ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก

    ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้

    “อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

    แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

    หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน

    แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

    ความแม่นยำของพุทธทำนาย

    จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์

    หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้

    มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง

    ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทยนี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้

    ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป

    พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์

    ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
    พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่งพระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน

    ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี

    ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”

    เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร

    จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า

    “เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้ แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมือง”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล


    สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้น มีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป

    เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด
     
  3. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย

    อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ

    เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน

    พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู
    จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน
    เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ
    แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า

    “เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล
     
  4. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975

    เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น


    เขาบอกว่า น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

    เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”
     
  5. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่

    เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร

    ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

    บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว
     
  6. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    บทกลอนที่มีผู้อ้างว่าเป็น "คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ" มีดังนี้

    ๐ คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
    ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
    พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร
    ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
    ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
    ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
    จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
    จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
    คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
    ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
    เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
    ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
    ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
    พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
    เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
    แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
    เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
    ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
    ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
    ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
    คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
    จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
    ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
    ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
    จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
    ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

    จึงขอแจ้งให้ทราบว่า คำทำนายบทกลอนทั้งหมดนี้ ไม่ใช่คำทำนายของ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ทั้งสิ้น

    (((การยืนยันที่ว่าไม่ใช่เป็นคำทำนายของหลวงพ่อนี้ ผมเอามาจากเวปวัดท่าซุง)))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2012
  7. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ผมส่งไปให้แล้วนะครับ พี่เบญจมาศ จำนวน4ชุดนะครับ หวังว่า พี่คงจะเรียนเพื่อนๆแล้วนะครับ ว่าพระนี้มิใช่พระเก็บ เนื่องจากเป็นวัตถุประสงค์ของผู้แจกนะครับ....ขออนุโมทนาในกุศลทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับพี่และคณะนะครับ

    ระหัส นะครับ RG 2498 3064 4 TH

    ได้รับแล้วรบกวนแจ้งที่กระทู้ด้วยนะครับ..ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 กรกฎาคม 2012
  8. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ไม่ได้แวะเข้ามาไม่กี่วันเอง ปาเข้าไป 14 หน้า ตามอ่านจะไม่ทันกันล่ะ ^-^

    วันนี้มีงานบุญสร้างยอดบราลีโบสถ์วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน มากฝากกันค่ะ
    ลองตามเข้าไปอ่านได้ก่อนที่กระทู้นี้ ต้องอ่านหน้าท้ายๆ สุดแล้วมังคะเพราะเยอะเหลือเกิน 289 หน้าแว๊ววว

    http://palungjit.org/threads/รับตรวจองค์เพื่อช่วยแนะแนวทางในการปฎิบัติ.278082/page-288

    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ะพุทธบาทถ้ำป่าไผ่-โดยการบูชาวัตถุมงคล.322938/

    โมทนาสาธุในบุญกุศลของทุกๆ ท่านทั้งหมดทั้งมวล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  9. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    อีกหนึ่งโครงการงานบุญดีๆ ที่อยากนำมาฝากเพื่อนพ้องทางนี้ กับชมรม I am Number 1 ขอเป็นคนดีที่ 1 ในกึ่งพุทธกาล
    ลองเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่นี่ หากสนใจ
    อย่ารอช้าสมัครเป็นสมาชิกชมรมกันนะคะ (smile)

    http://palungjit.org/threads/เปิดรับสมัครผู้มีจิตสาธารณะ-ค้ำจุนพระพุทธศาสนา.345594/


    I am number 1 Club ขอเป็นคนดีที่หนึ่ง ในกึ่งพุทธกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    คุณพี่ diya ครับเเปลกจังครับ ช่วยอธิบายได้ไหมครับเช่น ท่านเป็นใครครับ สายอาจารย์อะไร ....แต่ก็ขอบคุณพี่มากที่นำสิ่งนี้มาผมเข้าไปดูแล้วนิดหน่อย แปลกครับ ได้โพส บอกชื่อ นามสกุลไปแล้ว แต่ไม่ทราบท่านจะทำนายให้หรือเปล่าครับ
     
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนา สาธุ "บุญเป็นของที่พึ่งได้จริง"

    เปรียบได้กับ ดวงตาแห่งธรรม ที่หลวงปู่ดู่

    ท่านเมตตา มอบให้ญาติธรรม ไว้เป็นที่พึ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (4).jpg
      images (4).jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.2 KB
      เปิดดู:
      44
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงปู่บุดดาพยากรณ์หลวงปู่ดู่ และเรื่องราวของ “ภูเขาบุญ”

    กระแสแห่งโพธิญาณ

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    (คาถาบูชานะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ)

    หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่บุดดา

    ครั้งหลวงปู่บุดดาไปเยี่ยมอาการอาพาธหลวงปู่ดู่

    ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่บุดดาท่านไปเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่ดู่
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรีได้กล่าวกับท่านไว้ว่า

    “วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นน่ะ สำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า”

    ปกติหลวงปู่บุดดาท่านมักจะพกกระป๋องแป้งติดตัวอยู่เสมอเพื่อประทานให้แก่ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ เมื่อหลวงปู่บุดดาและหลวงพ่อต่างกราบกันและกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหลวงปู่บุด ดาท่านได้ประทานแป้งใส่มือหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ดู่ท่านรับมาแล้วนำมาทาบนศรีษะ

    มีญาติโยมที่นั่งอยู่ด้วยเรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า ทำไมจึงนำแป้งไปทาบนศรีษะ

    ท่านตอบว่า

    "ของพระอรหันต์ให้ แกจะให้เอาไปทาที่ไหนละจึงจะสมควร เดี๋ยวจะกลายเป็นความไม่เคารพ นอกจากบนหัวของเรา"

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พระอริยะสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งคนโบราณจึงถือว่าพระรัตนตรัยอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าด้วยเหตุผลฉะนี้

    เมตตาหลวงปู่ / หลวงปู่ครั้งครูบาบุญชุ่มมานมัสการเหตุเพราะมีภิกษุรูปหนึ่งไปสอนท่านในสมาธิท่านจึงตามมาจนเจอเข้ากับหลวงปู่ดู่
    และได้ทราบว่าเเท้จริงแล้วเป็นท่านนั้นเอง

    เรื่องราวภูเขาบุญประสปการ์ณ ท่าน พ.ธรรมรังษีครั้งไปนมัสการหลวงปู่ดู่

    วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปเที่ยว วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นครั้งแรกในชีวิต ราวปี พ.ศ. 2538 ได้ไปประสบพบเห็นในสิ่งที่เหลือเชื่อ เหนือคำบรรยายสุดที่จะเอ่ยอ้างได้หมดจะขอเล่าสั้น ๆ ไว้ดังนี้ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้เข้าไปในเขตของวัดสายตาของข้าพเจ้าก็ได้เหลือบไปเห็น สิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือวัดสะแก มีลักษณะเป็นพระเจดีย์สีทองสว่างไสว ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่อย่างใหญ่โตมโหฬารคล้ายกับพระธาตุดอยสุเทพอย่างไรอย่าง นั้น

    (ใครที่เคยไปเห็น คงจะพอนึกออก) แต่ข้าพเจ้าก็เงียบไว้ไม่ได้บอกใครที่ไปด้วยกันในวันนั้น กลัวเขาจะหาว่า บ้า! นั่นเอง ภายหลังได้เจอกับอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ดู่ จึงได้ถามท่าน ท่านก็เฉลยให้ฟังว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นมีอยู่จริง เรียกว่า “ภูเขาบุญ” หลวงปู่ท่านทำเอาไว้ เพื่อให้เทวดา มาร พรหม และสัมภเวสีทั้งหลาย รวมทั้งวิญญาณต่าง ๆ จะได้มานมัสการกราบไหว้เพื่อบังเกิดบุญกุศลโดยทั่วกัน ทั้งยังอธิษฐานให้อยู่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาสืบต่อไปตราบสิ้นพุทธันดรอีกด้วย นับเป็นความมหัศจรรย์ล้ำลึกที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาโดยแท้ในเรื่องของ “พลังจิต” และที่สำคัญ ตาของข้าพเจ้าไม่ได้ฝาดไป หมายถึง ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาเนื้อจริง ๆ ไม่ได้หลับตาเห็นแต่ประการใด

    พ.ธรรมรังษี

    ความจริงเรื่องความลึกลับซ่อนเร้นในพระพุทธศาสนานั้น มิใช่ว่าเพิ่งจะเกิดมีขึ้นมาก็หาไม่ แต่มีมานานแล้วนานนับเป็นกัปเป็นกัลป์เป็นแสนโกฏิอสงไขยเลยทีเดียว นับแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ จำนวนมากมายหลายแสนล้านพระองค์ที่จะนับจะประมาณมิได้ “อจินไตย 4” ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ได้แก่

    1. พุทธวิสัย เรื่องราวแห่งผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ภาวะแห่งพระโพธิสัตว์ และรวมไปถึงอำนาจแห่งพระสัพพัญญุตญาณอันยิ่งใหญ่ไพศาล และพระมหาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรง พระคุณอันประเสริฐเลิศล้ำทั่วแดนไตรโลกธาตุอันมนุษยโลก เทวโลก มารโลก ตลอดถึง พรหมโลก ต่างก็กราบไหว้บูชาสักการะซึ่งพระพุทธคุณอันหาประมาณมิได้ เป็น “อัปมาโณ” ถือเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดของมงคลจักรวาลนี้เลยทีเดียว

    2. ฌานวิสัย ความลึกลับซ่อนเร้นในเรื่องของ “ฌานสมาบัติ” และ “ญาณสมาธิ” รวมทั้งท่านผู้ที่ได้อภิญญาทั้ง โลกียะและโลกุตระ หรือ วิชชา 8 ประการ ที่ทรงไว้ซึ่งความสุขุมลุ่มลึกคัมภีรภาพละเอียดอ่อน และมีความวิจิตรพิสดารมาก ตามลำดับขั้นของจิตที่ทรงฌานและเต็มไปด้วยอภินิหาร คือ อำนาจของจิต ( Mind’s Potential or Will power )

    3. กรรมวิสัย ความละเอียดลึกล้ำ ในเรื่องของ “กรรมวิบาก” ที่มีผลจำแนกแตกต่างให้สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม

    4. โลกวิสัย ความพิสดารในเรื่องราวของ “โลก” ทั้งของมนุษย์ เทวดา มาร พรหม และ สรรพสัตว์ ล้วนมีความแตกต่างกันออกไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลทั้ง 4 เรื่อง 4 รสนี้ ต่างก็มีความวิจิตรพิสดารมาก ยากที่บุคคลธรรมดาจะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะเป็นเรื่องที่พระพุทธศาสนาจัดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาคิด จึงเรียกว่า “อจินไตย” แปลว่า ไม่ จินไตย คือ จินตนา แปลว่า ความคิด คือ ไม่ให้นำมาคิด นั่นเอง ผู้ใดนำมาคิด พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จะเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้าเป็นแน่แท้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 40_resize.jpg
      40_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56 KB
      เปิดดู:
      58
  13. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    บทความจากหนังสือที่กล่าวถึงรูปถ่ายหลวงปู่ดู่ปรากฎกลายเป็นพุทธนิมิต

    ความเป็นมา - ความเป็นไป

    ช่วงที่ ๑

    ประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ข้าพเจ้านายยวง พึ่งกุศล (ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุวัดสะแก) (สมัยเขียนเรื่อง) ป่วยเป็นโรคท้องเดินอย่างกระทันหัน ได้ไปอยู่โรงพยาบาลปัญจะมาธิราชอุทิศ หมอจัดให้อยู่ในห้องพิเศษ (มีเตียงคู่และห้องน้ำ) แต่ละวันแต่ละคืน ข้าพเจ้าต้องเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายแบบยิบย่อย คือถ่ายมากแล้วก็ค่อยๆ ถ่ายน้อยลง แต่ต้องเข้าห้องน้ำอยู่เรื่อย ไม่มีกากถ่ายไปนั่งเบาสักนิดก็ยังดี ประมาณ ๒ ถึง ๓ นาที ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้ามืดตี ๒ ถึงตี ๔ ก็จะอ่อนเพลียหมดกำลังหลับไปเอง พอเช้ามืดใกล้สว่างจะต้องลุกขึ้นทำสมาธิบนเตียง ซึ่งมีครูถมยาทำสมาธิอีกเตียงหนึ่ง ทุกวันทุกคืนเป็นอย่างนี้ประมาณ ๑๐ วัน

    ในคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำ ตั้งแต่ตอนหัวค่ำปวดท้องเหลือเกิน จะลุกขึ้นเดินก็ตัวขดตัวงอ มือประคองท้องอยู่เรื่อยไป งีบหลับไปได้หน่อยก็ตื่นขึ้นมา ต่างคนต่างทำสมาธิกันไป คืนนั้นข้าพเจ้าหลับตาเห็นแสงสว่างอย่างมากเป็นลำยาวไกลออกไปข้างหน้าอย่างประมาณหาที่สุดมิได้ แสงสว่างนั้นยิ่งมากขึ้นๆ แล้วก็ใหญ่ขึ้นจนมองเห็นต้นไม้ใบไผ่ ใบไม้สีเขียวชะอุ่มไกลลิบสุดลูกนัยน์ตา จากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างเป็นรัศมีของดวงอาทิตย์อ่อนๆ แล้วก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นทีละน้อยๆ จนเห็นว่าดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากริมเขาชายต้นไม้ เป็นสีเหลืองเข้มค่อยๆ ลอยขึ้นๆ จากน้อยมาหามาก จนใกล้จะถึงครึ่งวงกลมของดวงอาทิตย์ ตอนนั้น จิตของข้าพเจ้าได้เห็นองค์หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืดได้อย่างชัดเจน!


    ความเป็นมา - ความเป็นไป
    ช่วงที่ ๒

    ข้าพเจ้าดีใจมาก รู้สึกว่าตัวของข้าพเจ้าสั่นด้วยความดีใจ ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเต็มดวง ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า เย็นหู เย็นตา เย็นจิต เย็นใจ ขนพองสยองเกล้าจนถึงศรีษะ ตอนนั้นหลวงพ่อทวดหายไป เปลี่ยนเป็นหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ นั่งอยู่ตรงที่หลวงพ่อทวดนั่ง ดวงอาทิตย์ยังลอยขึ้นใกล้จะถึงตรงศรีษะของข้าพเจ้า หลวงน้าดู่หายไปกลายเป็นหลวงพ่อทวดนั่งอยู่ตามเดิม (บนดวงอาทิตย์) ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลดต่ำลงมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงตรงหน้าข้าพเจ้า หลวงพ่อทวดหายไป กลายเป็นหลวงน้าดู่ ท่านลงจากดวงอาทิตย์ แล้วเดินมาหยุดข้างหลังข้าพเจ้า ก้มลงเล็กน้อย พร้อมกับยื่นมือขวามาจับพุงของข้าพเจ้า แล้วกระชากดึงพุงอย่างแรงจนตัวไหวไปทั้งตัว ๓ ครั้ง แล้วท่านบอกว่า "หาย" ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่าท่านดึง ๓ ครั้งแค่นี้จะหายหรือ เลยลองขยับกายไปทางขวาจะปวดไหม เอ๊ะ! ไม่ปวด ลองขยับมาทางซ้ายบ้างก็ไม่ปวดอีก คราวนี้ลองอีกแรงๆ ก็ไม่เป็นอะไร ด้วยความดีใจก็บอกคุณถมยาว่า "เลิกเหอะ ฉันหายแล้ว หลวงพ่อทวดมาช่วย หลวงน้าดู่รักษาโดยการจับพุงฉันดึง ๓ ที ก็เลยหายพอดี" คุณถมยาเปิดไฟแล้วให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินภาวนา กลับไปกลับมาจากหน้าเตียงถึงประตู ๓ ครั้ง ก็ไม่เป็นไรแน่ หายดีเป็นปกติ รูปหลวงน้าดู่ที่ท่านดึงอยู่ก็หายไป เอ๊ะ นี่จะเป็นองค์ไหนกันแน่ที่ทำให้เราหาย ใจหนึ่งคิดว่าหลวงน้าดู่ดึงพุงทำให้เราหาย อีกใจหนึ่งก็คิดว่า หลวงพ่อทวดเหยียบดวงอาทิตย์มารับหลวงน้าดู่เพื่อรักษาเรา มันสับสนคิดไม่ออก หายแล้วกลับไปวัดจะต้องถามหลวงน้าดู่ให้ได้


    ความเป็นมา - ความเป็นไป ช่วงที่ ๓

    เมื่อครบกำหนด ๑๖ วัน ตามที่หมอสั่งก็กลับบ้านแล้วมาที่วัดทันที ไม่มีดอกไม้ ธูปเทียน มีแต่ใจมากราบนมัสการ พร้อมกับทองคำเปลวอย่างดี ข้าพเจ้าได้ถามหลวงน้าดู่ว่า

    ข้าพเจ้า "การที่หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ขึ้นมานั่งบนดวงอาทิตย์ครั้งแรก แล้วต่อมาเป็นหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ พอจะถึงพื้นกลายเป็นหลวงพ่อทวด พอลอยต่ำลงมาถึงพื้น ก็กลายเป็นหลวงน้าดู่ ลงมาช่วยดึงพุงผม ๓ ครั้งจนหาย หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวเป็นหลวงพ่อทวด เดี๋ยวเป็นหลวงน้า"

    หลวงน้า "แล้วแกว่าอย่างไร"

    ข้าพเจ้า "เห็นกลับไปกลับมา ก็คงเป็นหลวงพ่อทวดองค์เดียวกัน"

    หลวงน้า "ก็อย่างแกว่านั่นแหละ"

    ข้าพเจ้า "ถ้าอย่างนั้น ก็เป็น พระศรีอริยเมตไตรย นะสิ"

    หลวงน้า "ก็หลวงพ่อทวดคือ พระศรีอริยเมตไตรย ท่านกลับชาติมาเกิดเพื่อสร้างบารมี รู้แล้วอย่าพูดไป เพราะคนที่เขาไม่เชื่อ เขาจะพากันตกนรก เราจะพลอยบาปไปด้วย"

    ทองคำที่ปิดเท้าหลวงน้าดู่นั้น
    ข้าพเจ้าติดถวายแก่พระศรีอริยเมตไตรย
    ที่เท้าของหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ

    สาเหตุที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย เนื่องจากก่อนที่จะทำการพระราชทานเพลิงศพบิดาของผู้เขียน ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับน้ายวง ผู้เขียนได้ถามว่า "น้าคิดว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นหน่อพุทธภูมิ" น้ายวงจึงตอบว่า "อาจารย์คิดว่าหลวงน้าเป็นอะไร" ผู้เขียนตอบว่า "ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ เพราะท่านเคยบอกครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่นำพระนาคปรก ซึ่งหลวงปู่บุดดาฝากถวายมาให้ และมีอีกหลายอย่าง ครั้งจากนั่งสมาธิ มีคนเห็นหลวงพ่อกับหลวงพ่อทวดสลับกันไป สลับกันมา ซึ่งแสดงว่าท่านต้องเป็นองค์เดียวกัน" น้ายวงจึงตอบว่า "ถ้าอย่างนั้นผมจะเขียนเรื่องราวที่ผมสัมผัสมากับหลวงน้า ซึ่งหลวงน้าสั่งให้ปิดไว้เป็นความลับ เป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว คงจะถึงเวลาที่จะเปิดได้แล้ว" ผู้เขียนจึงได้นำบทความนี้มาลง ซึ่งเป็นการเขียนจากผู้มีประสบการณ์จากตัวเอง และผู้เขียนเอง มีความรู้สึกอยากสรุปเรื่องของหลวงปู่ เพราะแม้แต่เกศาหรือฟันของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ พระเครื่องเกิดเป็นพระธรรมธาตุ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธวิสัย คือผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมมีบุญญาธิการเกินกว่าปุถุชนอย่างเรา ไม่ควรที่จะวิจารณ์ ดังที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า เป็น จินไตย หรือแม้แต่องค์หลวงปู่เอง ท่านเคยกล่าวว่า "เรื่องของข้าบางทีก็เกินพระไตรปิฎก ต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง พูดมากไม่ดี เดี๋ยวคนจะลงนรก"


    จากหนังสือกายสิทธ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _1.jpg
      _1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      54
    • -19.jpg
      -19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.8 KB
      เปิดดู:
      73
  14. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ประวัติหลวงปู่ทวด

    ประวัติหลวงปู่ทวด

    หลวงปู่ทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ คุณเมธา พรพิพัฒน์ไพศาลศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแกท่านหนึ่ง ได้เรียบเรียงจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่ม ทั้งที่เป็นตำนาน จารึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่าง ๆ มากมาย

    ทารกอัศจรรย์

    เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระ ตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็ก ๆ ฐานะยากจน แร้นแค้นแต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
    ทารกน้อยผู้นี้มีนามว่า “ปู” เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย
    จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป
    ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดารวมทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนืออกของทารกกลับมีลูกแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่ การทำมาหากินก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ เป็นอยู่อย่างสุขสบายตลอดมา

    สามีราโม

    เมื่อการล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฎีหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ เด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบท มีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม”
    เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่น ๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้ว จึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมด บรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา
    เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษที่วัดราชานุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ

    รบด้วยปัญญา

    กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ
    ครั้งนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศศรีลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาจะให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ
    เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงานท้อง พระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์ แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม จำนวน 84,000 ตัวเท่าจำนวนพระธรรมขันธ์ จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรือสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณและของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์
    เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราช สาส์นของกษัตริย์แห่งตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ ใจความในพระราชสาส์น มีว่า
    “พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวัดนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นเป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุก ๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย”

    พระสุบินนิมิต

    เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความดังนั้นจึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้ จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด
    ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

    รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ
    พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อนเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

    อักษรเจ็ดตัว

    ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ “เจ้าสามีราม” ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า “เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ด้วยเถิด พระคุณท่าน”
    ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดได้กล่าวประมาทเจ้าสามีราม ว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่อออกมาแต่ครรภ์มารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม
    ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิต อธิษฐานว่า “ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย บิดามารดา อำนาจแห่งบุญกุศลที่ได้สร้างสมบำเพ็ญมาและอำนาจแห่งเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สำเร็จสมปรารถนาเถิด”
    ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำ เริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญบารมีกฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่สูญเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนเทพยดาทั้งหลาย จึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวก ไม่ติดขัดประการใดเลย
    ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์ เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น
    บัดนั้น เสี่ยงปี่พาทย์ที่เงียบกริบมาถึงหกวันเต็ม ๆ ก็พลันประโคมสนั่นหวั่นไหว เพื่อเฉลิมฉลองชัยที่พระภิกษุแห่งกรุงสยาม สามารถตีความปริศนาธรรมที่ส่งมาจากกรุงลังกาได้สำเร็จ ทั้งสามารถดำรงอธิปไตยของชาติไว้ได้โดยสมบูรณ์ในวาระนั้น


    พระราชมุนี

    สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จน พระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น “พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์”
    พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี

    โรคห่าเหือดหาย
    ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็หายาก นิยมรักษาด้วยอำนาจคุณพระ และ ยาสมุนไพร
    พระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเข้าเฝ้า ท่านจึงได้ช่วยโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและลูกแก้ววิเศษ ทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายไปด้วยอำนาจคุณบารมีแห่งท่าน ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราช มีนามว่า “พระสังฆราชคุรูปาจารย์” และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า “หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือ จะบูรณะวัดวาอารามใด ๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ”


    กลับสู่ถิ่นฐาน

    ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯ ได้เข้าเฝ้าถวายพระพรทูลลาเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทาน เพียงแต่ตรัสว่า “สมเด็จอย่าละทิ้งโยม” แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา
    ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นก็ได้ทำการเคารพสักการบูชามาถึงบัดนี้ เช่นที่ บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง


    สมเด็จเจ้าพะโคะ

    ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า “สมเด็จเจ้าพะโคะ” และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตตะโคะว่า “วัดพะโคะ” มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพะโคะเสื่อมโทรมลงมาก มีสภาพเหมือนวัดร้าง สมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน ทรงพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะคือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย สมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแพร่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา

    เหยียบน้ำทะเลจืด

    ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว ไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า “ไม้เท้า 3 คด” ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเล ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป
    เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นคือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น เป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดไว้ดื่มและหุงต้มอาหาร พากันเดือดร้อนกระวนกระวายเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกาบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล
    เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากน้ำทะเลแล้ว ก็สั่งให้พวกโจรลองตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ปรากฏว่าน้ำทะเลที่เค็มจัดได้แปรสภาพเป็นน้ำจืด เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันเคารพยำเกรงและสำนึกผิด จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป
    เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา “ไม้เท้า 3 คด” พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิมกลับคด ๆ งอ ๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่า ต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้
    สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของชาวบ้านทั่วไป มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา
    สังขารธรรม

    หลังจากนั้น ต่อมา สมเด็จเจ้าฯ จากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่า ท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า “ท่านลังกา”
    ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่า หากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตั้งนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ อยู่มาไม่นาน ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา บรรดาศิษย์ก็อัญเชิญพระศพของท่านไปไว้ที่วัดช้างให้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
    สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯเคยพำนักอยู่หรือไปมา มีทั้งตามถ้ำและตามวัดต่างๆเช่นวัดกุฎีหลวงวัดสีหยัง วัดเสมาเมืองนครศรีธรรมราชวัดในกรุงศรีอยุธยาวัดพะโคะวัดเกาะใหญ่วัดในไทรบุรีและวัดช้างให้
    ปัจฉิมภาค

    สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์ หน่อพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิ์ ทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยพระบารมีและอภินิหาร ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่ ณ สถานที่ใด ที่แห่งนั้น จะเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์ คือ ช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะ ให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ตลอดไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ประวัติและคำสอน ของ หลวงปู่ดู่ วัดสะแกโดยสังเขป

    หลวงพ่อพระพรหมปัญโญ มีนามเดิมว่า ดู่ ท่านเกิดในสกุล “หนูสี” เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ที่บ้านคลองข้าวเม่า ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

    การศึกษาในเบื้องต้นท่านได้ศึกษาที่วัดประดู่ทรงธรรม โดยอาศัยอยู่กับพระ ครั้นอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบท โดยมีหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการามเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกตลอดมา และได้เคยออกธุดงค์ 1 ครั้ง โดยเที่ยวรุกขมูลไปตามป่าแถบจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และได้ไปนมัสการพระแท่นดงรัง หลังจากนั้นท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแก

    เบื้องต้นของการปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาจากหลวงพ่อกลั่น โดยใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” นอกจากหลวงพ่อกลั่นแล้ว อาจารย์ของท่านอีกองค์หนึ่งก็คือหลวงพ่อเภา วัดพระญาติการาม ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้ จากนั้นท่านก็ได้ค้นคว้าศึกษาปฏิบัติทางจิตด้วยตนเองภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ตลอดมา
    ในทางปริยัติธรรม ท่านได้ศึกษาตามสถานภาพของวัดจากตำรับตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง ซึ่งท่านมักยกเอาข้อธรรมที่เป็นพุทธประวัติ ธรรมบทหรือชาดกมาเป็นตัวอย่างสั่งสอนศิษย์เสมอ

    ในการสอนของท่าน ท่านมักใช้คำแนะนำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งโดยเล่าจากประสบการณ์การปฏิบัติของท่านบ้าง จากพุทธประวัติ หรือชาดกต่าง ๆ เรื่องที่ท่านมักยกมาเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่บ่อย ๆ คือ เรื่อง กุมารหูตุ้ม
    “กุมารหูตุ้มเป็นบุตรพราหมณ์ บิดามารดาเป็นคนร่ำรวยแต่ขี้ตระหนี่มาก เมื่อกุมารหูตุ้มป่วยก็มิได้พาไปรักษา เพียงต้มยาให้ทานเองเท่านั้น จนในที่สุดกุมารหูตุ้มป่วยหนักใกล้จะถึงแก่ความตาย ทุกขเวทนาบีบคั้นมาก จึงนึกถึงพระพุทธองค์ซึ่งเคยได้ยินว่าท่านมีเมตตามาก โดยที่ตัวของกุมารหูตุ้มเองไม่เคยได้เจอ ได้ปฏิบัติ หรือ ได้ทำบุญกับท่านเลย

    พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณอันบริสุทธิ์ และด้วยพระเมตตาธรรมที่เปี่ยมล้นในพระทัย จึงเสด็จดำเนินผ่านมายังบ้านของกุมารหูตุ้มและเปล่งพระฉัพพรรณรังสีอันมีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสว กุมารหูตุ้มได้เห็นแสงสว่างดังนั้น ก็คิดว่าแสงนี้มิใช่แสงพระอาทิตย์ต้องเป็นแสงของพระพุทธเจ้าแน่นอน
    เวลานั้นทุกขเวทนาบังเกิดขึ้นมาก กุมารหูตุ้มไม่มีแรงแม้จะยกมือไหว้ คงมีเพียงใจที่เคารพเลื่อมใสเท่านั้น แล้วก็สิ้นใจไปในขณะนั้น อานิสงส์นี้ทำให้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรมีนามว่า “มัฏฑกุณฑลีเทพบุตร” มีวิมานสูงถึง 30 โยชน์ เสวยทิพยสมบัติตราบสิ้นกาลนาน

    เพียงการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ด้วยความเคารพยังมีอานิสงส์ถึงเพียงนี้ ที่พวกแกปฏิบัติกันบ่อย ๆ ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นประจำ จะมีอานิสงส์เพียงไร” นี้เป็นสิ่งที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติธรรม

    ปฏิปทาของหลวงพ่อที่เห็นได้เด่นชัด คือ ท่านมีเมตตาต่อทุก ๆ คน ไม่ว่าผู้ใดมาหาท่าน ท่านจะต้อนรับด้วยเมตตาจิตเสมอ โดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ท่านจะรักและเมตตาเป็นพิเศษ
    ท่านเคยเล่าว่า เมื่อแรกเริ่มปฏิบัติ ท่านอยากเด่น อยากดัง ไม่ใช่อยากดี วิชา หลาย ๆ อย่าง รวมทั้งรอยสักที่ปรากฏบนกายของท่านนั้น ล้วนแต่เป็นตอนที่อยากเด่นดังทั้งสิ้น

    ต่อมาท่านได้พิจารณาเห็นว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่หนทางพ้นทุกข์ เป็นบาป ไม่เป็นกุศล ท่านจึงเลิกและไม่ได้สนใจอีกต่อไป แม้ทำได้เรียนสำเร็จ ท่านก็มิได้ใช้วิชาเหล่านั้นไปในทางที่เสื่อมเสีย คงมุ่งปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญบารมี อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาอย่างแท้จริง

    หลวงพ่อได้ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิของท่าน เมื่อวันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2533 สิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา

    หลวงพ่อเคยสอนว่า...

    “ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การอ้อนวอนพระเจ้ามาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่างต้องสำเร็จ ไม่ใช่ จะ สำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบ เป็นตัวอย่างให้เราดู อัฐิท่านก็กลายเป็นพระธาตุกันหมด
    เมื่อได้ไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ขอให้ลงมือทำทันที ข้ารับรองว่า ต้องสำเร็จ ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้น อยู่ที่ความเพียรของผู้ปฏิบัติ”

    บ่อยครั้งที่มีผู้ถามปัญหากับหลวงพ่อ โดยมักจะนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติ มิตรหรือคนอื่น ๆ มาปรารภให้หลวงพ่อฟังอยู่เสมอ

    ครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจว่า

    “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม”

    ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า

    “เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา ธรรมแท้ ๆ ย่อมเกิดจากในตัวเรานี้ ทั้งนั้น”

    และ สอนเรื่องการทำบุญ แบบประหยัด ว่า…

    “บุญนั้น หมั่นทำเข้าไว้ คนไหนที่เขาทำดีอะไรก็ตาม โมทนาไปเลย ไม่มีเสีย มีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา เวลาเดินผ่านไปไหน เห็นดอกไม้เราก็นึกถวายพระ ของอะไรก็ตามนึกถวายพระ ได้บุญทั้งนั้น เวลาจะเปิดไฟ ถ้าอยากได้บุญก็ว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ก็ได้แล้ว”

    ส่วน เรื่องวัตถุมงคลของท่านนั้น ท่านยืนยันว่า…

    “ข้าว่า ของๆ ข้า ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน อยู่ที่คนนำไปใช้ ว่าถึงหรือเปล่า ถ้าถึงจริงๆ แล้ว ก็ไปนิพพานได้” ( หมายถึง ช่วยเป็นกำลังใจในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี นั่นเอง )

    วิดีโอประวัติหลวงปู่ดู่ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1dy7uuni6dg]ประวัติหลวงปู่ดู่ 1ชั่วโมง - YouTube[/ame]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พระผงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา (( ขึ้นพระธรรมธาตุ))

    ชื่อว่า “ศิษย์” ย่อมต้องมี “ครู” ด้วยกันทั้งนั้น บ้างก็ครูดัง ศิษย์ดับ บ้างก็ครูดังศิษย์ดัง อย่างเช่น พระเดชพระคุณพระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เป็นครูดี และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ผู้เป็นศิษย์ดัง

    ก็ใช่ว่าจะมีเพียงสำนักวัดป่าเท่านั้น ที่ถึงพร้อมด้วยพระสุปฏิบัติเช่นนี้ จังหวัดภาคกลางของเราก็ยังมีผู้สืบเชื้อสายของความดีอยู่มากเอ่ยชื่อ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ใคร ๆ ก็รู้จัก แต่มีผู้ศรัทธาคิดจะหาเหรียญของท่านละก็ต้องคิดหนัก เพราะของปลอมมีมากกว่าของจริงเสียอีก อย่าเพิ่งน้อยใจในวาสนาเลยครับ ด้วยพระเครื่องที่ดีมีพุทธคุณสูงยังพอหาได้อยู่ แม้จะเป็นชั้นศิษย์ แต่ผมเชื่อว่าไม่น้อยหน้าครูแน่นอน

    ท่านผู้นี้คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก เมืองกรุงเก่านั่นเอง ท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาหลาย ๆ อย่างจากหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ แต่น่าประหลาดอยู่อย่างว่าหลวงพ่อกลั่น กลับไม่ยอมสอนการเจริญภาวนาให้ตรง ๆ คงบอกเพียงว่าให้ท่านภาวนา พุทโธ ไป เรื่อย ๆ เบื้องแรกก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะอะไร ครั้นมาภายหลังจึงทราบว่า หลวงปู่ดู่ ได้ค้นพบองค์ภาวนาด้วยจิตใจของท่านเอง โดยท่านใช้ “ไตรสรณาคมน์” เป็นคำบริกรรม นี้จะแสดงถึง “อนาคตังสญาณ” โดยหลวงพ่อกลั่นใช่หรือไม่ คงต้องขอให้ท่านพิจารณาเอง

    หลวงปู่ดู่ได้เริ่มสร้างพระ รวมถึงวัตถุมงคลในแบบต่าง ๆ มานานมากพอจะสืบได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 เรื่อยมา พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านจึงมีมากมายหลายหลาก เมื่อศิษย์เรียนถามท่านว่า ทำไมท่านสร้างพระเยอะมาก ท่านตอบว่า “จิตใจเราจะได้อยู่กับพระ ดีกว่าสวดมนต์ทิ้งไปเปล่าๆ” ซึ่งเรื่องผูกใจให้อยู่กับพระนั้นท่านจะเน้นมาก ถึงขนาดเปิดไฟฟ้าใช้ ท่านก็ให้ภาวนาว่า “โอม อัคคีไฟ พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา” ท่านย้ำ “แค่นี้ก็ได้บุญแล้ว”

    ฟังแล้วทึ่งซะไม่มี

    ผมจะไม่พูดถึงพระทั่ว ๆ ไปของท่านหรอกครับ เพราะไม่ใช่ของแปลก แต่ที่แปลกก็คือ พระผงที่ท่านพิมพ์เอง สร้างเองกับมือท่าน ซึ่งในวงการอาจไม่ใคร่นิยมนัก เพราะเป็นพระเนื้อปูนผสมผงเสียส่วนใหญ่ ศัพท์เซียนเขาว่า “ส่องแล้วไม่ซึ้ง” ว่างั้นเถอะ แต่พูดถึงประสบการณ์ละก็ คนที่เจอ “ซึ้ง” มานักต่อนักแล้ว

    พระปูนของท่านที่ธรรมดาก็ธรรมดา ส่วนที่ไม่ธรรมดาจะปรากฏผลึกสีขาวขุ่นบ้าง สีขาวใสบ้าง จับเกาะอยู่ตามองค์พระทั่วไปโดยไม่เลือกพิมพ์ สานุศิษย์ที่ได้รับต่างก็แปลกใจกันถ้วนทั่ว เอ! อะไรหว่า ? ลุงผมซึ่งเคยบวชอยู่กับท่านยังเคยนึกค่อนอยู่ในใจ “เออ! หลวงลุงดู่เอากากเพชรมาโรยพระทำไม ยังกับยี่เก” หลายคนที่เคยถามได้รับคำตอบเดียวกันจากท่านว่าเป็น “พระธรรมธาตุ” คือพระธาตุหรือ? ท่านตอบ “ไม่ใช่” แต่ท่านก็มิได้อธิบายอะไร ๆ ให้ฟัง

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เนื้อปูน เกิด "พระธรรมธาตุ"
    ร้อนถึงศิษย์ผู้มีภูมิรู้หลายท่านได้อรรถาอธิบายว่า “พระผงของท่านนั้นมิได้มีแต่ผงต่าง ๆ หากท่านยังผสมด้วยเส้นเกศาของท่านไว้เป็นจำนวนมากในทุก ๆ ครั้งที่มีการสร้างพระ เพราะเส้นเกศานั้นเองที่มีพลังงานบริสุทธิ์จากองค์ท่านเป็นอย่างสูงประจุ อยู่ในพลังงานนั้นก็ยังมี “เตโชธาตุ” (ธาตุไฟ) รวมอยู่ด้วยครั้นผสมกันไปได้ระยะเวลาหนึ่ง “ซิลิกอน” ซึ่งมีอยู่ในปูนก็ได้ถูกพลังงานความร้อน (ที่มีสภาวะเป็นทิพย์) ในเส้นเกศาของท่านเหนี่ยวนำให้ “ซิลิกอน” เกิดการควบแน่นและตกผลึกขึ้น จากนั้นก็จะค่อย ๆ ผุดขึ้นจากองค์พระมาเป็น “พระธรรมธาตุ” ดังที่เราเห็นกันอยู่ และนี่คือที่มา”

    ผมฟังศิษย์ท่านนั้นแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเพราะเป็นเหตุเป็นผลที่ดี และน่าเชื่อถือได้มาก ก็เอาเป็นว่าใครที่ยังหาข้อยุติไม่ได้จงอย่าไปหาเลยปวดหัวเปล่า แต่ที่แน่ ๆ พระที่มีพระธรรมธาตุเป็นที่ต้องการอย่างสูงของบรรดาศิษย์ทั้งหลายทั้งปวง

    ความแปลกของพระเครื่องหลวงปู่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น องค์ที่ไม่มีพระธรรมธาตุจะทำให้เกิดมีขึ้นก็ได้ องค์ที่มีอยู่แล้วกลับหายไปหมดก็เคยปรากฏ อยากให้มีก็สวดมนต์ไหว้พระและภาวนามาก ๆ ก็จะ “ผุด” ขึ้นมาเป็นกำลังใจสำหรับคนทำจริง แต่มากน้อยเท่าไรนั้นผมขอโยนกลองให้เป็นเรื่องของ “บารมี” ก็แล้วกัน ส่วนที่จะทำให้หายก็ไม่ยาก นำพระเข้าอาบ อบ นวด ไนต์คลับบ่อย ๆ ก็จะเหลือแต่พระเปล่า ๆ ไปเอง ถึงขนาดนี้แล้วเรียกว่า "แปลก" ได้ไหมครับ

    สำหรับพระผงของหลวงปู่นั้น องค์ใดที่ไม่มีตรายางเป็นรูปตัว “พ” อยู่ในกงจักรละก็ หมายถึง พระนั้นเจ้าของได้รับจากท่านตั้งแต่สมัยท่านยังทรงสังขารอยู่ แต่ ถ้าองค์ใดถูกประทับอยู่ด้วยตรายางหมึกสีดำ หรือหมึกสีน้ำเงินละก็นั้นคือพระที่นำออกจากกุฏิของท่านภายหลังจากที่ ท่านมรณภาพแล้ว แต่ก็เป็นพระที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้โดยองค์ท่านเอง

    ทว่าของปลอมผู้ไม่เคยยอมพ่ายแพ้ของจริง ก็พากันโผล่ผุดประดุจผีลุกจากหลุมมาหลอนหลอกเอากับผู้ที่ไม่ประสีประสาในพระ ท่านกันอย่างบันเทิงกระบะ จึงจำเป็นต้องชี้แจงพอเป็นแนวทางสำหรับผู้ไม่รู้ไว้ก่อน พอให้เอาตัวรอดบ้าง ส่วนผู้ที่จะแจ้งในเชิงพระของหลวงปู่ ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากจะมีข้อผิดพลาดไป

    ด้วยเหตุที่พระของหลวงปู่มีส่วนผสมเป็นปูนเสียมากนักปลอมแปลงจึงทำกันได้ อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยาก เพียงทำบล็อกแล้วเทปูนใส่ก็จบเรื่อง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าพิมพ์ทรงของปลอมนั้นจะเบลอ ๆ ไม่คมชัด ยิ่งเป็นพิมพ์พระพรหมแล้วไม่ว่าจะเป็น หน้าตา, แขน, ขา,คันศร หรือตัวอักขระ “นะปิดล้อม” ที่อยู่รอบ ๆ องค์พรหมล้วนเบลอจนแยกแยะได้ไม่ยากเย็น สำหรับมือปลอมชั้นนำที่ได้มีการทำบล็อกขึ้นใหม่แม้จะคมชัดดุจโทรทัศน์สี แต่ก็จะเห็นได้ว่าทั้งแขนและขาของพระพรหมปลอมดูอวบอ้วนกว่าของจริงมาก ในขณะที่ของจริงจะเรียวงามสมส่วน

    ทางด้านเนื้อพระผงของจริงนั้นส่วนมากจะดูฟู ๆ คล้ายพระของหลวงปู่โต๊ะอยู่ไม่น้อยอันเนื่องมาจากท่านได้นำพระไปแช่น้ำมนต์ หรือแช่น้ำชาเสกนั่นเอง ถ้าท่านส่องดูด้วยกล้องส่องพระก็ยิ่งจะเห็นความงามซึ้งข้อนี้ได้ชัดเจน และยังจะพบมวลสารต่าง ๆ เป็นจุดดำและเกล็ดสีทองกระจายอยู่ทั่วองค์พระ(เว้นแต่ด้านหลัง บางองค์ก็ปรากฏมีสีเขียวอมเหลืองประปรายไปทั่วด้านหน้าด้านหลัง หลายคนที่ได้ร้องกรี๊ดกร๊าดหาว่า “พระขึ้นรา”

    โธ่! เวรกรรมท่านผสมผงตะไบพระกริ่งลงไปต่างหาก สนิมจากผงตะไบก็เลยเป็นเหตุให้พระมีวรรณะดังนั้น ที่ นี้เนื้อพระของปลอมไม่เป็นเนื้ออย่างนี้ละสิ แต่เนื้อจะดูด้าน ๆ แข็ง ๆ ยิ่งถ้าส่องกล้องก็จะเห็นชัดว่า ในเนื้อพระไม่มีมวลสารมงคลแทรกซึมอยู่เลย คงมีเพียงปูนขาวล้วน ๆ ชนิดไร้ยางอาย พระประเภทนี้ดูง่ายนัก ทว่ามือโปรก็มีอีกแหละ ใส่ผงมหาชุ่ยอะไรก็ไม่รู้ลงไปตอนผสมพระก็พอกล้อมแกล้มหลอกคนรีบร้อนเช่าไป ได้บ้างหรอก แต่สำหรับคนขี้ระแวง(อาจเพราะเงินหายาก)จะส่องแล้วส่องอีกจนเอะใจแล้วก็ “ปล่อยวาง” บางคนก็ร้ายหนักถึงกับผสมกากเพชรลงไปด้วยเพื่อให้ดูคล้าย
    “พระธรรมธาตุ” อันจะทำให้มีราคาสูง

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่านักปลอมจะปลอมอย่างไร ก็ขอเรียนให้ท่านผู้ศรัทธาทราบไว้เลยว่า ไม่เหมือน ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ถ้าท่านมีของแท้อยู่ในมือสักองค์หรือเคยพิจารณาของแท้อย่างถี่ถ้วนมาก่อนละ ก็ ท่านจะดูพระหลวงปู่ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย โดยเฉพาะองค์ที่ขึ้นพระธรรมธาตุนั้น ไม่มีใครสามารถจะทำให้เหมือนหรือทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นบารมีเฉพาะองค์หลวงปู่ท่าน ดังนั้นพระที่ขึ้นพระธรรมธาตุไม่ว่าจะพิมพ์ทรงใดก็ตามย่อมเป็นของแท้แน่นอน

    ถึงตรงนี้คงพอจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมองค์ที่มีพระธรรมธาตุจึงมีค่าสูง กว่าองค์ที่ไม่มี ก็นอกจากจะแสดงถึงบารมีอันเปี่ยมล้นในองค์พระแล้ว ยัง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าแท้ให้ผู้รู้สบายใจ แต่ก็หายากอยู่สักหน่อยนะครับ วันนี้ก็ดูรูปเป็นครูไปก่อนแล้วกัน ใครที่เริ่มเสาะหาผมขออวยพรให้โชคดี
     
  17. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

    คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

    ธรรมประจำใจ
    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย พระอรหันต์

    ละได้ย่อมสงบ
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

    สันดาน
    " ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
    ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

    ชีวิตทุกข์
    การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
    จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
    เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้าน
    ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
    นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

    บรรเทาทุกข์
    การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม
    เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง
    กับตัวเราว่าส่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

    ยากกว่าการเกิด
    ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
    เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

    ไม่สิ้นสุด
    แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
    กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

    ยึดจึงเดือดร้อน
    ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง
    ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้
    ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
    ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
    เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
    สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

    อยู่ให้สบาย
    ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด
    อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
    อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
    เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

    ธรรมารมณ์
    การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน
    และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
    ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว
    ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

    กรรม
    ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
    ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

    มารยาทของผู้เป็นใหญ่
    " ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง " มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่
    ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

    โลกิยะหรือโลกุตระ
    คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
    คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
    ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
    ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า
    ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ?
    แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ
    ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

    ศิษย์แท้
    พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ
    ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    รู้ซึ้ง
    ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ
    เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

    ใจสำคัญ
    การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา
    ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย

    หยุดพิจารณา
    คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน
    และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณา
    แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

    บริจาค
    ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
    การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
    เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
    การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม

    ทำด้วยใจสงบ
    เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน
    เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน
    เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว
    ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

    มีสติพร้อม
    จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
    อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

    เตือนมนุษย์
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

    พิจารณาตัวเอง
    คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
    ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
    คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
    เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง


    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
    เล่มของหลวงปู่ทวดขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม

    ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ได้รับข้อความมาจากเพื่อนก็เลยเอามาลงให้ได้อ่านกันครับ
    จากสมาชิกที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติครับ
     
  18. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    หลวงปู่ดู่กล่าวถึงหลวง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    จากหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริฑัตตะเถระ ทำให้ผู้เขียนปรารถนาที่จะได้กราบนมัสการท่านอาจารย์มหาบัว เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาโอกาสยาก ได้แต่ส่งเงินไปร่วมทำบุญกับท่านพร้อมกับเรียนถามข้อข้องใจของเราท่านมีเมตตาเขียนตอบเป็นลายมือขององค์ท่านเองมีใจความว่า "มรรคผลนิพพาน ยังคงมีอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรม"

    เพื่อนผู้เขียนทำงานอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีเมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมเยือน ได้ถือโอกาสไปนมัสการได้ฟังธรรมจากท่าน ครั้งหนึ่ง ทางวิทยาเขตมีการทัศนศึกษาโดยพาคณะอาจารย์ที่บรรจุใหม่ไปดูงานตามที่ต่างๆ ทางภาคอีสานเมื่อมาถึงจังหวัดอุดรธานีผู้เขียนได้เรียนปรึกษากับผู้อำนวยการถึงการพาคณะอาจารย์ไปนมัสการ ทางท่านผู้อำนวยการไม่ขัดข้องมีอาจารย์บางท่านไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะทำให้เสียโปรแกรมอื่นๆแต่ผู้อำนวยการยืนยันจะไป

    คณะอาจารย์ไปถึงวัดหลังจากท่านฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้วเห็นท่านนั่งบนศาลา หลังจาก ผ.อ.นำคณะอาจารย์กราบเรียบร้อยแล้วท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นว่า "วันนี้เราก็มีธุระที่ต้องไปทำ แต่เห็นเป็นคณะใหญ่จะมากราบอันที่จริงเราก็มีโปรแกรมเหมือนกันกับพวกท่าน ดังนั้น ถ้าโปรแกรมบางอันที่ไม่เหมาะสมก็ตัดไปเสียบ้าง"

    พวกอาจารย์นั่งเงียบ นึกถึงคำพูดที่ปรึกษากันก่อนจะมาวัดสุดท้ายท่านอาจารย์ได้มอบหนังสือให้ไปศึกษา โดยท่านพูดว่า "เอาหนังสือธรรมะไปอ่าน คือให้ศึกษาหรืออ่านใจของเรานะ"

    ครั้งหนึ่ง ไปพบท่านในช่วงบ่ายพระในวัดบอกว่า ท่านอาจารย์เข้าไปในกุฏิแล้วต้องไปกราบเรียนท่านก่อนว่า จะอนุญาตหรือไม่ยังไม่ทันที่พระจะลุกออกไป ได้ยินเสียงกริ่งดังพระบอกว่า เข้าไปได้ ท่านอนุญาตแล้วพวกเรามองดูรอบๆ บริเวณ คิดว่าท่านคงมองมาจากช่องหน้าต่างแต่ไม่น่าจะมองเห็น เพราะกุฏิของท่านห่างออกไป มีป่าไม้บดบังครั้งนี้ ท่านปรารภธรรมให้ฟังหลายอย่าง ตอนหนึ่งของการสนทนา
    ท่านถามว่า เคยไปกราบหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดถ้ำผาปู่นิมิต หรือไม่ ผู้เขียนเรียนท่านว่าเคยไป เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือที่จังหวัดเลยท่านอาจารย์พูดขึ้นว่า "เราว่าหลวงปู่คำดี เป็นพระพิเศษ เคยตั้งใจจะไปหาท่านที่จังหวัดเลย พอไปถึง มีเณรมารอ บอกว่าหลวงปู่ให้มารอรับเรา"

    เอ๊ะ..ไม่ได้บอกท่านนะพอขึ้นไปถึงกุฏิท่านพูดว่า "ท่านมหามาก่อนที่ผมคิดไว้ ๒ ชั่วโมง"

    เกี่ยวกับหลวงปู่คำดีผู้เขียนยังจำได้ สมัยไปหาท่านพร้อมกับมารดาและนายอำเภอเมืองพอไปถึงวัด มีเณรมารอรับบอกว่า "หลวงปู่สั่งให้ปูเสื่อไว้ เดี๋ยวจะมีโยมจากในเมืองมาหา"

    คำว่าพระพิเศษของท่านอาจารย์แสดงออกเมื่อหลวงปู่คำดีมรณภาพหลังจากทำการฌาปนกิจแล้วอัฐิท่านก็กลายเป็นพระธาตุ แสดงความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง

    ผู้เขียนเคยนำภาพอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนไปให้หลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิตหลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า "ท่านเป็นพระอรหันต์นะองค์นี้"

    ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่เคยได้ยินชื่อท่านหรือไม่หลวงปู่ดู่ตอบว่า "ได้ยินมานานแล้ว หลายสิบปี มีคนเขาเอารูปมาให้ดูข้ารู้มานานแล้ว"

    ลูกศิษย์ของผู้เขียน มาขอพระพุทธรูปทรงเครื่องประดับด้วยพลอยเพื่อจะนำไปถวายท่าน ผู้เขียนไม่ขัดข้องบอกแต่เพียงว่า "เห็นว่าท่าน ไม่นิยมรับพระ เพราะท่านบอกว่ารก ไม่รู้จะไว้ที่ไหน เสี่ยงดูแล้วกัน ถ้าท่านไม่รับก็ไปถวายที่อื่นท่านมีเหตุผลของท่าน"

    ผู้เขียนได้แต่นำพระบรมสารีริกธาตและดวงแก้วมหาจักรพรรดิ บรรจุในส่วนของพระเศียรมอบให้ลูกศิษย์กลับมาบอกว่า

    "วันที่ไปหา คนเยอะมาก ไม่มีโอกาสจะเข้าไปกราบนมัสการได้แต่นั่งรอตรงทางเดินสักพักหนึ่งหลวงตามหาบัวท่านเดินมาหาแล้วบอกว่านำพระมาให้เราหรือเลยได้ถวายท่านบอกให้ไปไว้ที่ศาลา"

    พระที่ติดตามคงสงสัยในใจว่าพระอะไรหลวงตามหาบัว..ท่านตอบขึ้นว่า"เขาเรียกว่าพระทรงเทวดา ท่านไม่รู้เหรอ"

    เมื่อไม่นานมานี้ รศ.นรีทิพย์ ทุ่งกาวี ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำภาพของท่านอาจารย์มหาบัวมามอบให้ผู้เขียน ซึ่งมีลายเซ็นของท่าน เขียนวาทะได้จับใจ ความว่า

    "ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลวงตาก็แก่มากแล้ว ห่วงลูกหลานไทยเรามากขึ้นทุกวัน"

    ที่มา : ร่มเงาพุทธฉัตร
    กราบอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ผู้เขียน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • art_342200.jpg
      art_342200.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • 64219695.jpg
      64219695.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.6 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2012
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    อนุโมทนาด้วยครับพี่มดเเดง
    ตั้งเเต่ผมพิมพ์เยอะๆ ก็ไม่มีใครเขาเข้ามาเเล้วครับพี่ อิอิ ฉงฉัยอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว อิอิ
    ดีใจจังพี่มา อย่างน้อยๆ ผมมีกำลังใจขึ้นครับ
    จริงเเล้ว จุดประสงค์ไม่ได้เปลี่ยนนะครับ เพื่อนๆสมาชิกทั้งหลายครับ
    ยังแชร์ประสบการณ์ หรือเผยเเพร่งานบุญได้ตลอดครับ
    ที่ผมพิพม์ หรือ ก๊อป เเชร์ไปนี่ ก็อยู่ในพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้นครับ หุหุ(deejai)(deejai)(deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2012
  20. sambe43

    sambe43 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2009
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +446
    ให้กำลังใจครับ

    ตอนแรกอ่านแล้วเห็นว่าเนื้อหาเยอะมากแต่อ่านแล้วมีประโยชน์จริงๆ ทำให้ตอนนี้เริ่มหันมาสวดคาถาจักรพรรดิบ้างแล้ว ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...