เรื่องเด่น . . น้ำ ใ บ ย่ า น า ง . . คลอโรฟิลวิเศษช่วยชีวิต (Chlorophyll Drink)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย หนุกจังเลย, 15 มิถุนายน 2012.

  1. หนุกจังเลย

    หนุกจังเลย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +958
    . . น้ำ ใ บ ย่ า น า ง . . คลอโรฟิลวิเศษช่วยชีวิต (Chlorophyll Drink)

    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tiliacora triandra (Colebr.) Diels
    ชื่อสามัญ : Bamboo grass
    วงศ์ : Menispermaceae

    มาจากหนังสือของหมอเขียว ใจเพชร กล้าจน
    ย่านาง เป็นหนึ่งในสมุนไพร ที่หมอเขียวแนะนำไว้ว่ามีฤทธิ์เย็น
    มีคุณสมบัติดีเด่นนานับประการ
    รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากภาวะร้อนเกินของร่างกายได้ดีนัก
    ขอยกตัวอย่างโรคและอาการที่เกิดจากภาวะร้อนเกินในร่างกายได้แก่

    โรคหัวใจ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ตับอักเสบ
    กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร
    มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วในไต
    นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน
    ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันสูง เบาหวาน

    ฉันเริ่มจากกระเพาะปัสสวะอักเสบ แล้วอาการก็เพลินพัฒนาเป็นกรวยไตอักเสบ
    ไทรอยด์เป็นพิษด้วยนะ ริดสีดวงทวารก็มีนิดหน่อย
    ไซนัสอักเสบน่ะโรคเก่าแก่ดั้งเดิม เป็นๆ หายๆ
    และอื่นๆ อีกอย่างละกระจุ๊กกระจิ๊ก
    ซึ่งทั้งหลายเหล่านั้น มีผลทำให้ฉันอ่อนเพลียง่าย หายใจไม่เต็มอิ่ม
    มีปัญหาเรื่องปัสสาวะถี่ ปัสสาวะขัด ปวดเมื่อยเนื้อตัวตลอด
    ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปวดข้อเท้า และลามปามไปปวดใจ 55

    ตอนเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบน่ะเลี่ยงการกินยาแผนปัจจุบันไม่ได้
    อาการบางอย่างก็ต้องสกัดดาวรุ่งรักษาให้ทันท่วงที ด้วยการกินยาตามแพทย์สั่ง
    ดื่มน้ำย่านางเป็นประจำควบคู่ไปด้วย ( จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ได้กินยาแพทย์แล้ว )

    เห็นผลดีของการดื่มน้ำย่านางอย่างชัดเจน แนะนำเพื่อนและคนใกล้ชิด
    ซื้อหนังสือให้อ่าน ส่งลิงค์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปให้
    ต่างก็บอกตรงกันว่า ได้ผลดีมาก

    ฉันใช้ย่านางประมาณ 15 - 20 ใบ เด็ดเป็นใบๆ ล้างน้ำให้สะอาดค่ะ
    บดหรือโขลก ให้ช้ำๆ ละเอียดพอประมาณ หรือบางคนก็ใช้วิธีขยี้ค่ะ
    ใส่น้ำดื่มอุณหภูมิปกติ ประมาณ 1 ลิตร บีบย่านางให้หมดเมือกเขียวๆ แล้วกรองเอาแต่น้ำค่ะ
    บีบได้ที่ ใบย่านางจะแห้งๆ ประมาณนี้นะคะ หรือบางคนอาจบีบคั้นได้แห้งกว่านี้อีก
    เรียบร้อยค่ะ ได้น้ำใบย่านาง อุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และสารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมหาศาล
    ใส่ตู้เย็นไว้ดื่มได้ประมาณสามวันนะคะ แต่ถ้าจะให้ดี ทำทุกวันสดๆ ใหม่ๆ ดีกว่าค่ะ
    ดื่มเวลาท้องว่าง หรือ ดื่มแทนน้ำก็ยังไหว
    สดชื่นทั้งกายใจนะคะ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มิถุนายน 2012
  2. หนุกจังเลย

    หนุกจังเลย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +958
    น้ำคลอโรฟิลล์

    <table border="0" cellpadding="2" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td>โดย ปกติแล้วร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์วันละประมาณ 5 มิลลิกรัม จากการบริโภคผักใบเขียว สำหรับการบริโภคคลอโรฟิลล์ในรูปอาหารเสริม ปริมาณที่บริโภคควรยึดจากคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตแล้ว โดยที่ผู้บริโภคบางกลุ่ม ได้แก่ เด็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค</td></tr></tbody></table>
    ที่ สำคัญ ผู้บริโภคควรต้องพิจารณาความจำเป็นในการบริโภค ความสมประโยชน์ที่ได้รับกับเงินที่จะต้องเสียไปด้วย ทั้งนี้ หากพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือสงสัยว่าจะเป็นการหลอกลวง แจ้งเบาะแสให้อย.ทราบผ่านทางสายด่วน อย.1556 หรือโทรศัพท์หมายเลข 0-2590-7354 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จาก การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ ศ.ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ ชาวเยอรมัน เจ้าของรางวัลโนเบลปี ค.ศ.1930 ซึ่งพบว่าสารคลอโรฟิลล์เป็นสารสีเขียวจากพืชที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีใกล้ เคียงกับสารเฮโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงของมนุษย์มาก แตกต่างกันเพียงสารเคมีที่เป็นโครงสร้างในส่วนของอะตอมที่คลอโรฟิลล์เป็น อะตอมของธาตุแมกนีเซียม ส่วนของเฮโมโกลบินเป็นอะตอมของธาตุเหล็ก ซึ่งมีหน้าที่ในการจับก๊าซออกซิเจนเพื่อพาไปเนื้อเยื่อหรือเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อสร้างพลังงานต่อไป
    เมื่อ เราได้รับคลอโรฟิลล์เข้าไปในร่างกายก็เปลี่ยนสารคลอโรฟิลล์ให้เป็นสารตั้ง ต้นที่ตับ แล้วถูกส่งต่อไปสร้างเม็ดเลือดแดงต่อไขกระดูก ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ปกติพบว่าร่างกายมนุษย์เม็ดเลือดแดงจะถูกทำลายตลอดเวลาประมาณ 2-2.5 ล้านเซลล์ต่อวัน
    ความรู้ดังกล่าวนำสู่การพัฒนาน้ำคลอโรฟิลล์เป็นเครื่องดื่มสีเขียวเพื่อสุขภาพ โดยแยกเป็น

    <table border="0" cellpadding="2" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td> </td><td>1.ระบบเลือด บำรุงเลือด ล้างพิษ ทำลายอนุมูลอิสระในเม็ดเลือด แก้โรคโลหิตจาง ลดความดันโลหิตสูง

    2.ระบบทางเดินอาหาร ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก สมานแผลในกระเพาะอาหาร กระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัว

    3.บำรุงปาก ฟัน ระงับกลิ่นปาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการโรคเหงือกอักเสบ

    4.รักษาแผลต่างๆ ทำหน้าที่ฟื้นฟูเนื้อเยื่อของแผลทุกชนิดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

    5.ระงับกลิ่น กลิ่นเหม็นจากแผลเรื้อรัง แผลในช่องปาก กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลม หรือกลิ่นตัวแรงมาก

    6.ควบ คุมสมดุลของแคลเซียมในผู้บริโภคเนื้อมากเกินไปซึ่งจะขาดความสมดุลของธาตุ แคลเซียม ทำให้ป่วยเป็นโรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ

    7.ป้องกันโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษโดยสะสมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
    </td></tr></tbody></table>
     
  3. หนุกจังเลย

    หนุกจังเลย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +958
    ความจริง!! เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เกี่ยวกับน้ำคลอโรฟิลล์ มาพักใหญ่ๆ สงสัยอยู่ครามครัน ว่ามันอะไรกัน

    เพราะเรียนมาทางนี้ (ที่เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์) โดยเฉพาะ จากครั้งแรก เดินงานขายของ ก็มีคนขายยื่นใบปลิว โฆษณาน้ำคลอโรฟิลล์มาให้

    แถมพูดถึงสรรพคุณอันหลากหลาย ไอ้เราคนฟังก็ ได้แต่อึ้ง โอ้ เป็นไปได้ขนาดนี้กันเลยเหรอ ครั้งต่อๆ มา ห่างกันเป็นเดือน

    กระแสคลอโรฟิลล์ดังจนฉุดไม่อยู่ สรรพคุณมากมายยังกะกินแล้ว ร่างกายจะแสนสะอาดซะงั้นล่ะ อดรนทนไม่ไหว

    เขียนสักหน่อยเป็นไร ไหน ๆ ก็เรียนมาทางที่เกี่ยวกับพืชแล้ว ข้อมูลแรก คือการโทรถามเพื่อนที่เป็นหมอ

    ทางการแพทย์เขามองยังไงเรื่องน้ำคลอโรฟิลล์ จะเขียนอะไรก็ให้มันมีข้อมูลยืนยันได้สักหน่อย

    เอาล่ะ มาฟังที่เขาโฆษณากันก่อนดีกว่า (ขอยกตัวอย่างมาให้ดู) ขอย้ำ ว่านี่คือการโฆษณา!!!!

    ประวัติการค้นคว้า ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Melvin Calvin ได้รับรางวัลโนเบล

    ในการค้นคว้าความสัมพันธ์ของคลอโรฟิลล์ในใบพืช มีส่วนสำคัญในขบวนการสังเคราะห์แสง ในปี 1915

    Dr.Richard Wilstatter ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของคลอโรฟิลล์

    จากนั้นเพียง 15 ปี Dr.Hans Fisher ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมเม็ดเลือดแดง (Heme)

    มีโครงสร้างเหมือนคลอโรฟิลล์ จากงานวิจัยสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีม

    ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมาขึ้น พลิกไปอีกหน้า ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ของคลอโรฟิลล์

    ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์

    ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลในร่างกาย ให้ความสดชื่น ผิวพรรณสดใน ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

    มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ แล้วคราวนี้เรามาดู

    ความจริงเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ Richard Willstaetter ค้นพบเม็ดสีหลายชนิดในพืชรวมทั้งสีแดงในเลือดของมนุษย์

    จากการริเริ่มงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1915 ซึ่งนับว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์

    จากนั้น Hans Fischer นักชีวเคมีชาวเยอรมัน พบว่า คลอโรฟิล์ดเป็นพิคเมนท์สีเขียวที่พบในพืช

    และเฮมินเป็นพิคเมนท์สีแดงที่อยู่ในฮีโมโกบิลในเม็ดเลือดแดงของมนุษย์ จากผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับรับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี คศ 1930

    แต่เสียชีวิตก่อนที่จะสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ ปี คศ 1960 Robert Burns Woodward

    สามารถสังเคราะห์คลอโรฟิลล์เป็นผลสำเร็จ ต่อจากนั้นมา จนถึงปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความรู้เกี่ยวกับคลอโรฟิลล์และบทบาทที่

    สำคัญในพืช หากต้องการค้นเพิ่มเติม สามารถค้นได้จากเวบไซต์ของผู้ที่ได้รับราววัลโนเบล

    (ซึ่งไม่รวมงานวิจัยอีกมหาศาลที่ นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้รับรางวัลโนเบลได้เผยแพร่ผลงานไว้)

    Reference: Chloroplast model from chloroplast คลอโรฟิลล์ (chlorophyll)

    เป็นเม็ดสีที่พบในพืช ผัก สาหร่ายสีเขียว ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นน้ำตาลกลูโคส

    โดยต้องทำงานร่วมกับโปรตีนชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในพืช ปกติคลอโรฟิลล์จะอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า

    คลอโรพลาส (chloroplast) คลอโรฟิลล์มีโครงสร้างโมเลกุลของ porphyrin

    ซึ่งคล้ายกับ heme ใน hemoglobin ในเลือดของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงความคล้ายคลึงกันของโมเลกุล

    โดยอะตอมกลางของคลอโรฟิล์ดจะเป็นแมกนีเซียม ส่วนอะตอมกลางของ heme เป็นเหล็ก

    คลอโรฟิล์ดจะทำหน้าที่ได้ก็ต้องอยู่ในพืชที่มีชีวิตและทำงานร่วมกับโปรตีน อื่นๆที่อยู่ในเซลล์พืช

    ทำให้มนุษย์และสัตว์ที่บริโภคผักสีเขียวได้รับสารอาหารแมกนีเซียมไปด้วย

    และไม่ต้องสงสยว่าเมื่อดื่มคลอโรฟิล์ดเข้าไปจะทำให้คุณมีความสามารถในการ สังเคราะห์แสงได้

    เพียงกรดในกระเพาะอาหารก็เพียงพอจะทำให้คลอโรฟิล์ดถูกย่อยไปแล้ว เอาล่ะ มาดูแต่ละประเด็นกัน

    ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย การวิจัยทางทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์แค่บอกว่าโมเลกุลคล้ายกัน

    ไม่ได้บอกว่าทำหน้าที่เหมือนกัน เหมือนกับ การที่นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าเหล็กเป็นอะตอมกลางของเม็ดเลือดแดง

    ก็ไม่ใช่ว่าเราจะกินเหล็ก โดยการแทะ แท่งเหล็กได้ จริงไม๊ ในส่วนร่างกายมนุษย์ เม็ดเลือดแดงถูกสร้างจากไขกระดูก

    ดังนั้นการที่กินน้ำคลอโรฟิลล์เข้าไป มันอยู่ในระบบย่อยอาหาร สารอาหารที่ถูกย่อยจะต้องถูกย่อยแล้วดูดซึมผ่านกระแสเลือด

    ในรูปของน้ำตาลและแร่ธาตุ ส่วนกระแสเลือดเป็นอีกระบบนึง ซึ่งในคลอโรฟิลล์ ไม่มีโมเลกุลของเหล็ก การเพิ่มปริมาณการสร้างเม็ดเลือด

    ทำได้โดยกินธาตุเหล็ก สังเกตได้จาก เมื่อเราบริจาคเลือด ทางสภากาชาดไทย จะให้ซองวิตามินเม็ดสีแดงๆ

    ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ (สภากาชาดไทย ไม่ได้แนะนำให้คนบริจาคเลือดกินน้ำคลอโรฟิลล์นี่นา)

    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ อันนี้ก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ปกติถ้าร่างกายแข็งแรง

    ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ ร่างกายจะมีสมดุลของตัวเองอยู่แล้ว การนำพาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย

    เป็นหน้าที่ของปอด และเม็ดเลือดแดง ดังนั้นดูจากความเป็นไปได้ คลอโรฟิลล์ก็ยังไม่เกี่ยวกับขบวนการนี้อยู่ดี

    ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ ไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ให้ความสดชื่น

    ผิวพรรณสดใส ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น หลาย ๆ ประเด็นตรงนี้ ขออธิบายแบบรวมยอด

    เท่าที่พอทราบ น้ำคลอโรฟิลล์ที่เขาขายจะเน้นว่าให้ดื่มเป็นจำนวนเท่าไรต่อวัน เช่น 1-2 ลิตร

    ปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน ทางสาธารณสุขก็บอกไว้จนเป็นที่รู้กัน ว่าควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

    ซึ่งน้ำ ดื่มเท่าไร ก็ช่วยขจัดพิษและล้าง ทำความสะอาดร่างกายได้มาก ทำให้ระบบขับถ่ายไหลเวียนดี

    แน่นอนว่าทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น แล้วร่างกายจะสดชื่นขึ้นไหม นึกถึงเวลาร้อนๆ

    แล้วเราได้ดื่มน้ำเย็นๆ มันจะสดชื่นแค่ไหน เมื่อระบบขับถ่ายดี ทั้งทางผิวหนังและทางลำไส้

    แน่นอนว่าร่างกายจะมีระบบที่ดี สุขภาพที่ดี ย่อมแสดงออกมาทางผิวหนัง และร่างกาย

    เหมือนที่เคยได้ยินกันว่า You are what you eat มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย


    เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ ไม่เคยมีรายงานว่า คลอโรฟิลล์เป็น antibacteria และเสริมภูมิต่างทานให้กับร่างกาย

    แต่หากมองในมุมที่ว่า เมื่อร่างกายแข็งแรง ทุกระบบของร่างกายทำงานอย่างสมดุลและสอดคล้องกัน

    ร่างกายย่อมมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา และนั่นหมายถึง ร่างกายมีความสามารถที่จะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีด้วย

    เอาล่ะ อ่านมากันจนตาแฉะ ไม่รุจะงงไหม แต่คนเขียนเริ่มตาลาย หากจะหาน้ำคลอโรฟิลล์กินล่ะก็

    น้ำใบบัวบกก็มีค่ะ ทำกินเองง่ายๆ ผักสด ผลไม้สด สีเขียวๆ ได้ใยอาหารและวิตามินอีกด้วย

    สรุปว่ารักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย และรับประทานผักและผลไม้เยอะ ๆ

    ร่างกายก็จะแข็งแรงค่ะ ที่สำคัญ จิตใจที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ถ้าจิตใจดี ร่างกายดี คงไม่ต้องถามหายาวิเศษจากไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2012
  4. สุทธิมา

    สุทธิมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    784
    ค่าพลัง:
    +2,119
    อนุโมทนาสาธุ
    สำหรับสาระดีๆ ที่นำมาฝากค่ะ
     
  5. หนุกจังเลย

    หนุกจังเลย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +958
    ใบย่านาง สมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง,
    ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
    วิธีทำน้ำย่านาง ใช้ใบย่านาง 30-50ใบ ต่อน้ำ4ลิตรครึ่ง ผสมใบเตย-10ใบ,
    หญ้าม้า10ใบ(ใบคล้ายใบอ้อย มีรสหวาน), ใบอ่อมแซบ(เบ็ญจรงค์)ประมาณ1หยิบมือ(10ยอด)
    (หากมีแต่ใบย่านางกับใบเตย อย่างอื่นหาไม่ได้ 2อย่างก็ใช้ได้ครับ) ขยี้กับน้ำสะอาด
    หรือปั่นด้วยเครื่องมือหมุน หรือใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดเกียว (ถ้าใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ที่ใช้ใบมีดปั่น ให้ใส่น้ำแข็ง5-7ก้อน
    เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในขณะปั่น ความร้อนจะทำลายเอ็นไซท์)ใส่น้ำเกือบเต็มโถปั่น
    ปั่นประมาณ30วินาที หรือ45วินาที แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกงตาถี่ (ที่ร่อนแป้งด้ามพาสติก)
    กากนำมาปั่นซ้ำ ได้อีก7-8ครั้ง หรือจนกว่าจะหมดเขียว
    กรองเอาแต่น้ำสีเขียว ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้4-5วัน
    ถ้ารสชาดเปลี่ยนสรรพคุณจะเริ่มเสื่อมแล้ว ถ้าเสียแล้วจะเริ่มมีรสเปรี้ยว
    ถ้าต้องการให้หายเร็ว ดื่มวันละ1.5ลิตรขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานน้ำตาลจะลดลง เหมือนคนปกติทั่วไป
    คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย
    เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน
    เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกาย
    จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก) น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด
    แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล มีอาการอ่อนเพลียง่าย
    จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว
    ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ
    และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้
    อาการอ่อนเพลียจึงหายไปครับ
    เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ด้วยตัวของผู้ที่เป็นเบาหวานเอง
    ใบย่านาง ชนิดเดียวกัน ที่ชาวอีสานใส่แกงหน่อไม้ครับ
    คนปกติที่ไม่เป็นเบาหวานก็ดื่มได้ครับ ช่วยป้องกันโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่น โรคอ้วน,
    ความดัน,เบาหวาน,หัวใจ,มะเร็ง,ตับ,ไต,ภูมแพ้, นอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
    จากประสบการณ์อาจารย์อาจารย์ของผมท่านหนึ่ง เป็นโรคเบาหวานมานาน30ปี
    ดื่ม1-2สัปดาห์ และกินอาหารธรรมชาติแบบหมอเขียว น้ำตาลในเลือดวัดแล้ว
    ไม่เกินร้อย เวลานี้หยุดกินยาอินซูลินแล้ว หันมาดื่มน้ำใบย่านางเขียวทุกวันครับ
    อาจารย์ของผมได้ความรู้นี้จาก หมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) การแพทย์วิถีพุทธ
    ผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบยานางเขียว ก้อนมะเร็งจะฝ่อเล็กลง หรือจากก้อนมะเร็ง
    กลายเป็นแค่ถุงน้ำ
    เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดื่มน้ำย่านาง
    ผู้ที่เป็นมะเร็ง, เบาหวาน,โรคอ้วน,ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
    เช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหาร รสจัด เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,
    เค็มจัด,มันจัด,อาหารปิ้ง,ย่าง,ทอด,อบด้วยความร้อนสูง เพราะอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
    จะทำให้โรครุนแรงขึ้น โบราณท่านว่าเป็นของแสลงครับ
    (((พืชผัก, ผลไม้,เนื้อสัตว์ ที่มีสารเคมีตกค้าง มีพิษ ฤทธิ์ร้อนมาก)))

    คนที่ดื่มแล้ว ร่างกายเกิดภาวะเย็นเกินไป ควรเติมน้ำร้อนหรือนำไปต้มก่อน แล้วดื่มตอนอุ่นๆครับ

    ในช่วงที่ต้องการลดความอ้วน ลดพุง ลดไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายมานาน
    ต้องงดอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน กินแต่อาหารที่มีฤทธิ์เย็น เพื่อร่างการจะได้เผาผลาญไขมันเก่า
    ให้เป็นพลังงานได้เต็มที่ครับ
    ใช้ได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชายครับ สัปดาห์แรก ลดได้3-4กก.ได้สบายๆ
    ถ้าเน้นอาหารธรรมชาติ ฤทธิ์เย็น พืชผักให้มากๆ(ผักปลอดสารพิษ)
    ปรุงแต่งน้อย และเน้นรสจืด ใส่เกลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
    กินผักสด, ลวก,หรือต้มไฟปานกลาง,นึ่ง ไม่ใช้ผงชูรส, งดการอาหารผัด,
    งดอาหารที่ใส่น้ำมันทุกชนิด งดขนมหวานทุกชนิด ร่างกายจะได้
    นำไขมันที่สะสมมาเผาผลาญให้เป็นพลังงานแทนครับ
    ส่วนข้าว เป็นข้าวขาว หรือข้าวกล้องก็ได้ครับ ถ้าเป็นข้าวกล้องจะเยี่ยมมากครับ
    ถ้ารู้สึกเหนื่อยไม่มีแรง ควรดื่มน้ำผึ้งเล็กน้อย หรือน้ำแตงโม(แตงโมปลอดสารพิษ)
    ***อาหารที่ปรุงด้วยไฟแรงๆ จะเพื่มฤทธิ์ร้อนให้กับอาหารมากยิ่งขึ้น
    จึงต้องปรุงด้วยไฟปานกลางครับ

    ในช่วงปกติ ความจริงร่างกายของคนเรา ต้องการทั้งอาหารฤทธิ์ร้อน และฤทธิ์เย็น
    อย่าง สมดุลตามฤดูกาล แต่เนื่องจากเราอยู่ในภูมิประเทศที่ร้อน จึงต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็นมากกว่าฤทธิ์ร้อน ร่างกายจึงจะรู้สึกสบาย เบากาย และมีกำลัง
    ถ้าอยู่ในเมืองหนาวจัด ต้องได้อาหารฤทธิ์ร้อน ร่างกายจึงจะรู้สึกสบาย เบากาย
    และมีกำลัง
    อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,กระเทียม,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหารรสจัด
    เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,เค็มจัด,มันจัด,อาหารปิ้ง,ย่าง,ทอด,อบด้วยความร้อนสูง,
    ผงชูรสมีฤทธิ์ร้อนจัดมาก ร้อนหลายสิบเท่าของอาหาร ที่เป็นพืชผักที่กล่าวมา
    จำง่ายๆ อาหารใดมีรสเผ็ด,ร้อน,ซ่า(เช่นข่า) หรือกินแล้วหิวน้ำมาก อาหารนั้นมีฤทธิ์ร้อน
    อาหารใดมีรสจืด,เย็น,ขม,หวานอ่อนๆ หรือตรงกันข้ามกับอาหารฤทธิ์ร้อน
    กินแล้วไม่ค่อยอยากน้ำ หรือ(ดื่มน้ำแล้ว น้ำไม่อร่อยเลยเช่น ดื่มน้ำหลังกินแตงโม)
    แสดงว่า อาหารนั้นมีฤทธิ์เย็น
    ตัวอย่างของอาหารกลุ่มฤทธิ์เย็นมีดังนี้
    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต : น้ำตาล เส้นขาว (เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน) วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง(ยกเว้นข้าวกล้องแดง) ฯลฯ

    กลุ่มโปรตีน : ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู ฯลฯ

    กลุ่ม ผัก : ผักบุ้ง ตำลึง ผักหวาน บวบ ฟัก แตงต่างๆ สายบัว หยวกกล้วย ยอดฟักแม้ว มะรุม หญ้าปักกิ่ง ว่านหางจระเข้ ถั่งงอก บร็อกโคลี หัวไชเท้า ฯลฯ

    กลุ่ม ผลไม้ : มังคุด มะยม แตงโม แตงไทย แคนตาลูป สับปะรด ส้มโอ ส้มเช้ง กล้วยน้ำว้า มะขามดิบ น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว ลางสาด สตอรว์เบอร์รี่ ฯลฯ

    แม้รสชาติจะต่างกัน แต่อาหารฤทธิ์เย็น อาหารฤทธิ์ร้อน มีหลักการเดียวกัน คือปรับสมดุลร่างกาย
    ดังคำกล่าวที่ว่า "กินแล้วรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง"

    ต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลจากหนังสือ ย่านาง ร้อน-เย็น ไม่สมดุลย์ ความลับฟ้า
    การวิเคราะห์อาการ ว่าเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบใด
    อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
    1. ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา หนังตาตก ขนคิ้วร่วง ขอบตาคล้ำ
    2. มีสิว ฝ้า
    3. มีตุ่ม แผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ
    4. นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
    5. ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
    6. ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว
    7. มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง พบรอยจ้ำเขียวคล้ำ
    8. ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
    9. กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ
    10. ผิวหนังผิดปกติ เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสีย
    11. ตกกระสีน้ำตาล หรือสีดำตามร่างกาย
    12. ท้องผูก อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก
    13. ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมากๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2
    14. ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีท้องอืดร่วมด้วย (ท้องอืดโดยทั่วไปแล้วเป็นภาวะเย็นเกิน)
    15. มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน
    16. เป็นเริม งูสวัด
    17. หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลือง หรือเขียว บางทีมีเสมหะพันคอ ไอ
    18. โดยสารรถ มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง
    19. เลือกกำเดาออก
    20. มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ
    21. เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด
    22. เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาล หรือดำคล้ำ อักเสบบวมแดงที่โคนเล็บ เล็บขบ
    23. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับหรืออากาศร้อน หรือเปลี่ยนอิริยายถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง
    24. เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย
    25. อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย
    26. รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก
    27. เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมากๆ
    จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน
    28. เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง
    29. หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง
    30. สะอึก
    31. ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า
    32. เกร็ง ชัก
    33. โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ เนื้องอก มะเร็ง โรคเกาต์ เบาหวาน ความดัน-โลหิตสูง ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก กระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และพิษของแมลงสัตว์กัดต่อย
    โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน แก้ด้วยอาหาร ผัก-ผลไม้,สมุนไพร ฤทธิ์เย็น
    ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
    1. ไข้สูงแต่หนาวสั่นหรือเย็นมือเย็นเท้า
    2. ปวดหัวตัวร้อนร่วมกับท้องอืด
    3. ปวด/บวม/แดง/ร้อนร่วมกับมึนชาตามเนื้อตัวแขนขา
    ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกันแก้ด้วยสมุนไพรฤทธ์เย็น แต่นำไปต้ม
    หรือเติมน้ำร้อน ดื่มขณะอุ่นๆ หรือสมุนไพรฤทธ์ร้อน-เย็นผสมกัน


    อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน
    1. หน้าซีดผิดปกติจากเดิม
    2. ตุ่มหรือแผลในช่องปากด้านบน
    3. ตาแฉะ ขี้ตามาก ตามัว
    4. เสมหะมาก ไม่เหนียว สีใส
    5. หนักหัว หัวตื้อ
    6. ริมฝีปากซีด
    7. ขอบตา หนังตาบวมตึง
    8. เฉื่อยชา เคลื่อนไหวช้า คิดช้า
    9. ไอ อาการมักทุเลาเมื่อถูกภาวะร้อน
    10. ผิวหน้าบวมตึง แต่ไม่ร้อน
    11. เจ็บหน้าอกด้านขวา
    12. หายใจไม่อิ่ม
    13. ท้องอืดจุกเสียดแน่น
    14. ปัสสาวะสีใส ปริมาณมาก
    15. อุจจาระเหลวสีอ่อน มักท้องเสีย
    16. มือเท้า มึนชา เย็น สีซีดกว่าปกติ หนาวสั่นตามร่างกาย
    17. ตกกระสีขาว
    18. มักมีเชื้อราตามผิวหนังหรือที่เล็บมือ/เล็บเท้า
    19. เล็บยาวแคบกว่าปกติ
    20. เท้าบวมเย็น
    โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน แก้ด้วยอาหาร ผัก-ผลไม้,สมุนไพรฤทธิ์ร้อน

    อาหารฤทธิ์ร้อน-อาหารฤทธิ์เย็น

    อาหารฤทธิ์ร้อน

    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต
    - ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำ (ข้าวก่ำ ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์
    - เผือก มัน กลอย อาหารหวานจัด ขนมปัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง


    กลุ่มโปรตีน
    - เนื้อ นม ไข่
    - ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด
    - เห็ดโคน (เห็ดปลวก) เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดขม เห็ดผึ้ง
    - โปรตีนจากพืชและสัตว์ที่หมักดอง เช่น เต้าเจี้ยว มิโสะ โยเกิร์ต ซีอิ้ว แทมเป้ กะปิ น้ำปลา ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเค็ม
    - เนื้อเค็ม แหนม ไข่เค็ม ซีอิ้ว เป็นต้น


    กลุ่มไขมัน
    ควรงดหรือลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    เพราะไขมันมีพลังงานความร้อนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เช่น
    - น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์
    - กะทิ เนื้อมะพร้าว
    - งา รำข้าว จมูกข้าว
    - เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดกระบก
    - ลูกก่อ เป็นต้น


    กลุ่มผักฤทธิ์ร้อน ผักที่มีรสเผ็ดทุกชนิด เช่น
    - กระชาย กระเพรา กุ้ยช่าย (ผักแป้น) กระเทียม
    - ขิง ข่า (ข่าแก่จะร้อนมาก) ขมิ้น
    - ผักชี ยี่หร่า โหระพา พริก (พริกไทย ร้อนมาก) แมงลัก
    - ไพล ตะไคร้ ใบมะกรูด เครื่องเทศ
    - ต้นหอม หอมหัวใหญ่ หอมแดง เป็นต้น

    นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน (มีพลังงานความร้อนหรือแคลอรี่ที่มาก) เช่น
    - กะหล่ำปลี กระเฉด ใบยอดและเมล็ดกระถิน ผักกาดเขียวปลี
    - ผักโขม ผักแขยง
    - คะน้า แครอท
    - ชะอม
    - บีทรูท เม็ดบัว ไหลบัว รากบัว แปะตำปึง ใบปอ ใบยอ
    - แพงพวยแดง
    - ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง
    - ลูกตำลึง ฟักทองแก่
    - โสมจีน โสมเกาหลี (ร้อนเล็กน้อย)
    - ไข่น้ำ (ผำ) สาหร่่ายทะเล สาหร่ายน้ำจืด(เทา) ยอดเสาวรส หน่อไม้
    - พืชที่มีกลิ่นฉุนทุกชนิด เป็นต้น


    กลุ่มผลไม้ฤทธิ์ร้อน
    เป็นกลุ่มผลไม้ที่ให้น้ำตาล วิตามินหรือธาตุอาหารที่นำไปสู่ขบวนการเผาผลาญ
    เป็นพลังงานความร้อน (แคลอรี่) ที่มาก เ่ช่น
    - กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ กระเจี๊ยบแดง กระทกรก (เสาวรส)
    - สำหรับกล้วยหอมทองและกล้วยหอมเขียวมีรสหวานจัดจึงมักออกฤทธิ์ตีกลับเป็นร้อน)
    - ขนุนสุก
    - เงาะ
    - ฝรั่ง
    - ทุเรียน ทับทิมแดง
    - น้อยหน่า
    - มะตูม มะเฟือง มะไฟ มะแงว มะปราง มะม่วงสุก มะขามสุก (ร้อนเล็กน้อย) มะละกอสุก (ร้อนเล็กน้อย)
    - ระกำ (ร้อนเล็กน้อย)
    - ลิ้นจี่ ลำไย ลองกอง ละมุด ลูกยอ ลูกลำดวน ลูกยางม่วง ลูกยางเีขียว ลูกยางเหลือง
    - สละ ส้มเขียวหวาน สมอพิเภก
    - องุ่น
    - ผลไม้ทุกชนิดที่ผ่านความร้อน เช่น การอบ ปึ้ง ย่าง หรือตากแห้ง เป็นต้น


    อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมาก ถ้ากินมากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก

    - อาหารที่ปรุงเค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ฝาดจัดและขมจัด
    - อาหาร กลุ่มไขมัน
    - เนื้อ นม ไข่ที่มีไขมันมาก รวมถึงสารที่มีสารเร่งสารเคมีมาก
    - พืชผักผลไม้ที่มีการสารเคมีมาก
    - อาหารที่ปรุงผ่านความร้อนนาน ๆ ผ่านความร้อนหลายครั้ง ใช้ไฟแรง หรือใช้คลื่นความร้อนแรง ๆ
    - อาหารใส่สารสังเคราะห์ ใส่สารเคมี
    - อาหารใส่ผงชูรส
    - สมุนไพร หรือยาที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดหรือบำรุงเลือด
    - วิตามิน แร่ธาตุ และอาหารเสริมที่สกัดเป็นน้ำ ผง หรือเม็ด
    - ยกเว้นอาจกินได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าขาดสารดังกล่าว
    - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือน้ำตาลที่มากเกินไป เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
    - ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
    - อาหาร ที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอบ
    - ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง น้ำหมัก ข้าวหมาก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม
    - ไข่เค็ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียมสูง) เป็นต้น
    - น้ำร้อนจัด เย็นจัด และน้ำแข็ง

    โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนว่าจะงดหรือลดอะไร แค่ไหนที่ทำให้เกิดสภาพโปร่งโล่งสบาย เบากายและกำลังเต็มที่สุด



    ************

    อาหารฤทธิ์เย็น
    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต
    - น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว (เส้นหมี่. เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน) วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องเหลือง
    สำหรับ น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว และวุ้นเส้นกินเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ร่างกายร้อนมากๆ


    กลุ่มโปรตีน
    - ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว ลูกเดือย
    - เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดขอนขาว เห็ดลม(เห็ดบด) เห็ดตาโล่ เห็ดตีนตุ๊กแก


    กลุ่มผักฤทธิ์เย็น
    - กระหล่ำดอก ก้านตรง กวางตุ้ง ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักกาดหอม
    - หยวกกล้วย ปลีกล้วย ก้านกล้วย กล้วยดิบ หัวไช้เท้า (ผักกาดหัว) ก้างปลา
    - ข้าวโพด ขนุนดิบ ดอกสลิด (ดอกขจร) ฝัก/ยอด/ดอกแค
    - ใบเตย ผักติ้ว ตังโอ๋ ใบ/ยอดตำลึง
    - ถั่วงอก
    - บัวบก สายบัว ผักบุ้ง บล๊อกเคอรี่ บวบ
    - ปวยเล้ง ผักปลัง
    - พญายอ (เสลดพังพอนตัวเมีย)
    - ฟักทองอ่อน ยอดหรือดอกฟักทอง ยอดฟักข้าว ยอดฟักแม้ว ฟัก แฟง แตงต่างๆ
    - มะละกอดิบ-ห่าม มะเขือเปราะ มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือเทศ มะเดื่อ มะอึก ใบมะยม ใบมะขาม
    - มังกรหยก มะรุม ยอดมะม่วงหิมพานต์
    - ย่านางเขียว-ขาว
    - รางจืด
    - ว่านกาบหอย ว่านหางจระเข้ ว่านมหากาฬ ทูน (ตูน) ว่านง็อก (ใบหูลิง) ผักว่าน
    - โสมไทย ใบส้มป่อย ส้มเสี้ยว ส้มรม ส้มกบ
    - หมอน้อย ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน เหงือกปลาหมอ ผักโหบแหบ
    - อ่อมแซบ (เบญจรงค์) ยอดอีสึก (ขุนศึก) อีหล่ำ

    กลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็น
    - กล้วยน้ำว้าห่าม กล้วยหักมุก แก้วมังกร กระท้อน
    - แคนตาลูป
    - ชมพู่ เชอรี่
    - แตงโม แตงไทย
    - ทับทิมขาว ลูกท้อ
    - มังคุด มะยม มะขวิด มะดัน มะม่วงดิบ มะละกอดิบ-ห่าม มะขามดิบ
    - น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว
    - ลางสาด
    - สับปะรด สตรอเบอรี่ สาลี่ ส้มโอ ส้มเช้ง ส้มซ่า ส้มเกลี้ยง สมอไทย
    - ลูกหยี หมากเม่า หมากผีผ่วย
    - แอปเปิ้ล

    เรียบ เรียงโดยใช้ข้อมูลจาก ถอดรหัสสุขภาพ เล่ม ๒ "ความลับฟ้า: ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ หมอและคนไข้จะพากันป่วยตาย" โดย ใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)
    ผมได้ความรู้นี้จาก การไปเข้าอบรมการแพทย์วิถีพุทธ(วิถีธรรม) ที่คุณหมอเขียว(ใจเพชร กล้าจน)
    ที่สวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร เมื่อ15-21พ.ย.2552 และปี2553 เมษายน10วัน,ตลาคม10วันครับ
    กิจกรรมในค่ายสุขภาพกับหมอเขียว ณ สวนป่านาบุญ ดอนตาล
    เทคนิคการปรับสมดุลของร่างกาย
    1.สมุนไพรเพื่อปรับสมดุล ฤทธิ์ร้อน-เย็น เช่นน้ำใบย่านาง ฯลฯ
    2.ขูดกวาซา เพื่อขับพิษ,ลมออกจากร่างกาย คนที่เป็นไข้,ปวดหัวหายทันที
    3.สวนล้างลำไส้ใหญ่(ดีทอกซ์)เพื่อขับพิษ ทำแล้วรู้สึกสบาย เบากาย
    4.การแช่มือแช่เท้าด้วยสมุนไพรฤทธ์เย็น และฤทธิ์ร้อน
    5.การพอกทาด้วยถ่าน,สมุนไพรฤทธ์เย็น อาบ,หยอด,ประคบ
    6.การออกกำลังกาย โยคะกดจุดลมปราณ การไล่เส้นลมปราณ เพื่อให้ลมปราณไหลเวียนดี
    หากลมปราณอุดตันจะตึง จะปวดบริเวณนั้น หรือบริเวณที่เกี่ยวเนื่องกัน
    7.เน้นอาหารธรรมชาติ ปรุงแต่งน้อย รสไม่จัด ผัก-ผลไม้ฤทธิ์เย็น ถ้าอกาศหนาวก็ฤทธ์ร้อนเล็กน้อย
    (ถ้าเมืองหนาวที่มีหิมะตกก็เน้นฤทธ์ร้อน)
    8.ใช้หลักธรรมรักษาใจของตน ด้วยการเว้นความชั่วทั้งปวง (รักษาศืล) รักษาใจของตน
    ให้อยู่ในฝ่ายกุศลอยู่เสมอ และฝึกสติ ให้ตัวรู้ รู้ชัดอยู่กับปัจจุบันขณะ (รู้ลมหายใจเข้า-ออก)
    รู้กาย รู้ใจของตน พิจารณากาย, เวทนา, จิต, ธรรม ตามภูมิธรรมของตน
    9.รู้เพียน รู้พักให้พอดี
    ขออนุญาตินำรูป ย่านางเขียว ของคุณDINมาลงไว้ในนี้ด้วยครับ
    [​IMG]
    ต้นอ่อมแซบ
    [​IMG]

    การทำน้ำย่านาง นำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเท่าที่หาได้ไม่ยากไม่ลำบาก
    ล้างใบย่านางให้สะอาด

    [​IMG]

    ล้างใบเตย ใบหญ้าม้าให้สะอาด
    ซ้ายใบเตยประมาณ20ใบ ขวาใบหญ้าม้าประมาณ20ใบ

    [​IMG]

    หั่นซอยแล้วไม่เกิน1นิ้ว
    [​IMG]

    เตรียมน้ำแข็ง
    [​IMG]

    เตรียมกระชอนตาถี่
    [​IMG]

    ใส่ใบย่านาง,ใบเตย,ใบหญ้าม้า,น้ำแข็ง7ก้อน,น้ำกรองสะอาดลงในโถปั่น
    [​IMG]

    ปั่นแล้วกรองด้วยกระชอนตาถี่ ช้อนฟองออก จะได้น้ำย่างยาเข้มข้น
    [​IMG]

    กากที่ปั่นซ้ำ8ครั้งแล้ว ยังมีสีเขียวอยู่
    [​IMG]

    น้ำที่ปั่นจากกากครั้งที่9 ยังมีสีเขียว นำมาสวนลำใส้ใหญ่(ดีท็อกซ์)
    [​IMG]

    ปั่นน้ำได้1.5ลิตร4ขวด=6ลิตร
    ขวดซ้านสุด ปั่นครั้งที่1-2 ขวดที่2จากซ้าย กากปั่นครั้งที่3-4
    ขวดที่3จากซ้าย กากปั่นครั้งที่5-6 ขวดที่4จากซ้าย กากปั่นครั้งที่7-8

    [​IMG]
    เก็บไว้ในตู้เย็น ในช่องธรรมดา ดื่มได้4-5วัน
    หากเก็บในช่องแช่แข็ง เก็บไว้ได้เป็นเดือนครับ
     
  6. Pukku

    Pukku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +899
    ว้าวๆ ขอบคุณมากๆ ข้อมูลแจ่มแท้ :VO:VO:VO:VO:VO
     
  7. purivat

    purivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +254
    บ้านผมเอาไปใส่แกงหน่อไม้ครับ
     
  8. แผ่นฟ้า

    แผ่นฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +428
    ขอบคุณ นะค่ะ มีคุณค่ามากมายดีแท้ :cool:
     
  9. พระดร

    พระดร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +49
    ขอบคุณมากๆ
     
  10. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    :cool:Anumo..tana..satu..naka.
     
  11. novoice

    novoice Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +87
    ขอบคุณ สำหรับข้อมูลดี ๆ ทั้งภาพและคำบรรยายละเอียดดีมาก
     
  12. cokenat

    cokenat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +173
    ขอบคุณมากครับ จะลองให้แม่ทำ ดื่ม บ้าง
     
  13. phu_75

    phu_75 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +384
    ขอบคุณมากครับที่นำเสนอข้อมูลดีๆ เป็นประโยชน์มาเผยแพร่ จะต้องลองทำกินดูซะแล้ว
     
  14. janya

    janya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +110
    ประโยชน์มากมายต่อชีวิตเราอย่างนี้ ต้องเอาไปทำตามอย่างแล้วละ่ค่ะ ขอบพระคุณมากๆเลย ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ:cool:
     
  15. parttime2home

    parttime2home สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูล จะลองทำดื่มค่ะ

    งาน part time
     
  16. MoonLignt

    MoonLignt สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอบคุณความรู้ดีๆที่น่าศึกษามากเลยค่ะ จะลองทำดื่มค่ะ
     
  17. เวียงละกอน

    เวียงละกอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +391
    กระทู้เห็ดปิดไปแล้วหรือครับ พอดีแวะเข้าไปดูเห็นตัวอาคารพังว่าจะแนะนำวิธีแก้ปัญหาครับเพราะผมพอจะมีความรู้อยู่บ้างในงานโครงสร้าง
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ครูที่โรงเรียนดื่มน้ำใบย่านางประจำช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ แต่ควรคั้นเองด้วยมือจะดีกว่าใช่เครื่องปั่นค่ะ (เพื่อนครูเล่าให้ฟัง)
     
  19. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ได้ คัดลอกสำเนา นำไปให้คนที่เป็นมะเร็ง ลองทำดื่มดู ซึ่งในตัวของเค้าก็รู้สึกว่าร้อนอยู่ข้างใน ล้อเล่นไม่กล้าถามว่าเป็นขั้นไหนแล้ว ใน 3 วัน เค้ามาบอกว่า่ รู้สึกดีขึ้นและทำดื่มต่อ จึงมาบอก จขกท และร่วมอนุโมทนา ในบุญจร้า
     
  20. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ เพิ่งจะเริ่มดื่มได้ สองวันเอง ได้คำแนะนำจากเพื่อนที่ทำงานว่า ใบย่านางดีต่อร่างกาย เพราะแม่เขาดื่มเดือนเดียวก็เห็นผล แต่ดิฉันต้มกับใบเตยค่ะ ดื่มวันละ ๑-๒ แก้ว คราวหน้าจะลองปั่นดิบดูค่ะ ขอขอบคุณมากค่ะ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...