หลวงพ่อ กับ พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HANUMAN_BUDDHA, 15 เมษายน 2012.

  1. HANUMAN_BUDDHA

    HANUMAN_BUDDHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +244
    <TABLE style="mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 2.1pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 2.1pt; PADDING-RIGHT: 2.1pt; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 2.1pt" vAlign=top>เรื่องโดย ดร. ปริญญานุตาลัยคัดลอกบางตอนจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า๖๔๘-๖๕๕<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สำหรับเรื่องอดีตชาติของหลวงพ่อพวกเรา และบรรดาลูกหลานที่ติดตามกันมาที่พวกเราเรียกว่า "กลุ่มเดิม"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิกขีทศพลที่ทรงตรัสเล่าให้หลวงพ่อของพวกเราฟังเมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๑ เวลา ๔.๓๐น.ผมเข้าใจว่าบรรดาพวกเราส่วนใหญ่คงเคยได้อ่านได้ฟังมาบ้างแล้วส่วนตัวผมเองได้ฟังและได้อ่านหลายรอบก็ไม่เคยเบื่อเลยผมโชคดีที่บังเอิญเป็นคนขี้ลืมอ่านครั้งไรจึงสนุกทุกครั้งเออคนขี้ลืมนี่ก็ดีไปอย่างไม่เปลืองดี แหะๆ

    ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธสิกขีทศพลที่อยู่ใน ๒๘ องค์ในช่วง ๔ อสงไขยสุดท้ายของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพราะท่านสิรันตะในเรื่องนี้ท่านได้บรรลุพระโสดาบันในสมัยนี้และสำเร็จพระอรหันต์ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ถัดมา คือพระพุทธเวสสภูและอีกอย่างคือการที่สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลท่านให้นับถอยหลังจากปัจจุบันไปถึงสมัยนั้น (สมัยของท่าน)โดยท่านให้นับตั้งต้นด้วยเลข ๕ แล้วบวก ๐อีก ๕๐ ตัวเพราะหากเป็นสมัยสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ หรือองค์ปฐมจริงๆคงนับแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ

    เรื่องนี้ได้สาระมากครับโดยเฉพาะเรื่อง "วิปัสสนาญาณหรือกฏไตรลักษณ์"หากท่านใดจะใช้ญาณ ๘ โดยเฉพาะอตีตังสญาณติดตามไปด้วยจะเกิดประโยชน์มากครับ ...ต้องกราบขอบพระคุณท่านดร. ปริญญา นุตาลัยที่ได้กรุณารวบรวมนำเรื่องราวมาถ่ายทอดลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า๖๔๘-๖๕๕เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานได้รับทราบเรื่องราวที่เป็นประโยชน์นี้ซึ่งผมเองมั่นใจว่าจะเป็นสิ่งจรรโลงใจสร้างความมั่นมั่นใจศรัทธาและความผูกพันในบรรดาหมู่ลูกศิษย์ลูกหลานให้แน่นหนักยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งเสริมให้ผลการปฏิบัติธรรมและการทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมได้ดีมีพลังยิ่งขึ้นดังต่อไปนี้ครับ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    --------------------------------------------------

    ในวาระแรกได้ทูลถามถึง "ประวัติการตั้งโลก" <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านตรัสว่า...<o:p></o:p>

    "เป็นเรื่องอจินไตยไม่ควรคิดรู้แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ไร้เหตุผลในการบรรลุฉันบอกได้แต่บอกแล้วเอาอะไรเป็นส่วนที่บรรลุมรรคผลไม่ได้จะรู้ไปให้หนักสมองทำไม" <o:p></o:p>

    ต่อมาได้ถามถึงมนุษย์ที่เริ่มเกิดเป็นระดับแรกว่า "ใครเป็นคนบันดาลให้มนุษย์เกิด" <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พระองค์แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า...

    " นี่เธอจะคลั่งพระเจ้ากับเขาแล้วซิใครที่ไหนจะมาสร้างถ้ามีผู้สร้างมนุษย์แล้วเจ้าคนที่สร้างโลกสร้างมนุษย์นั้นมันเกิดมาจากอะไรจึงมาสร้างโลกสร้างมนุษย์ได้มนุษย์ไม่มีใครสร้าง ร่างกายของสัตว์และมนุษย์เกิดจากอณูน้อยๆ ที่รวมตัวกันเข้าวิญญาณนั้นเป็นธาตุอย่างหนึ่งที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ มีการเกิดขึ้นได้ และไม่มีการสลายตัวคำว่าวิญญาณในที่นี้หมายถึงจิต เป็น ธาตุพิเศษที่เกิดจากการรวมของอณูพิเศษที่มีความรู้ ความเคลื่อนไหวรวดเร็วเธออย่ารู้มากกว่านี้เลยไม่มีอะไรเป็นคุณพูดไปก็ไร้ประโยชน์ลูกเขาอยากรู้ประวัติเดิมก็บอกเขาพอรู้เค้าเล็กๆ น้อยๆ เพียงสองสามชาติ เขาจะได้รู้ว่าเขาได้สร้างความดีเด่นไว้ในชาติก่อนมามากเพียงใดเขาจึงเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ได้อย่างรวดเร็วบอกเขาว่า เอาแต่บางชาติ รู้ทุกชาติไม่ไหวเพราะหลายร้อยแสนชาตินักฟังกันจนสิ้นอายุก็ไม่จบฉันจะเริ่มเล่าถึงต้นตอแห่งการปฏิบัติความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียวคอยฟังและเขียนตามที่ฉันบอกต่อไปนี้ "

    (เพื่อจะได้ไม่สับสนสรรพนามในตอนต้นๆ ดังนั้นต่อไปนี้คำว่า "ฉัน"หมายถึงหลวงพ่อของพวกเราผมเข้าใจส่วนตัวว่า พอสมเด็จพระพุทธสักขีทศพลท่านตรัสเล่าหลวงพ่อท่านคงเล่าตามภาพที่เห็นคงไม่ใช่ถอดจากคำพูดโดยตรงป็นคำๆ )

    จงนับถอยหลังจากชาตินี้ไปขึ้นต้นด้วยเลข ๕ แล้วเพิ่ม ๐อีก ๕๐ ศูนย์เป็นจำนวนเท่าไรก็นับเอาเองสมัยนั้นเป็นสมัยที่ฉันเกิดเป็นมนุษย์แต่คงไม่ได้เกิดเป็นวาระแรกเป็นชาติที่เกิดได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกในชีวิตฉันเป็นพ่อบ้านชื่อว่า "ปการัง"มีแม่บ้านชื่อว่า "ปการันยา"คือแม่ศรีแม่ศรีนี่แกแต่งงานกับฉันมาเกือบทุกชาติเว้นบางชาติที่แกไม่มาจากสวรรค์สมัยที่ฉันมาเกิดตอนปลายสมัยนี้คือก่อนพุทธกาลคราวหนึ่งและชาตินี้อีกชาติหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมเกิดร่วมอยู่ด้วยกันฉันมีลูก ๔คนเป็นชาย ๒ คน เป็นหญิง ๒ คนลูกชายคนโตชื่อ "สิมารันต์"ลูกชายคนรองชื่อ "สิรันตะ"บุตรสาวคนโตชื่อ "สีมา" (นนทา)ลูกสาวคนสุดท้องชื่อ "วรัญญา" (ตุ๋ย) เมืองที่เกิดชื่อเมือง "สิมาบุรี"เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่เหนือเชียงตุงปัจจุบันไกลจากที่ตั้งตัวเมืองสมัยนี้ประมาณ ๑๔ กิโลครึ่งบ้านเมืองสมัยนั้นเป็นอาคารที่สร้างเป็นรูปตึกเครื่องแต่งกายส่วนใหญ่นิยมผ้ากำพลสีแดงส่วนหญิงนิยมใช้ทองเป็นพื้นผิวเนื้อเป็นชนชาติผิวเหลืองประเพณีนิยมีความประพฤติอ่อนน้อม ละเมียดละมัยเครื่องแต่งกายนิยมทองกับเพชรที่เรียกว่าแก้ว ๗ ประการเครื่องนุ่งห่มหญิงนิยมนุ่งผ้าถุงแบบไทยเดิมยามท่องเที่ยวนิยมใส่กางเกงขาเรียวแบบกางเกงทหารม้าตอนท่อนขาปักดิ้นขอบล่างของกางเกงมีเป็นพู่ห้อย หรือดิ้นที่ทำเป็นพู่ดูตามภาพสวยงามมากชายส่วนใหญ่ใช้ผ้าโพกศรีษะ เป็นผ้าแพรและผ้ากำพลสีที่นิยมใช้ชายนิยมสีแดงเลือดนกเป็นผ้าโพกหญิงไม่ใช้ผ้าโพกแต่ใช้ผ้ารัดผมหรือเกล้าผมเป็นมวยชายตัดผมแบบทรงกระทุ่มไม่ใช่ทรงมหาดไทยอุปนิสัยใจคอคนสมัยนั้นส่วนใหญ่เป็นคนทีมีความเมตตาอารีมากไม่มีใครใจร้ายเหมือนสมัยนี้ทรัพย์สินส่วนใหญ่หากินง่าย สะดวกสบายเพราะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรณ์นานาประการ

    อาชีพของฉันสมัยนั้น : ฉันเป็นนายช่าง แกะสลักทุกประเภท เช่น ช่างแกะสลักไม้งากระดูกหินโลหะทุกชนิดและเครื่องเงินทุกอย่าง

    ฐานะในสมัยนั้น : จัดว่าอยู่ในขั้นเศรษฐีตำแหน่งป็นหัวหน้าเผ่าหรือพ่อเมืองแต่เป็นเมืองเล็กขนาดอำเภอหนึ่งสมัยนี้การปกครอง ไม่ใช่ครองอย่างราชาครองราชย์เป็นการกครองแบบกันเองแบบพ่อบ้านมีบริวารประจำสำนักเกินกว่า ๒๐๐ คนไม่มีทหารมีแต่คนช่วยทำงานเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนมีคนเผ่าอื่นมารบกวนก็ร่วมกันป้องกันหรือขับไล่ศัตรูโดยร่วมกันคิดร่วมกันกำจัดแบบประชาธิปไตยสมัยนี้แต่นักประชาธิปไตยมัยนี้ดำรงตนเป็นเจ้านายและเอาเปรียบลูกกน้องมากกว่าฉันฉันถือเป็นกันเอง และไม่เคยเอาเปรียบใครไม่เคยเห็นว่าใครเป็นลูกน้องฉันฉันถือทุกคนเป็นเพื่อนเสมอฉันฉะนั้นงานภายในและภายนอกของฉันจึงเป็นไปด้วยดีการค้าของที่ผลิตขึ้นค้าทั้งภายในและนอกประเทศการค้าต่างประเทศใช้เกวียนและช้างเป็นพาหนะ

    กิจของลูก : ลูกชายทั้งสองเก่งในงานทุกประเภทแทนฉันได้ดีส่วนใหญ่เขาเป็นผู้ควบคุมกองเกวียนละกองช้างเพื่อนำของที่ผลิตขึ้นไปขายต่างประเทศเป็นเหตุให้ฉันมีฐานะร่ำวยมากคนในแคว้นก็ร่ำรวยมากต่อมาฉันทำบ้านฉันมีพื้นที่ห้องรับแขกปูด้วยทองคำทั้งพื้นเสาห้องรับแขกประดับด้วยแก้ว (เพชร)และมุกลูกหญิงสองคนมีหน้าที่ต่างกันตามความสามารถสีมา (นนทา)เก่งในงานผลิตทุกอย่างควบคุมคนงานทุกประเภทแทนฉันทุกอย่างเป็นใหญ่ในกิจการของโรงงานเพราะคล่องงานมากส่วนวรัญญา (ตุ๋ย)แกไม่ถนัดงานผลิตแต่ถนัดงานหน้าบ้านคืองานรับแขกและค้าของที่มีคนมาติดต่อ

    พระพุทธเจ้ามาโปรด : สมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระพุทธสิกขี"ทรงอุบัติขึ้นในโลกทรงเที่ยวแสดงพระธรรมโปรดอยู่ในแคว้นชมพูทวีป (พระพุทธเจ้าอุบัติทุกพระองค์เฉพาะชมพูทวีปเท่านั้น)ชมพูทวีปหมายถึงแคว้นอินเดียพม่าไทยญวนลาวเขมรถิ่นนี้รวมเรียกว่าชมพูทวีปท่านกล่าวตามตำนานว่า สมัยเดิม มีต้นชมพู (ต้นหว้า) ขนาดโคตรต้นไม้ประจำทวีปเดี๋ยวนี้คงเป็นขี้เถ้าไปแล้วท่านได้เสด็จมาโปรดถึงสำนักมาพร้อมกับพระสงฆ์สาวกประมาณ ๒ หมื่นองค์... <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <TABLE style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 0cm 0cm 0cm 0cm" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 3.75pt; WIDTH: 85%; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 3.75pt" vAlign=top width="85%">สิมารันต์บวช : การมาของพระพุทธเจ้าในแคว้นนี้เป็นของใหม่ที่สุดเพราะไม่เคยมีข่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสขึ้นในโลกเลยก่อนพบพระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติตามคำสอนของคณาจารย์ประจำถิ่นปกติก็รักษาศีลห้าเป็นปกติให้ทานเป็นกิจประจำวันมีเมตตาเป็นปุเรจาริกอยู่เป็นปกติแล้วเมื่อพ่อค้าคือสิมารันต์ได้มาแจ้งว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกทุกคนในบ้านอยากเห็นพระพุทธเจ้าเป็นกำลังเกือบจะยกขบวนไปหาท่านอยู่แล้วพอดีท่านเสด็จมาเองมาโดยอากาศ (เหาะ)เป็นเหตุให้เลื่อมในในพระมหากรุณาธิคุณเกินกว่าที่คิดไว้ท่านมาฉันให้พักที่บ้านควรเรียกว่าพระราชฐานเพราะมีที่พักพอพระ ๒ หมื่นรูปได้อย่างสบายพักที่สวนสาละวัน (สวนไม้รัง) เป็นสวนพิเศษสำหรับลูกหญิงเที่ยวพักผ่อนไม่สาธารณะแก่คนภายนอกท่านพักอยู่ ๑ เดือนฉันและลูกเมียไปเฝ้าเลี้ยง และฟังเทศน์ทุกวันเป็นประจำคนมากด้วยกันได้สำเร็จอรหันต์ฉันปรารถนาพระโพธิญาณแม่ศรีลูกนนทาลูกตุ๋ยปรารถนาติดตามเป็นคู่บารมีคือจะร่วมสนับสนุนจนถึงขั้นพระโพธิญาณส่วนลูกชายคนโตสีมารันต์ฟังเทศน์วาระที่ ๒ได้บรรลุอรหันต์ขอบวชในพระพุทธศาสนาลูกชายคนที่สองสีรันตะก็ขอบวชแต่ได้มรรคผลเพียงพระโสดาบันต่อมาชาติที่ ๒เมื่อพบพระพุทธเจ้า ชื่อเวสสภู"จึงได้สำเร็จอรหันต์

    เมื่อครบกำหนด ๑เดือนพระพุทธเจ้าก็ทรงลาไปโปรดที่อื่นฉันนิมนต์ท่านขอให้มาโปรดอีกท่านรับคำต่อมาอีก ๒ ปีเศษท่านกลับมาใหม่คราวนี้ฉันพอรู้ข่าวว่าท่านมาฉันไปรอรับพระองค์ที่ชายแดนเอาผ้าขาวปูตั้งแต่ชายแดนจนถึงสวนสาละวันเพื่อให้พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสาวกเดินแล้วทอดกายเป็นสะพานเพื่อให้พระทั้งหมดเดินบนตัวฉันเป็นสะพานข้ามลำรางเล็กๆทุกแห่งที่มีรางเล็กๆเมื่อพระมาถึงสวนสาละวันแล้วฉันได้ปวารณาตัวเป็นอุปถัมภกพระพุทธศาสนา <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ส่วนสามแม่ลูกก็ปวารณาตัวเป็นอุปถัมภกพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกันทั้งสามได้ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมดมีมูลค่าหลายล้านบาทถวายเป็นพุทธบูชาแล้วอธิษฐานว่า <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    "ด้วยเดชะบารมีเป็นที่พึ่งด้วยเหตุที่หม่อมฉันทั้งหลายถวายเครื่องประดับกายอันเป็นที่รักยิ่งของหม่อมฉันนี้บูชาพระรัตนตรัยขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้หม่อมฉันทั้งสามคนจงเป็นผู้ไม่ยากจนขัดสนนับตั้งแต่ชาตินี้ไปจนถึงกาลเข้าพระนิพพานเถิดโอกาสใดที่หม่อมฉันได้เกิดพบพระพุทธเจ้าขอให้หม่อมฉันทั้งสามจงมีโอกาสบำรุงพระพุทธศาสนาโดยไม่ขาดแคลนขัดสนในทรัพย์สินเถิด"

    เมื่อสามแม่ลูกกล่าวคำอธิษฐานจบพระพุทธองค์ก็ทงตรวจดูด้วยพระพุทธญาณแล้วพยากรณ์ว่า <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    "นับแต่นี้ไปอีกแสนกัปเธอทั้งสามจะได้มีโอกาสได้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๒ แสนองค์ตลอดชีวิตพระพุทธเจ้าองค์นั้นมีพระนามว่าพระศรีอาริยเมตตาไตยพระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกภายใต้ไม้กากะทิง ในแคว้นชมพูทวีปและทุกคนจะได้มรรคผลถึงพระนิพพานในชาตินั้นพร้อมกันทั้งหมดก่อนถึงกาลนั้นเธอทั้งสามจะไม่ยากจนขัดสนจนถึงกับคำว่าทุกขตะจะมีขัดข้องบ้างตามกรรมแต่ก็เอาตัวรอดได้ในที่สุดก็เอาตัวรอดได้ในที่สุด" <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    นี่เป็นพุทธพยากรณ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้ฟัง <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ตายจากชาตินั้น (สมัยพระพุทธสิกขีทศพล) : เมื่อตายจากชาตินั้นทุกคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดฉันเป็นเทวดาชื่อว่าเกษีปการันยาเป็นนางฟ้าชื่อว่าศรีธรรมาสีมาเป็นนางฟ้าชื่อว่าสิริมาวรัญญาเป็นนางฟ้าชื่อว่ากุลทีต่างก็มีวิมานแก้ว ๗ ประการคนละหลังมีสวนสวรรค์มีสระโบกขรณีมีบริวารมากมามีความสุขในสวรรค์ตามกำหนดที่บุญกำหนดคือนานหลายกัปจนเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก (พระเวสสภู)จึงลงมาเกิดในแคว้นกาสีในเขตอินเดียปัจจุบันแต่สมัยนั้นไม่ใช่แขกอินเดียถึงเอาสถานที่เกิดในที่ตรงนั้นเป็นสำคัญสมัยนั้นแคว้นนั้นชื่อว่าแคว้นปารันตะเป็นแคว้นที่มั่งคั่งสมบูรณ์มากตระกูลที่มาเกิดเป็นตระกูลของพ่อแคว้นบิดาของฉันท่านชื่อปรันตะเป็นพ่อแคว้นมารดาชื่อจันทนาฉันชื่ออินทระเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ความสามารถพิเศษของฉันในสมัยนั้นก็คือการรบบนหลังม้าหลังช้างชำนาญอาวุธทุกชนิดที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดคือรบด้วยดาบสองมือยิงธนูทีเดียว ๔ดอกและขว้างมีดเป็นวิชาการรบที่ชำนาญมากเป็นพิเศษวิชาชีพที่ชำนาญก็คือวิชาแกะสลักเป็นอันว่าวิชาเดิมแต่ชาติก่อนติดตามมา

    แม่ศรีมาเกิดเป็นลูกเศรษฐีใหญ่ในแคว้นนั้นสิรันตะที่แยกตัวไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิตเพราะท่านบรรลุพระโสดาบันก็กลับลงมาเกิดร่วมด้วยกลับมาเป็นลูกตามเดิมแม่ศรีสมัยนั้นชื่อสิริกัลยาสีมามาเกิดชื่อว่าวาสนาวรัญญามาเกิดชื่อว่ากัลยาสมัยนี้รุ่งเรืองมากเพราะมีอำนาจในการปกครองมากมีเมืองขึ้นหลายสิบเมืองเรื่องการรบพุ่งกันก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้าเป็นของธรรมดาศึกสงครามพบกันเป็นปกติเราไม่ไปตีเขาเขาก็มาตีเราฉะนั้นจึงจำต้องมีการซักซ้อมกันเป็นปกติและเพราะเรื่องการรบพุ่งกันนี่แหละมันเป็นต้นเหตุของกรรมที่ทำให้ฉันป่วยไข้ต้องย้ายสถานที่อยู่เสมอเพราะกรรมทำให้คนเจ็บคนตายย้ายที่อยู่ทั้งนี้เพราะสมัยนั้นถ้าออกรบแล้วเรื่องคำว่าแพ้จะไม่ปรากฏส่วนใหญ่ข้าศึกเสียเปรียบด้านกลยุทธคือวางแผนรบแบบซ้อนกลท่านพ่อคือพระอินทร์องค์ปัจจุบันท่านทรงธรรมมาแต่เดิมเรื่องการสงครามท่านไม่ใคร่ชอบท่านมักจะพูดว่า "เขาจะเอาอะไรก็ให้เขา"แต่ท่านแม่ฉันท่านไม่ยอมโดยเฉพาะแม่ศรีแล้วเรื่องการรบแกเป็นหัวเรือใหญ่จริงๆเก่งในเพลงอาวุธหลายอย่างการยิงธนูคราวละสามสี่ดอกพร้อมกันเพื่อให้ถูกจุดหมายดอกละจุด แกเก่งมากเมื่อมีสงครามแกออกสงครามคู่กับฉันทุกคราวเวลาออกรบ แกแต่งตัวเป็นชาย ชอบใช้ชุดสีเหลืองโพกผ้าสีเหลือง สะพายดาบคู่ หอกซัด ธนูคู่ชีพ และมีดสั้นอาวุธประเภทนี้แกเก่งมากกำลังในการรบก็เก่ง ชายสองสามคนล้อมแกแกก็จัดการเสียสิ้นไปในชั่วครู่แกเคยถูกล้อมกรอบบ่อยๆ แต่ไม่ทันเหนื่อยเจ้าพวกนั้นก็เป็นเหยื่อคมดาบของแกสิ้นครั้งหนึ่งฉันกำลังรบกับข้าศึกที่ท้ารบตัวต่อตัวข้าศึกเล่นไม่ซื่อยิงธนูมาทางหลัง หวังสังหารฉันแม่ศรีแกยิงธนูสามดอกสวนสวนลูกธนูของข้าศึก ดอกหนึ่งถูกลูกธนูของข้าศึกหักเป็นตัดอาวุธที่มาทำลายชีวิต อีกดอกหนึ่งถูกตัวคนยิงตายอีกดอกหนึ่งถูกคู่รบกับฉันตายรวมความว่า แกยิงคราวเดียวได้ผลสามอย่างคนที่รบกับฉันเป็นแม่ทัพเมื่อแม่ทัพตายก็เป็นอันเสร็จศึกชาตินี้เป็นชาติสงครามจริงๆลูกที่ร่วมสงครามคือวาสนาที่ชอบการรบฝึกหัดเพลงอาวุธกับแม่ทุกอย่างและมีความชำนาญมากเท่าๆ แม่สำหรับกัลยาแกไม่ถนัดการรบแต่เป็นผู้ร่วมวางแผนกับท่านย่าเพราะเมื่อมีสงครามมาคราวใดท่านยาเสด็จเป็นจอมทัพทุกคราวสำหรับท่านปู่ท่านมั่นในธรรมมากท่านย่าจึงรับมือแทน และสำหรับลูกชายลืมบอกชื่อไปแกชื่ออินทราชัย (ชื่อสิรันตะในชาติที่แล้วสมัยพระพุทธสิกขีทศพล)แกเป็นพระโสดาบันมาก่อน จึงไม่นิยมการรบให้ทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรแกทำงานได้ดีเป็นที่รักของชนทั่วไปด้านนี้แกเรียกความนิยมได้มากทีเดียวไม่ว่าจะมีอะไรเป็นทุกข์เกิดขึ้นกับพลเมืองแกออกไปเยิ่ยมด้วยตัวเองป็นปกติจนประชาชนเรียกแกว่าพ่อเหนือหัวก็สมแล้วเพราะแกเป็นพระโสดาบันมาก่อน <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    กรรมที่ทำให้ลำบากในชาตินี้ : กรรมที่ทำให้ลำบากมาหลายชาติก็อาศัยสงครามเป็นเหตุครั้งหนึ่ง มีประเทศราชแข็งเมืองพร้อมกัน ๗ ประเทศแต่เขาประกาศแข็งเมืองประเทศเดียว จึงยกทัพไปปราบแต่พอกองทัพออกจากเมืองก็ถูกอีก ๖ ประเทศยกกองทัพเข้าประชิดเขตเมืองหวังจะทำลายเมือง เป็นการโค่นรากคราวนี้เองที่ต้องสร้างกรรมหนักได้จัดกองทัพที่มีจำนวนจำกัดออกเป็นสามกองกองหนึ่งกลับมารับมือกับพวกขบถอีกกองหนึ่งปลอมเป็นพวกร่วมแข็งเมืองอีกกองหนึ่งทำเหมือนจะไปตีพวกที่แข็งเมืองที่ประกาศตัวแต่ความจริงแล้วกลับมาซุ่มอยู่ชายแดน ทัพที่เข้ามารับมือนั้น มีอาทรเป็นแม่ทัพฉันเป็นทัพซุ่มทัพแข็งเมืองปลอมมีมหารามาเป็นพระเจ้าอาเป็นผู้นำทัพต่อทัพเข้าปะทะกันพอสมควรอาทรก็รบแบบสู้พลางถอยพลางพวกแข็งเมืองปลอมก็ร่วมมือกับข้าศึกช่วยตีขนาบพอได้ระยะที่ตั้งกลลวงทหารทั้งสามหน่วยก็ยิงธนูไฟเผาข้าศึกใครหนีไฟออกมาก็ถูกธนูยิงกราดถ้าเข้าระยะประชิดได้ก็โดนขนาบด้วยการบุกคราวนี้เองที่เป็นกรรมหนักคนล้มตายมากมายจนสลดใจการรบคราวนี้ออกสงครามกันหมดท่านปู่ที่เป็นนักพรตก็ต้องออกเป็นจอมทัพเว้นไว้แต่อินทราชัยเท่านั้นที่ไม่ให้ออกรบเพราะแกเป็นพ่อเมืองฝ่ายบุ๋นท่านย่าก็แสดงฝีมือยิงธนูให้เห็นว่าคนแก่ก็สามารถ ปกติแกเป็นคนพูดน้อย ยิ้มเสมอแต่ยามสงครามเด็ดขาดน่าใจหายใครผิดคำสั่งนิดเดียว ก็หมายถึงต้องไปอยู่เมืองผีแกบอกว่าวินัยต้องเป็นวินัย ไม่มีอะไรที่จะผ่อนผันเมื่อท่านย่าว่าอย่างนั้นท่านปู่ก็ยิ้มพยักหน้า แต่ไม่ขัดคอกรรมนี้ขณะเขียนเห็นภาพแล้วรู้สึกเศร้าใจมากคนที่ต้องมาพลอยตายเพราะหัวหน้าแคว้นสองสามคนนั้นมีจำนวนนับยากเพราะทหารทั้ง ๗ เมืองที่แข็งเมืองมีจำนวนเหลือกลับไปไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์น่าอนาถใจมาก

    พระพุทธเจ้าเวสสภูเสด็จมาโปรด : เมื่อเสร็จศึกคราวใดพวกเราก็ทำบุญสนองบาปหมายถึงทำบุญเพื่อลบล้างกรรมขณะนั้นมีแต่พราหมณ์ไม่มีพระในเมืองจึงเริ่มจัดโรงทานเป็นการใหญ่บูชายันต์ที่พราหมณ์ให้ฆ่าสัตว์ท่านปู่ไม่โปรดโปรดแต่การให้ทานเป็นการสงเคราะห์ท่านว่าพราหมณ์เป็นพวกจัญไรทำบุญอะไรต้องฆ่าสัตว์ก็เห็นจะจริงของท่านเพราะจะให้ดีเบียดเบียนคนอื่นการให้ทานคราวนั้นให้หมดแม้แต่ประเทศที่แพ้สงครามท่านว่าพลเมืองไม่รู้เรื่องด้วยเป็นเพราะหัวหน้าไม่กี่คนที่เป็นคนคิดพวกพ่อเมืองที่คิดแข็งเมืองถูกประหารชีวิตหมดเมืองที่ประกาศลวงเป็นเมืองแรกนั้น พ่อเมืองหนีออกจากเมืองไปจึงปลอดภัยจากการถูกฆ่า "วีระกรรมคราวนี้น่าสลดใจเหลือเกิน โลกชมว่าดีแต่ฉันเศร้าใจมาก"สงสารคนที่มาตายเพราะคนมักใหญ่ใฝ่สูงสองสามคน

    เพราะท่านปู่ท่านนิยมให้ทานนี่เองวันหนึ่งในขณะที่กำลังแจกทานเพื่อสงเคราะห์ประชาชนในแคว้นเมืองขึ้นมีเสนาบดีเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดพวกเราแปลกใจเพราะไม่เคยรู้เลยว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรคิดว่าเป็นเทวดาถามเขาว่าท่านมาจากวิมานชั้นไหน? เขาบอกว่า ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นพระพุทธเจ้าเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกันเขาบอกว่า นายประตูเมืองเข้าแจ้งว่าพระพุทธเจ้าเข้ามาโปรดในเมืองท่านปู่ ท่านอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรจึงอนุญาตให้เข้ามาได้แต่เสนาบดีเขาบอกว่าต้องออกไปรับจึงพร้อมกันออกไปรับที่ไปไม่ใช่เลื่อมใส ไปเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้ารูปร่างอย่างไรมากกว่าออกไปเป็นกองเกียรติยศใหญ่เพราะกษัตริย์เสด็จหมดตระกูลพร้อมด้วยพลสี่เหล่าเป็นขบวนใหญ่สวยงามมากจริงๆฝ่ายในแต่งกายด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรามองดูแล้วคล้ายกับจะขนเครื่องทองเครื่องเพชรไปขาย พอไปถึงท่านเห็นท่านเป็นมนุษย์ธรรมดาห่มผ้าสีย้อมฝาด ศรีษะโกน นั่งสงบเสงี่ยมแต่องค์พระพุทธเจ้ามีรัศมีออกจากกาย สวยงามมากพอไปถึง ท่านปู่ก็นำถวายนมัสการการกราบไหว้นี้มีมานานแล้วเมื่อทุกคนกราบหมดพระองค์ก็เริ่มแสดงปาฏิหารย์คือนั่งอยู่อย่างนั้นแต่ท่านและพระทุกองค์ค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่งจนสูงเท่ายอดตาลแล้วลอยลงมานั่งที่เดิมพวกเราแปลกใจมากกราบกันเป็นการใหญ่ไม่รู้ว่าเท่าไรยายตุ๋ยแกมีอะไรแปลกกว่าคนอื่นแกกราบแล้วแกหงายหน้ามองแล้วก็กราบน้ำตาแกไหลเพราะปลื้มใจเมื่อพระองค์พร้อมด้วยพระสาวกนั่งที่เดิมก็ทรงเริ่มเทศน์ คือพูดให้ฟังไม่ใช่เทศน์แบบปัจจุบันคือพูดเอาคนเดียวท่านเริ่มต้นด้วยคำว่า...

    "การชนะที่ต้องทำสงครามแล้วเอาชนะด้วยกลยุทธ์ไม่ใช่การชนะเด็ดขาดเราชนะเพราะมีปัญญาเหนือกว่า มีกำลังมากกว่าแต่ทว่าเมื่อไร ปัญญาทรามลงหรือกำลังน้อยกว่าเขา เราอาจแพ้ได้มีความชนะอีกแบบหนึ่งที่ชนะแล้วไม่กลับแพ้"

    ถึงตอนนี้พวกเราสนใจมากท่านเทศน์ต่อไปว่า

    "การชนะที่ไม่มีการแพ้ก็คือการชนะใจด้วยจิตมีเมตตาเป็นปุเรจาริกคำว่าปุเรจาริกหมายความว่ามีเมตตาเป็นเบื้องหน้าคือมีอารมณ์ตั้งอยู่ในความเมตตาเป็นปกติธรรมอย่างนี้พระองค์ และพระประยูรยาทมีอยู่แล้วเป็นปกติ"

    คำว่า พระองค์ ท่านหมายถึงท่านปู่

    "กรรมบางอย่างบังคับจึงต้องทำสงครามกรรมนั้นคือยึดเมืองอื่นมาเป็นเมืองขึ้นถ้าปลดปล่อยเมืองขึ้นให้เป็นอิสระแล้วทรงอยู่ในธรรมจะเริ่มได้ชัยชนะเป็นระดับแรก

    ต่อไปเผื่อแผ่แจกผลประโยชน์ที่ได้มาเป็นการสงเคราะห์คนจนจะได้ชัยชนะระดับที่สองและถ้าชนะใจด้วยการตั้งอยู่ในศีลห้าเป็นปกติจะเป็นชัยชนะระดับที่สามและถ้าทำลายนิวรณ์ห้าได้ จะเป็นชัยชนะระดับที่สี่

    ถ้าปลงสังขาร เห็นว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรามีทุกข์มีโทษเพราะเกิดแล้วต้องแก่ ต้องป่วยไข้ต้องมีอารมณ์มืดมนเพราะคนอื่นทำให้มืดมนแล้วก็ตายในที่สุดตัดความยึดมั่นในสังขารเสียจะเป็นชัยชนะเด็ดขาดไม่มีทางแพ้อีกต่อไป"... <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อินทราชัย ได้สำเร็จพระอรหันต์ : พอท่านเทศน์จบ

    - อินทราชัยก็สำเร็จพระอรหันต์ขอบวชในพระพุทธศาสนา

    - ท่านปู่ฉันและทั้งนักรบทั้งหมดถอดอาวุธคู่มือถวายเป็นพุทธบูชา

    - ท่านย่าแม่ศรีนนทาตุ๋ยถอดเครื่องประดับกายทั้งหมดถวายป็นพุทธบูชา

    - ท่านปู่ประกาศให้อิสระภาพแก่เมืองขึ้นทั้งหมดในขณะนั้นประกาศให้ราชาประเทศราชประชุมในวันต่อมาให้เอกราชและประทานทรัพย์สินมากมายจำนวนทองคำที่แจกจ่ายเกินกว่า ๕๐๐ เล่มเกวียนของอย่างอื่นรวมทั้งข้าวปลาอาหารอีกมากมายราชาทุกองค์ขอมอบตัวเป็นข้าช่วงใช้ตลอดชีวิตตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่เคยมีศึกมาประชิดเมืองเมื่อมีข่าวว่าจะมีศึกพวกเมืองที่ปลดปล่อยเขาก็ช่วยกันจัดการปราบปรามเสียเองอยู่กันอย่างเป็นสุขตลอดชีวิตเป็นการชนะที่ไม่รู้จักแพ้จริงๆ

    เมื่อถวายอาวุธและเครื่องประดับและอินทราชัยบวชบวชแล้วได้จัดสถานชั่วคราวถวายเป็นที่อยู่ของพระท่านปู่ได้บัญชาให้สร้างวิหารถวายสงฆ์ ประมาณ ๔ แสนองค์อยู่สบายแต่ท่านมากัน ๒ แสนเป็นปกติ ที่อยู่จึงกว้างขวางสุขสบายมากท่านย่าและลูกสะใภ้หลานสาวไปวิหารฟังเทศน์กันทุกวันไม่มีวันใดที่ไม่เคยไปวิหารพระท่านเห็น ๔ หญิงเข้าวัดพระก็ดีใจว่าวันนี้ ๔โยมมีอะไรมาใหฉันอีกแล้วแม่ศรีกับยายตุ๋ยเป็นนักตกแต่งเครื่องประดับกุฏิพระตอนนี้ว่างจัดประดับวังไปได้ไม่อย่างนั้นแกมีเรื่องจัดวังทุกวัน ไม่รู้ว่าแกจะเอาอย่างไรของแกส่วนนนทานั้นไม่จุกจิกเรื่องเครื่องประดับแต่ชอบควบคุมเรื่องอาหารถวายพระตรวจตราอาหารประจำวันพระมาพักคราวละ ๑ เดือน ได้ฟังธรรมเป็นปกติเพราะอาศัยพระพุทธคุณแท้ๆ บ้านเมืองจึงอยู่เป็นสุข

    สมเด็จพระพุทธเวสสภูทรงพุทธพยากรณ์ : สมัยนี้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า "ท่านพ่อเมืองแม่เมืองหลานเมืองจะเป็นมหาเศรษฐีใหญ่สมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าศรีอาริย์เมตไตยจะเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาและได้สำเร็จมรรคผลเข้าถึงนิพพานทั่วกันทุกคนเว้นไว้แต่ฉันถ้าไม่ลาพุทธภุมิจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่าพระพุทธอริยะมุนีต่อจากพระศรีอารย์ไปเป็นองค์ที่ ๒๐แต่สงสัยจะคลายตัวเสียตั้งแต่สมัยพระสมณโคดมถ้าคลายตัวตอนนั้นก็จะเป็นกำลังใหญ่ของลูกหลานให้เข้าถึงธรรมได้อย่างแน่นแฟ้นมีธรรมาพิสสมัย (โสดาบัน) เป็นต้นทั่วทุกคนเพราะผลที่ตนบรรลุ...

    ละอัตตภาพเมื่อตายจากชาตินั้น (ชาตินั้นคือ ชาติปัจจุบัน)ทุกคนไปเกิดร่วมกันในชั้นดุสิตทั้งหมด

    เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นพระพุทธพจน์ของพระพุทธสิกขีทรงประทานพระโอวาทมาอีกตอนหนึ่งไม่ใช่ระลึกชาติเอง

    จบบันทึกพิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพียงเท่านี้ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องหลวงพ่อของเราต่อนะครับ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    --------------------------------------<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <TABLE style="MARGIN: auto 6.75pt; WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 3.75pt 3.75pt 3.75pt 3.75pt; mso-table-overlap: never; mso-table-lspace: 9.0pt; mso-table-rspace: 9.0pt; mso-table-anchor-vertical: margin; mso-table-anchor-horizontal: margin; mso-table-left: left; mso-table-top: 34.65pt" class=MsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 3.75pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 3.75pt" vAlign=top width="100%">ขอคั่นรายการนิดลุง.ศขอนำเรื่องนี้มาให้บรรดาท่านได้อ่านทบทวนเพื่อความชัดเจนเพราะอาจมีบางท่านความจำอาจเลือนๆและเพื่อคลายข้อกังขาบางประการสำหรับบางท่านที่ถกเถียงกันโดยเฉพาะ "การอวตารลงมาเกิดพร้อมกันหลายองค์??" ครับ<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เรื่องรู้เลยตาย ไฟล้างโลก และพระศรีอาริย์ตรัส <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    (บันทึก เมื่อวันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒)<o:p></o:p>

    ความจริงเรื่องรู้เลยตายหรือรู้ก่อนเกิดนี้ฉันเองไม่ใคร่อยากจะพูดและไม่อยากจะเชื่อถือนักเพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลยแต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งคนเขียนๆเรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมายเช่น รู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้วไฟบันลัยกัลป์จะไหม้ถึงภวคพรหมดูเรื่องมันมากมายนักฉันสงสัยไม่หายว่าไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหมดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดีเมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้นฉันก็อดที่จะอยากรู้ความจริงไม่ได้ในที่สุดคืนของวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒นนทากับประสบสุขมาฝึกกรรมฐานฉันนั่งคุมกรรมฐานความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิตจึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญูวิสัยท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

    หลังสิ้นพระพุทธศาสนา : หลังจากกึงพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี (เลยพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปีไปอีก ๑,๕๐๐ ปี)จะมีไฟล้างล้างโลกล้างแต่มนุษย์เท่านั้นไม่ลามไปถึงเทวดา <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านบอกว่าความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้นเป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมากมารวมกันอยู่เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลกมีแต่ความเร่าร้อนหาความสงบสุขไม่ได้ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้วจากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามากทำให้ความสงบสุขไม่มีเพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม

    หลังจากไฟล้างโลกแล้ว : โลกจะร้างไม่มีต้นหญ้ากอไม้แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ ๑,๐๐๐ ปีหลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลกแม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำพื้นโลกจะชุ่มชื้นต้นหญ้าต้นไม้จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้

    <o:p></o:p>
    หลังจากที่โลกเขียวชอุ่มไปด้วยต้นหญ้าใบไม้นั้น : ทิ้งระยะนาน ๑หมื่นปีสัตว์โลกเริ่มเกิดสัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิดมาเกิดแบบอุปปาติกะคือมาเกิดด้วยอำนาจกรรมคือเป็นตัวคนขึ้นจะยังไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสงมีแสงเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคนคือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญเรื่องอาหารนั้นนระยะแรกยังไม่ต้องการอาหารมีความอิ่มด้วยธรรมปิติเพราะแต่ละคนที่มาเกิดล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้นไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปนโลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้นอจากกฏธรรมดาคือความเสื่อมของสังขารเรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มีคนทุกคนเป็นคนสวยหมดผิวเหลืองเนื้อละเอียดทั้งหญิงและชายมีแต่คนรวยไม่มีคนจนมีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครจบาป

    พระศรีอาริย์มาตรัส : เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บริบูรณ์มีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์แล้วระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลกเวลาล่วงมาได้ล้านปีคนสมัยนั้นีอายุครองตนได้ ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัยท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่าเขตเมืองพม่า

    คณะคอยพระศรีอาริย์ : คนกลุมหนึ่งที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ตามปฎิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้นท่านหัวหน้าทรงนามว่า "โกสีห์"จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่าเชียงตุงปัจจุบันให้ชื่อเมืองว่าสีหนครรวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศลและเป็นอุปฐากใหญ่ของพระศาสนาในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล

    ในศาสนาพระศรีอาริย์ : เรื่องพระศรีอาริย์นี้เวลานี้ชักยุ่งมากทีเดียวเพราะไม่ว่าไปทางไหนก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมดที่โน่นก็พระศรีอาริย์ที่นี่ก็พระศรีอาริย์เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถวเพราะอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่าระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอานฟังแล้วคล้ายๆ กัน....ฯลฯ

    มาพูดกันเรื่องพระศรีอาริย์กันดีกว่าเรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้วพอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสียเป็นเรื่องของยุคทมิฬห้ามพูดเมื่อบ้านเมืองยุ่งทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้มเพราะเมื่อมีความเดือดร้อนชาวบ้านก็ยากพบพระศรีอาริย์เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขคราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตารหรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาไม่ทราบเกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์อยู่ตามถ้ำตามเขาบ้างตามกลุ่มชนในชนบทบ้างไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกันในยุคเดียวกันตั้งหลายอานบางรายก็สวดด่อนเขาว่าอย่างนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวดเขาสวดกันอย่างไรบางรายเฉพาะที่เขาตะพาบเมืองอุทัยเห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อนที่เมืองลพบุรีก็มีรายนั้นทำงานมงคลนิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถวเห็นตั้งอาสนะไว้แต่ไม่เห็นมีพระมีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุขหลวงพ่อปานหลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่านให้มาสวดมนต์ในงานยกธงธรรมจักรนิมนต์พระผีมานี่ลดค่าครองชีพดีมากท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดังนั่งก็ไม่เปลืองที่เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลืองสบายใจดีแลเรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้นอกจากจะโกหกเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเองเอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไรพบพระสรีอาริย์ทุกคราวแถมท่านบอกมาด้วยว่า "ที่เข้าทรงและว่าฉันไปนั้นฉันไม่เคยไปเลย"เรื่องก็จบเพียงแค่นี้

    ต่อไปมาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่าท่านว่าศาสนาของท่านนั้นมีผลดังนี้

    ๑. คนสวยทุกคนมีผิวเหลืองเนื้อละเอียดคนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเองอายุคนสมัยนั้นท่านว่ามีอายุถึง ๔หมื่นปีเป็นอายุขัย

    ๒. สมัยของท่านไม่มีคนจนมีแต่คนรวยมีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถานสัตว์นรกเปรตอสุรกายมีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ท่านที่จะไปเกิดที่นั้นต้องเป็นเทวดา หรือพรหมเท่านั้นโลกจึงมีแต่ความสุขไม่มีตำรวจทหารมีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    ๓. การสัญจรไปมาสะดวกสบายไปไหนก็พายเรือตามน้ำ

    ๔.คนเข้าถึงธรรมทุกคนท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณหรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควรจะเข้าถึงธรรมพิสมัยได้โดยฉับพลันคือเป็นพระอริยเจ้าคนที่ได้อริยะต้นแล้วจะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน

    คนที่ทำบุญไว้น้อยคือฟังคาถาพันและปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์อย่างสูงก็ได้อริยะที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัปท่านบำเพ็ญบารมีมากคนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้น่าเกิดจริงๆ

    เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้อย่างนี้เขียนไว้ให้อ่านเล่นจริงหรือไม่จริงไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำราต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอนถ้าวิริยะอุตสาหะแล้วไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ฟังไว้แต่อย่าเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธจนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้สำหรับเรื่องนี้ขอยุติเท่านี้วันหน้าถ้ามีเวลาพอจะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น <o:p></o:p>
    -----------------------------------------------<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    กลุ่มเดิมพวกเราในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคม<o:p></o:p>
    (คัดลอกบางตอนจากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หน้า ๑๐๒-๑๐๔)<o:p></o:p>
    ที่ริมสระอโนดาดหลวงพ่อเล่าให้ลูกๆฟังว่า...ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระพุทธกุกุธสันโธพื้นที่ภูกระดึงนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ๑ โยชน์และเวลาผ่านไปชั่วพุทธันดรหนึ่งแผ่นดินสูงจากเดิมขึ้นมา ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ =๑๖ กม.ลุง.ศ จำมาจากหลวงพ่อครับแสดงว่าสมัยนั้น ภูกระดึง จมอยูใต้ทะเลลึกถึง ๑๖ กม.)

    วันต่อมาพวกเราอันมีหลวงพ่อเป็นผู้นำเดินทางไปนั่งพักคุยกันใต้ต้นไม้อีกแห่งหนึ่งบนภูกระดึงอากาศร้อนเพราะเป็นช่วงเดือนเมษายนแต่ลมพัดเย็นสบายใจของพวกเราเป็นสุขหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าเราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้มา ๓ วาระแล้วในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระโกนาคมเราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้มีเนื้อที่ ๔ หมื่นไร่เศษมีสภาพเป็นเกาะกลางทะเลท่านปู่และท่านย่าอินทิราเป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนนี้มีลูกชายต่อมาได้เป็นพระราชาแทนพระราชบิดาต่อไปสำหรับพระราชาองค์นี้ปรารถนาพระโพธิญาณอยู่มีน้องชายเป็นพระเจ้าอนุราช มีนามว่าพระเจ้าวชิระราชาชื่อเล่นว่าเจ้าชายตุ่มเพราะตอนเด็กอ้วนโตแล้วไม่อ้วน

    ในสมัยนี้เองสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมเสด็จมาโปรดบนภูกระดึงมาประทับที่พระราชวังซึ่งทำด้วยไม้ธรรมดาๆก็ไม่ใหญ่โตนักเป็นสถานที่รับรองสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเวลานั้นประชาชนมีศีล๕ กันเป็นส่วนมากองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์โปรดให้ฟัง....ถึงตอนไหนภาพก็ปรากฏแก่ผู้ฟังด้วยอำนาจพุทธานุภาพ <o:p></o:p>
    พระองค์ตรัสว่า...

    ...ตอนพวกเราเป็นเทวดามีรูปร่างอย่างไรมีวิมานทิพย์สมบัติเป็นประการใดก็มีภาพในตอนเราเป็นเทวดาปรากฏทันทีเราเคยเกิดเป็นพรหมแล้วกี่ชาติแต่ละชาติมีรูปร่างอย่างไรมีวิมานมีความสุขยังไงภาพตอนเป็นพรหมก็ปรากฏทันทีทุกคนเห็นภาพตัวเองตอนเป็นเทวดาเป็นพรหมมีความสุขด้วยอำนาจของความดีทั้งนี้ด้วยอำนาจพุทธานุภาพและพระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าแล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นคนอีกการเกิดทีไรมันก็มีแต่ความทุกข์เกิดมาทีไรมันก็แก่แล้วเกิดมาทีไรมันก็ตายพระองค์เน้นเรื่องการตายการเกิดเป็นเทวดาเป็นสุขกว่าเกิดเป็นคนแต่ก็พักทุกข์ชั่วคราวการเกิดเป็นพรหมมีความสุขกว่าการเกิดเป็นเทวดาแต่แล้วก็กลับมาเกิดเป็นคนอีกความสุขตอนเป็นเทวดาสู้ความสุขตอนเป็นพรหมไม่ได้แล้วพระองค์ก็จบลงด้วยความสุขบนพระนิพพาน เป็นสุขที่สุดพระพุทธองค์ทรงรับรองจบพระธรรมเทศนาหลายคนเป็นพระอริยเจ้าเพราะศีล ๕เขาบริสุทธิ์อยู่แล้วเป็นปกติก็เป็นของไม่ยาก

    โดยเฉพาะท่านปู่ท่านย่าเวลาสิ้นชีพตักษัยเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีแต่เวลานี้ท่านไปนิพพานแล้ว

    ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้าแต่หัวหน้าคือพระราชาผู้ครองประเทศได้ไตรสรณคมน์ เพราะปรารถนาพระโพธิญาณและมีบุคคลใกล้ชิดอีกพวกหนึ่งขอติดตามหัวหน้าไปด้วยเลยไม่มีโอกาสท่านที่เป็นพระอริยเจ้ากราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุและภิกษุณีพระพุทธองค์ทรงบวชให้ด้วย "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด"จีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็มาสวมกายศรีษะก็โล้นเป็นภิกษุนี่ด้วยอำนาจพุทธานุภาพและบุคคลผู้บวชเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนามาก่อน

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมตรัสว่า "ตอนที่เราเกิดเป็นพรหมน่ะไม่ใช่นั่งหลับตาปี๋เพราะเรามีสังคหวัตถุ ๔และมีพรหมวิหาร ๔เราทรงแบบนี้ได้เป็นปกติแบบสบายๆ (นี่แหละอารมณ์เป็นฌานไม่ใช่ต้องนั่งหลับตาปี๋จึงจะเป็นฌาน)พวกเราทำหนักมาในด้าน "ทาน"ใจก็คิดเสมอในการให้ทานก็เป็นฌานในจาคานุสติกรรมฐานจิตทรงอารมณ์แบบนี้จนชินก็เป็นอารมณ์ฌาน (ฌานก็คืออาการชินทำจนชิน) ตายแล้วก็ไปเป็นพรหมได้"

    ตอนนี้หลวงพ่อเน้นว่า "พวกเราเดินตามปฏิปทาเดิมของเราคือ "ทางสายกลาง"อย่าเปลี่ยนทางเดิม "การเครียด"ไม่ใช่ทางของพวกเราจะทำให้ช้าลงเพราะเป็นอัตตกิลมถานุโยคแทนที่จะก้าวไปหน้ากลับไปไม่ถึง"

    ขณะนั้นองค์สมเด็จพระทรงธรรมเสด็จมาโปรดอีกว่า "ชาตินี้พวกเราควรจะพอกันเสียทีเกิดทุกชาติก็ตายทุกชาติเคยเป็นใหญ่เคยเป็นกษัตริย์นี่ทรัพย์สินมากมายเอาติดมาไม่ได้เลย"แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเน้นสรุปว่า...

    ๑.ให้นึกถึงมรณัสสติกรรมฐานไว้เพราะเป็นสมถะและตัดสักกายทิฏฐิไปด้วยเพราะคิดถึงความเสื่อมคือความตายเป็นปกติ

    ๒.มีอนุสติครบเคารพพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์

    ๓.ทรงศีลบริสุทธิ์

    ๔.นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

    พระพุทธองค์ตรัสว่า "พวกเราทำ ๔ข้อนี้ให้ได้ไปนิพพานหมดไม่ต้องทำอะไรมากมายไปกว่านี้เพราะเราทำทุกอย่างมาเต็มหมดแล้ว"

    ในคราวนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมพระพุทธโกนาคมทรงเทศน์จบหัวหน้าคือกษัตริย์ท่านปรารถนาพระโพธิญาณเข้าขอรับคำพยากรณ์จากพระพุทธองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า...

    จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระอุตตรสมณโคดม"แต่ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสมเด็จพระสมณโคดมก็จะลาจากพุทธภูมิเสียก่อนเพราะจะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศานาโดยเฉพาะเวลานั้นมีคนกลุ่มหนึ่งขอติดตามหัวหน้าคือกษัตริย์คนกลุ่มนั้นจึงยังไม่ไปนิพพาน"
    <o:p></o:p>
    ----------------------------------------<o:p></o:p>
    เอามาจากเว็ป ลุง ศ. ครับ




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 3.75pt; WIDTH: 100%; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 3.75pt" vAlign=top width="100%"></TD></TR></TBODY></TABLE>หมายเหตุ : โพสตามข้างต้นการตั้งชื่อเรื่องเพื่อให้น่าติดตามเข้าใจภาพรวมเวลาอ่านง่ายอาจมีการแทรกความเห็นบ้าง หรือจัดบางรูปแบบไม่ต่อเนื่อง เช่น คั่นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา เพียงขยายความให้เข้าใจ มีทิศทางในการทำความเข้าใจเพราะผมอ่านหลายรอบมากจึงไม่อยากให้งงกรุณาอย่ารวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาต้นฉบับ<o:p></o:p>




    </TD></TR></TBODY></TABLE><o:p></o:p>




    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2012
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  3. งูเกา

    งูเกา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +13
    เรื่องนี้ได้สาระมากครับโดยเฉพาะเรื่อง "วิปัสสนาญาณหรือกฏไตรลักษณ์" อันนี้ศาสนาอะไรครับ ศูนย์พุทธศรัทธาคนทำบุญก็เยอะแล้วมั้งครับ ไม่รู้นะไม่เคยไป
     
  4. Fluffy (New)

    Fluffy (New) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +1,228
    สาธุ ขอบคุณค่ะที่นำข้อมูลอันเป็นมงคลมาแบ่งปันให้อ่าน ขออนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ
     
  5. miss you

    miss you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +202
    กราบหลวงพ่อค่ะ -_/\_- -_/\_- -_/\_- อนุโมธนา สาๆๆธุๆๆๆๆ ค่ะ
     
  6. ทิ้งสมอ

    ทิ้งสมอ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +77
    อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณ จขกท.มากที่ทำให้ได้ความรู้เพิ่มครับ
     
  7. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    [​IMG]
    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     
  8. srtumsrtum

    srtumsrtum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +44
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับ
    ขอผลบุญนี้จงดลบันดาลให้ลูกเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันกาลนี้ด้วยเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...