เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ผู้ชายเป็นพลังขั้วบวก ผุ้หญิงเป็นพลังขั้วลบ เป็นส่วนหนึ่งของพลังที่ชาวจีนเรีบว่า"ชี่"-Chi ญี่ปุ่นเรียกว่า "คิ" -Ki ซึ่งน่าจะตรงกับ พลังปราณ -Pranic Energyของทางฮินดู รหัสวิทยาสมัยใหม่เรียกว่า อีเธอร์ -Ether หรือพลังออร์กอน Orgone Energy


    <TABLE cellPadding=5 align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-LEFT: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-RIGHT: rgb(204,204,204) 1pt solid" bgColor=white align=center>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สารานุกรมวิกิพีเดียให้ข้อมูลดังนี้ ยุคโบราณราว 557 ปีก่อนพุทธศักราช ..... [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"จักรพรรดิฟูฉี" เป็นผู้ให้กำเนิดปรัชญาจีนไว้ในคัมภีร์ "อี้จิง" (ซึ่งแปลว่าความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จีนยกย่องว่าเป็นแผนที่นำทางให้กับมนุษย์ทั้งด้านการดำเนินชีวิต การตัดสินใจ และการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าที่เป็น) ปรัชญาของพระองค์มีรากฐานมาจากการผสมเส้นตรง กล่าวคือ เส้นตรงเดี่ยว เรียกว่า หยาง เป็นตัวแทนเพศชาย และเป็นสัญลักษณ์แทนความแข็งแกร่ง ส่วนเส้นตรงแยกเรียกว่า หยิน เป็นตัวแทนเพศหญิง และเป็นสัญลักษณ์แทนความอ่อนโยนแปรปรวน

    หยางและหยินแม้จะมีลักษณะตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งสองก็รวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า เอกภาวะ ได้ หรือประสานกลมเกลียวกันโดยอาศัยความแตกต่างนั่นเอง ขณะที่ตำราชื่อ "กวานจื้อ" บันทึกไว้ว่าหยางหยินเป็นหลักสำคัญของสวรรค์และแผ่นดิน

    คติจีนเชื่อว่าสรรพสิ่งในสากลจักรวาล ล้วนมีสองด้านคือหยินและหยาง เป็นกฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ เป็นปรัชญาของลัทธิเต๋าที่เชื่อว่าสรรพสิ่งบนโลกใบนี้จะต้องมีสิ่งคู่กันเสมอ มีมืดก็ต้องมีสว่าง มีร้อนก็ต้องมีเย็น มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป หรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากหรือน้อยเกินไปก็จะเกิดภาวะไม่สมดุลซึ่งจะนำหายนะมาให้

    ที่สุดแล้วคือ "หยิน" เป็นตัวแทนของความมืดมิด ไม่เคลื่อนไหว อ่อนล้า เศร้าโศก ความตาย ความหนาวเย็น ผู้หญิง "หยาง" เป็นตัวแทนของความกระตือรือร้น พลังงาน แสงสว่าง ผู้ชาย การเกิด การเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง หยินและหยางเป็นพลังตรงข้ามที่คู่กัน เปลี่ยนแปลงและส่งเสริมซึ่งกันและกัน พลังซึ่งคู่กันนี้หากเท่ากันจะสร้างความสมดุล เช่น บวก-ลบ ชาย-หญิง พระอาทิตย์-พระจันทร์ ร้อน-หนาว กลางวัน-กลางคืน โดยสิ่งแรกในแต่ละคู่คือหยาง อีกสิ่งคือหยิน

    ต่อมาเกิดมีพัฒนาการทางปรัชญาเพิ่มเติมขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วในท่ามกลางหยางก็มีหยิน และในท่ามกลางหยินก็มีหยาง หยินหยางเป็นปรัชญาในลัทธิเต๋าที่มีรูป "ไท่จี๋" เป็นสัญลักษณ์ คือรูปวงกลมและมีเส้นโค้งแบ่งเป็นสองส่วนขาวดำ อุปมาว่าเป็นมัจฉาคือปลาสองตัว ปลาสีขาวเป็นตัวแทนของหยาง ส่วนปลาสีดำเป็นตัวแทนของหยิน ตาของปลาสีขาวเป็นจุดดำ แต่ตาของปลาสีดำเป็นจุดขาว คือในหยางมีหยิน และในหยินมีหยาง ผสมกลมกลืน

    ว่ากันว่าความคิด ความเชื่อ และปรัชญาจีนอย่างหยางหยิน เป็นปัจจัยหลักของยุคเฟื่องฟูทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาวจีนในสมัยราชวงศ์ซ้อง และความเจริญในช่วงนี้ได้ส่งผลต่างๆ ต่อจีนมากมาย เช่น สภาพเศรษฐกิจเฟื่องฟู สิทธิสตรีตกต่ำ เป็นต้น
    --------------------------------------------------------------------------

    [/FONT]
    --ครั้งหนึ่งผมนั่งสมาธิอยู่ พอเริ่มมีพลังขึ้นในตัวพอสมควร บังเอิญ
    มีผู้หญิงแขกเคนหนึ่งดินมา ชายส่าหรีปัดมาโดนตัวผมตรงหัวเข่านิดนึง-แว็บเดียวพลังในตัวผมตอนนั้นหายหมดเลย ---มิน่าล่ะ ทางพระท่านจึงไม่ให้โดนตัวผู้หญิง แม้รับของจากมือก็ไม่ได้ และแสดงถึงว่า พลังงานที่เกิดตอนทำสมาธิ จะเหมือนประจุทางไฟฟ้า

    --แม้แต่การนั่งสมาธิ ต้องมีอาสนะ ซึ่งเป็นผ้านวมหรือพรม ซึ่งก็เป็นฉนวนไฟฟ้าทั้งนั้นครับ
    ---โทษทีครับบทนี้ ความยาวกว่านี้ แก้ไขครั้งสุดท้ายหายหมดเลยครับ ขอทำใจก่อนครับ

    ----ทำไมฤาษีต้องนุ่งห่มหนังเสือ หนังหมี ในขณะที่สอนถึงการห้ามฆ่าสัตว์ห้ามเบียดเบียนชีวิต (คนมีอาคมต้องนานั่งบนหนังเสือโคร่ง หนังหมีควาย จะดูขลังๆ)แต่จริงๆแล้ว มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยี่ทางจิต ไม่ใช่ปัญหาทางจริยธรรมแต่อย่างใด

    --ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งเล่าว่า เขาชอบนั่งสมาธิบนพื้นปูนซีเมนต์ เขาทำเช่นนี้บ่อยๆ จนกระทั่ง เมื่อมีคนมานั่งทับที่ของเขา พลังมันจะย้อนกลับขึ้นมาจนคนๆนั้นไข้ขึ้น ถึงขั้นป่วย แม้ตัวเขาเองถ่้าพลังกายอ่อนแอ ก็พลอยโดนไปด้วย--ท่านไสบาบาบอกว่า พลังที่เกิดขึ้นตอนนั่งสมาธิ จะเหมือนพลังไฟฟ้า ต้องมีอาสนะเป็นผ้า หรือพรมขนสัตว์ เพื่อไม่ให้พลังนี้ไหลลงดินไป

    --ทำไมคนโบราณต้องมีการใส่กำไลมือ กำไลเท้า กำไลต้นแขน สร้อยสังวาล ทำด้วยโลหะ ประดับด้วยอัญญมณี ซึ่งอัญญมณีนั้น-ผู้ศึกษาได้อธิบายว่า มีพลังลึกลับที่เป็นผลดีต่อร่างกาย และวงแหวนโลหะ ย่อมเก็บพลังทางไฟฟ้า โดยอาจเหนี่ยวนำจากสนามแม่เหล็กของร่างกาย และเมื่อพลังของร่างกายลดลง กำไลโลหะย่อมเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก หรือพลังลึกลับอย่างอื่น เพื่อเสริมให้พลังในกายเป็นปกติ(มีขายมากมายหลังสงครามโลก -กำไลทองแดงรักษาสารพัดโรค ฮิตมากๆในยุโรป)

    --ผมเองมีความคิดที่ว่าความรู้และเทคนิคพวกนี้ เป็นส่วนหนึ่งขององค์ความรู้อันมหาศาล ที่อาจจะมาจากชาวอาร์คทอเรื่ยน หรืออันโดรเมด้ากาแล็กซี่ หรือมาจากพระพรหม ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของดวงอาทิตย์ยักษ์"อัลซีโอน" -- ทำไมคนเราจึงต้องสร้างปิรามิด ทำไมต้องมีโบสถ์ เจดีย์ที่มียอดแหลม ซึ่งเก็บพลังลึกลับที่มาจากอวกาศไว้ได้ และการสร้างปิรามิดไว้ในทุกทวีป ้ป็นการปรับสมดุลพลังของโลก ที่เรียกว่า "ปรับฮวงจุ๊ย" หรือทำให้เกิด "พลังชี่"ที่ดี

    --ในขณะที่ชาวโลกเมื่อหมื่นปีก่อน เพิ่งแยกทางออกมาจากมนุษย์วานร ยังไม่สามารถเข้าใจองค์รวมของความรู้ที่ไม่สามรถมองเห็นเป็นวัตถุธรรมได้ จึงได้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบของวัฒนธรรมประเพณี

    --ทำไมท่านจึงไม่เคยอ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ก็ผมนี่ไงครับ คิดรวบรวมเรื่องเหล่านี้มาตั้งเป็นทฤษฎีเป็นคนแรก และที่อ่านมาช่วงท้ายนี้ ก็คือทฤษฎีของผมเองครับ--ไม่สามารถอ่านพบจากที่อื่นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2012
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---อีกวันสองวันนี้ ที่ประชุมร่วมยุโรปจะกำหนดชะตาของประเทศกรีซว่าจะอยู่หรือล่มสลายทางเศรษฐกิจ ขณะที่หุ้นทั่วโลกดิ่งลงเหว ทุกคน หมดอารมณ์ที่จะเก็งกำไรในน้ำมัน ทองคำ เงินเยนและดอลล่าร์ ตลาดหุ้น ตลาดค้าเงิน ทุกอย่างร่วงดิ่งหมด ทุกคนกำลังหาแค่"หมัดป้องตัว"

    ---ชาวต่างดาวฝ่ายดีได้เคยเตือนเตือนเรื่องของ"เศรษฐกิจโลกจะพังพินาศ" และมันเป็นมาแล้วที่อาร์เจนติน่า ที่รัฐบาลโกลกินมากเกินไป และปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาเปิดห้างร้าน ควบคุมเศรษฐกิจทุกอย่าง

    --จากอาร์เจน.. มา-กรีซ คิวต่อไปยังมีครับ อิตาลี่ ประธานาธิปดีร่ำรวยเกินขนาด ขณะที่บางคนฆ่าตัวตายหนีหนี้ เช่นผู้รับเหมาคนหนึ่งเผาตัวตาย

    --ดวงดาวต่างๆ กำลังเล็งอนาคตของโลกและไทยอย่างมุ่งร้าย---21 พค. สุริยุปราคาวงแหวน บ่งบอกผู้มีอำนาจจะเดือดร้อน พบพิบัติภัย
    --เมื่อวานนี้ ที่จ.กาฬสินธุ๋ เกิดเรื่องประหลาด งูสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ยาวประมาณสองเมตร ได้กลืนกินงูจงอางที่มีขนาดใกล้เคียงกันจนเกือบสำเร็จ
    เหตุการณ์นี้เกินบนถนนในหมู่บ้านจัดสรร ไม่ได้เกิดในป่านะครับ ปกคิงูจงอางจะอยู่นิ่งให้งูอื่นกลืนเอาทางหัวนั้นเป็นเรื่องผิดปกติมาก ซึ่งเป็นเวลานานที่จงอางขาดอากาศ แต่ก็ไม่ตาย เมื่อหน่วยกู้ภัยจับไปปล่อยในป่านั้น งูสามเหลี่ยมได้สำรอกงูจงอางออกมา ซึ่งก็ไม่ตาย ทั้งสองตัวก็เลื้อยเข้าป่าไป
    (ปกติเราจะพบงูสามเหลี่ยมได้ยาก เหมือนมันอาย กลัวคน และงูชนิดนี้จะกินพวก กบเขียด หรือหนุเท่านั้น น้อยมากที่จะกินงูด้วยกัน และมีขนาดใหญ่พอๆกันแบบนี้)
    ---ผู้รู้หรือนักปราชญ์ชาวอีสาน บอกว่าเป็นลางอาเพทเหตุร้าย เพราะจงอางเป็นถึงพญางู ทายว่า คนชั้นต่ำ สามรถล้มอำนาจของผู้ใหญ่(ที่ไม่ดี) ในบ้านเมืองได้ ซึ่งจะเป็นอะไรคงต้องรอดูกันต่อไป

    (น่าสังเกตว่า ถ้าเกิดเหตุในป่า ก็จะไม่มีใครรู้ และจงอางที่ดุร้ายยอมให้งูสามเหลี่ยมกินแต่โดยดี เหมือนว่าฟ้าดิน ท่านจงใจจะให้เกิดเหตุเตือนให้ประชาชนเกิดการระวัง หรือเตรียมการแก้ไข เช่นการทำบุญแก้ชะตาดวงเมืองนะครับ
     
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    วันนี้ ( 21 พ.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากรัฐ นิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า เอเชีย-สหรัฐตื่นเต้น “สุริยุปราคาวงแหวน”ทั้งในหลายประเทศในเอเชีย และสหรัฐ ประชาชนนับล้านคนล้วนตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ สุริยุปราคาวงแหวน หนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนท้องฟ้าที่หาชมได้ยาก
    ทั้งนี้ สุริยุปราคาวงแหวนนั้น เกิดจากการที่ดวงจันทร์ โคจรพาดผ่านดวงอาทิตย์ แต่ดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่ามาก จึงไม่สามารถบดบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งหมด ทำให้เหลือพื้นที่รอบนอกของดวงอาทิตย์คล้ายวงแหวน ซึ่งสุริยุปราคาเริ่มเคลื่อนตัวจากตนบนของทวีปเอเชีย ตั้งแต่ช่วงรุ่งสางของวันนี้ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ ซึ่งเวลายังคงเป็นช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ โดยประชาชนในรัฐโคโลราโด โอคลาโฮมา เนวาดา และแคลิฟอร์เนีย สามารถมองเห็นสุริยุปราคาครั้งนี้ชัดเจนที่สุด
    ขณะที่บรรยากาศการเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาชมได้ยากครั้งนี้ ชาวญี่ปุ่นดูจะตื่นเต้นที่สุด เนื่องจากเป็นสุริยุปราคาครั้งแรกในรอบ 173 ปี มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ทั่วประเทศ แม้จะมีฝนโปรยลงมาในช่วงเริ่มต้น แต่ท้องฟ้าก็เปิดในท้ายที่สุด เผยให้ชาวอาทิตย์อุทัยได้มีโอกาสเห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติครั้งนี้โดยทั่วกัน
    (เดลินิวส์)
     
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ตลาดวิตกปัญหาหนี้ลุกลาม ดึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรปทรุด มีผลต่อศก.-ส่งออกของไทย (ข่าวจากไทยพีบีเอส)
    [​IMG]ความกังวลขณะนี้ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 และ 4 ของยูโรโซน คืออิตาลีและสเปน ว่าประเทศทั้งสองอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้
    [​IMG]

    ทั่วโลกต่างกำลังวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนอาจถลำลงสู่ภาวะถดถอยรอบสอง
    จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกที่ปรากฏภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านเครื่องชี้หลายด้าน ทั้งการบริโภค การจ้างงาน และตัวเลขภาคการผลิต ท่ามกลางจังหวะเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯ แม้ผ่านเส้นตายการขยายเพดานหนี้มาได้ในท้ายที่สุด แต่ก็เผชิญเงื่อนไขการตัดลดการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งคงกลายมาเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตอย่างไม่อาจเลี่ยง ขณะเดียวกัน สถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือต่างยังเฝ้าจับตาดูประเด็นฐานะการคลังของสหรัฐฯ โดยยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในอนาคตที่สหรัฐฯ ยังเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ AAA ในปัจจุบัน
    พร้อมกันนั้น ในฟากยูโรโซน ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลต่อปัญหาหนี้ในประเทศกลุ่ม PIGS ไม่ทันจางหาย แต่ความกังวลขณะนี้ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 และ 4 ของยูโรโซน คืออิตาลีและสเปน ว่าประเทศทั้งสองอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของอิตาลีและสเปนพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

    จากกรณีที่ทั่วโลกต่างกำลังวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนอาจถลำลงสู่ภาวะถดถอยรอบสอง หรือ Double-Dip Recess นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในกรณีดังกล่าว ธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงน่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และยูโรโซนในระดับสูง โดยกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด (พึ่งพาสหรัฐฯ และยูโรโซน สูงกว่าร้อยละ 40) เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป กุ้ง ไก่ และผลไม้กระป๋องและแปรรูปนั้น แม้พึ่งพาตลาด 2 กลุ่มนี้สูง แต่เป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค ผลกระทบจึงน่าจะรุนแรงน้อยกว่า

    กลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบค่อนข้างมากรองลงมา ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ คอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ วิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
    ส่วนสินค้าที่มีโอกาสได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เช่น สินค้าเกษตร รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่รวมกันกว่าร้อยละ 40 ของโลกถลำลงสู่ Double-Dip Recession ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกคงยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบ และเศรษฐกิจโลกคงถูกฉุดให้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งคงถ่วงให้การส่งออกของไทยในปี 2555 ต่ำกว่ากรอบประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ร้อยละ 12.0-17.0 อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยในกรณีเลวร้ายอาจกดให้ตัวเลขการเติบโตของการส่งออกเอนเข้าหาแดนลบดังเช่นวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่โดยรวมก็คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจของเอเชีย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์
    สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ในช่วงปีที่สหรัฐฯ ประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยมักถูกฉุดให้ชะลอตัวลงแรงหรือหดตัวตามไปด้วย หากในกรณีดีที่สุด ถ้าเศรษฐกิจจีนและประเทศเอเชียอื่นๆ ยังมีแรงขับเคลื่อนให้ขยายตัวได้พอสมควร และหากรัฐบาลไทยมีมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจากภายในประเทศอย่างเข้มข้น เศรษฐกิจไทยก็อาจยังมีโอกาสที่จะขยายตัวเป็นบวกได้ แต่คงเป็นอัตราไม่สูงนักคือไม่น่าจะเกินร้อยละ 2
    ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง ทิศทางความผันผวนของค่าเงินอาจมีผลทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะภาคส่งออกต้องใช้ความระมัดระวังในการบริหารจัดการธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนมากยิ่งขึ้น
    ---------------------------------------------------------------------------------

    <!-- Begin Tags -->
    • แบงก์กรุงเทพมั่นใจเศรษฐกิจไทยโตร้อยละ 5 แต่ห่วงหนี้ยุโรปทรุดฉุดจีดีพีอาจต่ำกว่าเป้า


      <HR style="WIDTH: 100%">วันอังคาร ที่ 31 ม.ค. 2555
      <!-- AddThis Button END -->

      กรุงเทพฯ 31 ม.ค. - นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กิจการต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ( มหาชน) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะไปได้และถ้าการเมืองไม่มีปัญหามาก คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5 จากปี 2554 ที่เติบโตเพียงร้อยละ 1.8 เนื่องจากปีที่แล้วได้รับผลกระทบหนักจากอุทกภัย แต่ต้องระวังความผันผวน โดยในปีนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจมาจากแรงขับเคลื่อนของการใช้จ่ายภาคเอกชนในการซ่อมแซม จากสินเชื่อที่ภาครัฐและเอกชนปล่อยกู้เพื่อการฟื้นฟูซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก

      ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังต้องพึ่งพาการลงทุนภาครัฐและการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจในไทย โดยแรงส่งภาครัฐที่สำคัญ คือ โครงการที่ลงทุนที่เกี่ยวกับน้ำและการบริหารจัดการน้ำ ประมาณ 300,000 -350,000 ล้านบาท โครงการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท และโครงการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft Loan เพิ่มเติมอีก 300,000 ล้านบาท

      ด้านปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือปัญหาเศรษฐกิจยุโรปที่มีโอกาสที่จะเกิดวิกฤติอีกรอบ หลังจากสัญญาณอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในยุโรปชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด เหลือขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 และอาจจะถึงขั้นติดลบ ขณะที่ปัญหาด้านการคลังเริ่มลุกลามไปยังประเทศที่มีหนี้ และอัตราการขยายตัวในระดับปานกลาง หรือมีการขาดดุลระดับปานกลาง และระดับสูง ดังนั้นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดถ้าปัญหาไปถึงภาคการธนาคาร ปัญหาจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง และจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย กดดันให้จีดีพีอาจจะโตต่ำกว่าร้อยละ 5 ได้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ไปจนถึงปลายปีนี้ หากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปทรงตัว แต่ถ้าเศรษฐกิจยุโรปทรุดหนัก ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็จะปรับลดลงมากกว่านี้

      ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความผันผวนมาก กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31-33 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของเงินบาทในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เคลื่อนไหวระหว่าง 31-31.90 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้น ซึ่งหากเศรษฐกิจยุโรปแย่ลง นักลงทุนจะเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทก็จะอ่อนค่า ดังนั้น นักธุรกิจต้องวางแผนป้องกันความเสี่ยงให้ดี

      ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า การเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยเพราะเอเชียกำลังผงาดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะนำมาสู่การไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงในเอเชียมากขึ้น. -สำนักข่าวไทย

      -------------------------ได้ส่งข่าวอ้างอิงแล้วนะครับ------------
    • ส่วนอีกข่าวหนึ่ง คนเสื้อสี... เกิดความขัดใจ เพราะนักการเมืองมาหลอกให้ตายฟรีๆ บังคับให้ให้อภัยผู้สั่งฆ่า เพื่อการปรองดอง เพื่อเค้าจะได้กลับบ้านได้ ดาราดังก็บอกให้ทำใจเย็นๆไว้ ส่วน บก.ลายจุดบอก"นักการเมืองก็เป็นยังงี้แหละ" แต่ยังดีที่ปลุกยักษ์ให้ตื่นมาแล้ว-- ประชาชนได้รู้ -ได้เห็นถึงพลังของตนเอง (เขียนมากไม่ได้ครับเข้าข่ายการเมือง-- ต้องวางตัวเป็นกลางครับ และไม่ขอออกความเห็น--เนื่องจากความเห็นของผมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนประเทศไทยได้ครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2012
  5. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    ยังติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆ
    อย่าเพิ่งจบไวนะคะ
     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    จบได้ไงล่ะจ๊ะ แปลหนังสือไปได้ 8 หน้าเอง
    ----ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เป็นผู้ผลิตสินค้าป้อนตลาดยุโรป และอเมริกา -ทั่วโลก ว่างั้นดีกว่า
    --แต่ยังมีชาติหนึ่งทะนงตัวหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่ ทุกชาติต้องเอาทองคำมาค้ำประกันค่าเงินที่ฟอร์ตน็อกซ์ของตนเอง แต่ตนเองไม่ต้อง ชาตินั้นก็คือสหรัฐอเมริกา มีกระดาษเยอะ พิมพ์มาเท่าไหร่ก็ได้ ใช้ตามชอบใจ ลองคิดดูซิ อย่างเราปลูกข้าวแทบตาย จีนผลิตสินค้าแทบตาย กว่าจะได้แต่ละอย่าง แต่ประเทศนี้เอาเศษกระดาษเปื้อนหมึกมาแลก คนอื่นเค้าก็เหนื่อยเป็นนะครับอย่ามั่วนิ่ม--เป็นประเทศที่ฟุ่มเฟือยมาก ไม่เคยพอเพียง สินค้าวิทยุ ทีวี มุ้งหมอนที่นอน เสียนิดหน่อยเอามาทิ้งเป็นขยะซะแล้ว ทีคนตกงาน คนแก่ รัฐเลี้ยงดูอย่างดี อย่างคนดำทำแฟลตให้อยู่ ปีเดียวประตูหน้าต่างหายหมด ตามฝาเอาสีพ่นเล่น ตามท้องถนนเต็มไปด้วยการจี้ปล้น ข่มขืน มีแต่ยาเสพติดทุกซอกถนน ก็สมใจเขาแล้ว ปีนี้ก็รับกรรม เศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก มีแต่คนเคยรวย เป็นล้านๆคน ต้องมานอนข้างถนน จุดไฟเอาไออุ่นกันตาย กลางวันก็ไปหารับจ้างทำงาน เก็บขี้หมาตามบ้านคนรวย ไม่งั้นก็แบมือขอทานเอาดื้อๆ เรียกว่าพวกไร้บ้าน หรือ โฮมเล็สน่ะครับ ทุกท่านคงผ่านตาจากในหนัง ก็มันเรื่องจริง--ปิดกันไม่ได้หรอกครับ
    ---แน่จริงอเมริกันก็เอาทองมาคำค่าเงินตัวเองสิ อย่ามาโทษ จีน ญี่ปุ่น ก็เค้าผลิตสินค้าไปขายคุณไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ใช้เทคนิคโจมตีค่าเงินเหมือนที่พวกคุณทำ---เรื่องการไม่มีทองคำค้ำค่าเงิน เห็นในนสพ.เค้าด่ากันทุกวงการ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง แต่พวกก็ทำเฉยซะงั้น ปั๊มเงินมาก ก็ไปซื้ออาวุธ ทำสงครามระรนไปทั่ว ไม่งั้นก็แอบซื้ออาวุธให้ฝ่ายซ้ายกับขวาในประเทศเดียวกันสังหารกันเอง แล้วตนเองทำเป็นพ่อพระเข้าไปแทรกแซง เฮ้ย นั่นมันหน้าที่ของสหประชาชาติโว้ย ไม่ใช่หน้าที่ของเอ็ง จากตำรวจโลก กลายเป็นอันธพาลโลก ตั้งแต่สงครามอ่าว อัฟกา จนถึงอิรัค พวกนี้ได้ฆ่าคนมากี่คนแล้ว ในประเทศมีแต่คนติดยา บ้าเซ็กส์ และฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เทียบกับเรื่องของฉือจี้ เป็นตรงกันข้ามกันเลยครับ---โวยวายแต่เรื่องลิขสิทธิ์อะไรต่างๆ ทีคุณเอาเงินกระดาษมาซื้อสินค้า ไม่คิดว่าคนอื่นเขาเหนื่อย---มีคนไทยในอเมริกา ใช้แรงงานทาส ตัดเย็บเครื่องแบบส่งให้ทางทหารของเค้า อเมริกันทำเฉยๆซะอย่างนั้น เพราะตนเองได้ผลประโยชน์
    ---นับตั้งแต่มีการพิมพ์ธนบัตรเกิดขึ้น ความเชื่อมั่นของชาวโลกต่อเงินกระดาษลดฮวบลงทันที ยิ่งปัจจุบันมีเงินในธนาคาร หรือเงินอเลคทรอนิกส์ มันยิ่งไกลตัว ขาดความเชื่อมั่น เงินเหรียญ 1 ดอลล่าร์ เป็นเนื้อเงินแท้ ปัจจุบันค่าของมันพุ่งพรวดเป็นร้อยๆเท่า แม้เหรียญในปัจจุบัน มันมีค่าเพราะมีค่าของเนื้อโลหะ ผมและภรรยาชอบมากเลยครับเหรียญพวกนี้ เอาเก็บไว้ทีเป็นพันๆ เอามาแลกธนบัตรซื้อข้าวกินได้มากมายเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    Practical Reportจากวิกฤตการเงินสู่วิกฤตเงินตราโลก

    เบ๊นซ์ สุดตา
    กันยายน 2008
    โลกเผชิญความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนักหลังจากวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของโลกนาม Lehman Brothers Holdings ประกาศล้มละลายเมื่อวันที่ 14 ในเดือนนั้น

    การประกาศล้มละลายของ Lehman Brothers ส่งผลให้ระบบการเงินโลกเกิดอาการช็อกอย่างแรง มีการเทขายสินทรัพย์อย่างมหาศาลทั่วโลก สภาพคล่องเหือดแห้งในตลาดเงินจากความหวาดกลัวที่มีต่อสถาบันการเงินในโลกตะวันตกว่า ใครจะโดนเป็นรายต่อไป และผลจากวิกฤต Lehman นี้เองที่ส่งผลให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Merrill Lynch, AIG, Royal Bank of Scotland, Lloyds TSB Group หรือ UBS ต่างอยู่ในสภาวะใกล้ตายจนต้องเข้าคิวขอเงินจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มตาม Lehman แล้วส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่ไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ
    เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ได้เห็นรัฐบาลทั่วโลกทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายผนึกกำลังกันระดมทรัพยากรทั้งด้านการเงินและการคลังอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ และเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบการเงินล่มสลายไปแบบทันทีทันใด

    กลับมายังในเดือนกันยายน 2011
    โลกก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะของ “Lehman Moment” อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นในทวีปยุโรป แต่เกิดกับภาครัฐบาลแทน จุดเริ่มต้นทั้งหมดเกิดที่ประเทศกรีซก่อน จากนั้นก็ลุกลามไปยังประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มเงินยูโรไม่ว่าจะเป็นไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน อิตาลี และมีทีท่าว่าอาจจะลุกลามเข้าไปยังฝรั่งเศสได้ หากเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลกรีซหรือประเทศชายขอบอื่นๆ ของยุโรป
    ขณะเดียวกันในช่วงเดือนสิงหาคม โลกก็เผชิญ Lehman Moment นี้มาแล้วครั้งหนึ่ง หลังจากสหรัฐฯ สูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ AAA จากเอสแอนด์พีไปเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม และในเดือนเดียวกันนี้เอง ประเทศมหาอำนาจอีกแห่งคือ ญี่ปุ่น ก็โดนมูดี้ส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือมาเหลือ Aa3 ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้แสดงให้เห็นถึงภาพกว้างของการเกิดภาวะ Lehman Moment ที่มีต้นเหตุ “วิกฤตหนี้สาธารณะ” หรือ “Sovereign Debt Crisis” ที่ขยายวงไปทั่วโลกในปี 2011

    หากมองเผินๆ วิกฤตในรอบช่วง Lehman ล้ม วิกฤตของกรีซที่ลุกลามไปทั่วยุโรป และวิกฤตที่รอปะทุขึ้นในสหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเช่นเดียวกับวิกฤตการเงินทั่วไปในประวัติศาสตร์การเงินในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการร่วงลงของราคาสินทรัพย์ในตลาดทุน ตลาดโภคภัณฑ์, อาการเหือดแห้งของสภาพคล่องในตลาดเงินและตลาดระหว่างธนาคาร, ภาวะชะลอตัว/ถดถอยทางเศรษฐกิจ และวิกฤตของสถาบันการเงิน






    (โห..ถึงขนาดระบบการเงินล้มเหลวทั่วโลกเลยหรือนี่ จะเหมือนที่ผมเคยพูดไว้เข้าทุกวันอีกหน่อยต้องเอาข้าวปลามาแลกกันละมั้งเนี่ย--สิ่งเดียวที่เหลือก็คือ ทองนะครับ พี่น้องครับ))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2012
  8. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    การเงิน--ต่อนะครับ
    [​IMG]ภาพประกอบจาก Wikimedia Commons

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกรีซ ประเทศเขตเงินยูโร หรือแม้แต่ในประเทศสหรัฐฯและญี่ปุ่นเองนั้นมีความหมายที่กว้างกว่าการเป็นเพียง วิกฤตการเงิน (Financial Crisis) ทั่วไปแบบที่เข้าใจกันในหน้าสื่อ แต่วิกฤตครั้งนี้กินลึกไปถึงโครงสร้างที่ควบคุมและสนับสนุนการไหลเวียนของกระแสเงินในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยมีต้นตอมาจากตลาดพันธบัตรรัฐบาลก่อน จากนั้นลุกลามไปสู่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลาง นโยบายการเงิน และระบบทุนสำรองของโลก โดยวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ถือเป็นการพัฒนาการอีกขั้นต่อจากวิกฤตการเงินในช่วง 2007-2008 แต่เป็นวิกฤตขั้นใหม่ที่เรียกว่า วิกฤตเงินตราโลก (Global Monetary System)
    สิ่งที่เกิดขึ้นในเขตเงินยูโร และการที่สหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ต่างเสียอันดับความน่าเชื่อถือกันแบบเรียงหน้ากระดาน มีผลกระทบกว้างไกลมากกว่าแค่วิกฤตในระบบการเงินแบบที่เคยเข้าใจอย่างที่ผ่านมา ซึ่งมักจะส่งผลต่อตลาดการเงินและระบบสถาบันการเงิน หรือคล้ายๆ กับวิกฤตหนี้สาธารณะในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจทั้งหลายที่สุดท้ายแล้วจบลงที่การผิดนัดชำระหนี้ (default), การปรับโครงสร้างหนี้, การกู้เงินและขอความช่วยเหลือจากประเทศพัฒนาแล้ว และการขายทรัพย์สินของรัฐบาลมากมาย
    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้นั้นแสดงให้เห็นถึงวิกฤตเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ที่มาจากการทำงานของระบบเงินตราโลกในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงเงินตราสกุลหลัก 4 สกุลคือ ดอลลาร์สหรัฐฯ, ยูโร, เยนญี่ปุ่น, ปอนด์สเตอร์ลิง และชุดของกติกาต่างๆ และสถาบันโลกบาลที่รับผิดชอบและกำกับดูแลระบบการเงินโลกทั้งหลาย (เช่น IMF, BIS) ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้างและกติกาที่กำหนดและควบคุมโดยประเทศเจ้าของเงินตราสกุลหลักนั่นเอง
    วิกฤตในโครงสร้างสกุลเงินสำรอง (Crisis in International Reserve Currency Structure)

    วิกฤตหนี้ที่เกิดขึ้นในประเทศเขตเงินยูโรหรือในสหรัฐฯ นั้น หากจำแนกสาเหตุออกมาจะพบว่ามีสาเหตุอยู่ 2 ประการคือ สาเหตุในประเทศ และ สาเหตุนอกประเทศ
    สาเหตุในประเทศ สืบมาจากประเทศเจ้าของเงินสกุลหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศเขตเงินยูโรทั้งหลายมีปัญหาเศรษฐกิจภายในที่ซบเซามานาน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ และการว่างงานที่สูงช่วงหลังวิกฤตการเงิน 2007-2008 และปัญหานี้ก็หนักเป็นพิเศษในกลุ่มประเทศเขตเงินยูโร (Eurozone) ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำมาก ขณะที่อัตราการว่างงานก็สูงเรื้อรังมานานแล้ว ซึ่งนั่นย่อมไม่เพียงพอที่จะรักษาความสามารถในการชำระหนี้ให้ยั่งยืนไปได้
    ในส่วนของสาเหตุจากภายนอกประเทศนั้นเป็นผลมาจากโครงสร้างของสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve Currency) ที่ผูกขาดกันแค่ 4 สกุลใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินยูโร ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินสองสกุลนี้ <!--EndFragment-->ครองส่วนแบ่งในระบบทุนสำรองทั่วโลกเฉลี่ยกว่า 90% มาโดยตลอด ทำให้ประเทศสหรัฐฯ และประเทศเขตเงินยูโรมีความสามารถในการก่อหนี้ได้แทบไม่จำกัด
    ขณะที่อัตราดอกเบี้ยโดยรวมมีแนวโน้มต่ำลงเพราะแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่ส่งออกทั้งสินค้าและโภคภัณฑ์ ที่ต้องเอาเงินตราต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในทุนสำรองผ่านการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและบัญชีทุน กลับไปลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำในสกุลเงินดอลลาร์และยูโร
    ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯ และประเทศในเขตเงินยูโรยังคงมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ AAA หรือใกล้ AAA เป็นส่วนมาก ทำให้เงินทุนไหลเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดพันธบัตรรัฐบาลลดลง และมีผลต่อเนื่องไปถึงโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในภาคธนาคารและภาคเอกชนทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ มีผลกระตุ้นการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศพัฒนาแล้ว และก่อตัวเป็นฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และ ตลาดหุ้น
    ตารางที่ 1
    <TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=359><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width=359 colSpan=4 noWrap>
    Proportion of US Dollar and Euro in
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=359 colSpan=4 noWrap>
    Foreign Exchange Reserves Holdings (%)
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    Year
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    US Dollar
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    Euro
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    Total
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    1999
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    71.01
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    17.90
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    88.91
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2000
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    71.13
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    18.29
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    89.42
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2001
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    71.51
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    19.18
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.69
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2002
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    67.08
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    23.80
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.88
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2003
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    65.93
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    25.16
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    91.09
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2004
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    65.95
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    24.81
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.76
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2005
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    66.91
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    24.05
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.96
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2006
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    65.48
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    25.09
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.57
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2007
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    64.13
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    26.28
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.41
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2008
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    64.09
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    26.42
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    90.51
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2009
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    62.09
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    27.56
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    89.65
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    2010
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    61.41
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    26.33
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    87.74
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=93 noWrap>
    Q2-2011
    </TD><TD vAlign=bottom width=104 noWrap>
    60.23
    </TD><TD vAlign=bottom width=91 noWrap>
    26.73
    </TD><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    86.96
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ตารางที่ 2
    <TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=390><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width=390 colSpan=4 noWrap>
    Foreign Exchange Reserves : World Total VS
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=390 colSpan=4 noWrap>
    Emerging and Developing Economies
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap></TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    World Total
    </TD><TD vAlign=bottom width=185 colSpan=2 noWrap>
    Emerging and
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap></TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    Reserves
    </TD><TD vAlign=bottom width=185 colSpan=2 noWrap>
    Developing Economies
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>Year</TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    (in millions USD)
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    (in millions USD)
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    in %
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    1999
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    1,781,947
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    660,161
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    37.05
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2000
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    1,936,282
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    719,048
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    37.14
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2001
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    2,049,665
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    803,099
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    39.18
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2002
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    2,408,000
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    964,641
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    40.06
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2003
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    3,025,091
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    1,258,145
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    41.59
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2004
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    3,748,382
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    1,677,621
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    44.76
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2005
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    4,320,173
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    2,241,465
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    51.88
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2006
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    5,251,722
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    2,998,979
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    57.10
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2007
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    6,700,008
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    4,267,589
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    63.70
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2008
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    7,338,339
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    4,846,934
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    66.05
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2009
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    8,163,194
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    5,384,357
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    65.96
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    2010
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    9,258,780
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    6,166,328
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    66.60
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width=70 noWrap>
    Q2-2011
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    10,080,371
    </TD><TD vAlign=bottom width=134 noWrap>
    6,844,073
    </TD><TD vAlign=bottom width=51 noWrap>
    67.90
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ดังนั้นภาพที่เห็นชัดก็คือ การที่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินหรือปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะในสหรัฐฯหรือประเทศเขตเงินยูโร เงินทุนก็จะมีการไหลสลับไปมากันระหว่างสองที่นี้ และสะท้อนออกมายังอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯกับเงินยูโร รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์และยูโรกับเงินสกุลสำคัญอื่นๆ เช่น เยนญี่ปุ่น หยวนจีน ฟรังก์สวิส
    จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นชัดว่า หลังจากสหรัฐฯ ประสบปัญหาฟองสบู่แตกช่วงวิกฤตหุ้นกลุ่มไฮเทคในปี 2001 สัดส่วนของทุนสำรองก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมาพอกที่ยูโรเป็นหลัก แต่ในปี 2010 ที่สัดส่วนในเงินยูโรลดลงก็ตรงกับช่วงที่วิกฤตหนี้สาธารณะในกรีซปะทุขึ้นทันที แต่สัดส่วนของเงินดอลลาร์ก็มีการลดลงมาบ้าง แต่เมื่อดูโดยภาพรวมแล้วก็สรุปได้ว่า แม้ว่าจะมีแนวโน้มกะรจายทุนสำรองไปยังเงินสกุลอื่นๆ และทองคำจนส่งผลให้สัดส่วนรวมของดอลลาร์กับยูโรลดลง แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องถือว่า เงินทั้ง 2 สกุลยังคงครองสัดส่วนในทุนสำรองโลกอยู่สูงมากคือเกือบ 90%
    ขณะเดียวกันการที่ทุนสำรองยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอัตราเร่งในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญหาความยุ่งยากและความเสี่ยงของวิกฤตหนี้ในอนาคตที่จะลุกลามเข้าสู่ระบบการเงินและกินลึกไปสู่โครงสร้างระบบเงินตราโลกจะยังไม่ได้รับการแก้ไข ประเทศเจ้าของเงินตราสกุลหลักจะมีการก่อหนี้สะสมต่อไปเรื่อยๆ และนั่นก็จะทำให้ประเทศที่ถือเงินสกุลสำรองหลักทั้ง 2 สกุลมีความเสี่ยงสูงขึ้นเป็นทอดๆ หากไม่มีการปรับโครงสร้างเงินสกุลสำรองอย่างจริงจัง ให้มีความสมดุลกับความเป็นจริงของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกมากขึ้นเพื่อลดสภาวะ “ความไม่สมดุลในการบริหารเศรษฐกิจโลก” (Global Economic Governance Imbalance) จากภาวะที่เกิด “ภาวะผูกขาดในระบบเงินตรา” (Monetary Oligopoly) โดยเฉพาะระบบเงินสกุลสำรอง
    วิกฤตในระบบอัตราแลกเปลี่ยน (Crisis in Exchange Rate Regime)

    สิ่งที่เห็นชัดมากอีกอย่างจากวิกฤตหนี้สาธารณะเขตเงินยูโรและสหรัฐฯ คือ ความผันผวนอย่างรุนแรงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ลุกลามหนักจนกระทบเสถียรภาพของระบบการเงินทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ราคาโภคภัณฑ์ การดำเนินนโยบายการเงิน และความเสี่ยงในภาคเศรษฐกิจจริง ในกรณีที่ประเทศนั้นๆ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวในปัจจุบันที่รองรับการไหลเวียนเสรีของเงินทุนกำลังสร้างปัญหาให้กับหลายประเทศทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายที่ต้องพึ่งพาภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะภาคการส่งออกสูง
    วาทกรรม “สงครามสกุลเงินระหว่างประเทศ” (International Currency War) จากปากรัฐมนตรีคลังของมหาอำนาจใหม่อย่างบราซิลหลังการประกาศมาตรการ QE2 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ถือเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงปัญหาของระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่กระทบประเทศกำลังพัฒนาเช่นบราซิล และจากตารางที่ 2 ก็ยิ่งชี้ชัดว่า ธนาคารกลางและหน่วยงานทางการเงินในประเทศกำลังพัฒนาระดม “กระสุน” ขนาดไหนในการต่อสู้กับสงครามค่าเงินในครั้งนี้ ดังจะเห็นได้จากทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นมหาศาล และดูเหมือนว่าสถานการณ์ในปี 2011 ที่ปัญหาจากทั้งสหรัฐฯและยุโรปรุมเร้าเข้ามาจะหนักเป็นพิเศษ โดยเพียงแค่ครึ่งแรกของปี 2011 ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายก็เกือบเท่ากับปี 2010 ทั้งปีแล้ว
    ไม่เพียงเท่านั้น ประเทศพัฒนาแล้วก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน โดยหลังมาตรการ QE ของเฟดออกมา ธนาคารกลางและรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีปฏิบัติการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนหลายต่อหลายครั้ง นับแต่เดือนกันยายน 2010 แต่ความพยายามเหล่านั้นยังคงล้มเหลวมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และเงินยูโรในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
    แต่ที่เป็นสัญญาณชัดถึงความบกพร่องและวิกฤตเชิงโครงสร้างของระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันก็คือ การหันกลับไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่แบบครึ่งหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้ตัดสินใจประกาศให้เงินฟรังก์วิ่งได้ไม่เกิน 1.2 ฟรังก์ต่อยูโร (หรือมีเพดานค่าเงินนั่นเอง)เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2011 ที่ผ่านมาทางการสวิสได้มีการออกมาแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเต็มที่ในช่วงนับตั้งแต่เกิดวิกฤตในยุโรป ส่งผลให้ทุนสำรองพุ่งมหาศาลในช่วงสั้นๆ
    [​IMG]
    ที่มา : Swiss National Bank
    จากรูปจะเห็นได้ชัดว่าทุนสำรองของสวิสคงตัวมาตลอด ทั้งในรูปเงินดอลลาร์และเงินฟรังก์สวิส (CHF) แต่เพิ่งมาพุ่งทะยานหนักๆ ในช่วงหลังวิกฤต Lehman ในปี 2009 นี่เอง และหากนับเฉพาะช่วงนับแต่วิกฤตสนยุโรปปะทุขึ้นในปี 2010 ทุนสำรองของสวิสก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 180% ในรูปเงินดอลลาร์ และ 120% ในรูปของฟรังก์ อันเป็นการแสดงความผิดปกติขั้นรุนแรงของระบบอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเงินสกุลสำรองด้วย โดยทั้งดอลลาร์และยูโรต่างก็มีปัญหา ทำให้เงินไหลออกจากยุโรปและสหรัฐ ฯทะลักเข้าไปยังสวิสและญี่ปุ่น ส่งผลให้สงครามค่าเงินขยายวงกว้างไปถึงประเทศพัฒนาแล้วด้วย และท้ายที่สุดประเทศศูนย์กลางการเงินอย่างสวิตเซอร์แลนด์เองซึ่งหากินกับภาคการเงินมาตลอดได้ตัดสินใจแบบช็อกตลาดในการตั้งเพดานค่าเงิน ซึ่งนั่นเท่ากับว่าฐานะของสวิตเซอร์แลนด์ในตลาดเงินโลกนั้นมีฐานะใกล้เคียงกลายๆ กับประเทศจีนและกลุ่มประเทศอาหรับ 5 ประเทศในภูมิภาคอ่าว ที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือมีการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเข้มงวด เป็นการตอกย้ำถึงความผิดปกติและบกพร่องของโครงสร้างระบบเงินตรา
    เมื่อวิกฤตลามเข้าสู่ธนาคารกลาง!!

    วิกฤตในยุโรปที่คุกรุ่น ยังได้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดและความล้มเหลวของสถาบันในโครงสร้างของระบบเงินตราที่ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาได้ ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามาตรการแบบเดิม ๆ ที่เคยใช้อย่าง Quantitative Easing นั้นไม่สามารถใช้ได้ในกรณีของยุโรป ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารกลางยุโรปได้เข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีปัญหาในเขตเงินยูโร แต่นั่นกลับกลายเป็นว่าตัวธนาคารกลางยุโรปเองได้มีสภาพ “ติดเชื้อ” ทางการเงิน ตามรอยธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรปที่ถือพันธบัตรของกรีซและประเทศชายขอบอื่นๆ โดยมีการคาดการณ์กันว่า เฉพาะพันธบัตรกรีซเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรปขาดทุนถึง 75,000 ล้านยูโร หากราคาพันธบัตรยังตกต่อเนื่อง และผลขาดทุนนี้อาจเพิ่มสูงขึ้นหากการเข้าไปอุ้มพันธบัตรสเปนและอิตาลีในขนาดที่ใหญ่ไม่สามารถแก้วิกฤตได้
    [​IMG]
    การขาดทุนมหาศาลในสถาบันที่เป็นต้นทางของระบบเงินตราอย่างธนาคารกลาง ย่อมมีผลสะเทือนมหาศาลต่อการดำเนินนโยบายการเงินและสกุลเงินนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางที่เป็นผู้ออกเงินสกุลหลักของโลกอย่างธนาคารกลางยุโรป และอาจรวมถึงเฟดด้วยในอนาคต หากว่าราคาอสังหาริมทรัพย์และ/หรือราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯร่วงลงมาก ย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกที่ถือทุนสำรองเป็นยูโรและดอลลาร์
    เห็นได้ชัดว่าวิกฤตในยุโรปครั้งนี้เป็นวิกฤตที่กินลึกไปถึงโครงสร้างระบบเงินตราโลกอย่างแท้จริง ทั้งความไร้สเถียรภาพที่มีต่ออัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลสำรองหลักของโลก วิกฤตของระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว และวิกฤตในด้านของสถาบันทั้งธนาคารกลาง นโยบาย และรวมถึงสถาบันระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น EU IMF หรือ BIS ที่ไม่สามารถยับยั้งวิกฤตและควบคุมความเสี่ยงในระบบการเงินได้ จนวิกฤตการเงินลุกลามไปยังภาครัฐและเข้ากัดกินระบบเงินตราโลกจนวิกฤตตามไปด้วย
    วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เผยให้เห็นถึงสภาพของปัญหาและข้อจำกัดของโครงสร้างต่างๆ ที่วางเอาไว้ในระบบการเงินของประเทศเจ้าของเงินสกุลหลักเท่านั้น วิกฤตในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของมหาอำนาจกลุ่มใหม่อย่าง BRICS ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทรัพยากรของกลุ่ม BRICS ไม่ได้มีมากพอที่จะไปช่วยกู้วิกฤตยุโรปได้ แม้ว่าจะมีทุนสำรองรวมกันมากกว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดนั้นเป็นทุนสำรองที่ถูกจัดสรรลงในสินทรัพย์ต่างๆ ไปหมดแล้ว ไม่ใช่เงินสดล้วนๆ ที่เอามาใช้ได้ทันที
    [​IMG]ผู้นำประเทศกลุ่ม BRIC ในการประชุมปี 2010

    และหากวัดกันจริงๆ ในกลุ่ม BRICS เองนั้นก็มีแค่จีนกับรัสเซียเท่านั้นที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เฉพาะประเทศจีนเองก็มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับเพียงแค่ 200,000-300,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และมีแนวโน้มลดลงด้วยจากการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ขณะที่ดุลการชำระเงินโดยรวมนั้นอยู่ที่ราว 400,000-500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต้องไม่ลืมอีกว่า จีนและประเทศอื่นๆ ในโลกที่มีทุนสำรองนั้นไม่สามารถผันทรัพยากรทั้งหมดไปกอบกู้ยุโรปได้ เพราะเงินที่เข้าประเทศและทุนสำรองเป็นดอลลาร์เสียส่วนมาก ทุกประเทศจึงมีภารกิจหลักในการ “อุ้ม” สหรัฐฯ เป็นอันดับแรก จากนั้นเงินที่เหลือจึงค่อยปันส่วนไปยังยุโรป
    หากจีนต้องมีการปันส่วนทุนสำรองราว 25-30% ของเงินที่เข้าประเทศในแต่ละปี จีนจะมีเงินไปช่วยยุโรปจริงๆ เพียงแค่ 100,000-150,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น และนั่นก็เป็นเงินที่จีนมีการบริหารจัดการเพื่อการกระจายโครงสร้างทุนสำรองตามปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่เงินก้อนใหม่อะไร เทียบกับหนี้กรีซที่ 353,000 ล้านยูโรหรือเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์ และอิตาลีที่ 1.9 ล้านล้านยูโร หรือกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งประเทศอย่างจีนและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ย่อมไม่มีกำลังพอที่จะช่วยได้ และนั่นเป็นการเสี่ยงเกินไปด้วยหากต้องเข้าไปซื้อพันธบัตรเหล่านี้มากเกินไป อีกทั้งทุกประเทศก็ไม่ต้องการให้อเมริกาล้มหากเกิดการ default ขึ้นมา เพราะนั่นจะเป็นหายนะที่ร้ายแรงกว่าหากเอนไปช่วยยุโรปซึ่งก็ไม่ได้สามารถช่วยอะไรมาก แต่ปล่อยให้อเมริกาซึ่งเป็นแกนหลักของระบบการเงินโลกตัวจริงพังลงไป
    ภาวะสุญญากาศระบบเงินตราโลก (Global Monetary Vacuum)

    การเกิดขึ้นของเงินยูโรนั้นก็เพื่อเป็นคำตอบหนึ่งในการปรับสมดุลระบบการเงินและการบริหารเศรษฐกิจโลกที่ถูกผูกขาดโดยสหรัฐฯ เงินดอลลาร์ และสถาบันโลกบาลทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่รวมศูนย์หรือควบคุมโดยวอชิงตัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ แม้แต่เงินยูโรเองก็ไปไม่รอดจากปัญหาในโครงสร้างสถาบันที่รองรับเงินยูโรเอง และเศรษฐกิจในยุโรปโดยรวมที่ตกต่ำมานานและมีภาวะหนี้ที่สูงขึ้นทั้งภาคเอกชนและภาครัฐไม่ต่างจากสหรัฐฯ ที่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการก่อหนี้ของภาคเอกชนและภาครัฐเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา
    และในช่วงที่ระบบการเงินและระบบเงินตราโลกวิกฤตเช่นนี้ กลายเป็นโอกาสให้ประเทศจีนผลักดันเงินหยวนสู่เวทีโลก เพื่อเข้ามาแข่งขันกับเงินดอลลาร์และยูโร ผ่านมาตรการจำนวนมากที่ทะยอยออกมานับแต่กลางปี 2010 และการที่จีนยกเลิกการตรึงค่าเงินคงที่กับดอลลาร์นับแต่กลางปี 2008 ทั้งนี้จีนมีการเปิดให้มีการค้าขายเป็นเงินหยวนได้ การพัฒนาตลาด Offshore ของเงินหยวนในฮ่องกงและเล็งที่จะขยายไปยังสิงคโปร์ ไต้หวัน และลอนดอนในอนาคต การเปิดให้ธนาคารกลางสามารถซื้อเงินหยวนได้ผ่านระบบโควต้า การใช้เงินหยวนในรูปของ FDI กลับมายังจีน ฯลฯ
    [​IMG]เงินหยวน (ภาพจาก Wikipedia)

    แต่เงินหยวนก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้ และเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ทั้งนี้หากพิจารณาในแง่ประโยชน์การใช้งาน การค้าในรูปเงินหยวนแม้ว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เงินหยวนนั้นมีขอบเขตจำกัดในการใช้งานได้เฉพาะประเทศจีนเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในที่อื่นๆ ได้เพราะประเทศต่างๆ ยังคงค้าขายกันในรูปดอลลาร์อยู่ แถมทางการจีนก็มีการคุมเข้มการใช้เงินหยวนอย่างใกล้ชิด
    ไม่ใช้เฉพาะการที่เงินหยวนไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้เสรีเพราะการคุมเข้มอย่างหนักเท่านั้น แต่การที่จีนมีตลาดการเงินที่ยังไม่พัฒนามากและมีขนาดของตลาดพันธบัตรรัฐบาลในประเทศที่ไม่ใหญ่พอที่จะรองรับแรงซื้อเงินหยวนมหาศาลได้ ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีข้อจำกัดในการถือสินทรพัย์ในรูปเงินหยวนด้วย ทั้งนี้หากเทียบกับประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งขนาดเศรษฐกิจและตลาดสินทรัพย์ที่ใหญ่โตกว่าหลายเท่าตัวแล้ว โอกาสที่เงินหยวนจะมาเป็นคู่แข่งกับเงินดอลลาร์หรือเงินยูโรนั้นย่อมไม่ง่ายนัก โดยหลายสำนักนั้นให้ตัวเลขเงินหยวนในโครงสร้างทุนสำรองโลกในอนาคตไว้ที่ 5-10% เท่านั้น และเงินหยวนเองก็ต้องรอเวลาถึงราว 2015-2020 ถึงจะสามารถเป็นเงินสกุลสำรองที่เป็นที่ยอมรับได้
    ฉะนั้นแล้วนั่นย่อมหมายความว่า โลกจะเผชิญกับภาวะไร้เสถียรภาพที่รุนแรงขึ้นจากวิกฤตในโครงสร้างระบบเงินตราที่แกนหลักอย่างดอลลาร์และยูโรมีความผันผวนสูงมากและมีปัญหาจากหนี้สินที่ล้นพ้นตัว ขณะที่ก็ยังไม่มีตัวเลือกใดที่ดีไปกว่า 2 สกุลนี้ ซึ่งภาวะที่โลกมี “สุญญากาศในระบบเงินตรา” (Global Monetary Vacuum) นี้จะเร่งให้เกิดปฏิกิริยาเป็นลบย้อนกลับไปจากการที่ประเทศเจ้าของเงินตราสกุลหลักกลับสามารถก่อหนี้ได้มากกว่าเดิม ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงแบบต่อเนื่อง และปัญหาหนี้สินที่พอกพูนขึ้นก็จะทับถมความเสี่ยงในระบบการเงินให้สูงขึ้น จนอาจนำมาสู่การลดอันดับความน่าเชื่อถือแบบซ้ำซากในอนาคตและความตื่นตระหนกและวิกฤตการเงินรอบใหม่ที่รุนแรงขึ้น
    สัญญาณเตือนระบบตะวันตกล้มและการรับมือเบื้องต้นของไทย

    หากพิจารณาโดยเนื้อแท้แล้วจะพบว่า สัญญาณในตลาดทองคำนั้นไม่ใช่เพียงบ่งบอกถึงความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อเงินดอลลาร์และยูโร แต่มันบ่งบอกถึงความไม่เชื่อมั่นในค่าของเงินกระดาษ (Fiat Currency) ในทุกสกุลด้วย เพราะราคาทองคำนั้นทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ในทุกสกุล และมีการซื้อทองคำรวมถึงโลหะมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน (silver) ตุนอย่างมโหฬารทั่วโลกในหมู่ประชาชนทั่วไป นักลงทุน และธนาคารกลางทั้งหลายโดยเฉพาะจากประเทศกำลังพัฒนา โดยปี 2009 เป็นปีแรกที่ธนาคารกลางเป็นผู้ซื้อสุทธิทองคำที่ 87 ตัน ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2011 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อสุทธิไปถึง 192.3 ตัน จากข้อมูลของ World Gold Council
    ปรากฎการณ์ที่น่าสนใจอีกประการที่เชื่อมโยงกับวิกฤตในระบบเงินตราโลกก็คือ การที่เวเนซูเอล่าถอนเอาทุนสำรองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำและเงินตราต่างประเทศที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินตะวันตกกลับประเทศตามนโยบายของประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวซ ซึ่งแม้ว่าทั้งหมดจะเป็นเงินที่น้อยเพียง 17,300 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่นั่นเป็นสัญญาณถึงความไม่มั่นใจที่มีต่อระบบและอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในประเทศอื่นตามมา
    ขณะเดียวกันวิกฤตที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นชัดว่ามีการลุกลามไปในวงกว้างตั้งแต่ตลาดพันธบัตรรัฐบาล เข้าสู่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นที่ทำธุรกรรมด้วย ไปยังธนาคารกลาง ดังนั้นแล้วย่อมเกิดความเสี่ยงสูงที่ธนาคารใหญ่ๆ อาจมีปัญหาล้มละลายหรือ Bank Run ได้หากเกิดการ Default ในยุโรปหรือแม้แต่ในสหรัฐฯเอง ซึ่งนั่นย่อมกระทบฐานะการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ที่ฝากทุนสำรองเอาไว้กับสถาบันการเงินตะวันตกไม่กี่แห่งที่อาจถอนออกมาไม่ได้หรือถอนได้ช้าและอาจได้เงินคืนไม่เต็มจำนวนด้วย
    ดังนั้นเพื่อป้องกันวิกฤตที่มีแนวโน้มลุกลามใหญ่โตขึ้นในอนาคต ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่ถูกสั่นคลอนในระบบการเงินปัจจุบัน และภาวะสุญญากาศในโครงสร้างเงินตราโลก ประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจเปิดควรมีการรับมือเบื้องต้นโดยการกระจายสถานที่เก็บเงินทุนสำรองด้วย นอกเหนือจากการกระจายทุนสำรองเพื่อหลีกเลี่ยง Insolvency Risk จากสถาบันการเงินในตะวันตก ด้วยโครงสร้างของการค้าไทยที่เน้นในแถบเอเชียมากขึ้นโดยเฉพาะจีน ไทยควรพิจารณาทะยอยย้ายทุนสำรอง 20-25% มาฝากไว้ในฮ่องกงซึ่งมีระบบธนาคารทัดเทียมลอนดอน อีกทั้งมีความมั่นคงมากกว่าเพราะทั้งฮ่องกงและจีนมีทรัพยากรมหาศาลในการค้ำยันระบบการเงินฮ่องกงไม่ให้ล้มตามตะวันตกได้ โดยแบ่ง 75% ของเงินก้อนที่โยกมานี้ไว้กับธนาคารของตะวันตกที่มีสาขาในฮ่องกง และที่เหลือฝากไว้กับ Bank of China ซึ่งในปัจจุบันเป็น Yuan Settlement Center ที่ธนาคารทั่วโลกต้องมาชำระบัญชีการค้าหยวนด้วย และนั่นจะทำให้ไทยอยู่ในฐานะที่สะดวกในการเข้าถึงตลาดเงินหยวนเพิ่มเติมในอนาคตด้วย
    นอกจากฮ่องกงแล้ว ไทยควรมีการพิจารณาฝากทุนสำรองบางส่วนไว้ที่ตะวันออกกลางด้วยเพื่อความสะดวกในการค่าน้ำมันในยามฉุกเฉิน ซึ่งหากเกิดวิกฤตรุนแรงในระบบธนาคารตะวันตกขึ้นมานั่นจะช่วยเป็นหลักประกันได้ว่า ไทยจะยังมีสภาพคล่องเพื่อซื้อน้ำมันในยามที่วิกฤตการเงินโลกรุนแรงหนัก โดยดูไบถือเป็นศูนย์กลางการเงินที่มีความพร้อมที่สุด โดยควรมี MOU หรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องธปท. ปตท. กระทรวงการคลัง กับธนาคารในตะวันออกกลางและ Supplier ของ ปตท. เพื่อตั้งระบบชำระเงินขึ้น

    <!-- entry -->
    <?xml:namespace prefix = fb ns = "http://www.facebook.com/2008/fbml" /><fb:like width="100" href="http://www.siamintelligence.com/from-financial-crisis-to-monetary-crisis/" send="false" layout="button_count" show_faces="false" font="lucida grande"></fb:like>

    (อ่านแล้ววังเวงนะครับ นี่การเงินโลกง่อนแง่นเต็มทีแล้ว ถ้าโลกนี้ไม่มีทองคำ การเงินของโลกคงพังพาบไปนานแล้วครับ)

    <NOSCRIPT></NOSCRIPT><!--sidebar--><!--main-content-->
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234

    Posted by indexthai , ผู้อ่าน : 710 , 23:27:55 น.
    หมวด : <!-- retweet and facebook --><!-- keep in file social.html --><!-- end retweet and facebook -->
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้ [​IMG] <!--blog vote-->[​IMG] โหวต 0 คน




    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>.

    [​IMG]



    หากไม่รวมอบายมุขและคอร์รัปชันท่วมประเทศ ประเทศไทยมีเรื่องที่ท่วมประเทศถึง 4 เรื่อง

    1) น้ำท่วมประเทศ

    น้ำท่วมประเทศไทยทุกปี รัฐบาลไหนมา น้ำก็ท่วม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยิ่งน้ำท่วมหนัก และกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง และเสียหายถึงนิคมอุตสาหกรรม แต่น้ำไม่เคยท่วมทีเดียว 77 จังหวัด ท่วมอย่างมากประมาณ 30-40 จังหวัด ระยะเวลาในการท่วม 2-3 เดือน จากนั้นน้ำก็ลดลง





    2) เงินท่วมประเทศ

    คงจำกันได้ วันที่ 19 ธันวาคม 2549 หลังรัฐประหาร 3 เดือนพอดี ทางการได้ออกมาตรการกันสำรอง 30% เงินทุนไหลเข้า ส่งผลให้ SET ตกทันที ในวันเดียวกว่า 100 จุด มูลค่าตลาดหุ้นเสียหายกว่า 8 แสนล้านบาท ต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทุนสำรองสุทธิของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 74,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าช่วงก่อนเข้า IMF เมื่อกลางปี 2540 เสียอีก ช่วงนั้นทุนสำรองอยู่ที่ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

    แสดงว่าเงินท่วมประเทศไทย หรือสภาพคล่องท่วมประเทศ การออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้าดังกล่าว ก็เพื่อไม่ต้องการให้เงินไหลเข้าไทยง่ายขึ้นและมากขึ้น แต่ล้มเหลว นั้นคือเรายังจัดการอะไรเรื่องเงินท่วมประเทศไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้

    ข้อมูลวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 ทุนสำรองสุทธิของประเทศ อยู่ที่ระดับ 209,740 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าเงินท่วมประเทศหนักขึ้นไปอีก และแสดงว่า ตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2549 ถึงทุกวันนี้ เงินได้ท่วมประเทศอย่างต่อเนื่องย่างเข้าเป็นปีที่ 6 แล้ว http://yfrog.com/z/mmvtvp





    3) เงินเฟ้อท่วมประเทศ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ค่ารถเมล์ 2-3 บาท ตอนนี้ 7-8 บาท ข้าวราดแกงจานละ 15-20 บาท ตอนนี้ 45-50 บาท



    4) หนี้ท่วมประเทศ

    4.1 โครงการ 4 เมษายน 2527 ช่วงเข้าไอเอ็มเอฟครั้งแรก คือโครงการที่ทางการเข้าไปควบกิจการไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ 25 แห่ง ทำให้ “เกิดหนี้” จากการเข้าไปรับผิดชอบเงินฝากประชาชน (ผู้เขียนไม่มีข้อมูลว่าเกิดหนี้เท่าใด) ทางการต้องใช้เวลาประมาณกว่า 10 ปี จึงชดใช้หนี้ดังกล่าวได้หมด

    โครงการ 4 เมษายน 2527 เป็นที่มาของการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund FIDF) 2528
    ปรัชญาหลักของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯคือ จะให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องแก่สถาบันการเงินเมื่อสถาบันการเงินขาดสภาพคล่อง เพื่ออนาคตจะไม่ทำให้สถาบันการเงินล้มลงอีก
    4.2 โครงการ 14 สิงหาคม 2541 เป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องเข้าไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2 ได้มีการปิดถาวรไฟแนนซ์และสถาบันการเงิน 56 แห่ง ทำให้ “เกิดหนี้” ท่วมกองทุนเพื่อการฟื้นฟู 1.392 ล้านล้านบาท
    ระยะเวลา 12 ปี จากปี 2541-2553 ธปท.ชำระหนี้ได้ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท หรือปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท ใช้หนี้ไปแล้ว 0.252 ล้านล้านบาท ทำให้มีหนี้คงค้างเหลืออยู่ 1.14 ล้านล้านบาท กระทรวงการคลังชำระดอกเบี้ยได้เป็นเงินประมาณ 6.04 แสนล้านบาท หรือปีละประมาณ 50,000 ล้านบาท
    หากโอนหนี้มาให้ธปท.จัดการทั้งหมด ธปท.ก็จะต้องรับภาระชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวมปีละประมาณ 70,000 ล้านบาท
    กองทุนเพื่อการฟื้นฟูมีสินทรัพย์รวมกันประมาณ 2 แสนล้านบาท ไม่มีรายงานว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ตนมีอยู่มาช่วยในการชำระหนี้
    จากข่าวที่เกี่ยวข้อง จะให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูเก็บค่าธรรมเนียมเงินฝาก จากธนาคารเอกชน ธนาคารรัฐ รวมทั้งหุ้นกู้ และตั๋วบีอี ในอัตรา 0.47 เปอร์เซ็นต์ โดย 0.01 เปอร์เซ็นต์จะให้เป็นของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยคาดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูจะมีรายได้ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี ดูแล้วก็ไม่น่าจะพอใช้หนี้อยู่ดี
    แสดงว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่เคยเก็บค่าธรรมเนียมเงินฝาก 0.4 เปอร์เซ็นต์จากธนาคารเอกชนต่อเนื่องมา 4 ปีติดต่อกัน ก็จะยุติลง ทำให้สงสัยว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีทุนที่ไหนไปคุ้มครองเงินฝากของประชาชน
    กองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่ตั้งขึ้นมา เพื่อช่วยแก้ปัญหาตลาดเงิน นอกจากจะแก้ปัญหาตลาดเงินไม่ได้แล้ว ยังก่อปัญหาให้ตัวเอง และช่วยตัวเองไม่ได้ กลับเป็นว่าตลาดเงินต้องมาช่วยแก้ปัญหาให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูอีก สู้ไม่มีแต่แรกเลยจะดีกว่า

    ที่น่าแปลกใจกองทุนเพื่อการฟื้นฟูล้มเหลวทางวิสัยทัศน์-ปรัชญาแล้ว ยังตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่มีวิสัยทัศน์-ปรัชญาคล้ายกันขึ้นมาอีก แล้วประเทศจะแก้ปัญหาอย่างไร ค่าธรรมเนียมเงินฝาก 0.01 เปอร์เซ็นต์ที่จะให้เป็นของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ให้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสถาบันคุ้มครองเงินฝากเช่นนั้นหรือ ปิดกิจการสถาบันไปเลยจะดีกว่า





    ดูเหมือนทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ได้มีความตั้งใจจะชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และหนี้สาธารณะอื่นๆ หากมีความตั้งใจชำระหนี้ หนี้เงินกู้ก็จะต้องลดลงมากกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ประหยัดเงินที่ต้องชำระค่าดอกเบี้ยด้วย มีแต่รัฐบาลที่คิดจะกู้มากกว่าจะใช้หนี้เงินกู้ รัฐบาลไหนมาก็กระตุ้นความเจริญ กระตุ้นจีดีพี ทำให้เกิดปัญหาทางการเงินที่ยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เพียงแต่หนี้จะท่วมประเทศอย่างเดียว เงินก็ท่วมประเทศด้วย ทำให้ประเทศตั้งอยู่บนความประมาท เงินที่ท่วมประเทศอย่างผิดปกติ ก็อาจจะเหือดแห้งอย่างผิดปกติได้

    แท้จริงแล้วหนี้ที่เกิดขึ้นจากโครงการ 4 เมษายน 2527(มีมีข้อมูล) และจากโครงการ 14 สิงหาคม 2541 (1.392 ล้านล้านบาท) ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป ทางการไม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ถึงต้นเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินล้มลง แล้วก็คิดแก้แต่ปลายเหตุของปัญหาอย่างเดียว แสดงถึงความล้มเหลวของวิสัยทัศน์-ปรัชญาของการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟู จะเห็นว่าสถาบันการเงินล้ม “ซ้ำรอย” หลังการตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูอีก

    กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยควรรับผิดชอบร่วมกัน กระทรวงการคลังมักอ้างตัวเลขตามกฎหมายที่กำหนดไว้ เช่น สามารถสร้างหนี้ได้ไม่เกิด 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แล้วมีอะไรที่เป็นไปตามตัวเลขที่กำหนดไว้บ้าง ยกตัวอย่างเช่นกำหนดว่าสถาบันการเงินของไทย จะต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ ธนาคารกรุงเทพมีคนไทยถือหุ้น 10.39 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารกสิกรไทยมีคนไทยถือหุ้นเพียง 1.37เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นว่าตัวเลขจะเป็นไปตามกฎหมายแต่อย่างใด http://yfrog.com/z/jyxtop
    ประเทศไทยน่าเป็นห่วง เพราะไม่ได้มีการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจก็อาจจะเกิดขึ้นอีก ค่าเงินอาจจะเสียหายอีก ภาพคล่องของระบบเสียหายอีก ก็จะทำให้สถาบันการเงินล้มลงอีก คนตกงานอีก หนี้เสียเกิดขึ้นอีก ทุกวันนี้ปริมาณเงินฝากมีมากกว่าเดิม ก็จะทำให้เกิดหนี้กองใหม่ที่กองโตกว่าเดิม โตกว่า 1.392 ล้านล้านบาท

    ทางการโฆษณาให้ชาวบ้านทำมาหากินแบบพอเพียง แต่ทางการเองกลับหวังการลงทุนจากต่างประเทศ กระตุ้นการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นเรื่องที่เกินความพอเพียง เราจะหาตำแหน่งงานโดยไม่พึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศไม่ได้หรืออย่างไร





    อะไรอันตรายรุนแรงกว่ากัน ระหว่างน้ำท่วมบางพื้นที่ปีละ 2-4 เดือน กับ หนี้ท่วมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูที่ท่วมประเทศอย่างต่อเนื่องมา 14 ปีแล้ว และยังจะท่วมต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปี และไม่ทราบจะเกิดหนี้กองใหม่ขึ้นอีกเท่าใด น้ำท่วมบางพื้นที่ของประเทศไม่เคยทำให้ประเทศไทยเข้าไอเอ็มเอฟ แต่หนี้ท่วมประเทศเกิดจากความเบี่ยงเบนทางวิสัยทัศน์ ทำให้ประเทศไทยเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง



    ที่คิดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูจะช่วยแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องของระบบ ไม่ทำให้สถาบันการเงินล้มลงอีก ก็ล้มเหลว และเกิดหนี้ “ซ้ำรอย”โครงการ 4 เมษายน 2527 ขึ้นมาอีก การจัดการแก้ปัญหาวิกฤตที่ไม่ตรงทิศทาง คือคิดแก้แต่ปลายเหตุของปัญหา จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี


    สิ่งที่น่าห่วงคือ หนี้กองใหม่อาจจะเกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกันกับหนี้ที่เกิดขึ้นกับหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟู ที่กองใหญ่กว่าเดิม หนี้กองเก่ายังใช้ไม่หมด ก็จะเกิดหนี้กองใหม่ขึ้นมาอีก ความวัวยังไม่หายความควายจะมาอีก และเป็นควายที่ตัวใหญ่กว่าเดิม

    .
    ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท
    ....................................
    http://twitter.com/indexthai2
    indexthai2@gmail.com
    "Google+" or "facebook" : Suthipong Prachayapruit

    เชิญพบกับรายการ "โลกของทุน" FMTV ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 12.30 น.



    --------------------------------------------------------------------------------------​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ----ส่วนตัวผมคิดว่ามันผิดที่คนบางคน บางกลุ่มโกงเงินในบริษัทไฟแนนซ์ของตนเอง ยักย้ายเงินหนีไปแต่ทางการต้องเข้ามาอุ้มโดยนำเงินภาษีของคนจนมาอุ้ม ใช้เวลาเป็น10ปี แทนที่จะจับตัวแล้วรีดเงินเอาคืนมา
    --
    ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าสู้การโจมตีค่าเงินบาทแต่สู้ไม่ได้ การตัดสินใจโดยพละการนี้ ทำให้ประเทศเกือบล้มละลาย เคยมีการฟ้องร้อง แต่หลุดคดีไปแล้ว--ไม่มีผู้รับผิดชอบ
    --นายราเกซ สักเสนา โกงชาติ ไปลี้ภัยอยู่แคนาดา เพิ่งกลับมา ก็จวนจะหมดอายุคดีแล้วมั้งครับ กลับมายังไม่กล้าบอกว่านักการเมืองคนไหนมันอมเงินไป
    --ทุกวันนี้ เราหมดเงินไปกับโครงการบ้าๆบอๆ บ่อน้ำเสียคลองด่าน- ตอม่อร้างโฮปเวล
    และทุกวันนี้ เทศบาล อบต. อบจ. ทุกหน่วยราชการโกงกันเท่าไหร่--แต่ชาติยังคงอยู่ได้เพราะคนดีแค่หยิบมือเดียวช่วยค้ำเอาไว้ หากไม่เปลี่ยนจิตใจ -เปลี่ยนค่านิยมการโกงชาติ --ระวังชาติจะไม่มีเหลือให้โกง ทำไมคนไทยจึงถูกชักจูงง่าย แบ่งสี แบ่งฝ่ายเข้ารบกันเอง- ฟังไอ้แป๊ะยิ้ม มหาห้าขัน มันไม่เจริญหรอกครับ คนที่ไม่เคารพกฏหมายน่ะครับ ถ้าจะเจริญเพราะคนพวกนี้ ประเทศเราเจริญไปนานแล้วครับ
    --- ถ้าเรายังคิดแต่เรื่องมีหน้าตา ขึ้นชื่อว่ารักสงบ- ยิ้มสยาม หน้าใหญ่ใจโต--ฟุ้งเฟ้อตามตะวันตก มันไม่รอดหรอกครับ (หมาฝรั่งมันนิยมตัดหางกัน ดูแล้วเท่ หมาไทยก็ชอบทำตาม เจ็บตัวเปล่าๆ และไม่เท่ ไม่ได้ว่าใครนะครับ ท่านพุทธทาส พูดมานานแล้ว เรื่อง" การศึกษาแบบหมาหางด้วน")-ถ้าคนไทยเราทุกคนมีเงินคนละ1ล้านหรือ10ล้าน เงินจะเป็นกระดาษทันที เพราะสินค้ามีจำกัดนะครับ-เรียกว่าเงินเฟ้อ
    ฝรั่งตะวันตกก็เหมือนปลาตัวโตขนาดปลาบึก กำลังดิ้นอยู่ --ดิ้นยังไงแต่ไม่มีน้ำ มันก็ไปไม่รอด ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันผิดธรรมชาติมาแต่ต้น --
    --
    ทางอาฟริกา เคยจ้างและร่วมกับบริษัทเอกชน แก้ปัญหาความยากจน เช่นให้ประชาชนทำการเกษตร แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่เมื่อทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง-ทฤษฎีใหม่ กลับได้ผล มีพืชผักกิน มีปลา มีสัตว์เลี้ยงที่เป็นอาหาร และเพิ่งสำเร็จเป็นครั้งแรกอีกด้วย และยังมีอีกหลายประเทศที่สำเร็จ เช่น ลาว เนปาล
    พี่สาวผมบอกว่าเป็นเพราะการนำหลักพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ จึงกลายเป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดอัจฉริยะของพระองค์ท่าน

    --ผมชอบที่มีคนทำนายว่า ตั้งแต่ปี 2556 คนไทยจะเก่ง อดทน ขยัน เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่น และเกาหลี
    --แต่เราต้องวางระบบให้ถูกด้วย ขออนุญาตยกตัวอย่างเช่นเรื่องฆ่าคนนี้ จ่ายตังให้ก็จบกันลพเหรอ จิตใจล่ะเยียวยากันบ้างหรือยัง ฝรั่งหลายประเทศเอาเรื่องของเราเข้าสภา ทั้งเรื่องอากงเอสเอ็มเอส และการปราบปรามประชาชน (ซึ่งคนเราสามารถมีแนวคิดแตกต่างจากไดโนเสาร์ ตามแบบอย่างของแนวประชาธิปไตยแท้ๆ) ..ก็แก้เก้อ ตั้งข้อหา ดึงสถาบันมาอ้าง แล้วฆ่าทิ้ง แต่นานๆไปเพิ่งรู้ว่าตัวเองผิด อีกคณะก็มาจ่ายตัง แล้วจบ--เบื่อมั้ยกับการเล่นละครกัน นี่จะนิรโทษกันอีกแล้วหรือ-- 6คต. 14 คต. --พฤษภาทมิฬ ชอบกันจังกับการนิรโทษ พวกทรราช จึงไม่เข็ดหลาบ--ไม่พอใจก็ปฎิวัติ ขอค่าปฏิวัติพันล้านบาท-- ปฏิวัติแล้วประเทศเจริญตรงไหน นักลงทุนหนีตายไปประเทศอื่น (รถหุ้มเกราะขึ้นสนิม เครื่องตรวจทุ่นระเบิดไม้ทิ่มผีอันละล้าน 500 อัน--ให้ครูวิทย์มาเขกหัวจะได้หายโง่---ผมไม่ผิดเลยนะ--เขายายเที่ยง เก็บของหนีแทบไม่ทัน--ชายชาติทหารก็..แหลเป็นอย่าดูถูกกันไป)ผมคนดูยังเหนื่อยแทน

    --ไม่ว่าเรื่องตากใบ มัสยิดกรือเซะ รัฐบาลผิดทั้งนั้นแต่ก็แก้ตัว--แก้เขินไปเรื่อยๆ ที่จริงหลังจากนั้นหนึ่งเดือน รู้ว่าผิดก็ยอมรับเสีย นี่กว่าจะรู้ต้องใช้เวลาหลายๆปี แล้วก็เอาเงินคนจนไปเยียวยาอีก อะไรที่รู้ว่ามันผิด จะมีการฆ่าคนก็อย่าไปทำสิ ศีล 5 ข้อนี่เราไม่รู้เชียวหรือ อะไรที่ดี ก็เร่งทำ อะไรไม่ดีก็อย่าทำ ในสภา เวลาเสนอโครงการใหญ่ ฝ่ายค้านเขาคัดค้านก็ด่าเค้าหาว่าไม่รักชาติ บ่อน้ำเน่าคลองด่าน ลงทุนไปสามหมื่นล้าน สร้างผิดแบบตั้งแต่ต้น กลับเร่งให้สร้างอย่างด่วน ชาวบ้านก็คัดค้าน-แต่นักการเมืองก็ด่าเขา ทุกวันนี้คนที่ได้ผลประโยชน์ก็ยังลอยนวลอยู่ แต่ทางนรกท่านก็รอรับอยู่นะครับ อย่าคิดว่านรกไม่มีจริง

    ขอติเพื่อก่อนะครับ
    ถ้าแก้ตรงเรื่องโกงชาติเหล่านี้ได้ ประเทศไทยจะรุ่งแบบฉุดไม่อยู่ ----ก็คนเลวๆกลุ่มหนึ่งคอยฉุด--คอยขัดขวางประเทศเราอยู่ พวกนี้ไม่กลัวบาป และไม่กลัวเวรกรรมใดๆ----
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2012
  10. navyhawk

    navyhawk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +33
    " ฯ แบ่งสี แบ่งฝ่ายเข้ารบกันเอง ฟังไอ้แป๊ะยิ้ม มหาห้าขัน มันไม่เจริญหรอกครับ คนที่ไม่เารพกฏหมายน่ะครับ.. ฯ"
    อ้าว .. แล้วไอ้หน้าเหลี่ยมล่ะครับ ไม่เห็นออกนามเหมือนไอ้แป๊ะกะมหา อย่างนี้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือเป็นเสื้อแดงถ้าเป็นเสื้อแดง เลิกศรัทธาเลยครับที่พรรณามาตั้งแต่ต้นเรื่อง .. หุหุ
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ไม่จัดการหนี้ท่วมประเทศแต่จะตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ

    Posted by indexthai , ผู้อ่าน : 1352 , 22:01:43 น.
    หมวด : เศรษฐกิจ <!-- retweet and facebook --><!-- keep in file social.html --><!-- end retweet and facebook -->
    [​IMG]
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>.

    [​IMG]
    การมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่ละท่าน ล้วนนำแผลเหวอะหวะมาสู่เศรษฐกิจของประเทศไทยมากน้อยต่างกัน การมาของรมว.ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ในรัฐบาลชวน 1 ที่นำระบบ Maintenance margin และ Forced sell มาใช้ในตลาดหุ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2536 เป็นผลให้ช่วงเวลา 3 เดือน เฮดจ์ ฟันด์ลากตลาดหุ้นไทย จากระดับ 1,000 จุด ไปสูงสุดที่ 1,750 จุดในต้นปี 2537 จากนั้นก็มีการถล่มทุบลงมา ทำให้เกิดการบังคับขายหุ้นนักลงทุนท้องถิ่นอย่างบ้าคลั่ง โดย SET ตกลงถึง 88 เปอร์เซ็นต์ในอีก 3 ปีถัดมา

    [​IMG]
    การบังคับขายหุ้นนักลงทุน ก็คือการบังคับขายสินทรัพย์ของชาติ ส่งผลให้สินทรัพย์ของประเทศหายไปจากชาติ ตกไปเป็นของต่างชาติ อย่างที่เห็นในตารางนี้ ธ.กรุงเทพเหลือเป็นของคนไทย 10.39 เปอร์เซ็นต์ ธ.กสิกรไทยเหลือเป็นของคนไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์
    การพังทลายของตลาดหุ้นไทยในปี 2537 ส่งผลให้ค่าเงินบาทเสียหาย แต่ด้วยการผูกค่าเงินไว้ (Fixed) ทำให้ไม่เห็นว่าค่าเงินบาทเสียหาย
    กระทรวงการคลังและธปท.พากันปกป้องค่าเงินบาทเต็มที่ โดยไม่เข้าใจ จึงพ่ายแพ้ต่อเฮดจ์ ฟันด์ ผู้ซึ่งเข้าใจกลไกความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นและตลาดเงินตราอย่างดี

    [​IMG]
    ก่อนปี 2540 ทุนสำรองสุทธิของประเทศอยู่ที่ระดับ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ กลางปี 2540 ทุนสำรองสุทธิลดลงเหลือไม่ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2 และต้องลอยค่าเงินบาท เมื่อลอยค่าเงินบาท จึงเห็นว่าค่าเงินบาทเสียหาย เราขาดทุนจากการปกป้องค่าเงินบาท 1.86 แสนล้านบาท มีนายเริงชัย มะระกานนท์เป็นแพะรับบาปแต่ผู้เดียว
    หลังการสูญเสียทุนสำรองในปี 2540 แทบเกลี้ยง ทุนสำรองกลับสูงขึ้นมาใหม่ และสูงมากกว่าเดิม
    สาเหตุที่ทุนสำรองของไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
    1) การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2543 ทำให้เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เงินทุนได้ไหลออกจากอเมริกา มายังประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งไหลเข้ามายังประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยสามารถชำระหนี้งวดสุดท้าย IMF ในกลางปี 2546 รวมแล้วประเทศไทยใช้วงเงินไอเอ็มเอฟ 12,296 ล้านเหรียญสหรัฐ
    2) การเปิดตลาดอนุพันธ์ของตลาดหุ้น ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เช่นอนุพันธ์ สินค้าเกษตรล่วงหน้า ดัชนีหุ้น SET50 ราคาทองคำ ราคาเงิน ราคาหุ้นแต่ละตัว
    ในตลาดอนุพันธ์ เฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ทาง ขาขึ้นก็ทำกำไรได้ ขาลงก็ทำกำไรได้ คนท้องถิ่นมีน้อยที่จะมีกำไรจากตลาดอนุพันธ์
    การเปิดตลาดหุ้นธรรมดา ก็เป็นประโยชน์ต่อเฮจด์ฟันด์อยู่แล้ว การเปิดตลาดอนุพันธ์ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเฮดจ์ฟันด์มากขึ้น
    [​IMG]
    หลังปี 2000 ทุนสำรองของประเทศต่างๆเพิ่มเร็วมาก ถึงปี 2010 ทุนสำรองโลกมีเกือบ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นั่นคือเงินท่วมโลก เงินทุนนี้มีการเคลื่อนย้ายทุนไปมาระหว่างประเทศต่างๆของโลกง่ายมาก อยู่ว่าประเทศไหนจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด
    ทุนสำรองที่อยู่ในธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จึงเป็นของเฮดจ์ฟันด์เป็นส่วนใหญ่ หรือเฮดจ์ฟันด์คือเจ้าของทุนสำรองที่อยู่ในประเทศต่างๆ ส่วนของท้องถิ่นเป็นเพียงส่วนน้อย
    3) หลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 เกิดความเชื่อมั่นประเทศไทยมากขึ้น เงินทุนไหลเข้าประเทศไทยมากขึ้น ช่วงเวลาดังกล่าวทุนสำรองของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 74,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดูเหมือนเงินทุนไหลเข้าจะแรงเกินไป วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รมวก.คลัง สมัยพลเอกสรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนไหลเข้า แต่ล้มเหลว ออกมาตรการได้วันเดียว ตลาดหุ้นตกกว่า 100 จุด มูลค่าตลาดเสียหายกว่า 8 แสนล้านบาท ต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น ถือเป็นการพ่ายแพ้ ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศมากขึ้น

    ทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศของไทย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือทุนสำรองพิเศษ กับ ทุนสำรองทั่วไป
    ทองคำและเงินบริจาคจากหลวงตามหาบัวเก็บไว้ในส่วนของทุนสำรองพิเศษ

    ทุนสำรองทั่วไป แบ่งออกเป็น 2 บัญชี คือบัญชีทุนสำรองบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออก การท่องเที่ยว การขายแรงงาน การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ บัญชีทุนสำรองเงินทุน (Capital Account) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินทุนไหลเข้าออกของต่างชาติ มาลงทุนหรือมาเก็งกำไรในตลาดเงินและตลาดหุ้น ทุนสำรองส่วนนี้เป็นส่วนของที่มีเจ้าของ ลดลงก็แรง เพิ่มขึ้นก็แรง เมื่อทุนสำรองหมดลง จึงต้องเข้ารับความช่วยเหลือวงเงินจากไอเอ็มเอฟ
    เดือนกรกฎาคม 2540 ที่เราเข้ารับความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ และลอยค่าเงินบาท ทุนสำรองของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 1,144 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยมาตรการกันสำรองปลายปี 2549 มี่ไม่ประสบผลสำเร็จ ถึงวันที่ 2 กันยาย 2554 ทุนสำรองสุทธิของไทยเพิ่มขึ้นมาเป็น 214,778 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นมา 188 เท่า ทำให้สภาพคล่องท่วมประเทศ

    สภาพคล่องท่วมระบบจริง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ อนุมัติ ก.ล.ต.ให้เอกชนนำเงินไปลงทุนที่ต่างประเทศ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท
    [​IMG]
    ประเทศไทยเคยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟมาแล้ว 2 ครั้ง เหตุที่ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟ เนื่องจากทุนสำรองลดลง แผนภูมินี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งแรกระหว่างปี 2524-2527
    [​IMG]
    แผนภูมินี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2 ระหว่างกลางปี 2540 เหตุที่ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ ก็เพราะทุนสำรองตกลงมากนั่นเอง



    หลังปี 2008 Hamburger Crisis มีประเทศต่างๆต้องเข้ารับความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟไม่ต่ำกว่า 20 ประเทศ เหตุที่ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ เพราะทุนสำรองของประเทศเหล่านั้นลดลงมาก

    ประเทศไทยเคยผิดพลาด จนต้องเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง

    ช่วงนี้ใครก็รู้ ใครก็เห็นว่าทุนสำรองของไทยช่วงนี้สูงมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่มาที่ไปของทุนสำรองเป็นอย่างไร ทุนสำรองของเราเคยเสียหายมาแล้ว 2 ครั้ง 2 ครา มีการบริหารจัดการแบบมักง่าย ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าที่ทุนสำรองเสียหาย 2 ครั้งที่ผ่านมา มีต้นเหตุมาจากอะไร --จืดสนิท

    ตัวอย่างทุนสำรองประเทศเวียดนาม

    [​IMG]
    [​IMG]
    เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงทุนสำรองระหว่างประเทศไทยกับประเทศเวียดนาม 2005-2010 มูลค่าทุนสำรองของไทยสูงกว่าของเวียดนามมาก พบว่าทุนสำรองประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ค่าเงินบาทก็แข็งขึ้นโดยตลอด แต่ทุนสำรองของเวียดนามเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปี 2010 ก็ยังลดลงต่อ
    ตลาดหุ้นเวียดนามพังทลายในปี 2008 ทำให้เงินดองอ่อนค่า ทุนสำรองก็ลดลง โดยเริ่มลดลงทั้งแต่ปี 2008 และลดลงต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว
    การเปลี่ยนแปลงทุนสำรองของเวียดนาม เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทุนสำรอง ที่เป็นบทเรียนได้อย่างดีอีก 1 บทเรียน ที่กำลังเกิดขึ้นที่ พ.ศ.นี้
    ที่เห็นว่าทุนสำรองสุทธิของประเทศไทยสูง 214,778 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ไม่ใช่ว่าจะมาก หากเกิดความไม่เชื่อมั่นขึ้นมา เงินทุนไหลออก ก็จะไม่เหลืออีกเช่นกัน เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วถึง 2 ครั้ง


    ความเสียหายในระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
    1) หลังการเปิดตลาดหุ้นปี 2518 ตลาดหุ้นตกต่ำระหว่างปี 2521-2525 ทำให้ต้องลดค่าเงินบาท 4-5 ครั้งจากระดับ 20.50 ที่ 28.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ต้องเข้าไอเอ็มเอฟครั้งแรก สภาพคล่องเสียหาย เกิดหนี้เสีย และเข้าควบกิจการ 25 ไฟแนนซ์และเครดิตฟองซิเอร์ ในโครงการ 4 เมษายน 2527
    2) ปี 2528 เปิดกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อมาจัดการหนี้เสียในโครงการ 4 เมษายน 2527 และหาทางป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินมีปัญหาแบบโครงการ 4 เมษายนอีก แต่ปรากฏว่าเกิดความเสียหายร้ายแรงกว่าเดิม
    กองทุนเพื่อการฟื้นฟู นอกจากจะไม่สามารถฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้แล้ว ยังทำให้สถาบันการเงินล้มทั้งระบบ เกิดโครงการณ 14 สิงหาคม 2541 คือการสั่งยุติการดำเนินงานของ 56 สถาบันการเงิน ก่อให้เกิดหนี้แก่ระบบ 1.392 ล้านล้านบาท ผ่านไป 12 ปี ถึงปี 2553 ยังมีหนี้คงเหลือ 1.1 ล้านล้านบาท โดยที่ธปท.เป็นผู้ชำระหนี้ไปแล้ว 249,898 ล้านบาท หรือเฉลี่ยชำระหนี้ปีละ 20,825 ล้านบาท และกระทรวงการคลังชำระค่าดอกเบี้ย 604,473 ล้านบาท หรือเฉลี่ยชำระดอกเบี้ยปีละ 50,373 ล้านบาท เงินที่ใช้ชำระดอกเบี้ย เป็นภาษีที่มาจากประชาชน คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 45 ปีจึงจะชดใช้หนี้ที่เหลือได้หมด

    3) ตลาดหุ้นพังทลายรุนแรงระหว่างปี 2537-2541 หลังนำระบบ Maintenance margin & Force sell มาใช้ในตลาดหุ้นในปี 2536 ทำให้ค่าเงินบาทเสียหายหนัก ทำให้ต้องลอยค่าเงินบาท สภาพคล่องเสียหาย เกิดโครงการ 14 สิงหาคม 2551 ที่ก่อให้เกิดหนี้เสียไว้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูดังกล่าวข้างต้น ต้องเข้าไอเอ็มเอฟอีกเป็นครั้งที่ 2

    4) ปี 2551 ตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เป็นสถาบันที่มีวิสัยทัศน์-ปรัชญาใกล้เคียงกับของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน แต่ลดบทบาทการให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องสถาบันการเงิน และคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นรูปแบบของการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ในอนาคตความเสียหายก็จะเกิดกับระบบการเงินอีก กองทุนฟื้นฟูเปิดในปี 2528 ทราบว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่ล้มเหลวจริงในปี 2551 หรือเวลาผ่านไป 23 ปี

    [​IMG]
    สถาบันคุ้มครองเงินฝาก หากล้มเหลวแบบกองทุนเพื่อการฟื้นฟู
    ก็คงต้องรอ 2551+23 = ถึงปี 2574 จึงจะทราบว่าล้มเหลว

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมวก.คลัง รัฐมนตรีคลังในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความคิดที่จะนำทุนสำรองมา 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท ตั้งเป็นกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ
    ปี 2540 นายธีระชัย เคยอยู่ในทีมดูแลทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นรองผู้ว่าการเสถียรภาพการเงิน ช่วงที่ค่าเงินบาทเสียหาย ที่ทุนสำรองของประเทศเสียหายและลดต่ำลงกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต้องเข้า IMF และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสั่งปิด 56 สถาบันการเงินเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541
    ปี 2546 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และต่อวาระการดำรงตำแหน่งอีกสมัยในปี 2551 ที่ผู้เขียนงุนงงคือ ต้นปี 2549 ต่างชาติได้ถือหุ้นชินคอร์ปไว้ส่วนหนึ่งแล้ว และก็มีการการขายชินคอร์ปอีก 49 เปอร์เซ็นต์ให้เทมาเส็ก โฮลดิ้ง สัญชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นต่างชาติ จะทำให้ต่างชาติถือหุ้นชินคอร์ปเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ทันที
    ก่อนหน้าที่จะมีการขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ค 1 วัน ได้มีการแก้ไขพ.ร.บ.ธุรกิจคมนาคม ลงในราชกิจจานุเบกษา จากที่ให้ต่างชาติถือหุ้นธุรกิจโทรคมนาคมได้ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แต่แล้วก็มีการขายชินคอร์ป 49 เปอร์เซ็นต์ให้เทมาเส็ค โฮลดิ้ง
    คณะกรรมการก.ล.ต.ชื่อเต็มว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผู้เขียนยังงุนงงไม่หายว่า ก.ล.ต. กำกับดูแลการถือครองหุ้นของต่างชาติในกรณีชินคอร์ปอย่างไร


    น่าจะเป็นที่มาข่าวกลางเดือนสิงหาคม 2554 "ชินคอร์ป" แจง "ซีดาร์ โฮลดิ้ง" เทหุ้น 7.9% Stock Markets - Manager Online - ชินคอร์ป แจง ซีดาร์ โฮลดิ้ง เทหุ้น 7.9% ต่ำกว่ากระดาน INTUCH ราคาร่วง
    ส่วนแบ่งงบประมาณแต่ละปีเป็นเงินเดือนข้าราชการเป็นสัดส่วนสูง ประเทศกรีซมีตำแหน่งราชการเป็นอัตราส่วนที่สูง หลายประเทศมีการจ้างข้าราชการเป็นสัดส่วนที่สูง ทำให้มีปัญหาด้านงบประมาณ
    ราชการจะต้องเป็นฝ่ายกำกับผู้ดูแลงานของเอกชน(Regulator) ออกกฎระเบียบ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยุติธรรม มีรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียม ไม่ใช่มาคิดมีอาชีพแบบเอกชน (Operator) ยกเว้นพวกสาธารณูปโภค ที่รัฐจะต้องลงมือทำเอง แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้เบี่ยงเบนไปหมด รัฐวิสาหกิจที่รัฐควรจะทำเอง ก็เอามาขายให้เอกชน สิ่งที่ควรให้เอกชนทำ กลับไปแย่งเอกชนมาทำอีก เช่นธุรกิจการเงิน ธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธกส. ธนาคารไปรษณีย์ Elite Card --Farmer Credit Card-- ส่วนใหญ่เสียหาย ขาดทุน เกิดหนี้เสีย ล้มละลาย นักการเมืองเข้าไปหาประโยชน์อีก เมื่อเสียหายขึ้นมา รัฐก็ต้องจ่ายเงินอุดหนุนอีก
    การตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ(Sovereign Wealth Fund) ก็จะต้องมีตำแหน่งราชการเพิ่ม
    รายได้รัฐไม่น้อยมาจาก ภาษีสุรา บุหรี่ ค่าธรรมเนียมการพนัน รายได้จากกองสลาก ฯลฯ เป็นรายได้จากอบายมุข แทนที่พยายามลดรายได้จากส่วนนี้ แต่กลับให้เพิ่มสูงขึ้นอีก ประเทศเสื่อมลงทุกวัน

    เครื่องมือทางเศรษฐกิจหลายอย่าง ก่ออันตรายให้ระบบเศรษฐกิจของไทยบ่อยครั้ง บางอันก็เห็นว่าเป็นอันตรายทันที บางอันก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะทราบว่าก่อความเสียหายให้ระบบ บางอันทำความเสียหายแก่ระบบแต่ไม่ทราบว่ามันทำความเสียหายต่อระบบ เช่น

    (1) มาตรการกันสำรอง 30 เงินทุนไหลเข้า นำมาใช้วันเดียว ตลาดหุ้นตกไปกว่า 100 จุด

    (2) กองทุนเพื่อการฟื้นฟู กว่าจะรู้ว่าล้มเหลว ไม่ได้ผล และก่อความเสียหายให้ระบบสูง ก็เมื่อเวลาผ่านไปถึง 23 ปี

    (3) Maintenance margin & Force sell นำมาใช้ 3 เดือน ตลาดหุ้นตกระเนระนาด ทำให้เกิดการบังคับขายสมบัติชาติอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย ทำให้สภาพคล่องเสียหาย จนต้องลอยค่าเงินบาท ทำให้เอกชนล้มลง เกิดเป็นหนี้เสียท่วมประเทศ ไว้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟู
    (4) ตลาดหุ้น คือสิ่งผิดปกติของไทยและโลกทุนนิยม ทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วนไปทั้งโลก แต่เรายังไม่รู้ว่ามันคือสิ่งผิดปกติ

    (5) ตลาดอนุพันธ์ ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ต่างชาติหรือเฮดจ์ฟันด์แต่อย่างเดียว เป็น Zero sum games คนท้องถิ่นขาดทุนเละ (หากคนไทยมีกำไรจากเครื่องมือตัวนี้ ต่างชาติก็จะต้องขาดทุน) ฯลฯ

    ประเทศไทยไม่ได้มีเงินเหลือใช้ เหมือนประเทศมีบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง ตั้งกองทุนมั่งคั่งลงทุนไปทั่วโลก แต่ประเทศไทยหนี้ก็ยังท่วมประเทศ แล้วยังคิดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งอีก
    หากจะก็ทำได้ เพราะสามารถออกกฎหมายไปดึงเอาเงินจากทุนสำรองมา แต่ดูแล้วไม่เหมาะ เนื่องจากทุนสำรองก็เป็นเงินทุนที่มีเจ้าของผูกพันอยู่ด้วย โดยที่อดีตทุนสำรองเคยลดลงถึงระดับอันตรายแล้วถึง 2 ครั้ง ทำให้ต้องเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง
    ตัวอย่างจาก เทมาเซ็ค โฮลดิ้งของสิงโปร์ ที่เป็นกองทุนของรัฐ ประเทศไทยก็จะเอาแบบอย่าง บอกว่าจะเอาไปสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานด้วย บอกว่า หากธุรกรรมมีกำไรก็ให้เป็นของรัฐ หากมีการขาดทุนขึ้นมาก็จะชดเชยให้ หมายถึงเอางบประมาณมาชดเชย ได้เงินก้อนโตมาง่ายๆ เวลาขาดทุนคิดง่ายๆอีก เงินประมาณที่มาชดเชย เป็นภาษีจากประชาชน ไม่ใช่มาจากรายได้และเงินเดือนของผู้บริหารกองทุนแต่อย่างใด
    ไม่ต้องมีกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติก็เท่ห์ได้ หากรู้จักรักษาสมบัติชาติไว้ได้ก็เท่ห์เหมือนกัน แต่ทุกวันนี้สมบัติของประเทศแทบไม่เหลือเป็นของคนไทยแล้ว ไม่ว่าปตท. ชินคอร์ปอเรชั่น แอดว้านซ์อินโฟเซอร์วิช ธนาคารกรุงเทพเหลือเป็นของคนไทย 10.39 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารกสิกรเหลือเป็นของคนไทย 1.37 เปอร์เซ็นต์
    แปรรูปปตท.เข้าตลาดหุ้น ปตท.ก็มาขึ้นราคาน้ำมันหน้าปั๊ม ขูดรีดชาวบ้าน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนทั่วประเทศ ทำให้เงินเฟ้อและค่าครองชีพของระบบสูงขึ้นมาก
    รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังสนใจสานปัญหาหนี้นอกระบบ 1.18 ล้านราย จำนวนมูลหนี้ที่ลงทะเบียน 1.23 แสนล้านบาท ต่อจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้แก้ปัญหาไปได้ 5.48 แสนราย มูลหนี้อนุมัติปล่อยกู้ 3.40 หมื่นล้านบาท
    มีตัวเลขสูงอื่นๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น
    1) หนี้สาธารณะ 4.5 ล้านล้านบาท
    2) หนี้คงเหลือของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู 1.1 ล้านล้านบาท
    ทำอย่างไรจะไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่บอกว่าหนี้สาธารณะเป็นเพียง 42 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่หากหนี้นี้เท่ากับศูนย์จะไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน
    หากรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจไทยดี เงินเงินคงคลังเพิ่มขึ้น และเหลือใช้ แล้วเอาไปตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง เชื่อว่าจะไม่มีใครบ่น
    สิ่งที่รมว.กระทรวงการคลังและรัฐบาลควรทำอย่างยิ่ง คือการทำงบประมาณสมดุล จะทำให้ผู้คนชื่นชมมากกว่าไปดึงเอาทุนสำรองมาตั้งเป็นกองทุนมั่งแห่งชาติ

    มีข่าวว่าทางการเตรียมออกกฎหมาย 13 ฉบับ เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ที่เหลืออยู่ 1.1 ล้านล้านบาทของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดคงจะมาเยือนประชาชนคนไทยอีก คงจะโอนหนี้ที่เหลือทั้งกอง มาให้ประชาชนคนไทยใช้หนี้แทน

    ประวัติศาสตร์ 36 ปีที่ผ่านมา “ทรัพยากรของประเทศ” ไม่ได้เจริญขึ้น เห็นแต่เกิดความเสียหายโดยต่อเนื่อง ประเทศเราเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง หากผู้บริหารระดับสูง มีวิสัยทัศน์-ปรัชญา มีคุณธรรม-จริยธรรมจริง ประเทศไทยคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
    ดัชนีคอร์รัปชันประเทศไทยสูงติดอันดับโลก
    ชื่อเครื่องมือทางการเงินแต่ละอย่าง ล้วนความหมายดี คำอธิบายของวิสัยทัศน์-ปรัชญาก็ดี เช่นกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กลับก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากไม่สามารถทำสถาบันการเงินเกิดความมั่นคงแล้ว ยังพบว่าสถาบันการเงินล้มลงทั้งระบบ เกิดหนี้ที่นับได้ 1.392 ล้านล้านบาท ที่นับไม่ได้ ไม่ทราบอีกเท่าใด
    ประเทศไทย ไม่เพียงจะเห็นว่าทุนสำรองท่วมประเทศ แต่หนี้สาธารณะก็ท่วมประเทศเช่นกัน แต่คิดจะตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ ทำไมไม่คิดที่จะลดหนี้สาธารณะลงละ

    ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนท
    ........................................
    Suthipong (@indexthai2) on Twitter
    Economics Science Art ..... ศาสตร์ศิลป์เศรษฐกิจ
    indexthai2@yahoo.com
    Global Economics Pulses
    "Google+" or "facebook": Suthipong Prachayapruit


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <INPUT id=link_for_comment name=link_for_comment value=http://www.oknation.net/blog/indexthai/2011/09/14/entry-1 type=hidden> <INPUT id=link_for_nick name=link_for_nick value=indexthai type=hidden> <INPUT id=link_for_topic name=link_for_topic value=ไม่จัดการหนี้ท่วมประเทศแต่จะตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ type=hidden> <INPUT id=link_for_blog name=link_for_blog value=http://www.oknation.net/blog/indexthai type=hidden> <!-- AddThis Button BEGIN -->[​IMG] <!-- AddThis Button END -->[​IMG] แสดงความคิดเห็น | ส่งเรื่องนี้ให้เพื่อน | แจ้งเตือนเรื่องไม่เหมาะสม</B>
    <!---->
    <!--comment---><!---ปิดระบบคอมเมนต์ --><!--comment_check--><!-- show comment --><FORM method=post action=http://www.oknation.net/blog/home/comment.php><INPUT name=mode value=del type=hidden> <INPUT name=blog_id value=1120 type=hidden> <INPUT name=owner_nick value=indexthai type=hidden> <INPUT name=owner_id value=1109 type=hidden> <INPUT name=blog_name value=indexthai type=hidden> <INPUT name=entry_id value=747642 type=hidden> <INPUT name=entry_type value=0 type=hidden> <INPUT name=entry_day value=14 type=hidden> <INPUT name=entry_month value=9 type=hidden> <INPUT name=entry_year value=2011 type=hidden> <INPUT name=t_id value=1 type=hidden> <INPUT name=owner_email value=indexthai2@yahoo.com type=hidden> [​IMG]อ่านความคิดเห็น


    <TABLE class=comment_topic2 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 10
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 17/09/2011 เวลา : 16.27 น.
    indexthai
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>คุณ bobby

    คลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติของโลกทุนนิยม
    ทุกประเทศทั่วโลก ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดเงินตรา ตลาดโภคภัณฑ์มีความสัมพันธ์กัน
    มันเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ

    BBL เหลือเป็นของคนไทย 10.39% Kbank เหลือ 1.37%
    ทุกวันนี้เราไม่ได้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง แต่ยืนบนขาของต่างชาติ >> yfrog.com/h4nb83j
    ที่อเมริกา ก็เป็นแบบประเทศไทย ทุกวันอเมริกาก็หมดตัว (ยังไม่รู้ว่าหมดตัวเพราะอะไร)
    เขาปั่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดเงินตรา ตลาดโภคภัณฑ์ ทั่วโลก
    สินทรัพย์ของประเทศต่าง ตกเป็นของต่างชาติ เป็นของ Hedge Fund หมด

    บทความนี้ คิดแบบง่ายๆ ที่จะไปเอาทุนสำรองมาตั้งเป็นกองทุน
    ทุนสำรอง.. เป็นทุนที่มีเจ้าของ
    เอาเข้ามาก็ง่าย(ท่วมประเทศ) เอาออกก็ง่าย(แห้งประเทศ-ต้องเข้า IMF)

    ถามว่าจะตั้ง กองทุนมั่งคั่ง ทำไมไม่มาจาก เงินคงคลัง

    .......................
    ในตอนนั้น ถ้าไม่มีตลาดหุ้น ผมว่าประเทศไทยล้มละลายไปแล้ว
    คือมองไม่เห็นทางว่าจะฟื้นตัวยังไง
    ถึงแม้ IMF จะปล่อยกู้ให้เรา แต่เม็ดเงินมันมีจำกัด มีภาระดอกเบี้ย
    ซึ่งก็ไม่สามารถนำไปอัดฉีดในระบบได้ทุกภาคส่วน
    ...
    เข้าใจไม่ถูกต้อง
    ไม่ใช่ "ถ้าไม่มีตลาดหุ้น ผมว่าประเทศไทยล้มละลายไปแล้ว"
    แต่ตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤติ เป็นต้นเหตุให้เกิดล้มละลาย (ที่ต้องเข้า IMF ไงละ)
    Economics Science Art ..... ศาสตร์ศิลป์เศรษฐกิจ: กลไกการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 9
    Bobby <!--[​IMG] -->วันที่ : 17/09/2011 เวลา : 09.09 น.
    ปิดแล้ววว
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>เรื่องกองทุนนะครับ

    ...ปัจจุบันมีกองทุนมากมายจนนับไม่ถ้วน และมีวัตถุประสงค์ลงทุนแตกต่างกันไป กองทุนกับบริษัทจำกัดนั้นต่างกันครับ สิทธิในการออกเสียงของบริษัทจำกัดกำหนดว่า 1 หุ้นต่อ 1 เสียง แต่กองทุนส่วนใหญ่ ผู้ซื้อหน่วยลงทุนไม่มี อำนาจการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายการลงทุน เพราะส่วนใหญ่จะไปตกแก่บรรดาผู้บริหารกองทุน

    แม้ว่าจะมีพวกเฮดจ์ฟันด์เข้ามาซื้อหน่วยลงทุนในสัดส่วนที่สูงก็ตาม เหมือนกับคุณเอาเงินไปฝากธนาคาร ต่อให้ฝากมากกว่าทุกคนรวมกัน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามธนาคารเอาเงินของคุณไปปล่อยกู้ให้กับคนอื่นๆ และคุณก็ไม่ใช่เจ้าของธนาคารจนกว่าจะเข้าไปซื้อหุ้นกิจการ

    เมื่อคุณตั้งกองทุนขึ้นมา คุณเปิดขายหน่วยลงทุนให้คนทั่วไป แล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้ แม้คุณเป็นผู้ตั้งกองทุนก็ไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองไปซื้อหน่วยลงทุน ต่างกับบริษัทจำกัดซึ่งเจ้าของต้องเอาเงินไปลงทุนในสัดส่วนที่สูงจึงจะมีอำนาจดำเนินการได้ พูดอีกอย่าง กองทุนก็คือการนำเอาเงินชาวบ้านมาบริหารนั่นเอง

    นักลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์หรือจอร์ซ โซรอส ต่างก็ร่ำรวย มั่งคั่ง จากการที่เอาเงินคนอื่นไปบริหาร ซึ่งพวกเขาก็จะคิดค่าบริการ และหักกำไรที่ได้จากการลงทุน และถ้ากองทุนขาดทุนก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

    ดังนั้น ถ้ากองทุนมั่งคั่งของชาติ ถ้าก่อตั้งได้ และทำได้ผล ความมั่งคั่งมันก็จะไปตกกับผู้ซื้อหน่วยลงทุน กับผู้บริหารกองทุนซึ่งในที่นี้ก็คือรัฐบาล

    ความเห็นของผม ถ้ารัฐจะตั้งกองทุนจริงๆ ไม่ควรซื้อหน่วยลงทุนในสัดส่วนที่สูงเกินไป ควรทำหนังสือชี้ชวนนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนให้มากที่สุด ส่วนรัฐบาลก็เก็บผลประโยชน์แบบทั่วๆ ไปที่นิยมใช้คือสูตร 2/20 ก็คือหัก 2% จากสินทรัพย์สุทธิต่อปีเป็นค่าดำเนินงาน และหักผลกำไรจากกองทุนอีก 20% แบบนี้เวลากองทุนเจ้งขึ้นมารัฐบาลก็ไม่ต้องเจ็บตัวมาก... [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic2 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 8
    Bobby <!--[​IMG] -->วันที่ : 17/09/2011 เวลา : 08.40 น.
    ปิดแล้ววว
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>..ประเด็นเรื่องเงินทุน
    ...ปัจจุบันแหล่งระดมทุนหลักๆคือตลาดหุ้นซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าธนาคารทุกแห่งรวมกันแล้วครับ บริษัทจำกัดและธนาคารก็ระดมทุนจากที่นี่ เพราะข้อดีคือต้นทุนทางการเงินต่ำกว่าช่องทางอื่นๆ

    คิดเล่นๆ นะครับ ถ้าบริษัทต้องกู้เงินดอกเบี้ยแพงๆ จากธนาคารไปลงทุน มันก็จะเพิ่มอัตราหนี้ต่อทุนสูงขึ้น ถ้าทุกบริษัทกู้เงินกับธนาคารอย่างเดียว เวลาเกิดวิกฤติการเงิน ธนาคารก็จะล้มได้ง่ายๆ

    ช่วงปี 2540 ที่เกิด "ต้มยำกุ้ง" เราก็เห็นแล้วว่ามีการระดมเงินทุนจากตลาดหุ้นเข้ามาอุ้มธนาคารไทยใหญ่ๆ เอาไว้ ส่วนสถาบันการเงิน 56 แห่งที่โดนปิดก็เพราะว่ามีขนาดเล็ก และบริหารจัดการไม่ดี ก็ต้องล้มหายตายไป

    ในช่วง 3 ปีแรกของการเกิดวิกฤตตอนนั้น จะเห็นว่าธนาคารต้องหยุดให้สินเชื่อทันที แต่พวกบริษัทจำกัดก็หาเงินได้จากตลาดหุ้นนี่แหละ มีเม็ดเงินไหลเข้ามาอุ้มบริษัทจำกัดต่างๆ เอาไว้

    ในตอนนั้น ถ้าไม่มีตลาดหุ้น ผมว่าประเทศไทยล้มละลายไปแล้ว คือมองไม่เห็นทางว่าจะฟื้นตัวยังไง ถึงแม้ IMF จะปล่อยกู้ให้เรา แต่เม็ดเงินมันมีจำกัด มีภาระดอกเบี้ย ซึ่งก็ไม่สามารถนำไปอัดฉีดในระบบได้ทุกภาคส่วน [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 7
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 15/09/2011 เวลา : 17.24 น.
    indexthai
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ความคิดเห็นที่ 5

    ดูภาพที่ 2 จากข้างบน
    ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ธนาคารเอกชน
    คือบรรทัดสุดท้าย ที่บอกว่าสินทรัพย์ของคนท้องถิ่นเป็นอย่างไร

    มันเป็นของ Hedge Fund แทบหมดแล้ว
    คนท้องถิ่นจะเปลี่ยนฐานะเป็นลูกจ้าง บริษัทที่ตนเองเคยเป็นเจ้าของ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic2 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 6
    นายประโยชน์ <!--[​IMG] -->วันที่ : 15/09/2011 เวลา : 16.21 น.
    It's a long lonely ...............
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ขอบคุณกับข้อมูลดีๆครับ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 5
    VartHart <!--[​IMG] -->วันที่ : 15/09/2011 เวลา : 04.14 น.
    ข่าว เผยเเพร่ดี หรือไม่เผยเเพร่ดีนะ
    เหล่าเดอะค็อป.....เราเป็น เราคือ LiverBird ^^
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ภาวะของความมั่งคั่ง
    เราเคยผ่าน ไอเอ็มเอฟ แสดงจุดยืนถึงสภาวะเสื่อมถึง 2 ครั้ง (เเฟบ)
    เราได้ความมั่งคั่ง (จุ) เพิ่มขึ้นมันหมายถึงความเจริญจากการความสวยงามของประเทศที่มีเอกภาพ (โดดเด่น)

    ผอมลงหรือว่าดูแข็งแรงดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic2 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 4
    indexthai <!--[​IMG] -->วันที่ : 14/09/2011 เวลา : 23.27 น.
    indexthai
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ขอบคุณทุก comments ครับ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 3
    พายุ@หิมะ <!--[​IMG] -->วันที่ : 14/09/2011 เวลา : 23.13 น.
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ไม่ต้องมีกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติก็เท่ได้ หากรู้จักรักษาสมบัติชาติไว้ได้ก็เท่เหมือนกัน
    ^^
    สุดยอดมากๆครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic2 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 2
    เดือนแรม <!--[​IMG] -->วันที่ : 14/09/2011 เวลา : 23.08 น.
    การเมือง
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>สรุปแล้วก็คือ รัฐบาลนี้เขาเข้ามาเพื่อผลาญสมบัติชาติ เอื้อพวกพ้องเป็นงานหลัก
    น้ำจะท่วม โคลนจะถล่มใคร เขาก็ไม่สน
    เขารอโอกาสนี้มานาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=comment_topic1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=65>[​IMG] </TD><TD style="PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-TOP: 0px" align=left>ความคิดเห็นที่ 1
    Ananda <!--[​IMG] -->วันที่ : 14/09/2011 เวลา : 22.41 น.
    aplang
    </SPAN>

    </TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=comment_detail border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD></TD></TR><TR><TD height=40>ขจบ.สามารถอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ได้ประโยชน์มากครับ
    แต่เรื่องกองทุนนี้คงต้องมีการพูดกันอีกนาน หินที่รัฐบาลนี้โยนออกมาปรากฏว่าถูกต้านอย่างแรงคงต้องระงับไปก่อน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </FORM><!-- show comment --><!--- close comment --><!-- comment box -->
    [​IMG]

    <!-- start -->[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2012
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หน้าเหลี่ยมเขาก็ด่ากันเยอะครับช่วงนี้ แม้เสื้อสีของเค้าเองก็หมดศรัทธาแล้ว เรื่องใหญ่นะครับ เพราะเคยพูดแล้วมีแต่คนเชื่อฟัง-- แต่ตอนนี้ แทบไม่มีใครฟังแล้ว--ทุกคนเริ่มตาสว่างและมีแนวทางที่ถูกต้องของตนเอง จะว่าไปเขาก็ทำดีไว้เยอะ แต่เรื่องตากใบ เรื่องกรือเซะ ก็เกิดในสมัยทักษิณนะครับ
    ---ผมเองยังคิดว่าทักษิณเป็นอิลลูมิเนติ ที่เห็นชัดๆ ก็คือ คุณทักษิณเป็นนักวัตถุนิยม ที่บังเอิญได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเชื่อมั่นตนเองมาก ฟังแต่คนใกล้ชิด บีบบังคับสื่อมวลชน แค่พอดีว่าเว้นที่ให้แป๊ะยิ้มยืน-- จนตนเองไม่มีที่ยืนครับ พวกพ้องบริวาร ก็ตั้งบริษัทขึ้นมารับงาน พวกสอพลอก็รีบเข้ามาใช้บริการ เพื่อจะได้เป็นคนโปรดของทักษิณ โดยทักษิณอยากจะเป็นนายกถาวร น่าจะวางแผนไว้สักสี่วาระ คือ16 ปีเป็นอย่างต่ำ
    ---เราพูดกันในแง่ของทางธรรมมะนะครับ ถ้าคิดแบบวัตถุนิยม ทุนนิยม เงินตรานิยม แบบทักษิณนี่ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ประเทศไทยที่เคยอยู่สบาย ปลูกผักปลูกต้นไม้ได้ ก็พออยู่พอกินกันมา-- แต่เราพอใจนักหรือกับการเป็นลูกจ้างโรงงานอุตสาหกรรมของต่างชาติจนตาย--- ทำให้น้ำ อากาศ ดิน ล้วนแต่มีมลพิษ เราเคยตื่นเต้นนักหนากับนิคมมาบตาพุด ทุกวันนี้โรงเรียนมาบตาพุดก็อยู่ไม่ได้ สารเคมีแต่ละโรงงานมีพิษมาก และก็กำจัดไม่ค่อยหมด ต้องจ้างรถเอามาทิ้งแถวคลองด่าน---เขาคงคิดว่า คนจน เป็นลูกจ้าง ได้พอมีเงินบ้าง คงจะมีความสุข เงินกับความสุขเป็นคนละอย่างกัน--หรือว่าทักษิณมีไอคิวสูง การกระทำจึงมีความซับซ้อน จนเอาผิดติดตามยาก เลยต้องปฏิวัติเอา--ผมคิดว่าว่าทุกฝ่ายมีเหตุผล แต่ผลประโยชน์มันก็บังตา ทุกฝ่ายทำเพื่อความอยู่รอด ลืมคิดถึงว่า ประเทศต้องอยู่รอดก่อน ผมคิดแบบนี้มันผิดมั้ย

    ----ลองอ่านเรื่องฉือจี้นะครับ ระบบของเขาดี ให้คนเข้าใจธรรมมะและอยู่กัยธรรมมะในทุกวัน ในทุกสิ่ง
    --และอ่านเรื่องเซ็นสยามนะครับ เราต้องจัดการอะไรต่างๆในชีวิตเหมือนคนทั่วไป และต้องละอัตตาตัวตนไปด้วย
    --ที่ผมชี้ความผิดของบุคคลต่างๆ ก็เหมือนเอาเขาเป็นครูนะครับ คนเราผิดพลาดครั้งเดียวก็พอแล้ว คนที่บอบช้ำคือประเทศชาติ ใครโกงกิน คนที่เจ็บ -คนที่ต้องชดใช้คืน ก็ประเทศอีกนะแหละ ผมได้ชี้จุดว่า ถ้าเราแก้ไขจุดเหล่านี้ได้..ก็จะดีครับ ใจจริงไม่อยากจะพูดตำหนิใคร แต่ตัวอย่างมันมีให้เห็น-- ถ้าแป๊ะยิ้มทำไร่ชาอยู่หลังเขา ท่านมหา-ตัดกิเลส-นั่งสมาธิอยู่ ก็ไม่มีเรื่องนะครับ ที่มันมีเรื่องเพราะไปสร้างเรื่องกันเอง ครบทั้งเจตนา คิดไตร่ตรอง จนมาถึงการกระทำ -เป็นกรรมชั่วที่สมบูรณ์แบบ
    --แล้วคนทั้งโลกคิดว่ายึดทำเนียบ ยึดสนามบินนี่มันถูกหรือครับ..ประเทศไทยทำไมไม่มีบรรทัดฐานสำหรับคำว่า ใครจะทำอะไรแบบนี้ผิด หรือไม่ผิด หรือว่าตีหน้าแอ๊บแบ๊ว แล้วบอกว่าไม่ผิด --ไม่มีเจตนา แล้วทุกคนก็เชื่อ ผมถึงบอกว่ามันแปลกดีนะ---คนทุกคนควรเคารพสิ่งที่เรียกว่า กฏหมาย เป็นกติกากลาง ที่สังคมใคร่ครวญ และทดลองใช้มาแล้ว
    --ผมถึงบอกว่าต่อให้ผมนั่งพิมพ์นั่งด่าทุกคน ทุกฝ่ายที่ทำร้ายประเทศ ก็จะไม่มีผลอะไรเลย เพราะทุกคนในโลก ไม่ได้อ่านบทความของผม หรือว่า เป็นพวกเขาคนที่ไม่มีฐานะ-สภาวะที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้

    --อีกไม่กี่เดือนผมก็จะตายแล้วครับ มันก็เหมือนลมปากพัดผ่านไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม แม้แต่ข้อธรรมมะ เราก็ต้องปล่อยวาง ลอยน้ำทิ้งไป เพื่อที่จะได้รู้ในข้อธรรมอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น
    -เพราะจุดประสงค์ที่หนึ่งของผมคือพูดเรื่องธรรมมะ--
    จุดประสงค์ที่สอง คือเรื่องลึกลับ เช่น ชาวต่างดาว เพื่อดึงมาหาจุดประสงค์ที่หนึ่งครับ

    --เรื่องอื่นๆ เป็นเหมือนเราเดินผ่านแล้วได้กลิ่นดอกไม้ครับ ยากจะบอกหรือพรรณาได้ อย่างเข่นเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน ผมก็พยายามเข้าใจมันอยู่

    --ผมไม่ได้มีอัตตามากมายที่จะต้องโมโหฉุนเฉียวเวลาใครพูดขัดใจ ผมคิดว่าผมปล่อยวางได้เยอะ เยือกเย็นกว่าภูเขาน้ำแข็งขั้วโลก-- แต่ก็ไม่ขอเขียนตามใจใครนะครับ -ทำไม่เป็นครับ --ผมคิดว่าออกนอกเส้นทางนิดหน่อย --แต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มันพัวพันอยู่กับชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออกแล้วด้วย เดี๋ยวเราก็เข้าเรื่องตามเนื่อหาก็แล้วกัน อืม เว็ปโน้น ผมก้ยังไม่ได้ไปเขียนเลยครับ แล้วเว็ปเรื่องของเพลงด้วยก็เช่นกัน พวกเขายังรอผมอยู่ พยายามบังคับเลี้ยวเข้าเรื่องเดิมอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2012
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#204080 rowSpan=2 width="100%" colSpan=2>
    • <B><BIG><BIG>ในเมื่อประเทศเราจนนักทำไมไม่พิมพ์เงินออกมาใช้เยอะๆละครับ ผมงงมาตั้งแต่เด็กแล้ว [​IMG] </BIG></BIG></B><!--MsgIDBody=0-->ใครมีความรู้ช่วยตอบหน่อยครับ จะให้ดีช่วยตอบทั้งแบบเศรษฐศาสตร์ และ แบบที่เข้าใจง่ายๆด้วยครับ <!--MsgFile=0-->จากคุณ : <!--MsgFrom=0-->sirandrew [​IMG] - [ <!--MsgTime=0-->13 ม.ค. 48 22:55:51 <!--MsgIP=0-->] <!--pda content="end"-->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!--pda content="begin"-->

    <HR align=center color=#f0f0f0 width="90%"><!--pda content="end"-->
      • <!--MsgIDTop=1--><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow1=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 1 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(1)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=1-->พิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมากๆ ไม่ได้หมายถึงเราจะรวยนะครับ จะแย่ลงอีก เพราะเมื่อปริมาณเงินในระบบมากขึ้นมหาศาล (Money supply สูงขึ้น) จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฝ้อรุนแรง ข้าวของจะแพงขึ้น ต้นทุนการผลิตก็จะแพง ต้องลดการจ้างงานลง แรงงานมีรายได้น้อยลงในขณะที่ของแพงขึ้น เศรษฐกิจฝืดเคืองประกอบกับเงินเฝ้อ เรียกภาวะนี้ว่า Stagflation มาจากคำว่า Stagnation และ Inflation ผสมกัน

          ปริมาณเงินที่เพิ่ม ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนด้วยครับ เมื่อปริมาณเงินเพิ่มขึ้น อุปสงค์ต่อเงิน (Demand for Money) จะต่ำลง ทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงครับ

          กรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว เกิดภาวะเงินเฝ้อรุนแรงมาก ต้องนำเงินออกนอกประเทศในรูปเงินให้กู้แก่ต่างประเทศ ประเทศไทยก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งของญี่ปุ่นในสมัยนั้น <!--MsgFile=1-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=1-->หมากเขียว [​IMG] - [ <!--MsgTime=1-->13 ม.ค. 48 23:19:59 <!--MsgIP=1-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=1--><!--MsgIDTop=2-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow2=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 2 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(2)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=2-->ผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ขอตอบแบบชาวบ้าน
          ถ้าเราพิมพ์เงินออกมาเยอะ ๆ เงินมันจะไม่มีค่านะครับ ค่าของเงินอยู่ที่ความเชื่อถือในสกุลเงิน ของเราน่าจะเป็นพวกเงินคงคลัง และทองคำนะ (รอให้นักเศรษฐศาสตร์ตอบ) เงินไม่มีค่า ก็จะไม่มีใครอยากได้ ค่าเงินก็จะตก ที่ผมเห็นมีอเมริกาอยู่ประเทศเดียวที่พิมพ์เงินใช้เองได้ โดยไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน เพราะค่าเงินเค้าเป็นที่ยอมรับและใช้อ้างอิงทั่วโลก

          ตอบแบบนี้ไม่รู้ถูกรึเปล่า รอความเห็นต่อไปครับ <!--MsgFile=2-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=2-->เทพบุตรมังกร [​IMG] - [ <!--MsgTime=2-->13 ม.ค. 48 23:21:44 <!--MsgIP=2-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=2--><!--MsgIDTop=3-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#224422><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow3=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 3 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(3)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=3-->เข้ามาแอบดู
          เพราะเคยสงสัยเหมือนกันค่ะ
          อิอิ <!--MsgFile=3-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=3-->นายตัว:D [​IMG] - [ <!--MsgTime=3-->13 ม.ค. 48 23:37:43 <!--MsgIP=3-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=3--><!--MsgIDTop=4-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow4=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 4 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(4)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=4-->รู้สึกว่าการพิมพ์เงินขึ้นมา มันเกี่ยวพันการกับที่แบงค์ชาติ เก็บทองคำแท่ง แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง หุๆๆ พูดไป งง ไป <!--MsgFile=4-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=4-->artis77 [​IMG] - [ <!--MsgTime=4-->13 ม.ค. 48 23:41:49 <!--MsgIP=4-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=4--><!--MsgIDTop=5-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow5=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 5 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(5)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=5-->กรณีเช่นนี้เคยเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว เกิดภาวะเงินเฝ้อรุนแรงมาก ต้องนำเงินออกนอกประเทศในรูปเงินให้กู้แก่ต่างประเทศ ประเทศไทยก็เป็นลูกค้ารายหนึ่งของญี่ปุ่นในสมัยนั้น
          -----------------------------------------------------------
          1.แล้วทำไมเราต้องกู้ด้วยละครับ ในเมื่อพิมพ์เงินใช้เองได้
          2.ทำไมเราไม่พิมพ์เงินเยอะๆแล้วไปให้คนอื่นกู้บ้างละครับ
          -----------------------------------------------------------
          ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบให้มากๆเลยครับ <!--MsgFile=5-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=5-->sirandrew [​IMG] - [ <!--MsgTime=5-->13 ม.ค. 48 23:42:38 <!--MsgIP=5-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​


        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=5--><!--MsgIDTop=6-->

        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow6=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 6 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(6)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=6-->คุณคห.4..พูดถูกต้องแล้วค่ะ...

          การจะผลิตเงินตราขึ้นมาใช้เท่าไรมันขึ้นกับมูลค่าทองคง

          คลังภายในประเทศของแต่ละประเทศ....

          ม่ายงั้นแต่ละประเทศก็ผลิตเงินตราออกมากันท่วมโลก....

          แล้วก็ไม่ต้องมีตลาดหุ้นกันพอดี..อิ..อิ......


          (รอนักเศรษฐศาสตร์..มาให้รายละเอียดต่อไปค่ะ) <!--MsgFile=6--><CENTER><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

          จากคุณ : <!--MsgFrom=6-->Cheerer [​IMG] - [ <!--MsgTime=6-->13 ม.ค. 48 23:54:32 <!--MsgIP=6-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=6--><!--MsgIDTop=7-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow7=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 7 <A class=inlineimg title=Surprised href="javascript<img src=" alt="" border="0" omg-smile.gif? smilies images palungjit.org http: smilieid="34">penInformWindow(7)">[​IMG]


        • <!--MsgIDBody=7-->แล้วทำไมต้องอิงกับ มูลค่าทองด้วยละครับ ช่วยอธิบายเหตุผลหน่อย <!--MsgFile=7-->

          จากคุณ : <!--MsgFrom=7-->sirandrew [​IMG] - [ <!--MsgTime=7-->13 ม.ค. 48 23:58:40 <!--MsgIP=7-->] <!--pda content="end"-->​
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​



        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=7--><!--MsgIDTop=8-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow8=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 8 penInformWindow(8)">[​IMG]

        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#000000 colSpan=2 align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​




        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=8--><!--MsgIDTop=9-->
        <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244><TBODY><TR><TD>
        </TD></TR></TBODY></TABLE>

        </TD><TD bgColor=#000000 vAlign=top rowSpan=2><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    -----ค่าของเงินแต่ละสกุล --อยู่ที่ความเชื่อถือ หรือ "ความน่าเชื่อถือ"ในเงินสกุลลนั้น ซึ่งจิตใจและ ความเชื่อมั่นของมนุษย์เป็นสิ่งเยนแปลงง่าย-แบบรวดเร็ว และบอบบางต่อการถูกทำลายนะครับ อย่างเช่นตลาดหุ้นแห่งหนึ่งตกต่ำ ก็จะเป็นตามๆกันไปทั่วโลก ดังที่เป็นเมื่อวานนี้นะครับ
    --คืนนี้ แค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าเจอเรื่องประหลาดก็จะเข้ามาใหม่นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2012
  14. บัวบูชา

    บัวบูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +314
    กระทู้นี้แปลกเหมือนกระทู้ลับแล บางวันหายไปจากห้องฯ หายกลับไปกลับมา... ขนาดจ้องอ่านทีละกระทู้ ...ยังหาไม่เจอ....หลายครั้งเข้าไปอ่าน..บางหน้าก็มีปัญหา บล๊อกซะงั้นแหละ...พอปิดออกมาจะเข้าใหม่..ก็แฮ้งค์ ..แปลกจัง..ขอบคุณอาจารย์นะคะ สนุกและได้ความรู้ใหม่ๆมากมาย...
     
  15. sun army

    sun army เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +139
    ^_^

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  16. บัวบูชา

    บัวบูชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +314
    อย่าเพิ่งตายนะคะ...อย่างอาจารย์ต้องไปทีหลังค่ะ..
     
  17. rawinnipar

    rawinnipar สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +4
    สนุกดีคะ ชอบทฤษดีที่คิดค้นมานะคะ เพราะบางอย่างไม่เคยรู้มาก่อน
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ยินดีครับ สำหรับกำลังใจที่มาท่วมท้นครับ- ที่มาๆหายๆ ผมก็เป็นครับ บางทีโพสเยอะ แต่หายไป ดูอีกทีก็กลับมาครบอีก บางทีก็หากระทู้ตัวเองไม่เจอครับ เป็นเพราะว่า เว็ปนี้มีขนาดใหญ่มาก และมีผู้เข้ามาอ่านมากเป็นแสนๆคนต่อวันเปรียบเหมือนเมืองขนาดใหญ่ การจราจรก็เลยมีปัญหาครับ

    ---ตะกี้ดูหนังไปสองเรื่อง กินข้าวไปด้วย แล้วไรท์แผ่นเพื่อลบข้อมูลออก ส่วนใหญ่เป็นเพลง ในขณะเดียวกันก็เขีบนอีกบอน์ดนึง และเครื่องก็โหลดเพลงเข้ามาด้วย แอบไปแชทเอ็มและสไค๊ป์(skype)--และค้นวงจรอิเล็คทรอนิกส์

    -ขณะนี้ก็ใช้เทคนิคใหม่ คือ ใช้การนอนพิมพ์ โดยลากที่นอนมาใกล้ๆจอ-- ตะกี้ก็ง่วง หลับไปตื่นนึงแล้วด้วย ก็ตื่นมาหาอะไรกินแล้วพิมพ์ต่อ(เช็คเรทติ้งกระทู้แล้ว)
    --ทฤษฎีของผม เห็นเป็นภาพเลยครับ มีภาพปิรามิด โบสถ์ อะไรต่างๆ
    --และมีผลวิจัยออกมาแล้วว่า คนไข้ที่มีบาดแผล-หากอยู่ตรงชั้นที่มีความลาดเอียงหมือนส่วนข้างของปิรามิดจะหายเร็วกว่าคนไข้ทั่วๆไป
    -------------------------
    ตื่น! งูสามเหลี่ยมกลืนงูจงอาง โหรคาดจะเกิดอาเพศ

    [​IMG]ภาพ © คมชัดลึกออนไลน์
    ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ตกตะลึง เจองูสามเหลี่ยมกำลังกลืนงูจงอางความยาวกว่า 2 เมตรขนาดเท่ากัน ด้านโหรออกมาทำนายเชื่อเป็นลางบอกเหตุผู้น้อยจะล้มคนใหญ่ที่ไม่เป็นธรรม

    เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุพบงูสามเหลี่ยมกำลังกลืนกินงูจงอางเกือบครึ่งตัวความยาวประมาณ 2 เมตร โดยทั้งสองตัวมีขนาดเท่ากัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณถนนคอนกรีตในหมู่บ้านเอสแอนด์พี เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 30 นาที จึงสามารถจับงูได้ เพราะต้องใช้ความระมัดระวังในการจับ เนื่องจากงูทั้งสองชนิดเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ หลังเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นมีโหรชื่อดังออกมาทำนายเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เป็นลางบอกเหตุร้ายว่ากำลังจะมีอาเพศคนตำแหน่งน้อยจะกระทำการล้มคนใหญ่ที่ไม่มีความเป็นธรรม เพราะงูจงอางถือว่าเป็นพญาแห่งงูเรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก เนื่องจากงูสามเหลี่ยมโดยปกติจะไม่กินงูด้วยกัน และไม่ชอบออกมาให้คนเห็น ทั้งนี้หลังจากเจ้าหน้านำงูไปปล่อย พบว่างูทั้งสองตัวยังมีชีวิตและเลื้อยหนีเข้าป่าไป อาจจะเป็นเพราะงูสามเหลี่ยมตกใจจึงคายงูจงอางออกมา

    ที่มา: คมชัดลึกออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ชาวเน็ตขำ "เลดี้ กาก้า" จิกเมืองไทยผ่านทวิตเตอร์

    [​IMG]ภาพ © มติชนออนไลน์
    เอาหละสิ เลดี้ กาก้า โพสข้อความผ่านทวิตเตอร์จิกกัดเบาๆ อยากหลงทางใน Lady Market และจะมาซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ของปลอม ชาวเน็ตขำปนฮา ตลกร้ายจริงนะแม่คุณ
    เลดี้ กาก้า เดินทางมาถึงเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ณ สนามบินดอนเมือง เวลาประมาณ 18.30 น. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่าน ภายหลังเธอได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า "I just landed in Bangkok baby! Ready for 50,000 screaming Thai monsters. I wanna get lost in a lady market and buy fake Rolex" ฉันมาถึงกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้วนะเด็กๆ พร้อมสำหรับเสียงกรี้ดดังสนั่นของปีศาจน้อยเมืองไทยกว่า 50,000 ตน และฉันยังอยากจะใช้เวลาหลงทางในที่ท่องเที่ยวกลางคืน(lady market)และซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ของปลอม
    หลายคนต่างๆวิจารณ์คาดเดาว่า Lady Market นี่หมายถึงอะไร บ้างก็บอกว่าน่าจะเป็น สถานท่องเที่ยวกลางคืน สีลม หรือสถานบริการทางเพศ ส่วนชาวเน็ตขำ ชอบเอาเรื่องจริงมาพูดเล่น... นะแม่คุณ
    ที่มา: มติชนออนไลน์

    4 เรื่องเล่าสุดสะพรึง ในสถานที่เดียว หวีดสุดในโลก

    [​IMG]ภาพ © สนุกดอทคอม
    4 เรื่องราวจากความจริงสุดช็อค ในสถานที่ที่เชื่อกันว่า น่ากลัวที่สุดในโลก เชอร์โนบิล อุบัติเหตุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย เตรียมลงจอหลอนสั่นประสาทจากผู้สร้างทีมเดียวกับ Paranormal Activity
    ---เชอร์โนบิล ไดอารี่ เป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างจากเรื่องเล่า4 เรื่องเล่าในอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ระเบิด เมื่อ 26 ปีก่อน ที่หลอนมาจนถึงทุกวันนี้ อาทิ ผลกระทบจากการระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 4,000 คน และถูกอพยพออกจากพื้นที่ 300,000 คน รวมถึงคนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 600,000 คน แรงระเบิดรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มเกาะฮิโรชิม่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 4 เท่า หากผู้คนต้องการกลับมาอาศัยต้องใช้เวลา 24,000 ปี และแรงระเบิด(ผิดนะครับต้องบอกว่ากัมมันตภาพรังสี)(รังสี)ทำให้สัตว์บางชนิดกลายพันธุ์ มีคนพบเห็นนกรูปร่างแปลกประหลาดขนาดยักษ์ ขนสีดำสนิท และมีรัศมีของปีกกว้างถึง 20 ฟุต โดยผู้พบเห็นเรียกมันว่า "Black Bird of Chernobyl" เกิดขึ้นหลังจากมีการระเบิดครั้งนี้
    ----เรื่องสุดท้าย คนที่แอบลักลอบเข้าไปสำรวจ เชอร์โนบิล มักจะเจอกับเหตุการณ์ชวนขนลุก คล้ายกับมีคนกำลังจ้องมองอยู่ ทั้งนี้เรื่องราวทั้ง4ได้ถูกนำมารวมกันไว้ในหนังเรื่องนี้ ส่วนเนื้อเรื่องโดยย่อของหนัง เชอร์โนบิล ไดอารี่ จะเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ได้ว่าจ้างไกด์เถื่อนเพื่อเข้าไปสำรวจเชอร์โนบิล หลังจากพวกเขาได้เขาไปยังเชอร์โนบิลก็พบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่ร่วมกับพวกเขา ติดตามเรื่องราวสุดหลอนได้ที่โรงภาพยนตร์ --ที่มา: สนุกดอทคอม
    ---------------------------------------------------------------
    เผยโฉมหน้า คนแล่เนื้อ-ตัดหัว ผู้โดยสารรถบัส

    [​IMG]ภาพ © ผู้จัดการออนไลน์
    ผู้โดยสารรถบัสผวา จู่ๆ วิศวะหนุ่มชาวจีนเกิดอาการคลั่งคว้ามีดพกตัดคอ แล่เนื้อ ก่อนลงมือซดเลือดสดๆ อ้างเหตุที่ฆ่า เพราะคิดว่าเป็นเอเลี่ยน

    ----จากกรณีวิศวกรชาวจีน นายวินซ์ เหวยกวง ลี วัย 43 ปี ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญฆาตกรรมชำแหละศพ ทิม แม็คลีน โดยใช้มีดพกตัดศีรษะ ผ่าท้อง ตัดจมูก ลิ้น และอวัยวะอื่นๆเก็บไว้ในกระเป๋า บนรถบัสเกรย์เฮานด์ของแคนาดา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 2008 หลังจากเวลาผ่านมา 4 ปี นายวินซ์ได้เปิดปากพูดถึงเรืองนี้เป็นครั้งแรกว่า เขามักจะได้ยินเสียงแปลกๆอยู่เสมอโดยชื่อว่าเป็นเสียงของพระเจ้าซึ่งในวันที่เกิดเหตุเสียงนั้นได้มากระซิบที่ข้างหูบอกว่านายทิมเป็นเอเลี่ยนหากไม่ลงมือฆ่า นายทิมจะต้องฆ่าเขาแทน ดังนั้นวินซ์จึงได้ลงมือ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคจิต
    ---คดีนี้สร้างความตกใจให้กับผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่นายวินซ์ฆ่าหนุ่มผู้โชคร้ายเขาได้ก้มลงไปกินอวัยวะ และเลือดของผู้ตายบางส่วนด้วย
    ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์
    -------------------------------------------------------------------------------
    กระฉ่อน! ชาวเน็ตเรียกเธอว่า “สาวบ้าวัตถุ”

    [​IMG]ภาพ © ผู้จัดการออนไลน์
    เหวียนหง็อกจีง "ตุ๊กตาหน้าเป็น" สาวหุ่นเพอร์เฟคที่หนุ่มๆฝันถึง กระฉ่อนอีกแล้วเพราะคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า "ชาตินี้ไม่ขอแต่งกับชายจนๆ" และ "ความยากจนนั้นช่างน่าชิงชัง"
    ----เหวียนหง็อกจีง นางแบบวัย 22 เธอกล่าวว่า "ความรักที่ไม่มีเงินเหรอคะ...คนเรากินดินได้หรือเปล่าละคะ ทุกคนอยากจะมีอิสระแต่จะให้หนูทำไงละคะเมื่อมันอิสระไม่ได้ จะให้หนูทำไงหากรายได้ของหนูไม่พอกระทั่งจะซื้อกระเป๋าสักใบ แล้วหนูจะดูแลครอบครัวได้อย่างไร? หนูพึ่งแฟนของหนูแต่หนูก็ภูมิใจค่ะ มีความสุขและรู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าผู้หญิงอีกหลายคนค่ะ"
    ----เมื่อปีที่แล้วเธอเคยประกาศว่างานวันเกิดแต่ละปีของเธอหมายถึงการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ เธอสะใจที่ซื้อกระเป๋าชาแนลราคา 3,000 ดอลลาร์ ถึง 2 ใบ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาส...ทั้งนี้ชาวเน็ตคนหนึ่งเรียกเธอว่า "พวกบ้าวัตถุ"Materialism-- อีกคนประณามว่า "นังหน้าเงิน"money mania
    ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
    -----------------------------------------------------

    -----ท่านผู้อ่านครับ ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยเป็นโรคขาดความเชื่อมั่นในตนเองอย่างร้ายแรง อาจจะเป็นเพราะ-เนื่องจากระบบการศึกษาของเรา คือ การ"บอกความรู้และท่องจำ" "สิ่งที่ครูบอกก็คือสิ่งที่ถูกแล้ว" การปกครองของเราเป็นแบบประชาธิปไตย แต่ถ้าเรียกร้องหาเสรีภาพ ก็ไปค้นหาที่ปลายกระบอกปืน" จนคนไทยต้องไปพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น ต้นไม้ใหญ่หรือศาลพระภูมิ
    ---การยึดถือวัตถุ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เกิดมาชาตินึง สาวๆจะต้องมีกระเป๋าหลุยติ๊งต๊อง-หรือ"ชาแน่ว"สักใบให้จงได้ ไม่งั้นก็เป้ ยี่ห้อ"คีบลิง"Kipling สาวบางคนบอกชาตินี้ต้อวงมีรถเก๋งให้ได้ ทำงานจนตายก็ยอม ร้านเครื่องเสียงที่ฮ่องกงพูดไทยได้แน่นอน เพราะตื่นเช้ามายันเย็น ก็ต้องเจอแต่คนไทยและคนไทย แม้กอง ตม.ของฮ่องกงยังพูดไทยเหนือและอีสานได้อย่างดี---ที่ประเทศสวิส พนักงานขายนาฬิกาจะต้องพูดภาษาไทยได้ และควรจะเป็นคนไทย ซึ่งต้องเจรจากับลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นคนไทย ฝรั่งบางคนด่าคนไทยแต่ก็มาซื้อโรเล็กซ์ปลอมไปฝากญาติๆทุกครั้ง
    ----- แต่ฝรั่งบางคนยังออกมาปกป้องประเทศไทย โดยกล่าวกับฝรั่งด้วยกันว่า"ถ้าเมืองไทยไม่ดี ตรงนั้นตรงนี้ก็ไม่ดี แล้วเมิงจะมาเที่ยวเมืองไทย ทำไมฟ่ะ" เจอมาแล้วครับ รู้สึกว่าชื่อแอนเน็ตเเป็นชาวสวิส หมอดูบอกว่าชาติก่อนเธอเป็นคนไทย ตอนนี้เธอก็หนีลูกกับผัวมาอยู่เมืองไทย และมีเพื่อนฝูงเป็นคนไทย ซึ่งความคิด จิตใจเธอเป็นไทยหมดแล้วหละ นั่งสมาธิแถมยังกินเจ เธอบอกกับแหม่มชาวรัสเซียว่า จีน-มาเลย์ -อินโดก็มีชาวพุทธเยอะ แต่ก็ยังมีอัธยาศัยน้ำใจไมตรีไม่เท่าคนไทย แม่ชีคนสำคัญชาวเวียดนามบอกว่า"คนไทยดูเป็นคนมึความสูงส่งในจิตใจ มีชาติตระกูล ซึ่งเกิดจากการอบรมบ่มเพาะด้วยพุทธศาสนา"อันนี้ท่านสัมผัสด้วยจิตใจส่วนลึกๆเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  20. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---เพลงดอกไม้หายไปไหน-where have all the folwers gone เป็นชื่อเพลงครับ คิดว่าเป็นเพลงประท้วงสงครามของ ปีเต้อร์ พอล และแมรี่นะครับ
    กล่าวถึง ดอกไม้ สาวๆ เด็ดไปให้หนุ่มๆ หนุ่มไปสงคราม แล้วหายไปไหน ก็นอนอยู่สุสานทุกคน เมื่อไหนร่พวกเขาจะเรียนรู้สักที เหมือนเมืองไทยเมื่อวันนี้ครับนี่(การเมือง)
    -เฟลิเซียก็นำมาร้องนะครับ ฟังแล้ววังเวงดีมาก อันนี้คือเวอร์ชั่นเฟลิเซีย (เออ ...บอกทำไมฟ่ะ แฟนเพลงฟังรู้)
    WHERE HAVE ALL THE FLOWERS GONE
    words and music by Pete Seeger
    performed by Pete Seeger and Tao Rodriguez-Seeger
    -----------
    04. Where Have All The Flowers Gone.mp3
    ขนาดของไฟล์
    6.47 MB
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=pYii6nxhvUk"]Where have all the flowers gone? Live - YouTube[/ame]

    --ดอนน่า ดอนน่า เป็นเพลงที่พูดถึงเสียงร้องของลูกวัวครับ "ทำไมเอ็งไม่เกิดเป็นนกนางแอ่นล่ะ หยิ่งยโสแลอิสสระ เป็นงัวก็ต้องถูกมัดและฆ่าแบบนี้" ชาวนาพูด---แหม... ก็ใครมันจะเลือกเกิดได้ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม (ทั้งเก่าและใหม่) วันนี้ผมใจดี ให้ฟังจากเสียงของ หยาว สิ ติ่ง อัพโหลดให้สดๆ ให้กะแฟนบอร์ด
    04. Donna Donna - -Yao Siting (Endless Love 9).mp3
    ขนาดของไฟล์
    9.44 MB

    http://www.upload-thai.com/downl ... d038378119ed4e40143


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=wA_R84LtUvE&feature=related"]WeeGee - Donna Donna - YouTube[/ame]
    ---จริงๆ แล้วแสดงถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต เป็นธรรมะเหมือนกัน ไม่ว่าคนชาติไหน ก็ไม่พ้น การ เกิด แก่ เจ็บตายไปได้ ดังนั้นทุกคนต้องศึกษาธรรมมะ และต้องทำครับ ทุกคนต้องเป็นนักบวชครึ่งหนึ่ง ต้องปฎิบัติเอาเองครับ ไม่มีใครจะทำแทนได้ ไม่งั้นก็หนีทุกข์ไม่ได้ เลือกเอาก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...