อรหันต์เป็นผลที่เนื่องมาจากการสร้างเหตุ แต่นิพพานไม่มีเหตุใดทำให้เกิด?

สังขารดับแล้วต้องรอวิญญาณดวงอื่นมาใช้สังขารต่อ พวกนอกศาสนา บิดเบือนพระธรรม

 

ธรรมกายเป็นชื่อของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบอกว่ากายของพระองค์เป็นกายเน่า พระพุทธเจ้าสอนว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความดับไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

 

ธรรมจากพระธรรมกาย และนิรมาณกายของพระพุทธเจ้า


ธรรมสองแหล่งนี้ "ไม่เหมือนกัน" ธรรมจากพระธรรมกาย
ของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับนิพพาน เป็นสัจธรรมแท้
ไม่แปรผัน เหนือภาษา เหนือกาลเวลา ไม่อาจอธิบายได้


ทว่า "ธรรมจากนิรมาณกาย" ของท่านจะมีลักษณะเป็นผู้รู้
ผู้หยั่งรู้ รู้มาก รู้ไปหมด รู้เยอะแยะ เป็นไอ้ตัวหัวแหลม ที่
พระเกษมตบนั่นแหละ ซึ่งทำหน้าที่ดึงสรรพสัตว์เข้ามา
ใกล้ๆ ก่อน รอเวลาที่พร้อม พระธรรมกายจึงโปรดสัตว์
นั้นด้วย "ธรรมแท้" ต่อไป ด้วยเหตุนี้ ธรรมจากตำรา
จึงมาจากนิรมาณกาย ไม่ได้ช่วยให้บรรลุธรรมจริงได้
บุคคลจะบรรลุธรรมได้ด้วยพระธรรมกายโปรดเท่านั้น
ไม่มีผูใดจะอ่านตำราแล้วบรรลุเองได้ เพราะไม่ใช่ยุค
ของพระปัจเจกพุทธเจ้าจะพึงมี พึงเกิดได้ ในยุคนี้เลย

 

รายละเอียดมาก
ไว้วันหลังดีกว่า

 

เมื่อสังขารมีอินทรีย์พร้อม
จิตวิญญาณมืด จะผ่อนคลาย
อำนาจครอบงำลง อนึ่ง การก่อ
กรรมคือวิธีหนึ่งของการยืดอายุขัย
เขาจำเป็นต้องทำแบบนั้น เหมือนคุณ
"มินาโก๊ะ" ถ้าเขาไม่ก่อกรรม สังขารเขา
จะอยู่ได้ยาก เพราะจิตหลักใสเกินสังขารรอง
รับไปแล้ว ทรงขันธ์ยาก มารเลยรุม ทำให้มีสภาพ
เหมือนคนแปลกๆ แบบนั้น นั่นคือ "ใสหุ้มดำ" เพื่อรอ
ให้อินทรีย์สังขารพร้อม สิ่งที่ห่อหุ้มก็จะพัฒนาไปด้านสว่างเอง


ยกเว้นว่า "บวชพระ" เสีย ก็ไม่ต้องอาศัยเกราะห่อหุ้ม จะมีลักษณะเหมือน
พระอรหันต์ได้ไม่ยาก แต่ถ้าทรงขันธ์อยู่ในเพศฆราวาส บ้างจะเหมือนคนบ้าได้

 

พวกที่มีเชื้อสายมาจากต่างดาว
มาจากจิตวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว
จะเป็นเช่นนี้ได้ คือ กลับสู่ภาวะ
เดิมแท้ของจิตเดิมแท้ก่อนเกิดนั้น

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=0j9m_XRLojI]อภิตาภ สุขาวดี ธารณี บทที่1.wmv - YouTube[/ame]


นี่ก็ต่างดาวนะครับ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้

 

คำว่า "พระพุทธศาสนาหักกลาง" นั้นคืออะไร?


คือ การที่ "พระสงฆ์สาวก" ผู้มีสังขารบนโลก
ไม่อาจสืบทอดสายธรรม ให้เกิดอรหันต์แท้ๆ
ต่อเนื่องสืบๆ กันไปได้อีก เพราะเหตุอะไร ก็
แล้วแต่ตามกรรมของยุคสมัยนั้นๆ นั่นคือ มัน
ขาดที่ส่วนพระสงฆ์ ทว่า ส่วนพระพุทธ ยังคง
ดำรงอยู่คือ "พระธรรมกายของพระพุทธองค์"
ส่วนพระธรรมยังคงอยู่ในตำรา ใช้เป็นพื้นฐาน
ได้เท่านั้น ไม่อาจใช้ถึงขั้นบรรลุธรรมเอง ด้วย
การอ่านเองได้เลย บุคคลจะบรรลุธรรมได้ต้อง
ผ่านการสืบสายธรรมที่ถูกต้อง เช่น สืบจากพระ
ธรรมกายของพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะไม่ใช่
พระปัจเจกพุทธเจ้า นะครับ (อย่าบ้าตำรามาก)


ดังนั้น การค้นพบพระธรรมกายของพระพุทธองค์
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการสืบทอดศาสนา

 

หลวงพ่อสด จำต้องลงมาเพื่อถ่ายทอดวิชชาธรรมกายไว้ เพื่อกิจสำคัญคือการสืบทอดพระศาสนาที่จะหักกลาง

 

ธรรมนั้น "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ติ" แล

 

ผู้รับสารจากดาวนาเม็กโพสกระทู้นี้ ค่อยมี สาระ หน่อย

 

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๔๔/๓๘๓
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

 

จากคำตอบปัญหาที่ ๑๐ ที่ถามพระนาคเสน เรื่องที่อยู่ของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน พระนาคเสนตอบดังนี้:

“ ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? ”
“ ขอถวายพระพร มีจริง ”
“ พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้ได้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยการดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ ขอถวายพระพร เปลวไฟที่ดับไปแล้วมหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่า เปลวไฟนั้นไปอยู่ที่ไหน ? ”
“ ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะเปลวไฟนั้นถึงซึ่งความไม่มีบัญญติแล้ว ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครอาจชี้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน
อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ”

 

คัมภีร์ ลิ่ว จู่ ถั๋น จิง วู้ ซื่อ สมัยราชวงศ์ถัง ความว่า

" ธรรมกายเป็นทางเอกที่ไร้รูป ใส สะอาดบริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่ขบคิดด้วยปัญญาไม่ได้…


… มาเถอะกัลยาณมิตรทั้งหลาย เรื่องประพฤติธรรมนี้ ต้องเริ่มที่ใจของเรา ไม่ว่าเวลาใดๆ ตรึกนึกภาวนา ทำใจตนเองให้ใสบริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เห็นธรรมกายของตนเอง เห็นจากพุทธะที่อยู่ในใจของเรา ทำตนให้หลุดพ้น รักษาศีลด้วยตนเอง เริ่มต้นผิดจากนี้ไปมิได้… "


http://7meditation.blogspot.com/2009/08/5.html
​

 

ตำราคือ ข้อมูลเบื้องต้นให้
เราทดลองและค้นคว้าต่อไป
จนกว่าจะ "ค้นพบความจริง
ด้วยตนเอง" จึงจะสรุปได้


หมดเวลาแล้ว บะบายครับ


:z8

 

ธรรมชาติเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว นิพพานเกิดขึ้นในภายหลัง

 

นามรูปย่อมเกิดได้เพราะวิญญาณ
ปราศจากวิญญาณนามรูปย่อมตั้งอยู่ไม่ได้

 

**********************
ญาณไม่เกี่ยว (ความรู้แท้/ไม่รู้แท้--ไม่เกี่ยว)
ฌานไม่เกี่ยว (ความสงบระงับ/ ความไม่สงบระงับ--ไม่เกี่ยว)

วาระที่สุดจริงๆ คืออะไร สุดหล่อ
**********************

 

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๒๗๓/๒๙๐
[๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ
ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุ
ธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่
อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่าง
นั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึงบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตามธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็น
ไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งปวง
เป็นอนัตตา ฯ

 

ก็เคยเตือนแล้ว แต่ยังทำหูทวนลม
(ยังปฏิบัติทำตนเองหลงไปตาม-
การกระทำของอมนุษย์ที่มาเป็น
พี่เลี้ยง ทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลง)
ก็ต้องปล่อยไป รอให้ผลแห่งกรรม
รอให้รูปกายภาควิญญาณแสดงผล
ของกรรม ก็จะเห็นเองว่า
สิ่งที่กระทำให้เปลี่ยนแปลง
คืออะไร?