาจลงมาช่วยท่านตลอดเวลาคิดหวังอะไรย่อมสมหวังยิ่ง


    ผู้พิชิตมารทั่วพิภพ... ท้าวมหาพรหมชินนะ ท่านเป็นพระพรหมที่มีฤทธิ์เดช ที่เรียกว่าพญามารหรือมารทั้งหลายกลัว ในด้านของมารโลเก โลกของมารของพวกวิญญาณ ดังนั้นก็เรียกว่า ท่านมีรูปของท้าวมหาพรหมชินนะอยู่ในบ้านก็คิดว่าอุปสรรคในการกลั่นแกล้งของ วิญญาณ พวกที่เรียกว่ารุกขเทพก็ดี พวกอมรมนุษย์ก็ดี พวกผีเปรตอสุรกายก็ดี คิดว่าไม่กล้าย่างกราย

    ตามความเห็นที่ 140 ของคุณ Rawats 99
    จิตที่ถึงอรหัตแล้วจะไม่เสื่อมคลาย....การที่หญิงสาวมากอดแล้วตัวเองไม่ได้มีจิตคิดตาม...ก็ไม่ได้หมายความถึงการสูญสิ้นพรหมจรรย์...ใครรับรองเรื่องนี้ครับ..เว้นแต่ว่าท่านเหล่านั้นจะยังอยู่ในภูมิจิต..อนาคามี.สกิทาคามี...โสดาบัน..ลองทำความเข้าใจใหม่ครับ..<!-- google_ad_section_end -->

    ผมก็มีความเห็นเช่นเดียวกับคุณ Rawats 99
    รบกวนท่านผู้รู้ อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อความกระจ่าง
    ของตัวกระผมและท่านอื่นๆอีกหลายท่าน
    เพราะตามที่ผมเข้าใจก็คือ เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว
    เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เข้าสู่แดนนิพพานแล้ว
    ไม่น่าจะกลับมาระดับที่ต่ำกว่า คือ ชั้นพรหมได้ ใช่ไหมครับ
     
  9. บุญส่งผล

    บุญส่งผล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +22
    คุณหมอวางระบบห้องน้ำในตู้คอนเทนเนอร์อย่างไรคะ ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยกลัวช่างทำแล้วเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ระบบระบายอากาศเวลาที่นำดินมากลบทับตู้คอนเทนเนอร์คุณหมอทำอย่างไรคะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่กรุณาให้คำแนะนำ
     
  10. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    ตอบอันแรกก่อน ส้วมในคอนฯผมใช้ที่เป็นห้องน้ำสำเร็จภายในตู้มาแล้วครับแล้วมาต่อท่อน้ำทิ้งลงถังsat โดยฝังถังไว้ที่ระดับต่ำกว่าตู้คอนฯครับ แนะนำใช้ท่อPEครับ ขนาด3นิ้วลงถังครับ และจากถังต่อท่อน้ำทิ้งออกมาลงท่อระบายน้ำตามปกติที่หน้าบ้านครับ
    ปัญหาคือ กลิ่นครับแก้ไขโดยสวมท่อระบายอากาศขนาดใหญ่ที่ถังsatครับ ส่วนน้ำประปาผมใช้สายยางใยแก้วครึ่งหุนต่อน้ำมาจากก็อกน้ำครับแล้วต่อเป็นก็อกก่อนเข้าตู้คอนฯครับ
    ผมไม่ได้ฝังตู้คอนฯนะครับอันนั้นเป็นของคุณต้นที่สามครับ ของผมใช้วางบนซีเมนต์ที่เทรอบตัวตู้ครับระบบระบายอากาศใช้พัดลมDC 12v 14ตัวดูดอากาศผ่านแผ่นกรอง3m แล้วมีหลอดโอโซนติดที่ทางเข้าออก2หลอด ภายในมีplasmacluster ของ sharp 1ตัวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2012
  11. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณจะไปเชื่อแค่เรือ่งที่เขาว่ามาทำไม
    ถ้าไปเชื่อเรื่องที่ใครๆเขาว่าทั้งหมด มันตีกันอีลุงตุงนัง
    ลางทีก็ขัดกันเอง หาจุดจบสิ้นไม่ได้
    เอาแค่ในเวบนี้มันก็มีความเชื่อหลายรูปแบบ
    บางคนว่าเป็นพระอรหันต์แล้วกลับมาเกิดใหม่
    อย่าว่าแต่พระอรหันต์เลย
    บางคนว่าพระพุทธเจ้ายังกลับมาเกิดใหม่ได้เลย
    บางคนว่าแบ่งภาคได้อีก
    บางคนว่ามนุษย์อายุ 6 หมื่นปี (หมายถึงรวมเกิดๆตายๆ)จะได้เข้านิพพาน
    (ไม่รู้เอามาจากไหน)
    หารู้ไม่ มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดมานับอสงขัยแล้ว
    บางคนว่าขณะนี้ อสูรยึดสวรรค์ไปแล้ว
    ท้าวสักกะเทวราช และเหล่าเทวดา ตกสวรรค์ไปเสียสิ้นกลายเป็นผู้ลี้ภัย
    และอีกมาก.... ขี้เกียจจำ
    ไม่รู้จะจินตนาการกันไปถึงไหน

    ระหว่างคำพูดคนโน้นที คนนี้ที
    กับคำสอนของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเลือกเชื่อใครครับ
     
  12. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ผมคิดไว้แล้วครับว่า อาหารอะไรที่เก็บไว้กินได้นาน.. ทาโร่,เลย์,โก๋แก่, พวกนี้เก็บได้เป็นปีครับ มีทั้งโปรตีน,คาร์โบไฮเดรต,ไขมัน แล้วก็ซื้อวิตามินซีเม็ดไว้สัก 2 ขวด ก็จะมีครบ
    .
    เสริมพวกเครื่องดื่มชูกำลัง ผมว่าอยู่ได้นาน พวก m150 ,กระทิงแดง,คาราบาว มีวิตามินบี 12 พวกนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ มีวิตามิน,น้ำตาลกลูโครสสูง..
    .
    ที่เหลือก็เตรียมระยะยาว ก็เป็นข้าวสัก 2 กระสอบ, เมล็ดพืชผักใส่กระป๋องไว้ เอาไว้ปลูกกินต่อ,
     
  13. Pa-Ing

    Pa-Ing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +199
    ปูน 320 คืออะไรคะ ไม่เข้าใจ ขอบคุณคะ


    ปูน 320 คืออะไรคะ ไม่เข้าใจ รบกวนช่วยขยายความให้หน่อยคะ
     
  14. tastiny

    tastiny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +59
    เข้าใจว่า 320 คือความกำลังรับน้ำหนักของคอนกรีตที่ใช้ครับ
    320ksc. คือต้องใช้น้ำหนักกด 320 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตร.ซม. คอนกรีตถึงพังครับ
    ปกติในบ้านทั่ว ๆ ไปจะใช้กำลังคอนกรีตที่ 180-240 ksc ครับ

     
  15. Stone PhD

    Stone PhD Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +56
    ใช่แล้วครับ ksc = kilogram per square centimetre.
    ปกติแล้วค่าของการรับกำลังของ คสล. (คอนกรีตเสริมเหล็ก) จะไม่ขึ้นกะการรับแรงกดของปูนนะครับ.
    เพราะปกติแล้ว critical factor จะอยู่ที่เหล็กภายในซึ่งมีหน้าที่รับแรงดึง และแรงเสียดทานระหว่างเหล็กกะคอนกรีตครับ.
    ถ้าต้องการให้พื้นคสล.สามารถรับแรงแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นแรงจาก 8 ทิศทาง จะต้องวางเหล็กบนและล่าง ให้เชื่อมถึงกันที่ปลายพื้นด้วยครับ
     
  16. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    ผมขออ้างตามที่พระคุณลุงคนเชียงใหม่ได้เคยโพสไว้ปี2006ดังนี้
    อยากได้ข้อมูล
    1.แบบบ้านที่ทนต่อแผ่นดินไหว
    1.1 ที่ราคาไม่แพง
    1.2 รองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ แผ่นดินไหว น้ำท่วมหลาก(น้อยๆเพราะอยู่บนเขาอยู่แล้ว)
    2. รูปแบบของการจัดการระบบอาหาร แบบไม่พึ่งไฟฟ้า
    3. การจัดการระบบพลังงานในพื้นที่(กรณีที่โลกมืดไป 7ราตรีเหมือนคำทำนายของหลายๆฝ่าย)
    4. ระบบการจัดการชุมชนให้สามารถอยู่ได้
    5. ระบบการสื่อสาร/รับข้อมูล
    6. การเตรียมการด้านสิ่งเหนือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ(ที่คนอื่นจะเข้าใจ) เช่นกรณีเกิดภูตผีปีศาจ
    7.การเคลื่อนเข้าสู่ชุมชนของสมาชิกในหมู่บ้านกรณีเกิดปัญหาขึ้น(เตือนกันอย่างไรดี หรือใครตัดสินใจที่จะเตือนสมาชิกเข้าสู่ชุมชน)
    ท่านสมช.ทั้งหลายคงเคยได้ทราบชื่อ หมู่บ้านพุทธบุตร กันมาแล้ว ทีนี้สมช.ก็ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ที่หนใดในแถบสเมิงและจะเข้ากลุ่มอย่างไรกันดี จะต้องช่วยอะไรบ้างไหม
    เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมแนะนำที่ ที่เกจิอาจารย์ที่ได้ทราบเรื่องภัยพิบัติและได้เตรียมการต่างๆไว้ให้แล้วแต่คนนอกไม่ค่อยทราบเรื่องนี้เท่าไรนัก และเป็นสถานที่ที่ผมและพวกเลือกไว้เป็นสถานที่สำรองอันดับที่1ถ้าที่หลบภัยของกลุ่มผมได้พังลง
    สถานที่นั้นคือ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ที่องค์ครูบาวงษ์ได้จัดเตรียมไว้ครับแต่ก่อนที่จะลงรายละเอียดถึงสิ่งต่างๆที่ท่านได้เตรียมการไว้แล้วมีคนไม่มากนักที่รู้ว่าท่านทำไว้ทำไมผมขอย้อนเล่าถึงประวัติท่านเล็กน้อยครับ
    ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ท่านเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาที่ยากจน พ่อแม่ของท่านมีสมบัติติดตัวมาแค่นา ๓-๔ ไร่ ควาย ๒-๓ ตัว ทำนาได้ข้าวปีละ ๒๐-๓๐ หาบ ไม่พอกินเพราะต้องแบ่งไว้ทำพันธุ์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ใส่บาตรทำบุญบูชาพระ ส่วนที่เหลือจึงจะเก็บไว้กินเอง ต้องอาศัยขุยไผ่ขุยหลวกมาตำเอาเม็ดมาหุงแทนข้าว และอาศัยของในป่า รวมทั้งมันและกลอยเพื่อประทั้งชีวิต บางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อก็มี แม่ต้องไปขอญาติพี่ๆน้องๆ เขาก็ไม่มีจะกินเหมือนกัน แม่ต้องกลับมามือเปล่า พร้อมน้ำตาบนใบหน้ามาถึงเรือน ลูกๆก็ร้องไห้เพราะหิวข้าว
    แม้ว่าครอบครัวของท่านต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดทนอยากแต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องการทำบุญให้ทาน ข้าวที่แบ่งไว้ทำบุญ แม่จะแบ่งให้ลูกทุกคนๆละปั้น ไปใส่บาตรบูชาพระพุทธทุกวันพระ
    โยมพ่อเคยสอนว่า " ตอนนี้พ่อแม่อด ลูกทุกคนก็อด แต่ลูกๆทุกคนอย่าท้อแท้ใจ ค่อยทำบุญไปเรื่อยๆ บุญมีภายหน้าก็จะสบาย " และโยมพ่อเคยพูดกับท่านว่า
    " ลูกเอ๋ยเราทุกข์ขนาดนี้เชียวหนอ ข้าวจะกินก็ไม่มี ต้องกินไปอย่างนี้ ค่อยอดค่อยกลั้นไป บุญมีก็ไม่ถึงกับอดตายหรอก ทรมานมานานแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังไม่ตาย มันจะตายก็ตาย ไม่ตายก็แล้วไป ให้ลูกอดทนไปนะ ภายหน้าถ้าพ่อยังไม่ตายเสียก่อนก็ดี ตายไปแล้วก็ดี บางทีลูกจะได้นั่งขดถวายหงายองค์ตีน ( บวช ) กินข้าวดีๆอร่อยๆ พ่อนี่จะอยู่ทันเห็นหรือไม่ทันก็ยังไม่รู้ "
    ผู้มีความขยันและอดทน
    ในสมัยที่ท่านยังเล็กๆอายุ ๓-๔ ขวบ ท่านมีโรคประจำตัวคือ โรคลมสันนิบาต ลมเปี่ยวลมกัง ต้องนั่งทุกข์อยู่เป็นวันเป็นคืน เดินไปไกลก็ไม่ได้ วิ่งก็ไม่ได้เพราะลมเปี่ยว ตะคริวกินขากินน่อง เดินเร็วๆก็ไม่ได้ ต้องค่อยไปค่อยยั้ง เวลาอยู่บ้านต้องคอยเลี้ยงน้อง ตักน้ำติดไฟไว้คอยพ่อแม่ที่เข้าไปในป่าหาอาหาร
    ในช่วงที่ท่านมีอายุได้ ๕-๑๐ ขวบ ท่านต้องเป็นหลักในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ต้องช่วยงานพ่อแม่มากที่สุด เวลาพ่อแม่ไปไร่ไปนาก็ไปด้วย เวลาพ่อแม่ไปหากลอยขุดมัน หาลูกไม้ในป่า ท่านก็ไปช่วยขุดช่วยหาบกลับบ้าน บางครั้งพ่อแม่หลงทางเพราะไปหากลอยตามดอยตามเนินเขา กว่าจะหากลอยได้เต็มหาบก็ดึก ขากลับพ่อแม่จำทางไม่ได้ ท่านก็ช่วยพาพ่อแม่กลับบ้านจนได้
    ครั้นถึงหน้าฝน พ่อแม่ออกไปทำนา ท่านก็ติดตามไปช่วยทุกอย่าง พ่อปั้นคันนาท่านก็ช่วยพ่อ พ่อไถนาท่านก็คอยจูงควายให้พ่อ เวลาแม่ปลูกข้าวก็ช่วยแม่ปลูกจนเสร็จ
    เสร็จจากหน้าทำนา ท่านก็จะเผาไม้ในไร่เอาขี้เถ้า ไปขุดดินในถ้ำมาผสม ทำดินปืนไปขาย ได้เงินซื้อข้าวและเกลือ บางครั้งก็ไปอยู่กับลุงน้อยเดชะรับจ้างเลี้ยงควาย บางปีก็ได้ค่าแรงเป็นข้าว ๒-๓ หาบ บางปีก็เพียงแต่ขอกินข้าวกับลุง พอตุนท้องตุนไส้ไปวันๆ
    พอถึงเวลาข้าวออกรวง นกเขาจะลงกินข้าวในนา ท่านก็จะขอพ่อแม่ไปเฝ้าข้าวในนาตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับก็ตะวันลับฟ้าไปแล้ว
    ผู้มีความกตัญญู
    หลวงพ่อมีความกตัญญูมาตั้งแต่เด็ก ท่านช่วยพ่อแม่ทำงานต่างๆ ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๕ ขวบ ท่านก็ช่วยพ่อแม่เฝ้านา เลี้ยงน้อง ตลอดจนช่วยงานทุกอย่างของพ่อแม่ เมื่อเวลาที่พ่อแม่หาอาหารไม่ได้ ท่านก็จะไปรับจ้างชาวบ้านแถบบ้านก้อทำความสะอาด หรือช่วยเฝ้าไร่นา เพื่อแลกกับข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่และน้องๆกิน
    ในบางครั้งอาหารที่ได้มาหรือที่พ่อแม่จัดหาให้ไม่เพียงพอกับคนในครอบครัว ด้วยความที่ท่านมีนิสัยเสียสละ และไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องเจียดอาหารของท่านทั้งสองซึ่งมีน้อยอยู่แล้วออกมาให้ท่านอีก ท่านจึงได้บอกว่า " กินมาแล้ว " เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่พอลับตาผู้อื่น หรือเมื่อผู้อื่นในบ้านหลับกันหมดแล้ว ท่านก็จะหลบไปดื่มน้ำ หรือบางครั้งจะหลบไปหาใบไม้ที่พอจะกินได้มาเคี้ยวกิน เพื่อประทังความหิวที่เกิดขึ้น ท่านเติบโตขึ้นมาโดยพ่อแม่เลี้ยงข้าวท่านไม่ถึง ๑๐ ถัง แต่ท่านในสมัยเป็นเด็ก กลับหาเลี้ยงพ่อแม่มากกว่าที่พ่อแม่หาเลี้ยงท่าน
     
  17. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    เมื่อท่านอายุย่าง ๑๓ ปี ( พ.ศ. ๒๔๖๘ )ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อนในอดีตชาติและได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้จึงดลบันดาลให้ท่านมีความเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลกอันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่ท่านไปบวชเพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อบิดามารดาได้ฟังก็เกิดความปิติยินดีเป็นยิ่งนักไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ได้นำท่านไปฝากกับหลวงอาท่านได้อยู่เป็นเด็กวัดกับหลวงอาได้ไม่นานหลวงอาจึงนำท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์และบวชเณรกับครูบาชัยลังก๋า (ซึ่งเป็นธุดงค์กรรมฐานรุ่นพี่ของครูบาศรีชัย )ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า " สามเณรชัยลังก๋า "เช่นเดียวกับชื่อของครูบาชัยลังก๋า
    มีความเคารพเชื่อฟัง
    ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ตลอดจนผู้สูงอายุจึงทำให้ครูบาอาจารย์และผู้เฒ่าผู้แก่รักใคร่เอ็นดูมากจนเป็นเหตุทำให้เพื่อนเณรบางคนพากันอิจฉาริษยาหาว่าท่านประจบครูบาอาจารย์เมื่อใดที่ท่านอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์เป็นต้องถูกรังแกเสมอทำให้การอยู่ปรนนิบัติติดตามครูบาอาจารย์เป็นไปอย่างไม่มีความสุขแต่ด้วยความเคารพกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และต้องการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อมรรคผลท่านจึงได้ใช้ขันติและให้อภัยแก่พระเณรเหล่านั้นที่ไม่รู้สัจจธรรมในเรื่องกฎแห่งกรรมที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้กล่าวไว้ว่า " ทำความดีได้ดีทำความชั่วผลแห่งความชั่วย่อมตอบสนองผู้นั้น "
    ชายชราลึกลับ
    เพื่อนพระสงฆ์ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า" หลวงพ่อวงศ์เป็นผู้มีขันติและอภัยทานสูงส่งจริงๆ "ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกเณรองค์อื่นเอาน้ำรักทาไว้บนที่นอนของท่านในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า และเทียนก็หาได้ยากท่านจึงมองไม่เห็นเมื่อท่านนอนลงไปน้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคันท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัวไม่นานแผลเหล่านั้นก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมาจนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามากแต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตาให้อโหสิกรรมกับผู้อื่นท่านจึงใช้ขันติข่มความเจ็บปวดเหล่านั้นโดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถามท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลยเพียงเรียนไปว่าขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้นและขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติเพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคตและเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้ามรรคผลดังที่ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาด้วยความยากลำบากเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีและเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป
    ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุนำยามาให้ท่านกินให้ท่านทาเป็นเวลา ๓ คืนเมื่อท่านหายดีแล้วชายชราผู้นั้นก็ได้กลับมาหาท่านและได้พูดกับท่านว่า "เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมากและมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมากจึงทำให้แผลหายเร็วขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดีปฏิบัติธรรมและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไปอย่าได้ท้อถอยไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดีขอเณรน้อยใช้ความดีชนะความไม่ดีทั้งหลายต่อไปในภายภาคหน้าสามเณรน้อยจะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป "
    เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้วจึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่สามเณรชัยลังก๋านึกได้ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณจึงวิ่งตามลงมาแต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้นท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้มาก่อนเลยนอกจากเห็นท่านนอนอยู่องค์เดียวในกุฏิจากคำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ท่านประหลาดใจมากเพราะท่านได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้นถึง ๓ คืนเหตุการณ์นี้ทำให้ท่านคิดว่าชายชราผู้นั้นถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมาก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา
    การกลั่นแกล้งจากพระเณรที่อิจฉาริษยายังไม่สิ้นสุดแค่นั้นบางครั้งเวลานอนก็ถูกเอาทรายกรอกปากถึงเวลาฉันก็ฉันไม่ได้มากเพราะถูกพระเณรที่ไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษรังแกหรือหยิบอาหารของท่านไปกินแต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความอดทนและยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงอโหสิกรรมพวกเขาและใช้ขันติในการปฏิบัติธรรมรับใช้ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยดีต่อไป ครูบาชัยลังก๋ามักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดูและสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอว่า " มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อยตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติและความเพียรต่อไปเพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้าเมื่อถึงเวลานั้นแล้วทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อยเขาจะรู้กรรมที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  18. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    ไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    ในระยะที่อยู่กับครูบาชัยลังก๋าๆได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชาการต่างๆให้แก่ท่าน เช่นภาษาล้านนาธรรมะการปฏิบัติกรรมฐานรวมทั้งธุดงควัตรตลอดถึงการดำรงชีวิตในป่าขณะธุดงค์ครูบา-ชัยลังก๋ามักพาท่านไปแสวงบุญและธุดงค์ไปในที่ต่างๆเสมอเพื่อให้ท่านมีประสบการณ์ทั้งยังเคยพาท่านไปนมัสการรอบพระพุทธบาทห้วยต้มหลายครั้ง ( วัดพระพุทธบาทห้วยต้มในสมัยก่อนนั้นชื่อว่า วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม )สมัยนั้นวัดนี้เป็นวัดร้างยังเป็นเขาอยู่
    ครั้งหนึ่งสามเณรชัยลังก๋าเห็นวิหารทรุดโทรมมากจึงกราบเรียนถามครูบาชัยลังก๋า " ทำไมตุ๊ลุงถึงไม่มาสร้างวัดนี้มันทรุดโทรมมาก " ครูบาชัยลังก๋าตอบด้วยความเมตตาว่า " มันไม่ใช่หน้าที่ของตุ๊ลุงแต่จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้าง "ขณะที่ครูบาชัยลังก๋ากล่าวอยู่นั้นท่านก็ได้ชี้มือมาที่สามเณรน้อยชัยลังก๋าพร้อมกับกล่าวว่า "อาจจะเป็นเณรน้อยนี้กะบ่ฮู้ที่จะมาบูรณะวัดนี้ " ท่านจึงได้เรียนไปว่า "เฮายังเป็นเณรจะสร้างได้อย่างใด " ครูบาชัยลังก๋าจึงกล่าวตอบไปด้วยความเมตตาว่า "ถึงเวลาจะมาสร้างก็จะมาสร้างเอง "
    คำพูดของครูบาชัยลังก๋านี้ไปพ้องกับคำพูดของครูบาศรีวิชัยที่เคยกล่าวกับหม่องย่นชาวพม่าเมื่อตอนที่ท่านอายุได้ ๕ ขวบในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้รับนิมนต์จากหม่องย่นให้มารับถวายศาลาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มหม่องย่นให้ขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มให้เจริญรุ่งเรืองแต่ครูบาศรีวิชัยได้ตอบปฏิเสธไปว่า" ไม่ใช่หน้าที่กูจะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้างในภายภาคหน้า " ท่านอยู่กับครูบาชัยลังก๋าที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยเป็นเวลา ๑ ปีหลังจากนั้นครูบาชัยลังก๋าได้ออกจาริกธุดงค์ไปโปรดชาวบ้านที่จังหวัดเชียงรายครูบาชัยลังก๋าได้ให้ท่านอยู่เฝ้าวัดกับพระเณรองค์อื่นในช่วงที่ท่านอยู่วัดนี้ท่านก็ได้พบกันครูบาศรีวิชัยเป็นครั้งแรกซึ่งท่านเคารพนับถือครูบาศรีวิชัยมาก่อนหน้านี้แล้ว
    ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัยได้มาเป็นประธานในการฉลองพระธาตุที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยในโอกาสนี้ท่านจึงได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยเป็นเวลา ๗ วันการพบกันครั้งแรกนี้ ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับท่านไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมาหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้วท่านก็ยังประจำอยู่ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ไม่นานเพราะทนต่อการกลั่นแกล้งจากพระเณรอื่นไม่ไหวจึงได้เดินทางกลับมาอยู่กับหลวงน้าของท่านเพื่อช่วยสร้างพระวิหารที่วัดก้อท่าซึ่งเป็นวัดร้างประจำหมู่บ้านก้อท่าตำบลก้อทุ่ง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
    ในระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปีนั้นท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์หลายองค์และได้จาริกออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามที่ต่างๆตลอดจนได้ไปอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเขาในที่ต่างๆด้วยเช่นกันในบางครั้งก็ไปกับครูบาอาจารย์ในบางครั้งก็ไปองค์เดียวเพียงลำพังเมื่อมีโอกาสท่านก็จะกลับมารับการฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ของท่านเสมอๆ
    อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    เมื่ออายุ ๒๐ ปีท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีครูบาพรหมจักรวัดพระบาทตากผ้าเป็นอุปัชฌาย์ได้รับฉายาว่า " ชัยยะวงศา "ในระหว่างนั้นท่านได้อยู่ปฏิบัติและศึกษาธรรมะกับครูบาพรหมจักรในบางโอกาสท่านก็จะเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปในที่ต่างๆทั้งลาวและพม่าท่านได้อยู่กับครูบาพรหมจักรระยะหนึ่งแล้วจึงได้กราบลาครูบาพรหมจักรออกจาริกธุดงค์ไปแสวงหาสัจจธรรมความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งนี้เพียงลำพังองค์เดียวต่อเพื่อเผยแพร่สั่งสอนธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกชาวเขาในที่ต่างๆเช่นเคย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  19. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    สอนธรรมะแก่ชาวเขา
    ขณะที่ท่านธุดงค์ไปในที่ต่างๆท่านได้พบและอบรมสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านพบชาวเขาใหม่ๆนั้นในสมัยนั้นชาวเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนาในขณะที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามหมู่บ้านของพวกชาวเขาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็จะรีบอุ้มลูกจูงหลานหลบเข้าบ้านเงียบหายกันหมดพร้อมกับตะโกนบอกต่อๆกันว่า " ผีตาวอดมาแล้วๆๆ " ในบางแห่งพวกผู้ชายบางคนที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาสอบถามและพูดคุยกับท่านบางคนเห็นหัวของท่านแล้วอดรนทนไม่ไหวที่เห็นหัวของท่านเหน่งใสจึงเอามือลูบหัวของท่านและทักทายท่านว่า " เสี่ยว " ( แปลว่าเพื่อน )หลวงพ่อว่าในตอนนั้นท่านไม่รู้สึกเคืองหรือตำหนิเขาเหล่านั้นเลยนอกจากขบขันในความซื่อของพวกเขาเพราะพวกเขายังไม่รู้จักพุทธศาสนาในสมัยนั้นพวกชาวเขายังนับถือลัทธิบูชาผี บูชาเจ้าด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ถือธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่แห่งนั้นเพื่อจะหาโอกาสสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับพวกชาวเขาการสอนของท่านนั้นท่านได้เมตตาบอกว่าท่านต้องทำและสอนให้พวกเขารู้อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกแปลกประหลาดและขัดต่อจิตใจความเป็นอยู่ที่เขามีอยู่ท่านได้ใช้ตัวของท่านเองเป็นตัวอย่างให้เขาดูในการที่จะทำให้พวกเขาหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์เมื่อพวกเขาถามท่านว่า" ทำไมท่านจึงโกนผมจนหัวเหน่งและนุ่งห่มสีเหลืองทั้งชุดดูแล้วแปลกดี "ท่านก็จะถือเอาเรื่องที่เขาถามมาเป็นเหตุในการเทศน์เพื่อเผยแพร่ธรรมะให้พวกเขาได้ปฏิบัติและรับรู้กัน หลวงพ่อได้เล่าว่า การสอนให้เขารู้ธรรมะนั้นท่านต้องสอนไปทีละขั้นเพื่อให้เขารู้จักพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสียก่อนจากนั้นท่านจึงสอนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเขาโดยเฉพาะการทำงานการถือศีลและการนั่งภาวนา ให้พวกเขาได้ปฏิบัติยึดถือกันโดยเฉพาะเรื่องของศีล ๕ท่านจะสอนเน้นให้พวกเขาไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่ทำร้ายผู้อื่นเพื่อจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้าซึ่งการสอนของท่านทำให้พวกชาวเขาได้รับความสงบสุขภายในหมู่บ้านของเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพวกเขาจึงยิ่งเคารพนับถือและเชื่อฟังในคำสั่งสอนของท่านมากยิ่งขึ้น
     
  20. พราน4141

    พราน4141 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    492
    ค่าพลัง:
    +6,167
    สอนกินมังสวิรัติ
    หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้ฟังว่าในสมัยนั้นพวกชาวเขาได้นำอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาถวายแต่ท่านหยิบฉันเฉพาะที่เป็นผักเป็นพืชเท่านั้นทำให้เขาเกิดความสงสัยท่านจึงได้ยกเอาเรื่องในพุทธชาดกมาเทศน์ให้พวกเขาฟังเพื่อเป็นการเน้นให้เห็นถึงกฎแห่งกรรมและผลดีของการรักษาศีล ท่านได้อยู่อบรมสั่งสอนให้พวกเขารับรู้ถึงธรรมะและการรักษาศีลอยู่เสมอๆทำให้พวกเขาเลื่อมใสและหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาโดยละทิ้งประเพณีเก่าๆที่เคยปฏิบัติกันมา
    ต่อมาพวกชาวเขาเหล่านี้ก็ได้เจริญรอยตามท่านโดยเลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินมังสวิรัติแทน (ดังที่เราจะเห็นได้จากกะเหรี่ยงที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้มในปัจจุบันนี้ ) เมื่อท่านได้สอนพวกเขาให้นับถือศาสนาพุทธแล้วท่านก็จะจาริกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมต่อไปและถ้ามีโอกาสท่านก็จะกลับไปโปรดพวกเขาเหล่านั้นอยู่เสมอด้วยเหตุนี้ชาวเขาและชาวบ้านในที่ต่างๆที่ท่านเคยไปสั่งสอนมาจึงเคารพนับถือท่านมาก
    สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปีท่านจึงเดินทางกลับมาหาครูบาศรีวิชัยพร้อมกับชาวกะเหรี่ยงที่เป็นศิษย์ของท่านเพื่อช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพในครั้งนี้ครูบาศรีวิชัยได้เมตตาให้ท่านเป็นกำลังสำคัญทำงานร่วมกับครูบาขาวปีในการควบคุมชาวเขาช่วยสร้างทางอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงที่ยากลำบาก เช่น การสร้างถนนในช่วงหักศอกก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ ในระหว่างกำลังสร้างทางช่วงนี้ได้มีหินก้อนใหญ่มากติดอยู่ใกล้หน้าผาจะใช้กำลังคนหรือช้างลากเช่นไรก็ไม่ทำให้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานอยู่นั้นจึงไปกราบเรียนให้ ครูบาศรีวิชัยทราบท่านจึงให้คนไปตามหลวงพ่อซึ่งกำลังสร้างทางช่วงอื่นอยู่เมื่อหลวงพ่อวงศ์มาถึงท่านได้ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เดินทางไปผลักหินก้อนนั้นลงสู่หน้าผานั้นไปเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แปลกใจไปตามๆกันที่เห็นท่านใช้มือผลักหินนั้นโดยไม่อาศัยเครื่องมือใดๆครูบาศรีวิชัยได้ยืนยิ้มอยู่ข้างๆท่านด้วยความพอใจ
    ประทับรอยเท้าเป็นอนุสรณ์
    ขณะที่ท่านช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพท่านได้ประทับรอยเท้าลึกลงไปในหินประมาณ ๑ ซ.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (ช่วงตอนกลางๆของทางขึ้นดอยสุเทพเพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทาง )
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...