ประสบการณ์จริง..เจ้ากรรมนายเวร ในอดีตชาติของผม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 13 มิถุนายน 2012.

  1. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    แว้กกก...ผมไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิหรอกครับ ถ้าเป็นไปได้ขอไปพระนิพพานชาตินี้ดีกว่าครับ.. อนุโมทนาด้วยครับผม
     
  2. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    anumothana sathu sathu sathu kha
     
  3. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +467
    อนุโมทนาบุญยิ่งครับ อนุโมทนาบุญยิ่งครับ อนุโมทนาบุญยิ่งครับ
     
  4. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    แต่ก่อนผมก็ปฏิเสธแบบนี้ล่ะครับ. ปฏิบัติไปเรื่อยๆถึงรู้ครับ. ขอให้สมความปรารถนาครับ
     
  5. ฉันผู้ฝึกตน

    ฉันผู้ฝึกตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +201
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
    เป็นบุญโดยแท้ ที่ได้พบกับครูบาอาจารย์มาชี้ทางสว่างให้ ก่อนที่จะสายเกินไป
    คนบางคน มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เกิดถึงตาย ยังไม่รู้ว่า บาป บุญ คืออะไร
    ถึงท่านเจ้าของกระทู้จะทำกรรมบาปมามาก แต่เชื่อว่าทำบุญมามากเช่นเดียวกัน
    ขอให้เดินไปให้ถึงฝั่ง...ที่ปรารถนานะคะ
     
  6. phufa

    phufa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +93
    อนุโมทนาสาธุ ด้วยครับ มีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกมากเลยครับ
     
  7. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    พระสุปฏิปันโณนั้น สังเกตุได้เลยครับว่าคำสอนจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธเจ้าเลย. ที่คุณกล่าวมาทั้งหมดนั้น ล้วนแต่ปฏิบัติชอบทั้งนั้นครับ. โมทนาด้วยครับ
     
  8. uthaimai

    uthaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +1,344
    สาธุ......สาธุ อนุโมทนาครับผม เจริญในธรรมมากๆครับทุกท่าน
     
  9. Angie_04

    Angie_04 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +431
    ขอโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ
    ตอนแรกว่าจะไม่โพสต์ละ แต่พออ่านกระทู้คุณจนหมด รู้สึกดีมากๆ น้ำตาจะไหล ไม่รู้ทำไม
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ สาธุ
     
  10. softkid9

    softkid9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +6,399
    ขอโมทนากับคุณโมกขทรัพย์ด้วยครับ ช่วงนี้ผมภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อเหมือนกัน สังเกตเห็นว่าค้าขายได้ทุกวันมากบ้างน้อยบ้างก็มีคนโทรมาทั้งซื้อทั้งขายกับผม เพราะผมทำอาชีพค้าขายอยู่ ที่เห็นกับตาแบบจะๆ เต็มๆเลยก็คือ มีอยู่วันนึงผมไม่ได้เอารถยนต์ไป เอามอเตอร์ไซไปแทนก็ไปเจอสินค้าอยู่ตัวนึงเป็นพวกเครื่องปริ้นเตอร์มีตั้งสองเครื่องแน่ะ พอดีมีลูกค้าสั่้งรุ่นนี้ไว้ ถ้ามีเค้าเอา ผมก็คิดว่าเอาวะ เสียดายกำไรเกือบพัน เลยซื้อมาทั้งสองเครื่องเลย เอาสายรัดไว้กับเบาะน่ะครับ แล้วก็โทรหาลูกค้านัดเอาไปส่งให้เลย จะไปเอารถยนต์ก็ไกลไปคิดว่าเสียเวลา พอขี่มอเตอร์ไซไปได้ซักหน่อย โอ!คิดในใจเลยว่าเฮงแล้วกรู ฟ้าฝนตั้งเค้า มืดมาแต่ไกลเลยแล้วก็กำลังตกเข้ามาหาด้วย เป็นทางไปบ้านลูกค้าซะอีก กลายเป็นว่าผมกำลังขี่รถเข้าไปหาฝน ไอ้สินค้าเราก็เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซะ โดนน้ำได้ที่ไหนกันละ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยตั้งจิตระลึกถึงสมเด็จองค์ปฐมต้นพระพุทธสิกขีที่1 หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วก็ภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย ก็คนมันคิดอะไรไม่ออกแล้วนี่ครับ ฝนที่กำลังตกหนักอยู่ข้างหน้าผมไม่ถึง1กิำโลแล้วประมาณ 800-900 เมตรนี่ละ อยู่ๆก็หยุดตกกะทันหันเลย ประมาณว่าหยุดตกเอาดื้อๆน่ะ ผมขี่รถไปถึงที่ฝนหยุดตกน้ำนองเต็มถนนเลย ผมขนลุกแล้วก็ปลื้มใจมาก เพราะฝนที่ผมขับรถเข้าไปหา รุ้งก็ไม่มี หายขาดเม็ดไปซะเฉยๆเลย ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ
     
  11. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    ใช่ครับ คุณทำดีแล้วครับ พยายามอีกนิดครับ ลอง กำหนดสัจจะกับตัวเองสิครับ ว่าเราจะนั่งกี่นาที กี่ชม.กัน แล้วตั้งนาฬิกาเอาไว้ แรกๆอาจจะซัก ๑๐ นาทีก่อน ค่อยๆเพิ่มไปเืรื่อยๆ หรือถ้าหากเมื่อย ก็เดินจงกลมก็ได้ครับ หรือถ้าเหนื่อย ก็นอนก็ได้ครับ การเจริญกรรมฐานนั้นทำได้หลายทางครับ แล้วแต่อัธยาศัยชอบอะไรครับ

    เรื่องคาถาเงินล้านนั้น เอาขออนุญาต เอามาโพสไว้เผื่อใครต้องการนะครับ


    ถาม : เรื่องลดค่าเงินบาท ?

    ตอบ: ไม่ต้องถามจ้ะ เอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจท่องอย่างจริงๆ จังๆ มันฟื้นเร็ว

    ถาม : ท่องวันละ ๙ จบ ?

    ตอบ: รู้มั้ย ? อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบ จำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่นั้นนะเหรอ ? เยอะๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ให้ทำ เพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไป ก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

    ถาม : จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

    ตอบ: ถ้าหากว่าเอาคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างมันจะดี เพราะคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อย ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงานมันมาชนิดทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

    ถาม : หนักไปทางสวดมนต์

    ตอบ: อันไหนก็ได้ ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่ง ก็สวดคาถาเงินล้านแทนไปเลย

    ถาม : ๙ จบน้อยไป ?

    ตอบ: น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลายๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็มๆ ที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไป ชักลูกประคำไปจน ๒ ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้ว เพราะว่าชักมันจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกัน มือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย เป็นยังไงล่ะ ? ถ้าไม่ทำจริงๆ ขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

    ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่เริ่มต้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่สอนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมด ในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวย

    สมัยหลวงปู่ปาน ก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐาน มาถึงรุ่นหลวงพ่อ ไม่มีใครทำจริงๆ อาตมาก็เลย...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เวลา ๑๓ เดือน สร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้ทำที ๔-๕ วัดพร้อมๆ กันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าคาถาบทนี้บทเดียว ไปทำเถอะ

    ถาม : งานขาดทุน สับสน?

    ตอบ: ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้น ถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมาก สมัยหลวงพ่อไหม ? ถ้าหากว่าไม่มีไปหามาแล้วใช้ควบคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริงๆ เท่านั้น ทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

    เคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ ว่า ในแต่ละวัน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้าๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำ ประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จะดูว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีซะว่า ๒ มื้อ ๑ ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็มๆ ทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่งๆ ได้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้มันจริงๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ นี่ล่อซะ ๓ ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วหลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ไอ้เรื่องนับจบเลิกนับแล้ว


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : พลังจิต




    คาถาเงินล้าน

    ตั้ง นะโม ๓ จบ



    นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
    มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
    วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
    มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    เพ็ง เพ็ง พา พา หา หา ฤา ฤา




    (บูชา 30 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  12. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    แค่ยินดีก็เป็นบุญแล้วครับ

    โมทนาอย่างสูงครับ
     
  13. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    พุทโธ อัปปมาโณ ธรรมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณครับ นี่ล่ะครับคนมีศีลธรรม พระย่อมคุ้มครองครับ


    โมทนาในกุศลกรรมครับ
     
  14. wainkam

    wainkam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    757
    ค่าพลัง:
    +881
    อนุโมทนาสาธุท่าน จขท ด้วยครับ ^^
    เรื่องกรรมนั้นของผมเองเมื่อเจอกับมันจังๆมันจะเหมือนภาพรีเพลมาเล่นให้ดูเลยว่าทำอะไรไว้สย๋องดีแท้ T_T
     
  15. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    มีหลายท่าน PM ไปหาผม เรื่องการปฏิบัติ กรรมฐานอย่างไรให้ได้เกิดผล ผมพิจารณาแล้วเห็นมีประโยชน์ จึงจะเอามาเพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เกิดแรงใจในการปฏิบัิติ เผื่อจะถูกจริตกับใครบ้าง ก็นำไปใช้ได้ตามอัธยาศัยได้เลยครับ

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> เริ่มเลยผมจะตื่นประมาณ ตี ๒ :๔๕ โดยประมาณ ลุกขึ้นมาทำธุรกิจส่วนตัว แล้ว ลงไปทำงานที่ชั้นล่างของบ้าน(งานในที่ไม่ขอกล่าวนะครับเพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติธรรม) ผมจะทำงานเสร็จประมาณ ตี๔ ขาดเกินไม่ ถึง สิบนาที หลังจากนั้นก็จะจุดเทียน บูชา พระรัตนตรัย แล้วเริ่มสวดมนต์ ซึ่งบทสวดมนต์ผมมีดังนี้ครับ
    ตั้งนะโมสามจบ ตามด้วย บทสวด อะระหัง และอิติปิโส อย่างละจบ
    หลังจากนั้นตามด้วยคาถาเงินล้าน อีก ๙ จบ สมาทานศีล บทแผ่เมตตา และ และขอขมาพระรัตนตรัย และกราบลาพระครับ

    สวดแบบช้าๆ เอาเนื้อๆ ไม่รีบไม่เร่ง ไม่ค่อยหรือไม่ดังเกินไป จิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ตลอดเวลา ผมจะนึกภาพบทสวดขึ้นมาและให้ ตัวอักษรเหล่านั้นไหลผ่านตา(ตาในใจ) พร้อมกับ ปากท่องไปด้วยครับ ใช้เวลาประมาณ ๒๕
    -๓๐ นาทีโดยประมาณ ต่อจากนั้น เปิดไฟล์เสียงของหลวงพ่อ บทสมาทานพระกรรมฐาน



    เสร็จแล้ว นั่งเพ่งภาพพระให้ ชุ่มใจ ก่อนซัก ๒-๓ นาที ก่อนจะ นั่งเอาขาขวาทับ ขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ผมนั่งแบบ สบายๆ ไม่เกร็ง เพราะจะทำให้นั่งได้นาน หลังไม่งอ และที่สำคัญ นั่งตัวตรงแบบนี้ลมเดินสะดวกดี สำคัญต้องตั้งกายตรง จิตตั้งมั่น แต่ไม่ตรงจนเกร็งจนรู้สึกปวด และไม่ปล่อยจนหลังงอ
    จนทำเสียสมดุลไป เพราะจะกลายเป็นขี้เกียจไป ให้นั่งสบายๆ ทำใจสบายๆ ผมแนะนำให้นั่งแบบไหนก็ได้ครับเอาแบบถนัด เพราะถ้าฝืน ทำให้การภาวนา เวทนาเกิด จนจิตรวมได้ยาก
    เพราะตอนที่ผมไปฝึกมโนฯก็ไม่เห็นต้องนั่งขัดสมาธิเลยครับ นั่งบนเก้าอี้เอา เน้นที่สบายแต่ไม่ขี้เกียจครับ


    หลัง จากนั้นผมค่อยๆหลับตา สูดลมหายใจลึกๆแรงๆ ยาวๆ เพื่อ ปล่อยลมหยาบออกไปให้หมด ซัก ๓-๔ ครั้ง


    กำหนดลมหายใจ เข้าออก เริ่มจากลมหายใจเข้าพร้อมคำภาวนา นะมะ(ใครจะใช้อะไรก็ตามสะดวกเลยครับ แต่ผมใช้ นะมะ พะธะ) ให้ผ่านปลายจมูก ผ่านกึ่งกลางอก และไปจบที่ เหนือสะดือ ประมาณสองนิ้ว หายใจออกพร้อมคำภาวนาให้เริ่มจากจุดเหนือสะดือ ผ่านกึ่งกลางอก กระทบที่ปลายจมูก ทำแบบนี้ซ้ำๆย้ำๆจนจิตเข้าสู่สภาวะฌานที่ละเอียด หลังจากนั้นกำหนดภาพพระขึ้นมา อธิฐานให้ใส สว่าง เล็กสุด ใหญ่สุดจนเต็มฟ้า ให้เป็นร้อยๆองค์ ไปข้างหน้า ข้างบน ประทับบนไหล่ซ้าย ขวา อยู่ในอก นั่งบนหัว เอาให้ชุ่ม เอาให้พอ หลังจากนั้น ประคองภาพไว้ ให้องค์พระมานั่งอยู่ระดับสายตา อธิฐานให้ใหญ่พอระดับที่จะมองเห็นได้ทุกสัดส่วน พอดี เต็มองค์

    ตอน หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนา ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดและวิ่งตามลมมากระทบอก จบที่กระทบปลายจมูก ส่วนองค์พระกำหนดไว้ให้พอดีระดับสายตา ใหญ่เท่าระดับที่เรากำหนดไว้ตอนแรกก่อนที่จะเริ่มจับลมนั้น
    พอหายใจออกพร้อมคำภาวนาความรู้สึกไหลขึ้นมา กระทบจุดแรกคือ ท้อง ตามด้วย หน้าอก และสุดท้ายคือปลายจมูก(แบบที่ผมทำเขาเรียกว่าจับลมสามฐานครับ) และให้กำหนดเอาความรู้สึกว่าองค์พระวิ่งลงตามลมหายใจ จากตรงหน้าไหลมาอก และและองค์พระเริ่มเล็กลง และไปสุดที่สะดือ กลายเป็นองค์เล็กสุด สว่างเล็กๆอยู่ตรงนั้น
    หายใจ เข้า พร้อมคำภาวนา เอาความรู้สึกไหลตามลมหายใจ ให้องค์พระไหลตามขึ้นมาด้วยกระทบที่อก จบที่ปลายจมูก จนองค์พระใหญ่เท่าเดิมเริ่มแรกที่เรากำหนด
    พอหายใจออกพร้อมคำภาวนาความรู้สึกไหลขึ้นมา กระทบจุดแรกคือ ท้อง ตามด้วย หน้าอก และสุดท้ายคือปลายจมูก และให้กำหนดเอาความรู้สึกว่าองค์พระวิ่งลงตามลมหายใจ ไหลมาอก และเริ่มเล็กลง และไปสุดที่สะดือ กลายเป็นองค์เล็กสุด สว่างเล็กๆอยู่ตรงนั้น
    หายใจเข้าองค์พระใหญ่ระดับสายตา หายใจออก องค์พระเล็กสุด ไปอยู่ระดับจุดกำเนิดลมคือระดับสะดือ
    ทำ แบบนี้ติดต่อกันไปเรื่อย จนคำภาวนาหายไป จิตจะเริ่มรวมได้ กำหนดรู้ทั้งองค์พระและ ลมหายใจที่กระทบตลอดเวลา ถ้าเผลอ ไปคิดเรื่องอื่น ดึงกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่


    ผม ทำแบบนี้ จนคำภาวนาหายไป ผมไม่สนใจ เอาจิตจับที่ลม กับองค์พระอย่างเดียว พอจิตนิ่งได้ที่ ผมจะมองเห็นลม วิ่งเป็นสายตามองค์พระขึ้นมาเลยครับ จนในที่สุด จับลมได้แผ่วๆ องค์พระเป็นประกายใส สว่างไสว ไหลเข้าไหลออกอยู่อย่างนั้น ทีนี้นึกครึ้มอก ครึ้มใจ ก็ให้ไปสว่างบนหัวบ้าน ตรงไหล่ ทั้งสองข้างบ้าง ข้างหลังบ้าง เรียกว่า เอาให้ครบทั้ง ๓๖๐ องศาเลยครับ
    พอจิตนิ่งดีแล้ว จะรู้สึกว่า มันสว่างจ้า องค์พระใสดีจนเป็นประกายระยิบระยับ ทีนี้ผมไม่ให้องค์พระไหลแล้วครับ กำหนดให้ท่านนั่งอยู่ตรงหน้า อย่างนั้นในระดับสายตาพอดี พร้อมกับความโพรงของจิต ที่มันรู้สึกได้ เหมือนกับมันสว่างๆไปหมด ลมหายใจแผ่วแทบไม่รู้สึก แขน ขา หายไป (หากอยากรู้ว่า ประสาทกับกายแยกกันรึยังให้ลองกำหนดขยับนิ้วดู ถ้านิ้วยังขยับอยู่แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้า นิ้วไม่ขยับแสดงว่า ประสาทแยกกับกายสิ้นเชิงแล้ว ถือว่าใช้ได้)

    ทรง อารมณ์แบบนั้นให้นานที่สุดครับ จะรู้สึกถึง ความว่าง สว่าง จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีวอกแวกเรื่องอื่น พอจิตมันอิ่มได้ที่แล้ว มันจะคลายตัวของมันเอง ให้ลองกำหนดจิตให้เห็นคำภาวนาใหม่ จับที่ลมหายใจใหม่ พร้อมกับกำหนดภาพพระใหม่ เหมือนซักซ้อม ฌานเพื่อให้เกิด วสี คือความคล่อง ในการ เข้าออก ฌาน


    ผมเข้าใจตามความรู้สึกของผมอย่างนี้ครับ

    ฌาน๑ วิตก วิจาร์ณ ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์
    ๑. วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกว่าหายใจเข้าหรือออก ทั้งคำภาวนา และภาพพระ[FONT=&quot]

    [/FONT]๒. วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราหายใจเข้าหรือหายใจออก[FONT=&quot]
    [/FONT]หายใจเข้าออกยาวหรือสั้นหายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนดลมสามฐานคือหายใจเข้า[FONT=&quot]
    [/FONT]ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อยหายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก[FONT=&quot]
    [/FONT]กระทบจมูกหรือริมฝีปาก[FONT=&quot]
    [/FONT]ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด[FONT=&quot]
    [/FONT]ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไรมีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร[FONT=&quot]
    [/FONT]ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิมภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณ[FONT=&quot]
    [/FONT]ที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำดังนี้เป็นต้น อย่างนี้[FONT=&quot]
    [/FONT]เรียกว่า วิจาร[FONT=&quot]
    [/FONT]๓. ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ[FONT=&quot]
    [/FONT]๔. ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีตซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน[FONT=&quot]
    [/FONT]๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ประการนั้นไม่คลาดเคลื่อน[FONT=&quot]
    [/FONT]

    ข้อที่ควรสังเกตก็คือ ปฐมฌานหรือปฐมสมาบัตินี้
    เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้นหูยังได้ยินเสียง[FONT=&quot]
    [/FONT]ภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนาหรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียงเสียงก็ได้ยิน[FONT=&quot]
    [/FONT]แต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่โดยไม่รำคาญในเสียง[FONT=&quot]
    [/FONT]ทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับจิตเริ่มแยกตัวกันเล็กน้อยแล้วตามปกติจิตย่อมสนใจ[FONT=&quot]
    [/FONT]ในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียงแต่พอจิตเข้าระดับ[FONT=&quot]
    [/FONT]ปฐมฌาน กลับเฉยเมยต่อเสียง คิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติที่ท่านเรียกว่าปฐมสมาบัติ[FONT=&quot]
    [/FONT]ก็เพราะอารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌานที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อยแล้วนั่นเอง

    ซึ่งเรามีครบหมดทุกองค์ประกอบ
    ฌาน๒. คำภาวนาหายไป มีบ้างที่กลับมา ลมหายใจแผ่วๆ ลงภาพพระชัดเจนขึ้น ได้เสียงข้างนอกอยู่แต่ไม่รำคาญ ครับ
    ฌาน๓ ลมละเอียดมากขึ้น คำภาวนาหายไปสิ้นเชิง ภาพพระแจ่มใสขึ้นกว่าเดิมจนเกือบจะเป็นประกายพรึก มีแสงแวปๆบ้าง
    ฌาน๔ แทบจะจับลมหายใจไม่ได้ แขน ขาหายไป เหลือเพียงจิตดวงเดียว สว่างโพลง แต่ไม่รู้สึกแสบตา ภาพพระเป็นประกายพรึก แจ่มใสขีดสุด
    ผมลองกำหนดคำภานาขึ้นมาจดจ่ออยู่กับคำภาวนา สักพัก คำภานาก็หายไปเหลือแต่จิตดวงเดียวเหมือนเดิม คือผมพยายามจะไต่ระดับจาก ฌาน๑-๔เพื่อฝึกความคล่องตัว(วสี) เริ่มสนุกครับ มันส์ดี ไม่รู้สึกเบื่อเลย

    ครั้งแรกๆตอนที่ผม ทรงฌานได้ละเอียดนั้น ผมจะใช้มโนฯไปกราบพระเลยครับ เพราะพอกำหนดให้มาอยู่ ฌานที่ละเอียด มากๆ จิตมันจะเริ่มอิ่มตัว มันจะคลายของมันเองตอนนี้ล่ะครับ ก่อนที่มันจะคลายมากกว่านี้ ผมก็จะรีบกำหนดจิตไปกราบพระบนนิพานเลยเอากำไรไว้ก่อน ฮ่าๆ เดี๋ยวจะขาดทุน ขึ้นไปกราบองค์พระศาสดา ตอนเช้าๆ ท่าน สวยงามเหลือเกิน เป็นแก้วใส แต่งชุด วิสุทธิเทพงามเป็นประกายพรึก พร้อมทั้งอัคร สาวก ซ้ายขวา ที่แต่งชุดเป็นภิกษุปกติแต่ตัวท่านใสเป็นแก้ว แวว วาวและเหล่า พระอรหันต์ที่อยู่ข้างบน ล้วนแต่ ใสเป็นแก้ว กันทั้งสิ้น

    หลังจากนั้นบางคราว ก็เห็นหลวงพ่อฤาษีมายืนยิ้มด้วยความเมตตาให้ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจำได้ว่า ท่านกล่าวกับผมว่า
    ทรงอารมณ์ถูกแล้วลูกพยายามมาบ่อยๆนะ ทรงจิตให้ได้อารมณ์นี้ให้นานที่สุด ผมก็รับคำท่าน ส่วนมาก ท่านทรงจีวร ถือไม้ท้าวมาด้วย

    มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนนั้นผมขอให้ท่านอนุเคราะห์ ขอให้ท่านทรงเครื่องวิสุทธิเทพ แหม๋
    !! อีตอนนี้ล่ะครับ หลวงพ่อเรา หล่อมากครับ หนุ่มเฟี้ยวมาเชียว แล้วขอความอนุเคราะห์ให้ท่านกลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะผมไม่ชิน กับภาพ หลวงพ่อ ตอน ทรงเครื่อง ผมชอบหลวงพ่อตอนหลวงพ่อ ถือไม้เท้า ห่มจีวรนี่ล่ะครับ คุ้นตาดี

    หลังจากนั้นบางครั้งผมจะกำหนดจิต แยกกายเท่าจำนวนพระ แล้วก้มกราบท่าน
    ทั้งหมด ต้องรีบครับ เพราะจิตจะอิ่ม มันจะคลายตัวก่อนหลังจากนั้นแวะไปกราบท่านปู่ท่านย่า แล้วแวะไปนมัสการ พระจุฬามุณีและพระเขี้ยวแก้ว ลักษณะเหมือนงาช้างเล็กๆ ที่ใสเป็นประกาย อยู่ใน ผอบใส แล้วกำหนดจิตกลับมาอยู่ที่ตัว ตอนนี้จิต คลายตัวแล้วครับ พอจิตคลาย เวทนา เริ่มกิน ล่ะ เอาจับอริยสัจ ทันที เริ่มจาก

    ทุกข์ ไอ้ความรู้สึก ปวดนี่ล่ะ ปวดแข้ง ปวดขา ปวดหลัง โอ๊ย สารพัดปวด ตอนนี้ท้องเริ่มร้อง เพราะหิว เริ่มเห็นตัวทุกข์ชัดเจน

    สมุทัย
    เหตุที่ทุกข์ เพราะมันมีร่างกายนี่ล่ะ เจ็บแข้งปวดขา ปวดหลัง อยู่นี่ ก็เพราะร่างกายตัวเดียว นอกจากมันจะทุกข์แล้วมันยังจะแก่ ไม่มีความสวยความงาม มีแต่เจ็บไข้ได้ป่วย แถมยังไม่รู้จักบุญคุณเราอีก เวลามันตายก็ห้ามมันให้ตายไม่ได้


    นิโรธ
    คือสภาพที่หายจากทุกข์ ก็ตอนที่ไปกราบพระบนนิพานนี่ล่ะครับ จิตมันสุขอย่าบอกใครเชียว สงบ สะอาด สว่าง เบาสบายไปหมด
    ใครจะว่าเป็นนิพพานชั่วคราวอะไรก็ช่าง แต่ผมก็ไมสนใจ เอาใจสบายเป็นพอครับ


    มรรค
    อันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทางดับทุกข์ อันประกอบด้วย องค์แปดประการ เริ่มแรกเลย



    สัมมาทิฏฐิ
    เห็นชอบเห็นชอบอะไร[FONT=&quot]? [/FONT]ก็เห็นว่า พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์มีจริงน่ะสิเห็นอริสัจที่ พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วนำมาสั่งสอนให้พวกเราได้รู้อยู่นี่ไง


    สัมมาสังกัปป
    คืออะไรคือการดำริชอบ การคิดชอบนั่นเอง ก็เหมือนกับที่พวกท่านกัลยามิตรทั้งหลายนี้ กำลังมีความคิดที่ถูกต้องแล้ว เช่นการคิดจะทำความดี สั่งสมบุญบารมี ทำตรัยสิกขาให้ถึงพร้อมทำบารมีสิบให้ครบถ้วน แม้ไม่ได้บวชกาย แต่เราก็บวชด้วยใจ


    สัมมากัมมันตะ
    การประพฤติชอบอันนี้ พวกเราก็รู้แล้วไม่ต้องคุยกันมาก บุคคลที่สั่งสมบุญย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควรอยู่แล้ว


    สัมมาวาจา
    คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ ไม่พูดเพ้อเจอ ส่อเสียด โกหก หยาบคาย ผมว่าปิยะวาจา คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเราถูกอบรมเีลี้ยงดูมาแบบไหนนะครับ

    สัมมาอาชีวคือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น ๆ มากเกินไป
    สัมมาวายามะ คือ ความเพียร เพียรจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ ผมว่า หลายคนในที่นี้มีเต็มเปี่ยมแล้ว

    สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นประจำ อันนี้สำคัญนะครับ เป็นตัวยับยั้งอกุศลกรรมทั้งปวง

    สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ อันนี้เราทำกันประจำยิ่งคนได้มโนมยิทอย่างท่านในที่นี้หลายคนๆ ผมว่า คงไม่เคยขาดกัน ยิ่งเจริญมากเท่าไร ยิ่งดีครับ

    สรุปง่ายๆคือ มรรคแปด แยกย่อยได้ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ และเสริมเพิ่มเติมเข้าไปด้วยก็คือการอธิฐานถึงพระนิพพานโดยเร็วด้วยครับ

    ผมคงไม่อธิบายยืดยาวมากมายครับ เดี๋ยวจะกลายว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน คิดว่าหลายๆท่านคงจะทราบดีกันอยู่แล้ว

    บ่นมาซะเยอะเลย ไม่ทราบว่า กัลยามิตรท่านใดพอจะเข้าใจในแนวทางผมบ้างรึเปล่าครับ ผมก็ยังอ่อนหัด เยอะครับ เข้าใจว่า ในบอร์ดนี้ คงจะมีคนที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูง หลายท่าน ยังไงผมก็ขอคำชี้แนะด้วยล่ะกันนะครับ ถ้าหาก ผมทำอะไรผิดพลาดไป

    เอ๊า
    ..!! แวะไปไหนล่ะนั่น กลับมาเรื่องเดิมครับ



    หลังจากที่จิตมันถอนอารมณ์อิ่มมา อันดับแรก จิตเรามีกำลังสูง ให้จับวิปัสสนาเลยครับ จะเอาตัวไหนก็ตามที่ท่านถนัด จะจับขันธ์๕ หรืออริสัจ หรือ วิปัสสนาญาณ๙ ก็ตามอัธยาศัย หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
    หากเราไม่รีบจับวิปัสสนา นั่งแล้วเลิกเลย จะกลายเป็นว่า เราไปเพิ่มกำลังให้กิเลส เพราะ ตอนนี้จิตมีกำลังสูงสุด หากเราคิดในทางอกุศลในตอนนั้น กิเลสมันก็ได้กำลังเพิ่มทันทีเพราฉะนั้นขั้นตอนที่จิตมีกำลังสุดให้ รีบจับวิปัสสนาเลยครับ ส่วนผมก็จับ แต่ไม่รู้ว่า จิตมันจะถอนกิเลสได้มากน้อยเท่าไร เพราะจิตมันยังเลวอยู่มาก มันคบกับกิเลสมาหลายกัปล์ หลายกัลป์ เกินไป ผมเลยต้องใช้ความพยายามมากเป็นเท่าตัว ได้ทีละนิดล่ะหน่อยก็เอาครับ ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยจริงมั้ยครับ ผมจับวิปัสสนาไปเรื่อยๆ นาฬิกาก็ดังหมดเวลาพอดี ผมตั้งเอาไว้เฉพาะนั่งภาวนานั้น ชม.ครึ่งครับ



    และสรุปการภาวนา ผมได้ ใช้กรรมฐานหลายตัวเลยครับ

    ๑ พุทธนุสติ จากการใช้ภาพพระ
    ๒ ธรรมมานุสติ จาก องค์ภาวนา
    ๓ สังฆานุสติ จากที่ไปพบหลวงพ่อบนนิพพาน
    ๔ อานาปานสติ กรรมฐานกองใหญ่สุด สำคัญสุด จับกองไหน ก็เอากองนี้เป็นหลักไว้ครับ
    ๖ กสิณ จากการใช้ภาพพระเป็นองค์กสิณ
    ๗ เทวตานุสติ จากที่ไปพบ ท่านปู่อินทร์และแม่ย่า บนดาวดึงสเทวโลก
    ๘ อุปสมานุสติ จากที่ไปกราบพระบนนิพพาน (ผมมักใช้มโนไปนิพพานมากกว่าที่อื่น ครับ นรกไม่ชอบเพราะอึดอัด สวรรค์ก็เฉยๆ นอกจากไปกราบท่านปู่ท่านย่า กราบพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณีที่อื่นก็ไม่ได้ไป)
    ๙ กายคตานุสติ จากที่จับ อริยสัจ ว่าร่างกายมันเป็นทุกข์
    เห็นไหมครับ วันๆหนึ่งๆ ได้กรรมฐานหลายกองเลย
    ๐ มรณานุสติ จากการพิจรณาร่างกายมันต้องตาย ต้องเน่าต้องเปื่อยผุพัง

    เล่ามายืดยาวแล้ว ทั้งหมดก็คือ การภาวนา ของผมในทุกวันตอนเช้า ตลอดระยะเวลา ๕ ถึง ๖ เดือนที่ผ่านมานี้ มีบางครั้งผม เหนื่อย ผมท้อ เวลาที่ อกุศลกรรมเข้าแทรก ผมจะคิดทันทีว่า "
    มารมาแล้ว" มารมาทำให้ท้อ ทำให้ผมเลิกทำความเพียร พอคิดได้แบบนี้มาร ก็แจ้นหนีชั่วคราว เพราะผมรู้ทัน แต่เขาไม่ไปไหนหรอกครับ มารเขามีบททดสอบเยอะ เขามาได้หมด รักโลภ โกรธ หลง เขาขยันออกข้อสอบเราจะตาย ถ้าเราขาดสติเมื่อไร จบกันครับ อย่าเสียรู้มารเชียว พระพุทธองค์ให้ฝึกสติก็เพราะเหตุนี้ล่ะครับ ผมเลยต้องเร่งสปีดให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่า ชีวิตมันจะยืนยาวเท่าไร เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ถ้าเกิดผมตายวันนี้พรุ่งนี้ ผมจะได้ไม่เสียชาติเกิดที่ได้เกิดมาเป็นคน ได้โอกาสพบพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาคำสอนของสมเด็จพระบรมครู ได้เป็นลูกหลวงพ่อ ก็เป็นบุญกุศลที่เปรียบไม่ได้แล้ว

    สรุปแล้วผมใช้เวลา ในการ ปฏิบัติธรรม ในรอบเช้า ประมาณ ๒ชม.ครับ

    ส่วนรอบเย็นนั้นก็คล้ายๆกันครับ เริ่มตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงเที่ยงคืนบ้าง หรือตามแต่โอกาส แต่จะพยายามไม่ให้ขาดครับ


    ผมจำได้ว่า ตอนที่ผมได้มโนฯใหม่ๆ ขึ้นไปกราบหลวงพ่อบนโน้น หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "ลูกหลานของพ่อ พ่อจะตามมาให้หมด จะเอามาอยู่บนนี้ให้หมด หรืออย่างน้อยๆก็ต้องไม่ตกนรก" อันนี้ล่ะครับ ที่ทำผมปิติ จนกลั้นน้ำตาไม่ได้ หลวงพ่อท่านช่างมีเมตตาเหลือเกินครับ

    ที่คุณได้ฝึกมโนฯนั้น เป็นกุศลใหญ่เลยนะครับ เพราะหลวงพ่อกล่าวว่า หากคนไ่ม่มีของเก่า ไม่มีทางที่จะได้มโน้ฯเป็นอันขาด เพราะมโนฯ ต้องฝึกกันเป็ํนแสนๆชาติ และที่สำคัญคุณต้องเคยเป็นลูกหลานของหลวงพ่อแน่นอนครับ เหมือนกับผม ที่อดีตชาตินั้น เคยเป็นทหารรับจ้างของหลวงพ่อ สุดท้ายแล้ว ก็ไปสมัครร่วมรบกับท่านโดยที่ไม่เอาค่าจ้างอะไร


    ลูกหลานหลวงพ่อทุกคน จะเก่งเรื่องฤทธิ์ครับ สังเกตุให้ดีจะได้มโนฯแทบทั้งนั้น และมโนฯก็เป็นอภิญญาเล็ก ที่จะทำให้เป็นบาทไปสู่ อภิญญา ๕ หากตั้งใจก็ทำได้ครับ


    ลูกหลานหลวงพ่อมีสองแบบ ก็คือ พวกที่เก่งจนไปนิพพานได้ กับพวกที่เก่งจนต้องไปอยู่นรกครับ เนื่องมโนฯหากใช้ผิด ก็จะคิดว่ากูนี่เจ๋ง กูนี่แน่ เที่ยวไปทำอะไรที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำให้เสียเวลาในเข้าถึงมรรผล การใช้มโนฯที่ถูกต้องนั้น ต้องน้อมเข้ามาในใจของตน ว่านรกสวรรค์ พรหม นิพพานมีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้ามีจริง และอย่าลังเลสงสัยในการทำความดี


    ผมเคยอ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านกล่าวว่า ลูกหลานที่อธิฐานตามหลวงพ่อนั้น หากจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ต้อง ทำความเพียรแบบเร่งรัด และต้องทุกข์กว่าคนอื่นถึง ๗เ่ท่า เพราะอย่างที่บอก หลวงพ่อท่านเหลืออีกเพียง ๗ชาติเท่านั้นที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านหักเข้านิพพานเลยดังนั้นบารมีท่านจึงมาก พวกเราๆที่อธิฐานตามกันมา จึงเรียกว่า บารมีเข้าขั้นปรมัตถ์ทั้งหมดครับ เพียงแต่จะเร่งรัดตัวเองได้แค่ไหน หาก ไม่ขี้เกียจก็จบกิจในชาตินี้


    ลูกหลานหลวงพ่อ ที่่เกิดมาไม่ทันยุคของท่าน หากได้ฟัง ได้อ่าน คำสอนของท่าน จะรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกอยากพบ รู้สึกอยากปฏิบัติ ตามแนวปฏิปทาของท่าน ให้รู้เอาไ้ว้เลยว่า คุณคือส่วนหนึ่งของลูกหลานท่านครับ และท่านก็จะเอาคุณไปอยู่ด้วยแน่นอน หากคุณตั้งใจจริงและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ ผมกล้ารับประกันเลยครับ หากคุณปฏิบัติตามแนวคำสอนของท่าน อย่างจริงจัง ไม่เกินหนึ่งเดือน ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ ลองดูสิครับ ไหนๆก็เกิดมาแล้ว ซักครั้งในชีวิตจะเป็นไรไป

    ผมไม่ได้บอกให้คุณเชื่อ แต่ผมต้องการให้คุณพิสูจน์เอง



    ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2012
  16. poonoy

    poonoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +219
    ขอโทษนะคะ ขอถามหน่อยค่ะ คำนี้ ฤา ฤา อ่านว่าลือ ลือ ใช่มั้ยค่ะคุณโมกทรัพย์ ตอนสวดจะอ่านไม่ค่อยถูกว่าใช่หรือเปล่าค่ะ
     
  17. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    ถูกต้องแล้วครับ

    โมทนาในกุศลกรรมด้วยครับ
     
  18. poonoy

    poonoy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +219
    ขอบคุณค่ะ เพราะตอนนี้สวดมนต์อยู่ทุกเช้าค่ะ แต่สมาธิยังทำไม่ได้เลยค่ะ ง่ายๆๆก็คือขี้เกียจนั่งค่ะ เพราะเคยนั่งแล้วชอบคิดเรื่อยเปื่อยอ่ะค่ะใจมันไม่เคยนิ่งเลยค่ะ ถ้าอยากนั่งสมาธิได้นี่ต้องทำยังไงค่ะ
     
  19. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,851
    จิตฟุ้งก็จับลมหายใจ กับคำภาวนาไว้ครับ เพราะ อานาปานสติ แก้ ตัวฟุ้งได้ดี

    หรือก่อนจะเจริญกรรมฐาน ให้สวดมนต์ก่อน เพื่อให้จิตมันอ่อน มันเชื่อง มันจะได้โยงเข้าหาสมาธิได้ครับ แต่ที่สำคัญนะครับ อย่าลืม ต้องสมาทานศีลด้วย อย่างน้อย เราก็ศีลบริสุทธิ์ระหว่างปฏิบัติกรรมฐานล่ะครับ แม้ระหว่างวันจะไม่บริสุทธิ์ก็ตาม การสมาทานศีลก็เหมือนเราไปตั้งใจเริ่มต้นสร้างกรรมดีไปทับกรรมชั่วใหม่ เราตั้งใจจะทำความดี อันนี้ก็มีส่วนช่วยเยอะนะครับ ลองดูครับ

    หรืออีกวิธี จะนับก็ได้ครับ อย่างพุทโธ หนึ่ง พุทโธ สอง พุทโธสาม เอาจนถึงสิบ ถึงร้อย ก็ได้ หลังจิตนิ่งแล้วค่อยมาเริ่ม ทำแบบธรรมดาครับ

    กรรมฐานนั้น เป็นบุญใหญ่ครับ เพราะเป็นการให้ธรรมะกับตน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ต้องหมั่นให้ธรรมะตนเองบ่อยๆนะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  20. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาบุญแก่เจ้าของกระทู้ด้วยครับ...ผมก็เคยหลงผิดครับแต่ตอนนี้กลับตัวกลับใจใหม่แล้ว หันหน้าเข้าหาธรรมะ สวดมนต์ไหว้พระอ่านหนังสือธรรมะก่อนนอนทุกคืน เวรกรรมมีจริงครับ
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
    ...ทุกสิ่งอยู่ที่จิต ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า...
    ...ปลูกพืชฉันใด ย่อมได้ผลฉันนั้น...
     

แชร์หน้านี้

Loading...