พระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ - การแบ่งภาค โดยหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 8 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ -การแบ่งภาค
    [​IMG]เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ วันหนึ่ง ขณะที่ผู้เขียนกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่ ท่านได้ถามผู้เขียนว่า
    "เคยได้ยินเรื่องการแบ่งภาคไหม"
    ผู้เขียนเรียนตอบท่านว่า
    "เคยครับ ในเรื่องรามเกียรติ์ พระรามแบ่งภาคมาจากพระนารายณ์ มีจริงหรือครับหลวงปู่"
    หลวงปู่ท่านนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วตอบว่า
    "มีจริงเหมือนกัน อย่างหลวงปู่ทวดแบ่งภาคมาเกิดไงละ"
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ เคยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนถามหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ตอบว่า
    "มี...แต่ทำได้ในพวกหน่อพุทธภูมิ"
    หลวงปู่ท่านเคยบอกผู้เขียนว่า
    "แกรู้ไหมว่า ในหลวงท่านเป็นใคร ท่านคือผู้ปรารถนาพุทธภูมิ กำลังใจของท่านพวกนี้จะต้องเป็นผู้นำหมู่คณะ ดูอย่างวัวยังมีจ่าฝูง นกก็ต้องมีหัวหน้าฝูง วัดก็ต้องมีเจ้าอาวาส อย่างหลวงพ่อใหญ่ (พระโบราณคณิสร อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก) แต่หน่อพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มแล้ว สูงแล้ว เขามักจะไม่เป็นกษัตริย์ เพราะจะมีภาระหนักหน่วง ส่วนใหญ่เขามักเป็นคนธรรมดาแล้วบวชพระ แต่จะบำเพ็ญบารมีจนในที่สุดจะกระเทือนถึงพระราชวงศ์เอง พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ท่านมีบุญมาก และเป็นแบบอย่างให้ข้าราชการผู้ใหญ่ทำตาม"
    ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านต่อไปว่า
    "หลวงปู่ครับ หน่อพุทธภูมิที่บารมีเต็มแล้ว ท่านก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหม รอการตรัสรู้เลยที่ชั้นดุสิต หรืออย่างหลวงปู่ก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหมครับ"
    หลวงปู่ตอบว่า
    "กำลังของพุทธภูมิมีหน้าที่ที่จะทำให้มหาชนมีความสุข ถ้ามีคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ อย่างนี้พระอรหันต์สำเร็จแล้ว ท่านก็ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องทำอะไรแล้วซิ"
    หลวงปู่ท่านตอบคำถามของผู้เขียนเสร็จแล้ว ท่านปรารภถึงการจัดการเรื่องศพของท่านต่อไปว่า
    "ถ้าข้าตายแล้วอย่าเก็บศพไว้นาน เจ็ดวันเผาเลย ไม่เผาก็โยนทิ้ง เดี๋ยวจะกลายเป็นหากินกับศพ"
    ผู้เขียนได้แย้งท่านว่า
    "กลัววัดจะร้าง"
    หลวงปู่ท่านตอบว่า
    "เรื่องเผาไม่เผา ต้องแล้วแต่คำสั่ง ดูอย่างหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านสั่งไม่ให้เผา เพราะกลัวพระเณรจะอดอยาก แต่สำหรับข้าให้เผา เวลาจะเผาให้เผายืน ข้าจะได้ไปไหนได้"
    ผู้เขียนจึงถามท่านว่า
    "หลวงปู่ไม่ไปนิพพานหรือ"
    ท่านตอบว่า
    "จะไปได้อย่างไร คนนี้ก็เรียก คนนั้นก็ร้อง ข้าไปแค่หัวตะพานก็พอ ดูอย่างหลวงปู่ทวดซิ มีคนเรียกร้องท่านมากมาย บารมีท่านเต็มท้องฟ้า อย่างข้าเอง คนไหนคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา คนไหนไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเขา เพราะในวันหนึ่งๆ ข้าต้องอธิษฐานไปให้หมู่คณะทุกวันไม่เคยขาด วันละ ๓ ครั้ง เขาจะได้ไม่เป็นอันตรายทั้งเช้ามืด ตอนเย็น ตอนกลางคืน ก่อนนอน เพื่อเป็นการช่วยเหลือหมู่คณะ"
    ผู้เขียนฟังจบ พร้อมกับสำนึกในเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อลูกศิษย์อย่างมาก หลวงปู่ท่านได้ย้ำด้วยความเมตตาต่อไปอีกว่า
    "คิดถึงพระครั้งหนึ่ง บารมีพระมาถึงเราไปกลับ ๗ เที่ยว รวมแล้ว ๑๔ ครั้ง ได้กำไรดีไหมล่ะ นี่มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ ถ้าเราคิดถึงพระได้เหมือนกับคิดถึงแฟนเมื่อไหร่ แสดงว่าจะดีแล้ว"
    ในเรื่องการแบ่งภาค ตามความเห็นของผู้เขียนเข้าใจว่า ท่านลงมาเกิดทั้งองค์ คงจะไม่ใช่เป็นการแบ่งจิตมาเกิด เนื่องจากหน่อพุทธภูมิที่มีบารมีสูงแล้ว ท่านจะมีพลังจิตสามารถตั้งพุทธนิมิต ธรรมนิมิต สังฆนิมิตได้ ซึ่งรวมเรียกว่าเป็นพลังงานหรือบารมีธรรมที่ท่านสร้างมา ซึ่งหลวงปู่เรียกรวมว่า "ภูตพระเจ้า" นั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นบารมีที่คอยติดตาม รักษาคุ้มครองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางของศาสนา จวบจนกระทั่งท่านได้ปฏิบัติธรรมไปถึงจุดหนึ่ง ทำให้ท่านได้รู้ถึงอดีตที่เคยทำมา ซึ่งตรงกับมงคล ๓๘ ในข้อที่ว่า "ปุพเพจะกตะ ปุญญะตา" บุญที่เคยทำมาแต่ก่อนนั้นเป็นมงคล ดังนั้น ผู้ที่สนใจทางศาสนาได้ จึงถือว่ามีบุญแต่เก่าก่อน มาค้ำชูอุดหนุน บางคนเคบเป็นโจร เมื่อถึงเวลาผลบุญเก่าเข้ามาเสริม ก็สามารถพลิกจิตให้เกิดปัญญาได้ อาทิเช่น พระองคุลีมาล เป็นต้น
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้เคยอธิบายถึงท่านที่ได้พระโสดาบัน เมื่อมาเกิดใหม่ ไม่ใช่จะรู้ว่าตนเองเป็นพระอริยบุคคลเลยทีเดียว แต่ต้องมาปฏิบัติธรรมอีกระยะหนึ่ง จึงจะรู้อดีตได้ ซึ่งในหน่อพุทธภูมิก็คงเช่นเดียวกัน หลวงพ่อมหาวีระ ท่านเคยกล่าวถึงหน่อพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มขั้น ซึ่งเป็นปรมัตถบารมี จึงจะไม่ตกนรกอีก เสมือนพระโสดาบัน ซึ่งไม่ตกไปสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน พระบางองค์อาจบรรลุอรหัตตผล โดยไม่ผ่านขั้นตอนโสดาสกิทาและอนาคามีผล ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นไปได้ ๒ กรณีคือ กรณีที่ ๑ พระองค์นี้เคยเป็นพระโสดาบันมาแล้วในอดีต กรณีที่ ๒ คือ พระองค์นั้นบรรลุอรหัตตผลโดยฉับพลันทันทีตลอดสายเช่น การบรรลุอรหัตตผลของพระสีวลี เริ่มตั้งแต่เป็นเณรได้เป็นพระโสดาบัน เมื่อท่านมาบวชเป็นพระ ในขณะที่ปลงผมจนกระทั่งเป็นพระเรียบร้อย ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที
    หน่อพุทธภูมิที่มีการสร้างบารมีถึง ๓๐ ทัศน์ มีอยู่อย่างหนึ่งคือ ปัญญาบารมีขั้นปรมัตถ์ จึงทำให้ท่านไม่ต้องไปอบายภูมิ เพราะท่านล่วงรู้ถึงสัจจะธรรมต่างๆ ทำให้ไม่หลงตน
    ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามหลวงปู่โดยอ้างพระไตรปิฎก ซึ่งได้กล่าวถึงบุญที่ถวายทานกับพระอริยะขั้นต่างๆ กำลังบุญไม่เสมอกัน แต่ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงหน่อพุทธภูมิ
    หลวงปู่ท่านได้ตอบผู้เขียนว่า
    "หน่อพุทธภูมิ ถ้าเปรียบไปแล้ว ก็คือ พระอนาคามี เพราะกำลังจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แต่จัดเป็นพระอนาคามีชั้นพิเศษ คือเหมือนกันแต่ท่านยังไม่เอา หลวงปู่ท่านจึงยังไม่สอนใครถึงนิพพาน เพราะถึงไม่ใช่กิจของท่าน แต่ท่านรู้ทั้งนั้น บารมีทั้ง ๑๖ อสงไขย ไม่รู้ได้อย่างไร หลวงปู่ทวด จิตท่านยังมีจุดดำอยู่ แกว่าจริงไหม"
    ผู้เขียนตอบว่า
    "ถ้าไม่มีท่านก็สำเร็จแล้วซิครับ แต่จุดดำนั้นเป็นจุดของความเมตตา ที่ท่านจะโปรดสัตว์ เพื่อจะให้สมกับคำว่า ศรีอริยเมตไตรย ดังนั้น จุดดำนี้ผมถือว่า มีค่าน้อยมากตัดทิ้งไปได้เลย"
    หลวงปู่ท่านพยักหน้ายิ้มรับ และทำให้ผู้เขียนเข้าใจถึงพระธาตุหลวงปู่ทวด ที่ท่านเสด็จมาเอง สัณฐานค่อนข้างกลม สีน้ำตาลดำ หลวงปู่ท่านบอกว่า คือพระธาตุหลวงปู่ทวด ซึ่งถ้าเราอ่านตามพระไตรปิฎก พระธาตุจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ไม่มีการกล่าวถึงพระธาตุจากหน่อพุทธภูมิเลย เพราะท่านก็เปรียบเสมือนพระผู้บริสุทธิ์ การซักฟอกธาตุขันธ์จึงย่อมเป็นไปได้ ทำให้เข้าใจถึงฟันและเกศาของหลวงปู่ที่เป็นพระธาตุเช่นกัน ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อมหาวีระ ที่กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูง พระอรหันต์ยังให้ความเคารพ เมื่อผู้เขียนกราบเรียนถามหลวงปู่ ท่านตอบว่า
    "คงจะจริง ดูอย่างหลวงปู่ทวดนั่นไง เวลาปลุกเสกพระ พระโดยมากก็ร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน"
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังในวันหนึ่ง ถึงหมอจีนที่มารักษาท่าน โดยการจับชีพจรเพื่อตรวจอาการโรคหรือที่เรียกว่า หมอแมะ หมอบอกว่า หลวงปู่มีพระเต็มไปหมดทั้งตัว ท่านถามเหตุผลกับผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนพิจารณาแล้วนึกถึงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ใช้วัดการเต้นของชีพจร ถ้าเป็นผู้มีสมาธิดี การเต้นของชีพจรจะราบเรียบ การใช้ออกซิเจนจะน้อย แต่ในกรณีหลวงปู่ หมอใช้วิทยาการทางจิตตรวจสอบพบว่า การเต้นของชีพจรราบเรียบ ทั้งๆ ที่หลวงปู่นั่งอยู่ในอิริยาบถกำลังคุย คือไม่ได้นั่งสมาธิ นั่นแสดงว่า จิตของท่านเป็นสมาธิตลอดเวลา หรือจิตไม่มีความคิดปรุงแต่ง ทางหนังจีนกำลังภายในเรียกว่า ท่าไร้อารมณ์ ลักษณะเช่นนี้ เข้าลักษณะทางพุทธ คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ เป็นลักษณะของผู้ที่ได้รับจากการปฏิบัติจิตขั้นสูง ทำให้นึกถึงหลวงปู่ปาน ที่กล่าวไว้ในประวัติของท่าน ในขณะที่ท่านกำลังคุยกับญาติโยม แต่อีกจิตหนึ่งสามารถเสกน้ำมนต์ไปพร้อมกัน หรือผู้เขียนประสบมาด้วยตัวเองกับหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ในขณะที่ท่านนั่งคุยกับผู้เขียนและญาติโยมอยู่นั้น ท่านก็ได้จุดเทียนไว้บนขันน้ำ สักพักหนึ่งก็ได้น้ำมนต์มาพรมให้กับญาติโยมและผู้เขียน โดยท่านไม่ได้นั่งอธิษฐานจิตเลย แม้แต่หลวงปู่เอง ท่านก็ได้ทำอยู่บ่อยๆ เมื่อมีญาติโยมมานิมนต์ท่านไปร่วมพิธีต่างๆ ตั้งแต่พิธีปลุกเสกพระ งานทำบุญบ้าน ฯลฯ
    เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนบารมีสูง
    หลวงปู่มองหน้าผู้เขียนแล้วตอบยิ้มๆ ว่า "อย่างเช่น ท่านนั่งอยู่ที่หนึ่ง แต่อธิษฐานจิตไปช่วยเหลือ ไปได้อีกที่หนึ่ง"
    เพื่อนของผู้เขียนฟังแล้วรู้สึกงงๆ แต่ผู้เขียนเข้าใจทันที เพราะกำลังพูดคุยอยู่กับท่านพอดี เกี่ยวกับท่านอธิษฐานจิตไปช่วยเหลือในการสร้างรูปหล่อของหลวงปู่ที่กรุงเทพฯ โดยท่านบอกผู้เขียนว่า
    "ทำมาหลายวันแล้ว อธิษฐานให้หลวงพ่อทวดไปช่วยเหลือ ให้พระไปช่วย เรามีกิจมาก เดี๋ยวลืมจะทำให้เสียงานได้"
    เกี่ยวกับเรื่องความปรารถนาของหลวงปู่ ผู้เขียนสรุปได้เลยว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิอย่างแน่นอน ผู้เขียนเคยคุยกับลูกศิษย์ของหลวงปู่หลายคน มีคนหนึ่งชื่อ "เช็ง" อยู่วัดสะแก ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า
    "หลวงลุงท่านปรารถนาพุทธภูมิ ไม่อย่างนั้น ท่านไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งรับญาติโยมอยู่หรอก"
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่ชื่อ "ปราณี" ได้ถามหลวงปู่เรื่องการไปนิพพานของหลวงปู่
    หลวงปู่ตอบว่า "เรื่องอะไรข้าจะไปนิพพาน ข้าหวังเป็นนายร้อย ไม่ใช่หวังเป็นนายสิบ คนอย่างข้าต้องหักยอดฉัตร จึงสมใจ"
    ซึ่งเป็นการกล่าวจากปากท่านเอง สำหรับผู้เขียนนั้น ท่านบอกความปรารถนานี้เช่นกัน และท่านยังบอกผู้เขียนอีกว่า
    "เขาว่ากันว่า ข้าจะสำเร็จระหว่างต้นไม้หนึ่งคู่ ข้าเองยังไม่รู้เมื่อไร"
    ในตอนนั้น ผู้เขียนยังไม่แน่ใจ ได้แต่มองต้นไม้ในวัดสะแกว่าจะเป็นต้นไหน แต่ก็ไม่มี มาตอนหลังจึงเข้าใจในคำพูดของท่าน จนกระทั่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ท่านมาเยี่ยม เมื่อคราวที่หลวงปู่ไม่สบายก่อนมรณภาพ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่หลวงปู่บุดดาจะกลับ ท่านได้พูดกับหลวงปู่ดู่ว่า
    "วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นน่ะ สำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า"
    หลวงปู่บุดดาก็ลากลับ ในวันนั้น ผู้ได้ยินหลายคน ลูกศิษย์คนหนึ่งได้เรียนถามหลวงปู่ ถึงความหมายที่หลวงปู่บุดดาพูด ท่านตอบว่า
    "พระอรหันต์ให้พร เราก็รับไว้ไม่เสียหายอะไร"
    ผู้เขียนเคยปรารภกับหมู่คณะหลายๆ ท่าน ถึงความโชคดีที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับพระผู้บริสุทธิ์ และมีเมตตาจนเรากล่าวคำนมัสการได้สนิทใจว่า
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ สัมมาสัมพุทโธ อนาคตกาเล
    ที่มา 17เรื่องเล่าของหลวงปู่ดู่
     
  2. เอกณัฐยศ

    เอกณัฐยศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,628
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนาบุญกับหลวงปู่ดู่ และอนุโมทนาบุญกับท่านที่นำข้อความมาแบ่งปันด้วย สาธุ
     
  3. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">อนุโมทนาครับ ตรงกับที่ผมเคยรับรู้รับทราบเกี่ยวกับการแบ่งภาคหรือแบ่งดวงจิตลงมาโปรดสัตว์โลกขององค์พระมหาโพธิสัตว์ครับ
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    อ่านบทความเต็มๆทั้ง 17 เรื่องได้ที่เว็บวัดถ้ำเมืองนะครับ

    watthummuangna-tab.jpg
    www.watthummuangna.com


    (sing)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2007
  5. tan64

    tan64 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +107
    อนุโมทนาครับพระผู้ใหญ่ ตอบเองเลยเรื่องการแบ่งจิตสำหรับมหาโพธิสัตว์ แบบนี้พวกหนอนหนังสือเก่งแต่ตำรา (เก่งแต่อ่านไม่ค่อยปฏิบัติอ้างตำหรับตำราแล้วตีความกันเอง) จะตีความว่าไงดีครับเห็นหลายคนบอกแบ่งไม่ได้ช่วยมาค้านทีครับว่าที่ท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พูดผิด พระปฏิบัติทางจิตขนานนี้ ย่อม นอกเหตุเหนือผล เหนือตำหรับตารา พูดง่ายๆท่านเกินเลยสิ่งที่เขียนในตำราแล้วครับ สิ่งที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะมากมาย ถ้าเข้าไม่ถึงก็ไม่รู้หรอก อย่ามุมแคบแค่แต่ในตำรา ข้าพเจ้าขอนอบน้อม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญไว้เหนือเศียรเกล้า หนอนตำราเก่งแต่อ่านว่าไงดีครับโพสบอกว่าแบ่งไม่ได้มั่งตีความผิดมั่งเจอของจริงๆแบบหลวงปู่ตอบแบบนี้ ช่วยมาแก้ทีครับ จริงหรือไม่จริงไม่อยากให้กระทู้ตกหรือหายนะครับ เอาไว้ให้ผู้คร่ำหวอดในตำราช่วยตอบทีครับหรือท่านจะว่าหลวงปู่ตีความหมายผิด อีก ผมไม่รู้หรอกครับว่าจริงว่าแบ่งได้หรือไม่ได้แต่ผมความรู้แค่หางอึ่ง แต่คนเก่งๆมีเยอะครับ สำหรับคนที่อ่าน พระไตรปิฏก ช่วยตอบความหมายทีครับหรือว่าหลวงปู่จะตีความหมายผิดหรือเปล่าครับผมอยากรู้จริงๆ
     
  6. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    มีพระผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่งตอนนี้ท่านมรณภาพแล้ว ท่านก็เป็นพระปฏิบัติเช่นกัน ท่านก็ยืนยันว่าการแบ่งภาคเกิดขึ้นได้คล้ายๆกับที่หลวงปู่ดู่ท่านว่าไว้ล่ะครับ

    ทีนี้ท่านผู้อ่านมากทั้งหลายจะว่าอย่างไรกันดีครับ
     
  7. tay pps

    tay pps เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +377
    จิตคนเรามี ๘๙ ถึง ๑๒๑ ดวง แต่ละดวงจุติเป็นคนได้หนึ่งคนเรียกว่าแบ่งภาค


    ตาม ตำราไตรปิฎกกล่าวถึงดวงจิตว่ามี ๘๙ ดวง แต่ถ้าเป็นจิตที่พิสดารจะมีถึง ๑๒๑ ดวงจำแนกได้เป็นประเภทตามอาการที่รู้นั้นได้เป็น ๔ ประเภท คือ

    . กามาวจรจิต ๕๔ ดวง
    . รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
    . อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง
    . โลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง


    อันนี้อ้างอิงตามตำราพระไตรปิฎกฉบับ “เถรวาท” ไม่ใช่มหายานแต่อย่างใด อนึ่ง ยังมีอีกว่าจิตที่ขณะจะจุตินั้นจะมีหนึ่งดวงเสมอ เรียกจิตดวงนั้นว่า “จุติจิต” เมื่อจิตจุติไปแล้วเพียงหนึ่งขณะซึ่งสั้นมากกว่าเสี้ยววินาทีนั้น จะเกิด “ปฏิสนธิจิต” คือ จิตที่จุติแล้วจะเกิดใหม่ทันที เช่น เกิดในภพภูมิใหม่ เป็นเทวดาเป็นต้น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าจุติจิตมีดวงเดียว จากนั้นดวงนั้นแหละที่ดับลงแล้วเกิดเป็น “ปฏิสนธิจิต” และปฏิสนธิจิตนี่เอง นับได้ว่ามีวิญญาณขันธ์มาปรุงด้วย นับเป็นจิตวิญญาณสมบูรณ์ มีกายทิพย์สมบูรณ์ เรียกว่าเกิดใหม่เป็นเทวดาได้หนึ่งองค์ หรือหนึ่ง ชีวิต ดังนั้น “หนึ่งดวงจิต ก่อเกิดได้หนึ่งชีวิต” แล้วคนเรามีจิตตั้ง ๘๙ ดวง หากฝึกจิตได้พิสดารก็มีได้ถึง ๑๒๑ ดวง เชียว ขอถามชัดๆ ตรงตามหลักไตรปิฎกเถรวาทเถิดว่า “จิตในกายนั้นมีถึง ๘๙ ดวง เมื่อตายลง จะเกิดเป็นจิตวิญญาณกี่ดวง” ก็ต้อง ๘๙ จิตวิญญาณ หรือ ถ้าเป็นเทวดาหมด ก็ต้องเป็นเทวดา ๘๙ องค์ ใช่หรือไม่ อันนี้ ไม่ต้องคำนวณยุ่งยากเลย ตรงไปตรงมามาก นี่คือ ธรรมดาของคนทุกคน คือ ตอนเกิดมาใช้จิตดวงเดียวเกิดเป็นคนได้หนึ่งคน เรียกว่าจุติจิต จิตที่มาจุตินั้นมีดวงเดียว จากนั้น จำนวนดวงจิตไม่คงที่เปลี่ยนแปลงไป สรุปตามไตรปิฎกจะได้จำนวนดวงจิตทั้งสิ้นในกาย ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงตามแต่เหตุปัจจัย ดังนั้น จิตจะเพิ่มขึ้นหลังมาเกิดแล้วใช่ไหม แต่ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งตายลง หนึ่งสังขารนั้น จะปลดปล่อยดวงจิตให้ออกมาจากร่างได้ ๘๙ ดวงหรือ ๑๒๑ ดวง เหมือนกันทุกคนตามหลักไตรปิฎก ส่วนหน่อพระโพธิสัตว์นั้น หากเหลือจิตดวงเดียวในกายจะแบ่งภาคจิตได้อีก คนธรรมดาทำไม่ได้


    สมมุติ พระกวนอิมมาจุติ จะมีจิตดวงเดียวที่มาจุติแต่เมื่อเติบโตขึ้น ก็จะมีจิตในกายสังขารทั้งสิ้น ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงตามตำราไตรปิฎก แต่เมื่อกายสังขารของพระกวนอิมแตกสลายไป ก็จะปลดปล่อยดวงจิตออกมาทั้งสิ้น ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหม อันนี้ไม่ต้องคำนวณมาก จากจิตแต่ละดวงก็จุติต่อไปได้อีก หนึ่งดวงก็จุติเป็นเทวดาได้หนึ่งองค์ เทวดาหนึ่งองค์มีจิตดวงเดียว แต่คนเราหนึ่งกายสังขารมีจิต ๘๙ ดวงหรือ ๑๒๑ ดวง อันนี้ของให้ทราบด้วยว่าต่างกัน กายสังขารของเราเหมือนภาชนะบรรจุดวงจิตได้มากมาย เช่นนี้ทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าจะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ ใช่หน่อพระโพธิสัตว์หรือเปล่า นี่ว่ากันตรงๆ ตามตำราเปะๆ เลย ทุกคนเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด เป็นธรรมชาติของจิต ระหว่างการเติบโตของมนุษย์ จากจิตดวงเดียวที่เรียกว่าจุติจิตนั้น ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครบถ้วนแล้ว ก็มีจำนวนดวงจิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง อ้าว แล้วมาจากไหนตั้งมากมายละนั่น ง่ายๆ จ้ะ ทางมหายานเขามีศัพท์เรียกว่า “แบ่งภาคจิต” คือ จากจิตหนึ่งดวงที่จุติมา พอจิตมีกำลังจิตมากขึ้น เหมือนเชื้อเห็ด พอเอามาเพาะเข้าก็แยกหน่อแยกออกมา ธรรมชาติของจิตก็ไม่ต่างจากธรรมชาติของเห็ด, ไผ่, ต้นไม้มีเหล่ากอ ฯลฯ ธรรมชาติเหมือนกัน เหมือนกันโดยธรรมชาติ ไม่ต่างกันตรงไหน ทุกคนเหมือนกันอย่างนี้หมด ยุติธรรม เท่าเทียม เพราะเป็นธรรมชาติ


    อันนี้ ขอให้เขาใจตรงกันเสียทีนะครับว่าจิต และจำนวนดวงจิตในกายเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร จะได้ไม่เกิดการเถียงกันอีกกับคำว่า “แบ่งภาคและอวตาร” เช่นนั้น คิดต่อสิครับ สมมุติว่าพระอชิตะผู้ได้รับคำทำนายว่าเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยละสังขารลงจะ ปลดปล่อยดวงจิตออกมากี่ดวง แท่นแท้น.... อย่างน้อย ๘๙ ดวง อย่างมาก ๑๒๑ ดวง ใช่ไหมครับ


    ไม่ ยากใช่ไม่ อย่า งง นะครับ ตรงไปตรงมาตามตำรา พลิกบทบาทกันครับวันนี้ เอ้างั้น ย้อนเวลากลับไปใหม่ สมมุติ ก่อนที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะมาเกิด พระศรีอาริยเมตตรัยก็ได้รับคำทำนายแล้ว (ในไตรปิฏกก็บันทึกไว้ว่าท่านได้รับคำทำนายมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม แล้ว) งั้น ในยุคนั้น ถ้าท่านตายลงจะมีดวงจิตกี่ดวงปลดปล่อยออกมาจากกายสังขารของท่าน ติ้กต่อกๆ ตอบ ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหมครับ


    แหม ไม่ยากเลย คิดต่อนะ ถ้างั้นในยุคนั้น จิตดวงหนึ่งก็จุติเป็นคนได้หนึ่งคนใช่ไหม เช่นนั้น ก่อนยุคที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะมาตรัสรู้ พระศรีอาริยเมตตรัยก็ได้รับคำทำนายแล้ว ตายแล้ว จิตออกจากร่างมาแล้วไม่น้อยกว่า ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหมครับ อย่างนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า ดวงจิตมากมายนั้น มาเกิดเป็นคนมากกว่าหนึ่งคน เพราะจิตเพียงดวงเดียวก็เป็นคนได้หนึ่งคนแล้วนี่ครับ นี่ตั้ง ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงนั่น อาจไปจุติเป็นเทวดาบ้าง คนบ้าง ก็ว่าไป สรุปตรงนี้ ไม่จำเป็นว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะต้องมีคนเดียวในสมัยพุทธกาล เพราะดวงจิตของท่านมากกว่า ๑ ดวง อาจมาเกิดเป็นคนมากกว่าหนึ่งคน นั่นคือ พระมหากัจจายนะไงละครับ ที่พระสาวกสายมหายานนับถือกันว่าคือตัวตนที่แท้จริงของพระศรีอาริยเมตตรัย ในขณะที่เถรวาทนับถือว่าพระอชิตะต่างหากที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของพระศรีอา ริยเมตตรัย แต่เป็นไปได้นี่ใช่ไหมครับว่าใช่ทั้งสองท่านเลย ทว่า แม้ดวงจิตจะมีมากขนาดนั้น เป็นคนได้มากขนาดนั้น แต่เวลาจุติลงไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี่สิ ใช้แค่ดวงจิตเดียวนะครับอย่าลืม แปลว่าอะไรหรือ แปลว่าแม้แต่จิตแต่ละดวงของพระศรีอาริยเมตตรัยเองก็ต้องแข่งกันละครับว่าดวง ไหนจะได้เป็นจุติจิตที่จะลงไปตรัสรู้ แปลอีกหน่อยคือ พระมหากัจจายนะ และพระอชิตะก็ต้องแข่งกันในฐานะที่เป็นจิตหนึ่งในกายสังขารเก่าของพระศรีอา ริยเมตตรัยทั้งคู่ไงละครับ OK?


    วัน นั้นผมได้ขอให้ท่านผู้ฝึกจิตท่านหนึ่งถอดกายทิพย์ไปถามพระสาวกของพระ พุทธองค์ว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นพระศรีอาริยเมตตรัยระหว่างพระอชิตะและพระ มหากัจจายนะ ผลปรากฏว่าพระสาวกองค์หนึ่งกล่าวว่าพระอชิตะ อีกองค์หนึ่งกล่าวว่าพระมหากัจจายนะ ผู้ถอดกายทิพย์ท่าจะเกรงใจพระพุทธองค์ที่ทรงประทับเป็นประธานอยู่เลยแอบกลับ มาบอกก่อน จะถามพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้า (ท่านเหล่านี้นิพพานหมดแล้วครับ แต่ที่เห็นและสื่อสารได้ใช้สัญญาขันธ์ของเราปรุงเอาครับ ภาวะจิตของเราไม่อาจเห็นสภาวธรรมระดับนิพพาน) สรุปไม่ได้ว่าเป็นท่านใด แปลว่า ต้องบำเพ็ญแข่งกันไปเองละครับท่าน ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต้องดูกันต่อไป อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ ไม่น่าเชื่อเท่าไร ถือว่าไม่ได้พูดก็แล้วกัน


    คน เราทุกคนนั้นมีจำนวนดวงจิตเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น บางท่านประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ทำให้สภาพจิตใจเปลี่ยนไป เอ๋อๆ เด๋อๆ เหมือนคนไม่เต็มบาตร เพราะดวงจิตไม่ครบไงครับ ขณะประสบอุบัติเหตุ ดวงจิตบางดวงได้จุติออกจากร่างไปและหาทางกลับร่างไม่ได้ คนไทยโบราณบรรพบุรุษของเรา เขาเรียกกันว่า “ขวัญหาย” ต้องมาทำพิธีรับขวัญ, สู่ขวัญอย่างที่นิยมมากๆ ในภาคเหนือและภาคอีสานนั่นไงละครับ ขึ้นบายศรีสู่ขวัญก็ดี ผูกข้อมือสู่ขวัญก็ดี มีหมอร้องเพลงเรียกขวัญ ทำขวัญก็ดี จะทำกันในพิธีสำคัญๆ ครับ เพื่อเรียกดวงจิตทั้งหมดกลับเข้าร่าง เพื่อจะได้บุญทุกดวงจิตไงครับ เช่น ก่อนบวชก็ต้องเรียกขวัญ ดึงดวงจิตทุกดวงกลับเข้าร่างก่อน บวชแล้วจะได้บุญครบทุกดวงจิต อันนี้บรรพบุรุษเราทำกันมา คิดว่าท่านคงไม่ดูถูกว่าเป็นความงมงายนะครับ


    จำนวน ดวงจิตนั้นถ้าน้อย แต่มีปัญญาแจ้ง ก็ไม่มีปัญหาเป็นพระอรหันต์ได้เต็มตัว ถ้ามีหลายดวงจิตก็ต้องบริสุทธิ์ทุกดวงจิตจึงนับว่าอรหันต์สมบูรณ์ แต่ถ้าบริสุทธิ์บางดวงจิต บางดวงยังเหลือไว้เวียนว่ายตายเกิดใหม่ อันนั้นเป็นสูตรปฏิบัติธรรมของมหายานครับ เรียกว่า “อรหันตโพธิสัตว์” ถ้าจะให้ได้อรหันต์ตามสูตรเถรวาทต้องบริสุทธิ์ทุกดวงจิตครับ มีเรื่องเล่าจากหลวงพ่อโตทิ้งไว้ว่าพระอรหันต์ชินปัญจระ จุติไปเป็นท้าวมหาพรหมชินปัญจระ อันนี้แปลกไหมครับ พระอรหันต์ทำไมไม่นิพพาน ทำไมยังจุติเป็นพรหม


    อ่า ท่านผู้มีปัญญาและมีบุญได้อ่านบทความของข้าพเจ้ามาถึงจุดนี้น่าจะตาแจ้งได้ แล้วใช่ไหมครับว่าหลวงพ่อโตไม่ได้เพี้ยน ที่กล่าวว่าพระอรหันต์ชินปัญจระไปจุติเป็นท้าวมหาพรหมได้ เพราะอะไรก็ง่ายๆ พระอรหันต์ชินปัญจระมีจิตอย่างน้อยในกายสังขารนั้น คือ ๘๙ ดวง หรืออย่างมาก ๑๒๑ ดวง หนึ่งในจำนวนดวงจิตทั้งหมดนั้นได้จุติเป็นท้าวมหาพรหมนั่นเอง ของกล้วยๆ ส่วนดวงจิตบางดวงก็นิพพานไปเช่นนั้นเองไม่แปลกเลย


    นั่น แปลว่าอะไร คิดต่อสิ ติ้กต่อกๆ แปลว่าพระอรหันตโพธิสัตว์นั้นมีมาแต่ยาวนานมาก แต่ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่นะสิครับ ปนๆ กันอยู่มานานแล้ว ทั้งส่วนที่เป็นอรหันตสาวก และส่วนที่เป็นอรหันตโพธิสัตว์ แปลว่าตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่แม้ไม่ได้แบ่งแยกนิกายเป็น เถรวาทและมหายาน แต่ในทางปฏิบัติก็เกิดความแตกต่างกันมีสองแบบมาตั้งแต่นั้นแล้วนั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะหายคลุมเครือจากข้อมูลเก่าๆ บ้างหรือยังครับ ถ้าไม่งง ขอต่อยอดความคิดต่อไปนะครับว่าด้วยเรื่องของจิตนะ


    จำนวน ดวงจิตในกายสังขารของมนุษย์มีมากไม่ใช่ดวงเดียวแบบเทวดาที่ไม่มีกายสังขาร และสามารถเพิ่มหรือลดลงได้ดังที่กล่าวแล้วในกรณีรถพลิกคว่ำจนต้องมี “การทำขวัญ” ดังกล่าวข้างต้น ที่นี้มาดูกันต่อว่าเมื่อมีดวงจิตมากหรือน้อยนั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร


    ถ้า มีดวงจิตเดียว ดวงจิตนั้นไม่ได้บรรลุธรรม จะเป็นเอ๋อ ไม่เต็มบาตร มีกิเลสน้อย (จิตมีจำนวนมาก กิเลสก็เพิ่มมาก พอดวงจิตน้อย กิเลสเลยดูเหมือนน้อย) เช่น ในคนที่เป็นโรคเอ๋อจริงๆ ก็ตกในสภาพเช่นนั้น บางคนที่แรกๆ เป็นเอ๋อ แต่พอต่อสู้ชีวิต มีพละกำลังจิต กำลังใจ ทำให้ดวงจิตที่น้อยนั้น กลับเข้ามาสู่ตัว ดวงจิตที่เคยจุติออกไปอยู่ภพภูมิอื่นนั้นก็เข้ามาช่วยการทำงานของร่างกาย และควบคุมกายสังขารได้ดีขึ้น ทีนี้ ไม่ต้องไปหาหมอที่ไหนละ เห็นวิธีแก้โรคเอ๋อแล้วใช่ไหมครับ โรคนี้ไม่ใช่ของแปลกเป็นได้ทุกคนครับ


    คนที่มีดวงจิตในกายน้อย เสี่ยงที่จะละสังขารได้เร็ว พูดง่ายๆ “ชะตากำลังขาดครับ” ในคนที่มีจิตดวงเดียวหรือเหลือดวงจิตในกายน้อยมาก มักถูกทักให้ไปรับขันธ์บ้าง รับขวัญบ้าง อันนี้ ชาวบ้านที่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษของไทยมาคงไม่โง่งมงายเกินไปใช่ไหมครับ คนบางคนชีวิตย่ำแย่จริงๆ เมื่อดวงจิตจุติออกจากร่างไปมาก เหลือดวงจิตในกายน้อย ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตและความคิดจิตใจ บางคนถูกทักว่า “บ้า” บ้าง, “ประสาท” บ้าง, “เพี้ยน” บ้าง, “เอ๋อ” บ้าง, และเด็ดสุด “ติงต๊อง” ทีนี้เข้าใจหรือยังครับว่าทำไมบางคนถูกทักว่าติงต๊อง นี่เป็นเรื่องธรรมดาครับ ธรรมชาติเป็นกันได้ทุกคนไม่แปลกไม่ได้บ้านะครับ


    คน ที่มีดวงจิตในกายสังขารมาก ก็น่าจะสันนิฐานได้ว่าอายุยืนนะครับ เพราะตรงข้ามกับคนที่ชะตาขาดนี่นา ทว่า มันทำให้มีกิเลสมากขึ้นด้วยไหมเอ่ย ก็น่าจะใช่นะครับ แต่ถ้าชำระซักฟอกดวงจิตทุกวัน ทุกดวงให้มันรู้กันไปสิ ไม่ใช้สูตรแบบพระสังฆราชองค์ที่หกแห่งนิกายเซน เว่ยหลาง (ใช่ไหมนะครับ ถ้าจำชื่อผิดขอโทษจ้า) ที่ท่านกล่าวว่ากระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด แปลว่าดวงจิตดวงหนึ่งบริสุทธิ์ก็พอแล้ว นั่นสูตรของมหายานแท้ๆ เลย แต่ถ้าสูตรของเถรวาทละก็ ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ ตรวจแล้วตรวจอีก จนแน่ใจว่าไม่มีเหลือจิตดวงไหนที่มีกิเลสแปดเปื้อนอีก ทว่า ก็ไม่เสมอไป มหายานแบบใหม่ ในแนวข้าพเจ้านี้เอาแบบเถรวาทมาก่อน คือ ชำระให้หมดทุกดวงจิต จากนั้น ก็ดึงดวงจิตเก่าๆ ที่เคยอยู่ในกายสังขารเดียวกับเรามาก่อนมาโปรดต่อไงครับ หรือดวงจิตที่กระจัดกระจายออกจากกายสังขารของเราในอดีตชาติ ยังไม่หลุดพ้น เอามานั่งเช็ดถูครับ อิๆ


    ตอนนี้ กายสังขารนี้ ก็มี “ซุนหงอคง” มาอยู่ด้วยเด้อ สบายดีบ่พ่อแม่พี่น้อง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เจ้าของกายสังขารนี้ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เป็นอย่างนี้แหละครับ จิตจรเข้ามาอาศัยบำเพ็ญธรรมเรื่อยๆ บางดวงหลุดพ้นอบายภูมิแล้วก็จากไป บางดวงก็อยู่ต่อเพื่อช่วยกันทำกิจอื่นๆ ต่อไป สำหรับวันนี้เอาแค่นี้ก่อนพอหอมปากหอมคอ สวัสดีครับ


    การแบ่งภาคจิตทำให้เกิดชีวิตใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นิพพาน


    ดัง ที่เคยกล่าวในบทความอื่นไว้ว่าจิตคนเรามีถึง ๘๙ ดวง แต่ละดวงสามารถจุติไปเกิดเป็นคนได้หนึ่งคน แม้กระทั่งยามที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ หากจิตจุติออกจากร่างไปบางดวง เหลือไว้บางดวง เรายังไม่ทันตายเลย แต่จิตที่จุติออกไปก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้หนึ่งชีวิตแล้ว ดังนั้น การเกิดของสรรพสัตว์จึงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามภพนี้แออัด ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรดี หากไม่มีนิพพานแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่สิ้นสุดนี้ รังแต่จะนำหายนะมาให้แก่ทุกดวงจิตในสามภพนี้ ดังนั้น นิพพานจึงเป็นทางออกของตัวเอง และผู้อื่นด้วย แม้คนผู้นั้นจะนิพพานไปคนเดียวไม่ได้ช่วยใครเลยก็ถือว่าช่วยสามภพด้วยการ นิพพาน หยุดเกิด หยุดรบกวนสามภพนี้ด้วยเหมือนกัน ดังจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป


    การแบ่งภาคจิตเป็นอย่างไร
    จิต จะแบ่งภาคได้ ต้องมีกำลังมากพอ หากแบ่งออกแล้วได้เหมือนเดิมทั้งคู่นั้น ต้องมีบารมีมาก เช่น จิตเดิมเป็นโพธิสัตว์ หากมีความเป็นโพธิสัตว์มากมายล้นหลามสองเท่า ก็อาจแบ่งได้เป็นโพธิสัตว์สององค์ แบบนี้เกิดได้เหมือนกัน แต่น้อยมากๆ เฉพาะท่านที่มีบารมีมากจริงๆ ส่วนใหญ่ ถ้าแบ่งภาคจิตแล้ว จิตเดิมจะมีบารมีเท่าเดิม แต่จิตดวงใหม่จะได้บารมีลดลง เช่น แบ่งแล้วได้พรหม, ได้อสูร เป็นต้น ก่อนที่จะแบ่งออกได้อะไรนั้น จะต้องมีเชื้อเกิดมารอก่อน คือ ขันธ์ห้า เช่นไปรับขันธ์เขามา ขันธ์ห้านี้คือ “วิญญาณขันธ์” หรือ “กายทิพย์” ที่ครอบกายสังขารเรารอเวลาไว้ เมื่อจิตเราเกิดพอใจ พึงใจ ก็เกิดการร่วมประสานกับวิญญาณขันธ์นั้น จิตกับวิญญาณประสานกันเรียกว่า “ปฏิสนธิ” ก็จะเกิดเป็น “จิตวิญญาณ” ได้หนึ่งดวงสมบูรณ์ สมมุติเราไปรับขันธ์พรหมมา กายทิพย์พรหมก็ครอบกายสังขารเราอยู่ เราไปพอใจกับพรหมเข้า อยากได้ อยากมี อยากเป็น จิตของเราจะแบ่งออกมาปฏิสนธิเข้ากับกายทิพย์หรือวิญญาณขันธ์นั้นกลายเป็นจิต วิญญาณพรหมโดยสมบูรณ์ เกิดใหม่อีกหนึ่งชีวิต ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก ไม่ได้นิพพาน


    การแบ่งภาคจิตดีหรือไม่
    ไม่ ดีนัก เพราะยิ่งทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากขึ้น ถ้าในยุคแรกเริ่มสร้างโลก ดวงจิตมีน้อยการแบ่งภาคจิตก็ดีอยู่ เพราะต้องการดวงจิตมาเกิดมาพอดู แต่ถ้ายุคนี้ คนจะล้นโลกอยู่แล้ว ควรหยุดกระบวนการแบ่งภาคจิต ยกเว้นว่าเมื่อแบ่งภาคจิตแล้ว จิตหลักบริสุทธิ์มาก ได้โปรดจิตที่แบ่งออกมาของตนเอง คือ ก่อนโปรดสัตว์อื่น ให้โปรดตนเองให้ดีเสียก่อนนั่นเอง อันนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ ให้สอนตัวเองก่อนสอนคนอื่น เพราะมีมากเหมือนกันที่พระโพธิสัตว์ใจร้อนรีบสอนคนแต่ยังโปรดตนเองไม่ได้ เต็มที่ การแบ่งภาคจิตจึงไม่ดีนัก


    ถ้าต้องการจิตหลายดวงควรทำอย่างไร
    ไม่ ควรแบ่งภาคจิตออกจากจิตหลักของตนเอง บางท่านแบ่งภาคจิตมาก จนจิตหลักที่เหลืออยู่บริสุทธิ์มาก จนไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป และนิพพานไป เมื่อนิพพานไปแล้ว จิตดวงที่เหลืออยู่ไม่ทันได้โปรดก่อน ปล่อยทิ้งให้จิตดวงที่เหลืออยู่ตกต่ำ เพราะแบ่งออกมาแล้วแย่กว่าเก่า อย่างนี้เท่ากับที่ได้ปฏิบัติมาสูญไปเลย ต้องเริ่มปฏิบัติกันใหม่ ได้แต่บารมีแต่มรรคผลเสียไปอย่างนั้นเอง เหมือนคนปลูกมะม่วง ตัดยอดออกเสีย ต้องรอไปปีหน้า ดูแลกันใหม่ กว่าจะมีผลให้กินฉะนั้น ถ้าต้องการจิตหลายดวงให้ใช้การ “เรียกขวัญ” ดีกว่า คือ การเรียกดวงจิตเก่าๆ ที่เคยเวียนว่ายตายเกิดในกายสังขารเดียวกันกับเรามาสู่กายสังขารของเรา โปรดดวงจิตของเราเองที่เคยแบ่งภาคไปก่อน แต่ยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นอบายภูมิทั้งหลาย เก็บกวาดเอามาโปรดเปิดกายสังขารให้เขาได้ใช้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ อย่างนี้ จะทำให้จำนวนดวงจิตมวลรวมของทั้งสามภพลดลงไปเรื่อยๆ นิพพานมากขึ้น ก็จะช่วยสามภพนี้ให้เข้าสู่สมดุลได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้น ดวงจิตจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไรไหว เพราะไม่ยอมนิพพานกันเสียบ้างนั่นเอง

    ที่มา:http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/10/31/entry-1







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  8. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335

    เรื่องการแบ่งภาคย์ของจิตแปลกดีนะครับ พึ่งเคยได้ยินละเอียดแบบนี้แหละ ไม่เคยได้ยินท่านผู้ทรงธรรมต่างๆพูดถึงเลยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...