การฝึกฝนจิตใจ โดยพระอาจารย์วัน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 3 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    การฝึกฝนจิตใจ (๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๒) [​IMG]

    คนเราที่จะดีจะชั่วก็เนื่องไปจากจิตใจ ความชั่วดีทั้งหลายมัน
    เกิดมาจากใจ จึงว่าใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ
    จะประเสริฐก็ด้วยใจ คนที่จะชั่ว ก็คือว่าชั่วไปจากจิตใจ ถ้าจิตชั่ว
    แล้วความชั่วนั้นจะออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาของมันทางวาจาและทาง
    กาย กายก็จะทำชั่ว วาจาก็จะพูดชั่ว เพราะจิตใจมันชั่วแล้ว

    พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ชำระจิต ให้จิตผ่องใสสะอาด จึงว่า
    สจิตฺตปริโยทปานํ ทำจิตของตนให้ผ่องใส ให้มันสะอาดเสียก่อน
    คือใจใส เหมือนกันกับน้ำ ต้องให้เป็นน้ำที่ใส จึงสมควรแก่การบริโภค
    ใช้สอย ถ้าน้ำขุ่น บริโภคก็ไม่ดี ใช้สอยก็ไม่ดี หรือน้ำที่เจือปนอย่าง
    อื่นไป ถึงจะเป็นน้ำแต่มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในการดื่มการใช้

    อย่างบางแห่งน้ำมี แต่มันใช้ไม่ได้ ถึงจะมีก็ใช้ไม่ได้ อย่างน้ำ
    ทะเล เอามาอาบก็ไม่สำเร็จประโยชน์ จะเอามาดื่มก็ไม่ได้ นอกจาก
    ว่าจะเอาไปทำเกลือหรือเป็นที่เลี้ยงปลาทะเลเท่านั้น แต่มันใช้ประโยชน์
    ไม่ได้เพราะมันเจือปน จิตของเราที่ไม่สะอาด ไม่ผ่องใส ก็คือมีกิเลส
    เป็นเครื่องเจือปน ทำให้น้ำจิตน้ำใจของเราเป็นไปตามอำนาจของ
    กิเลส

    เราจึงหาทางชำระจิตให้ผ่องใสขึ้นมา จึงมีการให้ทาน รักษา
    ศีล ภาวนา ทานเป็นการชำระจิตออกจากความเศร้าหมองเพราะความ
    โลภ ตัณหาที่มันเกิดขึ้น หรือความตระหนี่เหนียวแน่นที่มันอยู่ในจิตก็คือ
    ลักษณะของความโลภนั่นเอง ที่มันทำให้ปรารถนาอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
    ในทางที่ผิด คนที่ทำได้มาก โดยการทำนั้นเป็นไปในทางสุจริตไม่ถือว่า
    เป็นความโลภ

    แต่ถ้าได้มามีความตระหนี่เหนียวแน่น ถึงจะได้มาในทางที่ชอบ
    ก็จริงอยู่ แต่มาเกิดความตระหนี่ขึ้นมาภายหลัง ไม่อยากจับจ่ายใช้สอย
    ไม่อยากสงเคราะห์เกื้อกูลคนอื่น ไม่มีการแบ่งปัน ถ้าอย่างนี้ก็เรียก
    ว่าเป็นความโลภ เพราะมันออกมาในแง่ของมัจฉริยะความตระหนี่ ถ้า
    คนที่ไม่โลภก็แสวงหาในทางซื่อสัตย์สุจริต ได้มาในทางที่ชอบ ไม่ได้
    ฉ้อโกง ไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้กดขี่ข่มเหงขูดรีดจากคนอื่นแต่ประการใด

    เมื่อได้มาแล้วก็คิดเห็นว่า ชีวิตของเราก็ต้องอาศัยการเลี้ยงดู
    บำรุงรักษา รู้จักการจับจ่ายใช้สอยบำรุงความสะดวกสบายแก่ตน และ
    รู้จักเกื้อกูล ช่วยเหลือคนอื่นตามสมควรที่จะเป็นไปได้ เมื่อมีอย่างนี้ก็
    ไม่เรียกว่าเป็นคนโลภ เราจะไปถือว่าเขามีมากเขาโลภก็ไม่ถูกเสมอ
    ไป เพราะเขามีมากเขาก็ขยันหา เขาได้มาในทางสุจริต แล้วเขาก็ไม่
    ได้เก็บไว้เฉยๆ เขาก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ จะเป็นสาธารณประโยชน์
    หรือบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา

    ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นในเวลาที่เขาประสบภัยเกิดภัยอันตราย
    ขึ้นมา น้ำท่วม ลมพัดเสียหาย ไฟไหม้หรือในคราวที่แห้งแล้ง เกิดความ
    อดอยากขึ้นมา ก็เผื่อแผ่เจือจุนคนอื่นไปตามสมควรที่จะเป็นไปได้ ผู้เป็น
    อย่างนี้จะไปจัดว่าเป็นคนโลภก็ไม่ถูก เพราะเป็นสง่าราศี เป็นเครื่อง
    บำรุงรักษาประเทศชาติบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
    ขึ้นมา ก็เนื่องจากคนมั่งมี

    อย่างสมัยก่อน เมืองสาวัตถีมีแต่เศรษฐีเล็กๆน้อยๆ พระเจ้า
    ปัสเสนทิโกศลก็ถึงกับต้องไปขอเศรษฐีจากเมืองราชคฤห์มา พระเจ้า
    พิมพิสารก็เลยอนุญาตให้ธนญชัยเศรษฐีมาตามความต้องการของพระ
    ราชาเมืองสาวัตถี ธนญชัยจึงได้มาสร้างเมืองขึ้น เรียกว่า เมืองสาเกตุ
    ธนญชัยนี้เป็นบิดาของนางวิสาขาอุบาสิกา

    ตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐี ตั้งแต่เมณฑกเศรษฐี เป็นคนร่ำรวย
    เป็นคนมีบุญ มีรูปสัตว์สามอย่างคือ ช้าง ม้า แพะ เมื่อต้องการทรัพย์สมบัติ
    จะต้องไปเปิดปากของรูปสัตว์นี้แล้วก็เอาภาชนะไปรับเอา แล้วรัตนะื
    ทั้งหลายนั้นจะไหลออกมา เศรษฐีคนนี้ไม่ต้องทำมาค้าขายเท่าใดนัก
    เขาก็มีทุนเพราะเกิดมาจากบุญ ฉะนั้น เมื่อเวลาที่แต่งงาน นางวิสาขา
    เศรษฐีผู้เป็นปู่ คือเมณฑกะก็ได้ไปสั่งให้ช่างเขาทำเครื่องประดับให้
    หลานสาวนางวิสาขา

    การแต่งงานจึงต้องรออยู่ถึงสามเดือน เพราะเครื่องประดับ
    ไม่เสร็จ เมื่อเสร็จเรียบร้อยช่างเขาก็ตีราคาเครื่องประดับนั้นเก้าโกฎิ
    เครื่องประดับนี้หนัก จะใส่ได้ก็แต่คนที่มีบุญมีกำลัง สมัยพุทธกาลมีผู้หญิง
    ห้าคนเท่านั้นที่ใส่เครื่องประดับนี้ได้ นางวิสาขาจึงเป็นคนที่มีกำลังมาก
    เพราะได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบแล้ว

    เมื่อแต่งงานแล้วก็ไปสู่ตระกูลสามี ตระกูลของสามีเป็นมิจฉา
    ทิฏฐิ นับถือพวกเดียรถีย์นิครนถ์ที่ไม่นุ่งผ้า เลยเกิดการขัดแข้งกันกับพ่อ
    สามีอยู่เสมอ ในเรื่องการนับถือศาสนาคนละอย่าง แล้วก็เลยมาแข่ง
    กันว่า ในวันพรุ่งนี้ให้นิมนต์อาจารย์ของใครของมัน โดยแต่งขันนิมนต์
    อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปนิมนต์ด้วยตนเอง ถ้าอาจารย์ฝ่ายไหนมาก็ชื่อว่ารู้
    มีญาณเครื่องรู้

    พอรุ่งเช้า พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ก็เสด็จไปรับฉันจังหันที่บ้าน
    ของนางวิสาขา ส่วนพวกพ่อสามีผู้นับถือพวกเดียรถีย์ไม่มีใครมาสักคน
    แต่ทีนี้พวกเดียรถีย์เขารู้เข้า เขาก็มาควบคุมพ่อสามีของนางวิสาขานั่น
    อีก เวลาฉันจังหันแล้วท่านอนุโมทนาคือ แสดงธรรม พวกเดียรถีย์เขา
    ก็ไปกั้นม่านไว้ นางวิสาขาให้คนไปเชิญพ่อสามีมาไหว้พระพุทธเจ้า
    เดียรถีย์เขาไม่ให้มา มาฟังอนุโมทนากถา เขาก็ไม่ให้มา แต่ว่าทน
    ไม่ได้เขาก็ให้มาอยู่นอกม่าน ไม่ให้ได้พบหน้าพระพุทธเจ้า

    ด้วยธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ถึงจะไปอยู่ในที่กำบังสัก
    เท่าใดก็ตาม พระองค์ก็สามารถให้เสียงของพระองค์ลอดเข้าไปให้
    ผู้ฟังนั้นได้ยินชัดเจนได้ ในที่สุดเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีของนางวิสาขานั้น
    ก็เลยได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วก็ลอดม่านเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า
    เสร็จแล้วก็มาหานางวิสาขา มาดูดนมของนางวิสาขาอีก

    ถ้าคนไม่รู้เรื่องก็จะเอะอะกันใหญ่ แต่นางวิสาขารู้ เพราะนาง
    เป็นผู้มีปัญญา การดูดนมนั้นหมายถึงว่า ที่จะได้เป็นถึงพระอริยเจ้า
    เป็นพระโสดาบันนั้นก็เนื่องจากลูกสะใภ้ เศรษฐีนี้จึงถือลูกสะใภ้เป็นแม่
    ที่ดูดนมก็แสดงว่าขอเป็นลูก ยอมตนเป็นลูก ดังนั้น เมื่อพ่อสามียอมตน
    เป็นลูกแล้ว นางวิสาขาจึงมีชื่อต่อเติมต่อภายหลังว่า วิสาขามิคารมารดา
    เป็นมารดาของมิคารเศรษฐีผู้เป็นพ่อสามีโดยถือคุณธรรม เป็นแม่โดย
    คุณธรรม

    นี่แหละ จึงว่าบ้านเมืองก็ต้องอาศัยคนมีสำหรับเป็นสิริ เรียกว่า
    เป็นเกียรติของบ้านของเมือง ฉะนั้นในสิ่งที่หามาได้ในทางที่ชอบจึง
    ไม่จัดว่าเป็นความโลภ คนได้มาแล้วมีความตระหนี่ก็จัดเป็นความโลภ
    ขึ้นมาอีก การให้ทานจึงเป็นการชำระความโลภให้จิตใจผ่องใส

    การรักษาศีลก็เป็นการป้องกันมิให้ความโกรธทะลุออกไป คนเรา
    รักษาศีลไม่ดี ความโกรธมันอาจจะเลยเขตเลยรั้วเลยกำแพงออกไป
    ไปโกรธคนอื่น ไปด่าคนอื่น ไปว่าให้คนอื่นเสียๆหายๆ นี่เรียกว่า มัน
    เลยเขตเลยศีลออกไป แต่ศีลโดยเฉพาะแล้ว ถ้าเรารักษาให้ดีก็จะเป็น
    การป้องกันความโกรธไว้ เหมือนกันกับกรงที่ขังเสือไว้ ไม่ให้เสือมัน
    ออกไปทำอันตรายคน ศีลก็เป็นเครื่องกั้น

    ท่านจึงเรียกว่า สีลปการํ ศีลเป็นกำแพงเป็นรั้วสำหรับกั้นความ
    โกรธไว้ แต่ความโกรธมันก็ยังอยู่ ต้องอาศัยการภาวนา เจริญเมตตา
    กรุณาชำระมัน จึงจะอ่อนกำลังลงไป ถ้าเราไม่เจริญเมตตาอยู่เนือง
    นิตย์ ไม่มีนิสัยของจิต เพียงแต่การรักษาศีลก็เท่ากับขังเสือไว้ อันเสือ
    ขังไว้นานเท่าใดมันก็เป็นเสืออยู่อย่างนั้น มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็น
    สัตว์อื่นเลย

    เมื่อเราต้องการอยากจะให้จิตของเราบริสุทธิ์จากความโกรธ
    ก็ต้องเจริญเมตตากรุณา
    เมตตาคือความปรารถนาความดี ความสุขให้แก่คนอื่น
    กรุณาคือความสงสารเอ็นดูช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น
    นี้จึงจะเป็นการชำระความโกรธที่มีอยู่ในจิตได้

    ทีนี้เราก็ภาวนา ภาวนาเราต้องใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา
    ให้มีจิตได้ทบทวนตรวจค้นความรู้สึกสำนึกในจิตของเราอยู่เสมอ ไม่
    ให้มันล่วงเลยไปตามอารมณ์ คือไม่ตามใจ โดยมากคนเราไม่มีภาวนา
    ก็คือตามอารมณ์ คิดตามอารมณ์ พูดตามอารมณ์ ทำตามอารมณ์ แล้วแต่
    อารมณ์เป็น

    การภาวนาจึงเป็นการควบคุมไม่ให้จิตของเราตามอารมณ์ เหมือน
    กันกับสำลีหรือนุ่นที่เป็นของเบา ก็ต้องมีอะไรครอบไว้รักษาไว้ ลมพัด
    มามันจึงจะไม่ไปตามลม จิตของเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องควบคุมด้วย
    การภาวนา ตรวจค้นจิตของเรา จึงเรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามา
    ในตน ทบทวนเข้ามาหาจิตของเรา ความรู้สึกนึกตรวจค้นอยู่เสมอ
    ทบทวนจิตของเราให้รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่วของจิต

    ต้องค้นต้องคิดในสิ่งที่มันคิด ในสิ่งที่มันหลง ในสิ่งที่มันเมา ต้อง
    ค้นมัน เมาในรูปร่างกายของเรา ก็มาพิจารณาในรูปร่างกายให้รู้ให้เห็น
    ว่ารูปร่างกายมีสภาพอย่างนี้ๆ แต่ละชิ้นแต่ละอย่างมันเป็นอย่างนี้ๆ ตรวจ
    ค้นไปให้รู้หมดทุกชิ้นทุกอย่างในอาการ ๓๒ ตรวจดูค้นดู ตั้งแต่ ผม ขน
    เล็บ ฟัน หนัง ไปโดยลำดับจนถึงอวัยวะภายใน คือจะแยกส่วนออกไป
    เป็นเส้นเป็นเอ็น เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นกระดูก เป็นน้ำดี น้ำเสลด
    น้ำเหลือง น้ำหนอง

    อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องตรวจค้นไป สภาพทั้งหลายนี้ มันเป็น
    สิ่งที่น่ามัวเมา น่าลุ่มหลงอย่างที่เราคิดไหม ตามสมมตินิยมของโลก
    เขาว่าคนสวยสดงดงาม อันนี้ก็อยู่ที่รูปพรรณสันฐานสีสันวรรณะเท่านั้น
    ไอ้ทรวดทรงมันก็เป็นเรื่องของทรวดทรง สีสันวรรณะมันก็เป็นเรื่อง
    ของสีสันวรรณะเท่านั้น มันไม่ได้บอกตัวของมันว่ามันสวยมันงามแต่
    ประการใด

    แต่เราก็ไปหลงตามเรื่องของเราเท่านั้น มันเป็นสภาพของรูป
    ร่างกายสภาพหนึ่ง แต่เราไปเมา เราไปหลงก็เนื่องจากเราไม่รู้
    ไม่เห็นจริงในสิ่งเหล่านี้ ถ้าจะอุปมาแล้วก็เหมือนเราเอาผ้าที่มีลวด
    ลายที่สวยงามไปห่อศพนั่นเอง ห่อเข้าแล้วดูข้างนอกมันก็สวยก็งาม
    แต่ว่าข้างในมันเป็นศพ เป็นของโสโครกสกปรกเท่านั้น

    ไอ้ตัวของเราก็มีหนังหุ้มห่อเท่านั้น หนังนี้มันก็มีสีสันวรรณะ เรา
    ก็ว่าสวย ว่างาม ถ้าเราเอาหนังออก มันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรู้เข้า
    ไปในหนังมีอะไร สีมันจะเป็นอย่างไร จากหนังมันก็มีผังผืด จากผังผืด
    เข้าไป มันจะเป็นเนื้อ เนื้อนี้จะอุปมาแล้วก็เหมือนเราฉาบปูนลงไป
    กระดูกก็เท่ากับโครงเหล็ก เอ็นก็เท่ากับว่าลวดสำหรับผูกมัดรัดตรึง
    เหล็กไว้ แล้วก็ยึดส่วนที่เราฉาบเข้าไปเท่านั้น ข้างนอกก็เท่ากับว่า
    ผิวปูนหรือเท่ากับสิ่งที่เราทาลงไป มันก็อยู่แค่นั้น

    เมื่อเราพิจารณาตรวจค้นลงไป เราก็จะรู้สึกสภาพของรูปร่าง
    กายอันนี้ แล้วเราก็จะไม่ได้หลง ไม่ได้เมา ความหลงของเราก็จะ
    บรรเทาลงไป จิตของเราก็จะผ่องใสขึ้นมา เมื่อจิตผ่องใสแล้ว เราก็
    พอมองเห็นดีชั่ว บาปบุญ คุณโทษ ประโยชน์และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
    ได้ เพราะเรามองเห็น คนมองไม่เห็นก็เรียกว่าดำมืด งมอยู่ในที่มืด
    ก็ไม่ทราบอะไรเป็นอะไร บอกก็บอกในที่มืด มันก็ไม่ตรงความเป็นจริง

    ความมืดของจิตที่มันมีกิเลสหุ้มห่อมันก็เช่นเดียวกัน ถ้ากิเลสของ
    เราไม่เบาบางลงไป จิตใจเราไม่ผ่องใส ก็เท่ากับว่าจิตของเรามันมืด
    ท่านจึงว่าจิตมืดจิตบอดไม่สามารถจะมองรู้มองเห็น มีหูก็เท่ากับหูหนวก
    มีตาก็เท่ากับตาบอด เพราะเราไม่รู้จริงไม่เห็นจริง ของจริงมีอยู่แต่
    เราไม่เห็น จึงสมควรที่เราจะชำระจิตของเราให้สะอาดให้ผ่องใส
    ขึ้นมา เราจึงจะรับเอาธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ไปปฏิบัติได้ ฟังก็รู้
    เรื่อง หยั่งรู้ได้ เข้าใจได้

    ถ้าจิตมันยังมืด ยังมัวอยู่ ยังเศร้าหมองอยู่ เราก็ไม่เข้าใจ
    ฟังก็ไม่เข้าใจ เห็นก็ไม่เข้าใจ ไปตามเรื่องของเรา ไอ้ทิฐิมานะอันนี้
    มันจะไม่ลดละ มันยังเห็นอยู่ตามเดิม เห็นลงไปอย่างนั้น มันก็ต้องเห็น
    อยู่อย่างนั้น ดื้อรั้นในทิฐิความเห็นของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมละความ
    ผิดความชั่วที่มีอยู่ในตัวลงไปได้ นิสัยที่ไม่ดีก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะ
    ไม่รู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่แหละ เราจะต้องชำระจิตของเรา
    ให้บริสุทธิ์ ให้สะอาดผ่องใสขึ้นมา

    เรียกว่าเราได้ลืมตาเห็นโลก มองโลกให้รู้ ให้เห็นพระพุทธเจ้า
    ผู้รู้ จึงเรียกว่า "โลกวิทู" รู้แจ้งโลก ก็รู้อย่างนี้แหละ เห็นของจริง
    ในโลก ไอ้เราไม่รู้โลกและหลงโลก เพราะจิตของเรายังไม่ได้หยั่ง
    รู้ ยังไม่ได้ลืมตา ยังหลับอยู่ในกิเลสนั่นเอง การปฏิบัติธรรม จึงเป็น
    การที่ทำให้จิตของเราตื่นจากหลับ จึงว่า "พุทโธ" ผู้ตื่น ไม่หลับ คือ
    รู้อยู่ รู้สึก อยู่เสมอ

    คนเราต้องรู้สึกตัว เมื่อไม่รู้สึกก็เป็นคนที่ลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่าง
    เราก็ลืมเจ้าของ เพราะฉะนั้นความพินาศฉิบหายต่างๆ จึงได้เกิดขึ้น
    แก่ตัวของเรา ก็เราไม่มีความคิดเฉลียวอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง คือไม่มี
    ความระแวง ความระวังไม่มี ความเผลอตัวมันก็เกิดขึ้น ความลืมตัว
    มันก็เกิดขึ้น ก็เลยเป็นคนที่เกิดความเสียหายได้ เพราะฉะนั้น
    พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้ตื่นตัว รู้สึกตัว
    อยู่เสมอ มีความคิดระแวง ระวังตัวของเราอยู่ทุกวิถีทาง แล้วเราก็
    จะเป็นไปเพื่อความเจริญได้

    นี่แหละ การอธิบายธรรมะในวันนี้ จึงขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

     

แชร์หน้านี้

Loading...