จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ต๊กกะใจ .. นึกว่านักยกน้ำหนักมาเอง

    เอาใจช่วยครับ เมิลคุง

    ขอให้ผ่านไปได้นะครับ ขอให้สามีผ่านไปได้ด้วยเช่นกัน
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ คุณปัธงชัย
    แค่คุณตั้งชื่อ ก็ชนะแล้ว
    แต่ทำไมใจจะยอมแพ้เสียแล้วหล๋ะ
    ตำรา/ความรู้ เขาอ่านแค่พอเป็นแนวทาง เท่านั้น
    แต่หาได้เป็นธรรมะของตนไม่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
    บางท่านโพสต์ธรรมาทานก็แค่อ่านไป สะสมความรู้ไป
    แต่อย่าไปจำมันมากนัก อ่านแล้วก็ผ่านไป
    แต่ที่กระทู้นี้มิได้ให้พวกเรามาอ่านธรรมแล้วก็จำกัน คืออ่านแล้วก็ผ่านไป
    อ่านเพื่อประดับความรู้เฉยๆ

    แต่ที่นี่จะเน้นการปฎิบัติจิตเกาะพระ
    เน้นธรรมปฎิบัติ เน้นธรรมภายในจิตตนเอง
    คุณทำอยู่แค่นั้นถูกต้องแล้ว พอแล้ว
    การทำจิตเกาะพระนี้ก็เพื่อจุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างสติก่อน เป็นอุบายก็เหมือนกรรมฐานกองอื่นๆ แต่จิตเกาะพระนี้ จิตจะรวมตัวง่ายกว่าเท่านั้น

    ตอนนี้พวกเรากำลังฝึกจิตกันนะ มิใช่ฝึกกาย ภายนอกไม่ต้องฝึกกันแล้ว รู้ทันกันหมดแล้ว แต่นี่ให้พวกเรามาฝึกจิตอย่างเดียว แต่ต้องฝึกสติกันก่อน
    ฝึกสติ ฝึกจิตก็เพื่อให้เรา(จิต)รู้เท่าทันกิเลสตนเองก่อน
    ที่คุณเดินศีลให้ครบ(รักษาศีลให้ครบสมบูรณ์ก่อน) แล้วจึงทำภาวนากัน กล่าวคือ สร้างสติก่อน สติมีมาก จิตก็นิ่ง จิตก็เป็นสมาธิ เป็นฌาน อีกไม่นานนักจิตก็จะเป็นปัญญาเอง
    การเจริญภาวนาสติกันอยู่นี้ การสร้างสติก็คือ จุดเริ่มต้นของการภาวนา
    เพราะถ้าสติมีไม่มาก จิตก็ไม่นิ่ง หรือจิตก็ไม่เป็นสมาธิ
    แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะมีปัญญากันสักทีนึง
    แค่ธรรมะอนุบาล แค่นี้ก็ยังทำกันไม่ผ่านเลย แล้วเราจะไปหาจิต หรือดวงจิตเดิมแท้ของเราที่ไหนกันเล่า
    ภาวนาตอตต้นๆก็ปฎิบัติกันไม่ได้เลย อย่าเพิ่งไปพูดถึงภาวนาตอนกลาง คือระดับสมาธิ ภาวนาตอนปลาย ก็คือ ระดับปัญญา
    การเจริญสติภาวนาก็มีอยู่แค่นี้เอง
    เรื่องง่ายๆ แต่พวกเราดันไปทำกันยากนัก
    ทางสายกลาง หรืออริยมรรค หรือมรรคมีองค์๘ หรือศีล สมาธิ ปัญญา
    พระพุทธองค์ท่านก็เรียงตามลำดับมาให้พวกเราหมดแล้ว
    ผู้ปฎิบัติอย่าไปทำข้ามขั้นตอน
    การเจริญกรรมฐาน หรือการเจริญสติภาวนา พวกเราอย่ามองข้ามเรื่องศีลกันนะ อย่าหาว่าเรื่องศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย
    ธรรมะระดับอนาคามี พวกเราก็อ่านไปเพลินๆก่อน ประดับความรู้
    ผู้ปฎิบัติจะต้องรู้ตนเองว่า สติเรามีแค่ไหน(กี่%) เกิดมากหรือเผลอซะมาก
    สูงขึ้นไปอีกหน่อยนึง ก็คือ สมาธิเรามีแค่ไหน(กี่%) สมาธิเกิดต่อเนื่องไหม๊?
    ผู้ปฎิบัติใหม่ๆ เอาแค่นี้ก่อน เอาพื้นให้แน่นก่อน
    ผู้ปฎิบัติจะต้องรู้ตนเอง และผู้ปฎิบัติจะต้องมีวินัยที่ดีคือ อย่าไปดูจิตผู้อื่น มันจะเสียเวลาปฎิบัติของตน จะสำเร็จช้า ใครทำดี หรือทำสำเร็จก็โมทนากับเขาไป เท่านั้นเอง แต่ไม่ต้องไปถามเอาละเอียด
    ให้พวกเราสนใจจิตตนเองเยอะๆ
    พูดไปพูดมาก็จะยาวอีก
    วางกำลังใจตนให้ถูกนะครับ
    ผมไม่ได้มาสอนใครนะ อย่าคิดว่ามาสอนกันเลย
    ขอให้เข้าใจว่า มาเป็นญาติสันติธรรม หรือเพื่อนกัลยาณมิตรกัน
    มาเป็นเพื่อนยกจิตให้พ้นทุกข์ พ้นวัฎฎะกันเฉยๆ
    ครูที่นี่ไม่ได้การสิ่งใดตอบแทน แม้นกระทั่งคำชม ครูทุกคนก็วาง แต่พูดไม่ได้ ได้แต่นิ่งเฉย อะไรวิ่งมาชนจิต มากระทบจิตก็เฉยๆ เป็นกลาง
    เท่านั้นเอง เพราะพวกเราฝึกจิตกัน นอกจากจากความหลุดพ้นกันแล้ว มีอะไรก็จะปล่อยวางให้มันหมดสิ้นไป
    มีสตินึกอะไรกันได้ ก็ให้ทิ้งมันให้หมดไป
    พวกเราคอยนึกถึงหลวงพ่อกบ หรือหลวงปู่สรวงกันนะ
    คือสิ่งภภายนอก สิ่งสมมุติ ที่ไม่ใช่เรื่องจิต ทิ้งให้หมด
    สนใจแต่จิต สนใจแต่ภายใน สนใจแต่ความสงบ
    นี่คือบ้านแท้ของจิตเขา
    ที่เราอยู่ ที่เราสนใจกันนี้มีแต่เรื่องภายนอก เรื่องทางโลกเยอะไป
    จิตก็เลยวุ่นวาย หาความสงบสุขกันไม่ได้

    โทษทีพร่ำซะยาวอีก อ่านได้ก็อ่านไป ไม่อ่านก็ผ่านไป
    อย่าไปสนใจธรรมะคนอื่นมาก เพราะที่เรากำลังสร้างสติให้มากก็เพราะว่า จะทำให้จิตตนเองนิ่ง แต่ถ้าจิตนิ่ง จิตก็เกิดสมาธิ เกิดปัญญา
    แล้วในที่สุด ท่านก็จะพบธรรมะ ซึ่งอยู่ภายในจิตตนเอง
    ขอบพระคุณมากนะครับ คุณถามบ่นมานิดเดียว ผมพร่ำต่อตั้งหลายบรรทัดเลย ฮ่าๆ
    อย่าคิดมาก
    เอาแต่มีสติ หรือระลึกตัวให้มากๆ จิตจะได้นิ่งไวๆ
    ผลของผู้ปฎิบัติก็จะตอบกับตัวคุณเองได้
    ผลของผู้ปฎิบัติไปแล้ว เกิดพูดน้อย ปฎิบัติมาก จิตนิ่งสงบดี จิตใจเยือกเย็น เอ่ออันนี้มาถูกทางแล้ว แต่ใครปฎิบัติไปแล้วได้ตรงข้าม
    อันนี้ทำไม่ถูกแล้ว เพราะสายที่คุณกำลังเดินอยู่นั้น มิใช่สายกลาง
    อาจจะปฎิบัติตึึงไป หย่อนยานเกินไป ก็ผิดทั้งหมด
    พยายามหาจุดความพอดีของตนเองนะ
    ผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย
    แต่จะปฎิบัติจิตเกาะพระทุกครั้ง ก็ขอให้จิตใจสบายก่อนนะ
    จิตคนเรานี่ฝืนไม่ได้นะ เพราะจิตเป็นใหญ่
    จิตก็คือ เราเองดีๆนี่แหล่ะ! แล้วคุณชอบให้ใครมาบังคับไหม๊หล่ะ!
    เอ่อน่ะเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2012
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BWGaLHG2y7o]ทำใจให้สบายๆ - YouTube[/ame]​

    ***ผู้ที่พร้อมยกจิตขึ้นเป็นอริยบุคคล ฝ่ายฆราวาส ในเบื้องต้น
    หรือสำหรับผู้ที่อยากได้จิตพระโสดาบัน
    ขอให้ยื่นใบสมัครที่ครูเพ็ญนะครับ


    ทำดีไม่ต้องอาย ทำชั่วสิ! ต้องละอายใจ

    ถ้าครูไม่แนะนำให้พวกเราทำกันแบบนี้นะ การปฎิบัติของพวกเราก็จะไป
    ไม่ถึงไหนกันสักที ไม่มีใครที่ไหนมาคอยเตือนสติให้กันหรอก
    เดี๋ยวพวกเราก็จะปฎิบัติกันไปเรื่อยเปื่อย ไร้จุดหมายปลายทาง
    เพราะจิตทุกคนนั้นก็ต้องฝึกอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็ว
    ผู้ที่ยังไม่มีทุกข์มาเยือนก็อย่าได้ประมาทนัก มันมาไม่บอกเราหรอก
    เหมือนความตาย มันก็มาตอนเผลอทุกรายไป
    มาฝึกจิตกันนะ เวลาอยู่ก็ไม่ต้องหลง ตายก็ไม่หลง
    เราอย่าปล่อยจิตให้เป็นไปตามยถากรรม เรากำหนดกรรมได้
    ว่าจะให้จิตเราเป็นทุกข์ เป็นสุข หรือ
    นรก สวรรค์ พรหม หรือพระนิพพาน ก็ตัวเราเองทั้งนั้นเป็นผู้กำหนดเอง
    ยามยังมีลมหายใจ ก็รีบๆฝึกจิตกันนะ

    คำเตือน:
    ครูที่นี่แค่รับรองจิตของพวกเราให้ชั่วคราวเท่านั้น
    แต่ผู้ที่จะทำหน้าที่รับรองจิตคน จิตมนุษย์นั้นก็คือ พระพุทธเจ้า
    ขอให้พวกเราผ่านจากครูเพ็ญไปก่อน เดี๋ยวท่านจะแนะนำให้พวกคุณทีหลัง
    พร้อมกันรึยัง? งั้นก็ไป๊กันได้เลย อย่ารอช้า
    พวกเรารีบๆเดินจิตกันไวๆ เพราะปลายปีมีแต่ข่าวภัยพิบัติทั้งมนุษย์และธรรมชาติ
    ผู้เจริญทั้งหลายโปรดใช้เน็ตให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
    แต่ถ้าวันใดกระทู้นี้หายไปโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้าใครสนใจปฎิบัติจิตเกาะพระ
    ก็ให้ไปหากันได้ที่ตามที่อยู่ครูเพ็ญเป็นหลักก่อน หรือครูท่านอื่นๆที่คุณรู้จักกันนะ
    อันนี้บอกกันก่อนล่วงหน้า สำหรับผู้ที่ไม่ประมาท
     
  4. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูนก ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูลูกหว้า ครูนิวเวป ครูจารุณี ท่านจิตบุญทุกท่าน รวมถึงท่านที่กำลังปฏิบัติทุกท่านนะค่ะ

    ช่วงนี้คอมฯไม่ว่างถูกแย่งใช้งานค่ะ ยังตามอ่านไม่หมดเลย แต่วันนี้อยากจะพูดเรื่องหนึ่งค่ะ
    เห็นว่าในบ้านนี้มีนิสิต นักศึกษาอยู่หลายท่าน ทั้งที่กำลังศึกษาอยู่ ใกล้จบ หรือจบแล้วเพิ่งทำงานได้ไม่นาน อย่างที่รู้กันว่า ลูกคนหนึ่งพ่อแม่กว่าจะเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนจนเติบใหญ่เมื่อเรียนจบแล้วควรจะทำอย่างไร ถ้าให้พูดคงจะพูดกันได้ว่า ก็ควรจะกตัญญูให้เงินท่านสิ แต่เวลาปฏิบัติกันนั้นเล่า ท่านได้ทำตามที่พูดหรือไม่ อยากทำบุญก็ซื้อสังฆทาน ไปถวายพระที่วัด แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านไม่ได้ซื้อหรือหาอาหารให้ท่านกินเลย ไม่เคยใส่ใจว่าท่านกินข้าวหรือยัง มีกินมั๊ย กินข้าวกับอะไร คิดว่าทำบุญใส่บาตรพระแล้วจะได้บุญ แต่ปล่อยให้พ่อแม่หิว อดยาก แล้วจะได้บุญหรือ?
    การที่เราเติบโตขึ้นมาได้เรียนจบปริญญา ได้งานทำ มีเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่จะให้เงินพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า บอกไม่มีเพราะต้องจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่ากินและใช้จ่ายของตัวเองก็ไม่พอแล้ว แถมบ้านนั้นก็อยู่กับคนอื่น เช่นนี้ มีเกิดขึ้นบนโลกสมมติใบนี้ อยากจะบอกลูกหลานว่าให้พิจารณาว่าการกระทำเยี่ยงนี้เป็นการอกตัญญู พ่อแม่จะเป็นอย่างไร ลูกต้องเคารพ รัก เลี้ยงท่าน ดูแลท่าน เพราะท่านคือพระอรหันต์สำหรับลูก วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ ต้องรีบไปรับเจ้าตัวเล็กอีกแล้ว จะมาเขียนใหม่นะค่ะ อาจจะอ่านแล้วงงไปบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=_4KugAMQbQ4]วิธีเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน.mp4 - YouTube[/ame]

    ***ฟังธรรมะสัก 20 นาที ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กันนะ
    สำหรับผู้มาใหม่ สำหรับผู้ที่อยากยกจิตขึ้นพระโสดาบัน
    หรือ อริยบุคคล ฝ่ายฆราวาส
    หรือ ผู้ละสังโยชน์ 3 ข้อแรกให้ได้เสียก่อน


    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง
    1.สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่า่งกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
    2.วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
    3.สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
     
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ----------------------------------------------------------------------
    อิอิ หากไม่เป็นการรบกวน ขอที่อยู่ขงครูเพ็ญ ครูดัชได้มั้ยคะ ทาง PM เผื่อกระทู้หายเน็ตล่ม
    หากข้าพเจ้าจิตยังไม่ยก ข้าพเจ้าจักไม่เลิกลาแน่ เพราะข้าพเจ้าไม่อยากเกิดอีกแล้ว(f)
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    รอที่อยู่ใหม่ดีก่าก๊า ภัยมาซะขนาดนั้นครูเพ็ญจะอยู่บ้านรอหลังคาหล่นมาทับรึ 555 ครูเพ็ญก็จะแอบไปพึ่งใบบุญท่านพ่อกับพี่ภูที่บ้านรากแก่นแห่งโพธิญาณอ่ะจิ ตำแหน่งที่ตั้งยังไม่ปรากฏในแผนที่โลก พวกเราจิตยกกันครบ 41 ดวงเมื่อไร ท่านพ่อจะมาเฉลย ช่วย ๆ กันหน่อยน๊า ช่วยยกจิตกันไวไวเด้อ ใครไม่ยกครูเพ็ญก็จะไปดันจิตให้ยกจนได้น่ะแหละ ใครดื้อ ฮึ่ม เมตตานะเมตตา ครูเพ็ญท่องไว้ซำเหมอเลย กร็อดๆๆrabbit_eating

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  8. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอบคุณค้า ว่าไงว่าตามกัน(ไปดี)(deejai)(deejai)(deejai)
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คุณหมอ (อุษาวดี) วันนี้ทดลองแยกกายแยกจิตแล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ ช่วยรายงานผลด้วยค่ะ เอาละเอียด ๆ หน่อยนะคะ
     
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขออนูโมทนาบุญด้วยนะครับ

    สาธุๆๆๆ
     
  11. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    คนขี่จักรยาน กับ หมา ..... จิต กับ กิเลส

    ท่านแม่ผมว่ากันด้วยเรื่องธรรมะกับขี้หมาแล้ว

    วันนี้ผมขอกล่าวเกี่ยวกับ คนขี่จักรยานกับหมานะครับ ...

    ชายคนหนึ่ง บางวันขี้เกียจขับรถไปทำงาน ต้องปั่นจักรยานไปหน้าหมู่บ้านเพื่อขึ้นรถรับส่งของบริษัท ...

    ก่อนหน้านี้ ... เขาจะปั่นจักรยานไปที่ถนนเมนของหมู่บ้าน เค้าจะพบกับแก๊งค์หมาขาใหญ่ที่ดักรอผู้คน เพื่อ เห่าและไล่งับ คนที่ขี่จักรยานไปมา

    เมื่อเค้าปั่นมาถึงจุดที่หมากลุ่มนั้นอยู่ เค้าเกรงว่ามันจะกัด เนื่องจากพอมันเห็นจักรยานใกล้เข้ามา มันจะลุกขึ้นและ มอง เห่ารับ
    เค้าเตรียมตัวปั่นจักรยานให้ไวที่สุด เพื่อที่จะหนีหมาให้พ้น เมื่อเค้าเริ่มออกแรงปั่นอย่างแรง หมาก้อจะเห่าและวิ่งตาม พร้อมกับเห่าขู่ ตามมาไม่ลดละ ... เค้ารอดไป ใจตอนที่ปั่น มันลุ้น มันเครียด กลัวถูกกัด กลัวเจ็บ กลัวมันจะทำร้าย คิดไปต่างๆนาๆ
    พอพ้นมาได้.... เฮ้อ รอดไปที ..เกือบไปแล้วเรา

    วันต่อๆมาเค้าก้อต้องหนีหมาเช่นนี้ตลอดมา ด้วยใจที่ยอมรับการหนีไปโดยปริยาย

    วันนึงเค้าเกือบถูกรถชนเนื่องจากปั่นหนีหมาอย่างไม่คิดชีวิต .. วันนี้มันฉลาด มาดักที่วงเวียน เมื่อเจอปุ้บ มันวิ่งเข้าใส่ทันที เค้าก้อปั่นโดยไม่ได้มองรถที่กำลังจะเลี้ยงเข้าวงเวียน แต่เค้าหลบทัน ... เกือบตายเพราะหนีหมาสะแล้ว

    วันต่อมา เค้าหนี ไปอีกซอยหนึ่ง ... อืม วันนี้รอด สบายจัง หนีมาได้ สบายๆจริงๆ

    วันต่อมา เค้ามาที่ซอยเดิมเนื่องจากเห็นว่าไม่มีหมาอันธพาลแน่ๆ ... แต่แล้ว ก้อพบอีกลุ่มนึงโดยมิได้นัดหมาย ... เวรกรรมอะไรของตรูฟะเนี่ย เจอแต่หมา ต้องหนีอีกแล้ว ... เหมือนวังวนเดิมๆอีกแล้ว ... หนีหมา แมนจริงๆ

    แล้ววันนึง .... เค้ามานั่งคิดทบทวนกับตัวเอง เราจะหนีหมาไปอีกนานแค่ไหน ชีวิตนี้ต้องหนีตลอดไปหรือ ... มีทางเดียวรึ

    แล้วเค้าก้อเลือกที่จะไม่หนี เค้าพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ...
    รุ่งขึ้น ... เค้าปั่นจักรยานด้วยความมั่นใจ เมื่อใกล้ถึงกลุ่มหมา เค้าไม่คิดที่จะหนีแล้ว เค้าปั่นเข้าไปหามันอย่างช้า กลุ่มหมา ลุกขึ้น เตรียมตัวไล่เหมือนเช่นทุกวัน ขู่ ... เค้าปั่นไปใกล้เรื่อยๆ ใจบอก เอาวะ มันจะกัดก้อกัดเลย ยอมตายเว้น ลองกับมันสักตั้งสิ จะอะไรกันกับหมา ตรูจะหนีมันไปทำไม ต้องสู้ ....
    เมื่อถึงกลุ่มหมา มันมอง ขู่ แยกเขี้ยว เค้าก้อมองมัน ปั่นไปอย่างช้าๆ ท้าทายให้มันทำอะไรก้อเชิญ เราจะสู้กับใจเรานี่แหละที่มันกลัวเอ็ง ไอ้หมาเอ้ย เราไม่หนีเว้ย

    หมามันก้อมอง ขู่ และก้อปล่อยให้ชายคนนี้ปั่นจักรยานผ่านไป ....
    อ้าว.... เฮ้ย มันไม่ไล่ มันไม่กัด เราทำได้ เราทำได้ ...
    ไม่มีอาการดีใจ เค้าเอาชนะใจตนเอง ความกลัว เค้าไม่หนี แล้วเค้าก้อทำได้ ...

    เราไม่ต้องหนีหมาแล้ว เราชนะ ... พอสะทีกับการหนี
    จบ...

    สิ่งที่ข้าพเจ้าเล่าไปนั้น ขอเปรียบเทียบเช่นนี้

    คนที่ขี่จักรยานได้ ก้อคือ ดวงจิตที่ปฎิบัติจนจิตเกิดสมาธิแล้ว
    หมา คือ กิเลส

    กว่าที่ท่านจะปั่นจักรยานได้นั้น ท่านล้มมากี่ครั้ง ท่านมีแผลถลอกกี่แผล ท่านใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงจะปั่นมันได้ เริ่มจากปั่น 4 ล้อ .. จนปั่นสองล้อได้

    จิตของท่านก้อเช่นกัน กว่าที่จิตจะละเอียด เกาะพระได้ เป็นสามธิได้นั้น ท่านต้องใช้ความเพียรมากเท่าใด ท่านต้องอดทนมากเท่าใด จำได้ไหม เคยหันกลับไปมองบ้างไหม ...

    เมื่อท่านขี่จักยานได้แล้ว เริ่มมีความสุขกับการขี่แล้วละสิ ... เปรียบเหมือนจิตที่เป็นอริยะแล้ว มีความสุขดีแท้ ไม่เอาอะไรแล้ว สบายจริงๆ

    มีอะไรมา เราหนีดีกว่า อยู่กับความสุขที่เรามี สบายจะตาย อยู่แค่นี้ก้อดีแล้ว
    เหมือนภาพที่ท่านได้อ่านข้างบนนั่นแหละครับ

    หมาก้อคือสิ่งที่ท่านกำลังหนี หนีจนไม่มีที่สิ้นสุด ก้อยังยังจะหนี ทั้งๆที่รู้ว่า เราจะต้องเจอมันทุกวัน ไม่มีทางหลบกันได้พ้น

    หลบไม่พ้น แล้วทำไง หนีสบายจะตาย หลบสบายจะตาย หยุดสบายจะตาย ...
    อยากได้แค่นี้รึ ...

    ก้าวข้ามความกลัวสิ ก้าวข้ามความสุขสิ
    วิ่งขนมันสิ เผชิญหน้ากับมันสิ
    มันคืออาหรชั้นดีที่จะทำให้จิตเราได้คิดพิจารณา ฝึกฝนจิตให้แข็งแกร่ง จนหลุดพ้นได้

    ไม่ใช่ฝึกมาเพื่อหนีนะ ... จำไว้ด้วย

    ไม่ใช่มีตำราใดๆ หรือปราชญใดๆกล่าวไว้ว่า คนหนีคือคนชนะ

    เอากับมันสิ สู้กับมันสิ เอาให้มันรู้ไปจะตายเพราะสู้กับกิเลส ... ตายแบบนี้ดีกว่าหนี

    ท่านทั้งหลาย เรามาฝึกยกจิตนี้ เพื่อให้จิตท่านแข็งแกร่ง มิได้ให้ท่านมาติดสุข แล้วหนี แล้วหลบทุกสิ่ง ... กรุณาทำความเข้าใจใหม่ด้วยนะครับ

    เราจะหนีไปอีกนานแค่ไหน ...
    ไหนแรกๆ บอกว่าอยากกลับบ้านไง ... ลืมไปแล้วเหรอครับ

    อย่าเป็นคนหนีมาเลยนะ มันไม่ดีหรอก ... รึท่านคิดว่าดีแล้วก้อบอกมา เราจะได้ปล่อยท่านไป ตามสบาย

    มาเอาใหม่นะ มาเดินหน้าชนกับมัน ... ทุกอย่างอยู่กับจิตกับใจท่านนั่นแหละ
    อย่าไปกลัวมัน เค้าสร้างภาพให้ท่าติดกันนะ รู้ไหม ตาสว่างเสียที

    เปิดตา เปิดจิต เอาใหม่ สู้กับมัน

    เอาจิตไปชน ไปพิจารณา อาวุธของเรา คือ ไตรลักษณ์ คิดมันเข้าไป พิจารณามันเข้าไป

    เอาให้จิตเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ... จนถึงทางสว่าง

    อยากปั่นถึงเส้นชัยไหมละ ... ผมบอกทางให้แล้วนะ วิธีการ

    คิดเอาเองว่าจะเลือกทางไหน ศิษย์ใครก้อไปบอกครูท่านเอง ไม่ต้องมาบอกผม ...

    พยายามอีกนิด เอาชนะได้แน่ครับ

    ขอให้บทความนี้เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเดินทางเพื่อให้ถึงนิพพานทุกท่าน

    สู้ๆนะครับ ...

    ธรรมชาติสวัสดี

    วิทย์ จบ.11(30 กค55)
     
  12. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ลืมบอกไป ...

    หนีหมาไปเรื่อยๆ ระวังไม้เบสบอลของอาจารย์แต่ละท่านหวดเอานะ ...

    ผ้มมมมม....ไม่ช่วยนะค้าบบบบบบ

    อยู่กับหมา ไม่ใช่หนีหมา .... เข้าใจ๋....

    สวัสดีครับ
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณครูเพ็ญ กับคุณหมอมากๆ
    ข้าน้อยมิบังอาจ
    และก็อยากให้คุณหมอกับครูเพ็ญตอบโจทย์กันทางนี้ ไปจนกว่าจิตจะยกจะได้ไหม๊?
    <O:pตอนเห็นประโยคนี้สติบอกเลยว่า เครียดก็ให้รู้ว่าเครียด แต่คิดอีกที ก็ดีเป็นการลดมานะอัตตาลง ตอนไปถวายดอกบัวแก้ว รู้สึกจิตโล่งมาก ก็เลยได้มาส่งการบ้านนี้แหละค่ะ
    <O:p
    พี่ภู พี่เพ็ญ คุณนก ส่งการบ้านค่ะ
    <O:p
    การบ้าน 30-07-55
    <O:p
    มากล่าวถึงกฎไตรลักษณ์ที่คุณหมอกล่าวถึงว่ามันเดินไปแค่คำว่า "ไม่เที่ยง" แล้วไม่ยอมเดินต่อไปให้ถึง "ไม่มีตัวตน" อันนี้พี่เพ็ญก็เคยเป็นมาก่อนก็เพราะจิตเคยชินกับการตัดลงกฎไตรลักษณ์เพียงตัวเดียวคือ "ไม่เที่ยง"แต่มันตัดไม่ขาดสักที
    วิธีแก้ก็ให้เปลี่ยนเมื่อพิจารณาสิ่งที่มากระทบแล้วให้เปลี่ยนเป็นคำว่า "ไม่มีตัวตน"แล้วใช้ปัญญามองหาตัวตนของมันด้วยว่าเป็นจริงอย่างที่เรากำหนดตัดลงไปไหมถ้ามองหาแล้วไม่เจอตัวตนนั่นแลท่านจึงเข้าถึงความไม่มีตัวตนของอารมณ์และความคิดแล้ว<O:p</O:p
    วันนี้ตอนอาบน้ำ เจอน้ำร้อน ทุกข์ ไม่ชอบ เลยปิดน้ำร้อน อาบน้ำเย็น พอกายสบายจิตก็สบายไปด้วย ชอบ พอปิดน้ำ รู้สึกเฉยๆก็พิจารณาเป็น "ไม่มีตัวตน" ก็เห็นว่าความชอบไม่ชอบ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยลง จากการอาบน้ำ มันหายไปหมดจริงๆ ไม่เหลืออยู่ ณ เวลานั้น อย่างนี้ควรพิจารณาแบบนี้ไปเรื่อยๆ มั้ยค่ะ
    <O:p
    กำหนดจิตขึ้นไปหาท่านพ่อแล้วฝากจิตไว้บนโน้นบนนิพพานเลย ไม่ต้องเอาจิตลงมาแล้ว<O:p
    ทำแล้วค่ะ วันนี้สังเกตุว่าช่วงที่คิดว่ากลัวเผลอลืมสติ ลืมนึกถึงภาพพระหรืองานยุ่งจะมีสติ แต่ช่วงที่รู้สึกผ่อนคลายจะเผลอ
    <O:p
    ส่วนการเดินนั้นคุณหมอเดินจงกรมอยู่แล้วแต่ขอให้ปรับนำไปใช้ตอนเดินทำงานด้วยจะดีมากขณะเดินให้มีสติอยู่ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้นทุกย่างก้าว<O:p
    ทำอยู่เป็นช่วงๆเมื่อไม่เผลอค่ะ วันนี้เพิ่มนั่งสมาธิรอบเช้าก่อนไปทำงาน

    <O:p
    2-3 วันนี้เจอคนที่เคยมีปฎิคะด้วยแบบมากๆ 2-3 คน รู้สึกเฉยๆแล้ว ยิ้มให้ได้อย่างจริงใจ ตอนยิ้มได้จิตโล่งไปเลย มีบางคนแผ่เมตตาให้เขาตอนเดินสวนกัน พอเดินสวนกัน ครั้งถัดไป เขายิ้มให้ด้วย เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขายิ้มให้

    <O:p
    ช่วงนี้โดนทดสอบเรื่องโดนชักชวนให้พูดในเชิงลบต่อผู้อื่น เมื่อเช้ามีคนมาบ่นเรื่องคนอื่นให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นความจริงตามที่เขาบ่น ดันเผลอไปตอบว่า เขา 2 คนเหมือนกันคือไม่มีศีล นึกขึ้นได้ แย่แล้วศีลข้าพเจ้าก็ไปเหมือนกัน<O:p
    เที่ยงเจออีก เป็นเรื่องคนที่รู้จัก คน1 กลุ่ม รุมแกล้งคน1 คน แล้วคนที่เราสนิทด้วยไปช่วยคนที่โดนแกล้งเลยทำท่าจะโดนหางเลข แต่กรณีนี้ ไม่พยายามให้ความเห็น ได้แต่พูดว่าสงสัยเขาจะเกี่ยวกรรมกันมา<O:p
    กรณีแรกเราเป็นคนวงใน กรณีที่ 2 เราเป็นคนวงนอก สงสัยเพราะมีเรา เลยเผลอในกรณีแรก
    <O:p
    ตอนหัวค่ำเห็นพระจันทร์สวย ก็นึกถึงท่านพ่อขึ้นมา กำลังเผลออยู่พอดี (เพราะหิว) รู้สึกเหมือนท่านพูดว่าพ่อรอเจ้าอยู่
    <O:p
    <O:p
    ไม่ทราบการบ้านนี้จะเป็นประโยชน์มั้ยนะค่ะ น้อมรับคำชี้แนะจากทุกท่านค่ะ วันนี้ซื้อน้ำบัวบกมาตุนไว้แล้ว อิอิ:cool:<O:p
    ขอบคุณสำหรับกำลัง และคำอวยพรค่ะ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2012
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พี่เพ็ญค่ะ
    เมื่อคืนหนูไปพิมพ์การบ้านใน word แล้วพอจะมาส่งในกระทู้ ก็เห็นข้อความนี้ แต่ตอนนั้นดึกแล้ว และหนูพิมพ์ไทยช้า เลยขอยกยอดมาส่งวันนี้ ค่ำๆแทนนะค่ะ จะได้เปรียบเทียบ 2 วัน ด้วย
    เช้านี้ตื่นมา มองไม่เห็นพระ แหมว่าจะพักสายตาต่ออีกหน่อย ดูๆไปเห็นโลโก้พี่ภู แทน เลยต้องลุกมานั่งสมาธิค่ะ :VO
    หนูขอถามแบบโง่ๆ เลยนะค่ะ ระหว่างทรงญาณสูงจนมองไม่เห็นพระ กับหลุดจากจิตเกาะพระแล้ว จะสังเกตุความแตกต่างยังไง พอมองไม่เห็นพระ ก็งงทุกทีว่าเราอยู่ตรงไหน คราวที่แล้วพอมองไม่เห็นพระก็เลยไม่ค่อยได้นึกถึงพระไปเลย

    ขอบคุณค่ะ
     
  15. ปักธงชัย

    ปักธงชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +3,721
    สวัสดีนะครับทุกคน ขอบคุณครูภู สำหรับคำแนะนำ ครับ ครูลูกหว้า ครูเกษ หายไปไหนเอ่ย
     
  16. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ก็ขออนุญาติช่วยตอบแบบง่ายๆ เลยนะครับ..
    "สติ น่ะ สติ"
    ให้นำสติเข้าไปดูไปรู้ที่จิต ว่าจิตมันเป็นอย่างไรเช่น
    - ถึงมองไม่เห็นภาพพระ แต่จิตเรายังเกาะพระอยู่หรือไม่?
    - ถ้าจิตยังไม่นิ่งยังแส่ส่ายไป-มาอยู่ คือ จิตหลุดจากการเกาะพระแล้ว
    - แต่ถ้าจิตนิ่งมากๆรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว(องค์ฌาน-เอกัตคตา)แล้ว คือ จิตมันทรงฌานสูงและจิตมันก็ทิ้งภาพพระแล้ว
    ให้นำหลักพิจารณานี้ ไปตรวจสอบกับสติที่มันไปรับรู้มาว่า จิตมันอยู่ตรงไหนก็จะได้คำตอบเอง..
    คนอื่นไม่สามารถเข้าไปดูในจิตของเราได้ จึงไม่สามารถตอบได้ เพราะว่าเป็น "ปัจจตัง" คือรู้ได้ด้วยตนเองนะครับ..
    ได้ผลยังไงแล้วช่วยมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ..
    ขอให้เจริญในธรรม.. สาธุ
     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    การพิจารณาไตรลักษณ์

    การพิจารณาไตรลักษณ์

    การพิจารณาไตรลักษณ์คือ การโน้มนำปัญญามาวิปัสสนา"มหาสติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม" โดยกุศโลบาย"พระไตรลักษณ์" เพื่อให้เกิดปัญญาวิมุติฝึกฝนอบรมตัวเอง(จิต) ให้เห็นถึงสัจจธรรมของสรรพสิ่ง ว่าเป็น:-
    อนิจจัง - สรรพสิ่งใดๆล้วนแต่เกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย(เมื่อมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้) จึงยังมาซึ่ง"ความไม่เที่ยง"คือจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน..
    ทุกขัง - สรรพสิ่งใดๆล้วนแต่ไม่สามารถที่จะ"คงทนต่อสภาพเดิมได้ ล้วนแต่ต้องเปลี่ยนแปลง แปรเปลี่ยนเสื่อมสภาพ แตกดับสลายหายไป"..
    อนัตตา - สรรพสิ่งใดๆเมื่อเสื่อมสลายหายไปในที่สุดแล้วก็จะพบว่า"ไม่มีตัวไม่มีตน เหลือไว้แต่ความว่าง" เท่านั้น..

    ดังนั้นในการพิจารณาไตรลักษณ์เราจะต้องพิจารณาให้ครบถ้วนทั้งสามองค์คือ ทั้งอนิจจัง ทั้งทุกขัง ทั้งอนัตตา เราถึงจะเรียกว่า"ไตรลักษณ์" เพื่อให้จิตเกิดปัญญาเล็งเห็นถึงวงรอบของวัฏฏะในสรรพสิ่งว่า เมื่อแรกเกิดขึ้น(จากเหตุปัจจัยต่างๆ) ตั้งอยู่(และค่อยๆเสื่อมสภาพลง) จนดับไปในที่สุดแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย(เป็นความว่างเปล่า) ==> เหมาะสำหรับผู้ฝึกใหม่หรือผู้ที่กำลังฝึกอยู่เท่านั้น..
    จวบจนกระทั่งเรา(จิต)สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วแล้วเท่านั้น(คือจิตเข้าใจในกฎแห่งไตรลักษณ์แบบซาบซึ้งตระหนักแล้วเท่านั้น).. แม้เพียงโน้มนำมาแค่หนึ่งองค์(จะเป็นองค์ไหนก็ได้)จิตเราก็ยอมที่จะละวางในสิ่งนั้นๆได้อย่างเด็ดขาดแล้ว.. อีอันนี้สำหรับผู้ที่เขาทำได้แล้วเท่านั้น(ไม่เหมาะกับผู้ฝึกใหม่)..

    เทคนิคในการพิจารณาไตรลักษณ์คือ
    - ท่องให้ขึ้นใจหรือทำความเข้าใจในความหมาย ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องของทั้งสามองค์อย่างแจ่มแจ้ง
    - เมื่อสติระลึกรู้ได้ถึงปัจจัยกระทบที่เข้ามาที่ตัวเรา(จิต) ก็ให้ปัญญาโน้มนำพระไตรลักษณ์ขึ้นมาจับกับเรื่องนั้นๆ(สภาวะธรรมนั้นๆ)
    - ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆทำไป(ด้วยจิตที่มีสมาธิ) สอนจิตเข้าไป อบรมจิตเข้าไป ถึงกฎแห่งความเป็นจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนกระทั่งจิตเรายอมละวางหรือปล่อยวางลงได้ (ที่ว่าไม่ต้องรีบร้อนก็เพราะว่าเราหวังผลให้จิตเรา"ละวางลง"ให้ได้เป็นสาระหลักใหญ่ มิได้ต้องการแค่ทำให้มันจบๆไปตามขั้นตอน - ท่านผู้ปฎิบัติจะต้องปราณีตกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ)
    - จากนั้นเราก็ลองเอาสติของเรานี่ตามไปดูจิตอีกหน่อยซิว่า จิตมันยอมละวางเรื่องนั้นแล้วหรือยัง? คือว่าถ้าจิตเรายอมวางลงแล้วก็เป็นอันจบภาระกิจของเรื่องนั้นๆไป.. หรือหากแต่ว่าจิตมันแค่ลดให้มันเบาบางลงมาคือว่าจิตมันยังกรุ่นอยู่ ยังไม่ยอมวางให้หมด(ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่เราถูกกระทบตั้งแต่7-10ริกเตอร์น่ะ-ขออนุญาติเทียบกับสเกลแผ่นดินไหว) ==> ก็ให้กระทำซ้ำแบบเดิมอีก(ให้หยุดเรื่องอื่นๆทั้งหมดก่อน) ตั้งจิตให้มั่นทรงสมาธิแล้วโน้มไตรลักษณ์ลงมาพิจารณาใหม่ ทำซ้ำ ทำซ้ำๆๆ สอนมันเข้าไป อบรมมันเข้าไป จนกว่าจิตเรามันจะยอมวางลง..ก็เป็นอันจบภาระกิจของเรื่องนั้นๆ ก็ให้ท่านผู้ปฎิบัติระลึกจดจำขบวนการอารมณ์ของจิตเราเอาไว้ด้วย พอวันหน้าเกิดเหตุปัจจัยกระทบแรงๆขึ้นมาอีกเราจะได้ทำได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วขึ้น..
    - ก็ให้หมั่นทำบ่อยๆวิปัสสนาบ่อยๆ ในทุกๆเรื่องทุกๆปัจจัยกระทบที่เข้ามากระทบจิตเรา เดี๋ยวเราก็จะทำได้คล่องแคล่วเอง ดังคำกล่าวที่ว่า "ความชำนาญ เกิดแต่การปฎิบัติ" เท่านั้น..
    - การวิปัสสนาให้ได้"ประสิทธิผล"นั้น เราจะต้องทำในภาวะที่จิตเราจะต้องนิ่ง หรือจิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌานนั่นเอง นี่ถึงคือเหตุผลที่ว่า "ทำไมจิตจะต้องทรงฌานให้ได้ตลอดเวลานาที(จะฌานสูงฌานตำ่ก็ยังไม่เป็นไร แต่ขอให้ทรงฌานก็แล้วกัน)" เพราะว่ากำลังฌานนี้จะมาเป็นบาตรฐานให้จิตพิจารณาไตรลักษณ์และละวางกิเลสต่างๆได้อย่างเด็ดขาดหรือเกิดประสิทธิผลสูงสุดนั่นเอง.. นี่แหล่ะถึงคือเหตุผลว่าคุณครูฝีกทุกๆท่านถึงพยายามสอนให้ผู้ปฎิบัตินำจิตเกาะพระให้ได้ตลอดเวลาก็เพราะว่าเป็นการทรงฌานอยู่ตลอดเวลานั่นเอง เพราะว่าปัจจัยกระทบอาจจะเข้ามาตอนไหนๆก็ได้(เราต้องไม่ประมาท) พอมันเข้ามาเราก็มีพระไตรลักษณ์เป็นเครื่องมือในการไปจัดการกับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปเลย..

    เอาหล่ะ..คราวนี้มาดูวิธีการใช้งานแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนสำหรับผู้ปฎิบัติใหม่คือว่าเอาแค่ง่ายๆ4อย่าง:-
    1. สติ - การระลึกรู้ หน้าที่ของสติคือตามรู้ รู้ๆๆๆๆๆ ลูกเดียว ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อะไรเข้ามากระทบ
    2. จิต - จิตของเราเองซึ่งจะเสวยอารมณ์ต่างๆเข้ามาเช่น รัก โลภ โกรธ หลง สุข ทุกข์ เฉย ฟุ้งซ่าน หิว ร้อน เย็น และอื่นๆเต็มไปหมดจะเป็นอะไรก็ได้ที่มันเข้ามากระทบจิตเรา
    3. ปัจจัยกระทบ - อะไรก็แล้วแต่ที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะมาทางไหนรูปแบบไหน ที่เข้ามากระทบแล้วทำให้จิตเราเสวยอารมณ์ต่างๆขึ้นมาตามข้อ2
    4. โน้มไตรลักษณ์มา - พิจารณาปลงลง ละวางลง อบรมให้จิตมีปัญญา
    หมายเหตุ: ในชั้นนี้ผู้ปฎิบัติยังไม่ต้องเสียเวลาไปแยก กาย เวทนา จิต ธรรม อายตนะต่างๆ เจตสิกต่างๆ เหตุแห่งปัจจัยต่างๆหรือรายละเอียดใดๆก็แล้วแต่ เพราะว่าเรายังพึ่งจะฝึกจิตมันยังไม่ละเอียดพอที่จะไปแยกแยะอะไรต่างๆเหล่านั้นได้ละเอียด (นอกเสียจากว่าเราทำจนคล่องแคล่วแล้ว จิตมันละเอียดมันก็จะไปแยกแยะของมันเอง) สำหรับผู้ฝึกใหม่ให้เอาแค่4ข้อด้านบนก็พอแล้วเพราะว่าเป้าหมายของการวิปัสสนานั้นคือ"ให้รู้เห็นสัจจธรรมแห่งความเป็นจริงแล้วก็ละวางลงได้"เป็นหลัก..

    โดยปกติแล้วการที่เราจะเอาอาวุธไตรลักษณ์นี้ขึ้นมาจัดการกับกิเลสได้นั้น เราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องการรับรู้ของปัจจัยกระทบกันก่อนนะครับ.. อันปัจจัยที่เข้ามากระทบเรา(ตั้งแต่1-10ริกเตอร์)นั้นแบ่งออกเป็น3ระดับตามความสามารถของสติในการรับรู้ได้ว่ารวดเร็วขนาดไหน คือ
    1. "สติเผลอ" พอเกิดปัจจัยกระทบปั๊บ จิตจัดการปรุงแต่งต่อยอดทันทีเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆนาๆ(สมมุติว่าโกรธก็แล้วกัน) จิตสั่งให้ปากผลุสวาท(ด่าใส่)ผู้อื่น แถมถ้าจิตปรุงแต่งมากๆจิตก็จะสั่งให้แสดงออกในท่าทางด้วย(แย่สุดคือเข้าทำร้ายผู้อื่น) เราจะเห็นได้ว่า พอสติเผลอนี่ พอมีปัจจัยมากระทบเข้า จิตแสดงออกหมดเลยครับคือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม (เขาถึงเรียกกันว่า "เมื่อรู้สึกตัว ก็สายเสียแล้ว") ==> จะอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ให้พยายามมีสติระลึกรู้ (ว่าสำเร็จกิจไปเรียบร้อยแล้ว) โน้มนำไตรลักษณ์เข้ามาพิจารณา มาดแม้นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะผ่านไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยที่สุดถ้าอารมณ์จิตยังครุกกรุ่นอยู่ก็จะได้ดับไป แถมยังได้ปัญญาขึ้นมาอีกว่า"ถ้าสติเราไม่เผลอ เราก็คงจะไม่ทำแบบนั้นออกไป" เป็นแน่แท้เชียว..
    2. "สติมาสาย" พอเกิดปัจจัยกระทบปั๊บ จิตจัดการปรุงแต่งต่อยอดทันทีเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆนาๆ(สมมุติว่าโกรธก็แล้วกัน) จิตมันเสวยอารมณ์โกรธแล้วนะ คือว่ามันครุกกรุ่นอยู่ภายในใจ แต่บังเอิญๆว่าสติเราตามมาทัน(แม้จะสายไปหน่อย) สติเราก็จะสั่งให้ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ปากผลุสวาท(ด่าใส่)ผู้อื่นออกไป.. อาจจะนิ่งเฉยเสียหรือถ้าโกรธมากๆก็เดินหนีไปก่อน.. คือจิตแสดงออกแค่ มโนกรรม(แค่โมโหในจิตใจเราเอง) มิได้แสดงออกไปในทางวจีกรรม หรือกายกรรมแต่อย่างไร (อีอันนี้..ดีขึ้นมาพอสมควร) ==> ก็ให้เราโน้มไตรลักษณ์เข้ามาพิจารณาถึงความโกรธที่มีในจิตใจเราเอง ให้ทำจนกระทั่งจิตเรามันยอมวางลง ถ้าไม่ยอมวางลงอีกก็ให้ทำซ้ำหลายๆรอบ จนกระทั่งจิตเรามันยอมวางลง..(อย่าข้ามอย่าเว้นอย่าหนี..ต้องเอาให้กิเลสตัวนี้หมอบลงให้ได้.. ต้องอาศัยทำไปๆทำบ่อยๆจิตเรามันถูกอบรมบ่อยๆเข้ามันก็จะจดจำและวางลงเอง.. พอถึงขั้นสูงขึ้นอีกมันจะทำเป็นออโต้ของมันเองเลย)
    3. "สติรู้เท่าทัน" พอเกิดปัจจัยกระทบปั๊บ สติตามรับรู้ได้อย่างเท่าทันปัจจัยกระทบ ก็ให้โน้มมาพิจารณาไตรลักษณ์ในทันทีจนจิตสามารถละวางได้.. (จิตมันก็จะไม่ไปจัดการปรุงแต่งต่อยอดเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆนาๆ)คือว่ามันหยุดได้ตั้งแต่ มโนกรรมกรรมแล้ว ส่วนวจีกรรมและกายกรรมไม่ต้องพูดถึงเลยคือมันหยุดได้ตั้งแต่ต้นทางแล้ว มันจึงไม่เกิดผลที่ปลายทางเลย ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมที่เกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ผลจึงดับไปด้วย"..

    ท่านผู้ปฎิบัติทั้งหลายจะเห็นได้ว่า อัน"สติ" นี้มันสำคัญมากๆ(ซึ่งจะเห็นได้ว่าท่านพี่ภูยำ้นักยำ้หนา ยำ้อยู่บ่อยๆ..) ซึ่งเราจะต้องฝึกสติให้รวดเร็วมากยิ่งๆขึ้น สติจะเร็วได้จิตเราต้องนิ่ง (และในทางตรงกันข้ามจิตเราจะนิ่งได้เราก็จะต้องหมั่นมีสติอยู่เสมอ คือว่าเจ้าสติ&จิตนี่..มันทั้งสองตัวหนุนเนื่องซึ่งกันและกัน) ถามว่าแล้วจะทำยังไงล่ะ? ตอบ:ก็ทำจิตเกาะพระซิครับ.. จิตเกาะพระจนกระทั่งจิตเราทรงฌาน(จิตนิ่งมากๆแล้ว สติก็จะรู้เท่าทันทุกปัจจัยกระทบเลย..) แล้วก็มาทำวิปัสสนาดังได้อรรถาธิบายไปแล้ว.. เพื่ออะไร? ก็เพื่อที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้นจากกองกิเลสทั้งมวล บรรลุมรรคผลนิพพานในภพชาตินี้กันยังไงหล่ะครับ..


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ดูๆไปเห็นโลโก้พี่ภู แทน เลยต้องลุกมานั่งสมาธิค่ะ
    สำหรับเธอ คนดีที่หนึ่งเลย
    อันนี้พูดไปก็จะหาว่าโม้ จะว่าบังเอิญก็ตามแต่ใจใครจะคิด
    คือ ผมตั้งอธิษฐานจิตให้สำหรับเธอ ผู้ที่จิตดื้อโดยเฉพาะ ฮ่าๆ
    จิตดื้อที่สุด ก็คือ ครูเพ็ญ ขอเป็นธรรมาทานหน่อยนะครับคุณครูที่เคารพรัก มานะหายหรือยัง?
    หายแล้วนี่น๋า พี่ภูรอด จิตล่วงเกินใครไปนิดเดียวก็รู้ตัวนะ จิตคนเรานี่มันละเอียดดีจริงๆ
    ขอขมาทีนะครับคุณครูเพ็ญ

    แต่ดื้อในทางปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ไม่ใช่ดื้อแบบคนเลวร้ายอะไร
    อันนั้นคนละเรื่อง
    คือผมได้ขอให้ท่านพ่อช่วยยกจิตไวๆ โดยถ้าใครนึกถึงท่านพ่อบ่อยๆ
    จิตจะรวมสติทันที คอยสังเกตให้ดี คือจิตจะสงบขึ้นมาเองเฉยๆอย่างนั้น
    เธอนี่ก็ต้องคอยให้บารมีท่านพ่อช่วยด้วยนะ เพราะกำลังใจเกือบจะถึงๆก็ตกอีก
    ผู้ปฎิบัติอย่าไปโทษงานภายนอกกันนะ แต่ถ้ามีสติรู้ตัวมาก จิตก็จะนิ่งไว
    คนเรานี่ขอให้จิตนิ่งกันได้อย่างเดียว เดี๋ยวเหตุการณ์ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีเอง

    ในเมื่อพวกเรามาเรียนรู้เรื่องธรรมะ โดยเฉพาะมาเรียนรู้เรื่องปฎิบัติจิตเกาะพระ
    เราจะต้องเน้นกันที่ จิตของตนเองโดยเฉพาะ
    เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระทุกท่าน ต่อไปนี้พวกเราจะต้องรู้ว่า
    จิตตนเองนั้นอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร หรือเราจะต้องรู้ว่าอาการ อารมณ์ของจิตตนเองกันให้ได้
    เพราะปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ เน้นที่เรื่องสติ กับ เรื่องจิตของตนเองเป็นหลัก
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ยังตอบไม่ได้ว่า จิตของตนเองนั้นอยู่ที่ไหน
    หรือช่วงที่ภาพพระนั้นหายไปไหน หรือสังเกตไม่ได้ว่า ภาพพระที่หายนั้น
    หายไปในขณะที่จิตทรงฌาน(สติมากเกินไป จนจิตนิ่งมาก จิตทรงฌานลึก)
    หรือว่าไม่ได้ทรงฌาน คือเผลอสติ
    และตัวที่จะบอกตนเองนั้นได้ ก็คือ ตัวสติของเรา

    หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ
    ถ้าสติมีไม่มากพอ พวกเราก็จะไม่มีทางจะรู้ว่าจิตตนเองนั้น อยู่ที่ไหน

    ***กรณีที่ภาพพระหายนั้น ก็จะมีอยู่ 2 กรณีเท่านั้น (ขอให้พวกเราจำกันไว้ให้ดี)
    1.สติเผลอ ในขณะที่จิตไร้ฌาน แต่ผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ๆจะเกิดบ่อยมาก
    2.สติเกิดมากเกินไป ในขณะที่จิตทรงฌานสูง คือตั้งแต่ใกล้ๆจะเข้าฌาน4
    เมื่อจิตใครที่ทรงฌานสูงกันอยู่นี้ พวกเราก็อย่าพยายามตามหาภาพพระกันอยู่ ปล่อยเขา
    แต่ถ้าฌานถอยมาถึงฌานต่ำ(ฌาน1-2) ภาพพระก็จะมาทันที
    อันนี้พูดกรณีที่จิตเกาะพระแนบแน่นแล้ว

    ผู้ปฎิบัติคอยสังเกตดูจิตของตนเองให้ดีนะ ไม่ยากนะ พอจะเข้าใจแล้วนะ
    ตามที่คุณลูกพลังกล่าวมานั้น ถูกต้องแล้ว คือผู้ปฎิบัติเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์รู้ว่า
    จิตของตนเองนั้นอยู่ที่ไหน หรือเรียกกันว่า ปัจจัตตัง
    คือผู้ไม่ปฎิบัติก็จะไม่มีสิทธิ์รู้ ถึงพูดไปก็ไม่รู้เรื่องดีเท่ากับปฎิบัติเอง

    ***ขอฝากผู้ที่ปฎิบัติจิตเกาะพระได้แนบแน่นกันแล้ว
    ในขณะที่จิตเกิดสมาธิ จิตทรงฌาน หรือกำลังมีสติสัมปชัญญะ
    ขอให้ผู้ปฎิบัติตามดูอิริยาบถของตนเองไปด้วย ดูให้ชิน พยายามทรงฌานอย่างนี้ให้ต่อเนื่อง
    เพราะในขณะที่จิตทรงฌานเนืองๆนี้ จิตจะรวมง่าย จิตจะวิปัสสนาของเขาโดยธรรมชาติ
    เพราะในขณะที่จิตนิ่งเข้าสู่อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธินั้น จิตจะไปรับรู้อะไรได้โดยอัตโนมัติเอง
    โดยที่จะต้องมีอะไรมาบอก แต่เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ สติมากๆ ถึงจะรู้ว่า จิตตนเองนั้นอยู่ที่ไหน

    และในขณะนี้เอง พวกเราจะมองเห็นกิเลสตนได้ชัดเจนขึ้น
    หรือจะมองเห็นสิ่งต่างๆที่มากระทบจิตง่ายขึ้น
    ถึงจิตจะไปวิ่งชนกิเลส หรือจะมีสิ่งต่างๆมากระทบจิต ซึ่งมาจากอายตนะ6
    ทั้งนอก ทั้งใน ก็จะไม่มีผล/ทำร้ายจิตใจของตนได้เลย

    สำหรับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ หรือกำลังเดินจิตตามวิธีมรรคถูกต้องแล้ว
    หรือนอกจากจิตจะยกขึ้นอยู่เหนือขันธ์5แล้ว ก็คือ ผล
    ผลที่ได้หลังจากการปฎิบัตินั้น ก็คือ จิตจะมีแต่ความสงบสงัด มีแต่ความเย็นทั้งกายและใจ
    มีแต่จิตว่าง คือ ว่างจากนิวรณ์5 จิตจะสดชื่นมาก
    ความรู้อันนี้ จะมีมากกว่าจากที่เราไปติดสุขจากฌาน หลายเท่าตัวมาก เทียบกันไม่ติดเลย
    ***อย่าลืมนะพวกที่ชอบติดสุจจากฌานนั้น ไปนิพพานไม่ได้
    แต่ถ้าไปก็ให้รีบสร้างสติมากๆ ปัญญาจึงจะมีมากตาม และให้บอกกับตนเอง(จิต)ว่า
    ออกมาจากสุขที่เกิดจากฌานนั้นเสีย (ทั้งรูปฌานหรืืออรูฌาน)
    เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นมิอาจจะหลีกหนีความจริง หลีกหนีกิเลสโลก(รัก โลภ โกรธ หลง)
    เราไม่สามารถหลีกหนีผู้คน หรือเราไม่สามารถปิดอายตนะ 6 ของตนเองได้
    ที่โลกให้กับพวกเรามา เราอย่าไปปิดกั้น หรือหนีความจริง
    เปิดรับไปเลย ชนกับกิเลสไปเลย อายตนะของตนนี้แล ก็คือครูของเราที่ดีที่สุด
    เพราะเราก็จะได้รู้ผลของการที่เราปฎิบัติมาตั้งนานกันนี้ ว่าเราจะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน
    ก็ให้รู้ไปเลย
    เพราะจิตยก หรือจิตอรหันต์นั้น จะต้องกล้าเผชิญกับกิเลส และชะตากรรมของตนเอง
    แต่ถ้าชนแล้วเฉยๆ ไม่มีผลต่อจิตใจก็ผ่านไป
    สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์ยังไม่แกร่งกล้า ก็ให้ฝึกสติมาก เป็นเท่าตัว
    สติเท่านั้นที่จะเอาทุกอย่างอยู่ได้
    การปฎิบัติธรรม หรือการเจริญสติภาวนา แต่ถ้าใครสติมีไม่มากพอ ก็ไร้ผล
    สติมากนี่จะไปหมายถึงศีลด้วย พวกเราโปรดมองให้ดี มองให้ลึกซึ้ง
    สังเกตดูนะว่า ผู้เจริญ หรือผู้ที่มีศีล มีธรรมนั้น ส่วนใหญ่เขาจะหายใจออกซิเจนไปได้ครึ่งเดียว
    ไม่ใช่ขาดอ๊อกซิเจน หรือหายใจไม่อิ่มนะ พวกเขาหายใจอิ่มกัน
    เพราะผู้ที่มีศีลมีธรรมนี้ จิตท่านเขานิ่ง นิ่งมากจนถึงฌาน
    เพราะฉะนั้นแล้ว กายใจก็สงบสงัด ถึงมีอะไรมากระทบจิตก็ตาม จิตเห็นเกิดดับเป็นธรรมดาแล้ว
    ภายในไม่ได้รุ่มร้อนเหมือนคนที่ไม่ฝึกจิต เพราะผู้ไม่ฝึกจิตนั้น จิจเขาจะไม่นิ่งกัน
    พอจิตไม่นิ่ง พอมีอะไรมากระทบจิต จิตก็จะวิ่งตามสิ่งๆนั้น และระหว่างนั้นพวกเราจะไม่รู้เลยว่า
    ในขณะที่จิตไม่นิ่ง จิตที่กำลังวิ่งตามสิ่งต่างๆที่มากระทบจิตนั้น
    เราใช้พลังจิตกันไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว

    เพราะด้วยเหตุเหตุนี้เอง คนที่ฝึกจิตมาดี หรือจิตนิ่งมากนั้น จะได้เปรียบ
    นอกจากจะมีสติสัมปชัญญะ หรือรู้สึกตัวทั่วพร้อม ดูกิเลสวิ่งไปวิ่งมาได้ชัดเจน
    และพลังจิตก็มีมาก เพราะไม่ค่อยได้ใช้งานไปกับทางโลกมากนัก
    ความเครียดก็ไม่ปรากฎ ทุรนทุรายก็ไม่มี กายใจก็เย็นออกมาจากภายใน
    ไม่วิตกกังวล หรือเดือดร้อนกับเรื่องใด ใครยุ่งวุ่นวาย หรือใครจะเป็นใครจะตายก็เฉย
    ไม่ดีใจ ไม่ทุกข์ไม่ทุกข์ใจใดทั้งสิ้น

    ลองถามคนที่จิตยกไปแล้วกันดูสิว่า พวกเขารู้สึกกันเช่นไร
    เขากลัวตายกันไหม๊? เขาเกรงกลัวภัยพิบัติกันไหม๊?
    เขามีสติมากขึ้นไหม๊? เขารู้สึกตัวตนมากขึ้นไหม๊?
    เขาเป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์กันไหม๊?
    จิตเขาอยู่กับความว่างตลอด
    แต่ระวังผู้ที่จิตยกไปแล้ว จะมีบางสิ่ง บางอย่าง มาทดสอบจิตตนเองบ่อยๆ
    แต่ถ้าสติใครมีมาก ก็สอบผ่านได้โดยง่าย
    หรือเอาง่ายๆก็คือ ถ้าเรารู้สึกว่ารำคาญกับสิ่งภายนอก นั่นก็แสดงว่าจิตไม่ได้ทรงฌานแล้ว
    ฌานถอย ฌานเสื่อมไปแล้ว รู้ตัวไว้ด้วย รีบมีสร้างสติกันซะ ก่อนจะหลุดไปมากกว่านี้
    อย่าลืมนะ ขนาดพระอรหันต์ จิตท่านรอดไปแล้ว นอกจากจิตท่านไม่ลืมพระกันแล้ว
    จิตท่านก็ไม่ลืมสติกันนะ

    สำหรับผมมีคาถาท่องทุกวัน ก็คือ สตินะ สติ
    นึกทีไร เราก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
    หรือใครไม่ถนัดก็คอยหมั่นนึกถึงพระเข้าไว้ โดยเฉพาะที่เรากำลังทุกข์
    หรือหาทางออกกันไม่ได้


    ***เด๊วครูเพ็ญคงจะมาต่อภาคค่ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2012
  19. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูน้องหนู ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูวิทย์ ครูนิวเวป ครูจารุณี ครูนก ครูนอร์ท และทุกท่านค่ะ วันนี้ตามอ่านทันทุกกระทู้แล้วค่ะ
    วันนี้ครูลูกพลังพูดถึง การพิจารณาลงไตรลักษณ์ ซึ่งตัวเองก็เจอเหตุการณ์อยากจะเล่าให้ฟังอาจจะเป็นตัวอย่างให้พิจารณากันง่ายขึ้น คือ ที่บ้านมีเลี้ยงสุนัขอยู่ 3 ตัว มีตัวหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกบ้านได้เพราะเป็นสุนัขที่ถูกคนงานก่อสร้างทิ้งไว้ ความสงสารเลยให้มาอยู่ด้วย เค้าไม่กัดใคร เวลาเปิดประตูบ้านเพื่อเอารถออกเค้าก็จะเดินออกไปและในหมู่บ้านมีหลายบ้านที่เลี้ยงสุนัขเหมือนกัน แต่ไม่รู้เหตุใดใครๆก็จะมาโทษสุนัขบ้านเรา ไม่ว่าอึจะก้อนใหญ่ หรือก้อนเล็ก เราก็จะพยายามตามไปเก็บกวาดเท่าที่ทำได้ เราเห็นสุนัขบ้านอื่นวิ่งมาอึหน้าบ้านเรา เราก็กวาดไปทิ้งซะ ไม่เคยพูดอะไร วันนี้มีรถมาขายของกินในหมู่บ้านก็ออกไปดูและซื้อกันหลายบ้าน มีบางคนเอ่ยพูดเหน็บแหนมเรื่องอึหมา เราเลยเดินไปดูเห็นอึก้อนเล็กๆ3ก้อน เราก็ไม่พูดอะไร ไม่ใช่อึหมาบ้านเรานี่ เพราะหมาบ้านเราตัวไม่ใหญ่ไม่เล็ก แค่อ้วนเหมือนหมูเท่านั้น ใครจะพูดอะไรก็ช่างเค้า ไม่ส่งจิตไปซัดส่ายหาเรื่อง ถามว่าโกรธไหม ตอบไม่โกรธ จะโกรธไปทำไมเมื่อมันไม่เกี่ยวกับเรา แม้นว่าเกี่ยวกับเราล่ะ จะโกรธไหม ก็ยังตอบว่าไม่โกรธอยู่ดี เพราะเรามีสติไง เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเรามากวาดเอง เมื่อสุนัขเรามาอึ เรารู้ เราก็ต้องเก็บกวาด มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่มีสติหรือมีสติไม่มากพอเราจะโกรธ และอาจมีการโต้ตอบเพราะมีสุนัขหลายตัวนี่ คูณเห็นหรือเปล่าล่ะว่าหมาของฉันมาอึไว้ ......... และเลยกลายเป็นทะเลาะกับเพื่อนบ้านได้ในที่สุด นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ แสงจันทรได้ยิน ได้ดู แล้วนำมาพิจารณาว่าดีแล้วที่เค้ามาพูดเหน็บแหนมเรา(อันนี้จะรู้สึกได้ เป็นเรื่องที่รับรู้ได้เฉพาะตนค่ะ ไม่ได้คิดไปเอง) เราจะได้ฝึกจิตเรื่องสิ่งที่มากระทบแล้วเราจะทำอย่างไร อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีหรือไม่อย่างไร เมื่อรู้แล้ววางหรือยังตัดลงไตรลักษณ์ได้หรือไม่ ทั้งนี้ต้องขอบพระคุณท่านเพื่อนบ้านคนที่พูดเรื่องอึสุนัขด้วยใจจริง .....
     
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    รับทราบ ปฏิบัติ คะพี่
    โดนเหตุการณ์มาทดสอบจริง ๆ ด้วย ตกลงมาเจ็บจริง จะปีนกลับไปใหม่คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...