เธอคือโพธิสัตว์ ว.วชิรเมธี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 2 มิถุนายน 2012.

  1. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ด้วยความ มุ่งมั่น ผม หาเจอ จนได้ ลอง ทัศนากันดูนะ..หุหหุ..พระโพธิสัตว์ ของคุณ อุรุเวลา

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1rGyO5L08ns]ท่าน ว. "กุศโลบายของพระพุทธเจ้า" - YouTube[/ame]
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔
    อาพาธสูตร
    [๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ
    บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็น
    ไข้หนักครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมพระผู้มี
    พระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส
    ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่าน พระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้วกล่าวสัญญา๑๐ ประการ
    แก่คิริมานันทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟัง
    สัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑
    อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑
    สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อนาปานัสสติ ๑ ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี
    อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง
    สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของ
    ไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนิจจสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็อนัตตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี
    อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าจักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา
    หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็น
    อนัตตา กายเป็นอนัตตาโผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา ย่อม
    พิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้
    ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็อสุภสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณา
    เห็นกายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
    เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
    กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่
    อาหารเก่า ดี เสลดหนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ
    มูตรย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์นี้เรียกว่า
    อสุภสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี
    อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก
    เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือโรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย
    โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปากโรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม
    โรคในท้องโรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก
    โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละออง บวม
    โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดี
    เป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐานอาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต
    อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวนอาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความ
    เพียรเกินกำลังอาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย
    ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้
    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมไม่ยินดี
    ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว
    ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาท
    วิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดีย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมให้ถึงความ
    ไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
    ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้วดูกรอานนท์
    นี้เรียกว่าปหานสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี
    อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่น
    ประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไป
    แห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลสธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูกรอานนท์ นี้
    เรียกว่าวิราคสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ นิโรธสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี
    อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่าธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาต
    ินั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้น
    ไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ ดูกรอานนท์
    นี้เรียกว่านิโรธสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ละอุบาย และอุปาทานในโลก อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต ย่อม
    งดเว้น ไม่ถือมั่น ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง ดูกรอานนท์นี้เรียกว่าสัพพสังขาเรสุ
    อนิจจสัญญา ฯ
    ดูกรอานนท์ อานาปานัสสติเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่า
    ก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
    เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
    หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
    หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวง
    (ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวงหายใจเข้าย่อมศึกษาว่า
    จักระงับกายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศึกษาว่าจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ย่อม
    ศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า
    จักกำหนดรู้จิตตสังขาร (เวทนา)หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตตสังขารหายใจเข้า ย่อม
    ศึกษาว่าจักระงับจิตตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขารหายใจเข้า
    ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า
    ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักยังจิตให้
    บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตให้มั่นหายใจ
    ออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อม
    ศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
    หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้าย่อมศึกษา
    ว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็น
    โดยความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความดับสนิทหายใจ
    ออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความดับสนิทหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้
    พิจารณาเห็นโดยความสลัดคืนหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสลัดคืน
    หายใจเข้าดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอานาปานัสสติ ฯ
    ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้แก่คิริมานนทภิกษุไซร้
    ข้อที่อาพาธของคิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลันเพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้เป็น
    ฐานะที่จะมีได้ ฯ
    ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค
    แล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่ท่านพระ
    คิริมานนท์ ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา
    ๑๐ ประการนี้ ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น ก็แลอาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์
    ละได้แล้วด้วยประการนั้นแล ฯ
    จบสูตรที่ ๑๐
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เนื้อความในกระทู้ ผมไม่เห็นว่าจะมีข้อความไหนที่บอกว่าท่าน ว.วชิรเมธีเป็นพระโพธิสัตว์ หนังสือชื่อ "เธอคือโพธิสัตว์" ไม่ใช่หนังสือชื่อ "พระ ว.วิชรเมธีเป็นพระโพธิสัตว์"

    การบอกสอนธรรมของพระสงฆ์มีหลายแบบ พระสงฆ์บางรูปแสดงธรรมแบบฆราวาสธรรม บางรูปแสดงธรรมให้พ้นทุกข์สิ้นจากอาสวะ เห็นความเบื่อหน่าย ไม่ยึดมั่นถือมั่นในชาติ ชรา มรณะ แสดงธรรมเพื่อความดับชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร อวิชชา อ่านธรรมแล้วพิจารณาให้ถึงธรรมครับ อย่าติดอยู่แค่กระพี้ ตีความเอาแต่หัวข้อของกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นครับ
     
  4. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    แถ.....แถ....แถ....แถ แบบแถกปลาหมอ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
    แสดงธรรมเทศนาเรื่อง กุศโลบายของพระพุทธเจ้า
    ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ บพิตรพิมุขมหาเมฆ
    21 พฤศจิกายน 2553

    พระมหาวุฒิชัย ว.ชิรเมธีสอนเรื่อง "กุศโลบายของพระพุทธเจ้า" สอนเรื่อง บุคคล ๔ เหล่า พระพุทธเจ้าพิจารณาก่อนแสดงธรรม เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งที่ปิดปังพระอาทิตย์ คนกลาง สติ กามราคะ ใจ จิด ผัสสะ เจริญอสุภะ พิจารณาสังขาร สัจธรรมของชีวิต ความไม่เที่ยง บรรลุธรรมในงานศพ เรียนรู้จากใจสู่ใจ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย สังขารเกิดขั้นในเบื้องต้นเปลี่ยนในท่ามกลางและดับไปในที่สุด กุศโลบายของหลวงพ่อชา กุศโลบายของพระพุทธทาส กุศโลบายในการดำรงชีวิต นั่งสมาธิตามดูลมหายใจ แผ่เมตตา ท่าน vitcho เข้าใจว่าท่านสอนเรื่อง "เมียอยากได้แหวนเพชร" จึงต้องอ้วกแตก ดวงตามืดบอดอยู่เช่นนั้นเอง
     
  6. โอม ศักติ

    โอม ศักติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    อุเบกขากันบ้างเถิด สติมหาสติเถิด
     
  7. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ผม จะบอกอะไรให้นะ....ตัวคุณ เนี่ย..โคตร บรม อัตตาจัด และหลงตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้น

    ผม บอกว่า ไตรลักษณ์ นั้น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..ตาม ที่ ตำราสอนมา..ว่าเป็น สามัญลักษณะ ประจำโลก ...คุณ ก้อ แถ แถ แถๆๆๆๆ..ว่า พระพุทธเจ้า ไม่เคยสอน ไตรลักษณ์...แต่ ท่านสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    คุณ จะ แถไปไหน ไม่ทราบ แถม ยกพระไตรปิฏฏ หน้า ที่พระพุทธองค์ ทรงสอนย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..มาอ้าง ด้วย..เพื่อ จะ ยันว่าพระพุทธองค์ ไม่เคย ทรงสอน ไตรลักษณ์

    จะ บ้าไป ไหน ไม่ทราบ...เพียงแค่พระพุทธองค์ ไม่ ได้ พุด คำว่า ไตรลักษณ์ คุณ ก้ ยืนยันว่าท่านไม่เคยสอน...

    ผม ระอา กับคุณ จริงๆ ว่าจะไม่เข้ามา แล้ว แต่ อด สมเพท ไม่ได้
    แวะ มาเตือนทสติ ให้รู้จักยอมรับความจริง มั่ง

    เรื่อง พระ ว. ผม มีวืจารณญาณ ของผม เพื่อ เตือนสติ คนทั่วๆ/ไป..
    จะศรัทธาพระ ดีๆ สักองค์ ควรรู้ เท่า และ ทัน สิ่งที่พระท่านสอน
    ไม่ใช่ เห็น คนเขา ชอบกันเยอะ ตัวเราก็ งมงายไปกับเขาด้วย
    เพราะ กลัวจะตกเทรน ไม่ทันสมัย เข้ากับพรรคพวกไม่ได้
     
  8. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ศาสนาพุทธ เป็นมากกว่า ลัทธิ ที่นิยม..ศาสนาพุทธ เป็น คำสอนเพื่อ ความพ้นทุกข์ ที่ ต้องลงมือ กระทำ และสามารถพิสูจน์ ได้จริง...

    ไม่ใช่ แค่การ หลงคารม พระ สักองค์ ที่เทศนา ถูกใจเรา เท่านั้น
    ควรดูลงในแก่นแท้ของคำสอนด้วย..ว่าท่านเหล่านั้น ได้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติ ตรง..ตามคำสอนหรือเปล่า..

    คน ศรัทธา อ่อน จะลุ่มหลง พระ ที่ออกมาเทศนา ในสังคม แบบ ที่เอาใจสังคม มีการอุปโลกน์เรื่อง ทางสังคมชักจูงให้ ชื่นชอบพวก ศรัทธา อ่อนก็ จะหลงไหล ไปกับ ลีลา ของพระ นักเทศน์ แนวนั้นๆ..อย่างเช่น พระ ว.

    มองไปสิ พวกลูกศิษย์ ที่หลงไหล พระ ว...น่ะ ทั้งหมด ที่หลงไหล ล้วน ไร้ความศรัทธา แบบแนบแน่น เพราะ ไม่ยอม ศึกษา แก่นศาสนา แค่ ฟังๆ เรื่อง คุณธรรม ประโลมโลก ก็ พากันสาธุๆๆๆ ถามหน่อย เรื่องแต่ละเรื่องที่ พระ ว. สอนน่ะ มันพาพ้นทุกข์ ได้ ที่ไหนเล่า..ตัว คนเทศนาเอง ยังไ เข้าไม่ถึงแก่นเลย ด้วยซ้ำ...

    คำว่า เจริญ สติ ผม กล้าท้าด้วย ว่า พระ ว. เนี่ย ไม่เข้าใจ คำนี้ด้วยซ้ำ...แล้ว แค่น มา สอน ศาสนา ใน คราบสมณเพศ..ดัง
    ตัวอย่างที่ผม ยกมา..ว่า พระ ว. บอกว่า ไตรลักษณ์ คือ เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...อันนี้ มันผิด เต็ม..ที่ แล้ว ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นั้น

    มัน แค่ ธรรม ของคำว่า อนิจจัง คำเดียว...เพราะ สรรพสิ่งมันไม่ เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้ เกิด และ ดับไป..ทุกสิ่ง แม้ในที่สุด จิต อันเป็นนามธรรม..
    ที่คนเรา ยึดติดว่าเป็น ตัวเรา อย่างที่สุด..ก็ ยังเกิดๆ และ ดับไป ตลอดเวลา...การ ปฏิบัติธรรม นั้นเจตนาเพื่อ การ ให้ รู้จัก จิต แท้ๆในตน เอง โดยการ ภาวนา ให้ เกิด ผู้รู้ ขึ้น เพื่อ ที่จะสามารถ เอา ผู้ รู้ นั้น มาดู จิต อีกที..

    และ แม้ที่สุด ตัวผู้ รู้ ก็ ยังไม่ใช่เรา เพราะ มัน ก็เกิดๆ ดับๆ เหมือนกัน

    เมื่อ ความจริง เป็น เช่นนี้ จิต จะ เห็น ว่า ทุกสิ่งๆทุกอย่าง มันเป็นทุกข์...แม้ตัวจิตเอง ก็เป็นทุกข์ เพราะ มันก็ เกิด ดับ..อันเกิดจาก การ บังคับไมได้
    จิตเราบังคับบัญชาไม่ได้..มัน ไม่ใช่ ตัวไม่ใช่ตน..มันเป็น อนัตตา

    แบบนี้ ต่าง หาก เรียกว่า ไตรลักษณ์...
    อ่าน กันไว้ ..ในสิ่งที่ผม กล่าว กล้ารับรองว่าไม่ผิด จาก คัมภีร์ แน่ๆ และผม ก็ ยกพระไตรปิฏก มาไม่เป็นด้วยไม่รู้ว่า หน้าไหน เขาสอนอะไร
    ผม เข้าใจ ตามได้ ก็ แล้วกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2012
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    บุรุษคนที่หนึ่งศึกษามาว่าไตรลักษณ์ คือ "อนิจจัง ทุกขัง อนันตา"
    กับ
    บุรุษคนที่สองผู้ไม่รู้จักคำว่า "ไตรลักษณ์" แต่ศึกษามาว่า
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย "รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
    สิ่งใดเป็ทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
    " สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
    ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
    ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ...
    วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
    คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    [๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้ว
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
    จากสัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม
    จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"

    ตัวหนังสือสีน้ำเงินมากกว่าหรือน้อยกว่าตัวหนังสือทั้งหมด บุรุษคนที่สองผู้ไม่รู้จักคำว่า "ไตรลักษณ์" มีความรู้มากหรือน้อยกว่าบุรุษคนที่หนึ่งผู้รู้จักไตรลักษณ์ ท่านพิจารณาด้วยปัญญาเถิด
    ผมศึกษามาน้อยยังไม่เคยอ่านพบว่า มีพระสูตรไหนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเรื่องไตรลักษณ์ ถ้ามีพระสูตรนั้นท่านจงยกมาแสดงเถิด.
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผิดข้อที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่อง "ไตรลักษณ์"
    ผิดข้อที่สอง พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีไม่ได้สอนเรื่อง "เมียอยากได้แหวนเพชร"
    ผิดข้อที่สาม ผู้รู้ไม่ได้เกิดๆ ดับๆ วิญญาณต่างหากที่เกิดๆ ดับๆ ผู้รู้คือผู้รู้ ผู้ตามดูความเกิดดับของวิญญาณ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
    สิ่งใดเป็ทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
    ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
    ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ...
    วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
    เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
    คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
    [๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้ว
    จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ...
    จากสัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม
    จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี"

    ----
    อนิจจัง = รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
    ทุกขัง = สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
    อนัตตา = สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เมื่อใครมองเห็นความไม่เที่ยงเป็นความทุกข์ มองเห็นความทุกข์เป็นอนัตตา ต้องพิจารณาต่อด้วยปัญญาอับชอบว่า "นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา" พิจารณาว่าขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นแค่ธาตุตามธรรมชาติ มันไม่ใช่ของเรา ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา สุขทุกข์อุเบกขาก็ไม่ใช่ของเรา ความจำได้หมายรู้ก็ไม่ใช่ของเรา การปรุงแต่งทางกายวาจาใจก็ไม่ใช่ของเรา ผู้รู้(วิญญาณ)ในขันธ์ทั้ง ๔(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)ก็ไม่ใช่เรา มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง เราเป็นแค่ผู้รู้ ตามรู้การเกิดดับของวิญญาณ วิญญาณไปเกิดดับในรูป เวทนา สัญญา สังขาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า วิญญาณตามรู้อยู่แค่ขันธ์ทั้ง ๔ นี้เท่านั้น ไม่มีเวียนไปรู้อย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ ใช้สติและปัญญาตามรู้การเกิดดับของขันธ์ทั้งหลาย ทำเพียงเท่านี้ไม่ต้องทำให้มากไปกว่านี้ จิตสามารถหลุดพ้น สิ้นจากอาสวะทั้งหลาย
     
  13. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    คงไม่สามารถ เปลี่ยน ทิฎฐิ ท่านได้..
    สังสารวัฎฎ์ ยาวนาน เพลิดเพลินตามสดวก
    นะ สหายร่วม ภพ...

    การยก พระไตรปิฏกมาเป็นช่วงๆ ไม่ได้แสดงว่า ท่านอ่าน รู้เรื่อง หรอกนะ

    ................................
     
  14. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ไตรลักษณ์ หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..((เรื่องเดียวกัน))
    พระ ว. คุยเรื่องประโลมโลก เก่ง พาคนงมงาย ยก คลิปมาให้ชม((เพื่อ ให้ฉุกคิด))
    ผู้รู้ คือ จิต ที่แยกออกจากกายได้แล้ว วิญญาณ คอื ผลของการแสดงตัวแล้ว จาก จิต จิต เกิด ดับ นายยังไม่รู้จัก วิญญาณ มันคือ ผลของจิต..((นาย ยัง ไม่รูจัก แต่อยาก อวด))

    คนที่ปฏิบัติ ธรรมเป็น เข้ามาอ่าน เขาพิจารณาได้ ว่า..อะไรเป็นอะไร...

    อย่าโง่ นาน นะ น่าสงสาร...หลง จนหาทางออก ไม่เจอ...นะ ท่าน นะ
     
  15. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    ฮ่าๆๆ...เออ มึง เก่ง...กุ ยอม แล้ว...555555
    มา บ่อยๆ เดี๋ยว บ้า เหมือน มึง แย่เลย..555+
     
  16. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ว้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แค่คำพูดก็รู้แล้วว่าใครมีธรรมแต่ปาก เห่าอย่างเดียวไม่กัดใครยึดมั้นถือมั้นในอัตตาจัด ไม่ต้องบรรยาย เพราะโดยไม่ต้องทำอะไร ความโง่ของคนมันจะทำลายตัวมันเอง

    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไตรลักษณ์ หมายความว่าไอ้ตอนที่สอนนะเขาไม่ได้ประมวลกันมาเป็นสูตรสำเร็จที่เรียกว่าไตรลักษณ์ ไม่ใช่หมายความว่าเขาไม่พูดถึง ไอ้ขันธ์ห้า ไอ้อริยสัจ ไอ้โน้นนี่นั้น นะเขาก็สรุปๆๆมาจากพุทธพจน์จากนั้นเขาก็เอามาจัดระบบเป็นเรื่องๆๆ ให้จำง่ายๆๆ

    พระพุทธเจ้าเวลาสอนท่านไม่พูดแบบสำเร็จรูปหรอกนะ ท่านก็พูดๆๆไปว่าจากประสบการณ์เรามันเป็นแบบนี้ เช่นๆๆๆๆๆ สังขารทั้งหลายจริงๆๆนะมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆๆเป็นไปตามเหตุและปัจจัยของมันล่ะ เมื่อเหตุและปัจจัยไม่พร้อมมันก็ไม่มี ดังนั้นตัวตนจริงๆๆแบบเที่ยงแท้แน่นอนแบ่งแยกไม่ได้นะไม่มีหรอก

    จากนั้นเราก็เอามารวมๆๆเป็นหลักๆๆ เป็นชุดๆๆว่า ชุดนี้เรียกไตรลักษณ์ ไม่ท่านก็ว่าทุกขืนี่คือความจริงของชีวิตแต่มันมีสาเหตุนะ เวลาแก้ต้องแก้ที่เหตุ การปฏิบัติเป็นแบบนี้แล้วจะพ้นทุกข์ ท่านพูดทำนองนี้ที่นี้เราอยากให้มันจำง่าย เราก็ประมวลมาเป็นชุดๆๆ เรียกอริยสัจ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อจำง่ายเอาไปใช้ได้ง่าย เหมือนสูตร เราแก้โจทยเยอะๆๆ เรามองรปแบบออก ว่ามันต้องแก้แบบนี้โจทย์ทำนองนี้ เราก็สรุปเป็นสูตรลัด เป็นแนวคิด แล้วเอาไปใช้ที่นี้เราเจอโจทย์ทำนองนี้เราก็รู้เลยว่าจะแก้แบบไหน? พระพุทธเจ้านะไม่เคยทำให้ธรรมเป็นสิ่งสำเีร็จรูป เป็นทฤษฏี เป็นความคิด ธรรมะของท่านคือประสบการณ์

    คุณอุรุเขาหมายความว่าแบบนี้

    เบื่อพวกสมองสมมาตรแบบทรงกลมกลวง เพราะไม่ว่าจะมองจากด้านไหนๆๆก็ช่าง......ได้รอบด้านจริงๆๆ
    สรุปคือ มันคล้ายๆๆเวลาเราเรียนหนังสือครูก็พูดไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆในสิ่งที่รู้ จากนั้นนักเรียนก็จำ กลั้นกรองออกมาเป็น หลักสรุปๆๆ เป็นหัวใจ ก่อนนำไปใช้จริง ไปปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2012
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านโฮดี้โจนส์ พูดได้ดี โมทนาครับ
     
  18. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    เฮ้ออ..หมา ฝรั่ง อีกตัว แวะมาเห่ากรรโชก..เก่งแต่ปาก อธิบาย แบบ กูคิดเอาเอง อีกตัว..แถมบอกด้วยว่า ขอ แวะ มา เห่า มาสำรอก ความ สมองเป็ด..

    บอกมาได้ ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยทำให้ธรรมเป็นธรรม สำเร็จรูป แหม พูด ได้เท่ห์ เหลือเกิน กร๊วก เอ๊ย

    อริยสัจ 4 เป็น กลุ่มธรรม สำเร็จรูปมั้ย..(( ตาม ความหมาย ที่ ม๋า ฝรั่งโจนส์ ต้องการเรียก เพราะ กำลังกล่าวถึง คำว่า ไตรลักษณ์..ที่รวม เรียกง่ายๆ))
    อนัตตลักขณสูตร ..ที่รวม ขันธ์ 5 ไว้ ในสูตร ว่า ธรรมเหล่านี้ ล้วน ไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ และเป็น อนัตตา...แบบนี้ เป็นธรรมสำเร็จรูป มั้ย...

    อย่านึก ว่า แน่นัก..เลย แค่ คิดๆเอาเอง ทำมา ตีโวหาร กระจอกนัก สุนัข โฮดี้โจนส์..ยังมี อาทิตปริยสูตร อีก..ที่กล่าว เรื่อง ไฟ อันเกิด จาก วิญญาณ ทั้ง 6 นี่ไง กลุ่มธรรม สำเร็จรูป...ที่พระพุทธิองค์ ทรงสอนไว้ เป็นกลุ่มธรรมสำเร็จรูป ที่สามารถ นำไป พิจารณา เพื่อ ละกิเลสได้

    โง่ แล้ว มาอวด ความโง่ หาก นาย โฮดี้โจนส์ รู้จริง แล้วมาเขียน ผม ยอมรับได้ แต่ โง่กว่าผม ครับ..แต่ อยาก แสดง ความโง่..
     
  19. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    โง่ไม่โง่ไม่รู้ รู้แต่ว่า ไอ้ทั้งหลายแห่ที่เอ็งพูดนะมาจากพระไตรปิฏก ซึ่งทำการสังคยานา กันมาหรือก็คือ พระมารวมกันจากนั้นใครจำคำพูดพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?บ้างก็พูดออกมา ใครจำผิดตรงไหน?ก็ช่วยกันแก้ไข
    จากนั้นก็เอาชุดที่คล้ายคลึงกันมาจัดเป็นระบบ เช่นคำพูดกลุ่มนี้พูดเรื่อง การเปลี่ยนแปลง เสื่อมสลาย ไม่มีตัวตน ให้เรียกชุดนี้ว่าไตรลักษณ์ หรือสูตรในกลุ่มนี้คือเรื่องทำนองนี้นะ
    อันนี้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของความทุกให้เรียดชุดนี้ว่าปฏิจจสมุปบาท

    เห็นเอ็งพูดแล้วเหมือนคนละเมอ..........ไม่รู้ที่มาแต่พูด ....นั้นพระพุทธองค์ ทรงสอนไว้ เป็นกลุ่มธรรมสำเร็จรูป อ้อหรอ...........เอาเข้าไป ธรรมไม่ใช่มาม่าจะได้มีเรื่องสำเร้จรูป กึ่งสำเร็จรูป ชีวิตคนเรามันใส่กรอบตายตัวได้ด้วยนะ 5555คิดได้ ขนาดสูตรคณิตศาสตร์เวลาแก้โจทย์ เขายังต้องรู้จักประยุกต์ใช้เลย งั้นมันทำไม่ได้ ข้อไหนพลิกก็ต้องรู้จักคิดแบบพลิกแพลงตามสูตรจึ่งจะใช้ได้

    นั้นแหละ555 ไม่เข้าใจที่พูดมานะสินะว่าไอ้ชุดธรรมสำเร็จรูปทั้งหลายนั้น ก็เกิดจากสาวกมารวบรวมจัดกลุ่ม สรุป เป็นชุดๆๆ และก็กลายมาเป็นพระไตรปิฏกไปในที่สุด

    555 พอได้ยินคำว่าชุดธรรมสำเร็จรูปเลยไปมองว่า มันไม่ดีเป็นการดูถูกอะไรทำนองนี้ความจริงมันไม่ใช่หรอกนะ มันดีตรงที่จำง่าย ใช้ง่าย มันไม่ดีตรงที่มันกลายไปเป็นทฤษฏีเป็นปรัชญามันเสียจิตวิญญาณของมันไป


    โง่ไม่โง่ไม่รู้ รู้แต่ว่า แค่โว้วาย เสียงแรด..................ใครๆๆเขาก็รู้กันถึงก้นลึกของสันดานเสียแล้ว
    ว่า มันเป็นปมด้อยนะ คนโง่มักพยายามจะบอกคนอื่นว่าเราไม่โง่นะ ดูสิเอ็งมันได้โง่ โง่กว่าข้า ไม่รู้จริง โน้นนี่นั้น ข้านะฉลาด ข้ารู้ คนแบบนี้พยายามพูดข่มคนอื่นเพื่อปลอบใจปมด้อยของตัวเอง ปกปิดปมด้อยของตัว
    มันเป็นแผลใจนะ นี่เห็นไหมพอมีคนมาสะกิดแผล หนองออก มันก็เลยต้องร้องโว้ยวายนะเอิงเอย

    ถ้ามันฉลาดจริงมันจะเป็นแบบนี้หรอ....คนฉลาดจริงเขาก็แค่รู้ตัวว่าเหนือกว่าเขาไม่มีความจำเป็นใดๆๆต้องประกาศว่าตัวเองแน่ เพราะเขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็น5555 ระอาจริงๆๆมนูษย์หนอ บายจะ

    55555555555555555555555555555555555555555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2012
  20. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    โอดี้โจนส์ เป็น ตุ๊ด ป่าว..
    นึกแล้ว สมเพท อ่า....เมื่อวาน มี อีกเม้น ห้อยไว้ บอกว่า จะไม่เข้ามาตอบแล้ว.""แล้ว เข้ามาตอบ ไม ล่ะ อี ตู๊ดดด..ทำท่าเก่ง
    ....แต่ ก็ อดใจไม่ไหว 555++ อี ตุ๊ด โฮดี้โจนส์..แถม ลบ เม้น ที่บอกว่าไม่เข้ามาด้วยนะ กลัว คนอื่นเห็น หรา อี ตุ๊ดด 555++
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...