เก็บรวบรวม!!องค์กรลับและทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 27 กรกฎาคม 2012.

  1. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style11 style13"></TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff></TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD><TD class="midbox style8 style10">โดยคุณ wincha

    องค์กรลับและทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดในอเมริกา
    « on: 10 Aug 2010, 16:49 »0

    มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความพยายามล้มเศรษกิจสหรัฐและเศรษกิจโลก ทำลายล้างเพื่อลดประชากรโลก และก่อสงครามเพื่อนำไปสู่การยึดครองแบบเบ็ดเสร็จ หรือ NWO - New World Order โดยใช้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น สหประชาชาติ, IMF, WHO, ธนาคารโลก และศาลโลก (ที่มาโยนระเบิดไว้เรื่องพระวิหารย์ ทำให้เป็นปัญหามาจนทุกวันนี้) ผ่านสิ่งต่อไปนี้ครับ

    1.ผ่านระบบการเงินการธนาคารที่เรียกว่าระบบธนาคารกลางหรือ Federal Reserve

    2.ผ่าน ทางทำลายล้างชีวิตมนุษย์ในโดยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น "HAARP" เพื่อสร้างแผ่นดินไหว ซึนะมิ ความแห้งแล้ง น้ำท่วม โคลนถล่ม เฮอริเคน และอีกเครื่องมือนึงที่กำลังจะมาคือ การปล่อยอาวุธชีวภาพที่มาในรูปของไข้หวัด 2009 และการฉีดวัคซีน (เราโดนไปรอบนึงแล้ว)

    3.ผ่านทางความเชื่อของศาสนาหนึ่ง ซึ่งบิดเบือนคำสอนที่แท้จริง แล้วตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นต้นตอของทั้งหมด ใช้ความเป็นผู้นำทางวิญญาณเป็นเครื่องมือ อิลูมินาติไม่ใช่ทั้งหมด แค่เป็นมือทำงานให้คนกลุ่มนี้ แต่ผมจะไม่อัดให้ทั้งหมดในทีเดียวเพราะมันจะแน่นเกินไป คุณจะไม่เชื่อหรอกครับ ถ้าไม่มีการพิสูจน์ ต้องใช้เวลาครับ คนกลุ่มนี้สั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พระและประชาชนชาวโครเอเชียไปที่เป็นคริสต์ นิกายออโธดอกซ์็ไป 800,000 คน ก่อนที่จะหนุนให้ฮิตเล่อร์ค่ายิวไปอีก 6,000,000 กว่า และในทุกสงครามที่ผ่านมาทั้งหมดของมนุษย์

    4.ผ่าน ทางการทำให้เงินดอลล่าท่วมโลก แล้วดันให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนทองคำ ที่หนักกว่านั้นก็คือเอามาหนุนการพิมพ์ธนบัตรของแต่ละชาติ อันนี้สาหัสมาก "ซึ่งผิด" แต่ก็ทำจนสำเร็จ....... จึงเอาตลาดค้าทองคำโลกทั้งลอนดอนและนิวยอร์คมาเป็นเครื่องมีอ" ที่สำคัญมากตัวนึง ถ้าคุณจะเล่นกับทอง คุณต้องรู้ตรงนี้ครับ เพราะคุณหลุดเข้ามาแล้วโดยไม่รู้ตัว เค้าพูดถูก "ถ้าคุณหาแต่ทองคุณจะเสียชีวิตครับ" เพราะคุณอาจจะไปรับวัคซีนในข้อ 2 หรือไม่ก็หมดตัวเมื่อเงินดอลล่าลดค่าหรือล่มสลาย เพราะมันจะฉุดเงินบาทเราไปด้วยครับ แต่ถ้าคุณอยาก รู้แค่ส่วนนี้เราก็ไม่ว่ากันครับ

    สรุปก็คือเค้าใช้

    1.อำนาจ ทางศาสนาคืออำนาจสูงสุด มีผู้นำ 2 คนแยกกันทำงาน ให้ตัวขาวนำทางจิตวิญญาณให้ดู Holy หรือศักสิทธิ์เข้าไว้ ส่วนตัวดำทำหน้าที่ที่เหลือจากตัวขาวทั้งหมดหนักๆ เลยคือการทหารครับ แและองค์กรนี้มีปัญญาเรื่องรักร่วมเพศสูงมาก มีคดีความฟ้องกันตลอด คือเป็นเกย์ซะเป็นส่วนใหญ่ครับ เพราะในลัทธิความเชื่อนี้เป็นชายทั้งหมดและห้ามแต่งงาน

    2.อำนาจการเงิน การธนาคาร ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีคนที่รวยที่สุดในโลกเป็นคนควบคุมทั้งหมด รวมทั้งตลาดทองคำ***

    3.อำนาจการทหาร อยู่ที่วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา มีกลุ่มทำงานแยกกันตามหน้าที่ เช่น

    " CFR "ควบคุมนโยบายต่างประเทศ เป็นรัฐบาลเงา จัดรัฐบาล
    " Bilderberg Group " เป็นที่ปรึกษาและการวางแผนระดับสูง และควบคุมนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลในทุกด้าน
    " illuminati " ควบคุมการทหาร และการสงครามทั้งหมด
    " Committee 300 " (หรือเครือข่าย 300 บริษัทขนาดใหญ่ที่แตกลูกออกไปเป็นหมื่นๆ บริษัทแผ่ขยายไปทั่วโลก) ทำหน้าที่เชื่อมโยงธุรกิจการค้าทั้งหมด
    " Mason " หรือ " Free Mason " เป็นผู้นำระดับสูงมี 33 ระดับการปกครอง และประธานาธบดีเกือบทั้งหมดมาจากตรงนี้ครับ


    มีเพื่อนเราถามมาว่ามีอะไรในอัฟกานิสถาน และทำไมทหารอเมริกันเข้าไปทำอะไรที่นั่นมาหลายทศวรรษไม่ยอมกลับบ้านซะที

    คำ ตอบคือ มีครับมีมานานมากแล้วครับ " ไร่ฝิ่น " กับ "บิน ลาเด็น" ครับ ผมไม่แน่ใจว่าใหญ่ที่สุดในโลกหรือเปล่า และเคยเป็นของอังกฤษครับ จำสงครามฝิ่นของจีนกับอังกฤษได้หรือเปล่าครับ อังกฤษ(แขนซ้าย)ปลูก แล้วใช้บริษัท East India ขนมาขายและมอมเมาคนจีนครับ หลังจากที่เมาไปครึ่งประเทศแล้ว รัฐบาลจีนก็เริ่มสกัด อังกฤษไม่ยอมครับเอาปืนใหญ่ใส่เรือรบมาประชิดจีน แล้วจีนต้องยอมสงบศึกแทบจะยกฮ่องกงให้เค้าไป เลยทำเป็นให้เช่าไปไงครับ

    ต่อ มาให้เอมริกา(แขนขวา)ดูแลต่อ มีฐานทัพใหญ่อยู่ที่นั่นครับ ให้ CIA ที่ชื่อ "บิน ลาเด็น" เป็นคนดูแลให้ครับ ครอบครัว"ลาเด็น" ใช้เครื่องบินส่วนตัวเข้าออกน่านฟ้าอเมริกาเป็นว่าเล่น ไม่ต้องมีวีซ่าครับ เพราะเป็นคู่หูค้าน้ำมันกับ "บุชผู้พ่อ" ในนาม "คาไลน์กรุ๊ป" ครับ ลองเซิร์ชหาเรื่องนี้ใน Google Video หรือ Youtube ครับใช้ Key words " Bin Laden CIA, Bin Laden Bush connection" อะไรประมาณนี้ ดูหลายๆ อันครับ

    ครับ บิน ลาเด็น เป็นเพียงตัวละครในเรื่อง 911 ไม่ได้ทำครับ ทำกันเอง ฆ่าคนของตัวเองไป 4,000 เพื่อพาอเมริกาเข้าสงครามอีรัคแค่นั้นเอง ผมถามคุณว่า คุณเชื่อเหรอครับว่า แสนยานุภาพระดับนั้น รบอยู่ 7 ปี ทหารตายไป 50,000 หมดไปหลายพันล้านเหรียญ จับแขกคนเดียวที่ซ่อนอยู่ในถ้ำตามหุบเขาไม่ได้ แต่ Suddam Hussein เป็น ปธน.มีทหาร กองทัพ กองกำลังป้องกันชาติ National Guard จรวดมิซไซล์ แต่ไปลากคอเค้าออกมาจากหลุมแล้วฆ่าได้ เรื่องนี้ "Stupid" ครับ

    จุด นี้เป็นจุดตัดสินใจอีกจุดที่ผมกลับครับ เค้าฆ่าคนของตัวเองไป 4,000 เพื่อเรื่องนี้ เอาไว้จะเล่าและเอาหลักฐานจะจะให้ดูครับ เชื่อไปก่อนเลยครับ ไม่ต้องสงสัย หรือลังเลใจ จะโพสต์เร็วๆนี้ครับ ใกล้ๆ 9/11 ครับ

    ก่อนที่เค้าจะใช้ระบบเงินกระดาษไปมอมเมาชาวโลก เค้าใช้ฝิ่นครับ และแปรสภาพไปเป็นสารเสพติดอื่นๆ เพื่อทำลายและยึดครองครับ พวกประเทศในแถบอเมริกากลาง และใต้ โดนไปเยอะ ใช้ยาเสพติดมอมเมา ทำให้สั่นคลอน (destabilize) ทำทีเข้าไปร่วมตามล่าพ่อค้ายาข้ามชาติ ร่วมมือกับรัฐบาลประเทศนั้นแล้วแทรกซึมเข้าไปในระดับต่างๆ ของรัฐบาลครับ สุดท้ายยึดผ่านระบบเลือกตั้งแล้วตั้งรัฐบาลท้องถิ่นที่มาจากพวกเค้า เองบริหารครับแล้วลำเลียงเหมือนเดิมครับ ทรัพยากรและทาสครับ


    คง รู้จักประโยค In GOD we trust ที่อยู่บนธนบัตรของเค้านะครับ คำว่า "GOD" หรือพระเจ้าของเค้าตอนนี้ไม่ใช่.."พระยาเว"..พระเจ้าที่เค้าเคยเชื่อ เค้าทิ้งพระเจ้าของเค้า พระเจ้าที่ทรงสร้างเค้าเละประทานความยิ่งใหญ่ให้กับเค้าครับ คำว่า "GOD" ของเค้าตอนนี้คือ



    G = Gold

    O = Oil

    D = Drug


    ภาพโดยรวมของอเมริกา ณ เวลานี้คือ

    1.อัตรา การว่างงาน U6 = 20.50% พุ่งสูงถึงระดับ The Great Depression หรือเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1932 แล้ว และยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    2.หนี้สาธารณะสูงถึง 11.50 Trillion ($11,500,000,000,000)


    3.Federal Budget Deficit งบประมาณประจำปีขาดดุล อยู่ถึง 2 Trillion($2,000,000,000,000)จนถึงปลายปีอาจจะพุ่งขึ้นสูงถึง 4 Trillion ($4,000,000,000,000)และไม่มีแนวโน้มว่าจะตัด หรือ จัดสรรให้ลงตัวได้ อีก 11-12 มลรัฐทีมีปัญหาเช่นเดียวกัน และยากที่จะทำงบให้สมดุลย์ได้


    4.จาก ผลของการทำ Quantitative Easing หรือการให้ธนาคารกลางพิมพ์เงินออกมาใช้ในโครงการต่างๆ จากอากาศ โดยไม่มีสินทรัพย์หนุน ทำให้เกิดฟองสบู่่ลูกใหม่ และทำให้ค่าเงินดอลล่าอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง แล้วเกิดเป็นภาวะเงินเฟื้ออย่างรุนเแรง หรือ Hyper-Inflation คือเงินเดือนในแต่ละเดือนอาจจะซื้อขนมปังได้ 1 ปอนด์ เพราะดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI จะพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และเกิดการลดค่าเงินในที่สุด แต่ระบบเงินของอเมริกา เป็นเพียงกระดาษไม่ใช่ระบบที่มีทองหนุนหลังเหมือนประเทศอื่นในโลก จะนำไปสู่การล่มสลายของดอลล่าในที่สุด


    5.สภาพความเป็นจริงของระบบการเงิน การธนาคารโดยรวมไปไม่ไหวแล้ว มีธนาคารอีกอย่างน้อย 1,000 แห่งที่พร้อมจะปิดตัวลงได้ทุกเมื่อ


    6.หลาย สิบปีที่ผ่านมา 70% ของภาคเศรษฐกิจอยู่ได้ด้วยการ I ้ยืมเงิน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่การล่มสลายของระบบการเงิน และระบบเครดิต ทำให้ระบบเศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อลำบาก ยังมีระเบิดเวลาอีกหลายลูกทำพร้อมที่จะเบิดทันที เช่น หนี้บัตรเครดิตทั้งระบบ เงิน I ้เพื่่อการศึกษาและสวัสดิการต่างๆ การฟ้องยึดอสังหาริมทรัพย์ทั้งภาคครัวเรือน Residential และภาคการค้า Commercial

    7.ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ส่อเค้าว่าจะระบาดอย่างรุนแรงในช่่วง Fall ซึ่งจะเป็นตัวจุดชนวนให้เบิดพร้อมกันได้ทั้งหมด


    8.การ แก้ปัญหา Bail out ของรัฐพุ่งเป้าไปที่ภาคการเงินเพื่ออุ้มกลุ่มนายทุนของตัวเอง ซึ่งไม่ต่างจากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยเมื่อปี 1997 ผลที่ออกมาก็คงไม่ต่างกัน แต่จากปัญหาต่างๆ ข้างต้นจะทำให้อเมริกา ต้องถึงการล้มครึน และแปรสภาพไปเป็นประเทศในโลกที่ 3

    พูดอย่างตรงไป ตรงมาก็คือ ในทางเทคนิคอเมริกาประสบภาวะ "ล้มละลาย" แล้ว การฟิ้นตัวของตลาดหุ้นเป็นเพียงการบิดเบือนกลไกตลาดของภาครัฐผ่านทางกลุ่ม ทุนขนาดใหญ่ ต่างๆ ใน Wallstreet ซึ่งเอาไว้ตบตาคนที่มองแต่เพียงผิวเผิน แล้วเชื่อว่าฟื้้นตัวแล้ว

    ภาพที่จะออกมาในขณะนี้คือไม่มีอะไรเหลือ แล้วในอเมริกานอกจาก "หนี้" และ "แสนยานุภาพทางทหาร" แต่รัฐบาลใช้กลไกของ Wallstreet ในการสร้างภาพ เพื่อให้ดูว่าเริ่มฟื้นตัว ไปจนถึงจุดนึงที่ไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ จะระบาดอย่างรุนแรง แล้วทำให้ความเป็นจริงเศรษฐกิจที่ล้มละลายอยู่แล้วระเบิดออกมา แล้วทุกอย่างที่ซุกไว้ จะออกมาพร้อมกันทั้งหมด แต่รัฐบาลจะอ้างความชอบธรรมว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาสำเร็จแล้ว แต่เกิดปัจจัยใหม่ที่ทำให้ถึงการล่มสลาย จึงมีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไปเพื่อแก้ปัญหาต่อไป



    "Novus Ordo Seclorum" ตราสัญลักษณ์ที่ถูกใส่ไว้ด้านธนบัตร 1 เหรียญ เมื่อปี 1938 มีความหมายอย่างไร ก่อนอ่านต้องเข้าใจก่อนว่า นี่ไม่ใช่ Conspiracy หรือทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด แต่เป็นเรื่องจริงที่อาจจะเหนือความเข้าใจของคนทั่วไป ที่กำลังเผาผลาญโลก ชีวิตคน และเศรษฐกิจ

    บท ความนี้เป็นช่วงเวลาประมาณ 3 ศตวรรษที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ จะบอกถึงต้นกำเนิด การสร้างปัญหา ทิศทางที่ถูกวางไว้แล้วทั้งหมด การก่อกำเนิด จักรวรรดิ์นิยมอังกฤษ จักรวรรดิ์นิยมอเมริกา การปฎิวัติ กลุ่มคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง การวางรากฐานระบบการเงิน การธนาคารเพื่อยึดครองเศรษฐกิจโลก และ การจัดระเบียบโลก เพื่อไปสู่โลกยุคใหม่ New Age ที่มีการปกครองโดย

    1. New World Government รัฐบาลเดียวปกครองโลก (U.N. หรือองค์การสหประชาชาติ)
    2. New World Reserve Currency ทั่วโลกใช้เงินสกุลเดียว (เตรียมไว้แล้วกำลังมา หลังจากล้มเศรษฐกิจทั่วโลกได้แล้ว โดยการล้มเงินดอลล่าที่เป็นเงินสำรองสกุลหลักของโลก)
    3. New World Language ทั่วโลกใชัภาษาเดียวกัน
    4. New World Religion & Spiritual ศาสนา และ ศาสดาองค์ใหม่ (เตรียมไว้นานมากแล้ว เอาของเก่า ที่อยากเป็นมานานมาแล้ว แล้วมาบอกว่าเป็นของใหม่)

    "Novus Ordo Seclorum" หรือ "New World Order" นั่นเอง

    1.Global Power and Global Government: Evolution and Revolution of the Central Banking System
    http://www.silverbearcafe.com/private/07.09/power.html

    2.Origins of the American Empire: Revolution, World Wars and World Order: Global Power and Global Government: Part 2
    http://silverbearcafe.com/private/08.09/origins.html

    ด้วย เหตุผลดังกล่าวข้างต้นทำให้ในปี 2008 เพียงปีเดียว มี American Citizen ที่ไหวตัว และตื่นแล้ว อพยพออกจากอเมริกาประมาณ 2 ล้านคน และได้ถ่ายโอนทรัพย์สินในสกุลดอลล่าไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก จนโอบาม่า ต้องนำกฏหมาย Patriot Act ที่่ออกมาใช้หลังเหตุการณ์ 9/11 เพื่อควบคุมการไหลออกของเงินไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก เพราะฉะนั้นยิ่งเคลื่อนไหวช้า การถ่ายโอนทรัพย์สินก็ยิ่งทำได้ลำบาก

    http://www.goldandsilvernow.com/resources/saab-stories/98-foreign-exchange

    สิงคโปร์ ( Singapore )

    ผมดึงมาจาก Wiki ให้ครับ พวกเราจะได้ตาสว่างครับ ผมไม่ชื่นชมประเทศนี้ เพราะ

    "In 1819 the British East India Company established a trading post on the island, which was used thereafter as a strategic trading post along the spice route. Singapore would become one of the most important commercial and military centres of the British Empire, and the hub of British power in Southeast Asia".

    แปลครับ ในปี 1918 บริษัท อีส อินเดีย ของอังกฤษ ได้จัดตั้งศูนย์กลางการค้าขึ้นที่เกาะแห่งนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้า ของเครื่องเทศต่างๆ และสิงคโปร์ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางการค้า และการทหาร ที่สำคัญของสหราชอาณาจักร หรืออังกิด (เอางี้นะง่ายหน่อย ) ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

    แปลอีกทีครับเป็นภาษาคนที่พอจะรู้ประวัติศาสตร์บ้าง:

    อัง กิดเข้ามาล่าอาณานิคม ยึดสิงคโปร์ ยึดช่องแคบไว้ เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าและการทหาร ตั้งฐานทัพและกองเรือ เพราะเรือต้องผ่าน ไม่ผ่านไม่ได้ถ้าจะส่งสินค้าออก เพราะการบินยังไม่ก้าวหน้ามาก ต้องเรือเท่านั้น อุดมันไว้ไม่ให้ออก จ่ายค่าผ่านทางมา โขกเข้าไว้ๆ หรือไม่ก็เอามาส่งแค่นี้ ราคานี้จะเอาไม๊ ไม่เอา ขนกลับไป สิงคโปร์ถึงได้เป็นคนกำหนดราคาสินค้าไงครับ และอีกทางนึงได้โควต้าจากจากหน่วยเหนือฝั่งเมกา อังกิด และยุโรปเกือบทั้งหมด ทั้ง Demand & Supply อยู่ในมือ

    แต่น่าสัง เกตุอย่าง อังกิด ลอยเรือมาครึ่งโลก เพื่อมาขาย Spice หรือพริกไทยเหรอครับ อ๋อ บ้านผมเรียกว่า " ฝิ่น " ครับ ใส่มาในเรือลำเดียวกันกับที่ไปมอมจีนบริษัทเดียวกัน บ้านเราและอีกหลายประเทศก็อัพ พริกไทยชนิดนี้ไปเยอะ สรุปว่า "ผู้ชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์" จากฝิ่นเพี้ยนนิดนึงไปเป็นเครื่องเทศ งง

    แต่ ไทยห้ามขุดคลองคอดกระเด็ดขาด เค้าจะตายทันที เพราะฉะนั้นต้องซื้อรัฐบาลไทย หรือยึดประเทศไทย ซึ่งอยากได้มานานนนนน ถ้ากางแผนที่ดู เราอยู่ตรงกลาง เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และเดี๋ยวเผื่อมันจะขุด หมดอำนาจต่อรองทันที ........แต่ติด เล่นมันทุกไม้ มอมยาก็แล้ว แทรกซึมใน "หลาย" รัฐบาลก็แล้ว หว่านเงินก็แล้ว .......แต่ติด "พระอัจฉริยะภาพและพระบารมีของพระองค์ท่านทั้งสอง" ครับ พวกมันถึงไม่ชอบระบบกษัตริย์ไงครับ เพราะเข้าไม่ถึง ซื้อไม่ได้ เอาคนเสียบไม่ได้ งั้นหาทางใหม่วีธีเพื่อล้มดีกว่า ทำอะไรก็ได้เพื่อ "ตีสถาบัน" เพราะทำสำเร็จมาแล้ว ที่ฝรั่งเศษ รัซเซีย และจีน จับตัดคอและฆ่าหมด แล้ว"ยัดเยียด" สิ่งนึงให้คือ ประชาธิปไตย เย้ๆๆๆ มันดีน๊า อย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวแถมยาให้อีกหน่อย อืมมมมม...อาจจะไม่แนบเนียนเพิ่มตรงนี้หน่อย ต้องเลือกตั้ง โอ้โห เนียนเลยยยยยยย

    "ประชาธิปไตยที่มีคนของฉันเป็นประมุข" เช่นอิสราเอล และ อีรัค

    เพราะ ฉะนั้น มันแทรกซึม ยึดครอง ซื้อรัฐบาล (เอ้า เอาไป 73,000) แล้วทำงานตามนี้ 1.ไปทำสนามบินให้เสร็จ เดี๋ยวจะมีสงครามแล้ว ต้องใช้ เอาใหญ่หน่อย Run Way ต้องแข็งๆ นะ เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ต้องไปลงมันหนัก 2.เรื่องกฏหมายติดหนวด เหมือนที่ผมจากมาเลยครับหลักคิดเดียวกันเป๊ะ เรื่อง 3 จังหวัดภาคใต้คือ 911 ของเมืองไทยหรือเปล่าครับ ผมชื่นชมท่านครับ งานดีที่สุดเท่าที่่เราเคยมีมา ท่านช่วยลดหนี้ให้บ้านผม ผมติดค้างท่าน แต่ถ้าภาพตรงนี้ไม่เคลีย ผมอยู่ข้างท่านไม่ได้ ผมเลือกประเทศชาติครับ (ถ้าใครที่ต้องใช้ชีวิตในต่างแดนนานๆ ท่านจะเข้าใจว่าทำไม คนเหล่านี้จะรักชาติมากกว่ากว่าคนที่อยู่ในบ้านตัวเองเสียอีก ผมศรัทธาคำว่า "Patriot" ครับ เค้าพร้อมสละเพื่อชาติได้)

    " Coup เลยครับถ้าต้องทำ" ผมไม่ได้ต้องการครับ แต่ต้องมีเหตุผลแบบถึงที่สุดแล้ว และอธิบายกับประชาชนได้ หาทางอธิบายให้เค้าเข้าใจ แต่ทุกอย่างต้องดีขึ้น "ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน" คณะที่มาใหม่ต้องสุดยอดดด ไม่ใช่ถูกจับมานั่งแบบมึนๆ งงๆ โปรดเกล้าแล้วยังงง นึกว่าฝันไป ถ้ามันต่อยใต้เข็มขัด เราเอาไม้ตีหัวมันให้สลบน่าจะ Make sense

    โอ๊ย ไม่ได้หรอก พวกนักวิชากินไปชวนนักวิชาเกินที่จบจากสถาบัน Top ten ของโลกที่เป็นของตัวดำกับตัวขาวซะส่วนใหญ่ (มันสอนมาว่ายูก็จ่ายตังค์มาตั้งเยอะแล้ว "ยูเป็นดอกเตอร์แล้วนะ ยูต้องเชื่ออย่างนี้ เอ้าเราคีย์ใส่หัวให้แล้วนะ อย่าไปล้มหัวกระแทก เดี๋ยวลืมแล้วจะเห็น"Truth" หรือ "ความจริง" นะ ต้องมาจ่ายตังค์เพิ่มอีกนะ) 2 คนนี้มาโวย โอ๊ยไม่ได้ ต่างชาติไม่ยอมรับ ใครล่ะต่างชาติ อ๋อ สิงคโปร์ เมกา อังกิด และพวกเค้า ตอบเค้าไปว่า เทียนอันเหมิน จีนต้องทำไปเท่าไหร่ แล้ววันนี้ทั้งโลกทำไมซื้อของจากจีนล่ะ ใครไม่ซื้อ ใครไม่ค้าขาย เค้ากำลังจะเป็นมหาอำนาจโลกแล้ว อยู่ที่เรามีอะไรให้เค้ามากกว่า ทั้งกินและเกินตื่นแล้วคิดครับ

    กับ สิงคโปร์ เราต้องอ่านเค้าให้ลึกๆ เลยครับ ประเทศนี้คล้ายๆ กับอิสราเอล คือเป็นตัวแทนให้ทั้งแขนซ้าย(อังกฤษ) และแขนขวา(อเมริกา) ซึ่งเป็นมือทำงานให้ทั้งตัวดำและตัวขาว (ที่นั่งอยู่บนหัวของกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ EU และสหประชาชาติ ซึ่งก็ของเค้าตั้งมากับมือ ไปหาดูมีรูปการลงนามในรัฐธรรมนุญของกลุ่ม EU รูปในเวบเป็นตัวดำครับ )


    ถ้า ใครที่ติดตามเศรษฐกิจโลกอยู่ตอนนี้จะเห็นภาพการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมๆ กัน ในอัตรา 40-60% โดยเฉพาะตลาดในเอเซีย ไม่แปลกครับที่การฟื้นตัวครั้งนี้นำโดยเอเซียเป็นหลัก เพราะ

    1.เอเซียได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลง แต่ไม่ได้เป็นต้นตอปัญหาที่แท้จริง
    2.เกิดจากการเคลื่่อนย้ายทุนออกจากอเมริกา และยุโรป เพื่อหนีภาวะซบเซาของตลาดทุนในซีกโลกตะวันตก

    เพราะ ฉะนั้นการฟื้นตัวในเอเซียไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ยังไม่ได้เปลี่ยนไปมาก นอกจากด้านการผลิตและการส่งออกของแต่ละประเทศ

    แต่ การฟื้นตัวของอเมริกา จะต้องระวังเพราะ ปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่แค่เปลี่ยน แต่ไม่เหลืออะไรมากไปกว่าหนี้ หนี้จำนวนมหาศาลจากภาครัฐบาล ที่ไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุด คือหนี้และการใช้จ่าย แต่กลับขุดหลุมฝังตัวเองให้ใหญ่ขึ้น โดยการสร้างหนี้เพิ่ม พิมพ์และอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินการธนาคารเพียงอย่างเดียว (แต่ไม่มีการปล่อย I ้เพิ่ม เหมือนที่ไหนก็ไม่รู้ คุ้นๆ) ซึ่งแฝงไปด้วยเบื้องหลังที่น่าเคลือบแคลง คือการสร้างและใช้วิกฤติ เพื่อดูดเงินภาษีของประชาชน เข้ากระเป๋ากลุ่มทุนของตัวเองโดยผ่านภาพของการเข้าไปแก้ปัญหา เช่น Goldman Sachs, JP Morgan, AIG และอีกหลายราย โดยที่กลุ่มทุนเหล่านี้มีการเชื่อมโยงกันทั้งหมด และผู้บริหารระดับสูงก็ร่วมอยู่ในรัฐบาลของโอบามา เช่น
    Timmothy Geithner (ทิมโมที ไกเนอร์) รัฐมนตรีคลัง เคยเป็น CEO ของ Goldman Sachs, สมาชิก CFR และเค้ายังเป็นประธาน Fed ของ New York กล่าวคือเป็นทั้งผู้ก่อปัญหา แก้ปัญหา และเป็นผู้ควบคุมการแก้ปัญหาของรัฐบาล

    Hank Paulson (แฮงค์ พอลซัน)อดีตรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลบุช เคยเป็น CEO ของ Goldman Sachs, สมาชิก CFR (Council of Foreign Relation) ผู้เชิดหุ่นหรือรัฐบาลตัวจริง มีหน้าที่วางแผน กำหนดนโยบาย สั่งการต่างๆ ให้รัฐบาลเงา(โอบาม่าเป็นหุ่นเชิด)ในวอชิงตันทำตาม แล้วยังเป็นตัววางต่ำแหน่งบริหารต่างๆ ในทำเนียบขาว และสภาคองเกรส กล่าวคือ เป็นทั้งผู้ก่อปัญหา แก้ปัญหา และเป็นผู้ควบคุมการแก้ปัญหาของรัฐบาล เหมือนเดิม

    และมีอีกมากกระจาย อยู่ในส่วนต่างๆ ในระดับบริหารของรัฐบาลโอบาม่า ซึ่งครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ก็มาจาก CFR และที่เหลือเป็นบริษัทที่รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ที่สำคัญยังเป็นผู้ชงกฏหมายต่างๆ ที่เกียวข้องทั้งหมด และรู้ข้อมูลภายในของบริษัทเหล่านี้ทั้งหมด อย่างเช่นการ "ปล่อย" ให้ล้มของ Lehman Brother เพราะ Lehman Brother เป็นทั้งคู่แข่ง และเป็นเจ้าหนี้ของ Goldman Sach และ การที่ Lehman กระจายการลงทุนไปในยุโรป จึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอเมริกา อังกฤษ และยุโรป

    การ ปล่อยให้ Lehman ล้มจึงเป็นการจุดชนวนระเบิดอีกลูกนึงให้ทางฝั่งอังกฤษและกลุ่มยุโรป ได้รับผลกระทบไปด้วยเต็มๆ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า รัฐบาลโอบาม่า ก็่มีการแฝงตัวของกลุ่มทุน Goldman Sachs อยู่ข้างในนั่นเอง มันเลยฟันกำไรเละเลย Record High อีกต่างหาก ในอเมริกาเรียกสิ่งนี้ว่า "Ponzi Scheme" (หาหนังสืออ่าน ดีมากครับ) และคนอเมริกัน จะถูก รูดทรัพย์ไปเรื่อยๆ โครงการรูดทรัพย์ต่อไปก็คือ Climate Change Bill หรือ Carbon Tax คือคนอเมริกันทุกคนที่ใช้รถจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มคิดตามไมล์ที่ขับในแต่ละปี ครับเพื่อเอาไปช่วยหมี เอ้ยไม่ใช่ แก้ปัญหาเรื่องโลกร้อนครับ เห็นโฆษณาจะไปช่วยหมีที่ขั้วโลกเหนือกันใหญ่ ในขณะที่ทั้งอังกฤษและเอมริกากำลังจะล้มละลายอยู่แล้วครับ Prince Philip
    CFR (Council of Foreign Relation) ผู้เชิดหุ่นหรือรัฐบาลตัวจริง มีหน้าที่วางแผน กำหนดนโยบาย สั่งการต่างๆ ให้รัฐบาลเงา(โอบาม่าเป็นหุ่นเชิด)ในวอชิงตันทำตาม แล้วยังเป็นตัววางต่ำแหน่งบริหารต่างๆ ในทำเนียบขาว และสภาคองเกรส อีกทั้งยังเป็นตัวการระดมสมองและวางแผนการล้มเศรษฐกิจขอสหรัฐและของโลกใน ครั้งนี้ครับ

    Note: เรื่องภาวะโลกร้อน หรือ Climate Change ใช้เวทีออสกาหลอกต้มคนทั่วโลกอีกแล้วครับ ไม่เป็นความจริง โลกร้อนขึ้นจริงครับแต่ไม่ใช่เพราะน้ำมือมนุษย์ เป็นวัฐจักรของธรรมชาติ แล้วจะเอากราฟมาอธิบายให้ฟังครับ วงการวิทยาศาสตร์ เค้าเรียกว่า Pseudo Science คือเอาวิทยาศาสตร์มาหลอกต้มหาเงินครับ เล่นกันเป็นขบวนการเหมือนเดิม

    จาก การที่รัฐบาลโอบาม่า พยายามผลักดันกฏหมายต่างๆ ซี่งซ่อนความฉ้อฉลไว้ และเพื่อลิดรอนสิทธิพลเมืองอเมริกัน และปูทางไปสู่ระบบเผด็จการ ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาประชาชนที่เดือดร้อนจากการผลักดันกฏหมายเผด็จการต่างๆ เช่น

    1. Health Care Reform Bill
    2. Cap & Trade หรือ Carbon Tax Bill
    3. Stilmulus & Bailout Packages ต่างๆ
    4. การปรับขึ้นภาษีของรัฐต่างๆ
    5. Gun Confisticate Bill

    การ รวมตัวกันนี้เรียกว่า Tea Party และการประท้วงอย่างเงียบๆ นี้เริ่มส่งเสียงดังขึ้นทุกขณะ และกระจายไปสู่รัฐต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ในอดีตที่ผ่านมา Tea Party ที่เกิดขึ้นที่ Boston รัฐแมสซาชูเซท นี่เองที่นำไปสู่ American Civil War หรือการปฏิวัติในอเมริกา และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่จะช้าเร็วเท่านั้นเอง เราจะเห็นความรุนเแรงในอเมริกาเพิ่มขึ้นทุกวัน และ Civil Unrest หรือ Riot ครั้งใหม่คงอีกนานแล้ว



    แล้วว่าอเมริกาฟื้นหรือยัง ขอให้ดูกราฟนี้ประกอบ กราฟนี้เป็นภาวะตลาดหุ้นเมื่อครั้งเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกครั้งใหญ่เมื่่อปี 1929-1930 ถ้าเรากลับไปดูประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะเห็นว่าเป็นภาพเดียวกันหมด เพราะกลุ่มคนที่ทำและล้มเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน วิธีการเดียวกัน มีจุดประสงค์เดียวกัน จำไว้นะครับว่า เมื่อเศรษฐกิจพัง ไม่ใช่ทุกคนจะต้องจนลงกันหมด แต่.... จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือมองออกจะต้องไปดักตรงไหน เพราะหลักเศรษฐศาสตร์ก็เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีกฏเกณฑ์ตายตัวเสมอ และจะทำเงินได้มหาศาล มากกว่าเศรษฐกิจดีเสียอีก

    กลับ มาที่กราฟ จุดสูงสุดก่อนที่จะล่วงลงสู่จุด A ก็คือ DJI (dowjone index)ก่อนที่ตลาดจะถล่ม เมื่อเดือน Nov 08 แต่หลังจากนั้น หุ้นก็ดิ่งลงอย่างรุนแรง ลงมาที่จุด A ก็คือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ประมาณ 6,500 หลังจากนั้น DJI ก็เริ่มฟื้นตัวจากการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ของรัฐบาล หรือ Green Shoot และพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีปัจจัยรองรับ เพราะตัวเลขต่างๆ ติดลบหมด ที่บวกขึ้นคือหนี้เท่านั้น กลับไปที่ปี 1930 จากจุด A หุ้นก็ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและรุนแรง เป็นเวลาติดต่อกันถึง 7 เดือน ไปจนแตะที่จุด B ทำให้เกิดภาพว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว หรือถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่......

    ใน ปี 1930 จากจุด B หุ้นดิ่งลงอีกครั้งและลงอย่างถล่มทลายต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง 3 ปี จาก 290 จุดหลือเพียง 40 จุด ลดลงไปถึง 86% ในที่สุดก็ต้องปิดธนาคารและลื้อระบบกันใหม่ทั้งหมด หากเป็นไปตามนี้ จากเดือนมีนาคม DJI จะพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง อาจจะขึ้นไปถึง 11,000-12,000 จุด แล้วก็จะถล่มลงอีก หลายกระแสวิเคราะห์ว่าอาจจะประมาณ Oct-Nov 2009 แต่ในภาวะหนี้และสภาพแวดล้อม ณ ขณะนี้ ถ้า DJI ถล่มลงอีกครั้ง ครั้งนี้ จะไม่ใช่ 6,500 แล้ว อาจจะลงลึกไปถึง 3,500 หรือ 1,500 จุด อย่างเลี่ยงไม่ได้


    [​IMG]


    การฟื้นตัวที่เกิดขึ้นในปี 1930 เป็นเพียงการ "ล่อเข้าไปเชือด" ของกลุ่มทุนใน Wallstreet หรือเค้ารู้อยู่แล้วว่าสภาพความเป็นจริงคืออะไร จึงมีการปั่น และบิดเบือนตลาดของกลุ่มทุนของรัฐบาล เพื่อสร้างภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ล่อให้คนที่ไม่ทันเกม เข้าไปซื้อหุ้นที่ราคาต่ำเพื่อหวังกำไรจากการฟื้นตัว แต่กลายเป็นการเข้าไปถูกเชือดซ้ำ บริษัทเหล่านี้เทขายออกมาอย่างบ้าคลั่งและต่อเนื่อง และได้กำไรมหาศาลจากราคาหุ้นที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อเทขายจนหมด หุ้นก็หมดแรงขึ้นต่อ แล้วก็หักหัวลงไป 86% ต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี ระวังประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกแล้วครับ


    </TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
     
  2. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    เร่งเปิดโปง CTIC ขจัดการครอบงำโดยต่างชาติ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style11 style13"></TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff></TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD><TD class="midbox style8 style10">


    CTIC ?ต้องไม่หายไปกับสายลมยามดึก !


    เอกสารที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธส่งมอบต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อกลางดึกคืนวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2547 จะมีรายละเอียดอย่างไร จนใจที่ ?เซี่ยงเส้าหลง? ไม่อาจรับรู้


    แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นพฤติกรรมที่ส่อเค้าว่าอาจจะมีการตกลงบางประการระหว่างรัฐบาลชุดที่แล้ว กับสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


    เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว


    ก่อนหน้าสัก 2 ? 3 สัปดาห์ นักวิเคราะห์สถานการณ์ในบ้านเราฮือฮากับรายงานชิ้นหนึ่งที่ปรากฏในเว็บไซต์ขององค์กร Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS ของสหรัฐอเมริกาเอง ที่ระบุว่ามีหน่วยปฏิบัติการร่วมไทย-สหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ Counter Terrorist Intelligence Center หรือ CTIC ที่อย่าว่าแต่คนไทยทั่วไปจะไม่รู้เรื่องเลย รัฐบาลปัจจุบันก็ไม่รู้เรื่อง


    และมีอีกบางเว็บไซต์นำไปถ่ายทอดต่อ


    รายงานขนาด 6 หน้าชิ้นนี้มีขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 เป็นการฉายภาพรวมการทำงานต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลอเมริกันทั่วโลก โดยมีเรื่อง CTIC รวมอยู่ด้วยส่วนหนึ่งในหน้า 3 ภายใต้หัวข้อ....


    ?CIA, Thai Agencies Unite to Root Out Al Qaeda?


    เนื้อหาระบุว่า CITIC ตั้งขึ้นในช่วงต้นปี 2544


    จะเป็นเอกสารมโนสาเร่หรือไม่ กรุณาเปิดเว็บไซด์ศึกษาได้โดยตรง โดยเปิดหาที่ Center for Strategic and International Studies หรือจะเปิดไปถึงที่หมายโดยตรงเลยก็ได้ที่ http://www.csis.org/tnt/ttu/ttu_0310.pdf สาระสำคัญโดยสังเขปอยู่ตรงย่อหน้าต่อไปนี้....


    ?Working directly with at least a score of CIA operatives, the Counter Terrorism Intelligence Center (CTIC) combines key personnel from Thailand's three main security agencies: the National Intelligence Agency; the Thai police, and the armed forces.


    ?The CTIC relies heavily on the CIA for its structure, guidance, and funding. The two agencies share facilities, equipment, and information on a daily basis....


    ?The Thai government, which has often asserted that Thailand is free of terrorist, has never publicly acknowledged the existence of the CTIC.?


    เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอเมริกันยุคจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชคือการทำสงครามกวาดล้างขบวนการมุสลิมจารีตนิยมทั่วโลก


    เอเชียอาคเณย์เป็นจุดหนึ่งที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลามอยู่หนาแน่น

    หน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งในฟิลิปินส์, อินโดนีเซีย และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต่ของประเทศไทย ล้วนเป็นเครือข่ายของขบวนการอัลกออิดะฮ์


    เรื่องนี้มีรายละเอียดปรากฎอยู่ในหลายเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น....


    http://fpc.state.gov/documents/organization/27533.pdf

    http://www.usembassy.it/pdf/other/RL31152.pdf


    มีบางเว็บไซต์ อาทิ พลังจิต เว็บ พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก ลึกลับ อภิญญา วิทยาศาสตร์ทางจิต Buddhism Buddhist เสนอบทวิเคราะห์เรื่อง CTIC ไว้ ? ขอนำมาสรุปโดยสังเขปต่อไปนี้


    ..............


    มีรายงานชิ้นหนึ่งของสหรัฐ ระบุชัดเจน CIA แอบเข้ามาตั้งศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้นาน 3 ปีมาแล้ว ?ไฟใต้ - ก่อการร้าย - CIA? จึงเป็นสมการที่หลายฝ่ายกำลังจับตามอง


    รัฐบาลไทยพยายามปกปิดการจัดตั้ง CTIC มาเกือบ 3 ปีแล้ว ศูนย์ลึกลับในภาคใต้แห่งนี้เป็นของสหรัฐอเมริกา บริหารงานโดยหน่วยงาน CIA ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา


    ทว่า ความลับนั้นกลับถูกเปิดเผยโดยรายงานของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ของสหรัฐอเมริกาเอง


    รายงานของ CSIS ได้กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ CTIC ในภาคใต้ เพื่อต่อต้านกลุ่มเจไอและอัลกออิดะฮ์ โดยมี CIA เป็นผู้วางโครงสร้างให้เงินทุนสนับสนุน และวางแผนการปฎิบัติงานทุกอย่าง โดยตํารวจและทหารไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องอยู่ภายใต้การบัญชาการโดยตรงของ CIA


    การจัดตั้ง CTIC นั้น เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น


    ผลกระทบที่จะมีต่อวัฒนธรรมในพื้นที่ และสังคมของชาวบ้านในภาคใต้ จึงไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของรัฐบาลไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น


    นอกจากนี้แล้วการกระทําต่าง ๆ ของ CTIC อาจทําให้เกิดความขัดแย้งภายใน เช่นนโยบายไล่ล่าและกักขังชาวบ้านมุสลิม ที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านสหรัฐอเมริกา


    เจ้าหน้าที่ของ CTIC สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ เพราะการทํางานของ CIA ในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย (War on Terrorism) นั้น ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายไทย หรือแม้แต่กฎเกณฑ์ของสนธิสัญญาเจนีวา


    เมื่อถูกจับกุมแล้ว ผู้ต้องหาก็ไม่มีสิทธิที่จะหารือกับทนาย แม้ว่าเขายังคงถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิตามกฎหมายก็ตาม จะเห็นได้จากกรณีของนายจาเมา นักโทษของสงครามการต่อต้านการก่อการร้ายรายหนึ่งที่ถูกคุมขังอยู่ที่อ่าวกวนตานาโม


    ?พวกเขาสอบสวนผม เป็นเวลา 12 ชั่วโมงติดต่อกัน ในขณะที่ตรึงแขนผมไว้ด้วยโซ่ เมื่อผมไม่ยอมให้พวกเขาฉีดยา psychoactive drugs ผมก็ได้ยินเสียงผู้คุมฝรั่งทั้งหลาย เร่งผีเท้ากันเข้ามาทางห้องขังของผม พวกเขามีกันทั้งหมดห้าคน ใส่ชุดเกราะเข้ามาเตะต่อยผม และตีด้วยไม้ตะบอง จนผมเจ็บระบมไปทั้งตัว พวกเขาตะโกนพร้อมกันว่า Comply, comply, comply. Do not resist. Do not resist. ผู้คุมคนหนึ่งเตะผมอย่างแรง จนทําให้ผมเกิดอาการอักเสบที่กระดูกสันหลัง....


    ?หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผมกําลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ผู้คุมคณะที่สองก็เข้ามาเตะต่อยผมอีก ผู้คุมอเมริกันคนหนึ่งขู่ว่า จะฆ่าครอบครัวของผมให้สิ้น....


    ?หลังจากนั้น เขาก็พาผมไปขังไว้ในห้องแคบมากๆ ที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน พอตอนกลางคืน พวกเขาก็เปิดไฟในห้องให้สว่างจนนอนไม่หลับ รวมทั้งเปิดพัดลมอย่างแรงทําให้ห้องเย็นยะเยือก จนผมต้องลงไปหลบลมอยู่ใต้เตียง.....


    ?เขาต้องการทําลายผมทั้งทางกายและใจ.... เพื่อให้ได้มาซึ่งคําสารภาพ.... แม้ว่าผมจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม?


    การกระทําทั้งหมด CIA มักจะใช้ตํารวจไทยเป็นเครื่องมือเบื้องต้น ในการหาข้อมูล และจับกุม ซึ่งทําให้เกิดความแค้นเคืองระหว่างคนไทยด้วยกันเอง เป็นอย่างมาก


    เนื่องจากศูนย์ CTIC และ CIA เป็นหน่วยงานของต่างชาติ ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ จึงไม่ใช่ปัญหาระดับชาติ แต่เป็นปัญหาที่เรียกว่า US Fundamentalism ซึ่งเป็นจักรวรรดินิยมในรูปแบบหนึ่ง


    เรากําลังเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกา ที่ใช้กําลังทหารเพื่อบีบบังคับให้ประเทศอื่น ให้มองโลกจากมุมมองและกรอบคิดของตน


    ในรอบร้อยปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกาก็เคยมีแนวโน้มไปทาง Fundamentalism เหมือนกับที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะแนวคิดแบบ ?เสรีนิยม? ในช่วงทศวรรษที่ 1960 หรือช่วงสงครามเวียดนาม ที่สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพทางทหารในประเทศไทย ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970


    ทําให้เยาวชนและนักศึกษาไทยในช่วงนั้น ต้องเติบโตมากับสงครามเวียดนาม เติบโตมากับเสียงฝูงบิน B - 52 เติบโตมากับภาพหญิงไทยกอดอยู่กับทหารฝรั่ง และเติบโตมากับรัฐบาลเผด็จการ ที่เอาแต่จะเสพสุขไปวัน ๆ


    การยินยอมให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงดังกล่าว จึงเป็นชนวนทําให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลอย่างแรง ไม่ต่างจาก "ไฟใต้" ที่กําลังปะทุขึ้นมาในขณะนี้ เพียงแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นั้น มันถูกจุดประกายขึ้นโดยนักศึกษาที่มิใช่ชาวมุสลิม


    คงเป็นที่น่าขบขันไม่น้อยทีเดียว เมื่อรัฐบาลพยายามจะฉลองครบรอบ 30 ปี 14 ตุลาคม 1973 ด้วยการไว้อาลัยอย่างเงียบ ๆ แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับการฉลองที่แท้จริงกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้


    คนไทยนั้นไม่ชอบการถูกครอบงำโดยต่างชาติเป็นธรรมดา ประวัติศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นมาช้านานแล้ว


    ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ ชาวมุสลิม หรือชาวกฟผ. !

    การที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการดําเนินนโยบายเอาใจต่างชาติโดยรัฐบาลเผด็จการนั้น จึงเป็นเรื่องปกติของประวัติศาสตร์ชาติไทย


    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นเพื่อนที่น่ารําคาญ


    ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า เพื่อนที่น่ารําคาญผู้นี้ นอกจากจะยัดเยียดให้จัดตั้ง CTIC อย่างลึกลับแล้ว ยังเปิดเผยรายงานการจัดตั้งดังกล่าวต่อสาธารณะ ให้รัฐบาลไทยต้องขายหน้าอีกต่างหาก !


    ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลควรจะร่วมมือกับประชาชน เพื่อขจัดปัญหาการเข้ามาครอบงำโดยต่างชาติอย่างจริงจัง


    นั่นหมายถึงการยกเลิกให้ต่างชาติ เข้ามาใช้สถานที่และฐานทัพภายในประเทศ อันนํามาซึ่งปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเอง


    ...................


    พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธจุดชนวนสำคัญออกมาแล้ว


    อย่าให้มันล่องลอยไปกับสายลมยามดึกของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีวันแรก และการซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลเลย


    รัฐบาลไหนแอบไปตกลงให้เกิด CTIC ขึ้น เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนอยากได้คำตอบ



    หน้าตาเว็บไซต์ Center for Strategic and International Studies

    แกะรอย CTIC จากฉก. 399 !


    หน่วยเฉพาะกิจ 399 หรือฉก. 399 คือ ?ข้อมูล?, ?หลักฐาน? และ ?ใบเสร็จ? ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาคือตัวการสำคัญที่ทำให้รัฐบาลพม่าไม่ไว้วางใจและหวาดระแวงไทย


    เป็น ?มูลเหตุพื้นฐาน? ของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2544 และเมษายน 2545


    การเผชิญหน้ากันระหว่างไทย-พม่า และการใช้นโยบายทางทหารอย่างแข็งกร้าวภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศปิดด่านแม่สายตั้งแต่ต้นปี 2544, การห้ามไม่ให้ส่งออกยุทธปัจจัย 4 ประเภทเข้าพม่า ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค ยานยนต์ ข้าวสาร, การกักไม่ให้ขบวนรถบรรทุกอุปกรณ์เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าท่าขี้เหล็กผ่านด่านแม่สาย ตลอดจนการปะทะกันด้วยกำลังทหารตามแนวชายแดน เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยหน่วยงานหนึ่ง


    ?หน่วยเฉพาะกิจ 399?


    ?ฉก. 399?


    เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กองทัพบก (ทบ.) ก่อตั้งขึ้นภายใต้การสนับสนุนของกองทัพสหรัฐอเมริกา


    แม้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น จะลงนามในคำสั่งก่อตั้งเมื่อปลายเดือนเมษายน 2544 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ฉก. 399 เริ่มปฏิบัติการมาตั้งแต่ปลายปี 2543 ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัยแล้ว


    ฉก. 399 ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยกำลังพล 4 กองร้อย มาจากกรมทหารราบที่ 7 จำนวน 2 กองร้อย กองพลรบพิเศษที่ 2 จำนวน 2 กองร้อย และตชด.อีก 1 กองร้อย


    กองทัพสหรัฐส่งหน่วยรบพิเศษที่ประจำการในภาคพื้นแปซิฟิค ณ เกาะกวม เข้ามาทำหน้าที่ช่วยฝึกสอนงานด้านการข่าวและการปฏิบัติการต่อเป้าหมาย


    วัตถุประสงค์ ? อ้างว่าเพื่อสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดโดยเฉพาะ


    กำลังพลที่ได้รับการบรรจุเข้าฉก. 399 จะได้รับการสนับสนุนเบี้ยเลี้ยงจากทางการสหรัฐวันละประมาณ 500-600 บาท/คน ได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัย และยานพาหนะต่าง ๆ จากสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่


    นอกจากนั้นยังจะได้รับเงินพิเศษช่วยรบ (พศร.) ปีละ 1 ขั้น


    เงิน พศร.นี้จะติดตัวกำลังพลไปจนกว่าจะเสียชีวิต


    พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 เคยระบุไว้ว่า การตั้งฉก. 399 ขึ้นมามีเป้าหมายที่การสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะ แต่จะไม่มีการรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเพื่อนบ้าน และ....

    การเข้ามาช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐอเมริกาเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่เคยช่วยเหลือรัฐบาลโคลัมเบียปราบปรามโคเคน !


    แต่แม้จะยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น ความเป็นจริงของปฏิบัติการในพื้นที่กลับเป็นไปในลักษณะ.....


    ?มะกันหนุน-ไทยคุม-กะเหรี่ยง(คริสต์)ลงมือ? การช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐต่อฉก. 399 อยู่ที่การช่วยเหลือด้านเทคนิคเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านภาพจากดาวเทียมหาจุดที่ตั้งโรงงานยาเสพติด, การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการปราบปรามยาเสพติด รวมไปถึงถ่ายทอด Know-how ที่จำเป็นผ่านชุดการฝึก ?การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย? ให้ เช่น การฝึกจู่โจมทางเฮลิคอปเตอร์ในเวลากลางคืน

    มีนายทหารสหรัฐเข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดินภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรไทยระหว่าง 12-30 นาย


    ส่วน ?การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย? เป็นหน้าที่ของกำลังพลฝ่ายไทย โดยมีชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลพม่าเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย !


    ฉก. 399 เริ่มวางโครงร่างของหน่วยงานมาตั้งแต่กลางปี 2543 เริ่มฝึกเต็มอัตราเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2544


    ฉก. 399 มีลักษณะเดียวกันกับหน่วยงานในสังกัดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) หมายเลข 514 และ 311 ในอดีต เพียงแต่ภารกิจแตกต่างกัน


    โครงการ 514 ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการโต้ตอบกองกำลังของขุนส่าในอดีต ขณะที่โครงการ 311 ก่อตั้งขึ้นมาปฏิบัติงานด้านการข่าวพื้นที่ชายแดนไทย-พม่าโดยเฉพาะ และเสร็จสิ้นภารกิจไปเมื่อเดือนตุลาคม 2543 หลังจากนั้นจึงมีฉก. 399 ขึ้นมาทดแทน


    เป็นที่รับรู้และพิจารณากันมาแต่ต้นแล้วว่าฉก. 399 คือความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ไทย-พม่าเลวร้ายลงไป เพราะนี่คือช่องทางในการส่งผ่านความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกเข้าไปยังชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพม่า ทั้งด้านเงินทุน และอื่น ๆ


    รวมทั้งเป็นการรื้อฟื้นสถานภาพความเป็น Buffer State ของประเทศไทยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้วัตถุประสงค์อ้างอิงใหม่ ? สกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตในประเทศพม่า


    เหตุการณ์หลายครั้งที่ผ่านมาในช่วงปี 2543 ? 2544 บ่งชี้ให้เห็นว่าชนกลุ่มน้อยในพม่าเป็นผู้นำกำลังเข้าปะทะกับคาราวานยาเสพติด แล้วนำยาเสพติด ยาบ้า ที่ยึดได้มามอบให้กับทางการไทย


    ตัวอย่างที่ ?บอกเล่า? ได้ดีคือกรณียาบ้า 13 ล้านเม็ดเมื่อเดือนเมษายน 2544 !


    ยาบ้าของกลางที่กองกำลังนเรศวรตรวจยึดได้ 2 ครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 16 และ 24 เมษายน 2544 รวมกว่า 13 ล้านเม็ดนั้น....


    ครั้งแรก 7 ล้านเม็ด พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ มทภ. 3 ในขณะนั้น บอกว่ากองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ (KNU) ยึดได้หลังปะทะกับคาราวานขนยาเสพติดของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ในฝั่งพม่าแล้วนำมามอบให้กองกำลังนเรศวร


    ข่าวในพื้นที่บอกเล่าว่าเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน 2544 มีขบวนรถของเจ้าหน้าที่ทหารไทยลำเลียงกำลังทหารในสังกัด KNU จำนวน 7 คันรถไปปล่อยบริเวณโรงสูบน้ำประปาแม่สอด เพื่อให้ข้ามแม่น้ำเมยไปยังฝั่งพม่า แล้วรับกลับมาในคืนเดียวกัน ต่อมาอีก 1 วัน KNU ก็นำยาบ้า 7 ล้านกว่าเม็ดมามอบให้ทางการไทย


    ครั้งที่ 2 มีรายงานว่า ฉก.ร. 4ตรวจยึดได้หลังเกิดปะทะกับ DKBA บริเวณชายแดนอำเภอพบพระ จังหวัดตาก แต่หน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ไม่มีรายงานเหตุการณ์ปะทะ

    ชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มในพม่าหันมาให้ความร่วมมือในการปราบปรามสกัดกั้นยาเสพติด-ยาบ้าที่มีแหล่งผลิตตามแนวชายแดนประเทศพม่า เริ่มจากกองกำลัง SSA ของพ.อ.ยอดศึก รวมไปถึง KNU, กองทัพกะเหรี่ยงคะยา(KNPP) ปะล่อง ปะโอ แม้แต่กลุ่มมอญเองก็เริ่มมีท่าทีที่จะเข้าร่วมกับแนวทางนี้มากขึ้น

    ถือเป็นแนวทางแสวงหาความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกของชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าอีกแนวทางหนึ่ง

    เป็นแนวทางที่ประเมินว่าน่าจะเห็นผลเร็วกว่าการชูธงเรียกร้องประชาธิปไตยเพียงธงเดียว !


    เพราะปัญหายาเสพติดไม่เพียงแต่เป็นปัญหาใหญ่ของไทยเท่านั้น ยังเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลก เมื่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ประกาศเจตนารมณ์สกัดกั้นขบวนการผลิต-ค้ายาเสพติด ความช่วยเหลือจากภายนอกก็จะมีเข้ามามากและเร็วขึ้นแน่นอน

    การผลักดันให้ชนกลุ่มน้อยในพม่าเข้าร่วมการปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดเข้าประเทศไทยนี้ย่อมมีแรงหนุนจากสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน


    โดยมีหน่วยงานในสังกัดกองทัพบกไทยเป็นผู้ควบคุม และชนกลุ่มน้อยในพม่าเป็นผู้ปฏิบัติงาน !


    หลังการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านยาเสพติดของบรรดาชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในพม่า มีเม็ดเงินสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกเข้ามาค่อนข้างมาก รวมทั้งอาวุธด้วย


    แน่นอน ? ทุกอย่างผ่านประเทศไทยทั้งสิ้น !


    รัฐบาลพม่าแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการกำเนิดของฉก. 399 มาตั้งแต่ต้น ผ่านข่าวและบทความในหนังสือ The Mirror โดยตั้งธงไว้ว่ารัฐบาลไทยสมคบสหรัฐอเมริกาสนับสนุนกบฏชนกลุ่มน้อย มีอยู่บทความหนึ่งลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 ตั้งชื่อเลียนแบบสุภาษิตไทยว่า....


    ?ช้างตายทั้งตัวเอาหนังแพะไปปิดไม่มิด?


    เนื้อหาเป็นการลงบันทึกความเคลื่อนไหวหน่วยรบพิเศษไทยละเอียดยิบ โดยมุ่งเน้นไปที่กำลังผสมไทย-สหรัฐ อเมริกาเข้าไปให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลพม่า


    กองทัพบกและรัฐบาลไทยยุคชวน หลีกภัยออกมาปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่า หรือการเปิดพื้นที่ให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย พร้อมกันนั้นนายทหารระดับสูงของไทยหลายนาย โดยเฉพาะในระดับกองทัพภาคที่ 3 ก็ออกมาระบุหลายครั้งว่าทางการพม่าไม่ให้ความร่วมมือต่อการปราบปรามยาเสพติดเท่าที่ควร

    งบประมาณในการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติดแต่ละปีของสำนักคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อยู่ในราว 1,600-1,900 ล้านบาท


    นอกเหนือจากจะได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลแล้ว ป.ป.ส.ยังได้รับงบสนับสนุนเพิ่มเติมมาจากองค์การสหประชาชาติอีกเป็นวงเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,250 ล้านบาท


    แต่หลายปีที่ผ่านมาผลงานของป.ป.ส.ดูจะไม่ค่อยเข้าตาสหประชาชาติเท่าที่ควร

    สหประชาชาติจึงเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณในการปราบปรามยาเสพย์ติดส่วนใหญ่มาให้กับ


    ?หน่วยปฏิบัติ? -- คือกองทัพบก -- โดยตรง แทนที่จะส่งผ่านให้ป.ป.ส.


    ตัวเลขงบประมาณจากสหประชาชาติในปีหนึ่ง ๆ ตกราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท


    ฉก. 399 ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น ?หน่วยปฏิบัติภายในหน่วยปฏิบัติ? เพื่อรองรับการเปลี่ยน แปลงด้านการสนับสนุนงบประมาณจากสหประชาชาติดังกล่าว


    ฉก. 399 มาจากแนวคิดของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น และได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล


    รัฐบาลที่มีชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประสงค์ สุ่นศิริเป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง !


    ในชั้นต้น ภาพที่มีกำลังพลจากรบพิเศษของสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำการฝึกสอนกำลังพลของกองทัพบก ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อกังขาเป็นการภายในว่านี่จะเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาจัดตั้ง ?ฐานทัพ? ในประเทศหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดทั้งรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา


    แต่ก็เป็นเพียงเสียงนกเสียงกา ? ทั้งรัฐบาลและกองทัพบกไม่ได้ตอบโต้อะไร !








    </TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff></TD><TD class=bottombox>ผู้ส่ง น.ท.โมนัย ส่งเมื่อ 28 พ.ค.47 เวลา 03:25</TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 13529.jpg
      13529.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.1 KB
      เปิดดู:
      412
  3. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    สปายMI6เสียฟอร์ม หนวดปลอมหลุดขณะออกทีวี
    สปายเอ็มไอ6 เสียฟอร์มหนวดปลอมหลุดระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ ก่อนแก้เกี้ยว บอกถอดหนวดปลอมออกไปก็ได้
    เดลี่ เทเลกราฟ รายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการให้สัมภาษณ์ถ่ายทอดสดกับรายการเดอะ วัน โชว์ ของสถานีโทรทัศน์บีบีซี
    โดยสายลับรายหนึ่ง ใช้ชื่อแฝงว่า"จอห์น"ได้ให้สัมภาษณ์แก่รายการ เกี่ยวกับภารกิจจารกรรมซ้อนขณะปฎิบัติหน้าที่ในต่างแดน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหนวดของเขาเกิดเลื่อนลงมา ก่อนจะถูกทักโดยผู้สัมภาษณ์ และทำให้สายลับรายนี้ตัดสินใจถอดหนวดปลอมออกไป
    นายจัสติน โรว์เลตต์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีผู้สัมภาษณ์บอกว่า เขาสังเกตเห็นหนวดของจอห์น เกิดเลื่อนลงมาบริเวณริมฝีปาก แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก่อนจะบอกเขาในช่วงพักเบรครายการว่า จอห์น หนวดของคุณกำลังจะหลุดออกมาแล้ว
    ทำให้เขากล่าวแก้เกี้ยวว่า เขาคิดแล้วว่ามันต้องเกิดขึ้น และว่าเขาควรจะถอดทิ้งดังกล่าวทิ้งไปเสียจะดีกว่า ก่อนที่เขาจะแก้เกี้ยวเรื่องนี้ ซึ่งเขาสามารถจัดการกับสถานการณ์หน้าแตกที่เกิดขึ้นได้อย่างดี อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกรายการแต่อย่างใด
    ด้านกระทรวงต่างประเทศปฎิเสธที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์หน้าแตกที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่านายจอห์น เป็นสายลับรายแรกที่ให้สัมภาษณ์ทางรายการโทรทัศน์
    แป่ววว.....
    พออ่านข่าวชิ้นนี้จบก็นึกขึ้นได้ว่า MI6 นี่คุ้นๆหูมากเลย
    เลยไปค้นๆมาให้อ่านกันคับ
    ว่า MI6 คือหน่วยงานอะไร มีหน้าที่อย่างไร ครับ
    [​IMG]
    MI นี่ย่อมาจาก Military intelligence เป็นหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษครับ
    ใครเป็นแฟน "เจมส์ บอนด์" คงจะรู้ว่า ป๋าแกสังกัด MI6 : Military Intelligence, Section6
    MI6 หรือ Secret Intelligence Service (SIS) ทำหน้าที่เกี่ยวกับข่าวกรองต่างประเทศ
    ผู้อำนวยการ มีรหัสเรียกคือ ‘C’ แต่ในหนัง/นิยาย James Bond เรียกผู้อำนวยการ MI6 ว่า ‘M’ MI6 ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีต่างประเทศ (Foreign Secretary)
    รหัส 00 นั้นหมายถึงสถานะที่เรียกว่า licence to kill คับ คือ ฆ่าได้โดยไม่ผิดกฏหมายในการปฏิบัติหน้าที่
    โดยลักษณะของเนื้องานแล้ว เอ็มไอ6 หรือ "Military Intelligence Section 6 - MI6" นั้นจะทำงานคล้ายกับซีไอเอของสหรัฐฯ กล่าวคือ
    ภารกิจหลักของเอ็มไอ6 ก็คือ การสืบราชการลับนอกสหราชอาณาจักรเพื่อความมั่นคงของสหราชอาณาจักรนั่นเอง เหมือนบอนด์ ที่ต้องไปสืบเสาะ ล้วง ควัก ข้อมูลในประเทศอื่น
    [​IMG]
    ขณะเดียวกัน อังกฤษก็ยังมีหน่วยสืบราชการลับอีก 1 หน่วย ที่มีลักษณะการทำงานเหมือนเอฟบีไอของสหรัฐฯ เรียกว่า "Military Intelligence Section 5 - MI5"
    โดยหน่วยงานดังกล่าวจะดูแลเรื่องการสืบราชการลับภายในสหราชอาณาจักร ซึ่งหมายรวมถึงการหาข่าวลับในไอร์แลนด์เหนือด้วย
    MI5 หรือ Security Service ทำหน้าที่เกี่ยวกับการข่าวกรองภายในประเทศ การต่อต้านการก่อการร้าย รหัสเรียกผู้อำนวยการของ MI5 คือ ‘K’ MI5
    รายงานขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีกิจการภายใน (Home Secretary)
    หน่วยนี้เป็น United Kingdom' counter-intelligence and security agency ครับ ซึ่งก็คือ หน่วยงานที่คอยต่อต้านสายลับฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง
    เป็นหน่วยงานที่ทำงานร่วมไปกับ SIS หรือ MI6 -Secret Intelligence Service
    มีกองบัญชาการอยู่ที่ Thames House ในเขต Millbank ของลอนดอน หน่วย MI5 นี้คล้ายคลึงกับ FBI ของทางฝั่งอเมริกาที่เรารู้จักกันดีจากในหนังและซีรี่ส์อเมริกัน
    แต่ MI5 จะเน้นด้านสืบราชการลับ หรือข่าวกรอง และปฏิบัติการโดยไม่มีอำนาจจับกุมเป็นส่วนใหญ่
    [​IMG]
    ทั้ง 2 หน่วยงานก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1909 ภายใต้สังกัดของกองทัพอังกฤษ
    เพื่อทำงานในทางลับต่อต้านพวกเยอรมันในสงครามโลก และต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนและหลังสงคราม
    รวมถึงช่วงสงครามเย็น MI5 มีบทบาทอย่างมาก แต่ในตอนนี้แน่นอนว่า ทุกอย่างได้พุ่งเป้าไปที่ การต่อต้านผู้ก่อการร้าย
    ทั้งนี้ นอกจาก MI5 และMI6 แล้ว
    ทางกองทัพอังกฤษก็ยังมีหน่วยงานด้านข่าวกรองอื่นๆ แยกย่อยออกมาอีกมากมาย ตั้งแต่ เอ็มไอ1 ไปจนถึง เอ็มไอ19 เลยทีเดียว
    ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ยังมีภารกิจแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับการสืบราชการลับทั้งสิ้น
    [​IMG]
    การปฏิบัติการคร่าวๆ ของสายลับอังกฤษ ประจำ MI5 นั้นมี gadget ทันสมัย เช่น ระบบการสื่อสารด้วยกล้อง
    ไมโครโฟนจิ๋วซ่อนใต้กระดุมเสื้อ หรืออุปกรณ์ติดตามตัวระบบ gprs ที่ฝังใต้ผิวหนัง และการปฏิบัติงานแบบสายลับ ปลอมตัว ฝังตัว
    การเข้าหาเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆนานา การซุ่มดู surveilliance ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในชีวิตจริง มีอะไรแบบนี้รึเปล่า
    แต่เคยอ่านหนังสือเจอว่า สายลับจริงๆคนหนึ่งเลยพูดเอาไว้ว่า ชีวิตจริงของสายลับ เป็นยิ่งกว่าบรรดาหนังสือ หรือหนังสายลับหลายเท่า
    บางครั้งสายลับคนนั้นเคยอ่านนิยาย ยังงงว่าคนเขียนรู้ได้ยังไงว่า สายลับ มีอุปกรณ์เหล่านั้นจริง
    MI5 เป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศ ก่อนหน้านี้เคยระหองระแหงกับสก็อตแลนด์ยาร์ด เพราะทำงานทับเส้นกันอยู่ ....
    หน่วยงานทั้งสอง ทำงานโดยไม่ใช้อาวุธ การปฏิบัติการทางทหาร หรืองานต่อต้านการก่อการร้าย จะใช้ทหาร หรือตำรวจดำเนินการให้
    [​IMG]
    ส่วน Section อื่น
    MI8 ทำงานเป็น British signals intelligence group คือทำงานเกี่ยวกับการถอดและเข้ารหัสสัญญาณทั้งหมด
    หน่วยนี้เริ่มขึ้นเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่เยอรมันเริ่มใช้การส่งสัญญาณรหัสต่างๆ รวมถึงการแทรกซึมเข้ามาคอยปล่อย beacons
    หรือสัญญาณวิทยุ เพื่อนำทางให้ลุฟท์วอฟฟ์ หรือฝูงบินเยอรมันเข้ามาทิ้งระเบิดตามเป้าหมายต่างๆ
    MI9 เป็นสายลับที่คอยรวบรวมทหารที่จับพลัดจับผลูไปอยู่หลังแนวข้าศึก เช่น นักบินที่เครื่องตกในแดนข้าศึก
    หรือพวกเชลยศึกทั้งหลาย เพื่อสนธิกำลังเพื่อทำงานเป็นสายในแดนข้าศึกต่อไป ปัจจุบันMI9ถูกยุบไปเรียบร้อย เนื่องจากสงครามโลกจบไปแล้ว
    [​IMG]
    GCHQ หรือ Government Communication Headquarters ทำหน้าที่เรื่องการดักฟังการสื่อสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ หรือ e-mail
    นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลอีกด้วย
    GCHQ เป็นที่ที่มีนักคณิตศาสตร์ (ทำหน้าที่สร้าง code และ crack code) และนักภาษาศาสตร์ (ทำหน้าที่แปลทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก
    GCHQ ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีต่างประเทศ (Foreign Secretary)
    Defence Intelligence Staff หรือ DIS เป็นหน่วยข่าวกรองทางทหาร สังกัดกระทรวงกลาโหม
    Joint Intelligence Committee หรือ JIC เป็นคณะกรรมการที่มีตัวแทนจากหน่วยงานด้านข่าวกรองอื่น ๆ ทำหน้าที่แนะนำรัฐมนตรีเรื่องการข่าว
    จัดลำดับความสำคัญและภาระเร่งด่วนในเรื่องการหาข่าว ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากหน่วยข่าวกรองอื่น ๆ
    JIC เป็นหน่วยงานในสำนักคณะรัฐมนตรี (Cabinet Office) ขึ้นตรงต่านายกรัฐมนตรี
    [​IMG]
    ตัวอย่างศัพท์มากมายที่เกี่ยวกับสายลับ
    surveilliance การติดกล้อง ซุ่มดูเป้าหมาย
    spook สายลับ เหมือนกับคำว่า agent
    legend - คือ เรื่องราวและตัวตนที่สายลับคนนั้นใช้บังหน้า/ปลอมตัว ขณะปฏิบัติงานภาคสนาม
    counter surveilliance คือ การต่อต้านการถูกเฝ้าจับตามอง เช่น การเดินวกไปวนมา ให้คนที่เดินตามเราอยู่งง
    oppo คือ operation ภาระกิจ
    [​IMG]
    เหตุการณ์สำคัญที่ได้มีบอกเล่าเกี่ยวกับ MI5 ไว้คือ เหตุการณ์ เจ้าหญิงไดอานา
    เรื่องเทปอัปยศที่แอบอัดกันมาได้ในวังแบบสดๆร้อนๆ เล่นเอาประชาชนหูตาสว่าง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่า
    แม้แต่ในพระราชวังก็ยังเจอพิษของหน่วยลับซ้อนแผนกันเอง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ฝ่ายใครเป็นใคร สำนักงานเป็นสำนักงานไหน
    แม้แต่เจ้าชายแอนดรูว์ในฐานะที่รับราชการในกองทัพ ยังไม่กล้าคิดว่า หน่วย MI5 (ราชการลับ)
    จะบังอาจกล้าทำการอุกอาจเช่นนั้น..
    และคำถามต่อมาก็คือ เทปนั้นถูกดักฟังได้อย่างไร และ ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
    จนแม้แต่ นายกรัฐมนตรี นาย จอห์น เมเจอร์ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
    แต่ข้อเท็จจริง นั่นคือ ข้อความการสนทนาทางโทรศัพท์ของพระราชวงค์รวมทั้งเจ้าหญิงและดัชเชส ได้มีเครือข่ายดูแลอย่างใกล้ชิดมาหลายปีแล้ว
    โดยองค์การนั้นเป็นหน่วยเล็กๆที่แยกมาจาก MI5
    เรียกว่า IGU{ intelligence gathering units}
    โดยมีสายลับทำงานหกคน ที่สลับกันเฝ้าแผงการทำงานของโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมง
    และประสิทธิภาพของการทำงานมิใช่มีเพียงแค่นั้น..เทคโนโลยีรุ่นใหม่นี้ไม่ต้องไปเทปกันตามบ้านให้เหนื่อย สามารถดึงเอามาจากกลางอากาศได้เลย
    แม้กระทั่งสายจากทางไกล
    ข้อความสนทนาที่เข้าข่าย จะถูกส่งไปยังหน่วยงานของรัฐบาลที่ Cheltenham เพื่อทำการตรวจสอบ ก่อนที่กรองส่งไปยังสำนักนายกฯ
    หมายถึง มีเหตุการณ์ "สายลับซ้อนสายลับ" ขึ้นมาอีก
    หน่วยงาน MI5 มีข้อแก้ตัวที่เข้าเค้า เข้ากับเหตุการณ์ เพราะว่า ในปี 1987 ได้เกิดเหตุที่หน่วยลับต้องเตรียมพร้อม
    คือ เจ้าหญิงไดอะน่าเอง..เคยกระโดดขึ้นรถขับราวพายุออกจากพระตำหนัก โดยไม่แจ้งจุดหมายแก่ตำรวจอารักขา และ
    มีกลุ่มชายชาวอาหรับจำพระองค์ได้ จึงมีการขับรถไล่ตามราวกับหนังฮอลลีวูดที่มีการขับซิกแซกเข้าถนนโน้นถนนนี้
    ในที่สุดเจ้าหญิงก็สามารถหลุดออกมาจากการติดตามและใช้โทรศัพท์มือถือโทรเรียกหน่วยอารักขาเพื่อบอกตำแหน่งที่อยู่
    และด้วยเหตุนี้ ฝ่าย MI5 จึงต้องเข้าทำการคุมเข้มถึงสวัสดิภาพของพระราชวงค์ด้วยระบบเทคโนโลยี่แบบล้ำยุค
    [​IMG]
    และ อีกเหตุการณ์
    ผู้ใกล้ชิดเจ้าหญิงไดอานา อ้างว่า
    เจ้าหญิงไดอานาถูกขู่เอาชีวิตจากโครงการต่อต้านผลิตทุ่นระเบิดและพระองค์เคยยื่นบันทึกให้เธออ่านมีใจความว่า
    "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน หน่วยข่าวกรองอังกฤษ MI5/6 เป็นผู้ลงมือ" ก่อนที่เจ้าหญิงจะเผามันทิ้ง
    "ฉันเชื่อว่าถ้าพวกเขาจะลงมือสังหารเจ้าหญิงไดอานา พวกเขาอาจฆ่าทุกคนและชีวิตฉันคงถูกประเมินค่าไว้แล้ว" ซิมมอนส์(ผู้ใกล้ชิด)บอก
    ตำรวจผู้ทำหน้าที่อารักขาเจ้าหญิงไดอานา ในช่วงปี 1987-1993 กล่าวว่าเขาเชื่อว่าเจ้าหญิงได้รับเตือนผ่านโทรศัพท์
    ว่าพระองค์กำลังถูกจับตาจากหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ พร้อมเชื่อว่าบทสนทนาระหว่างเจ้าหญิงกับคู่รักเก่า เจมส์ กิลบีย์ อดีตนักรักบี้ชื่อดัง
    ในปี 1989 ได้ถูกทางหน่วยข่าวกรองอังกฤษแอบดักฟังที่สำนักงานเช่นกัน
    ขณะที่ ผู้ใกล้ชิด กล่าวว่าเจ้าหญิงทรงเชื่อว่าพระองค์ถูกติดตามความเคลื่อนไหวและดักฟังทางโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
    [​IMG]
    เมื่อไม่นานมานี้ MI6 ได้มีการลงโฆษณารับสมัคร "สายลับ" เป็นครั้งแรก
    ในฐานะที่เป็นหน่วยงานข่าวกรอง ซึ่งมีธรรมเนียมที่จะทำงานแบบลับๆ ทำให้ในอดีตนั้น ไม่มีแม้แต่ชื่อของ MI-6 ระบุไว้อย่างเป็นทางการในบันทึกของรัฐบาลอังกฤษด้วยซ้ำ
    เพิ่งจะเมื่อปี 2537 นี่เอง ที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของหน่วยงานนี้ รวมทั้งมีการเปิดเว๊ปไซต์ของ MI-6 เอง
    กับการยอมรับการสมัครงานแบบออนไลน์ และล่าสุด ตอนนี้ คือการประกาศรับสมัครงานในหนังสือพิมพ์.
    MI-6 ให้เหตุผลที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์หัวกลางซ้ายอย่าง The Guardian ว่า เป็นความพยายามที่จะดึงดูดบุคลากรผู้มีความสามารถ
    จากแหล่งที่มีความหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งการที่ในปัจจุบัน มีเพียงร้อยละ 5 ของเจ้าหน้าที่ MI-6 เอ็มไอ-6 ที่มาจากชนกลุ่มน้อยในอังกฤษ
    เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ MI-6 บอกว่า คนประเภทที่ชอบสมัครทำงานกับองค์กรเอกชน หรือ เอ็นจีโอ คือพวกที่จะสมัครงานกับ MI-6
    กล่าวคือเป็นผู้ที่มีทักษะในประเด็นหลากหลายอย่างแท้จริง
    [​IMG]
    นอกจากนี้หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษก็กำลังหากอยากได้สปายสาวๆ มาเพิ่ม
    ใครสนใจคงต้องเร่งมือสักหน่อย งานนี้เลยต้องมีสวัสดิการที่ค่อนข้างใจกว้างกว่างานอื่นๆ เช่น ลาคลอดได้ครึ่งปีโดยที่ยังได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย
    แถมด้วยค่าเลี้ยงดูบุตรและอีกมากมาย
    ในเว็บไซต์ของ MI6 ซึ่งกำลังต้องการเจ้าหน้าที่หญิงมาทำงานจารชนนอกเวลาเช่นเดียวกับหน่วยสืบราชการลับในประเทศ MI5
    ยังรับประกันว่า สาวโสดที่สมัครเข้ามาจะไม่ต้องลาออกหากแต่งงานและมีลูกในภายหลัง
    “เราเป็นองค์กรที่เป็นมิตรต่อครอบครัว เจ้าหน้าที่หญิงที่ร่วมงานกับเราเกิน 12 เดือน สามารถลาคลอดได้ 6 เดือน
    โดยได้รับค่าตอบแทนตามปกติ นอกจากนั้นยังสามารถพาสามีและลูกย้ายไปอยู่ด้วยเมื่อได้รับภารกิจนอกประเทศภายใต้เงื่อนไขบางประการ”
    ในเว็บไซต์ยังมีประวัติย่อของสายลับหญิงสองคนโพสต์ไว้ หนึ่งในนั้นคือ ไอโซเบล ที่แต่งงานแล้วและมีลูกตอนที่มาเริ่มงานใน MI6 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
    “ฉันต้องไปประจำที่เอเชีย เราย้ายกันไปทั้งครอบครัว พอกลับมาอยู่อังกฤษ เราอยู่อพาร์ตเมนท์ย่านมิดเดิลอีสต์ ฉันทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน
    และมีตารางเวลาที่ค่อนข้างยืดหยุ่นกับลูกๆ”
    ฮานาห์ สายลับอีกคนที่จบปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ เล่าว่าเธอได้รับอนุญาตให้ทำงานนอกเวลาได้
    เนื่องจากแฟนต้องย้ายออกจากลอนดอน และวางแผนว่าจะกลับไปเป็นสปายเต็มเวลาถ้าแฟนย้ายกลับมาลอนดอน
    ขณะเดียวกัน MI5 ก็เตรียมออกแคมเปญรับสมัครเจ้าหน้าที่หญิงด้วยเช่นกัน
    แม้มีผู้นำหญิงมาแล้ว 2 คนในช่วงก่อนหน้านี้ แต่กลับมีผู้หญิงมาสมัครแค่ 38% ของจำนวนผู้สมัครทั้งหมด MI5 จึงต้องการรับสมัครเจ้าหน้าที่หญิงเพิ่ม
    เพื่อสะท้อนความหลากหลายของอังกฤษและเพื่อปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงอย่างเหมาะสม
    แคมเปญที่จะออกมาในสัปดาห์นี้จะครอบคลุมการลงโฆษณาบนรถโดยสารและรถไฟใต้ดิน โดย MI5
    ต้องการเจ้าหน้าที่ในหลายตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ให้บริการด้านอาหาร คนขับรถ สายลับ นักภาษาศาสตร์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
    ใบสมัครจะถูกกลั่นกรองชั้นแรกโดยบริษัทรับสมัครงาน เพื่อคัดแยกระหว่างคนมีฝันกับผู้สิ้นหวัง
    จากนั้น ผู้เข้ารอบจะต้องผ่านการประเมินผลขั้นแรก การสัมภาษณ์กับผู้สัมภาษณ์ ทดสอบที่สำนักงานใหญ่ 1 วัน
    และกับคณะกรรมการคัดเลือกเป็นด่านสุดท้าย ซึ่งในระหว่างกระบวนการขั้นตอนท้ายๆ นั้น จะดำเนินการควบคู่กับการทดสอบด้านการรักษาความปลอดภัยนาน 6-8 เดือน
    [​IMG]
    และที่สำคัญ...
    ขณะนี้หน่วยสืบราชการลับในประเทศของอังกฤษกำลังต้องการรับสมัครเจ้าหน้าที่สายลับหรือจารชนเพื่องานด้านจารกรรม แต่ขอให้เป็นพวกนะยะเท่านั้น
    ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เปิดกว้างยอมรับเรื่องความเสมอภาคทางเพศ
    “แต่ก่อนดั้งเดิมมา งานบริการสาธารณะนั้นเป็นของผู้ชายที่มาทำงานราชการต้องเป็นคนผิวขาว ปกติในเรื่องเพศ ก็คือชอบผู้หญิง
    และนั่งรถไฟกลับบ้านตอน 16.30 น. ทุกวัน เมื่อหน่วยสืบราชการลับออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า
    หน่วยงานของรัฐกำลังเปลี่ยนไปและเริ่มสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น” ประธานสโตนวอลล์กล่าว
    เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีหน่วยงานสืบราชการลับในต่างประเทศของอังกฤษ หรือ MI6 ถึงกับเคยประกาศลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์รับสมัคร จารชน
    แล้วยังเปิดเว็บไซต์ของตัวเองอีกด้วย
    คิดดูก็แล้วกันว่า ถ้าเจมส์บอนด์ของเรามาแนวอีแอบเนี่ยะจะเป็นไง ????
    [​IMG]
    [​IMG]
    ไหนๆก็ไหนๆแล้วคับ....
    ว่ากันด้วยเรื่องสายลับมาแล้ว ก็มาต่อที่องค์กรสายลับที่น่าสนใจ อื่นๆบ้าง
    [​IMG]
    KGB

    KGB คือหน่วยสืบราชการลับรัสเซียเป็นองค์กรข่าวกรองแบบรวมศูนย์
    คือรับผิดชอบทั้งภายในและภายนอกประเทศ เหมือน MI6 ของอังกฤษ และ CIA ของสหรัฐอเมริกาครับ
    (ปัจจุบันยุบไปแล้ว)
    เมื่อครั้ง เยลท์ชินได้รับเลือกตั้งจากประชาชนรัสเซียให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกในระบอบประชาธิปไตยของประเทศในชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย
    บรรดาสายลับ KGB 8แสนคนตกงาน กลายเป็น รปภ. ให้กับบริษัทห้างร้านหรือสำนักงานของรัฐ ที่เคยเป็นชนชั้นหัวหน้าก็ไปเป็นบอดี้การ์ดให้กับเศรษฐีใหม่
    รัสเซียที่ร่ำรวยขึ้นมาด้วยการค้าขายกับรัฐบาลหรือรับสัมปทานน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ หรือไม่ก็ตั้งแก๊งค์รีดไถ คุ้มครองธุรกิจหรือเรียกค่าไถ่ หมดศักดิ์หมดศรีของการเคยเป็น KGB ที่มีสมญานามว่า “เลือดสีน้ำเงิน”
    คือตำรวจลับหรือสายลับหรือเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติไปเลย
    ประธานาธิบดีเยลท์ชินไม่ต้องการถอนรากถอนโคนแกนหลักของระบอบคอมมิวนิสต์คือ KGB ให้ราบคาบ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายทำกบฏ
    เขาได้รื้อฟื้นหน่วยงานรักษาความมั่นคงแห่งรัฐขึ้นใหม่ชื่อว่า สำนักงานความมั่นคงของสหพันธรัฐหรือ FSB แทน KGB
    ทำให้เจ้าหน้าที่ KGB เก่าๆ ได้กลับเข้ามารับราชการอีก ซึ่งในการนี้ก็มีนายวลาดิมีร์ปูติน เป็นหัวหน้าตำรวจลับ KGB เซนต์ปีเตอร์เบิร์กเข้ามาร่วมรัฐบาลของเขาด้วย
    และต่อมาก็แต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
    ในยุคสงครามเย็น พวกกลุ่มอิทธิพลชาวรัสเซียพวกนี้จะได้รับการติดต่อจาก KGB จากสหภาพโซเวียตให้เป็นสายลับให้ในทุกพื้นที่
    ในโลก คู่แข่งที่สำคัญคือ CIA ของสหรัฐอเมริกา
    อดีต เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ท่านหนึ่งที่เคยเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายชั้นสูง และ เป็นผู้ที่เคยฝึกเจ้า
    หน้าที่ชั้นผู้ปฎิบัติงานของ CIA มาแล้ว เล่าว่า..การต่อสู้ของ CIA กับ KGB เป็นเรื่องหลัก เพราะ
    ความเก่งกาจไม่แพ้กัน จนกระทั่ง KGB ซบเซาไป ช่วงที่สหภาพโซเวียตซบเซาไป แต่ก็ไม่ได้สูญสิ้นไปจากโลก ยังพอเหลือซากที่จะฟื้นคืนชีพได้
    จนกระทั่ง สามารถฟื้นคืนชีพได้ในสมัยที่ปูติน ขึ้นมามีอำนาจ
    ในรัสเซียถึง ๒ สมัยกว่า ๆ ความเข้มแข็งของ KGB จึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการ
    การฝึกฝนเจ้าหน้าที่ KGB กับ CIA ไม่ค่อยจะแตกต่างกันนักทั้งหญิงและชาย กิจกรรมทุกอย่างที่จะให้ได้มาซึ่งข่าวสารและข่าวกรองของฝ่ายตรงข้ามเจ้าหน้าที่ข่าวลับของทั้งสองฝ่ายจะไม่ลังเลและรีรอจะกระทำ ทั้งนั้น
    ด้วยการที่สาวชาวรัสเซียมีหน้าตาที่ค่อนข้างจะสะสวยเร้าใจ เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นจุดขายของการใช้กลยุทธหญิงงามตามแบบอย่างกลยุทธ์จีน สาวชาวรัสเซียส่วนหนึ่งได้รับการฝึกฝนดังเช่นที่ CIA ฝึกเจ้าหน้าที่หญิงของตนออกหาข่าวลับ
    การใช้อาชีพการขายบริการบังหน้า หรือเป็นเรื่องจริงทำให้ได้มาซึ่งข่าวสารหรือข่าวกรองตามที่หน่วยเหนือต้องการ ดังนั้น ระดับผู้นำที่เป็นเป้าหมายของการหาข่าวสาร ดังกล่าว มักจะมีจุดอ่อนอยู่ ๓ เรื่องเป็นธรรมชาติของมนุษย์คือ โง่ เงี่ยน และ เงิน ( ๓ ง.)

    ผู้นำทุกระดับมักจะตายเพราะกลยุทธ์สาวงามเสมอ ( ไม่มีข้อยกเว้น) งานการข่าวที่ใช้หญิงงามจึงได้ผลเสมอ เรื่องนี้ทำกันมาตั้งหลายพันปีมาแล้วครับ หญิงรัสเซียที่ขายบริการจริงอาจจะมี แต่ ในนั้นแฝงไว้ด้วยสายลับทั้งสิ้น เรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นครับของ CIA ก็เช่นกัน เมื่อสองค่ายใหญ่ต่อสู้กันสิ่งที่เข้มข้นที่สุดในการต่อสู้กันคือ การต่อสู้ด้วย สายลับครับ สายลับจึงมีหลากหลายรูปแบบ
    งานข่าวกรองมีจารชน ๕ ประเภท
    ๑. จารชนถิ่น คนพื้นเมือง
    ๒. จารชนใน ข้าราชการข้าศึก
    ๓. จารชนซ้อน จารชนของข้าศึก
    ๔. จารชนตาย ใช้ปล่อยข่าว
    ๕. จารชนเป็น สายลับมืออาชีพ
    ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่างานข่าวกรอง
    [​IMG]
    ซีไอเอ (Central Intelligence Agencies : CIA)

    หน่วยข่าวกรองกลาง ซีไอเอ (The Central lntelligence Agency-CIA) เป็นองค์การที่รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาสถาปนาขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๗ มีหน้าที่แสวงหาข่าวสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา เสนอประธานาธิบดีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและรัฐสภา เพื่อให้รัฐบาลกลางมองเห็นสถานการณ์ของโลกทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางนโยบายต่างประเทศที่ให้ผลถูกต้องแน่นอน
    ก่อนหน้า ค.ศ. ๑๙๔๗ งานสืบราชการลับในต่างประเทศเป็นหน้าที่ของหน่วยบริการยุทธศาสตร์โอเอสเอส (Office of Strategic Service-OSS) ซึ่งจัดตั้งขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๙๔๒ โดยมีนายพลตรี วิลเลียม เจ. โดโนแวน (William J. Donovan) เป็นหัวหน้าดำเนินงานมาจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ ก็ถูกยุบเลิกไป หน่วยบริการยุทธศาสตร์โอเอสเอสทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข่าวสารทาง ยุทธศาสตร์และทำการติดต่อกับแนวหลังของศัตรู และประเทศที่ศัตรูยึดครองอยู่ หน่วยงานนี้ทำงานได้ผลดีเพียงใดยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ ๒ วินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ชอบใช้แผนที่ของหน่วยโอเอสเอสมากกว่าแผนที่ที่ทำขึ้นในประเทศอังกฤษเองแต่ หน่วยบริการยุทธศาสตร์โอเอสเอสก็ต้องอาศัยข่าวกรองจากข่ายจารชนอังกฤษป้อน ให้ตนเป็นส่วนใหญ่
    กิจกรรมขององค์การสืบราชการลับซีไอเอกระทำกันเป็นความลับ
    เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๖๗ นิตยสารแรมพาร์ตส์ (Ramparts) ได้เปิดเผยขอบข่ายการทำงานอย่างกว้างขวางขององค์การนี้ ต่อมาสำนักพิมพ์ในเยอรมนีได้พิมพ์หนังสือชื่อ "ใครเป็นใครในองค์การสืบราชการลับซีไอเอ" (Who's Who in the CIA) โดยพิมพ์บัญชีรายชื่อเอเยนต์ขององค์การนี้จำนวน ๖,๐๐๐ คน ใน ๑๒๐ ประเทศ ทำให้องค์การนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายไปทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
    [​IMG]
    FBI
    สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอฟบีไอ (อังกฤษ: Federal Bureau of Investigation; FBI) เป็นส่วนราชการประเภทกองแห่งสหรัฐอเมริกา มีขอบเขตในการทำงานในแต่ละสมัยแตกต่างกันและไม่ตายตัวไปตามสถานการณ์ขณะนั้น เช่น สมัยสงครามโลกเน้นคดีจารกรรม ยุคถัดมาเน้นคดีอันธพาลครองเมือง ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2เน้นคดีเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์และฟาสซิสต์ ต่อมาเน้นคดีอาชญากรรมด้านการเงิน และปัจจุบันเน้นอาชญากรรมระหว่างประเทศ การก่อการร้าย คดียาเสพติด และการฟอกเงิน
    สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451 โดยนายชาร์ลส์ โบนาปาร์ด อธิบดีกรมยุติธรรมแห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีทีโอดอร์ รูสเวลต์ เมื่อแรกได้ชื่อว่า "หน่วยเฉพาะกิจแห่งกรมยุติธรรม" (Special Agents of Department of Justice) สมาชิกส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนและเจ้าหน้าที่การข่าวชั้นดี และมีการแบ่งส่วนราชการเป็นยี่สิบสี่ฝ่าย
    ปีถัดมา เมื่อนายจอร์จ วิกเคอร์แมนได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมยุติธรรมคนใหม่ ก็ได้เปลี่ยนชื่อหน่วยฯ เป็นสำนักงานสืบสวน (Bureau of Investigation) มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกง
    กระทั่ง พ.ศ. 2453 เมื่อมีการประกาศใช้รัฐบัญญัติว่าด้วยทาสผิวขาว สำนักงานฯ ก็ได้มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนครอบคลุมถึงคดีอาชญากรรม จากนั้นได้มีการขยายขอบเขตการทำงาน โดยมีหน่วยงานย่อยมากกว่าสามร้อยฝ่าย มีสำนักงานสาขาในรัฐต่าง ๆ จนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่ออย่างในปัจจุบัน
    เจ้าหน้าที่นำสืบแห่งสำนักงานฯ จะต้องเข้ารับการฝึกจากวิทยาลัยสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI National Academy) เสมอไป เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามที่ประสงค์
    มาถึงคำถามสุดท้ายที่ถามว่าไทยมีหน่วยสืบราชการลับกับคนอื่นหรือไม่ แน่นอนประเทศไทยเองก็ไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ
    เราก็มีหน่วยงานด้านการหาข่าวทางลับกับเขาเหมือนกัน
    ตามพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ระบุให้มีการตั้งสำนักข่าวกรองแห่งชาติขึ้น
    โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการหาข่าวทั้งในทางตรงและในทางลับมากมาย เช่น การติดตามสถานการณ์ภายในประเทศและต่างประเทศ
    ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ และรายงานต่อนายกรัฐมนตรีและสภาความมั่นคงแห่งชาติ
    การประสานงานกิจการข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรองกับหน่วยข่าวกรองของต่างประเทศในเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ
    และการเสนอนโยบายและมาตรการ ตลอดจนให้คำแนะนำ และคำปรึกษาด้านการข่าวกรองต่อนายกรัฐมนตรีและสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น
    [​IMG]
    ทั้งนี้ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นองค์การข่าวกรองระดับชาติ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีสายการบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
    เดิมทีในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี หน่วยงานนี้ใช้ชื่อว่า "กรมประมวลข่าวกลาง" ต่อมาในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นเป็นนายกฯ
    ได้มีการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ.2528 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน
    อำนาจหน้าที่ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติกำหนดไว้ในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. 2528 พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2517 และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 สรุปรวมกันได้ดังต่อไปนี้
    1. ปฏิบัติงานเกี่ยวกับกิจการข่าวกรอง การต่อต้านข่าวกรอง การข่าวกรองทางการสื่อสารและการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน
    2. ติดตามสถานการณ์ภายในประเทศและต่างประเทศ ที่มีผลกระทบต่อตวามมั่นคงห่งชาติและรายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรีและสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระจายข่าวกรองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติให้หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม
    3. ศึกษา วิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับกิจการการข่าวกรอง การต่อต้านข่าวกรองและการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
    4. เป็นศูนย์กลางประสานกิจการข่าวกรอง การต่อต้านข่าวกรอง กับหน่วยงานอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นองค์การรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน ทำหน้าที่เป็นประธานคณะที่ปรึกษาการข่าว และรับผิดชอบการบริหารจัดการศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ
    5. เสนอแนะนโยบายและมาตรการ ตลอดจนให้คำแนะนำ และคำปรึกษาด้านการข่าวกรองการต่อต้านข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนต่อนายกรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ

    [​IMG] ตำรวจสันติบาลมักแยกออกเป็น 2 แนว 2 สาย คือ สายพิราบกับสายเหยี่ยว ซึ่งมาจากแนวคิด-ทัศนคติทางการเมืองของแต่ละบุคคล อันจะนำไปสู่แนววิธีการทำงานงานของสันติบาล คืองานข่าวกรอง งานสืบสวนด้านความมั่นคงสายพิราบ เป็นพวกใช้การเมืองนำการจับกุม ใช้การเจรจาเข้าแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองส่วนสายเหยี่ยว สะวิงไปอีกด้าน เน้นใช้การสืบสวนหาข่าวเพื่อนำไปสู่การจับกุม ใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดยุคที่สันติบาลมีผู้นำเป็นสายพิราบ จะเป็นยุคที่เมื่อได้ข้อมูลข่าวกรองความเคลื่อนไหว จะนำเสนอการแก้ปัญหาโดยใช้การเมืองนำเช่น หากสืบพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวคิดการเมืองที่ตรงข้ามกับรัฐบาล มักจะใช้วิธีการติดต่อพูดคุยเพื่อดึงเป็นพวกพบการเคลื่อนไหวของแกนนำคอมมิวนิสต์ ก็ต่อสายเจรจามอบตัวแลกกับความผิดที่เบาลง แล้วนำไปเข้าศูนย์ซักถาม พูดคุยกันอย่างมิตรภาพ เพื่อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางอุดมการณ์ตรงกันข้าม ถ้าเป็นสันติบาลยุคเหยี่ยว เมื่อสืบพบอะไร ก็จะใช้กฎหมายเข้าจับกุมดำเนินคดี ไม่มีประนีประนอม!นี่คือสไตล์สันติบาลที่แยกเป็น 2 สาย มายาวนานแต่ไม่ว่าจะเหยี่ยวหรือพิราบ สิ่งที่เหมือนกันคือ อุดมการณ์ของตำรวจที่มีภารกิจด้านความมั่นคงหาข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นมืออาชีพ ไม่แอบอิงนักการเมืองจนกระทั่งเมื่อยกฐานะจากกองบังคับการเป็นกองบัญชาการ ภายใต้โครงสร้างที่ใหญ่โต ทำให้เกิดช่องว่างขึ้นจากหน่วยงานเชี่ยวชาญเฉพาะ ตำรวจที่โตในหน่วยนี้ ต้องบ่มเพาะฝึกปรือกันขึ้นมา ปลูกฝังอุดมการณ์นักการข่าวมืออาชีพกลายเป็นหน่วยเละเทะ เด็กเส้นแห่มาลง เพื่อเป็นทางผ่าน ก่อนจะก้าวไปลงหน่วยผลประโยชน์!?!หนักกว่านั้นคือ นักการเมืองส่งคนเข้ามายึดครอง เพื่อให้สันติบาลเป็นหน่วยข่าวกรองรับใช้การเมืองตำรวจสันติบาลอุดมการณ์เดิมๆ เริ่มจางหายไป!จากหน่วยข่าวกรองที่แม่นยำ เที่ยงตรง มืออาชีพ ทำเพื่อชาติถูกแปรเป็นอีกกลไกรับใช้อำนาจรัฐไปในที่สุดการโยกย้ายตำรวจในสังกัดสันติบาล ที่กำลังเป็นข่าวเกรียวกราว*ไม่เป็นที่น่าตกใจอะไรมากนักในหมู่ตำรวจด้วยกัน เพราะมาตรฐานที่เปลี่ยนไปของสันติบาล*อีกทั้งเป็นกฎกติกาที่รู้กันดีในหมู่ตำรวจ ว่าหากอ
     
  4. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style11 style13">การข่าวกับผลประโยชน์แห่งชาติ</TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff></TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD><TD class="midbox style8 style10">
    มักจะมีการทยอยเปิดเผยเรื่องลับสู่สังคมเรื่อยๆ ล่าสุดสหรัฐฯ ได้เปิดเผยเอกสารของทางการว่าความจริงสหรัฐฯ ได้รู้มาตั้งแต่ปี 2541 แล้วว่ารัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน ได้ละเมิดมติของสหประชาชาติโดยแอบเอาน้ำมันไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ตุรกี และจอร์แดน ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ เท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ แม้แต่สหประชาชาติเองก็รู้เรื่องดี
    เอกสารของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการที่ควบคุมดูแลด้านนโยบายต่างประเทศเปิดเผยว่า แม้จะรู้แต่สหรัฐฯ แกล้งทำเฉยเสียทั้งที่ตัวเองเป็นตัวการสำคัญหนุนให้สหประชาชาติออกมติห้ามอิรักขายน้ำมันหลังสงครามอ่าวปี 2533 นัยหนึ่งเป็นมติห้ามคนอื่นซื้อน้ำมันจากอิรักด้วย ยกเว้นว่าจะได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติ การที่สหรัฐฯ ทำเป็น ?หลับตาข้างหนึ่ง? เพราะเห็นว่านี่เป็นกรณีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับ ?ผลประโยชน์แห่งชาติ? ของสหรัฐฯ แม้รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน ได้เงินจากการนี้หลายพันล้านดอลลาร์ที่อาจนำไปพัฒนาอาวุธที่เป็นอันตรายต่อประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม
    ถ้าซัดดัมแอบขายน้ำมันให้ประเทศอื่นอาจโดนสหรัฐฯ จัดการกับทั้งประเทศผู้ขายและประเทศผู้ซื้อไปเรียบร้อยแล้ว เช่น การตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทางทหารแก่ประเทศผู้ซื้อ แต่นี่อิรักแอบขายน้ำมันให้กับจอร์แดนและตุรกี สหรัฐฯ จึงทำเฉยเสีย
    ที่ว่าเป็น ?ผลประโยชน์แห่งชาติ? ด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ก็เพราะสหรัฐฯ เห็นว่าตราบใดที่ตุรกีและจอร์แดนซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ มีความมั่นคง แม้จะแอบซื้อน้ำมันจากอิรัก สหรัฐฯ ก็รับได้ เพราะสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาทั้งตุรกีและจอร์แดนในการปิดล้อมอิรัก และความร่วมมือด้านการข่าวกรองจากประเทศทั้งสอง อีกทั้งอดีตกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนเคยช่วยสหรัฐฯ ในกระบวนการสันติภาพตะวันออกกลางมาแล้ว สหรัฐฯ ถือว่าจอร์แดนเป็น ?มิตรสำคัญ? ของสหรัฐฯ และเป็นผู้นำสันติภาพในตะวันออกกลาง
    ส่วนตุรกีซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ตลอดมา เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของอิรัก ตุรกีช่วยสหรัฐฯ โดยการส่งทหารไปร่วมในกองกำลังสันติภาพในอดีตยูโกสลาเวียและในอัฟกานิสถาน ช่วยสหรัฐฯ ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดในตุรกี และร่วมมือกันในการกดดันอิรักใน ?เขตห้ามบิน? ทางตอนเหนือของอิรัก ตลอดจนยินยอมให้สหรัฐฯ และอังกฤษใช้ฐานบินในตุรกีปฏิบัติการตรวจตราในอิรักหลังสงครามอ่าวได้เป็นประเทศหลักในการต่อต้านภัยคุกคามจากอิรักสมัยซัดดัม ฮุสเซน
    อย่างไรก็ตาม ซัดดัมได้แอบขายน้ำมันให้กับอียิปต์และซีเรียด้วย ประเมินกันว่ารายได้ที่ซัดดัมได้รับจากการขายน้ำมันให้จอร์แดน ตุรกี อียิปต์ และซีเรีย ประมาณ 13,600 ล้านดอลลาร์ ในช่วงห้าปีก่อนที่จะมีโครงการน้ำมันแลกอาหารของสหประชาชาติ
    สรุปแล้วผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ผิดข้อตกลงโลก ผิดกฎระเบียบ ผิดศีลธรรมก็ตาม นัยหนึ่งคนตัวใหญ่ทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด
    การข่าวกรองต้องทำให้ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ การกำหนดความต้องการด้านการข่าว การจัดความสำคัญเร่งด่วน การรวบรวมข่าวที่ต้องใช้ทั้งคน เงิน อุปกรณ์จำนวนมาก การวิเคราะห์ข่าว การรายงานการกระจายข่าวให้หน่วยอื่นใช้ประโยชน์ ท้ายสุดคือ การใช้ประโยชน์จากข่าวที่รวบรวมมาได้ รวมทั้งจะใช้เมื่อไร จังหวะใดจึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือละเว้นการใช้ประโยชน์จากข่าวนั้น หากใช้แล้วจะกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ หรือเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับเข้าหาตัว
    กรณีนี้เห็นได้ว่าแม้สหรัฐฯ ได้ล่วงรู้ว่าอิรักแอบขายน้ำมันให้กับจอร์แดน ตุรกี อียิปต์ ซึ่งเป็นการผิดข้อตกลงกับสหประชาชาติ แต่สหรัฐฯ กลับเฉยเสีย เพราะสหรัฐฯ ได้ประโยชน์จากการนี้

    </TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style6 style7">เงินทองและผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร แม้แต่องค์การสหประชาชาติที่มักเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ บริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล ด้วยความโปร่งใส ยังถูกกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติกลับเป็นเสียเอง ด้วยการหาประโยชน์จากโครงการน้ำมันแลกอาหารเข้าตัวและพรรคพวก ทำให้นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ที่ถูกวอชิงตันเขม่นมาตั้งแต่ช่วงสงครามอิรักชักนั่งไม่ติด เพราะมีข่าวว่าบุตรชายของตนเข้าไปพัวพันกับความอื้อฉาวครั้งนี้ด้วย
    นายเบนอน เซแวน ผู้อำนวยการบริหารของโครงการน้ำมันแลกอาหารของสหประชาชาติ ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำที่ไม่โปร่งใสร่วมกับบริษัทเอกชนบางแห่ง โดยสั่งซื้อน้ำมันหลายล้านบาร์เรลมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองและพวก ซึ่งเป็นการผิดระเบียบของสหประชาชาติ
    ขอรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับ "โครงการน้ำมันแลกอาหาร" สักเล็กน้อย หลังจากที่อิรักแพ้สงครามอ่าวในปี 2533 สหประชาชาตินำโดยสหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิรัก และห้ามอิรักส่งออกน้ำมันเพราะเกรงว่าอิรักจะนำรายได้จากการส่งออกน้ำมันมาใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพทางทหาร และผลิตอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรง
    ต่อมาสหประชาชาติยอมให้อิรักส่งออกน้ำมันได้ในจำนวนที่กำหนด เพื่อนำรายได้จากการขายน้ำมันมาซื้ออาหาร ยารักษาโรค และสิ่งจำเป็นอื่นๆ สำหรับประชาชนบริโภคภายในประเทศ โดยมีสหประชาชาติดูแลโครงการนี้ โครงการนี้เริ่มในปี 2539 และสิ้นสุดเมื่อสหรัฐฯ บุกอิรักในปี 2546
    ก่อนที่โครงการนี้จะเกิด นักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายอิรักชื่อนายซามิร์ แวงซอง เปิดเผยว่า ได้รับการว่าจ้างจากหน่วยสืบราชการลับอิรักให้ช่วยล็อบบี้ทางการสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ขอให้อิรักสามารถขายน้ำมันเพื่อนำรายได้มาซื้ออาหารและยาให้กับประชาชนชาวอิรัก เขาใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะสามารถล็อบบี้ให้สหประชาชาติอนุมัติโครงการน้ำมันแลกอาหารในปี 2539
    นอกจากนี้ ซีไอเอยังพบว่าซัดดัมให้สินบนกับเจ้าหน้าที่สหประชาชาติหลายคนให้ช่วยล็อบบี้ประชาชาติยกเลิกการแซงชั่นอิรักด้วยแต่ไม่สำเร็จ
    จากการสืบสวนในเวลาต่อมา สหรัฐฯ ประเมินว่าซัดดัม ฮุสเซน ได้ประโยชน์จากโครงการนี้หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองประมาณ 2,000-4,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่นายแวงซองฉวยโอกาสแอบซื้อน้ำมันมาขายได้กำไรประมาณ 3-5 ล้านดอลลาร์เข้ากระเป๋าตัวเอง
    ทั้งที่ซีไอเอรู้เรื่องนี้มานาน แต่ทำไมไม่หาทางยับยั้งตั้งแต่ต้น เก็บเรื่องนี้ไว้ทำไม หรือเป็นเพราะสหรัฐฯ ได้ประโยชน์จากการซื้อน้ำมันนอกโควตาโครงการด้วย
    การที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เพิ่งเอาเรื่องนี้มาเปิดเผยในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่นายโคฟี อันนัน กำลังถูกเขม่นจากสหรัฐฯ อย่างรุนแรง ในข้อหาไม่ร่วมมือในการที่สหรัฐฯ บุกอิรักและการฟื้นฟูอิรักหลังสงคราม
    สหรัฐฯ ถือว่าการกระทำของนายโคฟี อันนัน เป็นการสวนทางกับผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ทั้งที่สหรัฐฯ เป็นคนสนับสนุนให้นายโคฟี อันนัน ขึ้นเป็นเลขาธิการสหประชาชาติถึงสองสมัย
    ทำนองเด็กที่เคยอยู่ในอาณัติชักกำแหงจึงต้องสั่งสอนเสียบ้าง
    ท่านผู้อ่านคงสังเกตได้ว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ พยายามกดดันให้นายโคฟี อันนัน ลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ด้วยการนำเรื่องอื้อฉาวในโครงการน้ำมันแลกอาหารซึ่งเป็นความรับผิดชอบของสหประชาชาติมาเปิดเผย เพราะนอกจากมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติเกี่ยวข้องแล้ว ยังมีบุตรชายของนายอันนันพัวพันอีกด้วย
    ในขณะที่อิรักแอบขายน้ำมันให้กับจอร์แดนและตุรกีมาตั้งหลายปีที่ซีไอเอก็รู้ดีและผิดข้อตกลงอย่างแรง แต่สหรัฐฯ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะนั่นคือ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ



    </TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff></TD><TD class=bottombox>ผู้ส่ง สังคม email url ip 202.47.247.130:10.105.101.249 ตอบเมื่อ 15 มี.ค.48 เวลา 12:33</TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
     
  5. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style6 style7">ใครว่า . . บินลาดิน ตาย ?? Photoshop ชัดๆ

    หลังสังหาร บินลาดิน ตาย ผลสำรวจคะแนนนิยม ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐเพิ่มขึ้น หลังลดลงอย่างมากจากปัญหาเศรษฐกิจ

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า (4 พ.ค.) ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี 1 วัน หลังจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐสามารถสังหารอุซามะห์ บินลาดิน ผู้นำอัลกออิดะห์ได้ที่ปากีสถาน โดยประธานาธิบดีโอบามาร่วมประชุมกับรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งรวมถึงนายรอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหม และนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศ

    ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากชาวอเมริกันและชาติพันธมิตรส่วนใหญ่ หลังจากหน่วยรบพิเศษของสหรัฐสามารถสังหารบินลาดิน ผู้นำอัลกออิดะห์ได้ที่ปากีสถาน ส่งผลให้ผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์ส/อิพซอส พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 39 มองประธานาธิบดีโอบามาในแง่บวกมากขึ้น ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 42 มีความคิดเห็นในทางบวกมากขึ้นต่อโอบามาในด้านการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ส่วนคำถามที่ว่าใครควรได้รับเครดิตจากปฏิบัติการหน่วยคอมมานโดจู่โจมบ้านพักบินลาดินในปากีสถาน ชาวอเมริกันราวร้อยละ 32 ยกให้ โอบามา ขณะที่ร้อยละ 13 มองว่าความสำเร็จนี้เป็นความดีความชอบของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช

    ทั้งนี้ คะแนนนิยมของโอบามาเพิ่มขึ้นทันทีหลังการสังหารบินลาดิน ตาย หลังจากที่คะแนนนิยมของผู้นำสหรัฐก่อนหน้านี้ลดลงอย่างมากจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศโลกไซเบอร์"แฉรูปบิน ลาเดน ของปลอม แถมสอนวิธีทำรูปทุกขั้นตอน

    อย่างไรก็ตามในส่วนของเวปไซด์ดัง ได้มีหลายคนได้นำ รูปบิน ลาเดน ก่อนตาย มาสอนวิธีการตกแต่งรูปโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่นหัวข้อ How the Media cheated the World with a Fake Dead photo of Osama Bin Laden

    [ame]http://www.youtube.com/watch?v=ZSJ3rNbujJQ&feature=youtube_gdata_player[/ame]
    แปลได้ว่า ทำไมสื่อลวงโลก ด้วยภาพปลอมของบิน ลาเดน และได้มีผู้ที่เข้ามาดูและแสดงความคิดเห็น ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเหมือนกันว่า เป็นการตกแต่งภาพ ถ่ายขึ้นมาเท่านั้น

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=FZlWA-wJfE4"]บิน ลาดินตาย กับคำอธิบายที่ไม่ชัดเจน Voice TV - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=n6dM7XuE_-E&feature=related"]บินลาเดน เสียชีวิต 2 พ ค 54 - YouTube[/ame]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=nPnfGcTU5mI&feature=related"]Usāmah Bin Muhammad bin 'Awæd bin Lādin ( MORTO EM 2005 ) - YouTube[/ame]

    Bin Laden Died? Fake Bin Laden Photo - Photoshopped - Digitally manipulated - YouTube

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=OA4enAfq8zs&feature=related"]Osama Bin Laden Dead- Navy SEAL Raid Video - YouTube[/ame]

    *TARGET: BIN LADEN* REAL CIA SEAL TEAM 6 GERINOMO E-KIA FOOTAGE - YouTube

    BREAKING NEWS: Leaked Osama Photo (18+) - YouTube

    http://www.http://news.zubzip.com/2...99&hl=th&sa=X&gbv=2&tbm=isch&prmd=ivns&itbs=1


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=sanAt4NbCYw&feature=related"]Osama is "alive not dead", express news give the proof (obama played drama for winning the election) - YouTube[/ame]



    </TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff></TD><TD class=bottombox>ผู้ส่ง foleman 09:50</TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
     
  6. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    "ยุทธศาสตร์" และ "คณิตศาสตร์ เหมือนหรือแตกต่างกัน ?

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style8 style10">"ยุทธศาสตร์" ไม่ใช่ "คณิตศาสตร์" ที่มีผลลัพธ์ อยูในใจตั้งแต่เจอโจทย์ ก็จริง ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะถูกและเป็นวิธีที่ได้ผล แต่เป็นการคิดตามสมมุติฐาน และแก้ไขตามสถานการณ์ที่เข้าท่าที่สุดตามความเป็นจริงในขณะนั้น รวมทั้งหวังผลที่จะเกิดขึ้นให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ


    แต่ในบางกรณีไม่ใช่ก็เหมือนใช่ ระหว่าง "ยุทธศาสตร์" และ "คณิตศาสตร์ (ตามความคิดของผม) หมายความว่า คณิศาสตร์นั้นเวลาหาผลลัพธ์ 1+1=2 2*2=4 4/4=1 ผลลัพธ์มันต้องออกมาอย่างนั้นเสมอ เช่นเดียวกัน การวางแผนทางยุทธศาสตร์ ถ้าทำให้อีกกลุ่มทะเลาะกันผลมันก็จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและกลุ่มที่ทะเลาะกันย่อมต้องอ่อนแอลง แถมเรายังได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยสภาวะสงครามอีกด้วย หรือการที่เรารู้ว่าจีนขัดแย้งกับเวียดนามที่รัสเซียหนุนหลังเราก็ไปต่อรองให้จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามแน่นอนเวียดนามย่อมมีความจำเป็นต้องถอนทหารไปยันยังชายแดนจีนแทนจะสามารถใช้กำลังดังกล่าวรุกรานไทย แผนการใช้กำลังทหารที่จะรุกเข้าประเทศไทยทางทิศตะวันออกย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพราะเวียดนามอาจจะต้องทำสงครามสองด้านในช่วงเวลาเดียวกันทั้งกับไทยและจีน ดังนั้นถ้าไทยเจรจาให้จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามได้ ไทยก็จะได้ประโยชน์จากการไม่ถูกรุกรานรวมทั้งจีนได้ประโยชน์จากการกำจัดอิทธิพลเวียดนามที่รัสเซียหนุนหลังจากพื้นที่อิทธิพลของตน อเมริกาได้ประโยชน์จีนทะเลาะรัสเซียกลุ่มขั้วสังคมนิยมอ่อนแอลง หรือการที่เยอรมันพยายามทำสัญญาแบ่งโปรแลนกับรัสเซียเพื่อทำสงครามด้านเดียวในภาคพื้นยุโรป แต่ฝ่ายพันธมิตรสามารถดึงรัสเซียเป็นพวกเปิดสงครามอีกด้านกับเยอรมันหลังจากที่เยอรมันไม่สามารถยกพลขึ้นบกที่อังกฤษได้เนื่องจากไม่สามารถครองอากาศเหนือกาะอังกฤษได้ จะเห็นว่าผลลัพธ์มันออกมาเหมือนกับหลักคณิตศาสตร์คือทำอย่างนี้ได้ผลอย่างนี้ค่อนข้างที่จะแน่นอน ผมจึงใช้คำว่าไม่ใช่ก็เหมือนใช่ ?

    หรืออย่างกรณีการเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง คนจัดวางยุทธศาสตร์ในการก่อสงครามครั้งนี้เขาวางยุทธศาสตร์ที่ได้ผลลัพธ์แบบคณิตศาสตร์ ในการกำจัดกลุ่มอำนาจเก่าในยุโรปให้ทะเลาะกันเอง เพื่อให้อ่อนแอจนส่งผลให้อเมริกาขึ้นมาสร้างระบบโครงสร้างทางอำนาจขึ้นแทนที่ยุโรป ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โลกมีมหาอำนาจหลายประเทศเป็นช่วงปลายของมหาอำนาจยุคล่าอาณานิคม ยุโรปยังเป็นศูนย์กลางอำนาจหาใช่อเมริกาไม่ ย้อนกลับไปมีชาวยิวซึ่งเร่รอนในทะเลทรายหนีการเป็นทาสในอียิปต์ มาตั้งประเทศอิสราเอลในยุคอดีตในดินแดนที่เขาอ้างว่าพระเจ้ามอบให้โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มพอมั่นคงก็เริ่มรบรากันเอง ต่อมาจึงตกเป็นเมื่องขึ้นของทั้งอาหรับ กรีก โรมัน แต่อาศัยที่ยิวไม่ยึดติดกับที่อยู่สามารถปรับตัวได้เร็ว ศาสนายูดาก็สนับสนุนการค้าขายมีการคิดดอกเบี้ยไม่เป็นบาป ไม่เหมือนศาสนาคริสต์ในยุคบรรพกาล ยิวจึงมีทักษะด้านค้าขายเก่งมากกว่าชนชาติอื่นๆ พออาศัยอยู่ที่ไหนก็มักค้าขายเก่งกว่าชนในท้องถิ่น เมื่อชนในท้องถิ่นพัฒนาค้าขายได้เก่งเท่าก็มักหาเหตุขับไล่เนรเทศออกไป ทำให้ยิวเร่ร่อนไม่มีประเทศของตนเอง ซึ่งมนุษย์ต้องการปัจจัยสี่แต่ยิวขาดปัจจัยแรกเลยคือที่อยู่อาศัย จึงทำให้ต้องต่อสู้ตลอดเวลาจึงมีความเก่งและแกร่ง ยิวทั่วโลกมีประชากรประมาณ สิบสองล้านคน แต่รางวัลโนเบลชนชาติยิวได้รับมากกว่าชนชาติอื่นๆ ที่มีจำนวนมากกว่า ยิวสร้างนิวเคลียร์ ระบบทุนนิยม ระบบคอมมิวนิสต์ ฯลฯ การที่ยิวถูกชาวยุโรปรังแก โดยเฉพาะรัสเซียถูกนายธนาคารยิวแก้แค้นโดยให้เงินกู้ญี่ปุ่นซื้ออาวุธจนกระทั่งในการทำสงครามทางเรือกับญี่ปุ่น ส่งผลให้รัสเซียต้องพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่น ยิวหนีจากยุโรปไปอเมริกาจนสามารถครอบครองระบบเศรษฐกิจอเมริกาไว้ได้ เมือนเป็นการสิงร่างกายที่เข้มแข็งของอเมริกาในการสนับสนุนยุทธศาสตร์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือ Endstate ที่กำหนดไว้ โดยจัดวางยุทธศาสตร์เป็นมหาอำนาจขั้วเดียวของโลก จึงจัดตั้งกลุ่ม CFR ที่ประกอบด้วยชนชั้นนำ ต่างให้การช่วยเหลือพรรคการเมืองตามผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเช่นกลุ่มทุนการเงิน IT สนับสนุนพรรคคลินตั้น กลุ่มทุนน้ำมัน อาวุธสนับสนุนพรรคบุช โดยมีหนทางปฏิบัติในการพลัดเปลี่ยนให้พรรคที่สนับสนุนขึ้นบริหารประเทศตามสถานการณ์ว่าช่วงใดควรทำสงครามทางด้านทหารหรือเศรษฐกิจนำ และเมื่อพรรคใดได้อำนาจบริหารก็จะส่งคนของตนเข้าไปเป็นคนวางแผนอยู่ใน NSC ซึ่งคุม CIA (ทำงานผิดกฏหมายนอกประเทศ) และ FBI (เคลียร์ในประเทศ) โดย NSC ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ที่กำหนดแม้จะเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีก็ตามการปฏิบัติก็จะมีความต่อเนื่อง สำหรับทรัพยากรก็ได้จากระบบโครงสร้างทางอำนาจในการดูดซับทรัพยากรเข้าสู่ศูนย์กลางระบบที่อเมริกาสร้างขึ้น(ลองอ่านแผนการเจ็ดขั้นประกอบ) ประธานาธิบดีรูสเวล เคยเป็นเจ้ากระทรวงทหารเรือมาก่อนจึงมีแนวคิดว่าถ้าสามารถครองทะเลได้คือสามารถครองโลก จึงสร้างกองทัพเรือยิ่งใหญ่เทียบเท่าอังกฤษ แต่กรณีที่ญี่ปุ่นชนะรัสเซียทำให้อเมริการ่วมกับอังกฤษบีบให้ญี่ปุ่นมีกำลังทางเรือเทียบกับ อังกฤษและอเมริกา 6/10/10 ในช่วงนั้น เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นพันธมิตรกัน ในส่วนเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถูกให้ชดใช้ปฏิกรรมสงคราม ในสนธิสัญญาแวซายร์ และถูกฝรั่งเศส ยึดครองแหล่งถ่านหิน มีปัญหาเศรษฐกิจ แต่อยู่ดีๆ ทางอเมริกาก็ใหยืมเงินมาพัฒนาอุตสาหหกรรมผลิตสินค้าขาย ในช่วงแรกๆ ก็ขายดี พอช่วงหลังโดนกีดกันขายไม่ออก เผอิญมีตัวละครที่ถูสนับสนุนบทบาทจากสถานการณ์ให้เป็นผู้นำนามฮิตเลอร์ ซึ่งพยายามสร้างกองทัพเพื่อทำสงครามปลดแอกจากสนธิสัญญาเอาเปรียบ แต่ที่น่าสงสัยก็คือในขณะนั้นเยอรมันค้ขายไม่ค่อยได้ ไม่มีเงินจึงไม่น่าที่จะมีเครดิต แต่อเมริกากลับให้เยอรมันกู้ยืมทั้งที่รู้ว่าเยอรมันกู้ไปสร้างกองทัพจนยิ่งใหญ่แล้วขมขู่ยึดครอง เชคโก โปรแลนด์ด้วยการเซ็นสัญญาสงบศึกกับรัสเซียร่วมแบ่งโปรแลนด์ บุกเบลเยี่ยม ฝรั่งเศษ สงครามในภาคพื้นยุโรปโดยเยอรมัน เริ่มโดยการหยิบยื่นเงินทุนสร้ากองทัพจากอเมริกา พอยุโรปรบกัน อเมริกาก็ให้ยืมขายอาวุธกับอีกฝ่ายคือพันธมิตร ทั้งๆที่เยอรมันติดเงินตนเอง และท้ายที่สุด เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ ต่างบอบช้ำ ในขณะปริมาณทองคำสำรอง 70% ของทั้งโลกมาอยู่ที่อเมริกา ศูนย์กลางอำนาจเปลี่ยนจากยุโรปมาเป็นอเมริกา ดังนั้นสิ่งที่ยิวที่คุมและอาศัยอเมริกาทำการแก้แค้นยุโรป จึงมีผลลัพย์อยู่ในใจและทราบคำตอบที่ถูกต้องแล้วที่มีผลลัพธ์ อยูในใจตั้งแต่เจอโจทย์ ว่าใครคือผู้ชนะ?

    ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะถูกและเป็นวิธีที่ได้ผล? แต่มันสามารถบอกได้ว่าถ้าอีกกลุ่มทะเลาะกันเองกลุ่มนั้นย่อมจะต้องอ่อนแอลงและกลุ่มเราก็จะเข้มแข็งขึ้น !


    แต่เป็นการคิดตามสมมุติฐาน และแก้ไขตามสถานการณ์ที่เข้าท่าที่สุดตามความเป็นจริงในขณะนั้น รวมทั้งหวังผลที่จะเกิดขึ้นให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ? แน่นอนในรายละเอียดนั้นมันต้องมีการแก้ไขตามสถานการณ์อย่างกรณีที่ประชาชนอเมริกาไม่สนับสนุนให้อเมริกาเข้าร่วมสงครามแต่ผู้วางแผนก็อาศัยการบีบบังคับญี่ปุ่นให้โจมตีเพิร์ลฮาเบอร์เพื่อดึงอำนาจจากประชาชนอเมริกัยนเข้าร่วมสงครามได้สำเร็จ เพราะอเมริกามีทรัพยากรมากกว่า แถมไม่ใช่สนามรบดังนั้นจึงไม่บอบช้ำรบอย่างไรก็ชนะ นี่คือจุดแข็งที่อเมริกาได้วิเคราะห์แล้วตั้งแต่ต้น



    </TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff>
    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff></TD><TD class=bottombox>ผู้ส่ง อาโน</TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>
     
  7. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ใครยังหลงทะเลาะกันเองอยู่! กรุณาดูนี่!

    [​IMG]


    [​IMG]

    "ทุกคนบอกทำเพื่อชาติ"

    "สุดท้ายก็ทำเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น"

    แล้วมันจะยังมีความเป็นชาติเหลืออีกหรือ??
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9818239.jpg
      9818239.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69 KB
      เปิดดู:
      996
    • IMG_0004.jpg
      IMG_0004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.6 KB
      เปิดดู:
      127
    • IMG_0078-2.jpg
      IMG_0078-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.7 KB
      เปิดดู:
      139
    • 1(106).jpg
      1(106).jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.3 KB
      เปิดดู:
      1,039
    • IMG_9851.jpg
      IMG_9851.jpg
      ขนาดไฟล์:
      157.7 KB
      เปิดดู:
      137
    • Taksin-39.jpg
      Taksin-39.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.8 KB
      เปิดดู:
      176
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  8. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    วิเคราะห์ ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)

    ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) คือ เรื่องเล่า บทความที่สร้างขึ้นมาจากความคิดของคน หรือกลุ่มคน โดยนำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้นอื่นๆเพื่อให้ประโยชน์/ให้โทษต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด หรืออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลักษณะของทฤษฎีสมคบคิดโดยทั่วไปมีข้อเท็จจริงประกอบอยู่เพียงเล็กน้อย หรือส่วนหนึ่ง เพียงเพื่อเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือว่ามีหลักฐานสนับสนุนที่ดูเหมือนเกี่ยวข้องกันเท่านั้น อาจมีเหตุผลสนับสนุนจากความเชื่อส่วนบุคคล ความเชื่อเกี่ยวกับทางศาสนา การเมือง หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างไป เรื่องเหล่านี้นักวิชาการจะไม่ใช้อ้างอิง ผู้อ่านควรใช้วิจารณญานก่อนที่จะเชื่อเรื่องนั้นๆ ประเทศสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานที่จะดูแล และกลั่นกรองเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ
    โดยกำหนดเป้าหมายคำตอบไว้แล้ว พยายามหาเหตุผลต่างๆมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อสนับสนุนคำตอบให้ทุกคนเชื่อว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด


    --------------------------------------------------------------------------------


    ตามหลักการ การอนุมาน ในทางตรรกะวิทยานั้น วิธีที่ถูกต้องคือ อนุมาน(อ้างอิง) จาก \"เหตุ\" ไปหา \"ผล\"

    ตัวอย่างเช่น ความจริงคือ ฝนตกแล้วถนนเปียก

    ถ้าเรา อนุมานจาก \"เหตุ\" ไปหา \"ผล\" คือ ถ้า \"ฝนตก\" เราเชื่อได้อย่างแน่นอนว่า \"ถนนเปียก\"

    แต่ถ้าเราอนุมานในหลักการที่ผิด คือ จาก \"ผล\" ไปหา \"เหตุ\" เราจะได้ประโยคที่ว่า
    เราเห็น \"ถนนเปียก\" แสดงว่า \"ฝน\" เพิ่งจะตกไป ซึ่งผิดหลักการอย่างมากมาย
    เพราะ \"ถนนเปียก\" ที่เราเห็นนั้น อาจจะไม่ได้เกิดจาก \"ฝนตก\" ก็ได้

    ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)
    นั้น เป็นการอนุมาน จาก \"ผล\" ไปหา \"เหตุ\" ซึ่งในทางหลักการมันผิด
    (แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องมันไม่ใช่เรื่องจริง)
    คือการกำหนด \"คำตอบ\" ไว้แล้ว ค่อยหา \"เหตุผล\" มารองรับ
    และเรื่องราวส่วนใหญ่ที่ใช้ \"ทฤษฎี\" นี้ในการวิเคราะห์มักจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น น่าคิด น่าสนใจ

    ผู้ส่ง สังคม email url ip 125.24.158.218 ส่งเมื่อ 12 ก.ย.51 เวลา 07:25


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width=800 align=center><TBODY><FORM name=mainfrm action=msgdel.php method=post><TR bgColor=#ffffff><TD class="midbox style6 style7">วิเคราะห์หน่อยครับว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)หรือปล่าว .... อิอิ

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=mscc2&topic=1208



    </TD><TD width="10%" bgColor=#ffffff>

    </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD align=right width="10%" bgColor=#ffffff></TD><TD class=bottombox>ผู้ส่ง สุมาอี้ email url ip 203.149.33.6 ตอบเมื่อ 12 ก.ย.51 เวลา 09:31</TD></TR></FORM></TBODY></TABLE>


    กระแสนายกสมัครกลับมาเป็นนายก
    เป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติทำลายอำนาจตุลาการ จริงหรือไม่ ?

    ถึงดูจะไม่ผิดกฏหมาย (ไม่แน่ใจว่าผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๑ หรือไม่) แต่ที่แน่ๆ
    ผิดหลักจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง
    ซึ่งผู้นำที่จริงใจในการบริหารประเทศจะต้องไม่ทำ เพราะหากไม่มีตรงจุดนี้ก็จะไร้ความชอบธรรมในการปกครองต่อไป

    แต่ทำไมต้องยอมเปลืองตัว เพื่อทำหน้าที่เปิดเบี้ยที่พร้อมจะเสียไป เพื่อรุกขุนคือสถาบันหลักของประเทศไทยใช่หรือไม่ ? เพราะยังไงเบี้ยสร้างขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ พร้อมทั้งยังใช้สปายท้องถิ่นทำตามคำสั่งอยู่อีกมาก

    ท่านเห็นไหมทำไมต้องทำ วิเคราะห์หน่อยครับว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)หรือปล่าว .... อิอิ

    การกระทำเช่นนี้มีวัตถุประสงค์ทำลายอำนาจอธิปไตย ของไทยอย่างใช่หรือไม่ ?

    โดยเฉพาะอำนาจตุลาการที่เหลือเพียงสิ่งเดียว หากม่มีความน่าเชื่อถือสังคมย่อมวิกฤติโดยโดยต่างชาติกระทำผ่านรัฐบาล (สปายท้องถิ่น)โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติเป็นผู้กระทำต่ออำนาจตุลาการ จริงหรือไม่ ?

    พธม.ไม่ยอมทำตามคำสั่งศาลก็คือการทำลายอำนาจตุลาการ จริงหรือไม่ ?

    และอำนาจตุลากการทำในนามของพระองค์ท่าน
    ที่นับเป็นหนึ่งในสถาบันหลัก ใช่หรือไม่ ?

    เมื่อสถาบันหลักอ่อนแอ โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ย่อมกระทบสถาบันศาสนา
    และชาติในที่สุด ใช่หรือไม่ ?

    โดยที่ต่างชาติใช้สปายท้องถิ่น แบ่งข้างประชาชนมาปะทะกัน
    เกิดความแตกแยกจนอาจจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง ใช่หรือไม่ ?

    ในที่สุดฝ่ายใดสามารถแสวงประโยชน์จากสถานการณ์วิกฤติดังกล่าวได้ย่อมได้ครอบครองอำนาจ ในท้ายที่สุด แล้วใครล่ะ ใช่สปายท้องถิ่นกลุ่มเดิมใช่หรือไม่ ?

    แล้วประเทศไทย สังคมไทย จะเหลืออะไร ?

    ผิดมาตรา ๑ ในกฏหมายรัฐธรรมนูญ

    หมวด ๑๓

    จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ

    มาตรา ๒๗๙ มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กำหนดขึ้น

    มาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีกลไก และระบบในการดำเนินงานเพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกำหนดขั้นตอนการลงโทษตามความร้ายแรงแห่งการกระทำ

    การฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัย ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตาม ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ สภาท้องถื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี และหากเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ

    โดยถือเป็นเหตุที่จะถูกถอดถอนจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๗๐

    ดังนั้น ถ้าตั้งมาใหม่ ก็ถอดใหม่ ให้ผู้ตรวจการถอด เพราะขาดจริยธรรมเนื่องจาก ศาลสั่งแล้วยังไม่ทำตาม

    คำวินิจฉัยของศาลฯ ก็ชี้ชัด ว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ทำผิดต่อเจตนารมณ์ของ
    กฏหมายรัฐธรรมนูญ

    ผมอยากให้มองภาพของพันธมิตร และ รัฐบาล ที่กำลัง
    ต่อสู้กันอยู่ออกเป็น ๒ ภาพที่แตกต่างกันคือ
    - ภาพที่ ๑ เป็นภาพที่มองว่า "พันธมิตร กับ รัฐบาล
    เป็นคนละพวกกัน" ซึ่งมองว่า ๒ ฝ่ายนี้เป็นศัตรูกัน
    จริง ๆ ก็จะเห็นภาพอีกภาพหนึ่ง
    - ภาพที่ ๒ เป็นภาพที่มองว่า " พันธมิตร กับ รัฐบาล
    เป็นพวกเดียวกัน " แต่แสดงให้ประชาชนชาวไทย
    มองเห็นว่า เป็นคนละพวก ถ้ามองอย่างนี้จะมอง
    เห็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะได้แง่คิดต่าง ๆ มากมาย


    ถ้ามองว่า "พันธมิตร กับ รัฐบาล เป็นพวกเดียวกัน"
    จะเห็นอะไรบ้าง
    สิ่งที่จะเห็นก็คือ ....การมุ่งที่จะล้มล้างกันชนิดที่ไม่
    มีการถอย และไม่ไว้หน้าใครกันทั้งสิ้น.....เรามองเห็น
    ภาพนี้กันเป็นจริงเป็นจังหรือไม่...........................
    แน่นอน เหตุผลที่สนับสนุนเรื่องนี้ได้ก็สามารถ
    นำมากล่าวได้ เช่น
    จำลอง กับ สมัคร ย่อมไม่เป็นพวกเดียวกันแน่นอน
    จำลอง ก็มุ่งที่จะโค่นสมัคร สมัคร ก็มุ่งที่จะโค่นจำลอง
    ปชป. ก็มุ่งจะโค่นรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมัครก็มุ่งที่
    จะจัดการ ปชป. อันนี้ก็เห็นชัด .....ซึ่งเหตุผลเชิงประ
    จักษ์เช่นนี้สามารถที่จะกล่าวได้ว่า สองฝ่าย
    เป็นฝ่ายตรงข้ามกันแน่นอน
    แต่.....................................................................
    .....................................................................
    .....................................................................
    เรื่องกลยุทธ์ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและแยบยล ยากที่จะ
    มองชั้นเดียวและเห็นได้ และไม่สามารถที่จะสรุป
    ผลออกมาได้ภายใน วันหรือสองวัน แต่ต้องใช้เวลา
    ในการพิสูจน์ยาวนานทีเดียว ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

    โดย Special Force [12 ก.ย. 2551 , 15:55:55 น.] ( IP = 125.24.168.82 : : )

    --------------------------------------------------------------------

    อธิบายได้ทั้งหมดคือ

    หลักการแสวงหาความรู้และธรรมชาติของการวิจัย

    การวิจัยนั้นถือได้ว่า มีความสำคัญอย่างมากในทุกสาขาวิชา และอาชีพ ที่มีขึ้น หรือเกิดขึ้นในโลก จะเห็นได้ว่า สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ได้บรรจุวิธีวิจัยเข้าไปในหลักสูตรในทุกระดับชั้นของ การศึกษา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท จนกระทั่งถึงระดับปริญญาเอก นอกเหนือจากนั้นยังมีสถาบันวิจัยเฉพาะ สาขาเกิดขึ้นอย่างมากมาย ตลอดจนหน่วยงานเอกชน ทั้งที่แสวงหากำไร และไม่มีกำไร ที่มีการจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ ซึ่งเราอาจกล่าวรวม ๆ ได้ว่า การวิจัยมีส่วนช่วยพัฒนาหน่วยงานเล็ก ๆ ไปจนถึงระดับ ประเทศในหลาย ๆ ด้าน ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์

    การที่มนุษย์ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดอยู่ในสังคม และสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ มนุษย์ส่วนมาก หรือเกือบทั้งหมดใช้สมองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มาตลอดเวลา นับตั้งแต่มนุษย์มีวิวัฒนาการ มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็น และพยายามแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้มนุษย์ได้รับความรู้ใหม่ ๆ และสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความรู้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เกิดขึ้นจากการ เสาะแสวงหาทั้งสิ้น โดยเริ่มต้นจากวิธีการที่ไม่มีแบบแผน และระบบ ใช้อารมณ์ และความรู้สึก และไม่มีเหตุผล พัฒนาขึ้นมาอย่างช้า ๆ เรื่อย ๆ จนเป็นวิธีการที่มีระบบแบบแผนที่สมบูรณ์ มีการใช้ความคิด และการใช้เหตุผล และเป็นวิธีการที่ได้รับการพัฒนามาใช้ในงานวิจัยในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีการที่สามารถทำให้มนุษย์ร่วม สังคมยอมรับในการทำให้เกิดความรู้ หรือคำตอบที่เชื่อถือได้ ซึ่งวิวัฒนาการของมนุษย์ในการหาความรู้ ความจริงมีวิวัฒนาการดังต่อไปนี้
    1. วิธีการโบราณ มนุษย์ในสมัยโบราณนั้น มีวิธีการหาความรู้หลายวิธี ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

    ? โดยความบังเอิญ (By Chance) ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ เช่น การค้นพบไฟ

    หรือประโยชน์จากการใช้ไฟที่เกิด ขึ้นจากฟ้าผ่า การค้นพบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ซึ่งผลที่ได้รับกลับทำให้มนุษย์ได้ความรู้ในอีกเรื่องหนึ่ง เช่น การค้นพบไฟทำให้ ร่างกายอบอุ่นขึ้น ไฟสามารถใช้เป็นพลังงานความร้อนที่ทำให้ของสุก เป็นต้น

    1.2 โดยขนบธรรมเนียมประเพณี (By Tradition) ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับจากการสืบทอดปฎิบัติต่อกันมาจนเป็นประเพณี เช่น การ แต่งกาย การทำความเคารพ การเขียนสีบนใบหน้า การบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ บนผนัง เพื่อเล่าเรื่องราว
    1.3 โดยผู้มีอำนาจ (By Authority) เพราะผู้มีอำนาจถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม เมื่อมีคนมีปัญหา หรืออยากรู้สิ่ง ต่าง ๆ ก็จะไปสอบถาม เมื่อได้รับคำตอบก็จะเชื่อตามนั้น เช่น พระ หมอผี หมอดู เป็นต้น
    1.4 โดยประสบการณ์เฉพาะตน (By Personal Experience) เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้รับ หรือผ่านมาเป็นเครื่องสอน เช่น ปัญหาใดที่เคยใช้วิธีการใดแก้ไข แล้วได้ผลดี ก็จะใช้ความรู้เหล่านั้น เช่น การทำสีธรรมชาติได้จากแหล่งดินนั้น ๆ ใช้ใบไม้ และดอกไม้ นั้น ๆ มาบด หรือสกัดเพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ
    1.5 โดยการลองผิดลองถูก (By Trial and Error) เป็นความรู้ที่ได้รับจากการลองทำดู ถ้าวิธีไหนดีก็จะจดจำไว้ ถ้าวิธีไหนไม่ดีก็จะทิ้งไป
    1.6 โดยผู้เชี่ยวชาญ (By Expert) เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกรณี เช่น อยากรู้เรื่องการก่อกองไฟ ก็ไปเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ในการก่อไฟว่าทำได้อย่างไร หรืออยากเรียนรู้เรื่องการทำอาวุธก็ไปเรียนรู้จากพราน เป็นต้น

    ซึ่งวิธีการทั้ง 6 อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเป็นวิธีการที่ไม่มีระเบียบแบบแผน แต่ก็สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้ ซึ่งบางครั้งความรู้ที่ได้รับนั้น อาจเชื่อถือไม่ได้ก็ตาม

    2. วิธีอนุมาน (Deductive Method) วิธีการอนุมานนี้ เกิดขึ้นจากการนำเอาหลักการของเหตุผลมาใช้ในการหาความรู้ความจริง วิธีนี้เป็นวิธีการเริ่มต้น ของการหาความรู้ความจริง โดยใช้เหตุผล โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเหตุ และอาศัยความสัมพันธ์ของเหตุ 2 ประการ มาสรุปเป็นผล สามารถ เขียนเป็น Model ได้ดังนี้ เหตุใหญ่ (Major Course) เป็นข้อเท็จจริงใหญ่ ๆ ที่บอกเรื่องราวทั้งหมดเหตุย่อย (Minor Course) ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะกรณี สรุป (Conclusion) เป็นผลที่ได้รับจากความสัมพันธ์ของเหตุใหญ่ และเหตุย่อย ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่ต้องการ
    ตัวอย่าง วิธีอนุมาน
    เหตุใหญ่ : นาย ก . เกิดขึ้นในตระกูลศิลปิน
    เหตุย่อย : นาย ก . ชอบวาดเขียน หรือชอบเล่นดนตรีมาก
    ข้อสรุป : นาย ก . จะต้องเป็นศิลปิน

    จะเห็นได้ว่า ข้อสรุปที่ได้นั้น ความเที่ยงตรงขึ้นอยู่กับความเที่ยงตรงของเหตุใหญ่ และเหตุย่อยเป็นสำคัญ ถ้าเหตุใหญ่มีความเป็นจริงอยู่ และเหตุย่อยก็มีความจริงอยู่มากด้วย ข้อสรุปนั้นก็จะมีความน่าเชื่อถือมาก และมีความเป็นจริงได้มากด้วย วิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของการหาความรู้อย่างมีแบบแผน ผู้วิจัยสามารถนำวิธีการนี้มาตั้งเป็นสมมุติฐานในการวิจัยได้
    ในการหาความรู้แบบอนุมานนั้น มีข้อบกพร่อง 2 ประการคือ
    1 ) การใช้วิธีการนั้นจะไม่ทำให้ค้นพบความรู้ใหม่ เพราะข้อสรุปจำกัดอยู่ในขอบต่อของเหตุใหญ่
    2) การใช้วิธีพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุใหญ่ และเหตุย่อยไม่แจ่มชัด และไม่เป็นจริงเสมอไป จากข้อสรุปตามตัวอย่างในวิธีอนุมานนั้น นาย ก . จะเป็นวิศกรก็ได้ นาย ก . อาจเก่งคำนวณ และวิทยาศาสตร์ด้วย ทำให้นาย ก . ไม่อยากเป็นศิลปิน
    ด้วยเหตุผลนี้เอง จึงมีผู้คิดค้นวิธีการที่เรียกว่าอุปมานมาใช้ในการหาผลสรุป โดยเริ่มจากการแก้ข้อมูลย่อย ๆ หลาย ๆ กรณี ซึ่งอาจใช้วิธีการต่าง หลายวิธี เช่น การสังเกต การสืบค้น การใช้เครื่องมือตามความเหมาะสม แล้วนำข้อมูลย่อยมาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ แล้วจึงสรุปผลออกมา เรียกว่าวิธีอุปมาน

    3. วิธีอุปมาน (Inductive Method) เป็นการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงย่อยๆก่อน แล้วมาจำแนกตามลักษณะและหาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงตามลักษณะต่างๆ จึงค่อยแปลความหมายและสรุปผล

    ตัวอย่าง
    เก็บข้อมูล โดยการสังเกต : นาย ก . ชอบวาดรูปมาก
    เก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์ : นาย ก . ไม่ชอบคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
    เก็บข้อมูล โดยการสืบค้น : นาย ก . สืบเชื้อสายจากศิลปินใหญ่สมัยกรุงเก่า
    เก็บข้อมูลโดยการใช้เครื่องมือ : นาย ก . ทำวิชาวาดเขียนได้ดีแต่อ่อนทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
    วิเคราะห์ข้อมูล : นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณา และวิเคราะห์สรุปผล : นาย ก . เป็นศิลปินวาดภาพผู้ยิ่งใหญ่จะเห็นได้ว่า วิธีการอนุมานนี้ ผลสรุปขึ้นอยู่กับการเก็บข้อมูล ถ้าข้อมูลที่ได้รับความเที่ยงตรง และเป็นตัวแทนที่ดี ข้อสรุปก็จะมีความน่าเชื่อถือ และเที่ยงตรงมาก วิธีการ อุปมานนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 วิธีใหญ่ ๆ ดังนี้

    1) อุปมานแบบสมบูรณ์ (Perfect Induction) คือ การเก็บข้อมูลจากทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งกลุ่มประชากร องค์กร และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด แล้วนำมาหาความสัมพันธ์จากข้อมูลย่อย แปลความหมายแล้ว จึงสรุปวิธีการที่ทำให้ได้ความรู้ความจริงที่เชื่อถือได้ เพราะเก็บข้อมูลจาก ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในทางปฎิบัติทำได้ยาก และทำไม่ได้ทุกกรณี ทำให้ผู้วิจัยจะต้องใช้มากทั้งเวลา กาย และทุน
    2) อุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect Induction) เป็นการศึกษาโดยใช้การรวบรวมข้อมูลบางส่วนของประชากร แล้วจึงสรุปผลโดยการอนุมาน เอาว่า ความรู้หรือข้อมูลจากบางส่วนของประชากรนั้น ๆ สามารถใช้แทนกลุ่มประชากรทั้งหมดได้ จึงสรุปผลการใช้วิธีการนี้ ความสำคัญอยู่ที่การ เลือกกลุ่มตัวแทนประชากร ที่ใช้ในการศึกษานั้น จะต้องเลือกลุ่มประชากรที่ดี วิธีการนี้มีข้อดีคือ เหมาะที่จะนำไปใช้ในทางปฎิบัติ เนื่องจาก สะดวก ประหยัด แรงงาน เวลา และทุนทรัพย์

    4. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรืออนุมาน และอุปมาน วิธีการนี้เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาลล์

    ดาวิน กล่าวว่า การหาข้อ สรุปที่เชื่อถือได้นั้น จะต้องใช้วิธีการอุปมาน และอนุมานมาใช้ร่วมกัน ต่อมาจอนห์ ดิวอี้ ได้พัฒนาต่อมาเป็นวิธีการ แบบ สะท้อนความคิด และไตร่ตรองอย่างรอบคอบ (Reflective Thinking) ซึ่งถือเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
    4.1 ขั้นนิยามปัญหา (Problem)
    4.2 ขั้นตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis)

    4.3 ขั้นเก็บข้อมูล (Data Collection)
    4.4 ขั้นตอนวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
    4.5 ขั้นสรุปผล (Conclusion)

    4.1 ขั้นนิยามปัญหา (Problem) เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นจากความสงสัย ที่ไม่อาจอธิบายสิ่งที่ตน

    อยากรู้ได้ หรือไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ปรากฎขึ้น
    4.2 ขั้นตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ศึกษาพยายามทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น และพยายามจำกัด ขอบเขตของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน โดยอาศัยการสังเกต การสืบค้นจากทฤษฎี และสิ่งที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จากนั้นจึงตั้งเป็นสมมุติฐาน ซึ่งเป็นการลองคิดหาคำตอบที่ดีที่สุด เพื่อตอบปัญหาที่ตั้งไว้
    4.3 ขั้นเก็บข้อมูล (Data Collection) เป็นขั้นตอนศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ศึกษาโดยการเก็บข้อมูล ที่จำเป็นจากประสบการณ์ เอกสาร ทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคิดรอบคอบ เพื่อนำไปใช้ตรวจสอบสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
    4.4 ขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) เป็นการลงมือปฎิบัติการเพื่อทดสอบสมมุติฐาน โดยวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปโดย ใช้การวิเคราะห์แบบมีเหตุผล
    4.5 ขั้นตอนการสรุปผล (Conclusion) คือ การตอบคำถาม และสรุปสิ่งที่ได้ศึกษาคำตอบต้องเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ เนื่องจากมีกระบวนการหา คำตอบที่มีระบบแบบแผน มีการใช้เหตุผล

    5. วิธีการของมิลล์ (Mill's Method) วิธีการนี้เป็นการหาคำตอบโดยใช้เหตุผลทางตรรกศาสตร์ นอกจากจะใช้เหตุผล ด้วยวิธีอุปมาน และอนุมาน และวิทยาศาสตร์ วิธีการนี้มีหลักการของความสัมพันธ์ เชิงเหตุผล 5 ประการ
    5.1 วิธีของความสอดคล้อง (Agreement) หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมันตั้งแต่ 2 อย่าง และสิ่ง 2 อย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุ หรือผลของเหตุการณ์นั้น เช่น หลังจากที่นิสิตทุกคนในคณะศิลปกรรมได้ศึกษาวิชาศิลปะไทย นิสิตทำงานออกแบบทุก ชิ้นงานเป็นงาน ที่เป็นแบบไทยอย่างชัดเจน ซึ่งอาจสรุปว่า วิชาไทยนั้นมีอิทธิพลต่อการออกแบบนิสิต
    5.2 วิธีของความแตกต่าง (Difference) หมายถึงสิ่งแตกต่าง 2 สิ่ง เกิดขึ้นในเรื่องที่ต่างกัน ทำให้ผลแตกต่างกัน เช่น นิสิต 2 คน คนหนึ่งเรียนพื้นฐานวิชาวาดเส้นมามาก อีกคนหนึ่งมิได้เรียนมาเลย ก็อาจสรุปได้ว่า คนที่เรียนพื้นฐานวิชา วาดเส้นมามากจะมีพื้นฐานที่ดีกว่าอีกคนที่ไม่เคยเรียนมาเลยก็ได้
    5.3 วิธีของความสอดคล้อง และไม่สอดคล้อง (Agreement and Disagreement) คือ การผสมผสานกันระหว่าง วิธีที่ 1 และ 2 เช่น ในการออกแบบนั้น แบ่งนิสิตออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียนวิชา Creative Design ซึ่งเป็นพื้นฐาน ของการออกแบบที่สำคัญ ส่วนอีกกลุ่มนั้นไม่ได้เรียน Creative Design เมื่อให้นิสิตทั้ง 2 กลุ่มออกแบบงาน 2 มิติ กลุ่มที่เรียน Creative Design นั้นทำได้ดีกว่ามาก จึงสรุปได้ว่าวิชา Creative Design นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับการเรียนการออกแบบ

    5.4 วิธีของส่วนที่เหลือ (Residue) วิธีการนี้จะพิจารณาเงื่อนไขบางข้อที่น่าสงสัยว่าจะมีความสัมพันธ์กับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วพยายามขจัดเงื่อนไขอื่นๆออกไปให้หมด จนเหลือเงื่อนไขสุดท้าย ถ้าหากยังมีเงื่อนไขสุดท้ายแล้วยังมีปรากฎการณ์นั้นๆเกิดขึ้น ก็สรุปได้ว่าเงื่อนไขสุดท้ายเป็นมูลเหตุหรือเกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นจากการหาสาเหตุของการที่สัตว์ในสวนสัตว์เกิดไข้หวัดนก

    สิงโต กิน น้ำเปล่า ไก่ เนื้อวัว ปลา ตาย

    เสือ กินน้ำเปล่า ไก่ เนื้อวัว ตาย

    จระเข้ กิน ปลา กระดูกไก่ ตาย

    จะเห็นว่าไก่ เป็นตัวร่วมของทุกการตายของทุกตัว จึงสรุปได้ว่าไก่เป็นสาเหตุการตายด้วยโรคไข้หวัดนก

    5.5 วิธีการแปรผันของตัวแปรร่วมกัน (Concomitant Variation) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการ เปลี่ยนแปลงของอีกสิ่งหนึ่งในสถานภาพเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของอีกสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกัน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน เช่น การเกิดของเด็ก ขึ้นอยู่กับจำนวนคู่แต่งงาน ถ้าแต่งงานมากเด็กก็เกิดมาก

    ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัย (Research Assumption) การวิจัยนั้นความจริงเป็นขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถ นำมาประยุกต์ ใช้ทางมนุษย์ศาสตร์ได้ดี ดังนั้น การยอมรับข้อตกลงเบื้องต้น (Assumption) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ข้อตกลงเบื้องต้นนั้นแบ่งออกได้ดังนี้

    1. ข้อตกลงที่เกี่ยวกับรูปแบบกายภาพทางธรรมชาติ (Assumption of Uniformity of Nature) หมายถึง ข้อตกลงของปรากฎการณ์ ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมีระบบ มีเหตุผล และเงื่อนไขที่ก่อให้เกิด มีแบบฉบับตายตัวที่เกิดเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็สามารถเกิดขึ้นอีกได้ ซึ่งข้อตกลงนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ข้อย่อย ดังนี้

    ? ชนิดของธรรมชาติ (Postulate of Natural Kinds) หมายถึงธรรมชาติมี โครงสร้าง คุณสมบัติ และจดหมายของตัวเอง เช่น การจัดหมวดหมู่ของ สัตว์ พืช ดิน น้ำ ไว้เป็นกลุ่มเป็นพวก

    ? ความสม่ำเสมอ (Postulate of Constancy) หมายถึงปรากฎการณ์ตาม ธรรมชาติ จะคุมคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะอย่าง เช่น น้ำจะแข็งเมื่ออากาศเย็นจัด แต่ถ้าอากาศอุ่นขึ้น น้ำแข็งก็จะละลาย เป็นน้ำ

    1.3 ความเป็นเหตุเป็นผล (Determinism) หมายถึง ปรากฎการณ์ทั้งหลายใน ธรรมชาติมีสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น และผลก็จะเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น เช่น ถ้าอยากวาดภาพสีน้ำ หากเรามีแต่น้ำไม่มีสีก็ไม่สามารถ วาดภาพได้

    2. ข้อตกลงที่เกี่ยวกับขบวนการทางจิตวิทยา (Assumption Concerning the Psychological Process) ข้อตกลงนี้หมายถึง การที่บุคคลได้รับความรู้ต่าง ๆ โดยอาศัยจิตวิทยา 3 ประการ ได้แก่ การรับรู้ (Perceiving) การจำ (Remembering) และการใช้เหตุผล (Reasoning) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ข้อ ได้แก่


    2.1 ความเชื่อถือของการรับรู้ (Postulate of Reliability of Percieving) หมายถึง การรับรู้ของบุคคลต้องเชื่อถือได้ และมีความแน่นอน หรือมีความเที่ยงตรง

    2.2 ความเชื่อถือของการจำ (Postulate of Reliability of Remembering) หมายถึงว่า การจำต้องมีความน่าเชื่อถือว่าถูกต้อง ซึ่งการจำนี้ทำได้โดย การจดบันทึก หรือใช้เอกสาร เทปบันทึก หลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ต้องทำ อย่างถูกต้อง

    2.3 ความเชื่อถือของการใช้เหตุผล (Postuiate of Reliability of Reasoning) หมายถึงการใช้เหตุผลในการหาความรู้ ต้องมีความเชื่อมั่นว่า ได้มาอย่าง ถูกต้อง มีระบบความคิดที่เป็นระบบ และสามารถนำมาใช้เป็นทฤษฎี หรือกฎเกณฑ์ที่เชื่อถือได้

    ความรู้จริง และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

    ความรู้จริง และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องนั่นมีอยู่มาก และเกี่ยวข้องกับการทำวิจัยทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ทำวิจัย จะต้องมีความรู้ความเข้าใจใน เรื่องที่จะทำ และรู้ถึงทฤษฎีที่ใช้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องของการวิจัยต่อไป ความรู้จริง หมายถึงสิ่งที่มนุษย์พยายาม เสาะแสวงหา เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ และสามารถนำไปใช้ได้ในโอกาสต่อไป ความรู้นี้มีลักษณะสำคัญคือ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้อง แน่นอนคงตัวเสมอไป จะดำรงอยู่ในสภาพนั้น ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปรากฎการณ์ หรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ความรู้จริง เหล่านั้นก็อาจเปลี่ยนแปลงได้
    ความรู้จริงแบ่งออกได้เป็น 2 ประการใหญ่ ๆ คือ

    1. ความรู้จริงส่วนบุคคล (Personal Fact) เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะเป็นการรับรู้เฉพาะตัว ความรู้จริงใน ส่วนนี้ แต่ละบุคคลจะรับรู้ไม่ตรงกัน และมักอยู่ในรูปนามธรรม เช่น ความฝัน ความกลัว ความเชื่อ ซึ่งความจริงประเภทนี้ตรวจสอบได้ยาก

    2. ความรู้จริงที่เป็นสาธารณะ (Public Fact) เป็นความจริงที่คนกลุ่มหนึ่งรับรู้ได้ตรงกัน มักเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และรับรู้ได้โดยประสาทสัมผัสโดยตรง เช่น ม้ามี 4 ขา ช้างมีงวง และงา ซึ่งความจริงประเภทนี้ตรวจสอบได้ง่าย
    ซึ่งความรู้จริงทั้ง 2 ประเภทนี้ จะพบเห็นได้มากในงานวิจัย ทั้งทางวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ส่วนความรู้จริงส่วนบุคคลนี้ จะพบมากในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์


    ความหมายของทฤษฎี
    ทฤษฎี หมายถึงข้อกำหนดที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของโครงสร้าง ความคิดรวบยอด และตัว

    แปรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถอธิบาย และคาดการณ์ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น การเกิดทฤษฎีต่าง ๆ นั้น เกิดขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าทดลองกับข้อมูลเป็นเวลานาน จนได้ความรู้จริง ที่เชื่อถือได้ ทฤษฎีสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ สภาพ และตามกาลเวลา หรือบางครั้งในกรณีที่มีผู้สามารถนำหลักฐานมาพิสูจน์ลบล้างได้
    ประโยชน์ของทฤษฎี และความรู้จริง
    1. ช่วยเป็นเครื่องนำทางในการค้นหาความรู้จริงใหม่
    2. ช่วยสรุปความรู้จริงให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการนำไปใช้
    3. ช่วยในการหาส่วนที่ยังบกพร่องให้ครบถ้วน
    4. ความรู้จริงช่วยสร้างทฤษฎีเพิ่มขึ้น
    5. ความรู้จริงช่วยในการปรับปรุงทฤษฎีเก่าให้เหมาะสม
    6. ความรู้จริงช่วยบอกความถูกต้องของทฤษฎีได้

    ประโยชน์ของทฤษฎีต่อการวิจัย
    1. ทฤษฎีช่วยในการตั้งสมมุติฐาน
    2. ทฤษฎีช่วยบอกว่าปัญหาที่ศึกษานั้น มีข้อมูลอะไรบ้าง แหล่งใด
    3. ทฤษฎีช่วยกำหนดแนวทางในการออกแบบงานวิจัย
    4. ทฤษฎีช่วยทำให้ทราบขั้นตอนในการจัดทำข้อมูล
    5. ทฤษฎีช่วยเป็นแนวทางในการสรุป
    6. ทฤษฎีช่วยในการนำความรู้จริงที่ได้ศึกษาไปใช้อ้างอิง และอธิบายต่าง ๆ
    7. ทฤษฎีช่วยในการพยากรณ์ปรากฎการณ์ต่าง ๆ

    ความหมายของการวิจัย
    งานวิจัย หมายถึงการเสาะแสวงหาความรู้ที่เชื่อถือได้ โดยใช้วิธีการใช้เหตุผลมีวิธีการ และแบบแผนขั้นตอนที่ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบที่สมบูรณ์ เพื่อให้ได้ผลสรุป และองค์ความรู้
    วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
    การวิจัยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ดังนี้
    1. เพื่อแก้ไขปัญหา (Problem Soiving Research)

    2. เพื่อสร้างทฤษฎี (Theory - Development Research) เนื่องจากทฤษฎีเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถนำมา อ้างอิง (Generalization) อธิบาย (Explanation) ทำนาย (Prediction) ควบคุม (Control) ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี มนุษย์จึงจำต้องสร้างทฤษฎีใหม่ขึ้น
    3. เพื่อพิสูจน์ทฤษฎี ( Theory Testing Research) เนื่องจากทฤษฎีนั้นมีอยู่มากมาย และอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ทฤษฎี และความรู้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานภาพ กาลเวลา ดังนั้นมนุษย์จึงจะต้องทำการศึกษา และตรวจสอบ ทฤษฎีต่าง ๆ เหล่านั้น ว่ายังเหมาสมหรือไม่
    บทบาทของการวิจัย

    ผลของการวิจัยจะเอื้อประโยชน์ให้มนุษย์เป็นอย่างมากทั้งทางทฤษฎี และปฎิบัติในทางวิทยาศาสตร์นั้น ทำให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติ มากขึ้น สามารถควบคุม และพยากรณ์สิ่งต่าง ๆ ล่วงหน้าได้ หรือสามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ได้ ในทางสังคมศาสตร์ และ มนุษย์ศาสตร์นั้น ผลของการวิจัยทำให้มนุษย์มีความเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยกันดีขึ้น ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทำให้สามารถ ปรับตัวไดี้ดขึ้น และนอกจากนั้นงานวิจัยยังทำให้เกิดวิชาหรือวิทยาการใหม่ ๆ สามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีระบบ ผลของงาน วิจัยยังสามารถทำให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือ การวิจัยมีส่วนช่วย ในการพัฒนาหน่วยงานประเทศชาติไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
    ลักษณะ และธรรมชาติของการวิจัย
    ลักษณะ และธรรมชาติของงานวิจัยจึงมีดังนี้
    1. การวิจัยต้องมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เพื่อการนำไปสู่การสร้างกฎเกณฑ์ และทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการอธิบาย อ้างอิง ทำนาย หรือควบคุม
    2. เป็นการกระทำอย่างมีระบบ สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างมีเหตุผลอันจะไปหาข้อสรุปที่เชื่อถือได้
    3. เป็นการตรวจสอบปัญหา
    4. ผู้ทำวิจัยต้องมีความรู้ และความสามารถในเรื่องนั้น ๆ มองเห็นภาพของปัญหาชัดเจน ต้องมีการศึกษาทั้งจากเอกสาร และสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถเห็นแนวทางในการแก้ปัญหานั้น ๆ ในทุกแง่ทุกมุม มีใครที่ศึกษาเรื่องเหล่านั้นบ้าง มีข้อค้นพบอะไร มีตัวแปร อะไรบ้าง มีการเก็บข้อมูลอย่างไร วิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร จึงจะได้คำตอบที่เหมาะสม
    5. เป็นการรวบรวมข้อมูลใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งโดยเฉพาะ ถ้ามีข้อมูลอยู่แล้วก็ต้องค้นหาวัตถุประสงค์ใหม่ การเขียนขึ้น จากของเดิมไม่ถือว่าเป็นงานวิจัย
    6. การวิจัยต้องอาศัยข้อมูลที่มีความเที่ยงตรง และเชื่อถือได้ ดังนั้นการวิจัยจึงจะต้องจัดระบบมีการออกแบบที่ดี มีอุปกรณ์การเก็บเครื่องมือ ที่มีคุณภาพ เพื่อความน่าเชื่อถือ
    7. การวิจัย เป็นกระบวนการหาความรู้ที่ตั้งอยู่บนฐานของการใช้เหตุผล ทุกขั้นตอนต้องสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล เพื่อให้ข้อสรุปที่มี ความน่าเชื่อถือ
    8. ต้องมีการบันทึก และรายงานผลอย่างละเอียด และจะต้องสื่อสารได้อย่างชัดเจน
    9. ผู้ทำวิจัยต้องมีความอดทน และความพากเพียร
    10. การทำงานวิจัยบางชิ้นต้องอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และกล้าตัดสินใจ เพราะงานวิจัยบางชิ้นอาจขัดกับความเชื่อของคนทั่วไป และประเพณี หรือวัฒนธรรมผู้วิจัยจะต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เพื่อให้การดำเนินการวิจัยเป็นผลสำเร็จ
    ลักษณะของนักวิจัยที่ดี
    คำว่า วิจัย มาจากคำว่า Research ซึ่งแยกความหมายตามตัวอักษรที่ประกอบกันได้ดังนี้
    R = Zrecrultment & Relationship) หมายถึงการฝึกฝนให้มีความสามารถในการรวบรวมความรู้ที่มีความสัมพันธ์กัน
    E = (Education & Efficieney) หมายถึงผู้วิจัยต้องมีการศึกษา และความรู้ในความสามารถในการวิจัย
    S = (Sciences & Stimulation) หมายถึง การเป็นศาสตร์ที่ต้องการพิสูจน์ค้นคว้า เพื่อหาความจริง ผู้วิจัยจะต้องมีความคิด สร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำวิจัย
    E = (Evaluation & Environment) หมายถึง รู้จักประเมินผลว่ามีประโยชน์สมควรแก่การดำเนินการต่อไป หรือไม่ และต้อง ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการวิจัยได้อย่างเหมาะสม และเที่ยงตรง สามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ดี สังเคราะห์ และวิเคราะห์ได้อย่างมีคุณภาพ
    A = (Aim & Attitude) หมายถึง มีจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายที่แน่นอน และมีทัศนคติที่ดีต่อการติดตามผลการวิจัย
    R = (Result) หมายถึง ผลงานของการวิจัยไม่ว่าจะออกมาในลักษณะใดก็ตาม จะต้องได้รับการยอมรับเนื่องจากเป็นการทำงานอย่างมีระบบ
    C = (Suriosity) หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องมีความอยากรู้อยากเห็น มีความสนใจ และขวนขวายอยู่ตลอดเวลา
    H = (Horizon) หมายถึง ผลงานของการวิจัย จะเป็นเสมือนแสงสว่าง ซึ่งหมายถึงการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

    ด้วยคำจำกัดความดังกล่าว จึงสามารถสรุปคุณลักษณะของนักวิจัยที่ดีดังนี้

    1. เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติทางด้านความรู้สึก และอารมณ์ (Emotion Drive)

    - มีความสนใจอยากรู้อยากเห็น
    - มีทัศนะคติที่ดีต่อการแสวงหาความรู้
    - มีความสุขต่องานวิจัยที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ที่มีประโยชน์
    - มีมนุษย์สัมพันธ์ดี
    - มีความกระตือลือล้นในการทำงาน

    2. เป็นผู้มีความรู้ (Knowledge)

    - มีความสามารถด้านการวิเคราะห์ และคัดเลือกผลงานจากเอกสาร ได้อย่างรวดเร็ว และเหมาะสม
    - มีการทำงานอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ
    - มีความรอบรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย
    - มีความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ และพยากรณ์ได้ดี
    - มีความสามารถในการวิเคราะห์ สงเคราะห์ และสรุปผลได้ดี
    - มีความคิดสร้างสรรค์

    3. การตัดสินใจ (Decision)

    - มีการตัดสินใจที่ดี
    - กล้าคิด กล้าตัดสินใจ
    - มีความรอบคอบ และใช้เหตุผล
    - มีความเชื่อมั่นในหลักของเหตุ และผล
    - มีความสามารถในการประเมินฐานะ และศักยภาพของตนเอง
    - มีความเชื่อมั่นในตนเอง
    - มีความขยัน และอดทนต่อการแสวงหาความรู้ มีจิตใจกว้าง ยอมรับคำวิจารณ์ของผู้อื่นทั้งบวก และทางลบ
    - มีความสามารถในการควบคุมตนเองให้ทำตามหลักการ และยุติธรรม
    - มีความหวังที่จะเห็นงานวิจัยสำเร็จอย่างมีคุณภาพ
    - มีความสามารถในการประเมินสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง

    ขั้นตอนของการทำวิจัย
    การทำงานวิจัยนั้น ผู้ทำวิจัยสามารถวางแผนการทำงานวิจัยไว้ล่วงหน้าได้ เพื่อให้งานวิจัยนั้นสำเร็จตามเป้าหมาย ดังนี้
    1. การเลือกหัวข้อปัญหา เป็นการกำหนดขอบเขตของการศึกษา ว่าจะศึกษาเรื่องอะไร มีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน
    2. ศึกษาค้นคว้าทฤษฎี เป็นการหาข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในตัวปัญหา ผู้วิจัยจะต้องศึกษาจากเอกสาร เพื่อให้เกิดความรู้ที่ กว้างขึ้น ในขอบเขตของการวิจัย
    3. ให้คำจำกัดความปัญหา ผู้วิจัยจะต้องเขียนบรรยายถึงความเป็นมาของปัญหา ความมุ่งหมาย ตัวแปร วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง นิยามศัพท์ เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
    4. สร้างสมมุติฐาน เป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหาไว้ล่วงหน้า โดยอาศัยเหตุผล โดยอาศัยประสบการณ์ เอกสาร และความรู้ ใน ขอบเขตของงานวิจัย
    5. ขัดเกลาปัญหา และสมมุติฐาน เพื่อความชัดเจนของสมมุติฐาน และสมเหตุ สมผล และพิจารณาว่าสมมุติฐานเหล่านั้นเพียงพอ และ ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการศึกษาหรือไม่
    6. พิจารณาแหล่งที่มาของข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาว่า ข้อมูลคืออะไร และได้มาอย่างไร
    7. วางแบบแผนการวิจัย เป็นการวางแผนงานของการวิจัย มีการกำหนดขั้นตอนในแผนการ พร้อมทั้งสามารถอธิบายด้วยความมีเหตุผลได้
    8. สร้างเครื่องมือในการเก็บข้อมูล มีการตรวจสอบความเชื่อมั่น และความเที่ยงตรงของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
    9. เลือกกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างประชากรที่ได้ศึกษา
    10. เก็บรวบรวมข้อมูล
    11. จัดกระทำข้อมูล มีการจัดทำข้อมูลเพื่อให้สะดวกในการวิเคราะห์ วางแผนงาน ที่จะเสนอข้อมูลที่ค้นพบ เพื่อการสรุป และนำเสนออย่างมีความหมาย
    12. รายงานวิจัย เป็ฯการเขียนผลการวิจัยตามแนวทางการเขียนรายงานวิจัย โดยการใช้ภาษาที่ถูกต้อง รัดกุม และเข้าใจง่าย

    ต้องไม่ลืมหลักการที่ว่า ทุกอย่างในโลกที่เห็น
    เป็นข้อมูลดิบนั้น อยู่บนพื้นฐานการลวงทั้งสิ้น
    เชื่ออย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ ดังที่ ซุน วู ได้
    กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม

    ภัยคุกคามมีสองประเภทคือมนุษย์สร้างขึ้นและเกิดขึ้นเอง

    ในบางครั้งภัยคุกคามทางธรรมชาติสามารถสร้างโดยมนุษย์
    เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ความ มั่นคงของประเทศเป้าหมาย
    ซึ่งถือเป็นกลยุทธที่ใครอาจคาดคิดว่ามนุษย์สามารถกระทำได้ในระดับหนึ่ง
    เพื่อให้เกิดผลกระทบความมั่นคงประเทศเป้าหมาย
    ปัจจุบันสงคราม ๓ รูปแบบซึ่งเป็นสงคราม
    ที่ประเทศมหาอำนาจทั้งสองได้ใช้เป็นหลัก ( Core )
    ในการทำสงครามในยุคที่ ๔ ประกอบด้วย
    ๑. สงครามชีวะ ( Biological Warfare )
    ๒. สงครามธรรมชาติ ( Natural Warfare )
    ๓. สงครามข่าวสาร ( Information Warfare )

    เมื่อบวกกับกลยุทธที่ลึกซึ้ง บางครั้งยากที่จะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หาข้อมูลหลักฐาน หรือคำตอบ เพราะปิดกั้นตั้งแต่แรกแล้วว่าเกิดจากธรรมชาติไม่ใช่น้ำมือมนุษย์เช่น ซึนามิ นากิสต์ แผ่นดินไหวในจีน ใครที่เสนอแนวคิดนี้ก็จะถูกเหมารวมแกมเยาะเย้ยว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)



    ผู้ส่ง สุมาอี้ email url ip 223.204.9.15 ตอบเมื่อ 09 มี.ค.55 เวลา 23:33


    ถ้าตัดประเด็นหรือข้อมูลที่กลบเกลื่อนซ่อนพรางออกไป!ก้อจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่!



    ใครที่คิดว่า Conspiracy Theory เป็นเรื่องน่าขบขัน โปรดคิดใหม่ได้เลย!
     
  9. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ขอเอามาแปะไว้ก่อนเดี๋ยวลืม(ขอโทษท่านเวฟมาสเตอร์ด้วยครับ)^-^

    ---- ปริศนาคำพูดของอัลเบิร์ต ไอสไตล์ ก่อนเสียชีวิต ------


    [​IMG]


    ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

    " ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาที่เป็นศาสนาที่เนื่องกับจักวาล ควรอยู่เหนือพระเจ้าส่วนตัว หลีกเลี่ยงลัทธิกฎเกณฑ์ที่ใช้ข้อพิสูจน์ ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ ควรตั้งอยู่บนรากฐานของศาสนาที่เกิดจากประสบการณ์ของทุกสิ่งที่สร้างเอกภาพ อันมีความหมาย ซึ่งพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะมีสิ่งหล่านี้อยู่ ศาสนาพุทธน่าจะเป็นศาสนาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของยุคสมัยได้ "

    คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2600 ปี
     
  10. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    Protocols of Learned of Zion

    (สนธิสัญญาชั้นต้นของผู้รอบรู้อาวุโสไซออนิสต์)

    หรือที่ถูกต้องก็คือ มติๆต่างของยิว ถือว่าเป็นแผนการเพื่อการทำลายโลกที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยพบในยุคใหม่จนถึงขณะนี้
    ไม่มีใครจะสามารถล่วงรู้ถึงอันตรายของมันได้เลย เว้นแต่ผู้ที่ศึกษามันคำต่อคำอย่างช้าๆ โดยพินิจพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้จากความปั่นป่วนและบ่อนทำลายทั้งหลาย เมื่อนั้นเอง เขาก็จะประจักษ์ถึงแผนการร้ายของยิวที่มุ่งทำลายความเสื่อมโทรมและทำลายชาวโลก เพื่อชาวโลกทั้งหมดจะได้สยบต่อผลประโยชน์ของยิว และยิวก็จะครองโลก กุมชะตากรรมของโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว


    หากเราจินตนาการว่ามีมารร้ายผู่ก่ออาชญากรรมที่มีพลังอำนาจที่สุดกลุ่มหนึ่งได้ชุมนุมเพื่อแข่งขันกันสร้างแผนชั่วและสกปรกที่ทำให้ชาวโลกตกเป็นทาสของมัน แน่นอน สติปัญญาของมนุษย์ก็มิอาจจะคิดแผนการอันชั่วร้ายไปกว่าแผนการเหล่านี้ได้เลย

    การประชุมครั้งแรกของผู้รอบรู้ชาวยิวได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1897 โดยเหล่าผู้เข้าร่วมประชุมได้ศึกษาแผนอาชญากรรมเพื่อทำให้ชาวยิวนั้นครองโลกทั้งหมดโดยมี 3 ขั้นดังนี้

    1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

    2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

    3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

    มติการประชุมครั้งแรก

    ผู้นำยิวได้จัดประชุมครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1897 จนถึงปี ค.ศ.1951 ถึง 23 ครั้งด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาแผนต่างๆที่จะนำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรไซออนิสต์สากล ในการประชุมครั้งแรกนั้นจัดขึ้นที่เมืองบาซิลของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้การนำของนายธีโอดอร์ เฮอร์เซ็ล
    (ผู้ก่อตั้งไซออนิสต์สากล เกิดที่เมืองบูดาเบส ปี ค.ศ. 1860 แล้วย้ายไปอยู่ที่กรุงเวียนนา และในปี ค.ศ.1895 เขาได้ประพันธ์หนังสือชื่อ "รัฐยิว" เสียชีวิตในเมืองโอลาค ในวันที่ 2 ก.ค. 1904 โดยศพของเขาถูกย้ายไปยังปาเลสไตน์และฝังที่นั่น)


    โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 300 คนจากผู้รอบรู้ชาวยิวของ 50 สมาคมยิว และมีมติในที่ประชุมถึงแผนการลับของพวกเขา เพื่อทำให้โลกทั้งหมดตกเป็นทาสภายใต้มงกุฏกษัตริย์เชื้อสายเดวิด และในตอนนั้นมติต่างๆของพวกเขาถูกเก็บเป็นความลับอย่างเหนียวแน่น
    ส่วนองค์ประกอบบางประการองแผนการก่อการร้ายของพวกเขาคือ

    1. ยิวมีทัศนะว่ารูปแบบของการปกครองบนโลกทั้งหมดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องเพิ่มการบ่อนทำลายไปจนถึงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อก่อตั้งอาณาจักรยิว

    2. การปกครองมนุษย์ คืองานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ความคิดของมนุษย์ยังขาดความปรานีตในงานนี้ นอกจากชาวยิว

    3. มนุษย์ทั่วไปที่นอกจากชาวยิวจะต้องถูกปกครองเสมือนฝูงสัตว์ที่ต่ำต้อย ถูกปกครอง (ถูกต้อน)

    4. ล่อลวงมนุษย์ด้วยตันหาราคะ และแพร่ความชั่วช้า ความเสื่อมโทรม จนกระทั่งประชาชาติต่างนองเลือดกันเอง และไม่มีทางเลือกใดๆนอกเสียจากจะต้องโยนตัวเองไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชาวยิว

    5. ชาวโลกนอกจากยิว โดยเฉพาะบรรดาผู้นำ แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นก็คือหมากรุกในมือของพวกเขา เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ตกเป็นทาสโดยการข่มขู่ ทรัพย์สมบัติ ผู้หญิง ตำแหน่งต่างๆ และ ฯลฯ

    6. สร้างวิกฤตการทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อโลกจะได้ไม่อยู่อย่างสงบ แล้วก็หันไปขอความช่วยเหลือการปัดเป่าความโศรกเศร้า และทำให้คนสิ้นคิดมีความสุขด้วยอำนาจของยิว

    7. สื่อทุกชนิดจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของยิว ไม่ว่าจะเป็นสื่อการพิมพ์ หนังสือพิมพ์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงละคร บริษัทผลิตภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ ศาสตร์แขนงต่างๆ กฏหมาย ตลาดหุ้น การลงทุน และ ฯลฯ

    8. ขอความช่วยเหลือจากทองคำ ซึ่งยิวได้กักตุนมันไว้ เพื่อขจัดจิตสำนึก ทำลายมนุษย์ และครอบครองโลกทั้งหมดไว้

    โปรโตคอลถูกเปิดโปงได้อย่างไร?

    เพราะสตรีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง (นางเคยเป็นชู้รักของนักบวชหนุ่มชาวยิว และนางเป็นสายลับของรัสเซีย) ขณะที่นางได้เข้าร่วมประชุมกับผู้นำอาวุโสของยิวในฝรั่งเศส นางสามารถขโมยเอกสารบางส่วนและนำมันหนีออกมา และก็ได้นำส่งเอกสารเหล่านั้นไปยังอเล็ก นิโคลัส เนฟซ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในกลุ่มองคมนตรีแห่งรัสเซียตะวันออกในยุคของพระเจ้าซาร์ แล้วเขาก็ได้รับรู้ถึงอันตรายและเจตนาร้ายของมันต่อชาวโลกโดยเฉพาะประเทศรัสเซียของเขาเอง
    หลังจากนั้น เขามีความคิดว่าควรจะเก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถเอาประโยชน์ได้และแพร่มันออกไป ดังนั้นเขาจึงได้มอบเอกสารให้กับเพื่อสนิทของเขา ซึ่งเป็นนักวิชาการชาวรัสเซีย คือ นายเซอร์จี ไนลอส ซึ่งเขาได้ศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบันในขณะนั้น เขาจึงรู้ล่วงหน้า (คาดการ) และเหตุการณ์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลกบางส่วนที่จะขอกล่าวคือ

    - แผนโค่นล้มพระจักรพรรดิ์แห่งรัสเซีย แพร่หลายระบอบคอมมิวนิสต์ และยึดเอารัสเซียเพื่อแพร่หลายแผนการร้ายและความปั่นป่วนในโลก (ซึ่งก็เป็นจริงและประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง)

    - แผนโค่นล้มอาณาจักรอุสมานียะฮฺ (อ็อตโตมัน) โดยฝีมือของชาวยิวก่อนการก่อตั้งอิสราเอล (และระบอบอุสมานียะฮฺก็ล่มสลายจริง)

    - แผนการเพื่อนำชาวยิวเข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ และสถาปนารัฐอิสราเอล (และรัฐอิสราเอลก็ถูกก่อตั้งจริงในปัจจุบัน)

    - แผนการเพื่อโค่นล้มระบบกษัตริย์ในยุโรป (และระบบกษัตริย์ก็ถูกขจัดไปทั้งในเยอรมัน ออสเตรีย โรมาเนีย อิตาลี และ ฯลฯ)

    - แผนการก่อสงครมโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ต่างสูญเสียไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์นอกเสียจากชาวยิว (และสงครามโลกทั้งสองครั้งก็เกิดขึ้นจริง และขณะนี้ยิวกำลังเตรียมพร้อมกับการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3?)

    -แผนการแพร่กระจายความปั่นป่วน วิกฤติการณ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศบนรากฐานของทองคำ ซึ่งยิวได้กักตุนไว้

    -และอื่นๆจากแผนการณ์ที่ประจักษ์ถึงข้อเท็จจริงของมันต่อสายตาของเราทุกคน แท้ที่จริงแล้ว การดำเนินการของยิวในรัสเซียนั้นก็เสมือนกับการดำเนินการของพวกเขาในอเมริกาในทุกวันนี้ หรือจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ดังนั้นการปกครองในอเมริกาของพวกเขามาจากยิว หรือผลงานของยิว โดยใช้เงิน เศรษฐกิจ และผู้หญิง

    กล่าวคือทั้งสองประเทศนั่นก็คือประเทศมหาอำนาจ ยิวได้ดึงทั้งสองเข้าสู่สงครามเพื่อการทำลายไปพร้อมกันๆ และปล่อยบางประเทศไว้บนความเป็นกลางเพื่อเป้าหมายของยิวโดยเฉพาะ

    (ยิวใช้สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เป็นศูนย์กลางสำคัญในการวางแผนต่างๆ และเป็นที่เก็บทองคำ ทรัพย์สมบัติ ด้วยเหตุนี้เองเขาถึงประกาศความเป็นกลาง เพื่อให้มีความปลอดภัยกับตัวเขา ดังนั้นไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นเมืองหลวงทางการเงินและธนาคารโลก และกรุงเจนีวาเป็นปราสาทของสหประชาชาติ)

    ครั้นเมื่อสองประเทศทั้งสหรัฐและรัสเซียถูกโค่นล้ม ยิวก็เพิ่มความละโมภขึ้นอีกที่จะปกครองโลกทั้งหมด โดยการปกครองอย่างเปิดเผยภายใต้มงกุฏของกษัตริย์เชื้อสายเดวิดแทนจากการปกครองที่สวมหน้ากากอยู่ในขณะนี้ ............ติดตามตอนต่อไปหากได้รับความกรุณา

    ผู้ส่ง มุสลิม email abubuck@hotmail.com url ip 125.24.226.52 ส่งเมื่อ 11 ต.ค.52 เวลา 10:19


    "บนพื้นฐานชีวิตของชาวยิวคือความหวาดกลัว กลัวจะถูกทำลาย ดังนั้นจึงพยายามที่จะดิ้นรนด้วยการเป็นผู้ทำลายผู้อื่นเสียก่อน"

    อิสลามเป็นวิถีชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความ"พอเพียง"อยู่ในกรอบการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเน้นที่การควบคุมอารมณ์ของตน และการช่วยเหลือผู้อื่น


    ผู้ส่ง หน.ดม email url ip 118.173.195.218:172.1.3.37 ตอบเมื่อ 11 ต.ค.52 เวลา 22:14
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    http://thaienews.blogspot.com/2008/01/cia.html

    บทความทวีวุฒิ: CIA เตือนไว้แล้ว

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]โดย คุณทวีวุฒิ จุลวัจนะ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่มา [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Thai Journalist Democratic Front[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]5 มกราคม 2551[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อสักห้าเดือนที่แล้ว ตอนที่คนไทยกำลังถกเถียงกันอย่างรุนแรงเรื่องรธน.50 ก็มีนักข่าวเก่า สายความมั่นคงของกรุงเทพธุรกิจ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จับมือคนในแวดวงราชการลับ รวมถึง CIA มานั่งถกกันถึงรธน.40 และ 50 ทาง CIA ก็พูดตรงๆชัดๆ ว่า ปี 40 มันดีตรงที่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อย่างที่นักเลงเขาคุยกัน “มันเห็นชัดๆว่าหมัดมาจากไหน ใครปล่อยหมัดอะไร ใครเป็นศัตรูใคร” เขากล่าวว่ารธน.40 เป็นรธน.[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ของ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนสมัยใหม่ที่นิยมความโปร่งใสและการตรวจสอบ แต่ในทางกลับกันรธน.50 นั้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ออกมาทำลายระบบที่นำความโปร่งใสนั้นลง แล้วแทนที่เข้ามาด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]“ความสัมพันธ์ส่วนตัว”ที่ทำให้ลำบากมากที่จะเห็นว่าใครทำอะไร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะจะไม่มีร่องรอยอะไรให้ตามมากนัก คนคุมประเทศที่แท้จริง “จะกลายเป็นคนหลังฉาก” เหมือน Godfather คอย “ชักใย”[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อยู่เงียบๆในเบื้องหลัง มาวันนี้เราก็เห็น [/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Reuters[/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สำนักข่าวที่สำคัญที่สุดบนโลก เขียนไปแล้วว่า “Stealth Coup” หรือ ปฏิวัติเงียบ ได้เกิดขึ้นแล้วในไทย คือ Godfather[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กำลังปล้นอำนาจบริหารประเทศไป“ซึ่งๆหน้า” และในบทความอีกมากมายในแนวนี้ จากสำนักข่าวต่างประเทศแทบทุกอัน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คำว่า “Invisible Hand” หรือ มือที่แอบ กำลังชักใย กกต. คตส. และ ระบบตุลาการและผู้พิพากษาศาล ในไทย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อย่าง“ขะมักเขม้น” [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นักข่าวที่ผมกล่าวถึง ไม่สำคัญว่าคือใคร แต่จากที่ผมทราบมา เว็ปข่าวของเขา “เรตติ้งกระฉูด” เมื่อข่าวนี้ออกไป[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มีคนนำไปลงต่อในพันทิป แต่ปัญหาคือ ไม่มีสื่อของฝ่ายประชาธิปไตย “นำไปลงต่อให้เกิดกระแสอะไร” ข่าวการพูดคุยนั้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ก็มาและก็หายไปจำกันได้ในคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น นักวิชาการด้านประชาธิปไตย ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จะนอกหรือในการโต้วาที ระหว่างฝ่ายสนับสนุน รธน.50 หรือฝ่ายต่อต้าน มันเหมือนไม่เป็นประเด็นที่จริงๆแล้ว สิ่งนี้ ระหว่าง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สิ่งที่ทักษิณ ทำในการบริหารประเทศ และสิ่งที่คนที่เอาทักษิณออก ทำในการบริหารประเทศ สิ่งแตกต่างนี้ มีประเด็นมากจริงๆ [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เรา จะฝ่ายใดก็ตาม สามารถเกาะติดและตามและขัดขวางหรือแนะนำทักษิณได้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะเห็นกันตรงๆว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในไทย และตรงกันข้าม ที่ CIA[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เตือนไว้ คือ ของ ปี 50 ทุกคน ไม่ว่าฝ่ายใด จะตกอยู่ในความ “ไม่รู้”[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มันคือสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่มีระบบตรวจสอบอะไรมารองรับ หรือเป็นมาตรฐานให้ต้องตามรอยเส้นโปร่งใสต่างๆ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่มีอยู่เต็มไปหมด ในปี 40 และนี่ก็คือแก่นแท้ของระบอบอำมาตรย์ คือในที่สุดแล้ว ไม่ใช่ประชาธิปไตยและซ้ำร้าย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ยังตรวจสอบไม่ได้เสียอีก มันเป็นอำนาจของผู้มีบารมี“ล้วนๆ” ที่เราต่อต้านกันยากมาก เพราะเราไม่เห็นว่ามันทำอะไร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]“แม้แต่เงา” การใช้อำนาจนอกรธน. นอกประชาธิปไตย ยังยากที่จะเห็น[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ก็ไม่ต้องบอกว่ากำลังพูดถึงอะไร นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ถึงขนาดนักข่าวคนนั้น ถาม CIA ว่าจะทำอย่างไรในไทย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA กลับตอบตรงๆ “ไปดึงเอาสายลับจากเวียดนามและมาเลเซียและอินโดนิเซียมาเสริมในไทย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะไทยนั้นจะมีปัญหาไปอีกนานและต้องใช้กำลังคนมากขึ้นในการติดตามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่ในสามประเทศนั้นการเมืองมั่นคงขึ้นตลอดเวลา จนไม่ต้องใช้คนมากมายนัก” และนี่ก็คือจุดเริ่มต้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อย่างที่ใครก็ตามในสายประชาธิปไตยจะสรุปกันลงไปแล้ว อำนาจนอกรธน.ก็คือ “ป๋า” นั่นเอง “ได้ล้วงลึกไปยัง กกต. [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และ ระบบตุลาการไทย” เพื่อหยุด พปช. และ ทักษิณ ให้ได้ เราเห็นเงาของสิ่งนี้มาสักพักแล้ว คือโกงเลือกตั้ง กทม.[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และ โกง “ออกใบแดง” ที่กำลังจะมา และสุดท้าย ด่านสุดท้าย ของพวกอำมาตรย์ ถ้าเอา พปช. ไม่อยู่ “ก็คือยุบพรรค พปช.” [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พลพรรคนักประชาธิปไตยทั้งประเทศ ออกมาเตือนว่าระวังว่าไทยจะลุกเป็นไฟ แต่แน่นอน วลี “อำตะ” ของบังนั้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ครอบจักรวาล คือถ้าจำกันได้ บังบอกว่า “จลาจลวันประท้วงหน้าบ้านป๋า ทำให้เห็นความจำเป็นของพรบ.ความมั่นคงฉบับใหม่”[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พูดง่ายๆ วันนั้นก็คือ “Practice” หรือ “ฝึก” ไว้สำหรับวันข้างหน้านั่นเอง และสิ่งที่นักประชาธิปไตยควรกังวลไว้ ก็คือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]“สื่อกระแสหลัก” วันนั้น ช่วงนั้น ออกมาบิดเบือนสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ “กระแสลบ” มันพัดเข้าใส่ นปก. และก็แน่นอนว่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สิ่งนี้ “ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง” ถ้ามีการประท้วงและปะทะใหญ่เกิดขึ้น[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มีคนถามผมว่าทางออกคืออะไร ผมก็ได้เขียนเตือนฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะพลพรรคพปช.ไปแล้ว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ว่าเพื่อนที่ CIA บอกว่า “เสริมกำลังพล” ทำสงครามใต้ดินให้เต็มที่ เพราะศึกในวันข้างหน้า มันจะอยู่ใต้ดิน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ใครชนะใต้ดิน จะชนะบนดินและเพียงสามสี่วันหลังจากนั่น ทักษิณก็ได้เจอกับเฉลิม “จอม Blackmail”[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผู้คุ้นเคยกับ “Black Operation” หรือสงครามมืด ชนิดไม่เป็นรองใคร แต่ผมต้องรายงานด้วยความผิดหวังว่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA กล่าวว่า เฉลิม ถูกเอาไปใช้ผิดด้าน คือเอามาหาเสียง กระตุ้นเรติ้ง ในขณะที่อำมาตรย์กำลังวางหมาก[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และลงลึกด้วยสงครามใต้ดินที่ไม่มีใครในฝ่ายประชาธิปไตย “ออกไปต่อกรด้วยเลย”[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มาวันนี้ ผมถามเพื่อน CIA ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เอาง่ายๆตรงๆ CIA ประเมินว่า “ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล” จะต้องเผชิญกับ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สิ่งเดียวกับ พปช. คือถ้าเป็นปชป. ก็จะแทบไม่มีอำนาจเลย เพราะจะอ่อนปวกเปียกจนแทบไม่มีอำนาจหรือเอกภาพ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และต้องเดินตาม “ขุนพลนอก รธน.” อย่างเดียว ส่วนพปช. ถ้า“ดิ้นจนหลุดแหของอำมาตรย์ออกมาเป็นรัฐบาลได้” [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ยังจะต้องเจอกับ “ความพยายามไม่รู้จบ ที่จะทำลายพปช.และทักษิณลง” และเพราะงานนี้มันไม่มีระบบ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่เรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว และ ระบบมันถูกทำให้อ่อนมาก ด้วยการที่ ส.สซ ไม่ต้องทำตามมติพรรค[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]“อย่างที่เขาพูดนะถูกแล้ว” CIA สรุปว่า “ซื้อรัฐบาลสมัยนี้ซื้อนโยบายสมัยนี้ ซื้อรัฐมนตรีสมัยนี้ ซื้อคนไทยสมัยนี้”[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มันถูกแสนถูก ถ้าไม่เข้าใจผมจะสรุปให้ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA เขาบอกว่า “ประเทศไทยหาเอกภาพแทบไม่ได้อีกแล้ว คือ แทรกแซงง่าย”[/FONT]




    ฉบับ 40 หรือ 50 ก็ [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA[/FONT] ร่างทั้งนั้นแหละ เฮ้อ คนไทย
    ที่ [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA[/FONT] สรุปน่ะถูกต้องเลย เพราะ [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]CIA[/FONT] มันซื้อมาตั้งนานแล้วไง
    ไม่งั้นไทยก็คงไม่วุ่นวายจนถึงวันนี้หรอก
     
  12. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    http://khunnamob.globat.com/backup/...HPSESSID=5df051bc51e3404a3b6bdcb9f62a03ba.htm

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]http://www.btinternet.com/~nlpWESSEX/Documents/WATlearjet.htm[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]http://www.nokkrob.org/index.php?&obj=forum.view(cat_id=nkbd-1,id=63[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif])[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เครือข่ายธุรกิจการเมืองโลก : เบื้องหลังท่านผู้นำ[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เครือข่ายอุปถัมภ์ระหว่างนักการเมืองข้าราชการและนักธุรกิจที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ท้องถิ่นจนไปถึง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ระดับประเทศของ ไทยซึ่งดำรงอยู่มาช้านานจนปัจจุบันนี้ แท้จริงเป็นเพียงโครงสร้างส่วนล่างส่วนหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ของเครือข่ายธุรกิจการเมืองโลก เท่านั้น สูงสุดของโครงสร้างอุปถัมภ์นี้คือ ซีอีโอของ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บรรษัทชั้นนำของโลก และบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พวกเขาเหล่านี้มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับชนชั้นนำของไทยอย่างแน่นแฟ้นมาตลอด[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทั้งในอดีตและปัจจุบัน[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บทความชื่อสโมสรอดีตผู้นำ ของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนอันโด่งดังของอังกฤษได้กล่าวถึง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กองทุนคาร์ลัยกรุ๊ป กองทุนส่วนบุคคลขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกว่า เป็นกองทุนที่เต็มไปด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผู้บริหารกรรมการและที่ปรึกษารวมถึงนักลงทุนที่เป็นบุคคลชั้นนำของโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อาทิเช่น นายจอร์จ เอช ดับบลิว บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ, นายเจมส์ เบเคอร์[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ, นายจอห์น เมเจอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ, [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นายฟิเดล รามอส อดีตประธานาธิบดีผิลิปปินส์, นายคาล ออตโต โพล อดีตผู้ว่าธนาคารชาติเยอรมัน,[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตระกูลบินลาเดน และนายจอร์จ โซรอส เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีซีอีโอของบรรษัทชั้นนำของโลก[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อาทิเช่น บริษัท บีเอมดับบลิว, เนสท์เล่, โตชิบา, ฟูจิสุและโรเช่ นั่งเป็นกรรมการที่ปรึกษาอีกด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นายจอร์จ บุช ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันก็เคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัทแห่งหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่กองทุนคาร์ลัยเป็นเจ้าของ[/FONT]
    <SUP>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][6][/FONT]</SUP>

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สำหรับบุคคลสำคัญของไทยที่เคยเป็นกรรมการที่ปรึกษาให้กับกองทุนนี้ได้แก่[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีและนายกทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน[/FONT]<SUP>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][7][/FONT]</SUP>

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2530 กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงุถึง 34% ต่อปี[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปัจจุบันมีเงินลงทุนกว่า ห้าแสนล้านบาททั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย ไม่เพียงแต่กองทุนนี้จะเป็นแหล่งทำกำไร[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ใหักับชนชั้นนำของโลกเหล่านี้เท่านั้น ทว่ากองทุนนี้ยังมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายของนานาประเทศทั่วโลก[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกองทุนและบรรดาสมาชิกอีกด้วย[/FONT]<SUP>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][8][/FONT]</SUP>

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]nokkrob.org - nokkrob Resources and Information. This website is for sale![/FONT]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สงครามการก่อการร้ายหรือสงครามดอลล่าร์-ยูโร[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรดในนครนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 โดยขบวนการก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง กลุ่มอัลไคดา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งมีนาย โอซามา บินลาเดนเป็นผู้นำ ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ประกาศสงคราม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กับ อักษะแห่งความชั่วร้าย จากนั้นเป็นต้นมา โลกทั้งโลกก็ดูเหมือนจะเช้าสู่สภาวะสงครามระหว่างขั้วสองขั้ว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ขั้วหนึ่งคือเครือข่ายผู้ก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงทั่วโลกที่เกี่ยวข้องโยง ใยกับกลุ่มอัลไคดา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และขั้วตรงกันข้ามคือ สหรัฐและชาติพันธมิตร ที่จำเป็นต้องปกป้องตนเองจากภัยคุกคามของการก่อการร้าย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่ลุกลามขยายตัวไปทั่วโลกทว่าน้อยคนนักจะทราบว่า แท้จริงแล้วสหรัฐกับชาติพันธมิตรคือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผู้ให้กำเนิดและให้การสนับสนุนแก่เครือข่ายผู้ก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงต่างๆตลอดมา[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอัลไคดา[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อมูลและหลักฐานต่างๆที่พิสูจน์ว่าแม้ภายหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 11กันยายน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สหรัฐและชาติพันธมิตรก็ยังคงให้การสนับสนุนแก่กลุ่มผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ อยู่เช่นเดิม[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป็นความจริงที่ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ภาวะสงคราม ทว่าไม่ใช่สงครามระหว่างผู้ปราบปรามการก่อการร้าย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กับผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่สงครามศาสนาระหว่างมุสลิมกับคนนอกศาสนา แต่คือสงครามทางเศรษฐกิจระหว่าง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผู้สนับสนุนสกุลเงินดอลลล่ากับผู้สนับสนุนสกุลเงินยูโร[/FONT]


    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตัวกลาง:เคล็ดลับของสหรัฐในการสนับสนุนการก่อการร้าย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพื่อมิให้ปฏิบัติการลับของสหรัฐในการเกื้อหนุนเครือข่ายก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงเป็นที่ล่วงรู้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สหรัฐจึงจำเป็นต้องทำการผ่าน ตัวกลาง (GO BETWEEN) อีกทีหนึ่ง หากความลับนี้เกิดรั่วไหล สหรัฐก็สามารถ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปฏิเสธข้อกล่าวหาได้โดย ตัดตอน เฉพาะข้อมูลและหลักฐานที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตัวกลางออกไป เพื่อให้เข้าใจว่าตัวกลางเท่านั้นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนการก่อการร้าย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นายวิลเลียม เคซี อดีตผู้บัญชาการหน่วยงานซีไอเอ ในยุครัฐบาลเรแกน ยอมรับว่าเขาเองเป็นผู้ติดต่อ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ประสานงานกับตุรกี ปากีสถาน และซาอุดิอารเบีย ในการร่วมมือสนันบสนุนเครือข่ายก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตามข้อตกลงนี้ สหรัฐ ปากีสถาน ตุรกีและซาอุดิอารเบีย จะร่วมกันให้การสนับสนุนผ่านหน่วยงานข่าวกรองปากีสถาน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]หรือ ไอเอสไอ และอีกส่วนผ่านเครือข่ายองค์กรศาสนานิกายวาฮาบีที่มีอยู่ทั่วโลก 3 หรืออีกนัยหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สหรัฐใช้ ไอเอสไอและวาฮาบีเป็นตัวกลางนั่นเอง[/FONT]



    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]att on Mon Nov 09, 2009 6:31 pm[/FONT]
    [/FONT]
     
  13. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    อัลไคดาไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐแล้วจริงหรือ?
    
    เป็นความจริงที่สหรัฐและชาติพันธมิตรเคยให้ความสนับสนุนเครือข่ายก่อการร้ายมุสลิมและกลุ่มอัลไคดา
    แต่เมื่อสงครามเย็นยุติลงพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นฝ่ายต่อต้านสหรัฐ  นี่คือคำอธิบายที่สื่อกระแสหลักทั่วโลก
    ใช้อธิบายเหตุผลในการก่อการร้ายชองกลุ่ม อัลไคดา นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ณ์ 11 กันยาเป็นต้นมา
    ทว่ามีข้อมูลหลักฐานอยู่มากมายที่ส่อว่า แท้จริงแม้จนถึงปัจจุบันโครงข่ายการให้การสนับสนุน
    เครือข่ายผู้ก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงที่สหรัฐและพันธมิตรได้สร้างขึ้นยังคงดำรงอยุ่
    และสหรัฐก็ยังคงอาศัยโครงข่ายนี้สนับสนุนเครือข่ายก่อการร้ายเหล่านี้อยู่เช่นเดิม อาทิเช่น
    หนึ่ง สถานีโทรทัศน์ ซีบีเอสของสหรัฐโดยนายแดน แรเทอร์ ได้รายงานว่าในวันที่ 10 กันยายน 2544
    เพียงหนึ่งวันก่อนเหตุวินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรด นายบิน ลาเดนได้เข้ารับการบำบัดด้วยเครื่องฟอกไตใ
    นโรงพยาบาลของกองทัพอากาศปากีสถาน ในเมืองราวันบินดี4
    ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์เลอ ฟิกาโร
    ของผรั่งเศสได้ลงข่าวโดยอ้างแหล่งข่าวภายในหน่วยงานไอเอสไอ ในช่วงวันที่ 4-14 กรกฎาคม ปี2544

    สองเดือนก่อนเกิดเหตุ 11 กันยา นายบิน ลาเดน ได้เข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลอเมริกัน
    ณ เมือง ดูไบประทศอาหรับ เอมิเรตส์ ในช่วง 10 วัน ที่เขาพักรักษาตัวอยู่นั้น ได้มีเครือญาติในตระกูลบินลาเดน
    บุคคลสำคัญจาก ซาอุดิอาราเบีย และอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ซีไอเอประจำดูไบ ได้ข้าพบนายบิน ลาเดน
    5

    หากข่าวทั้งสองชิ้นนี้มีมูลความจริงเป็นไปได้หรือที่ทางการสหรัฐจะไม่ทราบถึงที่อยู่ของนายบินลาเดน
    เหตุใดจึงไม่เข้าจับกุมทั้งๆที่ก่อนหน้าสหรัฐได้ตั้งรางวัลนำจับตัวเขาเป็นจำนวนหลายล้านเหรียญสหรัฐ
    ในข้อหาเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดกงสุลสหรัฐ 2 แห่งในอัฟริกาตะวันออกเมื่อปี 2536
    สอง สถานีโทรทัศน์เอบีซี ของสหรัฐได้เสนอข่าวว่า เอฟบีไอพบว่า ก่อนเหตุการณ์ 11 กันยา ไม่กี่เดือน
    ได้มีการโอนเงินจำนวนอย่างต่ำ สี่ล้านาบาท จากธนาคารในปากีสถานไปยังบัญชีของนายมูฮัมหมัด อัททา
    หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายในการก่อวินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรด การโอนเงินนี้เป็นไปตามคำสั่งของนายพล มามูด อัคหมัด
    หัวหน้าหน่วยงานไอเอสไอ ของปากีสถาน ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งโดย สำนักข่าว เอเอฟพี ของฝรั่งเศส7
    สิ่งที่ผิดสังเกตคือ ในวันที่ 4 กันยายน
    หนึ่งอาทิตย์ก่อนเหตุการณ์ 11 กันยา นายพล อัคหมัด
    ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าพบและปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอ
    อย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติมาโดยตลอด และในวันที่ 12-13 กันยายน
    หนึ่งวันหลังเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิร์ลเทรด นายพล อัคหมัด ก็ได้ลงนามในข้อตกลงร่วมมือ
    ในการปราบปรามการก่อการร้ายร่วมกับนายริชาด อาร์มีเทจ รองเลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
    และยังได้เข้าพบนายพล คอลิน พาวเวล เลขาธิการกระทรวงกลาโหมเป็นการส่วนตัวอีกด้วย8

    เป็นไปได้หรือ ที่ทางการสหรัฐไม่ทราบระแคะระคายมาก่อนหน้านี้เลยว่า บุคคลสำคัญที่เป็นถึงหัวหน้า
    หน่วยงานข่าวกรองปากีสถาน หน่วยงานที่สหรัฐเป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกัน
    มาเป็นเวลานานและให้ความไว้วางใจถึงกับขอให้ร่วมมือในการปราบปรามการก่อการร้ายจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
    ในการก่อการร้ายที่มุ่งทำลายสหรัฐ สาม จวบจนวันนี้
    เครือข่ายองค์กรศาสนานิกายวาฮาบีของซาอุดิอารเบีย
    ยังคงให้การสนับสนุนสหรัฐ ดังที่เป็นมา ในบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อัลคุด อัล อาราบี
    ที่เพิ่งตีพิมพ์ในประเทศอังกฤษ ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน ศกนี้ อ้างถึงคำวินิจฉัยสูงสุดทางศาสนา
    หรือฟัดวา ที่ประกาศห้ามมิให้มุสลิมนิกายวาฮาบีทำการสู้รบกับกองทัพสหรัฐในอิรัก
    และเตือนระวังชาวซาอุดิอารเบีย มิให้หลงผิดเชื่อคำหลอกลวงเพื่อไปร่วมรบกับพี่น้องมุสลิมในอิรัก
    9

    ดอลลาร์และน้ำมัน: เหตุผลในการทำสงครามกับการก่อการร้าย

    ความลับของพลังอำนาจทั้งปวงของสหรัฐนั้นขึ้นอยู่กับการที่เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักสกุลเดียว
    ที่ทุกประเทศจำเป็น ต้องใช้สำรองเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อเตรียมไว้ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ
    จากประเทศอื่นที่แทบทั้งหมดต้อง ใช้เงินดอลลาร์ ทั้งนี้โดยมีน้ำมันเป็นสินค้าที่จำเป็นที่สุด
    ซึ่งแทบทุกประเทศจำเป็นต้องนำเข้า หรืออีกนัยหนึ่ง นานาประเทศต้องขายสินค้าเพื่อแลกเป็นดอลลาร์
    เพราะถ้าไม่มีดอลลาร์ก็ซื้ออะไรไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดซื้อน้ำมันไม่ได้ บนความจำเป็นนี้เอง
    สหรัฐจึงสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพื่อใช้จ่ายและพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้ด้วย
    การขายพันธบัตรสกุลดอลลาร์ที่มีสหรัฐเท่านั้นเป็นผู้ผูกขาดการผลิตให้กับบรรดาประเทศต่างๆ
    ที่ปราศจากทางเลือก ทั้งนี้ด้วยราคาที่สูงเกินจริง และโดยไม่ต้องมีการแยแสกับภาวการณ์ขาดดุล
    การค้าระหว่างประทศ หรือภาระหนี้สินต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะเมื่อถึงเวลา
    ครบกำหนดชำระเงิน สหรัฐก็เพียงแต่ขายพันธบัตรดอลลาร์ที่ผู้ซื้อจำเป็นต้องซื้อเพิ่มเติมอีก
    เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด หรืออีกนัยหนึ่ง อํานาจของสหรัฐอยู่ที่ความสามารถในการหมุนหนี้ นั่นเอง

    ดังที่กล่าวมาแล้วว่า น้ำมันคือปัจจัยที่สำคัญสูงสุดสำหรับทุกประเทศแต่ยิ่งไปกว่านั้น น้ำมัน
    มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ด้วยเหตุผล 2 ประการ

    ประการแรก คือ ตราบใดที่น้ำมันยังคงซื้อขายเป็นดอลลาร์ การค้าขายาแทบทั้งหมดของโลก
    ก็ยังต้องเป็นดอลลาร์ อำนาจผูกชาดสหรัฐเหนือเศรษฐกิจโลกก็จะคงดำรงอยู่ต่อไป

    ประเด็นที่สอง สหรัฐเป็นประเทศที่บริโภคน้ำมันเป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้วยประชากรเพียง 5% ของโลก
    สหรัฐบริโภคน้ำมันถึง25 % ของการบริโภครวมของโลก และเพราะสหรัฐเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันเพียง 3% ของโลก
    สหรัฐจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันถึง 60%ของการบริโภคในประเทศ10


    แก้ไขล่าสุดโดย att เมื่อ Wed Nov 11, 2009 2:15 pm,
     
  14. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    Politics - Manager Online - “คำนูณ” ติง “จิ๋ว-อภิวันท์” พูดไม่คิด ยกตัวอย่างโค่นวงศ์โรมานอฟ

    [​IMG]
    พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย

    “คำนูณ” ติง “จิ๋ว-อภิวันท์” พูดไม่คิด ยกตัวอย่างโค่นวงศ์โรมานอฟ
    18 พฤศจิกายน 2552 10:19 น.

    “ส.ว.คำนูณ” ติง “ชวลิต-อภิวันท์” ระวังคำพูด ยกตัวอย่าง “โรมานอฟ” ล่มสลาย มีนัยประหวัดถึงสถาบันสำคัญ
    ชี้ตัวอย่าง ปชช.ล้มรัฐบาลมีหลายประเทศ ไม่จำเป็นต้องเลยเถิดถึงการล้มราชวงศ์ที่นำไปสู่การตั้งประเทศคอมมิวนิสต์
    เตือนสติมียศถึงพันเอก-พลเอก ควรไตร่ตรองมากกว่านี้ ย้อนอดีต “จิ๋ว” เคยโดนกล่าวหาฝักใฝ่ “สภาเปรซิเดียม”


    นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวถึงกรณีที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย
    และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ย.
    พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธได้กล่าวในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยในทำนองว่าขณะนี้บ้านเมืองเกิดความ
    ไม่เป็นธรรมขึ้นรอบด้าน ผู้ปกครองไม่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน ระวังประชาชนจะไม่ยอมรับ
    แล้วได้ยกตัวอย่างความล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียว่า
    เท่าที่อ่านตนดูแม้จะไม่ชัดเจนว่าเป็นการยกตัวอย่างของ พล.อ.ชวลิต หรือ พ.อ.อภินันท์ แต่ไม่สบายใจ
    ที่มีการยกตัวอย่างเช่นนี้ เพราะมีนัยประหวัดไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

    “ท่านสามารถยกตัวอย่างความล่มสลายของรัฐบาลประเทศต่างๆ ในประวัติศาสตร์ได้
    ไม่เห็นจะต้องเลยเถิดไปถึงการล่มสลายของระบอบที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติใหญ่ขึ้นในโลก คือการปฏิวัติบอลเชวิก
    ที่นำทฤษฎีลัทธิคอมมิวนิสต์มาประยุกต์ใช้เป็นรูปธรรมครั้งแรกในโลก หากเป็นเรื่องกลอนพาไป
    ไม่มีความหมายแฝงเร้นก็ไม่เป็นไร แต่คนเป็นถึงพลเอก พันเอก คนหนึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี
    อีกคนปัจจุบันเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ควรกลั่นกรองให้มากกว่านี้”

    นายคำนูณกล่าวว่า การพูดจาคาบลูกคาบดอกไต่เส้นเช่นนี้เกิดขึ้นมากในระยะหลัง
    สังคมควรใช้วิจารณญาณไตร่ตรองให้มากว่าผู้พูดมีวัตถุประสงค์เช่นใด
    ตนไม่อยากกล่าวหาใคร แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องราวผ่านเลยไปโดยไม่ออกมาท้วงติง
    สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอยู่เหนือการเมืองมาตั้งแต่ปี 2475 การปกครองเป็นเรื่องของรัฐบาล
    ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาตามกลไกของระบอบการเมืองในแต่ละห้วงเวลา
    หากจะมีความขัดแย้งก็ควรจำกัดอยู่ในระดับของรัฐบาล ไม่ควรพูดจากยกตัวอย่างกำกวม โดยเฉพาะ
    พล.อ.ชวลิตที่ประกาศถึงความจงรักภักดีสูงสุดมาโดยตลอด ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน
    และนักการเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะนักการเมืองในพรรคเพื่อไทย

    “ผมไม่อยากให้ประชาชนเข้าใจ พล.อ.ชวลิตผิดๆ เพราะท่านเองก็เคยถูกโจมตีมาตั้งแต่ปี 2526
    โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าฝักใฝ่ในระบบสภาเปรซิเดียม ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองของรัสเซีย
    ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ
    จนเกิดประโยคฮิตในขณะนั้น
    จาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ว่ากูไม่กลัวมึง” นายคำนูณกล่าว
     
  15. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    https://khunnamob.globat.com/backup...HPSESSID=5df051bc51e3404a3b6bdcb9f62a03ba.htm
    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]1917With aid from Financiers in New York City and London, V. I. Lenin is able to overthrow
    the government of Russia. Lenin later comments on the apparent contradiction of the links between
    prominent capitalists and Communism: “There also exists another alliance –
    at first glance a strange one, a surprising one – but if you think about it,
    in fact, one which is well grounded and easy to understand.
    This is the alliance between our Communist leaders and your capitalists.
    (Remember the Hegelian dialectic?)

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]( ก่อนหน้าในวันที่ ๓ กันยายน ๒๔๗๖ หลวงประดิษฐมนูธรรมได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในสิงคโปร์เกี่ยวกับ
    เรื่องที่ถูกกล่าวหาสรุปความว่า เค้าโครงเศรษฐกิจของเขานั้นไม่ใช่คอมมูนิสต์ แต่
    เป็นเรดิกัล โซเซี่ยลลิสต์ Radical Socialists
    ซึ่งควรจะรู้ว่าโซเชียลลิสต์
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กับคอมมิวนิสต์นั้นแตกต่างกัน..)

    [/FONT]ความจริงไม่แตกต่างกัน เพราะเบื้องหลังคือ กลุ่มฟรีเมสันเหมือนกัน

    A history of the New World Order — Part II
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]1928
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] – “The Open Conspiracy: Blue Prints for a World Revolution” by H. G. Wells is published.
    A former Fabian socialist, Wells writes: “The political world of the Open Conspiracy must weaken,
    efface, incorporate, and supersede existing governments.
    The Open Conspiracy is the natural inheritor of socialist and communist enthusiasms;
    it may be in control of Moscow before it is in control of New York. The character of
    the Open Conspiracy will now be plainly displayed. It will be a world religion.”


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](แต่ถ้าเช่นนั้นทำไมปรีดีจึงเขียนเรื่องประธานาธิบดีในประกาศ โดยไม่เอ่ยถึงทางเลือก
    เรื่องเจ้านายอื่นเลย
    ดูเหมือนไม่เคยมีใครอธิบายได้เด็ดขาดเช่นกัน นอกจากพูดกันทำนองว่าเป็นเพียงการขู่
    จึงจงใจเขียนให้ดูรุนแรง)


    [/FONT][/FONT]http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/byproduct-royalists.html
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในหลวงอานันท์ขึ้นครองราชย์ตามลำดับขั้นของกฎมณเฑียรบาลหรือเพราะปรีดีสนับสนุน?
    [/FONT][/FONT]

    พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์)
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา

    พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) (30 เมษายน พ.ศ. 2428 - 29 มีนาคม พ.ศ. 2515) จบการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต่อมาได้เดินทางมายังประเทศไทย และดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสยาม เมื่อ พ.ศ. 2468 ต่อมาได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2475 และได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่งตั้งเป็นข้าหลวงใหญ่สหรัฐอเมริกาในฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2482 และดำรงตำแหน่งผู้แทนของสหรัฐ และประธานในคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2490 <SUP>[1]</SUP>
    ขณะดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ท่านได้ช่วยงานด้านการต่างประเทศของไทย โดยเป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2466 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านการทำสนธิสัญญา <SUP>[2]</SUP> ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยาณไมตรี คนที่สอง สืบต่อจาก พระยากัลยาณไมตรี (เจมส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด)
    ฟรานซิส บี. แซร์ เป็นบุตรเขยของอดีตประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน โดยสมรสกับเจสซี วิลสัน บุตรสาวของวูดโรว์ วิลสัน ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2456 มีบุตรชื่อ ฟรานซิส บี. แซร์ จูเนียร์, เอเลนอร์ แซร์ และ วูดโรว์ วิลสัน แซร์ <SUP>[1]</SUP>

    [​IMG]
    Jessie Wilson, circa 1913. Photo: the Woodrow Wilson House.

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Jessie, (born August 28, 1887) the middle daughter of Woodrow and Ellen Wilson,
    had always been lauded for her unique beauty. However, she was more than just a pretty face.
    Always aware of injustices, Jessie (along with her sisters), insisted that her father favor women’s
    suffrage and she continued to remain active in women’s rights until her death. She was even
    approached to run for Senator of Massachusetts because of her reputation as politically aware
    and a champion of social issues. She became secretary of the Massachusetts Democratic State Committee
    instead. Highly educated for a women of her time, Jessie studied, like her sister Margaret,
    at Goucher College and at Princeton University, where she earned a Phi Beta Kappa key for her academic accomplishments. She was married to
    Francis B. Sayre at the White House in 1914
    (before her mother’s death), to much press hoopla. At the time of Wilson's death in 1924,

    the couple was living in Siam (now Thailand) where Francis was working as
    an advisor on international law at the Royal Court of Siam.
    Jessie died in January of 1933
    following complications from surgery. She left behind three children. Photo courtesy of the Library of Congress.
    [/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]http://www.woodrowwilsonhouse.org/timeline/ImageDisplay.asp?ID=37[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Francis Bowes Sayre (April 30, 1885 -- March 29, 1972)
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Francis B. Sayre was a professor at Harvard Law School. He later served as ambassador to Siam,
    High Commissioner of the Philippines, U.S. representative to the United Nations Trusteeship Council,
    and Assistant Secretary of State for President Franklin Roosevelt.
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]He married Jessie Wilson,
    the daughter of President Woodrow Wilson, at the White House on November 25, 1913.
    They had three children. Francis B. Sayre, Jr. born in January 1915, Ellen born in March 1916,
    and Woodrow Wilson Sayre, born in 1919. Jessie Wilson Sayre died on January 15, 1933 of complications
    from surgery. Their son Francis Jr., was later the dean of the National Cathedral in Washington.
    [/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]http://www.geocities.com/lord_visionary/uspresidentasmasonspt2.htm[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]1913-1921 Woodrow Wilson, 28th. President of the United States (D)
    Unknown Mason status.
    However, his loyalty to the constitution is in question because of his mentor
    " Colonel " Edward Mandell House, who was the major founder of the earlier
    American Institute of International Affairs, known today as the

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]Council of Foreign Relations[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] (C.F.R.).
    The C.F.R. is an outer layer of the Royal Institute of International Affairs (Great Britain),
    whose purpose was to retake the United States as a British colony,
    and then unite the world
    under British control, which is another outer layer of the Round Table Organization,


    [/FONT]
    [/FONT]
     
  16. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ชวนอ่าน ปาฐกถา: ภราดรภาพนิยม (Solidarisme) ของปรีดี พนมยงค์

    http://www.lek-prapai.org/web%20lek-prapai/lek-prapai-day/lek-prapai-day4-2549-tape1.htm

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อีกนัยยะหนึ่งคุณธรรมหมายความว่าอย่างไร หมายความที่แล้วๆมาที่เราเรียนหนังสือมาทั้งหมด
    คุณธรรมหมายถึง คุณธรรมของชนชั้นปกครองแล้วไม่เคยเรียนเรื่องชาวบ้านเลย
    พระนเรศวรที่เรายกย่องกันมากนั้น พระนเรศวรพาคนไปตายมากที่สุด แต่เรายกย่องมากที่สุด
    แต่ไม่เห็นยกย่องเลยทหารเกณฑ์ที่ไปตายนั้น เมียก็เป็นหม้ายเป็นคุณธรรมซึ่งปราศจากจริยธรรม
    ปราศจากศีลธรรม ถ้าคุณธรรมโยงมาถึงจริยธรรมและศีลธรรมแล้วเราจะเน้นเรื่องขันติศึกษา
    ไม่เน้นเรื่องสงคราม ไม่เน้นเรื่องทหารเป็นใหญ่ นี่สำคัญมาก เมื่อตราบใดที่เราเน้นเรื่องทหารเป็นใหญ่
    ก็ไม่แปลกประหลาด ปฏิวัติทีก็เอาดอกไม้มาให้กัน เอาช็อกโกแลตมาให้กัน เพราะลึกๆ
    เรายังชอบความรุนแรง คุณธรรมของชนชั้นปกครองจะเป็นคุณธรรมซึ่งใช้อำนาจภาษาบาลีใช้คำว่า
    " อาณา " อาณาจักรคือวงล้อแห่งอำนาจ ในอดีตนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงตั้งศาสนาแล้วทรงตั้งพระธรรมจักร
    พระธรรมจักรมีพระสงฆ์เป็นตัวอย่าง
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เวลานี้ก็เหมือนกัน ท่านรัฐบุรุษทำตัวเป็นเจ้าครับ แล้วก็ไม่มีใครรังเกียจรังงอน ทุกคนกลัวหมด
    เพราะเราถูกสะกดคุณธรรม ต้องมีผู้นำและมีผู้ตาม แต่ประเด็นของผู้นำเหล่านั้น
    จะต้องมีคุณธรรมที่นำชาวบ้านได้ และชาวบ้านนับถือ เมื่อถึงรัชกาลที่ ๗ นั้นชาวบ้านเริ่มไม่นับถือเจ้า
    เริ่มไม่นับถือตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ปลายๆ แล้ว นี่ไม่ใช่คำพูดของผมครับ เป็นคำพูดรัชกาลที่ ๗ เอง
    เขียนถึงพระยากัลยาณไมตรี ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินรัชกาลที่ ๖ ท่านเขียนเองนะครับ

    เพราะเจ้าในเมืองไทยนั้นดูถูกพวกขุนนาง ดูถูกคนในเมืองไทย แต่นับถือฝรั่ง มีแฟนเป็นฝรั่ง
    ลูกเขยประธานาธิบดีวิลสัน ท่านเขียนไปปรึกษา อนาคตเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
    เพราะท่านมองเห็นเลยว่า ระบบเจ้าจะไปไม่รอด อาจารย์ปรีดี พนมยงค์มาช่วย
    วันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นการพลิกแผ่นดินขึ้นกลับไปหาความเป็นใหญ่
    รัฐธรรมนูญฉบับแรก
    วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ เขียนชัดเจน " ประเทศสยามเป็นของปวงชนชาวสยาม "
    สำคัญมาก แล้วกลับไปหาพื้นฐาน พื้นฐานที่คุณธรรมจะต้องเป็นธรรมะของคนส่วนใหญ่
    แต่คนส่วนใหญ่ปราศจากธรรมะก็เป็นโจรครับ บางอย่างก็ต้องมีธรรมเป็นพื้นฐาน
    [/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]http://www.geocities.com/yonroyalive/page1-17.html

    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]สัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติสยาม[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"คณะ ร.ศ.130" ถือว่าเป็นต้นแบบของการปฏิวัติให้แก่คณะราษฎรดังคำกล่าวที่ว่า
    "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีผม" ซึ่ง เป็นวาทะของพระยาพหลฯ และคำกล่าวของปรีดี พนมยงค์ต่อ
    คณะราษ ร.ศ.130 ว่า "พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันมาจากการกระทำเมื่อ ร.ศ.130
    จึงขอเรียกคณะ ร.ศ.130 ว่าพวกพี่ๆต่อไป (มีเรื่องเล่าอีกว่า ร.อ.ยุทธ ซึ่งต่อมา ดำรงตำแหน่งพันเอกพระยากำแพงราม
    ถูกจับได้ และจะถูกยิงเป้าเพราะเหตุหักหลังเพื่อนในเหตุการณ์ ร.ศ.130 แต่ถูกยับยั้ง ไว้เพราะจะกลายเป็นว่า
    การปฏิวัติ 2475 เป็นการแก้แค้นแทน คณะ ร.ศ.130 จึงปล่อยตัวไป ต่อมาก็เข้าร่วมกับพระเจ้าบวรเดช
    ก่อการกบฏและถูกจับได้อีกครั้ง พ.อ.พระยากำแพง(ยุทธ)ได้ผูกคอตายในห้องส้วมเรือนจำบางขวาง
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งต่อมา วันที่ 24 มิถุนายน ของทุกปี กลายเป็นวันที่คณะราษฎรพยายามทำให้เป็นวันสำคัญ
    ที่ประชาชนต้องจดจำ เช่น เป็นวันชาติ และสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไคยขึ้นโดยวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 24 มิถุนายน
    ในปี พ.ศ.2482 ซึ่งอนุสาวรีย์ถูกสร้าง ขึ้นโดย ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบ และมีนัยยะแฝงอยู่คือ
    [/FONT]

    1. [*][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พานรัฐธรรมนูญ
      มีความสูง 3 เมตร สื่อถึงอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ภายใต้รัฐธรรมนูญ คือ
      อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจ ตุลาการ แต่บางตำรากล่าวว่าหมายถึงเดือนมิถุนายน
      ในสมัยก่อนนับเป็นเดือนเมษายนเป็นเดือนแรก เดือนมิถุนายน
      จึงกลายเป็นเดือนที่ 3
    2. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พระขรรค์(ดาบ) ทั้ง 6
      ติดอยู่ตรงฐานทรงกลมใต้พาน หมายถึง หลัก 6
      ประการที่เป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้ประ เทศมั่นคง ซึ่งประกอบด้วย
      ความสงบภายใน ความเสมอภาค ความเสรีภาพ เศรษฐกิจ การศึกษา และเอกราช
      [/FONT]
    3. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปีกทั้ง 4 รอบอนุสาวรีย์ ซึ่งแต่ละปีกมีความสูง 24 เมตร สื่อถึงวันที่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ 24 [/FONT]
    4. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ภาพนูนต่ำบนฐานปีก แสดงถึงภาพเหตุการณ์และความพร้อมเพียงในการปฏิวัติของคณะราษฎร [/FONT]
    5. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปืนใหญ่ 75 กระบอก
      โดยปากกระบอกฝังลงดิน ตั้งอยู่รอบฐานมีโซ่เหล็กร้อยเอาไว้
      หมายถึงปีที่มีการเปลี่ยนแปลง คือปี 75 และโซ่ที่ร้อยไว้หมายถึง
      ความสามัคคีพร้อมเพียงของคณะปฏิวัติ
      [/FONT][/FONT]
    <TABLE borderColor=#ffffff align=center border=1><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#808080>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เรื่องวันชาติ

    ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติว่า วันที่ 24 มิถุนายน ย่อมถือว่าเป็นวันชาติ
    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    ประกาศมา ณ วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2481

    พ.อ.พหลพลพยุหเสนา
    นายกรัฐมนตรี

    [/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ 24 มิถุนายน ก็กลายเป็นวันชาติ มีการแต่งเพลงวันชาติ และใช้วันที่ 24 มิถุนายน
    จัดงานฉลองวัน ชาติ หรือเปิดอาคารสำคัญต่างๆ เปิดอนุสาวรีย์ ฯลฯ ซึ่งมันัยสำคัญเพื่อให้วันที่ 24 มิถุนายนถูกจดจำไว้
    รวมไปถึงสถานที่ สำคัญต่างๆด้วย
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2482 รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อประเทศ"สยาม"เป็นประเทศ"ไทย"
    มีผลทำให้เพลงชาติเดิมเปลี่ยน แปลงไปด้วย เพลงชาติไทย ที่ประกาศใช้วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2482
    ซึ่งมีคำร้องเป็นของพันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และใช้ทำนองเดิม เหตุการณ์ต่างๆในปีต่างๆ
    ในช่วงที่คณะราษฎรขึ้นปกครองบ้านเมืองได้ใช้วันที่ 24 มิถุนายน เกือบทุกปี
    คือ
    [/FONT]
    1. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. 2482 ทำพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย [/FONT]
    2. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. 2483
      ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำพิธีเปิดตึกที่ทำการกรมรถไฟ
      ทำพิธีเปิดโรงเรียนเตรียมอุดม ทำพิธีเปิดตึกกรมไปรษณีย์โทรเลข บางรัก
      ทำพิธีเปิดตึกเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
      [/FONT]
    3. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. 2484 ทำพิธีเปิดตึกแถวบริเวณถนนราชดำเนินกลาง ทำพิธีเปิดกระทวงยุติธรรม [/FONT]
    4. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. 2485 ทำพิธีเปิดวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน (วัดประชาธิปไตย) ทำพิธีเปิดอนุสาวรย์ชัยสมรภูมิ [/FONT]
    5. [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ปี พ.ศ. 2486 มีการสวนสนามอนุสารีย์ประชาธิปไตย จัดให้มีการวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำพิธีเปิดโรงแรมรัตนโกสินทร์ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในปัจจุบันวันชาติ 24 มิถุนายน ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
    พร้อมกับอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรที่สูญหายไปด้วย
    ไม่มีทายาททางการเมืองใดที่จะมาสานต่อเตนารมณ์อีกต่อไป

    [/FONT]
     
  17. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    CIA: ตัวอย่างกลยุทธ์โค่นรัฐบาล

    posted on 18 Mar 2010 20:48 by orthodox
    <!--/* Font Definitions */@font-face{font-family:&quot;Cordia New&quot;;panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;}@font-face{font-family:&quot;Cambria Math&quot;;panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4;mso-font-charset:1;mso-generic-font-family:roman;mso-font-format:eek:ther;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:0 0 0 0 0 0;}@font-face{font-family:Calibri;panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:-1610611985 1073750139 0 0 159 0;}/* Style Definitions */p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal{mso-style-unhide:no;mso-style-qformat:yes;mso-style-parent:&quot;&quot;;margin-top:0cm;margin-right:0cm;margin-bottom:10.0pt;margin-left:0cm;line-height:115%;mso-pagination:widow-orphan;font-size:11.0pt;mso-bidi-font-size:14.0pt;font-family:&quot;Calibri&quot;,&quot;sans-serif&quot;;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}span.apple-style-span{mso-style-name:apple-style-span;mso-style-unhide:no;}.MsoChpDefault{mso-style-type:export-only;mso-default-props:yes;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}.MsoPapDefault{mso-style-type:export-only;margin-bottom:10.0pt;line-height:115%;}@page Section1{size:595.3pt 841.9pt;margin:72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt;mso-header-margin:35.4pt;mso-footer-margin:35.4pt;mso-paper-source:0;}div.Section1{page:Section1;}-->
    [​IMG]
    (รูป ปกหนังสือประวัติศาสตร์การทูตจีน-ไทย ยุคใต้ดิน ที่ยังพอหาอ่านได้)
    “สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยอ่อนแอลงได้มีอย่างเดียวคือคนไทยขาดความสามัคคี ส่วนนโยบายต่างประเทศประเทศไทยมีข้อดีคือตั้งอยู่ในยุทธศาสตร์ที่สำคัญ แต่เป็นประเทศเล็กๆ วิธีที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์สูงสุดคือต้องเป็นกลาง!!” ประธาน เหมา เจ๋อ ตุง พูดกับ นาย อารี ภิรมย์ หัวหน้าคณะทูตใต้ดินไทย พศ.2493 จากหนังสือ “ประวัติศาสตร์การทูตจีน-ไทย ยุคใต้ดิน”
    [​IMG]
    (รูป การรัฐประหารในชิลี โดย นายพล ปิโนเช่ ปี 1973 ทำให้ชิลีอยู่ในการปกครองที่นองเลือดกว่า 20 ปี)
    สิ่งที่ เหมา เจ๋อ ตุง กล่าวไว้กว่า 60 ปีแล้ว ยังเป็นจริงอยู่จนบัดนี้ สำหรับประเทศที่แตกความสามัคคีจนชาติต้องล่มจม ในอดีตมีมากมายนับไม่ถ้วนจนไร้ประโยชน์ที่จะบอกว่า ข้อเสียของการแตกสามัคคีคืออะไร ในยุทธศาสตร์การต่อต้านคอมมิวนิสต์ของ CIA สมัยก่อนคือ สนับสนุน ระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ในการทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย ฟังแล้วคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันคงประหลาดใจ.... ว่า อเมริกาที่แหกปากพูดกับชาวบ้านอยู่ 3 เรื่อง คือ “ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ตลาดเสรีทุนนิยม” จะทำอะไรเช่นนี้ ...
    [​IMG]
    (รูป ปธน.คนที่ 34 ของ สหรัฐ นายพล ไอน์เซนฮาว ผู้ขยายขอบข่ายการจารกรรมของ CIA ไปทั่วโลก)
    ในช่วง คศ 1950s สมัย ปธน ไอเซนส์ฮาว มีนักประวัติศาสตร์บางคนกล้าพูดว่า “เป็นยุคสมัยที่ดีที่สุด เนื่องจากท่าน ปธน ไม่ได้ทำอะไรเลย...” ผิดถนัด!!! ในยุคของ ปธน ไอน์เซนฮาว เป็นยุคที่ CIA ขยายการปฏิบัติการออกไปทั่วโลกจนปัจจุบันนี้ จากความหวาดกลัวที่ คอมมิวนิสต์ยึดประเทศจีน ..คิวบาเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์และกำลังส่งออกการปฏิวัติไปทั่วอเมริกาใต้
    ถ้าหากอเมริกาใต้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ อเมริกาจะเสียประโยชน์... เพราะ บ.เอกชน ของอเมริกาไปลงทุนด้านการเกษตร และเหมืองแร่ไว้มาก ซึ่งนโยบายคอมมิวนิสต์คือเข้าควบคุมทุกอย่างที่เป็นเอกชนแล้วบริหารเอง เนื่องจากลักษณะความเหลื่อมล้ำอย่างมากของสังคมอเมริกาใต้ที่ คนประมาณ 5% ของประเทศถือครองแผ่นดิน 90% ของประเทศ และกิจการใดๆส่วนใหญ่ก็เป็นของต่างชาติ... พรรคการเมืองที่มีนโยบายสังคมนิยม(คอมมิวนิสต์)จึงได้ชัยชนะอย่างถล่มทลาย... เพื่อรักษาผลประโยชน์ของอเมริกา... รัฐบาลพวกนั้นต้องถูกกำจัดทิ้ง!!
    [​IMG]
    โดย!! กลยุทธ์หลักๆที่ CIA .ใช้ในช่วง 1950s-1980s พอจะสรุปได้ 3 ข้อดังนี้
    1.อำนาจการเมืองระหว่างประเทศ เช่น คว่ำบาตร ตัดสัมพันธ์การทูต ยุติความช่วยเหลือ ยุแยงตะแคงรั่ว หรือจัดตั้งกองทัพสงครามตัวแทน โดยให้เงินเพื่อชักจูงพวกแกนนำ แล้วให้อุดมการณ์เพื่อชักจูงพวกระดับล่าง ความเดือดร้อนของประชาชนที่เกิดจากการแทรกแซงนี้ มีสิทธิ์เป็นข้ออ้างในการล้มรัฐบาลได้
    ตัวอย่าง...
    [​IMG]
    (รูป รถถังโซเวีิยต กลางบูดาเปส เมืองหลวงฮังการี)
    1956 CIA อาศัย radio free Europe ปลุกปั่นให้ ชาวฮังการี ลุกขึ้นมาต่อต้านการยึดครองของ โซเวียต “แล้วอเมริกันจะส่งอาวุธมาช่วย” แต่โซเวียต ไม่อ่อนข้อให้การลุกฮือของชาวฮังการี จึงส่งกองทัพมาปราบอย่างโหดเหี้ยม...ชาวฮังการีตายไป 30,000 คนและความช่วยเหลือของอเมริกัน ก็เป็นแค่ลมปาก.....
    [​IMG]
    (รูป สงครามกลางเมืองอังโกล่า)
    1975 โค่นรัฐบาลอังโกล่า แม้ว่าประเทศนี้จะตั้งอยู่ในแอฟริกาและไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เลย แต่ ปธน. Jonas Savimbi ดันไปสนับสนุนให้โซเวียตติดอาวุธนิวเคลียร์ให้คิวบา จากท่าทีนี้..ทำให้สหรัฐเคืองจนสั่งให้ CIAส่งอาวุธให้ กลุ่มกบฏ UNITAS เพื่อโค่นรัฐบาล สงครามที่สุดไร้สาระนี้ยืดเยื้อนับ 10 ปี คนตายไป 300,000 คน
    [​IMG]
    (รูป William Casey ผู้อำนวยการ CIA ลงพื้นที่ ดูค่ายฝึกมูจาฮิดินที่อัฟกันนิสถาน ปี 1980)
    1979-1989 CIA สนับสนุนอาวุธให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลอัฟกันสถาน เพื่อสู้กับรัฐบาลที่นิยมคอมมิวนิสต์ของโซเวียต.. CIA ชูธงสงครามศักสิทธิ์ของศาสนาอิสลาม(จีฮัด) เพื่อดึงมุสลิมจากทั่วโลกมารบ แต่ท้ายสุด CIA ต้องปวดหัวกับพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นผลิตผลจากสงครามครั้งนี้ที่เอา กลยุทธ์ที่ CIA สอนมาใช้สู้กับสหรัฐต่อ โดยชูธงสงครามศักสิทธิ์ต่อต้าน ยิว และ อเมริกา(คริสเตียน)

    2. อาศัยอำนาจเงิน โดยเฉพาะการติดสินบน ซึ่งใช้ได้ผล และประสบความสำเร็จอย่างสูง เป้าหมายของ CIA คือ ทหารในกองทัพประเทศนั้นๆ เป็นหลัก เพราะกองทัพมักจะถนัดในการใช้ความหวาดกลัวปกครองประชาชนอยู่แล้ว...แถม CIA ยังไม่ต้องเสียเวลาติดอาวุธให้คนพวกนี้ด้วย ..... สรุป.. หลอกให้คนของประเทศนั้นฆ่ากันเองด้วยอาวุธของเขาเอง.. เพื่อผลประโยชน์ของ อเมริกา และเศษเงินที่อเมริกาจะเจียดให้กลุ่มผู้ทำการปฏิวัติเล็กน้อย....
    ตัวอย่าง...
    [​IMG]
    (รูป โมฮาเม็ด ปาลาวี หัวหน้าคณะรัฐประหารที่เลื่อนตำแหน่งตัวเองเป็น กษัตริย์)
    1953 Operation MK-ULTRA โค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของอิหร่าน Mohammed Mossadegh เนื่องจากพยายามยึดบ่อน้ำมันของ บ.ในเครือของร็อคกี้เฟลเลอร์ กลับเป็นของรัฐ พวกทหารที่ก่อการรัฐประหาร เลื่อนตัวเองเป็น พระเจ้า ชาห์ แห่งอิหร่าน ซึ่งกุมอำนาจต่อมาได้อีกถึง 20 ปี...

    มีต่อ
     
  18. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    CIA: ตัวอย่างกลยุทธ์โค่นรัฐบาล

    [​IMG]
    (รูป รัฐประหารที่นองเลือดในกัวเตมาลา CIA ส่งคนมาช่วยฝึกอาวุธให้พวกกบฏด้วย)
    1954 โค่นล้มรัฐบาลกัวเตมาลาที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจาก Jacob Arbenz พยายามปฏิรูปที่ดินของประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของ บ.United fruit รัฐบาลเผด็จการทหารใหม่นี้ครองอำนาจต่อเนื่องกันถึง 40 ปี (ซึ่งประเทศในแถบละตินอเมริกาแทบทุกประเทศถูกก้าวก่ายแทรกแซงจากอเมริกาถ้าให้ในพูดให้หมดทุกประเทศคงต้องเขียนอีกหลาย entry แต่เหตุผลหลักๆคือเรื่องเดิมคือ..นโยบายขัดผลประโยชน์สหรัฐ ข่าวการปฏิวัติรัฐประหารมีแทบทุกวันในช่างปี 1960s จนถึงบัดนี้ประเทศแถบนี้ยังเรื้อรังไปด้วย การคอรัปชั่น อาชญากรรม และช่องว่างระหว่างชนชั้น จนยากจะพัฒนาให้ไปไกลกว่านี้ได้)
    [​IMG]
    (รูป หลัง ซูฮาโต ยึดอำนาจก็เริ่มการสังหารฝ่ายอำนาจเดิมโดยยัดข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์)
    1965 โค่นรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งมี ซูการ์โน เป็นผู้นำเนื่องจากประกาศให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่เป็นกลาง ท่ามกลางกระแสสงครามเย็นที่กำลังระอุ.. หลังพยายาม ติดสินบน ลอบสังหาร และทำลายชื่อเสียงด้วยประเด็นชู้สาว ไม่สำเร็จ CIA จึงหนุน ซูฮาร์โต ให้โค่นรัฐบาล ซูการ์โน และครอบครัวของ ซูฮาร์โต ก็ได้ครองอำนาจต่อเนื่องมาได้อีกถึง 30 ปี

    3. รุกรานโดยตรง โดยส่งทหารไปล้มรัฐบาล แล้วจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นใหม่...
    ตัวอย่าง..
    [​IMG]
    (รูป ฟิเดล คาสโตร นำทัพต้านการบุกของ อเมริกันที่ bay of pig)
    1961 Operation Mongoose CIA ส่งทหารเชื้อสายคิวบา 1,500 คน ยกพลขึ้นบกที่ Bay of pig ที่คิวบา โดยหวังว่าการบุกครั้งนี้จะกระตุ้นให้ประชาชนทั้งคิวบาลุกฮือ พร้อมทั้งสัญญากับกลุ่มกบฏว่าจะสนับสนุนการปฏิบัติการทางอากาศ...... แต่คำสัญญานั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ...โชคร้ายของ CIA ที่สายลับ KGB ของโซเวียต จารกรรมข้อมูลปฏิบัติการนี้ได้ สรุป....ทุกอย่างจะล้มเหลว ….Allen Dulles. ผู้อำนวยการ CIA ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง
    [​IMG]
    (รูป อเมริกาส่งทหาร 27,000 นาย บุกปานามา)
    1989 Operation Just cause สหรัฐส่งกำลังบุก ปานามา เพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารคือ General Manuel Noriega ซึ่ง CIA หนุนหลังมาตั้งแต่ปี 1966 ด้วย 2 ปัจจัยคือ 1.ส่งยาเสพติดเข้าสหรัฐ 2.**พยายามจะยึดคลองปานามากลับเป็นสมบัติของรัฐบาล(คลองปานามาเป็นสมบัติของสหรัฐ)
    .....
    [​IMG]
    (รูป การรัฐประหารใน เฮติ โดย CIA หนุนหลังเช่นเดิม)
    ....วิธีที่ CIA ใช้ไล่จาก ราคาถูก ไป แพง ก็ตามนี้
    หากชาติไหน ระบอบการปกครองอ่อนแอ มีความเหลื่อมล้ำสูง ระเบียบวินัยคนในชาติต่ำ ไม่มีความสามัคคี... การรัฐประหารด้วยกองทัพจะถูกเลือกใช้
    หากชาติไหน ปกครองด้วยระบอบที่เฉียบขาด แต่ประชาชนไม่สามัคคี... ต้องติดอาวุธให้คนของมันฆ่ากันเอง
    หากชาติไหน ปกครองด้วยระบอบที่แข้มแข็ง ประชาชนสามัคคีกันสูง .... จำเป็นต้องส่งกองทัพไปเพื่อบีบให้จำนน
    ตัวอย่างเพิ่มเติมการโค่นรัฐบาลจากข้างถนน
    [​IMG]
    (รูป ฝูงชนออกมาบีบให้ รัฐบาลจัดการเลือกตั้งใหม่ที่ยูเครน)
    <!--/* Font Definitions */@font-face{font-family:&quot;Cordia New&quot;;panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;}@font-face{font-family:&quot;Cambria Math&quot;;panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4;mso-font-charset:1;mso-generic-font-family:roman;mso-font-format:eek:ther;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:0 0 0 0 0 0;}@font-face{font-family:Calibri;panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:-1610611985 1073750139 0 0 159 0;}/* Style Definitions */p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal{mso-style-unhide:no;mso-style-qformat:yes;mso-style-parent:&quot;&quot;;margin-top:0cm;margin-right:0cm;margin-bottom:10.0pt;margin-left:0cm;line-height:115%;mso-pagination:widow-orphan;font-size:11.0pt;mso-bidi-font-size:14.0pt;font-family:&quot;Calibri&quot;,&quot;sans-serif&quot;;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}span.apple-style-span{mso-style-name:apple-style-span;mso-style-unhide:no;}.MsoChpDefault{mso-style-type:export-only;mso-default-props:yes;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}.MsoPapDefault{mso-style-type:export-only;margin-bottom:10.0pt;line-height:115%;}@page Section1{size:612.0pt 792.0pt;margin:72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt;mso-header-margin:36.0pt;mso-footer-margin:36.0pt;mso-paper-source:0;}div.Section1{page:Section1;}-->
    orange revolution ในยูเครน ….ปี 2004 วิตเตอร์ ยุนุโควิช(ซึ่งเป็นโปรรัสเซีย)ผู้ชนะการเลือกตั้งในสัดส่วน 66% ถูกกล่าวหาว่าโกงการเลือกตั้ง ผู้สนับสนุน วิตเตอร์ ยุเชงโก้(โปรอเมริกา) จึงออกมาบนท้องถนนแล้วตั้งตัวเป็นชุดสีส้ม โบกธงสีส้ม เพื่อขับไล่ วิตเตอร์ ยุนุโควิช กันทั่วประเทศ...
    เนื่องจากไม่ต้องการการนองเลือด วิกเตอร์ ยุนุโควิช จึงต้องออกมาประกาศให้เลือกตั้งใหม่ และเขาก็แพ้การเลือกตั้ง....
    [​IMG]
    (รูป ฝูงชนออกมาล้อมทำเนียบจอร์เจีย เพื่อล้มกระดานการเลือกตั้ง 2003)
    rose revolution ในจอร์เจีย 2003 ปธน เซวาสนาสเซ่ (โปรรัสเซีย)ชนะการเลือกตั้งตั้งรัฐบาลโดยได้ที่นั่งในสภา 85 ที่นั่ง จาก 135 ที่นั่ง คู่แข่งการเลือกตั้งคือ ซาคาสวิลิ(โปรอเมริกา) กล่าวหาว่าถูกโกงการเลือกตั้ง พรรคพวกของ ซาคาสวิลิ นำคนมากมายออกมาบนท้องถนน แต่ ปธน เชวาสนาสเซ่ ไม่สนใจจึงเดินหน้าเปิดสภาสมัยสามัญต่อตามกำหนด..
    [​IMG]
    (รูป ซาคาสวิลิ )
    คราวนี้ ซาคาสวิลิ เดินเข้าไปหา ปธน เชวาสนาสเซ่ ขณะกำลังกล่าวแถลงนโยบายโดยแหวกฝูงบอดี้การ์ดเข้าไปแล้วยื่นดอกไม้ให้... คราวหน้าฝูงชนนับแสนได้เคลื่อนตัวมาล้อมรัฐสภา ปธน เชวาสนาสเซ่ ได้สั่งให้ตำรวจ ทหาร สลายการชุมนุม แต่ ตำรวจ ทหารปฏิเสธ ปธน.เชวาสนาสเซ่ จึงต้องลงจากตำแหน่ง..
    [​IMG]
    (รูป ฝูงชนคลุ้มคลั่งไร้การควบคุม ในการปฏิวัติล้มรัฐบาลโรมาเนีย 1989)
    Romania revolution ในโรมาเนีย 1989 ปธน เชาเชสคู ผู้นำคอมมิวนิสต์ ต้องการแสดงให้ชาวโลกเห็นความแข็งแกร่งของ คอมมิวนิสต์โรมาเนียหลังจากที่ประเทศคอมมิวนิสต์ต่างๆในยุโรปทยอยกันล่มสลาย.. ปธน.เชาเชสคู จึงสั่งให้มีการชุมนุมของประชาชนเพื่อสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์.. ทันทีที่ ปธน.เชาเชสคู ออกมาที่ระเบียงเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ เริ่มมีเสียงโห่ร้องขึ้น จากนั้นเสียงโห่ประสานกันแรงขึ้นแล้วฝูงชนเริ่ม <!--/* Font Definitions */@font-face{font-family:&quot;Cordia New&quot;;panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;}@font-face{font-family:&quot;Cambria Math&quot;;panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4;mso-font-charset:1;mso-generic-font-family:roman;mso-font-format:eek:ther;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:0 0 0 0 0 0;}@font-face{font-family:Calibri;panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4;mso-font-charset:0;mso-generic-font-family:swiss;mso-font-pitch:variable;mso-font-signature:-1610611985 1073750139 0 0 159 0;}/* Style Definitions */p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal{mso-style-unhide:no;mso-style-qformat:yes;mso-style-parent:&quot;&quot;;margin-top:0cm;margin-right:0cm;margin-bottom:10.0pt;margin-left:0cm;line-height:115%;mso-pagination:widow-orphan;font-size:11.0pt;mso-bidi-font-size:14.0pt;font-family:&quot;Calibri&quot;,&quot;sans-serif&quot;;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}.MsoChpDefault{mso-style-type:export-only;mso-default-props:yes;mso-ascii-font-family:Calibri;mso-ascii-theme-font:minor-latin;mso-fareast-font-family:Calibri;mso-fareast-theme-font:minor-latin;mso-hansi-font-family:Calibri;mso-hansi-theme-font:minor-latin;mso-bidi-font-family:&quot;Cordia New&quot;;mso-bidi-theme-font:minor-bidi;}.MsoPapDefault{mso-style-type:export-only;margin-bottom:10.0pt;line-height:115%;}@page Section1{size:595.3pt 841.9pt;margin:72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt;mso-header-margin:35.4pt;mso-footer-margin:35.4pt;mso-paper-source:0;}div.Section1{page:Section1;}-->เคลื่อนไหวด้วยความรุนแรง
    [​IMG]
    (รูป วาระสุดท้ายของ ปธน.เชาเชสคู)
    ปธน.เชาเชสคู สั่งให้สลายการชุมนุม แต่ตำรวจ ทหาร ปฏิเสธแล้วหันไปเป็นฝ่ายเดียวกับฝูงชน.. ท้ายสุดเชาเชสคูต้องหนีจากทำเนียบด้วยเฮลิคอปเตอร์อย่างทุลักทุเล.. หลังจากนั้นไม่นาน ทหารที่ช่วยเหลือ ปธน.เชาเชสคู กลับนำเขาไปประหาร...คอมมิวนิสต์ในโรมาเนียจึงสิ้นสุดตั้งแต่นั้น...
    เฮ้อ...
    edit @ 18 Mar 2010 23:58:03 by orthodox

    Tags: cia, การบ่อนทำลาย

    ที่มา EXTEEN BLOG | Blog Service for Thai People
     
  19. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    เจาะประวัติ "ซีไอเอ"

    คัดลอกมาจากหนังสือ "ร้ายสาระ"

    โดย ศิลป์ อิศเรศ

    เรื่องราวลึกลับต่างๆ ที่เราได้ยินมาได้ฟังมา มักจะมีการกล่าวอ้างว่ามีหน่วยสืบราชการลับ
    หน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐเข้ามาพัวพันเสมอๆ และหน่วยงานนั้นก็คือ ซีไอเอ วันนี้
    เราจะมาทำความรู้จักกันว่า พวกเขาเป็นใครกัน

    ก่อนจะมาเป็น ซีไอเอ (Central Intelligence Agency)
    [​IMG]



    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ (FRANKLIN D. ROOSEVELT)

    [​IMG]
    ได้มีดำริที่จะก่อตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นเขาจึงได้สั่งให้ทนายชาวนิวยอร์ก
    วิลเลี่ยม เจ โดโนแวน (WILLIAM J. DONAVAN)

    เขียนร่างแบบโครงสร้างของหน่วยสืบราชการลับขึ้น

    เมื่อรูปแบบขององค์กรได้รับการอนุมัติ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942
    สำนักงานยุทธศาสตร์ หรือ The Office of Strategic Services (OSS) ก็ได้ถูกก่อตั้งขึ้น



    โดยมีหน้าที่หลักในการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อใช้ในราชการทหาร โดยรับคำสั่งจาก
    คณะเสนาธิการร่วม (the Joint Chiefs of Staff)

    โอเอสเอส เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับใคร ในช่วงที่เกิดวิกฤติสงคราม โอเอสเอส ได้มีอิทธิพลอย่างมาก
    ต่อการตัดสินใจของกองทัพ แต่ถึงกระนั้น โอเอสเอส ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในด้านงานสืบราชการลับ
    ระหว่างประเทศ เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1930 นั้น หน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในงานสืบราชการลับ
    ในพื้นที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาก็คือ เอฟบีไอ (FBI)


    [​IMG]



    ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 หน่วยงาน โอเอสเอส ก็ถูกปิด อาจจะเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้จบสิ้นลง
    จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ โอเอสเอส อีกต่อไป ภารกิจและเอกสารต่างๆ ถูกส่งมอบต่อให้กับกระทรวงต่างประเทศ
    แต่อย่างไรก็ตามกองทัพยังมีความต้องการ การใช้งานสืบราชการลับหลังวิกฤติสงคราม 11 เดือนต่อมา
    พลตรี วิลเลี่ยม จึงได้ทำหนังสือถึงประธานาธิบดี แฟรงกลิน เพื่อขอให้มีการจัดตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นมาใหม่

    หน่วยงานที่ถูกก่อตั้งใหม่ครั้งนี้จะไม่รับคำสั่งจากคณะเสนาธิการร่วม แต่จะขึ้นตรงกับประธานาธิบดี อีกทั้งหน่วยงานนี้
    จะปฏิบัติหน้าที่ทั้งราชการลับและเปิดเผย ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากหน่วยงานนี้จะถูกนำไปใช้ในหน่วยงานราชการทุกที่
    ที่มีความต้องการไม่จำกัดเฉพาะงานราชการทางการทหาร

    ดังนั้น หน่วยงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงต้องประสานงานกับหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน เสมือนหนึ่งเป็นขุมกำลังหรือ
    ศูนย์กลางของหน่วยงานราชการของสหรัฐ พลตรี วิลเลี่ยม ยังได้เสนอให้หน่วยงานใหม่นี้มีอำนาจในการเข้าแทรกแซง
    กิจการภายในของประเทศต่างๆ ด้วย

    กองทัพสหรัฐ คัดค้านการก่อตั้งหน่วยงานนี้ทันที ส่วนกระทรวงต่างประเทศก็ค้านอย่างนุ่มนวลว่า สงครามได้สงบลงแล้ว
    การเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นอาจทำลายความสัมพันธ์อันดีกับประเทศพันธมิตร และทุกวันนี้ เอฟบีไอ
    ก็ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งข่าวกรองให้กับกองทัพได้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว

    แต่ก็ยังพอจะมีคนที่เห็นด้วยกับความคิดของ พลตรี วิลเลี่ยม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946
    ประธานาธิบดี แฮร์รี่ เอส ทรูแมน (Harry S. Truman)

    ได้อนุมัติให้ก่อตั้ง ศูนย์กลางหน่วยสืบราชการลับ (the Central Intelligence Group - CIG) โดยมีหน้าที่เข้าเสริมและ
    ช่วยเหลืองานหน่วยสืบราชการลับที่มีอยู่ของราชการแค่นั้นไม่ใช่เข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว ทั้งนี้งานทั้งหมดอยู่ภายใต้
    การควบคุมขององค์การสืบราชการลับแห่งชาติ (National Intelligence Authority)

    ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป้นผู้อำนวยการ ซีไอจี คนแรกคือ พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers)
    อดีตผู้ช่วยเสนาธิการทหารเรือเพียงแค่ 20 เดือนต่อมา องค์การสืบราชการลับแห่งชาติ และภารกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
    ซึ่งรวมถึง ซีไอจี ก็ถูกยกเลิก

    มีต่อ
     
  20. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ในที่สุด ซีไอเอ ก็เกิด

    ภายใต้ข้อกำหนดของ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947 หน่วยงาน 2 หน่วยงานก็ถูกจัดตั้งขึ้นในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1947
    หน่วยงานแรกคือ สภาองคมนตรีรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (The National Security Council - NSC) และคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
    หน่วยงานที่สองคือ องค์การสืบราชการลับหรือที่บางคนเรียกว่า หน่วยข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency - CIA)

    ซีไอเอ ได้จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยแบบโครงร่างของหน่วยสืบราชการลับที่ พลตรี วิลเลี่ยม ได้ร่างขึ้น เอ็นเอสซี จะมอบหมาย
    งาน "เฉพาะกิจ" ที่เกินขอบเขตอำนาจของตำรวจ และหน่วยป้องกันภัยแห่งชาติให้แก่ ซีไอเอ เป็นผู้สะสาง

    ในปี ค.ศ. 1949 ซีไอเอ ได้รับอนุมัติให้ใช้งบประมาณแผ่นดินส่วนหนึ่งได้ถูกกันไว้ให้กับ ซีไอเอ โดยเฉพาะ
    ซึ่งเป็นงบราชการลับโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสืบสาวไปถึงภารกิจ
    ที่เป็นความลับของ ซีไอเอ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องตัว ซีไอเอ จากการถูกสืบสาวไปถึงตัวองค์กร
    โครงสร้างขององค์กร เจ้าหน้าที่ ขนาดขององค์กร และข้อมูลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เดิมที ซีไอเอ อยู่ใต้การบังคับบัญชาของ สภาสามัญของหน่วยสืบราชการลับที่ชื่อ
    Deputy Director of the Central Intelligence Agency (DDCIA) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953
    ก็มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งก็คือ
    พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)

    [​IMG]

    สภานิติบัญญัติได้เริ่มมองเห็นความสำคัญ และความยิ่งใหญ่ของตำแหน่งผู้อำนวยการ ซีไอเอ ดังนั้น
    ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 พวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ 1947
    โดยให้ภารกิจของ ซีไอเอ ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี ซึ่งทั้งนี้คำสั่งต่างๆ ที่จะส่งไปยัง ซีไอเอ
    จะต้องผ่านความเห็นชอบของสภาสูงเสียก่อน

    ซีไอเอ พระเอกหรือผู้ร้าย

    ซีไอเอ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีอื้อฉาวมากมายนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา เช่นถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างพื้นที่ 51

    ขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานีทดลองเครื่องบินล่องหน (Stealth aircraft)

    และกลายเป็นสถานีทดลองเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาวในที่สุด

    ปี ค.ศ. 1953 ผอ. อัลเลน ดูลเลส (Allen Welsh Dulles)

    สั่งให้มีการทดลองการควบคุมจิตใจมนุษย์ Mind control ภายใต้ชื่อการทดลอง MKULTRA
    ซึ่งการทดลองนี้ได้ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปหลายล้านเหรียญทีเดียว ในปี ค.ศ. 1960 ซีไอเอ
    ได้อยู่เบื้องหลัง การลอบสังหารผู้นำคณะปฏิวัติของคิวบา คือนาย ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

    [​IMG]

    วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1961 ซีไอเอ ส่งพลร่ม 1,300 นาย ไปปฏิบัติภารกิจในคิวบา ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ
    ปี ค.ศ. 1962 ซีไอเอ พัวพันกับการลอบติดกล้องจารกรรมในเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อดัง
    ที่ถูกใช้ในสถานทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน

    ในสงครามเวียดนาม ซีไอเอ ได้ใช้สงครามจิตวิทยา สร้างความรุนแรงเพื่อให้ประชาชนต่อต้านพวกเวียดกงมีรายงานว่า
    มีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกฆาตกรรมถึง 20,000 คน แต่ก็มีแหล่งข่าวบางแห่งแย้งว่ายอดของเหยื่อน่าจะสูงถึง 40,000 คน

    ปี ค.ศ. 1995 ซีไอเอ ริเริ่มโครงการสายลับพลังจิตภายใต้ชื่อ โครงการสตาร์เกต โดยมีจุดประสงค์ที่จะ
    ทำการจารกรรมระยะไกล เช่น การสืบหาแหล่งที่ซ่อนใต้ดินของข้าศึกหรือสถานที่กักกันเชลย

    นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของเรื่องราวอื้อฉาวที่ ซีไอเอ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ในอันที่จริงแล้ว
    เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ยังเป็นปริศนามากกว่าร้อยเรื่อง จนเมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996
    ได้มีการเดินขบวนประท้วง ซีไอเอ ที่ลอสแองเจลิส เพื่อขอให้ ซีไอเอ ยุติภารกิจต่างๆ

    มีต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...