คัมภีร์มรกตฉบับสมบูรณ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 24 มิถุนายน 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    <center>


    </center>
    [​IMG]

    จากโหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคซี"
    เขียนเป็นสื่อความรู้ทางเน็ต
    โดยคนทำเว็บ - http://www.geocities.com/visshop1993/keys/vis01.html


    ..
    ..
    ..... นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีเชื่อว่า มหาปิระมิดแห่งกีซากับสฟริงส์ ในประเทศอียิปต์ ถูกสร้างเมื่อ ประมาณ 2,900 ปี ก่อนคริสต์กาล
    แต่ สิ่งที่จะนำมาพูดถึงต่อไปนี้ เป็นความจริงที่ โหรเทวดา "เอ็ดการ์ เคซี" ได้เปิดเผย (ใช้หลักของการรับรู้ ทางจิต) ซึ่งข้อมูลที่จะนำเสนอ เอ็ดการ์ เคซี มิได้พึ่งพาเอกสาร หรือการค้นคว้าใดๆทั้งสิ้น เช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆ
    ผมจะขอนำเสนอ ตามที่ได้รับรู้มาจาก หนังสือมังกรจักรวาล ภาค 2 ชื่อ ตอน เทพอวตาร ของ ดร.สุวินัย ภรณวลัย วัตถุประสงค์ที่ผมต้องการนำเสนอนี้ เพราะผมเห็นว่า น้อยคนนักที่จะ รู้ว่า หนังสือ มังกรจักรวาล มีดีเช่นไร เนื่องมาจาก ราคาแพง ชื่อเรื่องไม่น่าสนใจเท่าที่ควร จึงยากที่หลายคนจะได้รับรู้ข่าวสารจากหนังสือเล่มนี้ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากหนังสือมังกรจักรวาลทั้ง 4 ภาค คุ้มค่ามาก กับการสูญเสียเวลาไปกับการอ่านหนังสือเล่มหนาแหล่านั้น เพราะได้รับสิ่งสำคัญกับการดำรงชีวิตและจุดหมายปลายทางที่พึงสำนึกไว้ และเพื่อประโยชน์ของท่านผู้อ่าน ผมจึงขอนำเสนอ จากสิ่งที่ผมได้รับรู้มา "บางส่วน ของ มังกรจักรวาล"
    มหาปิรามิดแห่งกีซา ถูกสร้างขึ้นราวๆ หนึ่งหมื่นปีก่อนคริสต์กาล ใช้เวลาก่อสร้าง 100 ปีเต็ม โดย "พลังจักรวาล"
    ที่มา
    ….. ตลอดช่วงเวลาสองแสนห้าหมื่นปี อียิปต์ยังเป็นดินแดนอยู่ใต้ทะเล อยู่เหนือพ้นน้ำก็มีทะเลทรายซาฮาร่า กับดินแดนตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์
    เมื่อดินแดนอื่นๆเริ่มผุดขึ้นมาเป็นแผ่นดิน ก็ยังเวลาอีกนาน ที่อียิปต์จะกลายเป็นพื้นที่ที่คนอยู่อาศัย
    คน เผ่าแรกที่มาอาศัย เป็นคนผิวดำ อาศัยอยู่นะบริเวณตอนบนของลุ่มแม่น้ำไนล์ หลังจากนั้น ก็มาถึงยุคของพระเจ้าไร ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ พระองค์มีพระปรีชาสามารถมาก เกี่ยวกับเรื่องทางจิตวิญญาณ เข้าใจเกี่ยวกับกฎของจักรวาล และพระองค์ได้ทรงพยายามอย่างยิ่ง ที่จะให้ประชาชน เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อให้มนุษย์เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง
    พระองค์ ทรงทราบเรื่องนี้จากการศึกษาธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล วิวัฒนาการของมนุษย์เป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณขั้นตอนต่างๆ
    คำ สอนต่างๆของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหินและแผ่นไม้ กลายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มแรกๆ ที่มีผู้รู้จักในชื่อ "คัมภีร์มรณะอียิปต์" พระเจ้าไรปกครองอียิปต์เป็นเวลา 199 ปี จนคนรุ่นหลังๆบูชาพระองค์เป็น "เทพเจ้า" องค์หนึ่ง แต่การปกครองของพระองค์มิได้ต่อเนื่อง เพราะถูกรุกราน จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์
    การถูกรุกรานเกิดขึ้นเมื่อ 11,016 ปี ก่อนคริสต์กาล หรือราวๆ 300 ปี ก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งสุดท้ายในทวีปแอตแลนติส (ซึ่งเป็นผลให้แอตแลนตีสจม)
    มี ชนผิวขาวกลุ่มใหญ่ โดยการปกครองของพระเจ้าอารีท บุคคลผู้นี้มีความเลื่อมใสในพระหนุ่มรูปหนึ่ง ที่มีความสามารถดุจผู้วิเศษ ชื่อราตะ พระราตะได้ทำนายไว้ว่า ชาวเผ่าซูที่อพยพมาจาก อารเบีย จะรุกร้ำเข้ามาในอียิปต์ และต่อไปรัฐอียิปต์จะเป็นรัฐชั้นนำแห่งยุค เมื่อได้ฟังคำทำนายนั้น พระเจ้าไรก็เอาแต่หมกมุ่นค้นคว้าในเรื่องอภิปรัชญา ไม่ใส่ใจกับการปกครองบ้านเมือง จึงทำให้พระเจ้าอารีท ยึดอียิปต์ได้โดยง่าย อย่างแทบจะไม่มีการต่อต้าน ส่งผลให้ ทั้งสองประนีประนอมกัน พระเจ้าไรก็ยอมสละราชบัลลังก์ให้พระเจ้าอารีท โดยยกธิดาโฉมงามของพระองค์ ให้เป็นพระชายา และสละราชสมบัติให้แก่ราชบุตรของพระองค์ชื่ออารารัท โดยพระองค์หันมาเป็น ที่ปรึกษาคอยค้ำบัลลังก์ ให้แก่ราชบุตรของตนแทน
    ..


    "คัมภีร์มรกต" (The Emerald Tablets) - ความลับของปิรามิดของชาวแอตแลนติส
    ที่มา ... ผู้เขียนมังกรจักรวาล(ดร.สุวินัย)
    ลิงค์ ... http://www.geocities.com/visshop1993/keys/vis1.html
    อ.สุวินัย ฯ ได้กราบขอความรู้เรื่อง แอตแลนติส ส่วนหนึ่งมาจากพระอาจารย์รัตน์ฯ....

    ผู้เขียนมังกรจักรวาล(ดร.สุวินัย) พูดถึงข่าวสารเกี่ยวกับความลับของปิรามิด ของชาวแอตแลนติสที่ชื่อ โธท (THOTH) ที่ถูกบันทึกไว้ใน "คัมภีร์มรกต" (The Emerald Tablets) (1939) ที่ท่านรู้มาว่า คัมภีร์มรกต เป็นภาษาแอตแลนติส และถูกนำมาแปลโดยคุรุแห่งศัมภาลาคนหนึ่ง ชื่อ ดร.มูเรียล (Muriel Doreal) ( ค.ศ. 1901 - 1963 ) ในสังกัดของ Brotherhood of the White Temple ของศัมภาลา (Shambhala) ใน ธิเบต "คัมภีร์มรกต" นี้ ดร.โดเรียลอ้างว่า เป็นหนึ่งในความรู้ของปิรามิด ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ยกเว้นคัมภีร์ในศัมภาลานคร ใต้พิภพในธิเบต ที่ยังไม่เปิดเผยออกมาเท่านั้น

    ความเป็นมาของคัมภีร์มรกต จาก ดร.มูเรียล โดเรียล

    "…ที่ มาของคัมภีร์มรกตที่ผมแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษนี้ ช่างน่าพิศวงเหลือเกิน เพราะมันมีอายุเก่าแก่มาก ถึงสามหมื่นหกพันปี ก่อนคริสต์กาลทีเดียว ผมรับรองว่า พวกนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่มีทางยอมเชื่อในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ผู้เขียนคัมภีร์มรกตนี้ เป็นชาวแอตแลนติส ชื่อ โธท หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า เฮลมอส ภายหลังจากที่ทวีปแอตแลนติสล่มสลายจมลงใต้สมุทรแล้ว โธทได้ไปสร้างอาณานิคมแห่งหนึ่งของแอตแลนติสที่อียิปต์โบราณ โธทนี่แหละ ที่สร้างมหาปิรามิดแห่งกีซา แต่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของพระเจ้าคีออปส์ โธทได้บรรจุองค์ความรู้และภูมิปัญญาโบราณของตนซ่อนเอาไว้ใต้มหาปิรามิด พร้อมกับบันทึกของแอตแลนติสและเครื่องมือต่างๆ…" "โธทปกครองอียิปต์โบราณ เป็นเวลา 16,000 ปี ในช่วงห้าหมื่นปีถึงสามหมื่นสี่พันปีก่อนคริสตกาล เขาได้ฉายาจากผู้คนว่า เป็นเทพผู้อมตะ คัมภีร์มรกตถูกเก็บเอาไว้ในมหาปิรามิด และได้รับการดูแลโดยเหล่าศิษย์ของโธทหลังจากที่โธทจากอียิปต์ไปแล้ว ซึ่งคัมภีร์นี้มีอยู่ทั้งหมด 12 แผ่น


    ต่อ มาในราว หนึ่งพันสามร้อยปีก่อนคริสต์กาล เกิดความวุ่นวายในอียิปต์ กลุ่มพระผู้ดูแลมหาปิรามิด ได้นำคัมภีร์มรกตไปที่อเมริกาใต้ ที่เป็นที่ตั้งของอาณานิคมของแอตแลนติสเหมือนกัน นั่นคือชาวเผ่ามายา"

    "ในศตวรรษที่ 10 ชาวเผ่ามายาได้อพยพไปที่อื่น คัมภีร์มรกตได้ถูกซ่อนไว้ใต้แท่นบูชาของวิหารที่บูชาพระอาทิตย์" "มหาปิรามิดแห่งกีซามิใช่ห้องเก็บศพของพระราชา แต่เป็นอารามถ่ายทอดวิชาเร้นลับต่างหาก ตัวผมได้บุกป่าฝ่าอันตรายคนเดียวเข้าไปพบคัมภีร์มรกตนี้ ที่ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 1925 แต่ผมไม่ได้รับอนุญาตให้นำฉบับจริงออกมา จึงได้แต่คัดลองคัมภีร์นี้กลับมาแทน"

    แน่นอนว่า มีแต่ ดร.โดเรียลคนเดียวเท่านั้นที่อ่านรู้เรื่อง ส่วนความน่าเชื่อถือ ผมคิดว่า ยังสู้ของ เอ็ดการ์ เคซี่ที่มีผลงาน "การอ่าน" ในอดีตพิสูจน์ยืนยันไม่ได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งสองท่าน พูดเหมือนกันว่า มหาปิรามิดถูกสร้างโดยชาวแอตแลนติสที่ชื่อ เฮลเมส"

    ดร.โดเรียลผู้แปลและขยายความ "คัมภีร์มรกต" ได้พูดถึงลักษณะคัมภีร์ว่า
    เป็นแผ่นโลหะสีมรกต 12 แผ่น ที่ไม่มีวันเป็นสนิมหรือผุกร่อน ร้อยด้วยห่วงสีทอง อักษรที่จารึกเป็นภาษาแอตแลนติสโบราณ



    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 1


    กล่าวถึง ความเป็นมาของชาวแอตแลนติสชื่อโธท โดยโธทเล่าเรื่องตัวเองว่า เขาต้องการบันทึกองค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ของ แอตแลนติสไว้ให้คนรุ่นหลัง

    โธทบอกว่า ทุกๆพันปี และทุกๆห้าสิบปี เขาจะทำการ "อวตาร" และชุบร่างกายให้หนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้าไปในอารามศักดิ์สิทธิ์และนอนใต้ "ดอกไม้แห่งชีวิต" หรือ อาบ "ไฟแห่งชีวิต" ตอน ที่โธทเขียนคัมภีร์เล่มนี้ เขามีอายุ ห้าหมื่นปีแล้ว โธทบอกว่า เขาสามารถตั้งจิตให้ดวงวิญญาณของเขา ไปเกิดในร่างอื่นหรือชีวิตอื่นได้ โดยร่างเดิมของเขายังนอนหลับอยู่ เขาจึงสามารถเดินทางไปทั่วจักรวาลได้โดยเพ่งจิตไปที่หัวใจของตน เพราะที่นั่นมีความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ โธทและผู้ติดตามนั่ง "จานบิน" ไปยังอียิปต์และใช้ "ไม้เท้าวิเศษ" ที่ควบคุมโดยอำนาจจิต สามารถปล่อยแสงปล่อยพลังได้ต่างๆนานา สะกดให้ผู้คนที่นั่น ยอมรับในตัวเขาคือ
    เทพเจ้าและเป็นบุตรของพระอาทิตย์






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 2
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า ที่ตั้งของอารามศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ชุบร่างกายทุกห้าสิบปี นั้น อยู่ใต้ทวีปแอตแลนติส ณ ที่อารามนั้น เป็นศูนย์รวมของ "พลังชีวิต" ที่ค้ำจุนสรรพชีวิตบนพื้นโลก ที่เรียกว่า "ดอกไม้แห่งชีวิต" ซึ่งทำหน้าที่เดียวกับ "โซล่าเพลกซัส" (จักรสะดือ) ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งเก็บพลังชีวิตของมนุษย์ โดยมีทางเข้าของพลังอยู่ที่กลางกระหม่อม (จักรมงกุฎ)

    เมื่อโธทได้ฝึกฝน "พลังชีวิต" (ปราณ) จนตัวเขาบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้แล้ว เขา สามารถเลือกวิธีแห่งการทำงานของเขาได้อย่างเสรี จะไปอยู่ดวงดาวอื่นหรือภพอื่น หรือจักรวาลอื่นก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา แต่ตัวเขากลับตัดสินใจอยู่ในโลกนี้ต่อ และทำงานให้โลกนี้ต่อ เพื่อเป็นผู้นำแห่งการชี้นำจิตวิญญาณของหมู่มนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความมืดมิด และฟื้นฟู "ความเป็นเทพ" หรือ "ความเป็นพระเจ้า" กลับคืนให้แก่มวลมนุษย์






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 3
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธท กล่าวถึงกุญแจที่จะไขไปสู่ "ปัญญา" ที่จะนำมาซึ่ง "พลัง" และพลังจะทำให้เกิดปัญญาว่าอยู่ที่ความถ่อมตัว เพราะ ผู้ที่ยะโสหลงตัวเองคือคนโง่ที่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้

    คน เราพึงปฏิบัติตามคำสั่งของ "คุรุ" หรือสิ่งที่อยู่ในตัวเรา หรือ "อาตมัน" ทรัพย์สมบัติเป็นเพียงวิธีการ ไม่ใช่เป้าหมาย เมื่อความต้องการทางวัตถุได้รับการตอบสนองแล้ว ควรหันมาสนใจยกระดับจิตวิญญาณ "อาตมัน" หรือ "ใจที่แท้" ตั้งอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของหัวใจ ที่เชื่อมโยงกับต่อมไพนีลในสมองได้ "ใจที่แท้" นี้ไม่แค่สนใจแสวงหาเรื่องความมั่งคั่งเลย มันสนใจแต่เรื่อง "ความเป็นพระเจ้า" หรือ "ความบริสุทธิ์ของจิตเท่านั้น"

    "ความ รัก" เป็นจุดเริ่มต้นของ "ทาง" และเป็นจุดสิ้นสุดของ "ทาง" โธทเน้นความเป็นเอกภาพของทุกๆสิ่งในจักรวาล ที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วย "ความรักอันยิ่งใหญ่" ความสงบเงียบ คือกุญแจสำคัญไปสู่ความรุดหน้า จงใช้ความสงบเงียบรักษาพลังภายในตัวเราไว้ อย่าหลงตัวเอง ว่าเรายิ่งใหญ่กว่าใครอื่น เพราะทุกคนต่างก็เป็นเพชร ต่างกันที่บางคนเป็นเพชรที่ยังไม่เจียระไนเท่านั้น ร่างกายเป็นธาตุดินที่หยาบ จิตเป็นธาตุไฟที่ละเอียด ก่อนที่จิตวิญญาณจะเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับ "พระอาทิตย์ดวงแม่" (พระอาทิตย์ในโลกทิพย์) จิตวิญญาณจะต้องละจากร่างกายที่เป็นวัตถุหยาบเสียก่อน

    พลังสร้างสรรค์เกิดจากการเปิดตาที่สามหรือต่อมไพนีล คน ธรรมดาตาที่สามจะเปิดอยู่เล็กน้อย ต้องฝึกฝนให้ตาที่สามเปิดกว้างเต็มที่ เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมันได้ มีแต่ความเพียรกับประสบการณ์เท่านั้น ที่จะทำให้จิตใจหลุดพ้นจากความมืดมิดได้ วัตถุเป็นเพียงรูปการที่แสดงออกมาของจิตเท่านั้น ขั้นสุดท้ายวัตถุกับจิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    สรรพ สิ่งล้วนอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มนุษย์เพียงใส่ "จิต" เข้าไปในกฎของธรรมชาติเท่านั้น "ปัญญา" จะมาหาแก่ผู้แสวงหามัน สิ่งสำคัญคือ "โลกทางวัตถุคือมายาที่เกิดจากใจของผู้ที่มีอวิชชา แต่โลกวัตถุนี้ก็เป็นการสำแดงตนของพระเจ้าผู้สร้างโลกด้วยเช่นกัน (กฎของจักรวาล) ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็ตาม "ผู้ที่ตื่นแล้ว" จะได้รับแสงสว่าง ปัญญา และความเร้นลับเสมอ

    จาก เนื้อความข้างต้นหากท่านได้อ่าน หัวข้อ ฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ กับศาสนาตะวันออก คงพอเห็นถึงความ "เหมือน" ของสิ่งที่ศาสนาตะวันออก ได้ "สำแดง" ออกมา






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 4
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทได้กล่าวถึงประสบการณ์ทางจิตในการท่องจักรวาล จนเขาได้พบกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล" และได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึงของจิตสำนึกแห่งจักรวาลนี้ ดุจความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับเซลล์สมอง


    โธทได้แนะวิธีถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบว่า วิธีที่ดีที่สุดคือการขยาย "โซล่าเพลกซีส" (จักรสะดือ) หรือ "ดอกไม้แห่งชีวิต" ใน กายคนให้ใหญ่ขึ้น จนพลังชีวิตไหลเข้ามากระตุ้นกายหยาบให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวา เพื่อเป็นการเตรียมให้จิตออกจากร่างได้ราบรื่น ต่อไป ทำการอดอาหารในช่วงสั้นๆ ราวๆหนึ่งวัน เพื่อตัดความรู้สึกภายนอกและไม่พูดจาใดๆ อยู่ในความสงบ เมื่อความสงบบรรลุถึงภาวะสมบูรณ์ โดยผ่านการโน้มนำแห่งจิตแล้ว ให้เพ่งจิตไปที่ต่อมไพนีล ที่เป็นที่ตั้งของจิตวิญาณ ก่อนที่จะนึกถึงสถานที่ที่กายทิพย์ต้องการจะไป โดย จะต้องทำการสั่นขึ้นที่ต่อมไพนีล จากนั้นให้จิตหมุนภายในสมอง แล้วให้จิตเคลื่อนที่ออกนอกศีรษะไปตามเส้นโค้งที่เกิดจากการหมุนข้างในนั้น (เป็นหลักการที่เหมือนกันอย่างน่าทึ่ง ของ "สมาธิหมุน" (สมาธิหมุน หรือมังกรจักรวาลภาค 1 เขียนโดย ดร.สุวินัย) กับสิ่งที่โธทกล่าว)

    การสั่น (Vibration) เป็น ความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ สรรพสิ่งล้วนเป็นความสั่นของคลื่นทั้งสิ้น การสั่นของคลื่น เป็นกุญแจของการสร้างจิตที่หลุดพ้น หากอยากเข้าถึงปัญญา ก็ต้องหมั่น " ภาวนา" เพราะการภาวนาเป็นการปรับการสั่นของคลื่น ให้สอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า

    (การสั่น = การปรับคลื่น จูนคลื่น เพื่อเข้าสู่ความถี่ความถี่หนึ่ง ที่ยังเข้าไม่ถึง และไม่สามารถมองเห็น)






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 5
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธท กล่าวถึง เหล่าที่พำนักอยู่ที่เกาะอุนาล ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดเกาะของดินแดนแอตแลนติส


    และเล่าถึงการพาชาวแอตแลนติสกลุ่มหนึ่ง รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ขึ้นจานบินมาที่อียิปต์ ก่อนที่ทวีปแอตแลนตีสจะล่มสลาย หลังจากที่ทำให้ชาวอียิปต์นับถือบูชาได้แล้ว โธทก็ได้สร้าง ปิรามิด กับ สฟิงส์ ขึ้นมา






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 6
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทถ่ายทอดเคล็ดลับการเอาชนะพลังมืดเอาไว้ หาก เป็นพลังมืดจากภายนอก ให้เข้าไปอยู่ในห้องมืด และปิดวงกลมล้อมรอบตัวเองไว้ เพราะวงกลมสามารถ มีพลังป้องกันภูตร้ายได้ จากนั้นก็ท่องชื่อ คุรุทั้งเจ็ด ดังนี้ Untanas , Quertas , Chietal , Goyana , Huertal , Semveta , Ardal

    แต่ถ้าเป็นพลังมืดภายในจิตใจ ให้สร้างความสั่นขึ้นภายในต่อมไพนีล ก่อนที่จะขับออกไปจากร่างกายพร้อมกับลมหายใจออก






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 7
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า ชีวิตคนเต็มไปด้วยอุปสรรค มีหลุมพลางต่างๆ ที่คอยฉุดให้มนุษย์ลงสู่หนทางที่ตกต่ำ

    ดังนั้น ผู้แสวงหาทุกคน ควรตั้งเป้าหมายชีวิตไว้กับการเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกแห่งจักรวาล จงเพ่งกระแสจิตและความคิด ไปข้างในตัวเอง เพื่อค้นพบ "จิตวิญญาณที่เป็นแสง" อยู่ข้างใน และเมื่อนั้น ตัวเราก็จะเป็น "คุรุ" ของตัวเรา






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 8
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า ในสัญลักษณ์ต่างๆ จะมีกุญแจไปสู่ปัญญา ได้โดยที่ปัญญาก็คือความรู้เกี่ยวกับ "การประยุกต์ใช้กฎแห่งจักรวาล" นั่นเอง บางครั้งปัญญาก็แฝงอยู่ในความมืด ต้องใช้ความพยายามเสาะหาเอง ความเป็นแสง ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉันใด ปัญญาที่แท้จริง ก็มักจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉันนั้น






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 9
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกให้แสวงหาความเป็นวงกลม เพราะวงกลม (จักร) เป็น สัญญลักษณ์ที่แสดงถึง ความสมบูรณ์ของการเป็นช่องทางให้พลังจักรวาล ไหลผ่านศูนย์ต่างๆในร่างกาย การใช้ภาษาก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะภาษาคือคลื่นหรือความสั่น ที่ปลดปล่อยพลังออกมา มนุษย์ นั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่วัตถุ แต่คือแสงหรือพลังงานที่เปล่งมาจากต้นตอ ที่เป็นนิรันดร์ต่างหาก แต่คนเราเห็นเป็นวัตถุไปเอง

    เพราะ สิ่งที่เรียกว่าวัตถุนั้น จริงๆแล้วก็คือแสงเช่นกัน แต่คนเห็นเป็นวัตถุไป (หากได้อ่าน ฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ กับศาสนาตะวันออก คงพอเข้าใจถึงความสัมพันธ์ ดังกล่าว) คนเรามีปัญญาอยู่แล้ว ก็ควรที่จะแสวงหาปัญญาเพิ่มอยู่เสมอ

    มนุษย์สามารถทำตัวเองให้เป็นได้ทั้งเทพและมาร
    และโธทได้ให้มนตร์ในการปลุกพลังภายในตัวเอง คือ "Zin Uru"



    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 10
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า จิตวิญญาณที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลได้แล้ว จะเป็นเหมือน "พระอาทิตย์ในหมู่แสง"


    สิ่งที่ชี้นำชะตาชีวิตของคนเรานั้น ก็คืออาตมันของผู้นั้น ซึ่งเป็นเสียงแห่งความสงบเงียบของจักรวาล

    ร่างกายคนเราเกิดมาจากขั้วสองขั้ว หาก ขั้วใดขั้วหนึ่งเสียสมดุล จะทำให้เกิดโรคภัย แต่ถ้าร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลโดยสมบูรณ์ ระหว่างสองขั้วนี้ คนผู้นั้นจะปลอดโรคและไม่ตาย สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ร่ายกายเสียสมดุล เกิดจากการเสียสมดุลของใจแทบทั้งสิ้น ทำให้ต่อมไร้ท่อบกพร่อง

    ถ้านอนเอาศีรษะหันไปทางทิศเหนือ(ขั้วบวก) ให้วางจิตอยู่ระหว่างช่วงหน้าอกถึงศีรษะ

    ถ้านอนเอาศีรษะหันไปทางทิศใต้(ขั้วลบ) ให้วางจิตอยู่ระหว่างช่วงหน้าอกถึงปลายเท้า

    หากฝึกเช่นนี้ได้ จะช่วยให้เกิดสมดุลภายในร่างกาย เมื่อถึงเวลาใกล้ตาย แล้วต้องรักษาความทรงจำในชาตินี้ ให้ไประลึกได้ในชาติหน้า โธทบอกให้ทำดังนี้ จง ผ่อนคลายร่างกายอย่าให้เกิดความตึงเครียดใดๆ เป็นอันดับแรก ต่อจากนั้น เอาจิตสำนึกของตน ไปตั้งไว้ที่หัวใจ ก่อนที่จะโน้มนำอย่างรวดเร็ว ไปที่ต่อมไพนีล(บริเวณกึ่งกลางของสมอง) ตั้งใจไว้ที่ต่อมไพนีลชั่วครู่ แล้วค่อยเคลื่อนจิตไปที่ต่อมพิตทูอิทารี บริเวณกึ่งกลางหัวคิ้ว ซึ่งเป็นที่ควบคุมความทรงจำของชีวิต กำหนดจิตไว้ที่จุดนี้ จนกระทั่งความตายมาพาตัวเราไป



    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 11
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า

    วิถีของจิตวิญญาณ มีอยู่ 3 ด้วยกันคื
    พัฒนาจากมนุษย์ที่เป็นสัตว์โลก
    ไปเป็นจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ก่อน
    แล้วค่อยพัฒนาเป็น "แสงสว่าง" หรือเทพเจ้า

    และอุปสรรค ก็มีอยู่ 3 อย่างคือ
    ขาดความเพียรพยายามในการแสวงหาธรรม
    ไม่เอาใจใส่ในพระผู้เป็นเจ้า
    และหมกมุ่นอยู่กับความชั่วช้า

    พลังในการสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ก็มีอยู่ 3 อย่างคือ
    การมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์
    การมีปัญญาในการใช้วิธีการทั้งปวง
    และการมีความมุ่งมั่น ที่จะผนึกความรักอันศักดิ์สิทธิ์ กับปัญญาอันศักดิ์สิทธ์เข้าด้วยกัน

    การพิชิตพลังแห่งความมืด ไม่ใช่การต่อสู้กับความมืด แต่คือการเปล่งแสงแห่งอาตมัน หรือความเป็นพระเจ้าในตัวเราให้เจิดจ้าออกมาต่างหาก

    คำสอนเหล่านี้ อย่านำไปสอนต่อผู้มีใจไม่สะอาด และผู้มีใจอ่อนแอเลย มันจะเป็นความสูญเปล่าโดยแท






    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 12
    <hr align="center" color="#ffffff" noshade="true" size="1" width="100%">
    โธทบอกว่า บทนี้เป็นสุดยอดแห่งความลับทั้งปวง

    เพราะ เขาจะถ่ายทอดพลัง เพื่อการเป็น "เทพมนุษย์" ให้แก่ผู้เป็นศิษย์เขา การเป็น "เทพมนุษย์" คือการสำแดงออกซึ่งความเป็นแสงสว่าง ของพระเจ้าที่อยู่ในตัวมนุษย์นั่นเอง อันที่จริง "ความมืด" กับ "ความสว่าง" เป็นสิ่งต่างกันแค่ภายนอกเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นสองด้านของสิ่งที่เป็นธาตุแท้เดียวกัน ที่มาจากต้นตอเดียวกัน

    ความ มืดคือความไร้ระเบียบ ความสว่างเป็นความมีระเบียบ หากเกิดการเปลี่ยนแปลง ความมืดย่อมกลายเป็นความสว่างได้ และนั้นคือเป้าหมายของชีวิตคนเรา การที่จะรู้ความเร้นลับเกี่ยบกับธาตุแท้ของมนุษย์ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ร่างกายคนเราประกอบด้วยกายหยาบ กายทิพย์ และกายละเอียดที่สุด(mental body) ใน ร่างกายมีช่องทางต่างๆ ให้ปราณไหลผ่าน เพื่อค้ำจุนชีวิตเอาไว้ การไหลเวียนของปราณ อยู่ภายใต้การควบคุมของจิต มนุษย์ขณะที่อยู่บนโลกนี้ เขาจะถูกผูกมัดจองจำให้เป็น "ทาส" ของเวลาและสถานที่ การจะปลดปล่อยตัวเองให้ "หลุดพ้น" จากการถูกจองจำนี้ เคล็ดลับอยู่ภายในตัวเขาผู้นั้น คนเราจะค้นพบเสรีภาพที่แท้จริงจากภายในตัวเราเองเท่านั้น

    ในตอนที่ผู้ฝึกต้องการหลุดลอยออกจากกายหยาบ ไปยังที่ไกลๆสุดขอบฟ้า ขอให้เขาบริกรรมมนตร์ "Dor-E-Ul-La" เอา ไว้ในใจ ก่อนอื่นต้องทำใจให้สงบนิ่ง ผ่อนคลายร่างกายตั้งจิตมุ่งมั่น ที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากกายหยาบ หากต้องการพาดวงจิตขิงตนไปที่ใด ก็ขอให้นึกถึงเสรีภาพแห่งดวงจิต พร้อมบริกรรมมนต์ต่อไปนี้ "la Um-I-L-Gan" (ลาอุมอีลูกาน)

    หากต้องการจะถอดจิต ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของแอตแลนติส ก็ให้บริกรรมมนตร์ต่อไปนี้ โดยไม่ออกเสียง
    1. Me-Kut-El-Shab-El
    2. Hale-zur-Ben-El-Zabrut
    3. Zin-Efrim-Quar-El

    และหากต้องการถอดจิตไป "ศัมภาลา" ก็ขอให้บริกรรมมนต์ต่อไปนี้ เพื่อเปิดทวารเข้าสู่ศัมภาลา "Edom-El-Ahim-Sabbe-Rt-zur-Adom"




    .....


    หลังชาวแอตแลนติสผู้ไม่สนใจแม้ทรัพย์สินเพชรนิลจินดา แต่เป็นนักค้นหาทางจิตวิญญาณ ได้กลายไปเป็นผู้หลงวัตถุเละเอาแต่ต้องการความยิ่งใหญ่ ติดอยู่แต่ในวัตถุความสนุกสนานและกิเลสตัณหา เทพเจ้าจึงลงโทษโดยถูกมหันตภัยจากน้ำท่วมจมอยู่ใต้บาดาล
     
  2. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 1
    The History of Thoth, The Atlantean


    ต้นฉบับภาษาอังกฤษ นำมาจาก Emerald Tablets of Thoth - Tablet 1
    ถอดความ เรียบเรียงวลี แปลภาษาไทย โดย ต๊อดติให้โชค
    ( DearTK @ธรรมศาลา)


    THOTH, the Atlantean, master of mysteries,
    keeper of records, mighty king, magician,
    living from generation to generation,
    being about to pass into the halls of Amenti,
    set down for the guidance of
    those that are to come after,
    these records of the mighty wisdom of Great Atlantis.


    ท๊อท… ชาวแอ๊ทแลนทิสผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เชียวชาญศาสตร์ลึกลับ
    ผู้เก็บรักษาบันทึกมากมาย กษัตริย์ผู้ทรงพลัง ผู้มีอำนาจวิเศษ
    มีชีวิตยืนยงคงกระพันธ์จากรุ่นสู่รุ่น
    เป็นผู้ที่คอยอยู่ ณ ต้นทางผ่านไปยัง วิหารแห่งอมันทิ
    ผู้เตรียมการตั้งต้นเพื่อการนำทางให้แก่ผู้ใดก็ตามที่กำลังจะตามมา
    และเป็นผู้บันทึกขุมความรู้ ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ ของมหานครนามว่า แอ๊ทแลนทิส.

    ** (วิหารแห่ง อมันทิ เป็นเสมือนเป็นโรงเรียน เป็นประตูสู่ดวงดาวและประตูสู่จักรวาล เป็นที่ๆ มีพลังงานอันมหาศาลของจักรวาลไหลเวียนอยู่ และเป็นที่ๆ จะให้ความรู้ความกระจ่างทั้งมวลแก่ผู้ที่สามารถผ่านเข้าไปเรียนรู้ได้)

    In the great city of KEOR on the island of UNDAL,
    in a time far past, I began this incarnation.
    Not as the little men of the present age did
    the mighty ones of Atlantis live and die,
    but rather from aeon to aeon did they renew
    their life in the Halls of Amenti where the river of life
    flows eternally onward.


    ในนครอันยิ่งใหญ่ของ ‘คีออร์’ บนเกาะ ‘อันเดล’
    จากช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา บัดนี้ข้าได้เริ่มกระบวนการชุบชีวิตใหม่ขึ้น
    เป็นการชุบชีวิตใหม่ที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ผู้ต่ำต้อยในยุคนี้ทำ
    เพราะชาวแอ๊ทแลนด์ทิสผู้ยิ่งใหญ่นั้นล้วนเกิดและตาย
    แต่แทนที่จะต้องเกิดและตายวนเวียนไปอีกแสนนานจากกัลป์สู่กัลป์ พวกเขาชุบชีวิตตัวเอง
    ในวิหารแห่งอมันทิ ที่ๆ สายน้ำของชีวิตจะยังคงไหลต่อไปข้างหน้าชั่วนิรันดร์

    A hundred times ten
    have I descended the dark way that led into light,
    and as many times have I ascended from the
    darkness into the light my strength and power renewed.


    จากร้อยคูณสิบ
    ข้า เคยมีชีวิตสืบสานมาอย่างยาวนานผ่านทางอันมืดหม่นกระทั่งค่อยเข้าสู่แสงสว่าง หลายคราที่ข้าได้เพิ่มพูนปัญญาจากการเรียนรู้ชีวิตจากด้านมืดสู่ความสว่าง นั่น ความแข็งแกร่งและอำนาจของข้าก็ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง

    Now for a time I descend,
    and the men of KHEM (Khem is alchemy in ancient Egypt)
    shall know me no more.


    บัดนี้ เรื่องราวของช่วงเวลาข้าที่เคยมีชีวิตเป็นที่รู้จักสืบสานมาอย่างยาวนาน
    ทั้งหมดนี้ชาวเคมห์ จะไม่รู้จักข้าอีกต่อไป

    **(ชาว เคมห์ คือ ชื่อที่ชาวแอ๊ทแลนด์ทิส(ที่พัฒนาทั้งทางร่างกาย ปัญญา ละจิตวิญญาณขั้นสูงสุด)ใช้เรียก มนุษย์ที่อยู่อีกถิ่นหนึ่งของโลกที่ยังไม่พัฒนา ปราศจากซึ่งความรู้เป็นดังเช่นคนป่าเถื่อนในสายตาของชาวแอ๊ทแลนด์ทิส ซึ่งในกาลต่อมาพวกเคมห์นี้ได้รับการอบรมสั่งสอน ถ่ายทอดวิชชาการจนสามารถพัฒนาปัญญา พัฒนาความเป็นอยู่และความรู้ได้ในระดับหนึ่ง บ้างก็ได้กลายมาเป็นผู้วิเศษหรือนักบวช ในสมัยอียิปโบราณ น่าจะเป็นเหล่าศิษย์ของ ท๊อท ด้วย ชาวเคมห์ที่ท๊อทพูดถึงนี้ก็คือมนุษย์ทั่วๆ ไปอย่างเรานี่แหละ)

    But in a time yet unborn will I rise again,
    mighty and potent, requiring an accounting
    of those left behind me.


    แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ที่แม้ข้าจะยังไม่เกิด ข้าก็จะตื่นขึ้นอีกครั้ง
    อย่างทรงพลังและทรงอำนาจ เพื่อทวงเอาทุกสิ่งอย่าง ทุกเรื่องราว
    ที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ลับหลังข้า

    Then beware, O men of KHEM,
    if ye have falsely betrayed my teaching,
    for I shall cast ye down from your high estate
    into the darkness of the caves from whence ye came.


    ฉะนั้นจงระวัง ชาวเคมห์ทั้งหลาย
    หากพวกเจ้ากระทำการหลอกลวง ทรยศซึ่งคำสอนของข้า
    ข้าจะสาปส่งให้พวกเจ้าได้ตกต่ำ ตกลงจากสถานะอันสูงส่งของพวกเจ้าเสีย
    เสมือนเข้าสู่จุดที่มืดมิดที่สุดของถ้ำ กลับไปสู่ที่ๆ พวกเจ้ามา

    Betray not my secrets
    to the men of the North
    or the men of the South
    lest my curse fall upon ye.


    การทรยศของพวกเจ้าไม่อาจบิดบังข้าได้
    ไม่ว่าจะมนุษย์ที่อยู่เหนือสุด
    หรือมนุษย์ที่อยู่ทางใต้สุด
    จงนำพาให้คำสาปนี้มีจงมีผลต่อพวกเจ้า

    Remember and heed my words,
    for surely will I return again
    and require of thee that which ye guard.
    Aye, even from beyond time and
    from beyond death will I return,
    rewarding or punishing
    as ye have requited your trust.


    จงจำไว้ และใส่ใจในคำพูดของข้า
    เพราะแน่นอนว่าข้าจะกลับมาอีกครั้ง
    และเรียกเอาสิ่งที่พวกเจ้านำไปครองกลับมา
    ใช่แล้ว, เหนือซึ่งเวลาและเหนือซึ่งความตาย ข้า
    จะกลับมา เพื่อให้รางวัลหรือชำระโทษ
    ตามแต่ที่พวกเจ้าได้กระทำ เพื่อตอบแทนความภักดีนั้นแด่พวกเจ้า

    [​IMG]

    Great were my people in the ancient days,
    great beyond the conception of the
    little people now around me;
    knowing the wisdom of old,
    seeking far within the heart of infinity
    knowledge that belonged to Earth's youth.


    สิ่งที่วิเศษสุด นั่นคือผู้คนของข้าเมื่อครั้งโบราณกาล
    พวกเขาเยี่ยมยอด เหนือกว่าผู้คนที่รายล้อมข้าเป็นในตอนนี้มากนัก
    พวกเขารู้ดีถึงความปราดเปรื่องในยุกต์โบราณ
    มีหัวใจที่แสวงหาความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด
    ความรู้อันเป็นของโลกใบนี้ ตั้งแต่ยุกต์แรกเริ่ม

    Wise were we with the wisdom
    of the Children of Light who dwelt among us.
    Strong were we with the power drawn
    from the eternal fire.


    พวกเรา (ชาวแอ๊ทแลนด์ทิส) ล้วนรอบรู้ ฉลาด ปราดเปรื่อง
    ก็ด้วยนักบวชผู้ทรงภูมิปัญญามากมายที่อาศัยอยู่ร่วมกันกับพวกเรา
    พวกเราแข็งแกร่ง เพราะพลังอำนาจที่ดึงมาจาก
    จากขุมปัญญา (ไฟที่ลุกโชติช่วงนิจนิรันดร์) อันโชติช่วงไม่มีสิ้นสุดนี้

    ** (Children of Light ท๊อทกล่าวถึงบรรดานักบวชในแอ๊ทแลนด์ทิส)

    And of all these, greatest among the
    children of men was my father, THOTME,
    keeper of the great temple,
    link between the Children of Light
    who dwelt within the temple and the
    races of men who inhabited the ten islands.


    และทั้งหมดนั้น, ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ท่ามกลาง
    มนุษย์เหล่านั้น คือบิดาของข้า นามว่า “ตอม”
    ผู้รักษาวิหารศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่
    ซึ่งเชื่อมระหว่างหมู่นักบวชที่อาศัยในวิหารนี้ และ
    เผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในเกาะทั้งสิบ
    **(ว่า ด้วยเรื่องของเกาะทั้งสิบและกษัตริย์ทั้งสิบแห่งแอ๊ทแลนด์ทิส สืบเนื่องจาก ความเชื่อที่ว่าเทพโพไซดอนและนางไคลโต ภรรยาของโพไซดอน มีลูกชายฝาแฝด ห้าคู่ ด้วยกัน ทำให้เทพโพไซดอนจำต้องแบ่งดินแดนในแอ๊ทแลนด์ทิสออกเป็นสิบเกาะ เพื่อให้ลูกชายฝาแฝดทั้งสิบคนได้ช่วยกันปกครอง ลูกชายคนแรกของโพไซดอนที่มีชื่อว่า Atlas แอ๊ทลาส ได้เป็นกษัตริย์สูงสุด ในตอนนั้นทั้งชื่อของมหาสมุทร และเกาะถูกขนานนามตามชื่อของ กษัตริย์พระองค์นี้ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า Atlantis)

    Mouthpiece, after the Three,
    of the Dweller of UNDAL,
    speaking to the Kings
    with the voice that must be obeyed.


    บิดาข้านั้นเป็นผู้ให้ข่าวสารและความรู้ ซึ่งเขาจะถ่ายทอดให้เมื่อ
    ผู้อาศัยอยู่ในเกาะอันเดล ทั้งสามส่วน
    ได้กล่าวอ้อนวอนต่อกษัตริย์ทั้งหลาย
    ด้วยด้วยน้ำเสียงที่เคารพ

    **(หนึ่ง ในสิบเกาะแห่งแอ๊ทแลนด์ทิส คือ เกาะอันเดล ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกันคือ เมืองคีออร์ เมืองเชียน และส่วนสุดท้ายคือจุดศูนย์กลางอันป็นที่ตั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์ (วิหารแห่งโพไซดอน) เมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะอันเดลคือ เมืองที่ชื่อว่า คีออร์ เป็นสถานที่ๆ นักบวชแห่งแอ๊ทแลนด์ทิสอาศัยอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งของเกาะอันเดลเรียกว่า เชียน เป็นสถานที่ๆ นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ อาศัยอยู่ ส่วนตรงศูนย์กลางจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์มีมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ทั้งเกาะจะถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพง มีสวน และทั้งเมืองคีออร์กับเชียน จะถูกแยกออกจากศูนย์กลางของเกาะ)


    Grew I there from a child into manhood,
    being taught by my father the elder mysteries,
    until in time there grew within the fire of wisdom,
    until it burst into a consuming flame.


    ข้าเติบโตที่นั่น ตั้งแต่เด็กสู่วัยหนุ่ม
    ได้รับการอบรมสั่งสอนวิทยาการมากมายจากบิดาของข้า ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่รอบรู้ในสิ่งลี้ลับมากมาย
    จนกระทั่งเวลานั้นข้าได้พัฒนาปัญญาจนปราชญ์เปรื่อง
    กระทั่งปัญญานั้นเพิ่มพูนขีดสุด และประทุออกจากกรอบที่ขวางกั้นเอาไว้

    Naught desired I but the attainment of wisdom.
    Until on a great day the command came from the
    Dweller of the Temple that I be brought before him.
    Few there were among the children of men
    who had looked upon that mighty face and lived,
    for not as the sons of men are the
    Children of Light when they are not incarnate
    in a physical body.


    เวลานั้นข้าไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก นอกจากการบรรลุสู่ปัญญาปราชญ์เปรื่องเท่านั้น
    กระทั่งวันสำคัญได้มาถึง คำบัญชา ได้ถูกส่งมาจาก
    ผู้อาศัยในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ให้นำข้ามาหาเขา
    ไม่กี่คนเท่านั้นท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์
    ที่จะสามารถสู้กับการเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่และไม่ตาย
    หาใช่เยี่ยงมนุษย์ปุถุชนทั่วไป หากแต่เป็นเยี่ยงนักบวชผู้พัฒนาปัญญาจนถึงขีดสุด
    ผู้ซึ่งจะไม่เกิดในร่างกายเนื้อ แบบปกติอีกต่อไป

    **(ไม่เกิดแบบปกติที่ เป็นทารกในครรภ์ของมารดา เหมือนมนุษย์ทั่วไป อีกต่อไป)

    Chosen was I from the sons of men,
    taught by the Dweller so that his
    purposes might be fulfilled,
    purposes yet unborn in the womb of time.


    ข้าเป็นมนุษย์ผู้ถูกเลือก
    ข้าถูกนำมาสอนมอบความรู้ยิ่งใหญ่ให้โดยผู้อาศัยในวิหารศักดิ์สิทธิ์
    ทั้งนี้เพื่อให้เจตนารมณ์ของพวกเขาได้สัมฤทธิ์ผล
    เจตนารมณ์ที่จะให้เกิดการพัฒนา โดยไม่กำเนิดในครรภ์แห่งกาลเวลาอีกต่อไป

    ** (ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป)

    Long ages I dwelt in the Temple,
    learning ever and yet ever more wisdom,
    until I, too, approached the light emitted
    from the great fire.


    เป็นเวลานานหลายช่วงอายุ ที่ข้าได้อาศัยอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์
    เพื่อเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อเพิ่มพูนปัญญาของข้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
    จนกระทั่งข้า ได้เข้าถึงซึ่งแสงสว่างที่ถูกปล่อยออกมาจากไฟอันยิ่งใหญ่นั้น

    ** (ได้ปัญญาอันมาจากขุมความรู้อันมหาศาล)

    Taught me he, the path to Amenti,
    the underworld where the great king sits
    upon his throne of might.


    ข้าถูกสอนให้ได้รู้ถึงเส้นทางที่จะไปสู่วิหารแห่งอมันทิ
    ซึ่งเป็นโลกใต้ภิภพ ที่ๆ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่นั่งสถิตอยู่
    บนบันลังแห่งอำนาจ



    Deep I bowed in homage before the Lords of Life
    and the Lords of Death,
    receiving as my gift the Key of Life.


    เวลานั้นข้าก้มตัวลงถวายความเคารพอย่างสูงสุดต่อเจ้าแห่งชีวิต
    และเจ้าแห่งความตาย
    เพราะข้าได้ของขวัญล้ำค่า นั่นคือ กุญแจแห่งชีวิต

    Free was I of the Halls of Amenti,
    bound not by death to the circle of life.
    Far to the stars I journeyed until
    space and time became as naught.


    ข้าได้เป็นอิสระจากวิหารแห่ง อมันทิ แล้ว (เพราะได้ปัญญาแล้ว)
    จากนี้ไปข้าจะไม่อยู่ภายใต้กฎของความตายตามวัฏจักรชีวิตที่ต้องตายเกิดอีกต่อไป
    ดวงดาวแสนไกลโพ้นเท่าไรที่ข้าได้เคยท่องเที่ยวไป กระทั่งช่องว่างและกาลเวลาต่างๆ
    ทั้งหมดนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว

    Then having drunk deep of the cup of wisdom,
    I looked into the hearts of men and there found I
    greater mysteries and was glad.
    For only in the Search for Truth could my Soul
    be stilled and the flame within be quenched.


    เพราะตอนนี้ข้าได้ดื่มด่ำอย่างลุ่มลึกที่สุดจากถ้วยแห่งปัญญา
    ข้าได้มองทะลุไปยังหัวใจ ของมนุษย์ (ใจกลางของความเป็นมนุษย์) และตรงนั้นข้า
    ได้พบกับความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุด และข้าปลื้มปีติยิ่งนัก
    เพียงเพื่อค้นหาซึ่งความจริง จิตวิญญาณของข้ายังคง
    เป็นเช่นเดิมแต่ความเร่าร้อนนั้นได้ถูกดับไปสิ้นแล้ว

    Down through the ages I lived,
    seeing those around me taste of the cup
    of death and return again in the light of life.


    จากยุกต์สู่ยุกต์ต่างๆ ที่ข้ามีชีวิตตลอดมา
    ได้เห็นผู้ที่อยู่รอบตัวของข้าลิ้มรสถ้วยแห่งความตาย
    และกลับมาเกิดเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ (เวียนว่ายตายเกิด)

    [​IMG]

    Gradually from the Kingdoms of Atlantis passed waves
    of consciousness that had been one with me,
    only to be replaced by spawn of a lower star.


    เวลาในนครแอ๊ทแลนด์ทิส ค่อยๆ ผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย เกลียวคลื่น
    แห่งสติสัมปชัญญะทั้งหมดนั้นมันเคยเป็นหนึ่งเดียวกับข้า
    ต่อมามันถูกแทนที่ด้วยบรรดาดวงดาวด้อยค่า จำนวนมากมายบนท้องฟ้า

    **(หมายถึงคนเก่าแก่ทีทรงปัญญาที่เคยอยู่ร่วมกันกับท๊อดมาได้จากไปหมดสิ้น
    คงเหลือเพียงคนรุ่นหลังที่ด้อยปัญญาเข้ามาแทนที่มากมาย)


    In obedience to the law,
    the word of the Master grew into flower.
    Downward into the darkness turned the
    thoughts of the Atlanteans,
    Until at last in this wrath arose from his ,
    the Dweller, (this word has no English equivalent;
    it means a state of detachment)
    speaking The Word, calling the power.


    เพื่อจะอยู่ภายใต้กฎ
    คำสอนของของอาจารย์ล้วนเจริญเติบโตผลิบานดังเช่นดอกไม้ (ถือเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามจากรุ่นสู่รุ่น)
    แต่เพราะความตกต่ำความมืดมนนั้น ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของชาวแอ๊ทแลนด์ทิส
    เปลี่ยนไปจนกระทั่ง ในที่สุดอาจารย์จึงได้ลงโทษพวกเขา
    ด้วยการร่ายคาถา เรียกหาพลัง

    [​IMG]
    ภาพ The Last Days of Atlantis โดย Mr. Nicholas Roerich


    Deep in Earth's heart, the sons of Amenti heard,
    and hearing, directing the changing of the flower of fire
    that burns eternally, changing and shifting, using the LOGOS,
    until that great fire changed its direction.


    ลึกสุดสู่ใจกลางโลก นักบวชแห่งวิหารอมันทิต่างได้ยิน
    และต่างก็กำลังได้ยิน การบังคับการเปลี่ยนแปลงของดอกไม้แห่งไฟที่เผาไหม้ชั่วนิรันดรนั้น (ลาวาใต้โลก)
    ให้เปลี่ยนแปลงและพลิกผัน โดยใช้ LOGOS
    จนกระทั่งไฟอันยิ่งใหญ่นี้ได้เปลี่ยนทิศทางของมันไป

    Over the world then broke the great waters,
    drowning and sinking,
    changing Earth's balance
    until only the Temple of Light was left
    standing on the great mountain on UNDAL
    still rising out of the water;
    some there were who were living,
    saved from the rush of the fountains.


    จากนั้นทั่วทั้งโลกก็แตกกระจายด้วยน้ำจำนวนมหาศาล
    ผู้คนจมน้ำตาย และ อาณาจักรล่มสลายจมลง
    เปลี่ยนซึ่งความสมดุลของโลกไปในบันดล
    จนกระทั่งเหลือเพียงแค่วิหารแห่งปัญญา (วิหารแห่งอมันทิ)
    ที่ยังตั้งตระหง่านอยู่บนมหาภูเขาแห่ง อันเดล
    ยืนหยัดอยู่เหนือน้ำ
    มนุษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอด
    ปลอดภัยจากการโจมตีของคลื่นยักษ์

    Called to me then the Master, saying:
    Gather ye together my people.
    Take them by the arts ye have learned of far across the waters,
    until ye reach the land of the hairy barbarians,
    dwelling in caves of the desert.
    Follow there the plan that ye know of.


    อาจารย์ได้เรียกหาข้า กล่าวว่า
    จงรวมกลุ่มของพวกเจ้าเอาไว้เถิด ผู้คนของข้า
    ด้วยอิทธิฤทธิ์ และพลังที่เจ้าได้เรียนรู้ จงพาพวกเขาทั้งหมดนี้ข้ามฝ่าผืนน้ำไปให้ไกล
    จนกระทั่งเจ้าไปถึงยังแผ่นดินของอานารยชน (คนเถื่อน ไร้ปัญญา)
    จงไปอาศัยอยู่ตามถ้ำในทะเลทรายและ
    ดำเนินตามแผนที่เจ้ารู้ดี

    Gathered I then my people and
    entered the great ship of the Master.
    Upward we rose into the morning.
    Dark beneath us lay the Temple.
    Suddenly over it rose the waters.
    Vanished from Earth,
    until the time appointed,
    was the great Temple.


    ดังนั้นข้าจึงได้รวบรวมผู้คน และ
    เข้าไปในยาน ลำใหญ่ของอาจารย์
    ยานยกตัวลอยขึ้นสูง เวลานั้นแม้เราจะเดินทางกันในยามเช้า
    แต่บรรยากาศกลับมืดและความมืดรอบข้างเราได้ปกคลุมวิหารไปหมด
    ทันทีทันใดนั้น ยานของเราก็ลอยอยู่เหนือน้ำ
    และสิ่งที่ถูกกลืนจนอันตรทานหายไปจากโลกในตอนนั้น
    มันได้หายไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้
    นั่นคือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา

    Fast we fled toward the sun of the morning,
    until beneath us lay the land of the children of KHEM.
    Raging, they came with cudgels and spears,
    lifted in anger seeking to slay and utterly destroy the Sons of Atlantis.


    เราบินด้วยความเร็วอยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์ยามเช้า
    กระทั่ง ได้ลงจอดยังผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ แผ่นดินของชาวเคมห์
    ด้วยความเดือดดาลที่เห็นเรา พวกมันมาพร้อมกับอาวุธ ตะบองและหอก
    ต่างพุ่งปาอาวุธมาด้วยความโกรธต้องการสังหารพวกเราชาวแอ๊ทแลนด์ทิสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    Then raised I my staff and directed a ray of vibration,
    striking them still in their tracks as fragments
    of stone of the mountain.


    เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจึงควบคุมยานบิน ยกพวกเราให้ลอยสูงขึ้น
    และควบคุมการสั่นสะเทือนของยาน
    ทำให้พวกเคมห์ตื่นตะลึง เพราะที่พวกมันทำได้ก็เพียงแค่วิ่งไปตามทางซึ่งดูคล้าย
    เศษหินจากภูเขากระจัดกระจายไปทั่ว

    Then spoke I to them in words calm and peaceful,
    telling them of the might of Atlantis,
    saying we were children of the Sun and its messengers.
    Cowed I them by my display of magic-science,
    until at my feet they groveled, when I released them.


    จากนั้นข้าได้พูดกับพวกมัน ด้วยวาจาอันสงบและเปี่ยมไปด้วยสันติ
    บอกให้ทราบถึงอาณาจักรแอ๊ทแลนด์ทิสอันยิ่งใหญ่
    บอกพวกมันว่าพวกข้าคือบุตรแห่งพระอาทิตย์
    และเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้า
    ข้าทำให้พวกมันหวาดกลัว ด้วยเวทย์มนต์ต่างๆ ของข้า
    กระทั่งพวกมันยอมก้มลงหมอบแทบเท้าของข้า หลังจากที่ข้าปล่อยพวกมันทั้งหมด

    Long dwelt we in the land of KHEM,
    long and yet long again.
    Until obeying the commands of the Master,
    who while sleeping yet lives eternally,
    I sent from me the Sons of Atlantis,
    sent them in many directions,
    that from the womb of time wisdom
    might rise again in her children.


    ตั้งแต่นั้นมาพวกข้าก็ได้อาศัยอยู่อย่างยาวนานในแผ่นดินของชาวเคมห์
    เป็นเวลานานแสนนาน นานแล้วนานเล่า
    นานจนกระทั่งทุกคนต่างเชื่อฟังคำสั่งของข้า,
    ข้าผู้ที่แม้ขณะนอนหลับใหล แต่ยังมีชีวิตเป็นนิรันดร์
    ข้าส่งลูกหลานชาวแอ๊ทแลนด์ทิสของข้า
    ส่งพวกเขาไปยังหลายทิศทาง
    หวังให้ช่วงเวลาอันโชติช่วงด้วยครรภ์แห่งปัญญาของเรา, ชาวแอ๊ทแลนด์ทิส,
    ได้ตื่นขึ้นอย่างรุ่งโรจน์อีกครั้ง ผ่านการให้กำเนิดของลูกหลานต่อไป

    Long time dwelt I in the land of KHEM,
    doing great works by the wisdom within me.
    Upward grew into the light of knowledge
    the children of KHEM,
    watered by the rains of my wisdom.


    เป็นเวลาที่ยาวนานมาก ที่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวเคมห์
    ข้าได้สร้างสรรค์ผลงานล้ำค่ามากมายโดยใช้ปัญญาภายในของข้า
    ปัญญาของบรรดาชาวเคมห์เองต่างก็เพิ่มพูนเติบโตไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
    เพราะถูกรดด้วยน้ำจากสายฝนแห่งปัญญาของข้า

    Blasted I then a path to Amenti so
    that I might retain my powers,
    living from age to age a Sun of Atlantis,
    keeping the wisdom, preserving the records.


    ข้าได้ทำลายหนทางไปสู่วิหารแห่งอมันทิ
    ด้วยเพราะข้าจักได้สงวนไว้ซึ่งอำนาจของข้า
    เพื่อมีชีวิตอยู่จากรุ่นสู่รุ่น คงไว้ซึ่งความรุ่งโรจน์แห่งแอ๊ทแลนด์ทิส
    เก็บความปราชญ์เปรื่อง และรักษาไว้ซึ่งบันทึกอันทรงค่านี้แต่เพียงผู้เดียว

    Great grew the sons of KHEM,
    conquering the people around them,
    growing slowly upwards in Soul force.


    จงขยายเผ่าพันธุ์ประชากรของเจ้าเถิด ชาวเคมห์ทั้งหลาย
    พิชิตเอาเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่รายรอบพวกเจ้า
    และค่อยๆ เพิ่มพูนจิตวิญญาณอันทรงพลังอย่างไม่มีสิ้นสุด

    Now for a time I go from among them into
    the dark halls of Amenti,
    deep in the halls of the Earth,
    before the Lords of the powers,
    face to face once again with the Dweller.


    ท่ามกล่างชาวเคมห์ทั้งหลาย บัดนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องไปจากพวกเขา
    เข้าสู่วิหารแห่งอมันทิ
    ในจุดที่ลึกสุดในวิหารของโลกนี้
    ก่อนจะพบเจ้าแห่งพลังอำนาจ
    ข้าจะได้เผชิญหน้ากับผู้อาศัยในวิหารแห่งอมันทิอีกครั้งหนึ่ง

    Raised I high over the entrance, a doorway, a gateway
    leading down to Amenti.


    ข้าลอยตัวสูงอยู่เหนือทางเข้า ประตู ทางผ่าน
    ที่จะนำลงไปสู่ วิหารแห่งอมันทิ

    Few there would be with courage to dare it,
    few pass the portal to dark Amenti.
    Raised over the passage, I, a mighty pyramid,
    using the power that overcomes Earth force (gravity).
    Deep and yet deeper place I a force-house or chamber;
    from it carved I a circular passage
    reaching almost to the great summit.


    ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความกล้าหาญและกล้าพอ
    ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางผ่านไปยังประตูบานใหญ่
    เพื่อไปยังวิหารแห่งอมันทิที่มืดมิดนั้น
    ข้าลอยข้ามผ่านทางในมหาปิรามิด
    ใช้พลังอำนาจที่มี เอาชนะกำลัง แรงโน้มถ่วงของโลก
    ข้าได้เข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ๆ ที่ลึกสุด ลึกแล้วลึกอีก
    เดินทางผ่านสัญลักษณ์ที่ข้าได้สลักไว้ยังทางเดินที่เป็นวงเวียนนั้น
    ไปยังยังเกือบถึงซึ่งสุดปลายทาง

    There in the apex, set I the crystal,
    sending the ray into the "Time-Space,"
    drawing the force from out of the ether,
    concentrating upon the gateway to Amenti.

    ที่นั่น ณ ปลายยอด ข้าตั้งวางคริสตัล
    และปล่อยลำแสงจากคริสตัลไปสู่อวกาศ
    ใช้อิทธิฤทธิ์สร้างเป็นภาพขึ้นมาในอากาศธาตุ
    รวบรวมกำลังสมาธิ แล้วจดจ้องไปยังประตูทางผ่านที่สร้างขึ้นนั้น
    เพื่อไปสู่วิหารแห่งอมันทิ

    Other chambers I built and left vacant to all seeming,
    yet hidden within them are the keys to Amenti.
    He who in courage would dare the dark realms,
    let him be purified first by long fasting.


    วิหารอื่นๆ ที่ข้าได้สร้างขึ้นและทิ้งร้างว่างเปล่าไว้ให้ทุกคนได้เห็น
    ล้วนถูกซ่อนไว้ซึ่งปริศนา กุญแจสำคัญที่จะนำพวกเขาทั้งหลายไปสู่วิหารแห่งอมันทิ
    ผู้ใดก็ตามที่มีความกล้าหาญและเก่งกาจพอที่จะไปยังนครแห่งความมืดนี้
    ขั้นแรกเขาต้องมีความบริสุทธิ์ที่สุดโดยต้องอดอาหารเป็นเวลานาน

    [​IMG]

    Lie in the sarcophagus of stone in my chamber.
    Then reveal I to him the great mysteries.
    Soon shall he follow to where I shall meet him,
    even in the darkness of Earth shall I meet him, I,
    Thoth, Lord of Wisdom, meet him and hold him
    and dwell with him always.


    แล้วนอนลงไปในโลงหินที่อยู่ในวิหารของข้า
    จากนั้นข้าจะเปิดเผยสิ่งลี้ลับอันยิ่งใหญ่แก่เขา
    ไม่ช้า เขาจะตามมายังที่ๆ ข้าจะได้พบเขา
    แม้จะอยู่ในจุดที่มืดมิดสุดของโลกข้าก็จะมาพบกับเขาผู้นั้น
    ข้า..ท๊อท ผู้ยิ่งใหญ่ ปราชญ์เปรื่องเรืองปัญญาที่สุด จะมาพบเขา โอบอุ้มเขาไว้
    และจะอยู่กับเขาผู้นั้น ณ วิหารแห่งอมันทิตลอดไป

    Builded I the Great Pyramid,
    patterned after the pyramid of Earth force,
    burning eternally so that it, too,
    might remain through the ages.


    ข้านี่แหละเป็นผู้สร้างมหาปิรามิด
    หลังจากใช้ฤทธิ์สร้างปิรามิดขึ้นจากผืนโลก
    ข้าได้เผาแบบแปลนทั้งหมด เพื่อให้ปริศนาในการสร้าง และปิรามิดนี้
    เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงข้า คงทนผ่านกาลเวลาจากรุ่นสู่รุ่นสืบไป

    In it, I builded my knowledge of "Magic-Science"
    so that I might be here when again I return from Amenti,
    Aye, while I sleep in the Halls of Amenti,
    my Soul roaming free will incarnate,
    dwell among men in this form or another. (Hermes, thrice-born.)


    ในปิรามิดนี้ ข้าได้สร้างที่เก็บข้อมูลความรู้ เวทมนต์คาถาของข้าขึ้น
    เพื่อที่ข้าอาจจะกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งหลังจากที่กลับมาจากวิหารอมันทิ
    พวกเจ้าทั้งหลาย ในขณะที่ข้านอนหลับใหลอยู่ภายในวิหารแห่งอมันทิ
    จิตวิญญาณของข้าจะยังคงเป็นอิสระ ท่องเที่ยวตระเวนไปและจะแปลงกาย
    สิงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ในรูปร่างเดิมนี้ หรือ อาจเป็นร่างอื่น (อาจเป็นหลายๆ ร่างในทีเดียว)

    Emissary on Earth am I of the Dweller,
    fulfilling his commands so many might be lifted.
    Now return I to the halls of Amenti,
    leaving behind me some of my wisdom.
    Preserve ye and keep ye the command of the Dweller:
    Lift ever upwards your eyes toward the light.


    ข้าจะอาศัยอยู่บนโลกนี้ เป็นดังเช่นสายลับคอยมองพวกเจ้า
    เติมเต็มคำบัญชาของอาจารย์ข้าให้สัมฤทธิ์ผล และผู้ที่ทำดีจะได้ถูกเลื่อนชั้นขึ้น
    บัดนี้ข้าต้องกลับไปยังวิหารแห่งอมันทิ
    ทิ้งความความรู้บางประการของข้าเอาไว้เบื้อหลัง
    ข้าจะปกปักรักษาพวกเจ้าและมอบให้พวกเจ้าเป็นผู้บัญชาการ
    มอบปัญญาอันไม่มีสิ้นสุดให้พวกเจ้าได้เปิดตาไปข้างหน้าต่อไป

    [​IMG]

    Surely in time, ye are one with the Master,
    surely by right ye are one with the Master,
    surely by right yet are one with the ALL.


    แน่นอนว่าตลอดช่วงระยะเวลานี้ พวกเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกับข้า
    แน่นอนว่าโดยสิทธิอันชอบธรรมนี้ พวกเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกับข้า
    แน่นอนว่าโดยสิทธิอันชอบธรรมนี้ พวกเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งอย่าง

    Now, I depart from ye.
    Know my commandments,
    keep them and be them,
    and I will be with you,
    helping and guiding you into the Light.


    ตอนนี้ข้าต้องจากพวกเจ้าไปแล้ว
    พวกเจ้ารู้ดีถึงคำสั่งสอนข้อบัญญัติของข้า
    จงรักษามันไว้และจงเป็นดังนั้น
    และข้าจะอยู่กับเจ้า
    คอยช่วยเหลือและชี้นำทางพวกเจ้าไปสู่หนทางแห่งความสว่าง

    Now before me opens the portal.
    Go I down in the darkness of night.


    จงทำซะในตอนนี้ ก่อนที่ข้าจะเปิดประตูบานใหญ่นั้น
    และเดินทาง เพื่อลงไปสู่ความมืดเหมือนยามวิกาลนั่น. #จบแผ่นที่ 1


    Credit: ต๊อดติให้โชค( DearTK @ธรรมศาลา)

    ต้นฉบับภาษาอังกฤษ นำมาจาก Emerald Tablets of Thoth - Tablet 1
    ถอดความ เรียบเรียงวลี แปลภาษาไทย โดย ต๊อดติให้โชค
    ( DearTK @ธรรมศาลา)
    มิ.ย. 2555
     
  3. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    คัมภีร์มรกต แผ่นที่ 2
    The Halls of Amenti​

    แปลโดย : ต๊อดติให้โชค​

    Deep in Earth's heart lie the Halls of Amenti,
    far 'neath the islands of sunken Atlantis,
    Halls of the Dead and halls of the living,
    bathed in the fire of the infinite ALL.


    ลึกลงไปในใจกลางโลก ที่ตรงนั้นยังมีซึ่งวิหารแห่งอมันทิแอบอิงอยู่
    ลึกลงอยู่เบื้องล่าง เป็นที่ๆ เกาะแอ๊ทแลนด์ทิสได้จมลงสู่ใต้มหาสมุทร
    วิหารแห่งความตายและวิหารแห่งชีวิต
    ต่างจมลง ถูกอาบอยู่ในไฟที่เผาไหม้อย่างไม่สิ้นสุดนั้น ชั่วนิรันดร์

    Far in a past time, lost in the space time,
    the Children of Light looked down on the world.
    Seeing the children of men in their bondage,
    bound by the force that came from beyond.
    Knew they that only by freedom from bondage
    could man ever rise from the Earth to the Sun.


    ห่างไกลจากเวลาในอดีต หลงวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลา (กาลอวกาศ)
    เหล่านักบวช ต่างพากันมองมายังโลกใบนี้
    ได้เห็นมนุษย์ตกเป็นทาสของตนเอง
    ถูกพันธนาการด้วยอำนาจมอันมาจากแรงปรารถนาที่มากเกินตัว
    พวกเขาต่างรู้ดี ว่าการจะเป็นอิสระจากพันธนาการนี้
    คือการที่มนุษย์ต้องตื่นรู้ และออกจากมายาของโลกไปสู่ปัญญาสว่างรู้แจ้งเท่านั้น

    Down they descended and created bodies,
    taking the semblance of men as their own.
    The Masters of everything said after their forming:


    ณ เบื้องล่างนี้ นักบวชได้สร้างสายเลือดของตนเองขึ้นและรังสรรค์ร่างกายของพวกเขา
    ให้มีลักษณะรูปร่างหน้าตาภายนอกที่คล้ายคลึงและเป็นไปตามรูปลักษณ์ของแต่ละคน
    เหล่าผู้รอบรู้ในสรรพสิ่ง ได้กล่าวขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างร่างกาย ว่า:

    "We are they who were formed from the space-dust,
    partaking of life from the infinite ALL;
    living in the world as children of men,
    like and yet unlike the children of men."


    “พวกเราทั้งหมด ต่างก็เป็นเช่นพวกเขา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากฝุ่นผงในอากาศ,
    จากนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องเสพเสวยเอาชีวิต จากสิ่งมีชีวิตต่างๆ เพื่อดำรงชีพให้คงอยู่ เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล;
    และอาศัยอยู่ในโลกเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป,
    มีทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์”


    [​IMG]

    Then for a dwelling place, far 'neath the earth crust,
    blasted great spaces they by their power,
    spaces apart from the children of men.
    Surrounded them by forces and power,
    shielded from harm they the Halls of the Dead.


    ต่อมา มนุษย์ต้องมีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นที่ๆ ลึกลงไปใต้เปลือกโลก เพื่อใช้หลบภัย (เช่น ในถ้ำ)
    เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ต่างๆ อย่างใหญ่หลวง ด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง
    มนุษย์แบ่งแยกเอาพื้นที่ต่างๆไว้ในครอบครองของตน (แบ่งเป็นเมือง)
    และเพื่อรักษาดินแดนขอพวกเขาเอาไว้ ในแต่ละพื้นที่จึงแวดล้อมไปด้วยกองกำลังทหารและการครองอำนาจ
    เพื่อใช้เป็นโล่ป้องกันพวกเขา ให้พ้นจากอันตรายและความตาย

    Side by side then, placed they other spaces,
    filled them with Life and with Light from above.
    Builded they then the Halls of Amenti,
    that they might dwell eternally there,
    living with life to eternity's end.


    เคียงข้างกันนั้น ยังมีสถานที่อื่น ที่มีเหล่านักบวชอาศัยอยู่
    สถานที่นี้ เติมเต็มมนุษย์ ด้วยชีวิตที่แท้จริง และให้ความสว่างรู้แจ้งจากเบื้องบน
    นักบวชเหล่านี้ จึงสร้างวิหารขึ้นมา นั่นคือ วิหารแห่งอมันทิ
    เพื่อที่พวกเขาจะได้อาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ไปตลอดกาล
    จบทุกอย่างด้วยการมีชีวิตเป็นนิรันดร์

    Thirty and two were there of the children,
    sons of Lights who had come among men,
    seeking to free from the bondage of darkness
    those who were bound by the force from beyond.


    ตอนนั้น มีนักบวชผู้ใฝ่รู้อยู่ที่นั่น 32 คนด้วยกัน
    ล้วนเป็นผู้มีปัญญาเหนือมนุษย์ทั่วไป
    ต่างมองหาวิธีการที่จะทำให้ผู้ที่ถูกพันธนาการ ไว้ด้วยอำนาจแห่งแรงปรารถนา
    ได้เป็นอิสระ หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความมืดมิดเหล่านั้น

    Deep in the Halls of Life grew a flower, flaming,
    expanding, driving backward the night.


    ลึกลงไปในวิหารแห่งชีวิต (วิหารแห่งอมันทิ) ดอกไม้แห่งปัญญาเจริญงอกงามขึ้น โชติช่วงชัชวาล
    กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ไล่ตามหลังรัติกาลที่มืดมิดนั่น

    Placed in the center, a ray of great potence, Life
    giving, Light giving, filling with power all who came near it.
    Placed they around it thrones, two and thirty,
    places for each of the Children of Light,
    placed so that they were bathed in the radiance,
    filled with the Life from the eternal Light.


    พวกเขาจัดที่ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลาง, มีรัศมีของแสงแห่งอำนาจส่องสว่างไปโดยรอบ,
    เป็นการให้ชีวิต, ให้แสงสว่าง (ปัญญา), เติมกำลังอำนาจให้แก่ผู้ใดก็ตาม ที่เข้ามาใกล้กับมัน
    พวกเขา ต่างจัดที่ให้ได้อยู่โดยรอบบัลลังเหล่านั้นทั้งสามสิบสองคน
    จัดตำแหน่งที่นั่งเอาไว้ให้พร้อม สำหรับนักบวชแต่ละคน
    เป็นตำแหน่งที่นั่ง ที่เหมาะให้พวกเขาทั้งหมด ได้อาบรังสีจากลำแสง
    เติมพลังชีวิตของทุกๆ คน จากแสงอันเป็นนิรันดร์นั้น

    There time after time placed they their first created bodies
    so that they might by filled with the Spirit of Life.
    One hundred years out of each thousand must the
    Life-giving Light flame forth on their bodies.
    Quickening, awakening the Spirit of Life.


    ที่นั่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร พวกเขายังคงอยู่ตรงนั้น สร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นที่นั่นเป็นครั้งแรก
    รวมทั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้บรรจุเอาจิตวิญญาณของชีวิต เข้าไปด้วย
    ในหนึ่งร้อยปีจากทุกๆ หนึ่งพันปี ชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นนี้จะต้อง
    ได้รับแสงที่แผ่ออกจากกองไฟ และทั่วร่างกายของเขาจะต้องถูกอาบลำแสงนี้
    เพื่อกระตุ้นและปลุกเร้าจิตวิญญาณของชีวิต ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

    There in the circle from aeon to aeon,
    sit the Great Masters,
    living a life not known among men.
    There in the Halls of Life they lie sleeping;
    free flows their Soul through the bodies of men.


    สถานที่แห่งนั้น แม้ช่วงวัฏจักรของเวลาจะผ่านจากยุกต์หนึ่งไปสู่อีกยุกต์หนึ่งแล้ว
    อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น
    ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างไม่เป็นที่รู้จักในหมู่มนุษย์
    ที่นั่น ในวิหารแห่งชีวิต พวกเขาต่างนอนหลับใหล
    ปลดปล่อยวิญญาณของพวกเขาให้เป็นอิสระ เข้าแทรกอยู่ในร่างมนุษย์ที่สร้างขึ้น

    Time after time, while their bodies lie sleeping,
    incarnate they in the bodies of men.
    Teaching and guiding onward and upward,
    out of the darkness into the light.


    เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่า ในขณะที่ร่างกายของพวกเขากำลังนอนหลับอยู่
    แต่จิตวิญญาณของพวกเขา ได้กำเนิดในร่างใหม่ อวตารขึ้นในร่างของมนุษย์ที่พวกเขาสร้างขึ้น
    เพื่อไปทำหน้าที่ สอนสั่ง มอบความรู้แก่มวลมนุษย์ ให้มีปัญญาเพิ่มพูนและสูงส่งขึ้น
    หลุดพ้นจากความไม่รู้ และเข้าสู่แสงแห่งปัญญาต่อไป

    [​IMG]

    There in the Hall of Life, filled with their wisdom,
    known not to the races of man, living forever 'neath the cold
    fire of life, sit the Children of Light.
    Times there are when they awaken,
    come from the depths to be lights among men,
    infinite they among finite men.


    ในวิหารแห่งชีวิตนั้น เต็มไปด้วยความรู้ของเหล่านักบวช
    รู้กันว่าพวกเขาไม่ใช่สายพันธุ์มนุษย์ธรรมดา พวกเขามีชีวิตอยู่ใต้โลกที่เหน็บหนาวนั้นด้วยไฟแห่งชีวิตไปนิรันดร์
    และพวกเขาต่างนั่งอยู่อย่างนั้นมานานแสนนาน
    เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาตื่นขึ้น
    พวกเขาก็จะออกจากวิหารที่ตั้งอยู่ลึกที่สุดนี้ ไปมีชีวิตเป็นผู้รู้แจ้งบนโลก
    มีชีวิตอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ท่ามกลางมนุษย์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

    He who by progress has grown from the darkness,
    lifted himself from the night into light,
    free is he made of the Halls of Amenti,
    free of the Flower of Light and of Life.
    Guided he then, by wisdom and knowledge,
    passes from men, to the Master of Life.


    นักบวชนั้น เป็นผู้ที่มาจากผลพวลของการพัฒนา เจริญขึ้นจากความไม่รู้
    จนสามารถยกระดับจิตวิญญาณ ปัญญา ของตนขึ้น พ้นจากความมืดบอด สู่ความสว่างรู้แจ้งได้ในที่สุด
    กระทั่งเขาได้เป็นอิสระจากวิหารแห่งอมันทิ (เพราะได้ปัญญาจากที่นั่นแล้ว)
    เป็นอิสระจากการเรียนรู้ทั้งมวลและเป็นอิสระจากชีวิต
    และเขาจะนำเอาความรู้แจ้งเหล่านั้น มาสอนแก่มนุษย์
    ส่งต่อปัญญาเหล่านั้น ให้มนุษย์ธรรมดาได้กลายเป็นผู้รู้แจ้งในชีวิต ต่อไป

    There he may dwell as one with the Masters,
    free from the bonds of the darkness of night.
    Seated within the flower of radiance sit seven
    Lords from the Space-Times above us,
    helping and guiding through infinite Wisdom,
    the pathway through time of the children of men.


    ที่นั่น มนุษย์ที่ได้มาเรียน อาจได้อาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับเหล่าอาจารย์
    เป็นอิสระจากพันธนาการของความมืดมน
    ได้นั่งอยู่ภายในดอกไม้ที่งอกจากแสงไฟ และแผ่รังสีไปทั่วบริเวณนั้น บริเวณที่มีผู้นั่งอยู่ทั้งเจ็ดโดยรอบ
    มีเจ้าแห่งกาลอวกาศ สถิตอยู่เบื้องบนเหนือพวกเรา
    มาช่วยสอนสั่ง มอบความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด
    ไว้ให้เป็นทางก้าวเดิน ผ่านช่วงเวลาของความเป็นมนุษย์ต่อไป

    [​IMG]

    [​IMG]

    Mighty and strange, they,
    veiled with their power,
    silent, all-knowing,
    drawing the Life force,
    different yet one with the
    children of men.
    Aye, different, and yet One
    with the Children of Light.


    นักบวชทั้งหลาย ต่างทรงพลังและแข็งแกร่ง
    ปกคลุมตัวตนไว้ ด้วยอำนาจของพวกเขาเอง
    แม้จะสงบนิ่ง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้
    และสามารถสร้างสรรค์ออกแบบ ให้ชีวิตเป็นไปตามต้องการได้
    ซึ่งต่างกับมนุษย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
    พวกเจ้า, มนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าเองก็ต่างจากเหล่านักบวชเช่นกัน

    Custodians and watchers of the force of man's bondage,
    ready to loose when the light has been reached.
    First and most mighty,
    sits the Veiled Presence, Lord of Lords,
    the infinite Nine,
    over the other from each
    the Lords of the Cycles;


    พวกเขาเป็นทั้งผู้ปกครอง และผู้เฝ้าดูอำนาจที่พันธนาการมนุษย์เอาไว้
    และพร้อมทุกเมื่อที่จะถอยออกมา เมื่อปัญญาสว่างรู้แจ้งได้บังเกิดขึ้นแล้วต่อมวลมนุษย์
    เป็นครั้งแรกและนับเป็นครั้งที่ทรงพลังที่สุด
    เมื่อเหล่านักบวชที่นั่งอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงตนขึ้น ต่อมนุษย์
    (การมีอยู่ของเหล่านักบวช ที่ถูกซ่อนมานานปรากฏขึ้น ในหมู่มนุษย์)
    พวกเขาจึงเป็นดั่งเทพพระเจ้าผู้เป็นใหญ่เหนือเทพทั้งหลาย
    เป็นผู้มีชีวิตเป็นอมตะนิรันดร์ทั้งเก้า
    ต่างคนต่างมีพลังอำนาจ เหนือซึ่งกันและกัน
    และต่างก็เป็นดั่งเช่นเป็นเทพเจ้าแห่งวัฏจักรต่างๆ

    Three, Four, Five, and Six, Seven, Eight,
    each with his mission, each with his powers,
    guiding, directing the destiny of man.
    There sit they, mighty and potent,
    free of all time and space.


    สาม สี่ ห้า และ หก เจ็ด แปด คนนั้น
    แต่ละคนต่างมีภารกิจของตน แต่ละคนต่างมีพลังอำนาจเป็นของตัวเอง
    ที่จะสอนสั่ง นำพาโชคชะตาของมนุษย์ทั้งหลาย
    พวกเขาต่างนั่งอยู่ที่นั่น อย่างทรงอำนาจและแข็งแกร่ง
    เป็นอิสระจากห้วงของกาลเวลาทั้งมวล

    Not of this world they,
    yet akin to it,
    Elder Brothers they,
    of the children of men.
    Judging and weighing,
    they with their wisdom,
    watching the progress
    of Light among men.


    แม้จะไม่ได้อยู่ในโลกนี้
    แต่พวกเขายังมีความเกี่ยวพันธ์กับมัน
    พวกเขาเป็นเสมือนพี่คนโต เป็นพี่ใหญ่ของมนุษย์
    พวกเขามีหน้าที่ตัดสิน และ ชั่งน้ำหนัก
    โดยใช้ปัญญาของพวกเขา
    และต่างเฝ้ามองความเจริญรุดหน้า
    ทางปัญญาในหมู่มนุษย์

    There before them was I led by the Dweller,
    watched him blend with ONE from above.


    และที่นั่น ข้าถูกผู้อาศัยในวิหารศักดิ์สิทธิ์พาไปพบกับนักบวชเหล่านั้น
    ข้าคอยจับตาดูเขาผสานตัวตน เป็นหนึ่งเดียวกับเบื้องบน

    [​IMG]

    Then from HE came forth a voice saying:
    "Great art thou, Thoth, among children of men.
    Free henceforth of the Halls of Amenti,
    Master of Life among children of men.
    Taste not of death except as thou will it,
    drink thou of Life to Eternity's end,
    Henceforth forever is Life,
    thine for the taking.
    Henceforth is Death at the call of thy hand.


    ไม่นานหลังจากได้เรียนรู้มากมาย นักบวชท่านหนึ่ง ได้ปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้า และกล่าวขึ้นว่า:

    “เจ้าเป็นดั่งงานศิลปะอันแสนวิเศษ, ท๊อด, เจ้าเป็นศิลปะล้ำค่าท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์
    นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นอิสระจาก วิหารแห่งอมันทิ
    เป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งชีวิต ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์
    จะไม่ตายอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะต้องการมันเอง
    เจ้าบรรลุทุกสิ่งอย่าง และดื่มด่ำกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์
    นับจากนี้ไป เจ้าจะมีชีวิตไปตลอดกาล
    และเจ้าจะได้รับซึ่งการได้ทั้งปวง
    ต่อจากนี้ไป ความตายจะเป็นสิ่งที่สุดแท้แต่มือของเจ้าจะเรียกหา(ควบคุมได้)


    Dwell here or leave here when thou desireth,
    free is Amenti to the son of man.
    Take thou up Life in what form thou desireth,
    Child of the Light that has grown among men.
    Choose thou thy work, for all should must labor,
    never be free from the pathway of Light.


    เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือจะจากไป สุดแล้วแต่เจ้าปรารถนา
    วิหารแห่งอมันทิ เป็นอิสระแล้วจากมนุษย์ผู้รู้แจ้งเช่นเจ้า
    เจ้าได้พัฒนาชีวิตและจิตวิญญาณของเจ้าโดยสมบูรณ์สมดังที่เจ้าปรารถนาแล้ว
    เจ้าเป็นนักบวชผู้ปราชญ์เปรื่อง เหนือมนุษย์ทั่วไป
    จงเลือกทำงานของเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่ผู้รู้แจ้งเช่นเจ้าควรกระทำ
    และอย่าได้ปล่อยให้ตัวเองหลุดออกจาก เส้นทางแห่งปัญญาโดยเด็ดขาด


    One step thou has gained on the long pathway upward,
    infinite now is the mountain of Light.
    Each step thou taketh but heightens the mountain;
    all of thy progress but lengthens the goal.


    สิ่งที่เจ้าจะได้รับ ในทุกๆ ขั้นของการเดินทางไกลไปสู่เบื้องบน
    นั่นคือความรู้และปัญญา อันยิ่งใหญ่
    แต่ละก้าวที่เจ้าก้าวไป ล้วนขึ้นสู่ภูเขาที่อยู่ในระดับที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
    ทั้งหมดล้วนนำพาซึ่งความเจริญก้าวหน้า แต่ก็ยังเป็นหนทางอันแสนไกลกว่าจะไปถึงจุดหมาย


    Approach ye ever the infinite Wisdom,
    ever before thee recedes the goal.
    Free are ye made now of the Halls of Amenti
    to walk hand in hand with the Lords of the world,
    one in one purpose, working together,
    bring of Light to the children of men."


    ปัญญาอันไม่มีสิ้นสุดมากมายนั้นจะพุ่งตรงเข้ามาหาเจ้า
    มันจะเป็นเช่นนี้เสมอไป ก่อนที่เจ้าจะยอมแพ้และออกห่างจากเป้าหมายสำคัญ
    (เพื่อเข้ามาช่วยไม่ให้ยอมจำนนต่ออุปสรรค ที่จะเข้ามาขวางทางไปสู่เป้าหมายง่ายๆ)
    ตอนนี้เจ้าได้เป็นอิสระจากวิหารแห่งอมันทิแล้ว
    เจ้าจะเดินจูงมือไปกับเหล่าทวยเทพของโลกใบนี้
    เพื่อทำให้วัตถุประสงค์เดียวที่สำคัญนั้นสัมฤทธิ์ผล เจ้าจะต้องทำงานร่วมกันได้
    เพื่อมอบปัญญา ความรู้ทั้งมวลให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย นั่นเอง”


    [​IMG]

    Then from his throne came one of the Masters,
    taking my hand and leading me onward,
    through all the Halls of the deep hidden land.
    Led he me through the Halls of Amenti,
    showing the mysteries that are known not to man.


    จากนั้น หนึ่งในอาจารย์ทั้งหมด ได้ออกมาจากบัลลังก์
    จับมือของข้าไว้และนำข้าไปเบื้องหน้า
    นำพาข้าผ่านวิหาร ของดินแดนที่ถูกซ่อนเอาไว้ลึกที่สุด
    ท่านได้นำข้าผ่านเข้าไปยังวิหารแห่งอมันทิ
    และแสดงให้ข้า ได้รู้ได้เห็นในเรื่องราวอันเป็นปริศนาลี้ลับต่างๆ ที่มนุษย์ไม่อาจรู้ได้

    Through the dark passage, downward he led me,
    into the Hall where site the dark Death.
    Vast as space lay the great Hall before me,
    walled by darkness but yet filled with Light.


    อาจารย์พาข้าทะลุผ่านทางเดินอันมืดมิดนั้น นำข้าลงไปด้านล่าง
    เข้าไปในวิหาร ที่มีแต่ความตายอันมืดหม่นอยู่โดยรอบ
    พื้นที่มืดมิดอันกว้างใหญ่ไพศาล อยู่ๆ ก็ปรากฏวิหารอันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ ณ เบื้องหน้าของข้า
    มีความมืดมิดเป็นดังเช่นกำแพง หากแต่วิหารกลับเต็มไปด้วยความสว่างไสว

    Before me arose a great throne of darkness,
    veiled on it sat a figure of night.
    Darker than darkness sat the great figure,
    dark with a darkness not of the night.
    Before it then paused the Master, speaking


    ก่อนหน้าที่ข้าจะมาปรากฏยังบัลลังก์แห่งความมืดนี้
    พื้นที่นี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยกลางคืนที่มืดมิดเท่านั้น
    เป็นความมืดที่มืดยิ่งกว่าความมืดใดๆ ก่อตัวขึ้นอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
    เป็นความมืดกับความมืดอย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่ใช่แม้แต่ความมืดยามวิกาล
    เป็นเยี่ยงนั้นมานานแสนนาน ก่อนที่มันจะหยุดลง อาจารย์กล่าว

    The Word that brings about Life, saying;
    "Oh, master of darkness,
    guide of the way from Life unto Life,
    before thee I bring a Sun of the morning.
    Touch him not ever with the power of night.
    Call not his flame to the darkness of night.
    Know him, and see him,
    one of our brothers,
    lifted from darkness into the Light.
    Release thou his flame from its bondage,
    free let it flame through the darkness of night."


    และนี่คือคาถาที่จะนำมาซึ่งความมีชีวิตชีวา กล่าวดังนี้;

    “โอ้, เจ้าแห่งความมืด,
    โปรดนำข้าสู่หนทาง จากชีวิตหนึ่งถึงอีกชีวิตหนึ่ง,
    ก่อนที่ข้าจะกล่าวถึงท่าน ข้าได้นำเอาอาทิตย์ยามเช้าเข้ามา
    เพื่อที่จะไม่ให้อำนาจแห่งความมืดได้สัมผัสมนุษย์ไปตลอดกาล
    มนุษย์ผู้ไม่สามารถเรียกหาปัญญาเพื่อใช้มันนำทางความมืดมิดได้
    ข้ารู้จักมนุษย์ดีและข้าเข้าใจในความเป็นมนุษย์ดี
    พวกเขาเป็นดังเช่นหนึ่งในพี่น้องของข้า
    ข้าจะดึงเอาความมืดมิดออกไปและแทนที่ด้วยแสงสว่าง
    ปลดปล่อยปัญญาของพวกเขาออกมา เพื่อให้เขาได้หลุดพ้นจากพันธนาการนั้น
    จนเป็นอิสระ และให้เพลิงแห่งปัญญานี้ได้นำทางเขาผ่านความมืดมิดยามวิกาลเถิด.”


    Raised then the hand of the figure,
    forth came a flame that grew clear and bright.
    Rolled back swiftly the curtain of darkness,
    unveiled the Hall from the darkness of night.

    รูปทรงหนึ่ง ที่เหมือนเป็นมือ ยกขึ้น
    จากนั้น ก็ปรากฏกองไฟลูกหนึ่งที่สดใสและสว่างจ้าขึ้น ลูกไฟเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายเจริญงอกงามไปทั่ว
    ม้วนกลืนเอาม่านหมอก ของความมืดมิดไป
    ทำให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถูกปกคลุมด้วยความมืดเหมือนยามวิกาลอีกต่อไป

    Then grew in the great space before me,
    flame after flame, from the veil of the night.
    Uncounted millions leaped they before me,
    some flaming forth as flowers of fire.


    พื้นที่สว่างไสว ค่อยๆ ขยายจนไพศาลครอบคลุมไปทั่วจนมาถึงตัวข้า
    โชติช่วงชัชวาลแล้วโชติช่วงชัชวาลอีก แสงสว่างเข้าแทนที่การถูกปกคลุมด้วยความมืดที่เคยมี
    ลูกไฟวิ่งไปทั่ว จนไม่สามารถนับจำนวนลูกไฟที่วิ่งกระโดดข้ามไปมาในพื้นที่กว้างใหญ่นั้นได้
    กองไฟบางกอง ก็ประทุออกมาจากกองไฟอีกลูก ดูคล้ายเป็นดอกไม้มากมายที่งอกออกมาจากไฟ

    Others there were that shed a dim radiance,
    flowing but faintly from out of the night.


    ส่วนที่เหลือคือส่วนที่เป็นเงาสวัวๆ (สว่างขึ้นบ้างแต่ไม่มาก) จากรัศมีของความสว่าง
    ของลูกไฟที่ที่วิ่งผ่านไป สว่างรำไรออกจากความมืดเหมือนยามรัตติกาลนั่น

    Some there were that faded swiftly;
    others that grew from a small spark of light.
    Each surrounded by its dim veil of darkness,
    yet flaming with light that could never be quenched.
    Coming and going like fireflies in springtime,
    filled they with space with Light and with Life.


    บางพื้นที่ ความมืดจางหายไปอย่างรวดเร็ว
    มีพื้นที่อื่นๆ ที่สว่างขึ้นจากประกายเล็กๆ ของแสง
    พื้นที่แต่ละส่วนนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยเงาจางๆ สลัวๆ อยู่บ้าง
    ยังไม่โดนแสงไฟลบเอาเงาสลัวๆ นั้นออกไปทั้งหมด
    ลูกไฟวิ่งมาและวิ่งไป ดูคล้ายหิ่งห้อยในฤดูใบไม้ผลิ
    เติมแสงสว่างและความมีชีวิตชีวาให้แก่พื้นที่ของพวกนักบวชอีกครั้ง

    Then spoke a voice, mighty and solemn, saying:
    "These are lights that are souls among men,
    growing and fading, existing forever,
    changing yet living, through death into life.
    When they have bloomed into flower,
    reached the zenith of growth in their life,
    swiftly then send I my veil of darkness,
    shrouding and changing to new forms of life.


    จากนั้นอาจารย์ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่มีพลังและจริงจัง เขากล่าวว่า:

    “สิ่งเหล่านี้คือแสงจำนวนมาก ที่เป็นเหมือนจิตวิญญาณของมนุษย์
    ซึ่งจะเจริญขึ้นมาและค่อยๆ เลือนรางไป เป็นอยู่เช่นนี้ไปตลออดกาล
    และการเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการตายไปจนกระทั่งกลับมามีชีวิตใหม่อีก
    เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ เบ่งบานสะพรั่งเหมือนดอกไม้
    เข้าถึงจุดสูงสุด ของการเติบโต ในชีวิต
    จากนั้นฉับพลัน ข้าจะส่งความมืดเข้าปกคลุม
    หุ้มพวกเขาเอาไว้และเปลี่ยนแปลงเขาไปสู่ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง


    Steadily upward throughout the ages, growing,
    expanding into yet another flame,
    lighting the darkness with yet greater power,
    quenched yet unquenched by the veil of the night.


    จะเป็นเช่นนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดทุกช่วงอายุ และทุกช่วงของการเจริญเติบโต
    เพื่อขยาย เพิ่มจำนวนกองไฟ (ให้มนุษย์ได้เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา)
    ดังเช่นแสงสว่างที่สาดส่องไปยังความมืด ด้วยอำนาจวิเศษ (แบบที่อาจารย์ได้แสดงให้ท๊อดเห็น)
    ซึ่งมันอาจจะสามารถลบความมืดบอดความไม่รู้ให้ออกไปจากมนุษย์ได้ หรืออาจจะไม่สามารถลบได้เลยก็ตาม
    (เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำแม้ว่ามันจะทำให้ปัญญานั้นเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม)


    So grows the soul of man ever upward,
    quenched yet unquenched by the darkness of night.


    ดังนั้นจงเติบโตขึ้นเถิด จิตวิญญาณแห่งมนุษย์ เจริญรุดหน้าต่อไปไม่มีสิ้นสุด
    ไม่ว่า( แสงแห่งปัญญานั้น) มันอาจจะเคยดับไปแล้วหรือยังไม่เคยดับไปเพราะความมืดมิดนั่นเลยก็ตาม


    I, Death, come, and yet I remain not,
    for life eternal exists in the ALL;
    only an obstacle, I in the pathway,
    quick to be conquered by the infinite light.


    ข้า, ความตาย, และการมาถึงของมัน และถึงแม้ว่าข้าจะคงกระพันธ์
    เพราะชีวิตของข้าทั้งหมดนั้นเป็นนิรันดร์
    แต่ก็ มีเพียงอุปสรรค์เดียวเท่านั้น ที่จะขวางเส้นทางของข้า
    นั่นคือความต้องการที่จะให้มนุษย์ได้มาซึ่งปัญญาที่เร็วจนเกินไป


    Awaken, O flame that burns ever inward,
    flame forth and conquer the veil of the night."


    ดังนั้นจงตื่นขึ้นเถิด โอ้ เปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ตลอดภายในใจนี้
    ให้ไฟนี้(ปัญญา)ประทุออกมา และเอาชนะความมืดที่ปกคลุมเจ้าเอาไว้เสีย”


    Then in the midst of the flames
    in the darkness grew there one that
    drove forth the night, flaming, expanding,
    ever brighter, until at last was nothing but Light.


    จากนั้น ในท่ามกลางกองไฟมากมายที่วิ่งอยู่ในพื้นที่มืดนั้น
    มันได้รวมตัวกันจนเป็นหนึ่งเดียว
    ผลักไสความมืดไป เผาไหม้ ขยาบตัวใหญ่ขึ้นๆ
    จนสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในที่สุดก็ไม่เหลือความมืดไว้ นอกจากความสว่างจ้าสุกใสเท่านั้น

    Then spoke my guide, the voice of the master:
    See your own soul as it grows in the light,
    free now forever from the Lord of the night.


    จากนั้นอาจารย์ผู้นำทางได้กล่าวขึ้นว่า:

    จงเข้าถึงซึ่งจิตวิญญาณของเจ้าเอง ดังเช่นที่จิตวิญญาณเจ้าได้เพิ่มพูนซึ่งความสว่างของปัญญา
    จงปลดล่อยตัวของเจ้าให้เป็นอิสระจากความไม่รู้ทั้งปวง


    Forward he led me through many great spaces
    filled with the mysteries of the Children of Light;
    mysteries that man may never yet know of until
    he, too, is a Sun of the Light.


    อาจารย์ได้นำข้าผ่านทะลุไปยังห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลมากมาย
    สถานที่ๆ เต็มไปด้วยความลี้ลับของเหล่านักบวชผู้เรียนรู้ทั้งหลาย
    ความลับทั้งปวงที่มนุษย์ยังไม่อาจที่จะมีทางรู้ได้ จนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งแล้วเท่านั้น

    Backward then HE led me into the Light
    of the hall of the Light.
    Knelt I then before the great Masters,
    Lords of ALL from the cycles above.


    อาจารย์นำข้ากลับมาด้านหลัง เข้าไปในแสงสว่างของวิหารแห่งปัญญา
    ข้าได้คุกเข่าลงเบื้อหน้าอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
    และเจ้าแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง ที่สถิตอยู่โดยรอบ ณ เบื้องบน

    Spoke HE then with words of great power saying:
    Thou hast been made free of the Halls of Amenti.
    Choose thou thy work among the children of men.


    อาจารย์พูดขึ้นด้วยถ้อยคำอันทรงพลัง กล่าวว่า:

    บัดนี้เจ้าเป็นอิสระจากวิหารแห่งอมันทิแล้ว
    จงเลือกหน้าที่ของเจ้า ที่จะกระทำให้ต่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย


    Then spoke I:
    O, great master,
    let me be a teacher of men,
    leading then onward and upward until they,
    too, are lights among men;
    freed from the veil of the night that surrounds them,
    flaming with light that shall shine among men.


    จากนั้นข้าจึงพูดขึ้น ว่า:

    โอ้ อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่
    ให้ข้าเป็นดั่งครูผู้สอนมนุษย์ทั้งหลาย
    นำทางพวกเขาต่อไปข้างหน้าและขึ้นไปสู่เบื้องบน จนกระทั่งพวกเขา
    ได้เป็นผู้มีปัญญาอยู่ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
    เป็นอิสระจากความไม่รู้ที่ปกคลุมอยู่โดยรอบพวกเขา
    จุดเพลิงแห่งปัญญาด้วยแสงแห่งความรู้แจ้ง สาดส่องไปทั่วในท่ามกลางมวลมนุษย์


    Spoke to me then the voice:
    Go, as yet will. So be it decreed.
    Master are ye of your destiny,
    free to take or reject at will.
    Take ye the power, take ye the wisdom.
    Shine as a light among the children of men.


    อาจารย์พูดกับข้า ว่า:

    ไปเถิด ไปในที่ๆ เจ้าจะไป ที่ๆ เจ้ากำหนดเอาไว้
    อาจารย์ จะอยู่กับเจ้าไม่ว่าโชคชะตาของเจ้าจะเป็นเช่นไร
    จงเป็นอิสระที่จะรับหรือปฏิเสธ สุดแล้วแต่ความสมัครใจ
    จงนำเอาพลังอำนาจ นำเอาความรอบรู้ทั้งหมดนี้ไป
    ส่องสว่างประหนึ่ง เป็นแสงไฟอยู่ท่ามกลางมนุษย์เหล่านั้น


    Upward then, led me the Dweller.
    Dwelt I again among children of men,
    teaching and showing some of my wisdom;
    Sun of the Light, a fire among men.


    จากนั้น ผู้อาศัยในวิหารศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำข้าขึ้นไป
    และให้ข้าอยู่อาศัยร่วมกับมนุษย์อีกครั้ง
    ให้ข้าสอนสั่ง และแสดงความรู้ของข้า,
    เป็นดั่งอาทิตย์ที่ส่องแสง มอบปัญญารู้แจ้งให้แก่มนุษย์

    Now again I tread the path downward,
    seeking the light in the darkness of night.
    Hold ye and keep ye, preserve my record,
    guide shall it be to the children of men.


    บัดนี้นับเป็นอีกวาระ ที่ข้าจะได้ก้าวเท้าลงไป
    มองหาแสงสว่าง ในความมืด ยามวิกาล
    ข้าจะโอบอุ้มพวกเจ้าและรักษ์พวกเจ้า ปกปักษ์รักษาบันทึกแห่งความรู้ของข้า
    และนำความรู้มากมายเหล่านั้น มาสอนให้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ##### [​IMG]

    [​IMG]


    Credit: ต๊อดติให้โชค( DearTK @ธรรมศาลา)

    ต้นฉบับภาษาอังกฤษ นำมาจาก The Emerald Tablets of Thoth Tablet -2
    ถอดความ เรียบเรียงวลี แปลภาษาไทย โดย ต๊อดติให้โชค( DearTK @ธรรมศาลา)
    21 มิ.ย. 2555
     
  4. 789654561

    789654561 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +333
    พระพุทธศาสนาเป็นแก้วสามประการ
    ยังมีคนแสวงหาก้อนกรวด หิน ดิน ทราย ให้เปื้อนเลอะสกปรก
     
  5. ใส้เดือน

    ใส้เดือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +2,085
    รบกวน ช่วยเขียนคำอ่านออกเสียงที่ถูกให้หน่อยครับ ผมไม่เก่ง
    เชื่อไม่เชื่อ ต้องลองครับ
    ในตอนที่ผู้ฝึกต้องการหลุดลอยออกจากกายหยาบ ไปยังที่ไกลๆสุดขอบฟ้า ขอให้เขาบริกรรมมนตร์ "Dor-E-Ul-La" เอา ไว้ในใจ ก่อนอื่นต้องทำใจให้สงบนิ่ง ผ่อนคลายร่างกายตั้งจิตมุ่งมั่น ที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากกายหยาบ หากต้องการพาดวงจิตขิงตนไปที่ใด ก็ขอให้นึกถึงเสรีภาพแห่งดวงจิต พร้อมบริกรรมมนต์ต่อไปนี้ "la Um-I-L-Gan" (ลาอุมอีลูกาน)

    หากต้องการจะถอดจิต ไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของแอตแลนติส ก็ให้บริกรรมมนตร์ต่อไปนี้ โดยไม่ออกเสียง
    1. Me-Kut-El-Shab-El
    2. Hale-zur-Ben-El-Zabrut
    3. Zin-Efrim-Quar-El

    และหากต้องการถอดจิตไป "ศัมภาลา" ก็ขอให้บริกรรมมนต์ต่อไปนี้ เพื่อเปิดทวารเข้าสู่ศัมภาลา "Edom-El-Ahim-Sabbe-Rt-zur-Adom"
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...