เฟสบุ๊ค เหยียดหยามศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ทำยังไงดี

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Teeyaigod, 11 กรกฎาคม 2012.

  1. Teeyaigod

    Teeyaigod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +120
    ผมอึดอัดมานานแล้วคัย ตัวผมเป็นคนติดตามข่าวสารในเฟสบุ๊คทุกวัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ผม ได้ไปเจอเฟสบุ๊คเพจที่หมิ่นศาสนา ชื่อว่า *** โหดสัด*** หมิ่นศาสนา เหยียดหยาม พระพุทธเจ้า ตัดต่อภาพไม่ควร เกี่ยวกับศาสนา และองค์ศาสนาของผม ตัวผมได้เข้าไปกล่าวติเตียน แถมยังรีพอทเรื่องก็ไม่คืบหน้า ที่สำคัญเพจนี้ แฟนเพจเป็นแสน แล้วคิดดูซิคับ อีกหน่อยเยาวชน จะเปนยังไง แถมยังมีเด็กเยาวชน ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง โพสอย่างคะนองปาก หมิ่นศาสนา พระสง์ ผมอยากเรียนถามว่า ผมจะต้องทำยังไงคับ ทำไมถึงปล่อยให้มีเพจแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา ช่วยแนะนำผมทีคับ ทนดูไม่ได้จิง ๆ ผมขอวอนผู้มีอำนาจหน้าที่ เกี่ยวข้องได้โปรดจัดการให้ทีครับ

    https://www.facebook.com/Ruthless.sat

    ลองเข้าไปดูครับ ว่าเพจหยาบช้า แบบนี้ มันอยู่ได้ยังไง ผมไม่เข้าใจเลย
     
  2. Teeyaigod

    Teeyaigod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +120
    ลองเข้าไปดูลิ้ง กันครับ..........ว่ามันสุดยอดขนาดไหน แย่มากคับ.....ผมจะปกป้องศาสนา ของผมยังไงดี แอดมินคะนองปากมากคับ...มีเยอะมากคับ ตัดต่อภาพชั่วช้าแบบนี้ ...!!!! ท่านใดรู้บ้างว่าผมควรจะแจ้งหน่วยงานไหน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  3. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
  4. Inwpower

    Inwpower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +105
    ผมว่ามันเป็นเสรีภาพทางการแสดงความคิดนะ

    ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่เค้าก็รับเรื่องพวกนี้ได้

    มันไม่ได้มีแค่ศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นก็มี

    ผมว่ามันไม่ได้ทำลายศาสนาอะไร

    เพียงแต่ทำให้คนที่รู้สึกเป็นเจ้าของศาสนา รู้สึกถูกเหยียดหยามดูหมิ่นแค่นั้นเอง
     
  5. bebe9

    bebe9 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2011
    โพสต์:
    344
    ค่าพลัง:
    +31
    ความคิด การกระทำ เกิดเป็นผลกรรม ผู้ใดทำ่สิ่งใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้น

    ขอท่าน แผ่ส่วนบุญ และอโหสิกรรมให้กับเค้า เพื่อช่วยให้เค้าได้พบกับแสงสว่าง
     
  6. นพ สุททิพร

    นพ สุททิพร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    [ame="http://www.metacafe.com/watch/8780197/hoommmm/"]Hoommmm - Video[/ame]
    [ame="http://www.metacafe.com/watch/8462164/walkin_home/"]Walkin Home - Video[/ame]
    [ame="http://www.metacafe.com/watch/8462102/kong_p2/"]Kong p2 - Video[/ame]


    [ame="http://www.metacafe.com/watch/8780267/doorma2"]Doorma2 - Video[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  7. Omniverse

    Omniverse สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +12
    ผมเห็นด้วยว่าเป็นเสรีภาพทางความคิด เราจะไปห้ามเขาให้คิดหรือทำอะไรอย่างที่เราชอบไม่ได้หรอกครับ
    อีกอย่างเว็บแบบนี้อยู่ได้แค่ในพื้นที่เสมือนเท่านั้นแหละครับ ถ้าเขามากระทำอะไรที่ "หมิ่น" ในพื้นที่จริงๆ เราค่อยมาว่ากันอีกทีนะครับ
     
  8. Broccocat

    Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +4,094
    แจ้งลบมั้งคะ...ไม่แน่ใจนะคะว่าจะใช้หลักการเดียวกันได้รึป่าว มันจะเหมือนกับการแอดเป็นเพื่อนไหม เพราะเมื่อก่อนมีเพื่อนอยู่คนนึง ซึ่งเราไม่ชอบเค้า เราก็ บล๊อค เค้าไปเลย ก็ไม่มีการอัพเดทจากเพื่อนคนนี้ให้รำคาญใจอีก

    ทางที่ดี ไม่ต้องไปสนใจเพจนั้นดีกว่าค่ะ ยิ่งไปสนใจ เอามาลงในนี้อีก มันยิ่งเป็นอะไรที่ คนที่อยากรู้อยากรู้อยากเห็น ก็จะเข้าไปหาๆ ดู ทำเฉยๆ ไปซะคนนึง อีกร้อยคนก็...นะคะ ตามนั้น อิอิ
     
  9. เอาฮา

    เอาฮา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +19
    มันเป็นแค่สัญลักษณ์ไม่ใช่แก่น แก่นของมันต่างหากเป็นสิ่งที่ควรหวงแหน แต่กลับถูกละเลย
     
  10. Pra_THoNG

    Pra_THoNG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +739
    คือ เข้าไปดูแล้ว.........บางคนบอกให้วางเฉย
    ถคือมันไม่ได้เอารุปมาลงอย่างเดียว มันมีทั้งคำว่า ส้นตีน ถ้าทาย บอก กินกะบาล กรูได้ด้วยหรอ นรกอ่ะ ไรประมานนี้

    พระพุทธเจ้าก็เปรียบเสมือนพ่อ เรา ใครมาทำกับรูปพ่อเราแบบนี้ มันก็ น่าโมโหนะ
    แล้วแต่จะคิดครับ อย่างอื่นมีให้เล่นตั้งเยอะไม่เล่น เพจนั้นอ่ะ
     
  11. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    ก่อนอื่นหาทางทำใจของเราให้นิ่งก่อน อย่าทุกข์ไปกับการกระทำของเขา มีความทุกข์ก็เหมือนตกนรก

    ตั้งสติ สติมาปัญญาจะเกิด
    คนที่ทำแบบนี้มันมีหลายประเภท บางคนมันก็แค่อยากดัง เรียกร้องความสนใจเพราะขาดความอบอุ่น มีปัญหาชีวิต สุขภาพจิตมีปัญหา จนถึงเป็นโรคจิต
    เขาจะมีความสุขถ้าทำให้คนทุกข์ใจกับการกระทำของเขาได้
    แต่ถ้าไม่มีใครไปสนใจ ไปทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เขาทำ เขาก็จะกร่อย เก้อๆไป
    แรกๆก็จะพยามหาทางทำให้แรงขึ้นอีก มากขึ้นอีก แต่สุดท้ายก็จะกร่อยไปเอง

    สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านโดนหนักกว่านี้ ท่านก็แก้ด้วยการนิ่งเสีย พระอานนท์ทนไม่ไหวที่พระพุทธเจ้าถูกคนตามด่า ทูลขอให้ย้ายไปเมืองอื่น แต่ท่านก็ไม่ไป สุดท้ายพวกที่ตามด่าหมดเรื่องด่า หาเรื่องมาด่าไม่ได้ กร่อยไปเองในที่สุด ที่เหลือก็เป็นหน้่าที่ของเวรกรรม

    ทำใจของเราให้นิ่งก่อนครับ
    อย่าทุกข์ไปกับการกระทำของเขา
     
  12. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    พระพุทธเจ้า ท่านทรงสอนไว้ว่าศาสนาจะเสื่อมเพราะผู้มีปัญญา บิดเบือนไปตามความคิดของตน สาวกถามพระองค์ว่าแก้ไขได้ไหม พระพุทธองค์ ท่านตอบว่าแก้ไขไม่ได้ ให้เป็นไปตามกรรมคะ สาธุคะ บุญรักษานะคะ
     
  13. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ถ้าเป็นโหดสัส ปล่อยเขาเถอะ ยิ่งเราดิ้น มันยิ่งทำ ถ้าเราไม่ดิ้น เดี๋ยวเขาหยุดเองแหละ


    อะไรที่คนมีปฏิกิริยา เขาจะยิ่งทำ ทำใจ เป็นไปตามกรรม พิจารณาลงเอาที่ความเสื่อมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  14. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    Facebook เป็น Social Network นะครับ มันจะกระจายข่าวสาร Activity ต่างๆ ที่เราทำไปยังเพื่อนทุกคนของเราที่กด subscribe เรา

    เพราะฉะนั้น เวลาเห็นข้อความหรือรูปต่างๆ อย่าไปกด like อย่าไปกด share อย่าไป comment ใดๆทั้งนั้น เพราะเราจะกลายเป็นตัวกระจายข่าวสารนั้นซะเอง
     
  15. jitakorn

    jitakorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +16
    ไม่มีอะไรหรอกครับ มันเป็นแค่มารตนหนึ่งเท่านั้น การกระทำหรือรูปแบบใดำย่อมจะต้องมีทั้งด้านขาวและด้านดำควบคู่กันไปเสมอ หากจะถามว่าเราควรจะทำเช่นไรเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ เมื่อบางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถห้ามไม่ให้มันเกิดได้ ให้คิดเสียว่าธรรมชาติสร้างมาให้ัมันมาเป็นบททดสอบเรา มันขึ้นอยู่ที่เราจะหลงเข้าไปตกเป็นเหยื่อในเกมของมันหรือไม่? หากเราควบคุมตัวเราเองไม่อยู่ แล้วเราก็เดินเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเกมมารที่พวกนี้ได้สร้างขึ้นมา มันก็จะทำให้เรากลายเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือ ทำให้จิตใจเราไม่เป็นสุข ส่วนพวกมารก็คงจะมีความสุขเมื่อเห็นเราหลงเข้าไปในวงจรของพวกมัน แล้วเราก็จะกลายเป็นเครื่องมือให้พวกนี้ดึงคนอื่นเข้าไปในวงจรของมันเพิ่มขึ้นทวีคูณอย่างไม่รู้ตัว ทางที่ดึเราควรอย่าไปหลงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้เป็นอันขาดไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม หากเราต้องการกำจัดมารใดๆ ถ้าเราเผชิญอย่างซึ่งหน้าเราจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเอง เพราะว่าขึ้นชื่อว่ามารแล้วเล่ห์เหลี่ยมย่อมมากมายเหลือคณา โปรดใช้ปัญญาแล้วธรรมะจะชนะอธรรม
     
  16. eve1

    eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +682
    เห็นด้วยกับตี๋ใหญ่

    เวลานี้เข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมเต็มตัว ดังที่โบราณว่าไว้...

    ยุคแห่งคนไม่มีศีลเข้ามาเป็นใหญ่ ยุคแห่งการปีนเกลียว ยุคแห่งเสรีภาพ? ยุคแห่งคนดีค่อยๆเลือนหาย ยุคแห่งความคิด+การแสดงเกินร้อย ....ฯลฯ

    [​IMG]


    ศาสนาพุทธไม่มีวันเสื่อม+หาย มีแค่ใจคนเท่านั้นที่เสื่อม+หาย

    " สิ่งใดๆ ในโลกนี้ สูงกว่าพระรัตนะหามีไม่ "
     
  17. 12345*

    12345* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +332
    อ่านเล่นให้จบ เผื่อจะได้แง่คิดดีๆ

    ๑๑. ตอนสัญชัยนินทาพระพุทธเจ้า



    โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    ความเดิมที่แล้วปรากฏว่า องค์สมเด็จประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดอัครสาวกทั้งสอง คือ พระโมคคัลลาน์ และ พระสารีบุตร ให้บรรลุอรหัตผลแล้วองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดายกย่องให้เป็น เอตทัคคะ กล่าวคือ เป็นผู้เลิศ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระสารีบุตรเป็น อัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้เลิศด้านปัญญา
    สำหรับ อัครสาวกเบื้องซ้าย ได้แก่ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
    แต่ความจริงถ้าเล่ากันโดยลำดับก็จะต้องถึงตอนจุดที่บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ติเตียนองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การยกย่องอัครสาวกนี่เล่า ให้เป็นผู้เลิศทั้งสองประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แต่งตั้งเพราะมุโขโลกนะ มีความลำเอียงเป็นต้น และองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแจ้งเหตุให้บรรดาพระสงฆ์ทราบ
    แต่ว่าตอนนี้จะของดไว้ก่อน เพราะเรื่องราวของสัญชัยปริพาชก เกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีอีกตอนหนึ่งซึ่งมีในที่อื่น จะขอนำประสานไว้ในที่นี้ เพราะว่าถ้าเล่าไปตามลำดับแล้วเรื่องของตอนนี้ก็จะขาดไป
    องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ตรัสให้ทราบว่า องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ต้องใช้อำนาจของขันติธรรม ที่เรียกกันว่า พรหมวิหาร ๔ ข้อสุดท้ายคือ อุเบกขา และก็อาศัยมีความเมตตากรุณาเป็นเหตุนี่ประการหนึ่ง แล้วก็อีกประการหนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงใช้อภัยทาน แก่สัญชัยปริพาชก
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
    ในการที่พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรเข้ามาอยู่ในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้พาบริวาร ๕๐๐ คนมาด้วย แต่ว่าบริวารทั้ง ๕๐๐ ท่านนั้นกลับไปอยู่กับสัญชัยปริพาชกเสีย ๒๕๐ คน และอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหลือ ๒๕๐ คน ระหว่างท่านที่อยู่กับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นฟังเทศน์จบเดียว ต่างคนต่างก็ได้เป็นพระอรหันต์
    เมื่อบรรดาพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรพร้อมด้วยบริวาร มาอยู่กับองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คนสองอำเภอ คือพ่อของพระสารีบุตรก็เป็นนายอำเภอ พ่อของพระโมคคัลลาน์ก็เป็นนายอำเภอ (แต่สมัยนั้นเขาเรียกกันว่า “นายบ้าน”) เมื่อพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรพ่อแม่ ญาติพี่น้องก็มาหมด ปรากฏว่าคนที่มีความเคารพนับถือในพ่อบ้านในถิ่นนั้นก็มาหมด
    รวมความว่าคนสองอำเภอพากันมาเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาฟังธรรม ก็เป็นเหตุให้สถานที่สำนักของสัญชัยปริพาชก เมื่อท่านทั้งสองอยู่นั้นก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยบรรดาบริษัท คือคนมีความเคารพนับถือ ลาภสักการะก็เกิดขึ้นแก่ท่านมาก เมื่อคนทั้งหมดเข้ามาเคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว คนที่ในสำนักนั้นก็โหรงเหรงเกินไป เกือบจะไม่มีคนเข้าไปตั้งใจเคารพในสัญชัยปริพาชก ลาภสักการะก็หมดไปเพราะอาศัยที่สัญชัยปริพาชกนั้นไม่ใช่พระอรหัตผลยังเป็นปุถุชน แต่ว่าถือตัวว่าเป็นผู้วิเศษ
    เมื่อเห็นบุคคลมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ สนับสนุนมากอย่างนั้นก็ทนไม่ไหว สำนักของตัวก็ร่อยหรอลงไปเกือบจะไม่พอกิน เมื่อความอดทนไม่มีอยู่ แกจึงตั้งหน้าตั้งตานินทาองค์สมเด็จพระบรมครูอยู่ตลอดทั้งวัน เป็นอันว่าตอนนี้สัญชัยปริพาชกสร้างกรรมที่เป็นอกุศลนำตนเป็นคนชั่ว เมื่อแกนั่งนินทาฝากชาวบ้านต่อไปก็ยังไม่สมใจกับใจของแก
    ต่อมาก็มานั่งอยู่หน้าสำนัก เพราะว่าสำนักอยู่ใกล้กันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นบรรดาประชาชนทั้งหลายพากับไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถือดอกไม้ และธูปเทียน และของหอม ไปเพื่อบูชาพระรัตนตรัย แกก็ด่าบอกองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาให้คนทั้งหลายได้ยิน หวังว่าจะด่าฝากไปหาองค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นอันว่าข่าวที่สัญชัยปริพาชกด่าพระพุทธเจ้า บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็กราบทูลให้ทรงทราบ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ทรงมีการสะเทือนแต่ประการใด
    เพราะทั้งนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหาร ๔ และก็ อภัยทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สนใจ เพราะว่ากำลังใจของพระองค์เปี่ยมไปด้วยพรหมวิหาร ๔ และอภัยทาน
    ต่อมา ครั้นเมื่อนานวันเข้า สัญชัยปริพาชกก็ยังนั่งด่าฝากคนมาทุกวัน ตอนนี้องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาพิจารณาดูแล้วว่า
    “สาวกขององค์พระประทีปแก้วที่เป็นพระก็ดี ที่เป็นพระภิกษุณีก็ดี เป็นเณร สามเณรี สิกขมานาก็ดี และก็เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ที่จิตยังไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้ายังมีอยู่ เมื่อฟังเขาด่าองค์สมเด็จพระบรมครู ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ชอบใจมีอารมณ์ใจขุ่นหมอง
    บางท่านถึงกับอยากจะทำร้ายสัญชัยปริพาชก”
    เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิต ของบรรดาศิษย์ที่ยังเป็นปุถุชน สมเด็จพระทศพลเห็นว่าจิตของบรรดาท่านพวกนี้เศร้าหมองการสดับพระธรรมเทศนาก็ไม่เกิดผลนี่ประการหนึ่ง สัญชัยปริพาชกก็ทำตนไม่ถูก สร้างกิเลสขึ้นมาในจิตของตน ถ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาไม่ทรงระงับ เหตุร้ายก็จะปรากฏกับสัญชัยปริพาชก และยิ่งไปกว่านั้นก็จะทำให้สาวกของพระองค์มีอารมณ์ใจเศร้าหมอง
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงตัดสินพระทัยว่า
    “เราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ก็ดี มีอภัยทานก็ดี ข้อนี้มันก็ดีสำหรับเรา แต่ว่าบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ส่วนมากที่เป็นปุถุชน ก็จะกลายเป็นคนที่มีโทษติดอยู่ในอำนาจของกิเลสเพราะอาศัยที่สัญชัยปริพาชกด่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์”
    ฉะนั้น พระองค์จึงได้เสด็จไปสำนักของสัญชัยปริพาชกแต่ผู้เดียว ไม่มีบรรดาพระสงฆ์ติดตามไปด้วย เพราะว่าถ้าจะไปไหน ใครจะไปกับพระพุทธเจ้าไปหรือไม่ไป ต้องเป็นคำสั่งขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ถ้าสั่งให้ไปด้วยก็ไปได้ ถ้าไม่สั่งให้ไปด้วยจะตามไปนั้นไม่ได้
    เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จไปถึงสำนักของท่านสัญชัยปริพาชก เมื่อเข้าไปแล้ว สัญชัยปริพาชกจึงได้นำเอาอาสนะ เครื่องปูรองนั่งมาถวายแล้วก็นำน้ำใช้น้ำฉัน มาถวายองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แต่ทว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ได้ประทับบนอาสนะที่เขาปูให้ และก็ไม่รับประเคนน้ำใช้และน้ำฉัน
    แต่ทว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามสัญชัยปริพาชกว่า
    “สัญชัย ได้ทราบข่าวว่าเธอด่าตถาคตใช่ไหม...?”
    ตอนนี้ท่านสัญชัยไม่มีทางหลีกไปไหน ก็ตอบว่า
    “เป็นการด่าจริงพระเจ้าข้า”
    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ถามว่า
    “เธอด่าเพื่อประโยชน์อะไร...?”
    ท่านสัญชัยก็บอกว่า
    “เพราะอาศัยอัครสาวกทั้งสองของท่านไปจากสำนักของเรา และบรรดาประชาชนที่มีความนับถือในบิดาและมารดาของเขา ก็พากันติดตามไปด้วย เป็นเหตุให้สำนักของเราหงอยเหงาลงไป ขาดลาภสักการะ และศักดิ์ศรี”
    เมื่อองค์สมเด็จพระมหามุนีได้ทรงสดับแบบนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ทรงถามท่านสัญชัยปริพาชกว่า
    “สัญชัย อาสนะที่เธอปูรองรับให้เรานั่งนี้ก็ดี น้ำใช้น้ำฉันก็ดีที่เธอนำมาถวาย แต่ของทั้ง ๒ ประการนี้ไซร้ตถาคตไม่ได้รับ ครั้นเมื่อตถาคตกลับไปแล้วอยากทราบว่าของทั้ง ๒ ประการนี้มันเป็นสมบัติของใคร”
    ท่านสัญชัยจึงได้ตอบว่า “ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เป็นอันว่าอาสนะนี้ก็ดี น้ำใช้น้ำฉันก็ดี ทั้ง ๒ ประการนี้ เมื่อสมเด็จพระชินสีห์ไม่ทรงรับ และก็เสด็จกลับไป ของทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นของข้าพระพุทธเจ้าตามเดิม”
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสดับแบบนั้นแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    “สัญชัย ถ้าเช่นนั้นคำสาปแช่งของเธอก็เช่นเดียวกัน การที่เธอสาปแช่งตถาคตตั้งแต่ต้นจนอวสานถึงวันนี้ ความจริงตถาคตนี้ไม่ได้เคยรับคำสาปแช่งของเธอเลย
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า ก่อนที่ตถาคตบำเพ็ญบารมีมาที่จะเต็มในคราวนั้นตถาคตบรรลุธรรม กล่าวคือ เป็นผู้เคารพใจธรรมทั้ง ๕ ประการ
    ๑. เมตตา ความรัก
    ๒. กรุณา ความสงสาร
    ๓. มุทิตา จิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร เมื่อเห็นบุคคลอื่นได้ดีก็ยินดีด้วย
    ๔. ใช้กำลังใจอดทนระงับการจองล้างจองผลาญด้วยการนิ่งไว้ ไม่กล่าวโต้ตอบบุคคลใด กล่าว วาจาชั่ว ที่เรียกว่า “ขันติ”
    ๕. ตถาคตนี้ให้อภัยทานเป็นปกติหมายความว่า บุคคลใดที่ให้ช้ำใจด้วยวาจาก็ดี ด้วยการกระทำด้วยกายก็ดี หรือด้วยจิตคิดก็ดี ตถาคตนี้ไม่เคยถือโทษโกรธเคือง ถือว่าเป็นการให้อภัยทานแก่บุคคลนั้น เพราะว่าถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้หลงอยู่ในวัฏฏะ คือต้องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ และก็หลงอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ อันเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ และคนที่หลงอยู่ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการนี้ จะมีความสุขแม้ชั่วขณะจิตหนึ่งก็ไม่มี”

    และองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้กล่าวว่า “ในเมื่อภาชนะทั้ง ๓ ประการ กล่าวคือ ผ้ารองนั่ง น้ำใช้ น้ำฉัน เมื่อตถาคตไม่รับจากท่าน และเมื่อตถาคตกลับไปแล้ว มันก็เป็นของท่านตามเดิม ตถาคตอยากจะทราบว่า เมื่อคำสาปแช่งของเธอ ที่เธอสาปแช่งตถาคต และตถาคตก็ไม่รับเช่นเดียวกับอาสนะ และวัตถุต่าง ๆ ตามที่กล่าวมานี้ เราอยากจะถามท่านว่าคำสาปแช่งของท่านนี้จะตกอยู่กับใคร...?”
    เป็นอันว่าท่านสัญชัยปริพาชกก็ตอบว่า
    คำสาปแช่งทั้งหมดที่ข้าพระพุทธเจ้าสาปแช่งองค์สมเด็จพระบรมสุคต เมื่อพระองค์ไม่ทรงรับ มันก็ตกอยู่แก่ข้าพระพุทธเจ้า”
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงกล่าวว่า
    “ในเมื่อถ้อยคำแห่งความชั่วมันเป็นเครื่องเสียดแทงใจ ตถาคตไม่รับไปแล้วก็ตกอยู่กับเธอ เธอจะสาปแช่งตัวของเธอเพื่อประโยชน์อันใด...?”

    เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอย่างนี้ เป็นปัจจัยให้สัญชัยปริพาชกรู้ตัวทันทีว่า การสาปแช่งองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไม่มีผล และความชั่วนั้นก็จะตกมาอยู่กับตนตามเดิม ซึ่งไม่มีประโยชน์
     
  18. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    เฮ้อ...เหนื่อยหน่ายนะ
    ที่สุดแล้วทุกดวงวิญญานจะถูกคัดแยกจากผลของการกระทำ
    ชี้แจงเรื่องไปก้อดี รณรงค์และเผยแผ่ความถูกต้องแล้วก้อดี เมื่อถึงที่สุดจงวางเฉยอย่าจมกับความโกรธนะ เราทำตามหน้าที่พวกเราพอ
    พูดมาเยอะทางธรรมอธิบายไปมันไม่รับรู้แล้ว พูดตรงๆทางโลกคือละเมิดสิทธิของผู้อื่น กระทำย่ำยีให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ทางใจ
    เป็นเรื่องของการค้า การกระจายอำนาจทุนนินม การเผยแผ่ศาสนาอื่น
    เยาวชนคือเหยื่อ รุ่นเก่ามีคำว่าเคารพ รุ่นใหม่เสมอภาคกันว่ะ..

    เราคิดเองนะ..คนที่ปกป้องพระศาสนาไม่ใช่คนที่ไม่รู้ถึงแก่นส่วนใหญ่รู้
    แก่นจะอยู่ได้ต้องมีเปลือกห่อหุ้ม มีกิ่งใบแตกสาขางอกงาม พวกเราอยู่ในยุคที่ต้องสานต่อและทนุบำรุงพระพุทธศาสนา

    มีพระ 3 รูปที่เราได้รับรู้มาจากสื่อที่อ่านและฟัง(2รูปละสังขารแล้วเป็นพระอรหันต์)สององค์แรกประกาศจะปกป้องศาสนาจนสุดชีวิต
    และองค์สุดท้ายนี่ได้ฟังเทศน์ท่านพูดว่าให้เราชาวพุทธร่วมกันปกป้องพระศาสนา ฯลฯ ไม่ใช่ไปรบรากันแต่ให้ดำรงตนเป็นชาวพุทธที่ดี
    และสามัคคีกันอย่างเหนียวแน่น แสดงออกโดยสันติวิธี ท่านย้ำเลยนะ ว่าให้ช่วยกันปกป้อง..หลังจากนั้นก้อเริ่มเห็นอะไรชัดขึ้นๆ

    ศาสนาพุทธมีเหตุและผลเรียบง่าย แต่ไม่หวือหวาทันสมัย ทำให้เค้าไม่คุยด้วยเหตุและผล เค้าคุยด้วยการลบภาพไปเลยเอาภาพแปลกๆใหม่ๆมาแทรก..ถูกใจวัยโจ๋...
    แค่คิดเองนะแต่คิดดังไปหน่อย โทษหลายๆที

     
  19. warrrior

    warrrior Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +64
    ปล่อยวางไป ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวก้อหมดไปเอง ใครทำอะไรไว้ก้อได้รับสิ่งนั้น ไม่ต้องวิตกมากว่าศาสนาจะเสือมเพราะคนอื่นมาทำลาย หากแต่ศาสนาจะเสื่อมเพราะคนของเราเองที่ทำให้เสื่อม
     
  20. 12345*

    12345* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +332
    บางอย่างมันเป็นความจริง เราก็ต้องยอมรับ ถ้าเราไม่ยอมรับ เราก็เปลี่ยนมันไม่ได้ แก้ไขมันไม่ได้

    เช่นเรื่องยุคสมัยที่เปลี่ยนไปความเห็นต่อเรื่องเสรีภาพการแสดงออกของคนก็เปลี่ยนแปลงไป

    บางอย่างศาสนาก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เช่นวิธีการสอน
    การยกตัวอย่างให้เข้ากับยุคสมัย ที่จะทำให้คนสมัยนี้ฟังและเข้าใจได้ง่ายกว่าการยกตัวอย่างแบบเดิมๆ อันนี้มีจริง
    ยกตัวอย่างเล็กน้อย เช่น ถ้าต้องการจะสอนเรื่อง
    มีคนเตือน เหมือนมีคนชี้บอกขุมทรัพย์

    เพื่อจะให้คนฟังเข้าใจ ก็ต้องมีการยกตัวอย่างเป็นเรื่องราว
    ถ้าเป็นแบบเก่าเลย ผู้แสดงธรรมเรื่องนี้ ก็อาจจะยกตัวอย่างว่า
    ในอดีตมีพระราชาปกครองเมืองหนึ่ง พระองค์มีแต่ข้าราชบริพานที่พูดจาประจบ ห้อมล้อมอยู่ ทุกวันได้ฟังแต่คนพูดยกย่องชื่นชม ไม่มีใครกล้าที่จะติพระองค์เลย เรียกว่าทำอะไรก็ดีไปหมด สุดท้าย บ้านเมืองของพระองค์ก็ไม่เจริญ

    ท่านจึงแก้ด้วยวิฅธีการให้รางวัลแก่ผู้ที่เตือนท่าน คือใครเตือน ใครแนะนำชี้จุดบกพร่องของท่าน ท่านจะให้รางวัีล เมื่อมีคนเตือนคนชีแนะมากๆ สุดท้าย บ้านเมืองของพระองค์ก็เจริญรุ่งเรือง
    *********************
    แต่ถ้าเป็นสมัยนี้การยกตัวอย่างให้เห็นความจริงของเรื่อง
    มีคนเตือน เหมือนมีคนชี้บอกขุมทรัพย์ แบบปัจจุบัน
    ผู้แสดงเรื่องนี้ก็อาจจะยกตัวอย่างว่า ดูนักกีฬาเป็นตัวอย่าง เอาเป็น ไทเกอร์วู๊ด
    ถามว่าไทเกอร์วู๊ดเป็นนักกอป ระดับโลกไทเกอ เก่งหรือไม่........
    คำตอบคือ เก่งมาก
    ถามกลับว่าแล้วทำไม ไทเกอร์ถึงต้องมีโคช??
    โคชเก่งกว่าไทเกอร์ใหม
    โคชของไทเกอร์ดูแลเรื่องอะไรบ้างรู้ใหม
    ไทเกอร์ ไม่มีโคชได้ใหม ถ้าไทเกอร์ไม่มีโคช จะเล่นได้ดีระดับนี้หรือไม่
    ไปคิดกันต่อเอง
    นี้แหละตัวอย่างของ มีคนเตือน เหมือนมีคนชี้บอกขุมทรัพย์ แบบปัจจุบัน
    ที่คนสมัยใหม่ฟังแล้ว ย่อมเข้าใจเห็นด้วย ชัดกว่า วิธีการแสดงตัวอย่างแบบเก่า
    *******
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...