หลวงพ่อธุดงค์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย vampiresza, 28 เมษายน 2012.

  1. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ 24 ธันวาคม 2533 สำหรับเรื่องราวที่จะพูดต่อไปนี้ ก็จะนำเรื่องราวของ ธุดงค์ มาคุยกันต่อไป
    การธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอพูดเป็นจุดสุดท้าย ความจริงไม่ใช่หยุดธุดงค์ คือเป็นปีที่ 3 จะหยุดแค่ปีที่ 3 ไม่พูดถึงปีที่ 10 ถ้าขืนพูดถึงปีที่ 10 ก็ไม่ต้องจบกัน หลังจากปีที่ 3 แล้วก็ไปซ้ำแล้วซ้ำอีกไปโน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง ทดลองภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง ภาคไหนบ้างตามที่เห็นสมควร แต่ว่าความสำคัญของธุดงค์ก็อยู่ที่อารมณ์ นั่นคือว่าต้องการสถานที่สงัด
    วันนี้ก็มาพูดกันถึงปีที่ 3 ปีที่ 3 นี่เรียนนักธรรมเอก ขณะที่เรียนนักธรรมเอก ตอนนั้นครูบอกว่า จะต้องมี หนังสือ วิสุทธิมรรค เป็นหลักสูตร ในเมื่อจะหาวิสุทธิมรรค ก็ไปถามหลวงพ่อปานว่า หนังสือวิสุทธิมรรค ใครเขียนดีที่สุด ท่านก็บอกว่า ของ เจ้าคุณพร้อมวัดสุทัศน์ฯ (ลืมราชทินนามของท่าน ชื่อเดิมชื่อ พร้อม ท่านเป็นเจ้าคุณ) ท่านแปลตามบาลีโดยตรง หนังสือเล่มนั้นเป็นพื้นฐานดีมาก ควรจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ
    บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะแปลกใจว่า ทำไมหลวงพ่อปานจึงได้บอกอย่างนั้น ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า หลวงพ่อปานนี่คู่กับอาจารย์เกี้ยว อาจารย์เกี้ยวนี่สึกไปก่อน หลวงพ่อปานยังอยู่ ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯพร้อมกัน เรียนบาลี สำหรับหลวงพ่อปานนี่มีความชำนาญในวิสุทธิมรรคมาก ถ้าท่านแปลจริง ๆ แปลจบอภิธรรม อาจารย์เกี้ยวมีความชำนาญในอภิธรรมมาก คือ สนใจอภิธรรมมาก สามารถตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว
    เป็นอันว่า ทั้ง 2 ท่านนี้ ถ้าพูดกันถึงภาษาบาลี ก็ดีกว่าอาตมามาก อาตมามีความรู้ภาษาบาลีไม่ได้ 1 ใน 100 ของท่าน จึงไปซื้อวิสุทธิมรรคที่เจ้าคุณพร้อม (ชื่อเดิมชื่อ พร้อม แต่ราชทินนามจำไม่ได้) มาอ่าน อ่านกสิณทั้ง 10 อย่าง สนใจกสิณ
    แต่ว่าวิธีอ่านเขาอ่านอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเล่าเกร็ดให้ฟัง หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติ ก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลาย ๆ กอง วิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติตามนี้
    อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชา ต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองนี้ มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น ถ้าชอบกองไหน คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ไว้ หรือเขียนไว้ก็ได้
    และต่อมา เมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่ บูชาใหม่ว่า กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุด ให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด
    ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ สำหรับกรรมฐานชอบ ๆ นั้น จริง ๆ ชอบทั้งหมด 37 กอง ขาดไป 3 กอง คือขาดอรูปฌานไป 3 และต่อมาก็มาดูใหม่ว่า กองไหน ถ้าหากว่าจะทำได้เร็วที่สุด ขอให้ชอบกองนั้นมากที่สุด ก็มาชอบ เตโชกสิณ
    การทำเตโชกสิณ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รู้สึกว่าทำง่าย เพราะว่าเป็นปีที่ 3 มาแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านมาหมด ฉะนั้น การเจริญเตโชกสิณจึงเป็นของไม่หนัก เพราะว่า กรรมฐานทั้งหมดมีอารมณ์เสมอกัน จะขึ้นว่ากสิณก็ดี อสุภก็ดี อนุสสติก็ตาม จุดหมายปลายทางคือต้องการจิตเป็นสมาธิ สามารถชนะนิวรณ์ได้ แต่ว่าจะชนะมาก ชนะน้อย ชนะนาน หรือไม่นาน นั่นก็เป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นอันว่า เจริญเตโชกสิณ
    หลวงพ่อปานท่านก็แนะนำบอกว่า ถ้าหากว่าเจริญเตโชกสิณ เมื่อเตโชกสิณถึงที่สุดแล้ว ให้สังเกตดูว่า กรรมฐานกองไหนขึ้น ให้จับนิมิตกรรมฐานกองนั้นทำต่อไป แล้วจะได้ภายใน 3 วัน จะจบภายใน 3 วัน ก็เป็นความจริง เมื่อทำเตโชกสิณ ทำจริง ๆ 7 วัน ทำ 7 วันถึงฌาน 4
    นี่ไม่ใช่อวดอุตตริมนุสสธรรม มาคุยกันตามความเป็นจริงว่า เรียน ด้วย ปฏิบัติด้วยนี่มันดี มันรู้ของจริง ไม่ใช่เอาสักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าอ่าน แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าการท่องเที่ยวสวรรค์เป็นไปได้ การท่องเที่ยวนรกเป็นไปได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็น มิจฉาทิฎฐิ อย่างหนัก
    คำว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็แปลว่า มีความเข้าใจผิด หรือมีอารมณ์คัดค้านสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับกระจ่า หรือทัพพีที่ตักแกง กระจ่าก็ดี ทัพพีก็ดี เขาฝังอยู่ในหม้อแกง เขาฝังอยู่ในหม้อข้าว เขาแช่ไว้ทั้งวัน แต่จะสามารถรู้รสข้าว รู้รสแกงก็หาไม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกระจ่า หรือทัพพีไม่มีประสาท ข้อนี้ฉันใด แม้การศึกษาปริยัติก็เช่นเดียวกัน ถ้าศึกษาแต่การอ่านอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่รู้ผลแห่งความเป็นจริง
    แล้วก็มีส่วนใหญ่ มีมากเหมือนกันที่กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก เคยมีทั้งนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงหนักในสมัยก่อน เทศน์ไปเทศน์มา เทศน์มาเทศน์ไป ก็กลับบอกว่า ผมก็เทศน์ไปตามแบบตามแผน ผมไม่เชื่อว่าสวรรค์นรกมี นี่เป็นอย่างนี้ นี่ขนาดนักเทศน์เองนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้นเพื่อความแน่นอน จึงได้ทำกรรมฐานควบคู่กันไป ในเมื่อทำเตโชกสิณได้แล้ว กองอื่นก็ขึ้นต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่าไม่ยาก
    ทีนี้เมื่อทำหมดไปทั้งหมดตามนิมิตที่เกิดแล้ว ก็จับอรูปฌานที่ยังไม่ได้ คือ อากาสานัญจายตนะ นี่ได้แล้ว พอจับปั๊บก็ได้เลย ทำ 3 วันก็จบ ก็เหลือ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้ก็เป็นของไม่หนัก เพราะมีอารมเสมอกัน เมื่อทำได้ทั้งหมดแล้ว ก็ออกธุดงค์กันใหม่
    การออกธุดงค์กันใหม่นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงปีที่ 3 ตามที่พูดมาในตอนต้นออกธุดงค์กันก็ไปกันตามบท ไปถึงโน่นจังหวัดกำแพงเพชร พอไปถึงจังหวัดกำเพชร ก็ไปเจอะ หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านไม่มีกลด ท่านมีย่าม 1 ลูก ท่านจึงมีจีวรธรรมดาๆ เหมือนกับอยู่วัด เมื่อพบหลวงพ่อจงเข้า หลวงพ่อปานก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อจง เพราะว่าหลวงพ่อจงแก่กว่าหลวงพ่อปานประมาณ 10ปี แต่ว่าเจริญกรรมฐานสำนักเดียวกันจากหลวงพ่อสุ่น
    ในเมื่อทั้งสองท่านคุยกันแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามว่า ท่านปานพาเด็กมาที่นี่ แล้วพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหนก็ให้ศึกษาสมาธิ และศึกษาการคบหาสมาคมพูดจาปราศรัย รู้จักเทวดา รู้จักพรหม รู้จักนรกสวรรค์ฝึกซ้อมไว้ เพราะพระพวกนี้ยังเด็กอยู่ ต่อไปถ้าไม่ทำให้ช่ำ ไม่เกิดความชำนาญ ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างพระหลายองค์ในพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นมิจฉา ทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ถือว่าตายแล้วสูญ นี่เป็นถ้อยคำของหลวงพ่อปานที่พูดเวลานั้น (เวลานี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบไม่ได้สนใจใคร)
    หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพาเด็กไปเที่ยว ท่านปานจะไปไหมล่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าหลวงพี่ไป ผมก็ไป ผมจะมานั่งอยู่คนเดียวทำไม รวมความว่าเป็น 5 องค์ด้วยกันคือ พวกอาตมา 3 องค์หลวงพ่อปาน 1 แล้วก็หลวงพ่อจง 1
    วิธีพาไปเที่ยวของท่าน ท่านก็แนะนำบอกว่า การเที่ยวนี่เป็นของไม่ยาก แถวเมืองกำแพงเพชรนี่ของดีๆ มีมาก ก็ถามว่าท่านบอกว่า จะไปเที่ยวเมืองเก่าหรือ ถ้าเที่ยวเมืองเก่าก็ต้องเข้าบ้านเข้าเมืองจะต้องพบกับคน จะต้องบิณฑบาตท่านบอกว่า ไม่มีความจำเป็น เมืองเก่าเธอจะมาเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาในลักษณะธุดงค์ เราเป็นพระธุดงค์ ไม่ใช่ว่าจะมีคนเขาเคารพทุกคน บางคนคบพระธุดงค์ก็ต้องการเลขหวย (เลขหวย12ตัวเวลานั้นเรียกจับยี่กี) บาง คนก็ต้องการลาภสักการะบางคนต้องการเสน่ห์มหานิยม ไม่ถูกต้อง ถ้าเธอจะมาก็มาแบบปรกติพระอาคันตุกะธรรมดา เวลานี้เป็นเวลาธุดงค์ ยังไม่ควรจะเข้าไปในเมือง ก็เลยถามท่านบอกว่า จะไปไหน ท่านก็เลยบอกว่า จะไปไหนเป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน
    ท่านก็ลุกนำหน้า (หลวงพ่อจงแลดูเดินช้าๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ทว่าพวกเราก้าวกันเกือบแย่ ต้องก้าวถี่ยิบ ตัวท่านก็เล็กแต่ทำไมเดินช้าๆ ทำไมพวกเราต้องเดินไว) ท่านหันหลังมา ท่านถามว่า เดินไม่ทันหรือ ก็เลยบอกว่าไม่ทันขอรับท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินมากละ ถ้าขืนเดินมากพวกเธอจะเหนื่อย แต่ว่าท่านปานไม่เหนื่อย ท่านปานเดินเป็น ฉันก็เดินเป็น แต่พวกเธอยังเดินไม่เป็น ก็ถามว่า ถ้าจะเดินให้เป็นทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ใช้กสิณทั้งหมด ก็ถามว่า ถ้าใช้กสิณทั้งหมด ใช้ทีเดียวหมด อย่างนั้นใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ให้รวบรวมกำลังของกสิณทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะใช้อะไรก็ได้ทันทีทันใด ตามใจชอบ ก็เลยถามท่านว่าเวลานี้ผมเริ่มฝึกจะใช้กสิณอะไรขอรับ ท่านบอกว่า ใช้ วาโยกสิณ กสิณลม นึกถึงกสิณลมแล้วก็เดินไป มันจะไวเอง ขาไม่ต้องก้าวยาว และขาไม่ต้องก้าวถี่มันจะเดินไวเอง ก็ลองนึกถึงกสิณลม
    การนึกถึงกสิณบรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องนึกให้ถึงฌาน 4 คือ มีภาพเป็นประกายพรึก ตามแบบฉบับของการปฏิบัติ ถ้ารุ่นหลังใครจะไม่เชื่อก็ตามใจเถิด นี่เล่าสู่กันฟัง เพราะมันแก่มากแล้ว เรียกว่า แก้กางเกงในมาคุยกัน ถอดเสื้อนอก แล้วก็ถอดเสื้อใน ถอดกางเกงนอก แล้วก็ถอดกางเกงในปล่อยกันล่อนจ้อนแล้ว หมดตัว แต่ก็ยังเหลือผ้าเตี่ยวอยู่นิดหนึ่ง (ผ้าเตี่ยวนี่ไม่แก้ให้ดูแน่) เอากันแค่นี้
    เป็นอันว่า หลวงพ่อจงบอกว่าใ ห้ใช้รวบรวมกสิณ ก็รวบรวมกสิณ วิธีรวบรวมก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพวกเรายังไม่เป็นถาม ท่านบอกว่า ต้องขึ้นปฐวีกสิณก่อนใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ใช้อารมณ์กสิณ นึกเฉพาะวาโยกสิณ ฉันต้องการจะเดิน ขอให้ร่างกายเบา เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น ก็ทำตามท่าน ทำตามแบบเถรส่องบาตร เป็นอันว่าครูว่าอย่างไร ก็ว่าตามนั้น แต่ก็มีผลหลวงพ่อจงเดินช้าๆ ตามแบบฉบับเดิม พวกเราก็เดินตามท่าน คราวนี้รู้สึกว่าไม่หนัก ตัวไม่หนักเลย เดินไปแบบสบายๆ จะว่าลอยมันก็ไม่ลอย มันก็เดินเท้ากระทบพื้นดินแต่ทว่าไม่มีความรู้สึกหนัก
    ท่านก็ชี้ชมต้นไม้ ชี้ดูต้นยางบ้าง ต้นเต็งบ้าง ต้นรังบ้าง เก้งบ้าง กวางบ้าง กระต่ายบ้าง มีเยอะแยะ เพราะสัตว์ต่างๆ ที่เห็นพวกเราเข้า ไม่มีใครเขาหนี สัตว์ทั้งหมดไม่หนี เพราะยังไม่เคยพบคน เป็นป่าลึกพรานไปไม่ถึง ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ก็พ้นจากเขตป่าเข้าจุดๆหนึ่งจุด ๆ นั้นก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตึก แต่ว่าเป็นตึกที่ฉาบไปด้วยทองคำ รูปร่างลักษณะจริง ๆ คล้าย ๆ กับพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่ว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมสวยกว่า (เอาความสวยกันนะ) แต่ว่าที่ตรงนั้นมันเป็นทองคำทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาลงมา บุด้วยทองคำ ข้างในเป็นพื้นบุด้วยทองคำ ที่บันไดก็เป็นทองคำ ทองคำหมด
    ก็ถามหลวงพ่อจงว่า ในป่านี้มีวิหารทองคำหรือครับ หรือว่ามีพระราชวังทองคำท่านบอกว่า เขาเรียกว่า สุวรรณวิหาร ถามท่านบอกว่า ที่จุดนี้เขาเรียกตำบลอะไร หรือว่าอำเภออะไร ของจังหวัดกำแพงเพชรครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่จังหวัดกำแพงเพชร ที่นี่มันเป็นประเทศอินเดีย ก็ถามว่าเมื่อกี้นี้เดินดูโคนต้นไม้ ยอดไม้ แล้วทำไมมาถึงอินเดีย ท่านก็บอกว่าถ้าใช้วาโยกสิณ พวกเธอไม่ได้นึก แต่ใจฉันนึก ใจฉันนึกว่า จะมาสุวรรณวิหาร มันก็มาขณะที่ไปสุวรรณวิหาร ปรากฏว่าที่ประเทศอินเดีย แขกหลับ แขกอยู่ยามก็หลับ แขกไม่อยู่ยามก็หลับ พวกนั่งยามก็หลับ พวกนอนยามก็หลับ ยืนยามก็หลับ หลับหมดไม่มีใครเห็นเราก็ไปเที่ยวในสุวรรณวิหารตามชอบใจ
    ชมสุวรรณวิหารก็มีความรู้สึกว่า คนที่สร้างสุวรรณวิหาร คือวิหารทองคำ ต้องใช้จ่ายทรัพย์มาก ต้องลงทุนมาก ต้องลงแรงมาก ทรัพย์สินต่างๆ ได้มาจากภาษีอากรของบรรดาราษฎร แต่ว่าราษฎรไม่ค่อยจะมีสิทธิ์จะได้ใช้ คนที่มีสิทธิ์ใหญ่จริงๆ คือกษัตริย์ แต่ว่าวันเวลาที่เขานมัสการสุวรรณวิหารมีอยู่ แต่ก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ ออกมาอย่างมีระเบียบ เห็นแขกแต่งตัวขาวๆ นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว โพกศีรษะขาว ถามหลวงพ่อจงว่า พวกนี้พวกอะไรครับ ท่านบอกว่า พวกนี้เขาเรียกว่าสาธุ พวกสาธุ พวกปฏิบัติดี ก็ชมไปชมมา
    หลวงพ่อจงก็อธิบายให้ฟังว่า สุวรรณวิหารนี่ คนที่สร้าง หรือคนสั่งให้สร้าง ตายไปหลายคนแล้ว และคนสร้างก็ตายไปหลายคนแล้ว พวกเธออย่าหลงใหลใฝ่ฝันสุวรรณวิหารว่ามันเป็นของดี อย่าลืมว่าทรัพย์สมบัติในโลกมันดี เฉพาะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราตายไปแล้วเมื่อไร ทรัพย์สมบัติที่เราหาไว้ในโลก มันก็เป็นสมบัติของบุคคลอื่น เราไม่ควรจะสนใจในทรัพย์สมบัติในโลกมากเกินไป ที่พามาให้ดูนี่ก็ต้องการจะให้รู้ว่า ของที่เขาเรียกกันว่าดี คือ ทองคำ ขนาดเอาทองคำมาเป็นวิหารทั้งหลัง แม้จะเป็นทองบุภายนอก ทองบุภายในก็ตามที ก็ได้มาด้วยความเหนื่อยยากของบรรดาประชาชนทั้งหลาย กษัตริย์เองก็ต้องใช้มันสมองมาก การที่จะใช้คนก็เป็นการยาก การใช้คนไม่ใช่ใช้ง่ายๆ ต้องเป็นคนที่มีบารมีต้องพูดดีให้เขาถูกใจ
    การที่คนจะพูดดีได้ก็ต้องใช้กำลังใจ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ กำลังใจเวลานั้นต้องไม่เป็นทาสของนิวรณ์ และก็ไม่หลงในอำนาจเกินไป เพราะคนทุกคนในโลกชอบยอ (คำว่า ยอ หมายถึง ยกย่อง หรือว่าสรรเสริญ พูดดีๆ) แทน ที่จะเร่งรัด ก็กลับน้อมถ่อมลงมา บอกอย่าทำให้แรงนัก อย่าใช้กำลังให้มากนักมันเหนื่อยมากเกินไป พักผ่อนเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ต้องมีสินจ้างรางวัล มีรางวัลให้เป็นเครื่องตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยก็รวมความว่า กษัตริย์เองก็หนักบรรดาประชาชนผู้ทำการก่อสร้าง หรือช่าง ก็หนักพวกเสียภาษีอากรก็ต้องหาเงินมา แทนที่จะใช้เป็นส่วนตัวได้ ก็ต้องมาเสียภาษีอากร ก็หนัก
    แต่พวกหนักๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เวลานี้ไม่มีชีวิตอยู่ตายหมดแล้ว นี่เขาทำมาหลายชั่วคนแล้ว พวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงจำไว้ อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย เราไม่แก่ จะเห็นว่าฉันกับท่านปานสองคนนี่แก่ เธอจะไม่แก่นั้นไม่ใช่ ความแก่พวกนี้ฉันจะไม่เอาไปไหน จะมอบไว้แก่พวกเธอ ก็กราบท่าน บอกหลวงพ่อขอรับ อย่ามอบแต่ความแก่เลยขอรับ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไรอีก ผมขอให้หลวงพ่อมอบความสามารถด้วยขอรับ ท่านบอกว่า เอาจากท่านปานน่ะไม่พอหรือ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า ท่านถนัดแบบหนึ่ง หลวงพ่อจงถนัดอีกแบบหนึ่ง ขอให้มอบความสามารถให้แก่เธอด้วย
    หลวงพ่อจง ก็หันมาหัวเราะคิกๆ บอกไอ้2-3 ตัวนี่ มันฉลาด ไอ้ข้าก็หากินของข้าทางหนึ่ง ท่านปานเขาก็ หากินของเขาทางหนึ่ง (นี่หมายถึงผลของการปฏิบัติ) ท่านปานเขาปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ ข้าปรารถนาไปในชาตินี้ เอ็งจะเอาอย่างไรวะจะ เอาพุทธภูมิ หรือจะเอามรรคผล ก็เลยกราบเรียนกับท่านว่า ผมไม่เจาะจงทั้งพุทธภูมิ และมรรคผลเวลานี้ตัวผมเองหลวงพ่อปานให้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าผมต้องการความสามารถทั้งสองอย่าง ทั้งพระโพธิสัตว์ และมรรคผลในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของหลวงพ่อ ขอให้มอบให้ผมด้วย ท่านบอกได้ตกลง แต่ว่าวิธีรับกัน (ก็ไม่ต้องมีธูปไม่ต้องมีเทียน) ให้ใช้กำลังใจเป็นเครื่องรับ ตั้งใจฟังคำแนะนำของท่านปาน แต่ถ้ามีอะไรสงสัยฉันอยู่วัดหน้าต่างนอก ไม่ไกล ไปหาฉัน ฉันจะบอกให้ แต่ว่าการบอกฉันจะบอกครั้งเดียว ฉันจะไม่ซ้ำสอง เพราะการศึกษา ถ้าถึงซ้ำสองก็ถือว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว
    ฉะนั้น ความสามารถทุกอย่างที่เธอมีความต้องการ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะให้ได้ฉันจะให้ให้หมด แต่ว่าเธอจะแบกไว้ได้หมด หรือไม่หมด เป็นเรื่องของเธอ ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือ เป็นผู้บอกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก
    ในเมื่อคุยกันเสร็จ บรรดาพี่บังทั้งหลายก็เริ่มจะขยับตัวตื่น ท่านบอกว่า แขกเริ่มตื่นแล้ว ก็ถามท่านว่า จะหลบแขกไปไหนดีล่ะขอรับ ท่านบอกไม่จำเป็นต้องหลบ เวลานี้แขกมองไม่เห็นเรา เราไม่ต้องการให้แขกเห็น ฉันเป็นผู้นำต้องการแบบนั้น ประเดี๋ยวดูลีลาของแขกพวกแขกนี่มีความเคารพในวิหารนี้จริงๆ เวลามันจะขึ้นไป มันจูบบันไดทุกขั้น แล้วเข้าไปกราบพระเจ้าของเขา แล้วก็ออกมาจูบโน่นจูบนี่
    เราก็นั่งนึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันดี หรือมันบ้า เอาทองคำทำเป็นตึก บันไดนี่เขาเอาเท้าเหยียบ มันดันไปจูบ แล้วก็มาคิดอีกทีว่า ถ้าเราคิดว่า เขาบ้า เราก็บ้า เพราะถ้าเราไม่บ้า เราก็ไม่คิดว่าเขาบ้า นี่เพราะว่าเรามันบ้า จึงคิดว่าเขาบ้า เรายังบ้าอยู่ เวลานี้เรายังบ้าอยากอยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อปาน อยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อจง เป็นอันว่าเราก็ยังบ้า พอมาเห็นสุวรรณวิหาร พอเห็นนี่แรกปั๊บ จิตสะดุ้งเฮือก แปลกใจว่า ทองทั้งหลังเขาหามาได้อย่างไร นี่มันก็เป็นความบ้าของคน ความบ้าของความรู้สึก
    ก็มาคิดตัดสินใจ ตามที่หลวงพ่อจงบอกว่า เราจะบ้าไปทำไม ของทั้งหลายเหล่านี้ คนสร้างมาตายไปหมด เราคนดู ไม่ช้าเราก็ตายเช่นเดียวกัน เราก็มาบ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า หลวงพ่อจงท่านหันมายิ้ม บอก เออ..คิดอย่างนี้ถูกแล้ว (นี่ขนาดคิดนะรู้ด้วย)
    หลังจากดูแขกบ้าอยู่พักหนึ่งแล้วก็พากันกลับ เวลาเดินทางกลับ ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เดินมาเพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็ปรากฏว่ามาถึงกลดที่ปักอยู่ ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่คนเขาพูดกันบอกว่า เขาเรียนชั้นไหนก็ตาม แต่เขาไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก นั่นก็หมายความว่า นักเรียนประเภทนั้น ไม่เคยปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักปฏิบัติก็มีอยู่4ประการคือ
    1.สุกขวิปัสสโก
    2.เตวิชโช
    3.ฉฬภิญโญ
    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    ทั้ง 4 อย่างนี้ ถ้าเขาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้มรรคผล เขาก็จะต้องเป็นคนที่มีศรัทธา มีความเชื่อมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่คัดค้านพระพุทธเจ้า แต่หากว่าถ้าไม่ปฏิบัติแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับกระจ่า ที่เขาแช่ในหม้อแกง ซึ่งไม่ได้รู้รสแกงเลยเพราะมันไม่มีประสาท
     
  2. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    หลวงพ่อจงพยากรณ์

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ก็เป็น วันที่ 24 ธันวาคม 2533 ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา หลวงพ่อจงก็พยากรณ์ ท่านก็บอกว่า กสิณทั้ง 10 ประการนี่เธอใช้ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเธอเอง (หมายถึงอาตมา) คล่องในกรรมฐาน 40 แล้ว ก็มหาสติปัฏฐานสูตร แต่การคล่องประเภทนี้มันใช้ไม่ได้ ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมขอรับ ท่านก็เลยบอกว่าเธอคล่องเฉพาะการจำ และก็มีความคิดเหมือนกัน แต่ว่าคิดน้อยเกินไป คำว่า คิดน้อย ก็หมายความว่า คิดมาก แต่มันถูกน้อย ต้องคิดให้น้อย ๆ แต่ถูกมาก ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า จะคิดอย่างไร จึงจะคิดน้อย แล้วก็ถูกมาก
    ท่านบอกว่า อันดับแรกที่จะทำอะไรทั้งหมดให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกขสัจ สำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อกันแล้ว เป็นของสำคัญอย่างยิ่งก็จริงแล แต่ทว่าเราคิดกันทุกวันแล้ว อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด เมื่อขั้นสุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสอนชาดก หรือพระสูตรก็ใช้อริยสัจทุกอย่างใช้อริยสัจหมด แต่ว่าลีลาการสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์มีลีลาต่างกัน คนหนึ่งท่านพูดไปอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งท่านพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เพื่อความเข้าใจของแต่ละบุคคล สำหรับพวกเราไม่ฉลาดเท่าท่าน
    ก็กราบเรียนถาท่านว่า อริยสัจมี 4 อย่าง อย่างไหนสำคัญที่สุดขอรับ ท่านบอกเธอไม่ต้องคิดมาก คิดให้เข้าใจเพียงแค่ ทุกขสัจ อย่างเดียวว่าเอาแต่เพียงความจำ เอาเข้าใจให้เข้าใจจริงๆ ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว อีก 3 ตัวปรากฏ คำว่า สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ในเมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็รู้ว่าใครทำให้เราเป็นทุกข์ อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปนั่งคิดถ้าเราเห็นทุกข์ และเข้าใจในทุกข์แล้วก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์เพราะการเกิด นิโรธ ความดับ มันก็เกิด เมื่อนิโรธ ความดับ เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ชื่อว่าถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนา คือเป็นความเข้าใจถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
    ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ในเมื่อหลวงพ่อยังอยู่ก็ดี หลวงพ่อปานยังอยู่ก็ดี กระผมอาจจะคุมตัวอยู่ได้ แต่ว่าในกาลต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า สองคนนี่เขาปรารถนาตรงสาวกภูมิ แล้วก็เป็นคนขยันเล่นอภิญญาสมาบัติ สองคนนี่ต้องอยู่ในป่าสงเคราะห์คนและสงเคราะห์ภิกษุสามเณรที่ต้องการในป่า ที่เข้ามาในป่า เป็นหน้าที่ของเธอทั้งสอง แต่สำหรับตัวเธอเอง (คืออาตมา) ต้องชำระหนี้เขา เพราะเป็นหนี้เขามาก ชาติก่อนใช้คนมาก ใช้แรงงานเขาก็มาก ใช้ชีวิตเขาก็มาก เพราะเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เคยเป็นแม่ทัพบ้าง ต้องรบราฆ่าฟันมาทุกชาติ และอีกประการหนึ่ง ผลแห่งการรบราฆ่าฟัน ฆ่าคนมามาก แล้วฆ่าสัตว์ก็มาก การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ได้หมายความว่า ยิงสัตว์เล่นฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงคนเพื่อทำสงคราม แต่ว่าในการครองชาติ ก็ต้องฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงกัน บาปตัวนี้จะรุกรานเธอตลอดชีวิต นั้นหมายความว่า อาการทางร่างกายของเธอ ไม่มีอาการปรกติ จะมีการป่วยทุกวัน วันไหนที่เรียกว่าไม่ป่วย ไม่มี แต่ว่าทั้ง ๆ ที่เธอป่วย เธอก็ต้องทำงานแล้วงานของเธอก็หนัก
    เธอจงจำไว้ว่า เวลานี้เธอเป็นพระวัดบางนมโค แต่ว่าในกาลต่อไป เธอจะไม่ได้อยู่ที่วัดบางนมโคนี่ เพราะคนบางนมโคก็ต้องเป็นคนบางนมโค เธอไม่ใช่คนบางนมโค เธอเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี แต่มาอยู่ที่บางนมโคตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่า ถ้าญาติข้างพ่อก็อยู่สุพรรณฯ ญาติข้างแม่อยู่อยุธยา และจังหวัดธนบุรี แต่ว่าเธอจะต้องย้ายจากวัดบางนมโคไปเข้าในกรุงเทพฯ ในเมื่อท่านปานมรณภาพแล้ว
    ก็ถามว่า หลวงพ่อปานท่านจะตายเมื่อไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานตายปีนี้แหละ ปีนี้ท่านปานตาย แต่เธอก็จะอยู่ที่วัดบางนมโคอีก 1 ปี หลังจากนั้น ก็ต้องเข้าไปในกรุงเทพฯ ก็ถามว่าในกรุงเทพฯ ผมไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ท่านเลยบอกว่า จะมีคนเขามาแนะนำเขาชวนไปอยู่ ต่อไปจะได้เรียนบาลี เพราะว่าเวลานี้เธอสงสัยใช่ไหมว่า พระในกรุงเทพฯ เวลาออกมาบ้านนอกเด่นเหลือเกิน คนยกย่องสรรเสริญ ต้องหาพรมมาปูให้ แต่ความจริงพระท่านก็ไม่ได้ขอ แต่ว่าชาวบ้านเขายกย่องว่าเป็นพระกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นมหาเปรียญ เขาเรียกว่า พระดี สำหรับพระบ้านนอกเขาเรียก พระเลว
    อาตมาเองเคยถูกนิมนต์ไปในที่ต่าง ๆ ไปหลายแห่ง ก็มีพระชั้นพระครูบ้าง เวลานั้นเจ้าคุณหายาก บ้านนอกเจ้าคุณหายากเต็มที แล้วก็มีพระมหาเปรียญบ้าง ชาวบ้านเขาเรียกพระครู กับมหาเปรียญว่า พระดี (พระดีนิมนต์ทางนี้ครับ พระเลวนิมนต์ทางนี้ครับ) เราไม่ใช่มหาเปรียญ เป็นพระเลว
    ในเมื่อเธอฟังแบบนี้แล้ว เธอก็เกิดความรู้สึกว่าพระในกรุงเทพฯ ชื่อว่า ดี นั้นดีอย่างไร แล้วก็เป็นมหาเปรียญกันอย่างไร เธอก็ต้องไปพิสูจน์ เพราะเธอเป็นนักพิสูจน์จะต้องพิสูจน์ยันตาย และต่อไปภายในเบื้องหน้า ก็จะเป็นคนที่ชาวบ้านเขานินทาอยู่ตลอดเวลา เขาจะนินทาว่าร้าย กล่าวโทษตลอดเวลา แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าทนไม่ไหวในฐานะเป็นพระเหลืองเราก็เป็นพระเขียว ก็ถามว่า พระเหลือง พระเขียว เป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอกว่า ในเมื่อเธอพูดตามความเป็นจริง ตามที่ศึกษามาเหมือนกับคนที่กินข้าว กินแกง มีลิ้น ลิ้นมีประสาทรู้รส แต่ว่าต่อไปจะปรากฏว่าคนประเภทกระจ่ามีมาก กระจ่าไม่มีประสาท ไม่รู้รสไม่รู้เปรี้ยวไม่รู้เค็ม ถึงแม้ว่าเขาจะแช่ไว้ในหม้อแกง ก็ไม่เคยรู้รสแกง ข้อนี้ฉันใด ในกาลต่อไปคนที่อวดตัวว่า เป็นคนที่มีความรู้ เขายกย่องกันว่าเป็นความรู้เลิศชั้นประเสริฐ เขาจะไม่เชื่อสวรรค์ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่ออภิญญาสมาบัติ ไม่เชื่อสมาธิจิต เขาก็จะคิดว่าเธออวดอุตตริมนุสสธรรมบ้าง เขาจะคิดว่า เธอเป็นคนบ้าบ้าง
    ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอจงจำไว้ ต้องถือ ขันติ ความอดทน เชื่อพระพุทธเจ้า เวลานี้เราเชื่ออยู่แล้ว เราก็เชื่อต่อไปที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิโลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก จำไว้เสมอว่าเห็นหน้าคนคิดว่า คนนี้เวลานี้เขาดี แต่เวลาต่อไปข้างหน้า เขาอาจจะนินทาเรา เราจะต้องไม่โกรธเขา ก็ถือว่า เป็นนิสัยของเขา เป็นสมบัติของเขา แล้วมันก็เป็นสมบัติของเรา ที่เราเกิดมาเพื่อให้เขานินทา
    ท่านก็สอนตามนี้ แล้วก็ถามท่านว่า คนที่มีความรู้แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้จะมีหรือขอรับ ท่านบอกว่า ก็ดูพระที่วัดบางนมโคก็แล้วกัน ที่ท่านปานสอนกรรมฐาน มีพระกี่องค์ที่ทำกรรมฐานบ้าง และมีกี่องค์ที่ไม่ทำกรรมฐาน และมีพระกี่องค์ที่เชื่อท่านปานจริง ๆ และมีพระกี่องค์ที่ไม่เชื่อท่านปาน ต่อหน้ามีความเคารพ แต่ลับหลังเหมือนกับลิงหลอกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อไปในเบื้องหน้าคนประเภทกปิลภิกขุ จะมีมากมายในเขตพระพุทธศาสนา (ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียนกปิลภิกขุ) ก็ถามท่านว่า กปิลภิกขุมีในหนังสือเล่มไหนขอรับ ท่านบอกว่า มีในพระธรรมบทเล่ม 1
    กปิลภิกขุหรือเรียกกันว่า พระกบิล เมื่อสมัยนั้น เมื่อสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธกัสสปยัง ทรงชีวิตอยู่ เธอก็เรียนจบพระไตรปิฏก มีพี่ชาย พี่ชายก็บวชพร้อมกัน พี่ชายเป็นคนแก่รู้สึกตัวว่าเป็นคนแก่ แต่ความจริงก็ยังไม่แก่ ไม่ขอเรียนพระไตรปิฏก เรียนเฉพาะความรู้ในด้านวินัย ธรรมะพอสมควรพอเอาตัวรอด แล้วก็ฝึกในด้านปฏิบัติ สำหรับปริยัติก็พอรู้บ้างตามสมควร พอเอาตัวรอด ทั้งสองคนนี่มีผลไม่เสมอกัน พี่ชายไม่ช้าก็เป็นอรหันต์ กปิลภิกขุเธอมีลูกศิษย์ลูกหามาก ทุกคนยอมรับนับถือว่าเธอจบพระไตรปิฏก ก็มีลูกศิษย์มาก เมื่อมีลูกศิษย์มากก็มีลาภสักการะมาก หนัก ๆ เข้า เธอก็เปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่างนี้ เธอก็พูดอย่างโน้น พระพุทธเจ้าบอกว่าคนเกิดมาแล้ว เมื่อตายแล้วไม่สูญ ถ้าจิตยอมรับความดีเวลาจะตายก็ไปสู่สุคติ ถ้าจิตยอมรับความชั่วก็ไปสู่ทุคติ อย่างนี้เป็นต้น เธอก็กลับพูดไปอย่างอื่นว่า ตายแล้วมีสภาพสูญอย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเธอก็เทศน์สอนคนอื่นเขา แต่เธอไม่เชื่อในที่สุดเธอตายไปแล้ว เธอก็ลงอเวจีมหานรก
    มาสมัยพระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสขึ้นมา เธอเกิดขึ้นมาเป็นปลาทอง เด็กทอดแหเอาไปได้พ่อเอาไปถวายพระราชา พระราชานำไปหาพระพุทธจ้า เกล็ดเหลืองเหมือนทองคำ แต่เวลาอ้าปาก กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ ฟุ้งทั่ววิหาร เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารถามเธอว่าเธอมาจากไหน เธอก็ตอบว่ามาจากอเวจีมหานรก ถามว่า เธอชื่ออะไร เธอก็บอกว่า เมื่อก่อนเธอชื่อ กปิลภิกขุ ในสมัยพระพุทธกัสสป พระพุทธเจ้าถามว่าแม่ของเธอไปไหน เธอก็ตอบว่าแม่ของเธอไปอเวจีมหานรกเพราะด่าพระร่วมกัน น้องสาวไปไหน น้องสาวไปอเวจีมหานรก ถาม พระพี่ชายของเธอล่ะ พระพี่ชายของเธอไปนิพพาน
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาพระทั้งหลายเห็นว่า เธอสอนชาวบ้าน สอนพระเปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนที่จบพระไตรปิฏก ไม่ได้จบองค์เดียว ที่จบพระไตรปิฏกตามธรรมดาก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี แม้แต่พระอรหันต์เข้ามาเตือน เธอก็ไม่เชื่อ กลับด่าพระ ด่าพระธรรมดา ด่าพระทรงฌาน ด่าพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง ก็ไปบอกพระพี่ชายให้มาเตือน พระพี่ชายมาเตือน เธอก็ด่าพระพี่ชายไปเสียอีก หาว่าพระพี่ชายไม่เคยเรียนอะไร เธอจบพระไตรปิฏก คนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้อย่าเสือกมาสอนกัน พระพี่ชายก็ต้องกลับเข้าป่าไป
    ต่อไปสภาพของเธอก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันจะไม่พยากรณ์ว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้นจะไปอเวจีมหานรก แต่เธอก็จะพบกับคนที่เขาถือว่า เขามีความรู้ดี แต่เขาก็จะไม่เชื่อในวาทะที่เธอกล่าวที่เธอสอน เธอจะต้องเป็นคนมีลูกศิษย์มาก เธอจะต้องเป็นคนมีงานหนัก หนักทั้งทางโลก และหนักทั้งทางธรรม คือหนักทั้งชาวโลก และหนักทั้งชาวพุทธ และพระ การปกครองพระก็หนัก การสร้างวัดก็หนัก การสงเคราะห์ในการศึกษาเล่าเรียนก็หนัก การสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจก็หนัก หนักทุกอย่างชีวิตของเธอจะไม่เป็นชีวิตที่มีความสุขเหมือนชาวบ้านเขา เพราะร่างกายจะต้องหนัก ใจจะต้องคิด เมื่อจิตต้องคิด การต้องหนักในการงานแล้วกายก็ต้องป่วย เพราะกฎของกรรม
    พอนั่งฟังท่านก็นึกเศร้าใจ คิดว่า เอ..เรานี่ตายเสียเร็ว ๆ จะดีกว่ากระมัง ก็ถามท่านว่าผมอีกกี่ปีจะตายขอรับ ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นอายุขัยของเธอก็ต้องอายุ 27 ปี แต่ว่าเธอจะตายตามนั้นไม่ได้ เธอต้องใช้หนี้เขาก่อน ถามว่า ต้องใช้หนี้ไปกี่ปีขอรับ ท่านก็บอกว่า สุดแล้วแต่พระจะสั่ง เธอต้องเป็นพระที่อยู่ในอำนาจของพระ ปฏิบัติตามพระสั่งทุกอย่าง พระสั่งทำแบบไหน ทำแบบนั้น พระท่านจะช่วยทุกอย่างให้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่เธอป่วย ก็ต้องลากสังขารไปดูงานก่อสร้าง ต้องลากสังขารไปสงเคราะห์ในธรรมะของเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาเป็นเจ้าหนี้ เธอเป็นหนี้เขามาตั้งแต่ชาติก่อน ต้องไปชำระหนี้เขา
    ฟังแล้วก็เศร้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท เกิดมากับเขาชาติหนึ่ง จะหาความสุขสักหน่อยก็ไม่ได้แต่ท่านก็พูดให้ดีใจว่า จิตใจของเธอมีความดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นทุกข์มันจะหนักอย่างไรก็ตาม แต่ว่าใจของเธอเป็นสุข เพราะเธอมีความรู้สึกว่า เธอเป็นผู้ชนะแล้ว จากกฎของกรรม และก็ชนะในชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายก็ถามท่านบอกว่า ผมปรารถนาพุทธภูมิชาตินี้จะมีบุญวาสนาบารมีเต็มหรือขอรับ ท่านก็นิ่งนิดหนึ่ง สัก 1 วินาที ท่านบอกว่า พระท่านบอกว่า ถ้าเธอมีอายุถึง 60 ปี บุญวาสนาบารมีปรารถนาพุทธภูมิของเธอก็จะเต็มชาตินี้ แต่ว่าเธอมีอายุแค่ 27 ปี จะต้องแบกบุญวาสนาบารมี ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ ก็หนักใจก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมจะไม่เอาพุทธภูมิดีไหมเคยไปเที่ยวชั้นดุสิต เห็นเทวดาชั้นดุสิตที่มีบารมีเต็ม คอยตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มากมายเหลือเกิน ผมไม่ทราบว่า ผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร คงจะคอยไม่ไหว
    ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร เธอก่อนจะเกิดมาเธอมีสัญญา ถามว่า สัญญาอะไรขอรับท่านก็บอกว่า หลังจากอายุ 40 ปีไปแล้ว เธอต้องลาจากพุทธภูมิ แต่ว่าเวลานี้เธอต้องทำให้เข้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าท้อถอย ทุกอย่าง จะประสบกับทุกข์อะไรก็ตาม จะต้องสู้กับทุกข์ตั้งใจปฏิบัติตามกิจพุทธภูมิทุกอย่าง เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้ว สิ่งที่เธอลา เธอขอสัญญากับพระ พระท่านจะให้ แล้วจะได้ตามนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไปจนกว่าจะตาย
    เมื่อท่านพยากรณ์อย่างนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจว่า เรานี่เป็นคนมีกรรมจริง ๆ ก็เลยอยากจะรู้กรรมของตนให้มันถนัด เราใช้ของเราเองพอได้บ้าง พอสมควร แต่อาศัยบารมีของท่าน ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ผมอยากจะดูภาพเก่า ๆ เคยฆ่าฟันกันมามากมายขนาดไหน ชาติไหนบ้าง ท่านก็ทำให้ดูสิบชาติ ก็เห็นว่าตัวเองสร้างทั้งบาป และทั้งบุญ บุญก็สร้างจริง ๆ บาปก็สร้างจริง ๆ คนต้องตายเพราะคำสั่งก็มาก ฆ่าเขาเองก็มาก สัตว์ ช้างม้า วัวควาย วัวควายที่ต้องเป็นอาหาร เป็ดไก่ นับไม่ถ้วน ก็มานั่งนึกดูว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลาย หรือคนทั้งหลายเหล่านั้น ต่างคนต่างมาทวงกรรม เราใช้ชาตินี้ไม่หมดแน่
    พอนึกในใจเพียงเท่านี้ ท่านก็บอกว่า คิดอย่างนั้นไม่ถูก ชาตินี้ใช้หมดแน่ เอาแค่เศษของกรรมที่เหลืออยู่ แล้วก็ใช้เขา แต่การใช้ให้หมดมันไม่มีหรอก แต่ว่าสามารถหนีกฎของกรรมได้ ถามว่า หนีไปไหนครับ ท่านก็บอก หนีไปอยู่ในแดนที่มีความสุข ที่ไหนที่เรียกว่าเอกันตบรมสุข เธอจะไปอยู่ที่นั้นได้ นี่เป็นคำพยากรณ์ของหลวงพ่อจง
    แต่ว่าเธอทั้งหลายจงอย่าลืมนะว่า ต้องยึดอริยสัจเป็นสำคัญ อริยสัจที่จะต้องตั้งใจทำให้มั่นก็คือ ทุกขสัจ เข้าใจในทุกขสัจอย่างเดียว ให้ได้จริง ๆ แล้วเธอจะเข้าใจผลในทุกขสัจ แต่ว่ากรรมฐานทั้ง 40 กอง จะต้องซ้อมไว้เป็นปรกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อภิญญา อย่าทำเป็นอันขาด การทำอภิญญาไม่ใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของสององค์นี่ ต้องอยู่ป่า ต้องใช้อภิญญา เธอจงเก็บอภิญญาไว้เป็นคู่มือ เป็นคู่ปัญญา เพื่อเข้าใจในการตัดกิเลส ก็กราบเรียนท่านว่า คนที่เขาเอาจริง เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่กำลังใจของคน คนที่ปฏิบัติจะเอาจริงเอาจังเขาไม่ถามว่า ผมจะบรรลุชั้นนั้นชั้นนี้ไหม เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่ใจของเรา เราอยากจะหมดก็หมด เราอยากไม่หมดมันก็ไม่หมด ถ้าเรายังติดในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก มันก็ไม่หมด
    เมื่อคุยกันต่อไปถึงเวลาอันสมควร ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าท่านปานตายแล้วนะ เธอสงสัยอะไรก็ไปหาฉัน ทุกอย่างฉันจะไม่ปกปิด จะเป็นความรู้เพื่อบุคคล หรือความรู้เพื่อส่วนตัว ฉันไม่ปกปิด แต่ว่าฉันคิดว่า ในต่อไปภายเบื้องหน้า เธอจะกลายเป็นคนขี้เกียจ คือความรู้ทุกอย่างที่เธอมีอยู่นี้ เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง เวลานี้ก็เริ่มขี้เกียจแล้ว เมื่อทำใหม่ ๆ จริง ๆ ขยัน รู้นั่น รู้นี่ ทำโน่น ทำนี่ พอทำได้จริง ๆ ก็ขี้เกียจ นี่เป็นวิสัยแท้ เป็นกิจที่ต้องทำ แต่ 2 คนนี่เขาขยัน เขาต้องเข้าป่า เธอจงอย่าใช้อภิญญาสมาบัติ ที่สามารถทำได้ ได้หรือไม่ได้ก็ตาม เอาเป็นว่าถ้าทำได้ก็อย่าใช้ ใช้วิชาความรู้ปรกติธรรมดา และต่อไปนี้เบื้องหน้าก็จะได้รับความรู้พิเศษจากพระ จะสามารถสอนให้คนเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ได้อย่างง่าย ๆ
    ก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ที่ฝึกอยู่นี่ มันง่ายหรือมันยากขอรับ ผมก็เห็นว่า ไม่ยาก ท่านบอกว่า เวลานี้สำหรับเธอมันไม่ยาก แต่คนอื่นเขายากมาก และจงอย่าลืมว่า เธอจะต้องประสบกับถ้อยคำที่ต้านทาน ถ้อยคำที่กล่าวหาด่าว่า ถ้าหากว่าบังเอิญจริง ๆ ถ้าเธอรำคาญเข้าจริง ๆ เธอจะกลายเป็นพระเขียว แต่ฉันคิดว่า จะไม่เป็นพระเขียว จะมีพระองค์อื่นช่วย จะมีพระรูปร่างผอม ๆ สูง ๆ เข้มแข็งในพระศาสนา และพระองค์นี้จะได้อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าเป็นพระที่มีการปกปิด จะสนับสนุนเธอไห้ทรงตัวเป็นพระเหลืองอยู่ เพราะต่อไปเบื้องหน้า เธอจะเกิดความรำคาญ ถ้าเกิดความรำคาญ ถ้าพระองค์นี้ไม่เข้าช่วย เธอก็จะกลายเป็นพระเขียว (หมายความว่า ถอดสีเหลืองออก และก็ใช้ชุดเขียว ใช้อภิญญาสมาบัติ เป็นการหักล้างพระเหลือง พระเหลืองก็จะพากันผอมไปตาม ๆ กัน)
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนส่วนใหญ่ 99.99 เปอร์เซ็นต์ เขาชอบอภิญญาสมาบัติ เราทำให้เราแก่ได้ เราทำตัวเราให้หนุ่มได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ผิวขาวได้ ผิวเหลืองได้แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เธออย่าทำมากกว่านั้น แต่ว่าฉันขอพยากรณ์ว่า เธอไม่มีโอกาสทำ เพราะพระจะไม่อนุญาตเธอ พระจะอนุญาตให้เธอเฉพาะให้เขารู้ตามความเป็นจริงว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง เขาสามารถเห็นนรกได้ สวรรค์ได้ เขาสามารถไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ ด้วยกำลังของจิตที่เรียกกันว่า อทิสมานกาย อภิญญาใหญ่อย่าไปสอน ถ้าขืนสอน เธอจะเหนื่อยเปล่า เพราะวิสัยแบบนี้จะมียากสำหรับบุคคลที่จะพึงทำได้ แต่ว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่เธอจะต้องเป็นครู ต้องคนอื่นเขาเป็นครูกัน เธอเอาเท่านั้นก็พอ เป็นแค่ ปัจจัตตัง
    ก็เป็นอันว่า คุยกันไป คุยกันมา ท่านก็บอกว่า เวลานี้ก็เย็นแล้ว ฉันจะขอลากลับวัดนะ ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อขอรับ ที่นี่มันจังหวัดกำแพงเพชร ท่านก็เลยบอกว่า อินเดีย เดิน 2-3 นาทีก็ถึง วัดหน้าต่างนอก มันจะเดินสักกี่นาที ก็รวมความว่า พอพูดเท่านี้ ท่านก็หายแว้บไปเลย ไม่ได้เดิน ไม่ได้ไปไหน
    ก็คิดในใจว่า เอ๊ะ..หลวงพ่อจงนี่ คนหรือผี หลวงพ่อปานก็หันกลับมาบอกว่า คุณอย่าอกตัญญครูบาอาจารย์ อย่าไปนึกว่าครูบาอาจารย์เป็นผี หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญาแต่ก็ไม่ใช่อภิญญาอย่างเดียว เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยด้วย มีความฉลาดมาก แต่ว่าพูดน้อย เพราะหน้าที่พูดมันเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ว่าถ้าฉันตายไปแล้ว ท่านก็ไม่ค่อยจะพูด มีอะไรบ้าง เธอต้องไปหาท่าน ท่านจะเรียกไปหาท่าน และท่านใช้ให้เธอพูดแทนท่าน
     
  3. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    ธุดงค์ภาคอีสาน ตอนที่ 1

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 20 พฤษภาคม 2534 การบันทึก วันนี้ ก็จะบันทึกเรื่องการธุดงค์ ธุดงค์ในตอนก่อน ได้พูดไปถึง เมืองกำแพงเพชร
    แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้เราก็มาพูดถึงว่า การออกธุดงค์ แต่ละวัด คณาจารย์ อาจจะสอนไม่เหมือนกันในตอนต้น คือ พิธีกรรม อย่าง การปักเสาอัพโภกาส (เสาสำหรับผูกเชือก ที่ผูกมาจากยอดกลด แล้วก็มาผูกกับหลัก) การตอกหลักนี่ บางวัดมีคาถาว่า ถ้าจะถามอาตมาว่า ว่าอย่างไร คาถาบทนั้น ก็ยังตอบว่า ไม่รู้ หลวงพ่อปานไม่ได้บอก
    เอาแต่เพียงว่า ขณะที่จะออกธุดงค์ อันดับแรก หลวงพ่อปานให้ร่วมกันบวงสรวง และชุมนุมเทวดา ขออำนาจท้าวมหาราชทั้ง 4 พร้อมไปด้วยบริวารทั้งหมด อินทกะทั้งหมด และอากาสเทวดาทั้งหมด แล้วก็นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอความปลอดภัยจากท่าน ขอความคุ้มครองจากท่าน
    เมื่อทำพิธีการบวงสรวงเสร็จ รุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ทีนี้ก่อนทีจะออกเดินทาง ท่านก็สั่งว่าสิ่งที่มีความสำคัญก็คือ บท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ คือ กรณีย์ฯบทเล็ก เมตตัญ จะ สัพพโลฯ นี่จะต้องว่าก่อนออกเดินทาง ขณะที่เดินทางอยู่ก็ว่า (คำว่า ว่า นี่หมายถึง นึกนะ) ขณะเดินทางอยู่ ถ้านึกมาได้ ก็นึกไปด้วย เมื่อเข้าที่พักก็ต้องสวดบทนี้ (คำว่า ว่า ก็คือ สวด สวด ก็คือ ว่า) ให้สวดด้วยความเคารพ เพราะว่าคาถาบทนี้เป็นคาถาที่มีความสำคัญมาก
    ด้วยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีพระชนม์อยู่ ได้บอกกับพระว่า การที่เข้าไปอยู่ในป่า ถูกเสียงสัตว์ก็ดี ผีหลอกก็ตาม ทำให้หวาดกลัวนั่นคือ เทวดา ที่เขาคิดว่า ท่านจะไปอยู่ 2-3 วัน แต่บังเอิญท่านไปอยู่ทั้ง 3 เดือน พวกรุกขเทวดาอยู่บนต้นไม้ ก็เกรงใจพระว่าอยู่สูงกว่าพระ ถ้าขืนปล่อยไว้ บรรดาพระพวกนี้ก็ไม่กลับ ก็ทำเสียงให้หวาดกลัว แต่ยังไม่ออกพรรษา พระก็กลับไม่ได้ พระก็ทนอยู่ถึงออกพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทรงทราบถึงความเป็นมา ถึงเสียงน่ากลัวที่เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอเข้าป่า เธอไม่ถืออาวุธไปด้วย พระก็ถามว่า ในพระพุทธศาสนามีอาวุธหรือ พระพุทธเจ้าบอกว่า มี
    คำว่า อาวุธ ไม่ใช่หอก ไม่ใช่ดาบ นั่นคือบทเมตตา คือ พรหมวิหาร 4 ให้ภาวนาในบท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ (คำว่า เมตตัญ จะ สัพพโลฯ หมายถึง การแผ่เมตตาจิตไปในคน ในสัตว์ ในอมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด) เมื่อพระทั้งหลายได้แล้วแบบนั้น ก็กลับไป
    พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าสวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ อยู่ ปฏิบัติตามนั้นด้วย เอาจิตนึกน้อมไปตามกระแสเสียง (ไม่ใช่สวดเฉย ๆ จิตต้องมีความเมตตาจริง ๆ ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราทราบกันง่าย ๆ คือ พรหมวิหาร 4 แผ่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ยินดีในความดีของท่าน อุเบกขา มีความวางเฉยในเมื่ออุปสรรคเกิดขึ้น อย่างนี้ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย (คำว่า อมนุษย์ หมายถึงว่า สัตว์ก็ดี ผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ตาม เปรตก็ตาม เป็นอมนุษย์)
    บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นกลับไปใหม่ก็ใช้ตามนั้น ก่อนออกเดินทางสวด เมตตัญจะ สัพพโลฯ ขณะที่เดินทางอยู่สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง เมื่อเข้าถึงที่ก็สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เมื่ออยู่ประจำแล้วก็ใช้ เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เป็นเหตุให้บรรดาเทวดา นางฟ้าทั้งหลายมีความรัก นำภัตตาหารอันเป็นทิพย์มาถวาย พยายามมาปฏิบัติต่าง ๆ เท่าที่จะพึงทำได้ ให้ความสะดวกทุกอย่าง ถ้าไม่มีน้ำ ก็บันดาลน้ำให้ปรากฏขึ้น ผลไม้หายากก็บันดาลให้ผลไม้หาง่ายขึ้น อย่างนี้เป็นต้น พระพวกนั้นก็เป็นพระอริยเจ้า เหมือนกันหมด
    บทนี้หลวงพ่อปานบอกว่า จะลืมไม่ได้ ก่อนออกเดินทางต้องสวดก่อน เวลาสวดให้ใช้อารมณ์ของกรรมฐานสวด เห็นภาพเทวดา เห็นภาพอมนุษย์ทั้งหลาย ขณะที่เดินทางไปใกล้จะถึงสถานที่ก็สวด (นึกสวดในใจ) เมื่อถึงที่แล้วก็สวด ฉะนั้นในการเดินทางไปธุดงค์คราวนั้น จึงไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งหมด
    และอีกประการหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทาง ท่านบอกว่า ทุกองค์ให้มีสมุดดินสอติดไปด้วย (อันนี้ก็ต้องขอย้อนต้น) ที่ให้มีดินสอติดไปด้วยก็เพราะว่า ขณะที่เดินทางไปให้ใช้อตีตังสญาณ ดูว่า สถานที่ที่เราผ่านไปนี้มีอะไรบ้างในอดีต แต่ละองค์อาจจะมีความรู้สึกมีความรู้ไม่เสมอกัน ก็ไม่เป็นไร แต่ให้มันถูกก็แล้วกัน เพราะแผ่นดินผืนเดียว ก็มีสมัย หลายสมัย จุด ๆ เดียว อาจจะมีประเทศตั้งอยู่หลายสมัย หลายประเทศ หลายชาติ สลับกันไป เพราะแผ่นดินมีอยู่นาน คนมีอายุน้อย แผ่นดินมีอายุมาก บางที่ที่เป็นป่า เป็นพง อาจจะเคยมีบ้าน มีเมือง มีตึก มีราม มีบ้าน มีช่อง มีตลาด มาแล้วก็ได้
    รวมความว่า ท่านต้องการให้ทราบว่า มีอะไรบ้างในที่ที่เราผ่านมา ในสมัยอดีตและเมื่อถึงสถานที่พัก เมื่ออาบน้ำอาบท่าเสร็จ พักผ่อนดีแล้ว ท่านก็บอกว่าคืนนี้ทุกองค์ไปบันทึกสิ่งที่สัมผัสมา ที่เดินมาจากตอนต้น ถึงปลายทางว่า พบอะไรกันบ้าง วันพรุ่งนี้มาอ่านให้ฉันฟัง พวกเราก็ต้องปฏิบัติกันตามนั้น แต่การเห็น ความรู้สึกต่าง ๆ อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง แล้วแต่ว่า ใครเป็นใคร
    สำหรับอาตมาเองก็ขอพูดเล่าย่อ ๆ เท่าที่พอจะนึกได้เมื่อจะออกจากวัด แทนที่จะใช้อตีตังสญาณ เพราะความไม่มั่นใจในตัวเองว่า ถ้าใช้อารมณ์ของตัวเอง อาจจะมีอารมณ์เฝือหมายความว่า จะมีอุปาทานเกิดขึ้นได้ จึงไม่ใช้ สิ่งที่ใช้ก็คือ ถามเทวดา เพราะก่อนจะไปก็เชิญเทวดาเป็นผู้อารักขาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชอยู่ใกล้ชิดมากเป็นหน้าที่โดยตรงของท่าน
    องค์ที่ถูกถามองค์แรกก็คือ ท่าวเวสสุวัณ อยากจะทราบว่า สถานที่กำลังผ่านอยู่นี้มีอะไรอยู่บ้างในอดีต ท่านท้าวเวสสุวัณก็มอบให้เป็นหน้าที่ของท่านอินทกะท่านหนึ่งเป็นผู้อธิบาย ให้ฟัง พร้อมกับแสดงภาพให้ดู ขณะที่เดินมาจากวัดบางนมโค ถึงสีกุกก็จะไม่ขอเล่าเรื่องให้ย่อย ๆ (คำว่า ย่อย ๆ คือ ไม่มีความสำคัญ)
    เมื่อถึง สีกุก ก็เจอะสถานที่นั้นมีขอบเขตมีรั้วเรียกว่า มีคันคู แสดงว่าเป็นค่ายของพม่าเก่าก็ถามท่านอินทกะว่า นี่เป็นอะไรท่านบอกนี่ค่ายพม่าที่มาตีกรุงศรีอยุธยาก็ขอดูภาพพม่าในสมัยนั้น เห็นภาพทหารพม่ามากมาย มีกำลังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบื้องหลังค่ายพม่ามาเป็นของพม่าหมด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกองทัพเขาล้อมอยุธยาไว้หมด เขาตั้งค่ายล้อมทุกด้าน ทางอยุธยาก็มีทหาร เรียกคนเข้าไปประจำการภายในกำแพงเมือง เกณฑ์พืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไปไว้ในกำแพงเมือง จะได้กินในนั้นออกมาหากินกันไม่ได้ (แค่สีกุก กับอยุธยา เวลานี้รถวิ่งประมาณแค่ 10 นาที ถ้าเดินก็เห็นจะเป็นประมาณสัก 2-3 ชั่วโมง) แล้วก็มาทุกด้าน ก็มีเขตพม่าล้อมรอบ
    ทีนี้ในค่ายของพม่า ก็มีคนไทยอยู่ด้วยก็ถามท่านว่า ในเมื่อพม่ามารบไทยทำไมจึงมีคนไทยอยู่ในค่ายพม่า ท่านก็บอกว่า หลังจากค่ายนี้ออกไป เป็นดินแดนของไทยก็จริงแล แต่ทว่าพม่ามีอำนาจ พม่ามีทหารมาก มีอาวุธมาก ชาวบ้านไม่สามารถจะสู้ทหารได้ ก็ต้องยอมทนมารับใช้พม่า ถ้าพม่าไปเกณฑ์มาใช้ ก็ต้องทำงานให้แก่พม่า พม่าใช้ทำงานบ้าง ใช้ทำนาบ้าง พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีข้าวมีปลา พม่าเกณฑ์ ก็ต้องให้พม่า วัวควายที่มีอยู่ พม่าอยากจะกิน ก็ต้องให้พม่า ไม่ให้พม่า พม่าก็ฆ่าตาย ก็เป็นอันว่า ค่ายพม่า ก็มีคนไทยอยู่ด้วย มองเห็นภาพแล้วก็สลดใจ
    มองเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา ดูภาพในกรุงศรีอยุธยา ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีทหารตั้งอยู่บนเชิงเทินบ้าง บางครั้งก็มีทหารพม่าไปเดินรอบ ๆ กำแพงเมืองใกล้ ๆ กำแพงเมืองอยุธยา อยุธยาก็ส่งกำลังออกมาต่อตีกับพม่า บางทีคนไทยก็แพ้ บางครั้งพม่าก็แพ้ พม่าแพ้ พม่าก็เข้าค่าย ไทยแพ้พม่า คนไทยก็เข้าเมือง รวมความแล้วก็ไม่ได้เรื่อง ความจริงถ้าพม่าตั้งล้อมอย่างนั้นเฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องต่อตีเลย คนไทยภายในกำแพงเมืองไม่ช้าก็อดตาย วิธีรบแบบนี้เป็นวิธีรบที่เสียทีข้าศึกอย่างมาก ฉะนั้นในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์จึงไม่ยอมให้พม่าเข้าไปประชิดพระนคร ยกทัพกองทัพไปต่อสู้ข้าศึกกลางทาง ถ้าเขามาล้อมบ้านมันมีหวังตายแน่นอน เมื่อเห็นภาพในสมัยนั้น ก็มีความสลดใจก็บันทึกไว้จะไม่ขอพูดละเอียด
    ก็เดินต่อไปถึงอยุธยา แล้วเดินออกไปภายข้างนอก พอไปถึงเขตเลยอยุธยาออกไปไม่มากนัก ก็พบค่ายพม่าอีก ก็ขอดูภาพเดิม ก็เป็นตามเดิม เดินไปอีก ใกล้ถึง ชอนสรเดช ก็ปรากฏว่าพบพม่าค่ายใหญ่ตั้งอยู่นั้น เป็นค่ายของบุเรงนอง จึงถามท่านอินทกะว่า บุเรงนอง นี่เป็นแม่ทัพอยากจะดูภาพ ท่านก็ให้เห็นภาพ เห็นกำลังกองทัพ เห็นกองทัพเข้าโจมตีกัน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็บันทึก และหลังจากนั้นก็ถามท่านต่อไปว่า ก่อนหน้านั้นมีอะไรบ้างไหม ท่านก็ให้ดูภาพ เป็นสมัย ๆ ไป แล้วท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง
    เมื่อถึงที่พัก อาตมาก็บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เท่าที่จะพอจำได้จากที่ท่านอินทกะบอก ถ้ามีอะไรสงสัย ก็ถามท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็บอกให้ บันทึกไปถวายหลวงพ่อปานปรากฏอีก 2 องค์เขาก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน เขาบอกว่า ผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน เพราะผมไม่เชื่อตัวผมเองว่า ผมดี เรายังไม่มีความดีพอที่จะรู้จริงได้ ต้องถามเทวดา ฉะนั้นการบันทึกจึงคล้ายคลึงกันมาก จะแตกต่างก็เพียงแค่ถ้อยคำเท่านั้น เรื่องราวต่าง ๆ ก็เหมือนกันหมด
    ทีนี้การที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ทุกคนขณะที่เดินทางไป จะต้องใช้อตีตังสญาณ กำหนดสถานที่ทั้งหมดว่า ที่ตรงนี้ เดิมทีก่อนหน้านี้มีอะไรมาบ้าง สมัยไหนมีอะไรบ้าง อันนี้เป็นเหตุให้เกิดความสำรวม ก็เป็นอันว่า ทุกองค์ที่เดินไปทั้งหมด ไม่มีใครคุยกันเลย มันหาเวลาคุยไม่ได้ เพราะจิตต้องรู้ ต้องรู้ถึงภาพของคน รู้ถึงภาพของบ้านเมือง แต่ว่าการรู้ ไม่ใช่รู้เองถามเทวดาท่าน
    ก็ต้องเอาอารมณ์ตั้งไว้แค่อุปจารสมาธิ อันดับแรก ทำจิตให้ทรงฌานก่อน จิตจะได้มีความมั่นคง เมื่อจิตทรงฌานดีแล้ว ก็ลดมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ เพราะความเป็นทิพย์อยู่ตรงนั้น เมื่อลดกำลังมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด ก็เห็นภาพเทวดาชัด ก็เหมือนกับเห็นคนธรรมดา หลังจากนั้น ก็คุยกันไปคุยกันมา ตามเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง เราต้องการอะไร ท่านก็พูดให้ฟังตามนั้น ก็จำเอาไว้ แล้วก็ไปบันทึกให้หลวงพ่อปานทราบ นี่เป็นการธุดงค์ครั้งแรก ที่หลวงพ่อปานนำ
    เมื่อตอนก่อนได้พูดว่าไปถึง จังหวัดกำแพงเพชร ตอนนั้นกลับหรือยังไม่กลับก็ไม่ทราบ หลังจากนี้ต่อไป ก็ขอเลี้ยวไปทางด้านภาคอีสาน กับภาคตะวันออกก่อน ถ้าจะถามว่า ที่ตรงไหน เขาเรียกว่าอะไร อันนี้ก็ตอบไม่ได้เพราะว่าเวลานั้นไม่มีป้ายบอก การเดินของคณะธุดงค์คณะนี้ เดินเฉพาะในป่าโดยตรง ถ้าได้ยินเสียงสุนัขเห่า แสดงว่ามีบ้าน เดินให้ห่างออกไป จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า และต้องการความสงัดจริง ๆ (ไม่ใช่กลัวเสียงสุนัขแต่ว่ากลัวจิตจะไปติดบ้าน) เพราะว่าเป็นการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ ถือว่าไม่ดีพอก็ให้มันตายในป่าไปเสียเถอะ
    ความจริงการธุดงค์แบบนี้ก็ทำกันได้ ไม่ใช่ได้เฉพาะคณะอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำได้เหมือนกัน รุ่นก่อน ๆ ท่านก็ทำกันมาแล้ว ในสมัยเดียวกันก็มีหลายคณะ ท่านก็ทำเหมือนกัน คือ บางท่านก็ทำคนเหมือนฤาษี คือ กินผลไม้ในป่า ไม่กินอาหารจากบ้าน บางคณะก็อยู่ด้วยธรรมปีติ บางคณะก็บิณฑบาตกับเทวดา อย่างคณะของอาตมา เพราะยังไม่เก่งพอที่จะอยู่ด้วยธรรมปีติได้ ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติเป็นปีเป็นเดือนนี่ ต้องเก่งจริง ๆ และร่างกายจะไม่ทรุดโทรม
    ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่น หรือจังหวัดสุรินทร์ (อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์) ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่ปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้ จวนจะหมดเขต ประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขต ประเทศ ต้องเดินไปอีกนานหน่อย แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว
    ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั้น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน (ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย หลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมา) ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดา (บวงสรวง) ตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ 60 ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก 200 เมตร ไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวยุ่งอยู่กับการปักกลดไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้า ช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้น ตัวใหญ่มาก คุกเข่าลง ยกงวงขึ้นชู แสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็เบาใจ
    เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า พ่อปู่ (ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่าพ่อปู่ ถ้าเรียกว่าพ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามาก) ถามว่า พ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน 2-3 ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำ สรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลาย ก็มายืนล้อมบ่อ หันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบ อาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด
    ตอนเข้ากลดแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่า พวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั้นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัว ถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลส แต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของจิตใจ
    เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฎว่าเวลาประมาณตี 2 มีนกใหญ่ตัวหนึ่ง บินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี 2 จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากจะรู้ ก็เอาไม้แหลม (มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ 2-3 อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้) แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่หล่นลงมา เป็นอันว่า อีก 2 กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะ เหมือนกัน
    พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั้นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่า ไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้เพราะว่าที่นี่ ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว (ถ้าเข้าตัว ก็หมายถึง ตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่) ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง 3 คนก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง
    แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี 2 คน นุ่งขาวห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา (ไม่ใช่อาหารขอภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง) แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้าปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวาย ขณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวาย ข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ
    ทั้ง 3 องค์ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน 2 คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมด ก็ถามท่าอินทกะ อินทกะท่านบอกง่า ไอ้เจ้า 2 คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลดของท่านเมื่อคืนนี้ และ ข้าวนั่น ท่านจะฉันไม่ได้นะ มันเป็นทราย และพุงปลากับไข่ปลา ก็ฉั นไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะ ท่านก็บอกว่า ให้ตั้งนะโมฯ 3 จบ ว่า อิติปิโสฯ 1 จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
    ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมสิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรมข้าว พอพรมข้าว ข้าวก็กลายเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นธรรมดา มีหนามผูกไขว้
    คนทั้งหลายพอเห็นเข้า อย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน 2 คนนี่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าฆ่าพระธุดงค์ได้ เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธ จะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลย เป็นเรื่องของกฎของกรรมตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา
     
  4. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    ธุดงค์ภาคอีสาน ตอนที่ 2

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 20 พฤษภาคม 2534 หลังจากที่ห้ามบรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว คนทั้งหมดก็พากันขับไล่คน 2 คนไป ก็ถามว่า คน 2 คน เป็นคนที่นี่ หรือที่ไหน ชาวบ้านบอกว่า ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ก็มีอยู่ 2-3 คน บอกว่า ผมจะต้องตามล้างให้ได้คนนี้ ก็เลยบอกว่า โยม อย่าทำเลย ในเมื่อเขาทำอาตมาไม่ได้ แล้วก็แล้วกันไป เขาจะได้ทราบว่า พระธุดงค์ไม่ใช้เหยื่อของไสยศาสตร์ ไม่ใช่ว่า นักไสยศาสตร์จะทำได้ง่าย ๆ
    ชาวบ้านก็ขอนิมนต์ให้อยู่ถึง 3 วัน จึงถามท่านอินทกะว่า ตามสัญญาของเรา จะต้องอยู่ในป่า ไม่พบกับคน ท่านอินทกะก็บอกว่า ที่นี่เป็นชาวป่าไกลวัดมาก หาวัดทำบุญยาก ควรจะอยู่สงเคราะห์ ในเมื่อเราอยู่ของเรา เขาก็เข้าบ้านของเขา ถึงเวลาอาหารเขาก็นำมาให้ เราก็รับประเคน ก็ไม่เป็นไร เราจะได้รู้ใจตนเองว่า เราติดอาหารชาวบ้าน หรือไม่ติด
    แต่ความจริง อาหารของชาวบ้านก็มีรสอร่อยดี อย่างพริกเผา เขาก็ไม่มีกะปิ โดยมากจะเป็น พริกเผา หรือพริกแห้ง ตำมาให้ อาหารต่าง ๆ ก็มีอะไรบ้างล่ะ บางวันก็มีแย้มาด้วย จะมีอะไรบ้าง พวกเราก็ไม่สนใจ แต่ว่าที่สนใจมากที่สุดก็คือ ผัก อาหารประเภท ผัก กับน้ำพริกชอบฉัน เพราะหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ความจริงไม่ได้กินเจ แต่เกรงว่าจะติดเรื่องเนื้อสัตว์มากเกินไป และอีกประการหนึ่ง ถ้าเราชอบอย่างไหนเข้า เขาจะหาอย่างนั้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวป่าเขาก็ต้องหาแย้บ้าง หาอึ่งบ้าง เป็นต้น พวกนี้ ถ้าเขารู้ว่าพระชอบ เขาจะหามาให้มาก
    ก็เป็นอันว่า ทั้ง 3 องค์ชอบเหมือนกันคือ ชอบผัก อย่างผักบุ้ง ผักอะไรต่าง ๆ ที่เขานำมาให้ ก็จิ้มกับน้ำพริก เขาถามว่า ทำไมถึงไม่ฉันเนื้อสัตว์ บอกว่า ตามธรรมดาก็ฉัน และฉันมามากแล้ว แต่ว่าน้ำพริกอย่างนี้ก็ดี ผักประเภทนี้ก็ดี ไม่ได้ฉันมานาน ชอบฉัน อย่างส้มตำ เป็นต้น ก็นำมาเป็นอาหารได้อย่างดี เมื่อกินเสร็จ เรากินกันเวลาเดียว ชาวบ้านก็กลับ ตอนเย็นท่านก็นำน้ำมาถวาย มีน้ำอัดลม เป็นต้น
    เราก็อยู่กันแบบสงัด ขณะที่อยู่แบบสงัด ก็ปรากฏว่า เวลากลางคืน คืนหลังนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เป็น สัตวศาสตร์ (คำว่า สัตวศาสตร์ ก็หมายความว่า สัตว์ที่มีความรู้) นั่นคือ เสือ เสือจริง ๆ พอเวลาประมาณสัก 3 ทุ่มเศษ ๆ นั่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ เมื่อเลิกจากการเจริญกรรมฐานแล้ว ก็นั่งคุยกัน (แต่ ว่าคุยกันในกลด ต่างคนต่างอยู่ในกลด เพราะออกนอกกลดไม่ได้ ยุงกัด ยุงมันมาก ยุงจะกัด หรือไม่กัด เราก็ไม่อยากออกจากกลด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ออกจากกลด) ปรากฏว่า มีเสือมาตัวหนึ่ง กลางคืนเห็นเป็นสีขาว เพราะเดือนหงาย ตัวยาว ใหญ่มาก เดินดมฟึดฟัด ๆ อยู่รอบกลด เดินสัก 3-4 รอบ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ก็ถามท่านอินทกะว่า เสือนี่จะทำอันตรายได้ไหม ท่านบอกไม่ได้หรอก ท่านเฉยไว้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าท่านไม่เฉย ท่านก็ไม่มีอะไรจะสู้ ก็ถามว่า คาถา ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ตวาดป่าหิมพานต์ จะใช้ได้ไหม ท่านบอก ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ ให้ใช้แต่เวลาที่มีความจำเป็น ในเมื่อประจันหน้ากันจริง ๆ เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ใช้คาถาบทนี้แล้วตวาด ออกเสียงตวาด เสือก็ดี ช้างก็ดี จะหนีไป และเวลานี้เสือกำลังคิดจะทำร้าย เดินวนมาวนไป แต่เข้าในเขตกลดไม่ได้ ก็ไม่ควรจะว่าคาถาบทนี้ให้เฉยไว้ เรื่องอันตรายต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของคณะของผม แต่ว่าเสือเดินวนมาวนไปอยู่พักหนึ่ง ก็คุ้ย แกไม่รู้จะทำอย่างไรแกก็คุ้ยดินเข้ากลด หันหลังมาคุ้ยดิน เพื่อให้เราออกจากกลด พวกเราก็ไม่ออก แกเล่นเอาย่ำแย่เหมือนกัน เล่นเอามุ้งตุงไปด้านหลัง คุ้ยดิน คุ้ยเอามาก
    ในที่สุดก็บอกท่านอินทกะว่า นี่จะทนไม่ไหวแล้วนะ (คำว่า ทนไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่า จะไปสู้กับเสือ เพราะดินเข้าหู เข้าตา เข้าหัว เข้าตัว มุ้งก็กระจุยกระจายไปหมด) ท่านอินทกะก็เลยเอามือชี้ไปที่เสือ เพียงแค่ท่านชี้ไปเท่านี้เอง เสือก็วิ่งโชน วิ่งเข้าป่าหายไป
    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ใช้คาถาบทไหน คาถาจริง ๆ คือบท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ กับ อิติปิโสฯ นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องขึ้น อิติปิโสฯ ก่อน ก็สวดมนต์ธรรมดานี่เอง และนอกจากนั้นก็แผ่เมตตาจิต คือ ใช้พรหมวิหาร 4 แผ่เมตตาไป ในจักรวาลทั้งปวง ถ้าถามว่า แผ่เมตตาแล้วทำไมเสือจึงมาเล่นงาน ก็ต้องตอบว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเสือ ไม่ใช่หน้าที่ของพระ เสือมันจะมากิน ถ้าถามว่า ทำไมจึงเข้าในเขตของกลดไม่ได้ ก็ต้องตอบว่า ด้วยอำนาจของท้าวมหาราช กับบริวารของท่าน ทำให้เสือเข้ามาในเขตของกลดไม่ได้ หลักเราปักตรงไหน เสือเข้าถึงหลักนั้นไม่ได้ (หลักผูกสายกลด)
    เป็นอันว่า ตอนเช้าชาวบ้านมาเห็นเข้า ก็ทราบว่า อันตรายเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ถามว่า เมื่อคืนนี้มีอะไรมารบกวนท่านหรือขอรับ ก็บอกว่า มีเสือตัวใหญ่ เขาบอกว่า เสือตัวนี้ พวกผมตามล่ามาหลายครั้งแล้ว ไม่พบมันสักทีหนึ่ง ถ้าพบเมื่อไร ต้องยิงมันเมื่อนั้น มันร้ายกาจเหลือเกิน เคยเข้าไปขโมยสุนัขมากินบ้าง ขโมยไก่ไปกินบ้าง หรือลูกวัวตัวเล็ก ๆ มันคาบเอาไปกิน มันเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ผมก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเข้ามาทำร้ายท่าน คืนนี้ผมจะมานอนเป็นเพื่อน ก็เลยบอก ไม่ต้องหรอกโยม อาตมาเสี่ยงแล้ว ถือว่าถ้าไม่ดีมันก็ตายไปเองเทวดาหรือพระไม่ช่วย ถ้าหากว่าเรามีความดี เทวดา กับพระท่านช่วย ก็ไม่เป็นไร
    หลังจากฉันเสร็จ ก็ลาญาติโยมทั้งหลาย ถอนกลดเดินทางต่อไป ไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหน ไปพบกุฏิหลังหนึ่ง เป็นบ้านเรือนไทยแบบธรรมดา ๆ แต่เก่าแล้ว หลังใหญ่หน่อย เป็นบ้านร้าง (จะเป็นบ้านร้าง หรือวัดร้างก็ไม่ทราบ มันมีหลังเดียวจริง ๆ ) ก็พากันปักกลดรอบบ้านหลังนั้น ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะมีอันตรายไหม ท่านบอก ขึ้นชื่อว่าอันตรายมันมีทุกแห่ง ให้คิดไว้เสมอว่าทุกแห่งมีอันตราย จะต้องระวังตัวไว้ ก็ถามว่า อันตรายอื่นใดจะมีไหม อย่างเสือเป็นต้น ช้างเป็นต้น ท่านบอก เสือกับช้างไม่ต้องห่วง ไม่มี เพราะผมกันได้ แต่คืนนี้จะมีอันตรายแตกต่างจากเมื่อก่อนนี้ ก็ถามว่า จะเป็นอะไร ท่านบอก เอาไว้รู้เมื่อถึงเวลานั้น
    ก็เป็นอันว่า ในเมื่อคิดว่าจะมีอันตราย ก็ใช้ สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เพื่อเป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลายเสร็จ ก็นั่งภาวนากันตามปกติ ใช้จิตตามสบาย ๆ ถือว่าอันตรายใด ๆ ถ้าจะพึงมีกับเราก็ต้องเป็นอันตรายที่เกินวิสัยของเทวดาที่ควบคุม ขนาดอินทกะถ้าสู้ไม่ได้ เราก็ควรจะตาย ตัดสินใจว่า ถ้าตายเมื่อไรอย่างน้อยที่สุดเราก็ไปเกิดบนสวรรค์ หรือเป็นพรหม หรือถ้าบังเอิญกำลังใจเราดี เราก็อาจจะไปนิพพาน แต่ความจริงเวลานั้น ไม่ได้หวังอะไรทั้งหมด คิดแต่เพียงว่าเราต้องการบุญอย่างเดียว เมื่อเรามีบุญอยู่ จิตมีเฉพาะบุญไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร อารมณ์ใจเป็นกุศล อย่างน้อยก็ไปสู่สุคติ มีสวรรค์ เป็นต้น
    หลังจากนั้น เวลากลางคืน เวลาประมาณตี 2 ลุกขึ้นมาเจริญกรรมฐานอีก ตอนนี้ได้ยินเสียงผู้หญิงเสียงประมาณนับเป็นร้อยคน ไม่ใช่คนสองคนคุยกัน หัวเราะเกรียวกราวก็มองไปมองมา ทีแรกก็มองไม่เห็น หนักเข้า ๆ ก็เห็นพวกเธอเดินใกล้เข้ามา ๆ มากมายเหลือเกิน ประมาณ 200 คนล้อมบริเวณกลดของเรา ก็เฮฮา ๆ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่ว่าเป็นผู้หญิงสาวล้วน ๆ ก็มองดูว่า ถ้าเป็นชาวบ้าน เวลานี้มันตี 2 แล้ว ชาวบ้านจะมากันทำไมในป่า มาร้องรำทำเพลงในป่าเพื่ออวดใคร อวดต้นไม้ก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าบางทีเขาอาจบนบานศาลกล่าวเจ้าที่เจ้าทางไว้ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านหลังนี้อาจจะเป็นศาลก็ได้
    ก็คิดในใจ ถามท่านอินทกะว่า คนที่เห็นประมาณสัก 200 คน ที่ร้องรำทำเพลง เป็นพวกอะไร ท่านบอกว่า ชาวบ้านธรรมดาเขาเรียกว่า ผี แต่ความจริง พวกนี้ไม่ใช่ผี เป็นพวกรุกขเทวดา กับภุมเทวดา ให้ท่านสังเกตให้ดีว่า ทุกคนผิวสวยหมด ทรวดทรงสวยหมดแต่งตัวก็สวยทั้งหมด เครื่องประดับก็สวยทั้งหมด เขาจะมาทดลองพวกท่านว่า พวกท่านจะติดในรูปเขาไหม
    ประการที่สอง พวกท่านจะติดในเสียงเขาไหม
    ประการที่สาม พวกท่านจะติดในลีลา ในการแสดงของเขาไหม
    ถ้าท่านติดทั้ง 3 อย่างนี้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็จะกลับ ก่อนจะกลับเขาจะโห่ หัวเราะเยาะท่าน หากว่าท่านไม่ติด ประเดี๋ยวเขาก็เลิกไป
    แล้วท่านอินทกะก็ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ก็ตอบ จะมีความรู้สึกอย่างไรในเมื่อรุกขเทวดาก็ดี ภุมเทวดาก็ดี ก็เคยเป็นคนมาก่อน ในเมื่อพวกนี้เคยเป็นคนมาก่อนเคยมีร่างกายที่แสนสกปรกมาก่อน เวลานี้ตายแล้ว ตายมาเป็นผี มีสภาพเป็นลม ร่างกายเธอก็จับไม่ถูก ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ราคะ จะเกิดเพราะอะไร ก็ไม่น่าจะเกิด โลภะ ความโลภอยากได้ทรัพย์สินของเธอ ก็ไม่น่าจะมี เพราะเราทิ้งมาแล้ว โทสะ ความโกรธ เธอก็ไม่ได้สร้างโทสะให้โกรธ เธอมาร้องรำทำเพลง จะถือว่าเป็นการขัดกับการเจริญกรรมฐานก็ไม่ถูกต้อง ก็ต้องถือว่าเรื่องของใคร ก็เรื่องของใคร เขาจะร้องรำทำเพลง ก็เป็นเรื่องของเขา เราเจริญกรรมฐาน ก็เป็นเรื่องของเรา หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ก็บอกท่านอินทกะบอกว่า อาตมาคิดอย่างนี้
    ท่านบอก ถูกแล้ว พอท่านอินทกะบอกว่า ถูก เท่านั้นละพวกนั้นหยุดรำ นั่งลงคุกเข่ากราบ 3 ครั้ง ต่างคนต่างไป อินทกะก็บอกว่า เห็นไหมล่ะ พอท่านคิดถูก เห็นว่าพวกเขาเป็นคนสกปรกมาก่อน มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองอยู่ในร่างกาย มีอุจจาระปัสสาวะ เป็นคนมาก่อน แล้วก็ตาย หลังจากตายก็เหลือสภาพของจิต ที่เรียกกันว่า อทิสสมานกาย แล้วก็ในเวลานี้เขามาทดลองท่าน ท่านไม่สนใจในรูปร่างของเขา ท่านไม่สนใจในผิวพรรณของเขาท่านไม่สนใจในเสียงของเขา ท่านไม่สนใจในลีลาของเขา และท่านก็มีความรู้สึกว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง คนทุกคนต้องตายเหมือนกันหมดแบบนี้เมื่อตายแล้ว เขาก็เลยคิดว่า การที่เราจะมาพิสูจน์ เป็นผลสำหรับเขา คือ วันพรุ่งนี้เช้าเขาจะใส่บาตรเขาต้องมาพิสูจน์ก่อน ถ้าบังเอิญคณะของท่าน องค์ใดองค์หนึ่ง ไปชอบผิวพรรณก็ดีทรวดทรงก็ตาม ลีลาก็ตาม หรือสุ้มเสียงก็ตาม พรุ่งนี้อดแน่
    ก็ถามว่า อีก 2 องค์ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ท่านอินทกะก็บอกว่า อีก 2 องค์ ท่านก็มีความรู้สึกเหมือนท่านเหมือนกัน ต่างคนต่างปลงอนิจจังว่า บรรดาผีทั้งหลายเหล่านี้ ต่างเน่ามาก่อนแล้ว มันเน่ามาก่อนตาย คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองในร่างกาย มันเน่ามันเหม็นมาก่อนตาย เมื่อตายแล้วก็เน่า เน่าแล้วก็มาเป็นผี เป็นผีแล้วก็มาล้อพระธุดงค์ ทั้ง 2 องค์ ก็ไม่มีจิตประสงค์ในราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน ในเมื่อเขาทราบความเป็นจริงอย่างนั้นแล้ว เขาก็กลับไป
    ในเมื่อกลับไปแล้ว ก็ปรากฏว่า ตอนเช้าคิดว่า จะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะบอกว่า ไม่ต้องไปหรอก ประเดี๋ยวพวกเมื่อคืนก็มา แล้วก็ถานท่านว่า เมื่อคืนนี้ เขาเห็นท่านไหม ท่านอินทกะก็เลยบอกว่า เทวดานี่มีกำลังไม่เสมอกัน ภุมเทวดามีร่างกายหยาบกว่ารุกขเทวดา รุกขเทวดา ก็มีร่างกายหยาบกว่า อากาสเทวดา อากาสเทวดาละเอียดกว่า เมื่อคืนนี้ผมไม่ยอมให้เขาเห็นผม ถ้าเขาเห็นผม เขาจะไม่แสดงอะไรทั้งหมด เพราะเขากลัวพวกผม ผมปล่อยเขาตามปกติ ประเดี๋ยวเขาจะมา ท่านไม่ต้องไปบิณฑบาต
    ก็เป็นอันว่า อีกสักครู่เดียว (ประมาณโมงเช้า ) คราวนี้มีทั้งผู้หญิง มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิงมีแต่สาวทั้งหมด ทรวดทรงดีทั้งหมด (ถ้าพูดตามส่วน คือ พวกเมื่อคืนนี้ แต่งตัวก็ดี ไม่น่าจะเป็นคนภาคอีสาน ไม่น่าจะมาอยู่ในป่า) นำอาหารมาถวาย แล้วก็มีอะไรก็ไม่ทราบ ที่เขาใส่ข้าวเหนียว ถือมาคนละกล่อง ๆ เหมือนกันหมด แต่ว่าอาหารทั้งหมดไม่มีกับ เป็นข้าวมีสีเหลืองน้อย ๆ มาใส่บาตร เมื่อตักบาตรเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็นั่งคุย สำหรับผู้ชายรู้สึกว่ามีท่าทางขรึม ๆ เรียบร้อยสงบเสงี่ยม แต่พวกผู้หญิงนี่สิใช้ตาเป็นสื่อ แสดงอาการออกทางตามาก ทางปากก็แสดง พูดลีลาก็ดี ไพเราะอ่อนหวาน ทางตาก็แสดงอาการเจ้าชู้ พวกเราก็รู้แล้วว่า ผี จะไปยุ่งกับผีก็ไม่มีประโยชน์ ยุ่งกับคนก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยทำเฉยไว้ ทำใจเฉย ๆ ก็คิดว่าเมื่อเธอตายแล้ว ก็เชิญตายไปเถอะ ต่อไปฉันก็จะตายบ้างเหมือนกัน ตายไปฉันก็จะไม่ไปยุ่งกับพระ อย่างพวกเธอนี่หรอก เราก็กินข้าวไป เมื่อกินข้าวเสร็จก็ ยถา สัพพีฯ ให้พรเขา เขาก็รับพร แล้วต่างคนต่างลา ต่างก็หายไป
    หลังจากนั้น ท่านอินทกะก็บอกว่า เดินจากนี้ไปประมาณสัก 2 กิโลเมตร จะมีถ้ำเป็นที่พัก (ไม่ทราบว่าจังหวัดไหนในป่าลึก) ให้ท่านพักในถ้ำนั้นประมาณสัก 7 วัน พวกผมจะอยู่คุ้มครองท่าน แล้วท่านอินทกะก็นำหน้าเดินทางไป พอเข้าไปถึงถ้ำ ท่านก็ชี้แจงเรื่องความเป็นมาต่าง ๆ ว่า ดินแดนแถวนี้ เดิมทีเดียวเคยเป็นเมือง เป็นบ้านเป็นเมือง แต่เวลานี้เป็นป่า ก็ดูสภาพบ้านเมืองต่าง ๆ สมัยก่อนเป็นเมืองย่อม ๆ เล็ก (ขนาดใหญ่ก็ประมาณสักหนึ่งอำเภอ เขตอำเภอในเวลานี้) เป็นกลุ่มของคน บางครั้งบางคราวเขาก็ยกทัพมารบกันบ้างบางครั้งบางคราเขาก็ดีกันบ้าง มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันเป็นปกติ บางคราวก็ดีกัน มันเป็นเรื่องของบุคคลคนเดียว คือ พ่อเมือง ถ้าพ่อเมือง กับพ่อเมืองดีกัน ชาวบ้านก็ดีกัน ถ้าพ่อเมือง กับพ่อเมืองเขาขัดใจกัน ชาวบ้านก็ต้องขัดใจกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ในเมื่อเขาสั่งให้รบ ก็ต้องรบกัน ก็ยกทัพตีกันนั่นเอง ยกพวกตีกัน ดูแล้วก็น่าสลดใจ
    ก็เลยถามท่านว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ พวกฉันเคยมาร่วมกับเขาบ้างหรือเปล่าบอก ยังท่าน สมัยท่านไม่มี ในเขตนี้ไม่มี เมืองเล็ก ๆ ประเภทนี้พวกท่านไม่เคยเกิด เกิดเมืองใหญ่กว่านี้ เมื่อดูไปจนเพลิน ก็คิดในใจว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ในสถานที่นี้เคยมีคน คนมีเนื้ออ่อน กระดูกถึงแม้จะแข็ง ก็ยังอ่อนกว่าไม้ ในที่สุดคนก็ตาย บ้านเรือนที่สร้างสวย ๆ ในที่สุดก็สลายหายตัวไปหมด ปรากฏว่ามีแต่ป่าไม้ใหญ่เป็นป่าทึบ บ้านเมืองทั้งหลายเหล่านี้ คงจะผ่านพ้นไปเป็นร้อย ๆ ปี
    ในที่สุดก็อยู่ในถ้ำ พอเข้าไปนอนในถ้ำ อินทกะก็บอกว่า ความปลอดภัยมีกับท่านแล้วหน้าที่ต่อไปนี้ ก็จะเป็นหน้าที่ของคนอื่น ผมขอลาท่านไปสักครู่หนึ่ง ถามว่า จะไปไหนท่านบอกว่า จะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ เพราะว่าท่านท้าวเวสสุวัณตรัสเรียก ก็เป็นอันว่าท่านอินทกะก็ไป ลูกน้องอินทกะก็ไป เหลือแต่พวกเรา 3 คน กำลังนอนเพลิน ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งคาดไม่ถึง
    เวลาประมาณสัก 4 ทุ่ม สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ มีคนมายืนหน้าถ้ำ 4-5 คน คน 4-5 คน ทีแรกก็ตัวเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับเด็กสัก 4-5 ขวบ เมื่อมองดูแล้ว หนัก ๆ เข้าเด็กคนนั้นค่อย ๆ โตขึ้นทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งหัวยันพื้นของถ้ำ แต่ว่าเธอยังอยู่นอกถ้ำในที่สุดตัวก็ใหญ่ขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งสะดืออยู่พ้นหลังคาของถ้ำ ก็มองดูเธอ เธอทำอะไรเราก็มองดู ด้านจิตใจก็เฉย ๆ คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ท่านที่ปรากฏร่างกายอย่างนี้ก็คือ ผี แต่ว่าผีที่จะเกิดขึ้นมาได้ ก็มาจากคน และคนประเภทนี้ ทำไมถึงเกเรมาก ในเมื่อเป็นผีแล้วมาเกเรกับพระ พระที่มาธุดงค์ ต้องการความสงัด ก็นึกในใจว่า ทางที่ดีถ้าผีมีความฉลาดก็ควรจะนั่งกราบ และยกมือไหว้พระด้วยความเคารพ สร้างบุญสร้างกุศลต่อ ให้มีบารมีสูงขึ้น มีความสุขความสบายมากขึ้น มีวิมานสูงขึ้น ร่างกายสวยขึ้น
    พอคิดเพียงเท่านี้ผีก็ลดตัวลง พอลดตัวลงมาต่ำ นั่งเป็นปกติ ร่างกายของคนก็ค่อย ๆ กลายเป็นสุนัขใหญ่ เป็นสุนัขค่อย ๆ ใหญ่มาทีละน้อย ๆ ทำท่าแยกเขี้ยว เห็นขาวโพลนจะกัดละสิ แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง แกทำท่าอยู่นอกถ้ำ ไม่เข้ามาในถ้ำ ก็เลยนั่งกันเฉย ๆ พวกเราก็นั่งคุยกันบอก ปล่อยเขา เมื่อผีคนกลายเป็นหมาได้ เราจะสนใจอะไรกับหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่เลวกว่าคน นี่เป็นคนแท้ๆ กลับกลายเป็นหมา แสดงว่า คนนี้เป็นคนเลวเมื่อตายจากความเป็นคนแล้ว จึงกลายเป็นหมา และเป็นหมาโต และเป็นหมาที่ดุ ดุใครไม่ดุมาดุพระซึ่งไม่เคยเป็นศัตรูกัน พวกเราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แผ่เมตตาจิตว่า บรรดาสุนัขทั้งหลายเธอจงมีความสุขตามสภาพของสุนัข เธออยากกินอะไร ขอให้ได้กินตามชอบใจแต่ห้ามกินฉัน
    พอพูดเท่านี้สุนัขหัวเราะกั้ก ๆ เป็นเสียงคนประเดี๋ยวภาพสุนัข ก็หายไป กลายเป็นพระ เดินเข้ามาในถ้ำ องค์ที่เดินนำหน้าคือ หลวงพ่อปาน องค์ที่สองคือ หลวงพ่อจงองค์ที่สามคือ หลวงพ่อเนียม องค์ที่สี่คือ หลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อปานถามว่า เมื่อกี้แกแช่งหมาหรือ บอก ผมไม่รู้ว่าเป็นหลวงพ่อนี่ครับ ก็ลุกขึ้นกราบท่าน
    ความจริงที่ท่านอินทกะท่านหลีกไป ท่านบอกว่า ฉันจะมา ฉันจะมาลองพวกเธอว่าพวกเธอจะกลัวไหม อินทกะท่านจึงหลีกทาง แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ หากว่าท่านอยู่ ถ้าหากให้ฉันแสดงให้เธอพบ ให้เธอเห็น ก็จะหาว่าท่านไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจ จึงได้บอกว่า ท่านต้องไปเฝ้าท่าวเวสสุวัณ ซึ่งความจริงท้าวเวสสุวัณเวลานี้ก็อยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้อยู่ที่ไหน การทำใจแบบนี้ดี ฉันติดตามพวกเธอมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ถูก ..สามารถเข้าเขตสายอัพโภกาสได้ ก็จับบนยอดกลด ลงมาไม่ได้ กลายสภาพเป็นนก และถูกเขาเอาทรายมาเป็นข้าว เขาเก่งมาก เอาหนามมาผูก ทำเป็นต้มยำไข่กับพุงปลา ฉันก็ติดตามสังเกตเธอว่า เธอจะเผลอไหม ถ้าเธอเผลอเมื่อไร ฉันจะเตือนเมื่อนั้น แต่บังเอิญท่านอินทกะท่านเตือน ฉันก็เลยเฉยไว้
    หลังจากนั้น เมื่อมาพบกับนางฟ้าของรุกขเทวดาทั้งหลายก็ดี ภุมเทวดาทั้งหลายก็ดี เธอก็ไม่สนใจมาวันนี้เธอเห็นภาพคนใหญ่ ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นทันหูทันตา ก็ไม่ตกใจ อย่างนี้ใช้ได้ ในการธุดงค์ จงมีความรู้สึกไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าหากว่า ถ้าเราตายอยู่กับธรรมะอย่างนี้ เราจะไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย ถ้าเราอยู่กับอธรรม จิตที่เป็นอกุศล มีความโกรธ เป็นต้น เราจะลงนรก พวกเธอทำกำลังใจถูกต้อง ขอให้ปฏิบัติตามนี้ต่อไป แล้วทั้ง 4 องค์ ท่านก็บอก จะกลับ ก็กราบท่านขอบคุณท่าน แล้วท่านก็กลับไป
    พอท่านกลับไปแล้ว ท่านอินทกะก็มา ท่านอินทกะก็ถามว่า เห็นอะไรไหม ก็เลยบอกท่านว่า ไม่น่าจะหลอกกันเลย บอกว่า จะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ แล้วปล่อยให้หลวงพ่อปานหลวงพ่อทั้ง 4 เข้ามา ท่านก็บอกว่า ผมไม่ได้โกหกนะครับ ท่านท้าวเวสสุวัณท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ท่านเรียกผมไป ผมก็ไป ต้องปล่อย ถ้าเราอยู่ที่นั่น จะหาว่าเราไม่มีเดชไม่มีอำนาจกันผีไม่ได้ ก็ต้องปล่อยดูกำลังใจ
    เป็นอันว่า พักที่นั่น 7 วัน ก็มีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามีคนมาใส่บาตรเป็นปกติ แต่คนที่มาทุกคน ไม่มีใครแต่งตัวสวย นุ่งกางเกงปะ ใส่เสื้อปะ บางคนก็ไม่มีเสื้อผู้ชายนะผู้หญิงก็พอมีเสื้อ บางคนไม่มีเสื้อ ก็มีผ้าคาดอกมา เป็นคนรูปร่างรกรุงรัง แต่ว่าข้าวที่กิน เป็นข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีรสหวานหน่อย ๆ เวลาเขาใส่บาตร เขาจะมีดอกไม้สวย ๆ
    ก็รวมความว่า พวกที่มาทั้งหมดเป็นนางฟ้า กับเทวดา ไม่ใช่คนธรรมดา เราก็จับได้แต่ว่าเราไม่พูด เรามีหน้าที่รับ เขามีหน้าที่ให้ เราก็รับ มีหน้าที่รับ รับแล้ว เราก็กิน เราก็ฉัน
    ก็รวมความว่า การไปธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ ถ้าจะถามว่า ถ้าปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ทำอย่างไร ก็ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะส้วมมันใหญ่ คือ ป่า จะถ่ายที่ไหนก็ได้ ไม่ถ่ายใกล้ตัวเราก็แล้วกัน
     
  5. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    บ้านหน้าถ้ำที่อีสาน

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ก็มาคุยกันเรื่องธุดงค์ ตอนก่อนมาค้างธุดงค์ในภาคอีสาน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นจังหวัดอะไร
    ในตอนนั้น ปรากฏว่าท่านอินทกะ ท่านพาเดินมาพบภูเขาลูกหนึ่ง ใหญ่ยาวมากและก็มีถ้ำ มีหน้าผาสูง มีถ้ำลึก ด้านหน้าถ้ำก็เป็นเชิงออกมายาวกว้างขวาง เป็นที่นอนสบาย ๆ เป็นธรรมดาของนักธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ ย่อมชอบที่สงัด คือว่า ในสถานที่ใด กลางคืนไม่ได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ที่นั่นอยู่ได้ ถ้าได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ต้องไปให้ไกลกว่านั้น นั่นหมายความว่า ไม่ต้องการพบคน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะถามว่า ถ้าไม่พบคน กินอะไร ก็ขอตอบว่า กินข้าวถามว่าหาข้าวจากไหน ก็ตอบว่า หาข้าวจากเทวดา หากว่าท่านจะถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่คุยมากเกินไปหรือ ก็ต้องขอตอบว่า คุยไม่มาก คุยคนเดียว แล้วก็คุยตามความเป็นจริง ความสามารถอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่คณะของอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำกันอย่างนั้น ท่านทำกันมาก่อน ครูบาอาจารย์ทำมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนหลังก็มี คณะอาจารย์สร้อย จังหวัดสระบุรี ท่านก็ทำเป็นปกติ และมีคณะ (ไม่ใช่คณะมีองค์เดียว) อาจารย์สำราญ ที่ภูเขาภูกระดึง ภูเขาภูกระดึง บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคนที่จะขึ้นไป ต้องเดินถึง 5 ชั่วโมงเศษ และต้องเดินจากที่ขึ้นไปถึงแล้วไปอีก 8 กิโลเมตร จึงจะถึงที่อาจารย์สำราญอยู่ ท่านอยู่องค์เดียว อยู่เป็นปี เข้าใจว่าอยู่ถึง 3 ปี โดยไม่มีที่จะบิณฑบาต ท่านก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน
    ที่นำเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า บางท่านคิดว่า มันจะเกินพอดีไป ความจริงไม่เกินพอดีอาตมายังไม่เก่งพอเสียอีก ในเมื่อธุดงค์อุกฤษฏ์ อาศัยข้าวจากเทวดา ก็มีความดีอยู่อย่างหนึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัท วันไหนถ้าจิตใจของเราเลว จิตใจเข้าไปยุ่งกับ โลภะ ความโลภ ราคะ ความรักโทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง แค่อารมณ์คิด ถ้าปรากฏมีกับจิตของเราในวันนี้วันพรุ่งนี้เทวดาไม่ใส่บาตร ถ้าวันใด จิตใจปลอดโปร่งจากอารมณ์ทั้ง 4 ประการนั้น เทวดาใส่บาตร นางฟ้าใส่บาตรให้ ก็เป็นการระมัดระวังตัวไปในตัวเสร็จ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะถามว่า ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นพระอรหันต์แล้วใช่ไหม ก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องเดินธุดงค์ จะเดินไปทำไม พระอรหันต์อยู่ที่ไหนก็สงัด การออกธุดงค์ในป่า ก็เป็นการหาที่สงัด พระอรหันต์ท่านอยู่ที่ไหนท่านก็สงัด
    พราหมณ์เคยถามพระพุทธเจ้าว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ต้องการอยู่ป่าช้า ต้องการอยู่ป่าชัฏ ต้องการอยู่บ้านร้าง ต้องการอยู่ที่สงัดใช่ไหม พระพุทธเจ้าตอบว่า พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น พระอริยเจ้า จะอยู่ป่าช้าก็ดี จะอยู่ป่าชัฏก็ดี จะอยู่ในบ้านเปล่าก็ดี ก็สงัด จะอยู่ในบ้านในเมืองก็สงัด เพราะจิตท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว รวมว่า จิตสงัดจากกิเลส (นี่พูดกันยาวเกินไปนะ ก็หวนกลับเข้ามา)
    เมื่อเข้าถ้ำ ท่านอินทกะท่านก็หายไป (ท่านไม่ได้มายืนเฝ้าหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เทวดาท่านไม่ได้มายืนป๋อเฝ้า มายืนยามแบบนั้น) ท่านมาส่ง แล้วท่านก็หายไป พวกเราก็ปัดกวาดสถานที่ แต่สถานที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เหมือนกับมีคนมาจัดสถานที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในที่นั้นมีธารน้ำไหล ก็นอนกันอย่างเป็นสุข เป็นสุขอย่างพระธุดงค์ (มีผ้านุ่ง ผ้าสำหรับกรองน้ำ มีกลด สมบัติมีเพียงเท่านี้) อากาศก็รู้สึกจะเย็น ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อจับอานาปานสติ กับเตโชกสิณ ความอุ่นก็เกิดขึ้น นอนแบบสบาย ๆ ตามแบบฉบับของพระในป่า เมื่อนอน ๆ ไปแล้ว ก่อนจะนอนก็เจริญกรรมฐาน นี่เป็นของธรรมดา (ไม่ต้องเล่ากันดีกว่า) เป็นอันว่า นอนอย่างเป็นสุข
    พอตื่นขึ้นเช้าขึ้นมา บรรดาท่านพุทธบริษัท ตั้งใจจะออกบิณฑบาตตามแบบฉบับเดิมนั่นก็คือว่าตั้งใจว่า เราจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น ถึงแล้วก็เดินกลับมาถึงต้นไม้ต้นนี้ ถ้าไม่มีใครใส่บาตร เราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ (คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ)
    ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ จะไม่อดตายหรือ ต้องตอบว่า ไม่อดร่างกายจะไม่ทรุดโทรม ข้าวไม่กิน น้ำกิน น้ำก็กินตามธรรมดา ๆ แต่ใจมันอิ่ม แต่จิตต้องคุมอารมณ์ไว้อย่างน้อยแค่ อุปจารสมาธิ เป็นอย่างเบา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องเล่น ฌาน 4 หรือ สมาบัติ 8 กันไปเลย จิตจะเป็นสุข ร่างกายจะสบาย
    ถ้าถามว่า สมาบัติ 8 ทำได้หรือ ก็ตอบว่า เป็นของไม่ยาก สมาบัติ 8 หรือ ฌาน 4 ก็อันเดียวกัน สมาบัติ 8 ก็คือ ฌาน 4 ฌาน 4 ในรูปฌาน จับรูปเป็นสำคัญ สมาบัติ 8 ก็ใช้ฌาน 4 จับสิ่งที่ไม่มีรูป ก็ไม่มีอะไรยาก ก็เหมือนกับบุคคลคนเดียวกัน มองดูวัตถุกับมองดูอากาศ เวลานี้เรามองดูวัตถุ จิตจับที่วัตถุ จิตทรงอารมณ์อยู่ เวลานี้เราเลิกจากวัตถุจับอากาศ มองที่ว่าง ก็เห็นที่ว่าง ไม่เห็นวัตถุ ก็แค่นั้นแหละ ก็ใจของบุคคลคนเดียวกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน ฌาน 4 ก็เช่นเดียวกัน เมื่อจับรูปก็เรียกว่า รูปฌาน เมื่อไม่จับรูปก็เรียกว่า อรูปฌาน คือ ฌานที่ไม่มีรูป (เอาละคุยพอเข้าใจ)
    ที่นี้เมื่อออกมาจากถ้ำก็ตกใจ ตกใจเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อวันวานนี้ การเดินทางมาที่ถ้ำนี้มีป่าเปลี่ยว มีรอยเสือ มีขี้ช้าง มีฝูงลิง แสดงสัญลักษณ์ แต่ว่าเวลานี้ขณะที่ออกมาจากถ้ำ ห่างจากถ้ำไปประมาณ 10 ว่า มีหมู่บ้านเต็มไปหมด ประมาณ 100 หลังคาเรือน มีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ คนสาว คนแก่ ยุ่มย่ามไปหมด ต้นไม้สวย ๆ ลูกไม้สุกอร่าม อย่างลูกมะปรางนี่เหลืองอร่าม ลูกมะม่วงก็เหลืองอร่าม ลูกมะเฟืองก็เหลืองอร่าม มันเหลืองไปหมด ผิดปกติ
    ก็หันมาปรึกษากัน 3 องค์ว่า มันอย่างไรกันแน่นะ เมื่อวานนี้เรามาไม่มีบ้าน มันเป็นป่าเปลี่ยว แต่บ้านพวกนี้ยกกันมาได้อย่างไร คืนเดียวตั้งร้อยหลังคาเรือน แล้วคนจริง ๆ ก็เกือบจะพันคน สององค์บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า กำลังใจของเรามันดีไม่พอ ดีไม่ดีจะเป็นอุปาทาน เราถามท่านอินทกะดีกว่า ในฐานะที่ท่านคุมพวกเรามา เป็นพี่เลี้ยง ก็นึกถึงท่านอินทกะ
    ท่านอินทกะท่านก็มา ถามท่านอินทกะว่า เมื่อวานนี้ ตรงนี้มันไม่มีบ้านนี่ แล้วบ้านมันมาอย่างไร หรือภูเขาเดินเข้าไปหาบ้าน ท่านอินทกะก็ยิ้ม ท่านบอกว่า คุณสังเกตดูให้ดีสิว่า คนทุกคนที่นี่จะไม่กระพริบตา พอท่านพูดอย่างนี้ก็นึกได้ว่า ต้องเป็นเทวดาแปลงแน่ เราเกือบจะถูกตุ๋น แต่ความจริงเทวดาเริ่มตุ๋นแล้ว นักธุดงค์นี่ต้องถูกตุ๋น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะ ว่า พระมหากัสสปท่านเป็นคณาจารย์ใหญ่ฝ่ายธุดงค์ในพระพุทธศาสนา เป็นหัวหน้าใหญ่ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็ถูกเทวดาตุ๋นนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกศิษย์ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไม่ถูกตุ๋นมันก็ซวย ถูกตุ๋นมาไม่รู้กี่วาระ ตั้งแต่เขตอำเภอศรีประจันต์ ก็ถูกตุ๋นมาแล้ว ทีนี้มาภาคอีสานก็ถูกตุ๋นอีก
    ก็ถามท่านอินทกะว่า ถ้าอย่างนั้น จะบิณฑบาตที่ไหนล่ะ ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บ้านที่มาตั้งนี่ เป็นคนสองพวก พวกหนึ่งเป็น ภุมเทวดา อยู่แถบโน้น พวกแถบทางด้านนี้ คือ แถบทางขวามือนี่ เป็นพวก รุกขเทวดา ทั้งหมดนี้เขาต้องการทำบุญกับท่านเพื่อสร้างสมต่อบุญบารมีของเขา ท่านก็เดินเข้าไปบิณฑบาต ตามทางที่เขาจัดไว้ ระหว่างหมู่บ้านมันมีทางเดิน ทางสะอาด ก็เดินเข้าไป (ตอนนั้นท่านอินทกะก็หายไปแล้ว ท่านบอกเสร็จ ท่านก็หายไป)
    ก็เดินไปตามทางก็มีชาวบ้าน เรียกกันโว้กเว้กบอก พวกเราโว้ย เวลานี้พระท่านมาโปรดแล้ว มาใส่บาตรกันเร็ว เสียงคำพูดขาดจบ ทุกคนนั่งเรียงเป็นแถวสองข้างทาง ซึ่งตามธรรมดาแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเดินมาค่อย ๆ เดินมา หรือวิ่งมาก็ได้ ถึงแม้จะวิ่งมามันก็ไม่เร็วขนาดนั้น หมู่บ้านตั้งประมาณร้อยหลังคาเรือน พอคนหัวหน้าพูดจบ ทุกคนนั่งพรึบสองข้างทาง แต่ว่าการแต่งตัว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็แต่งตัวแบบชาวป่าธรรมดา ๆ
    ท่านหัวหน้าเข้ามายกมือไหว้ บอกว่า พวกผมเป็นชาวป่าขอรับ และก็เป็นชาวป่าที่ไม่ใช่พรานป่า ไม่ฆ่าเนื้อ ไม่ฆ่าสัตว์ รักษาศีล 5 บางคนก็รักษาศีล 8 พอบอกรักษาศีล 8 ก็ตกใจ (แค่ รักษาศีล 5 ก็ตกใจแล้ว เพราะคนที่ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ นี่ต้องเป็นพระโสดาบัน ท่านที่ทรงศีล 8 บริสุทธิ์ ต้องเป็นพระอนาคามี นี่ตามแบบฉบับนะ) แต่เมื่อท่านพูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของท่าน ก็นึกว่า ท่านพวกนี้ไม่ใช่น้อย
    ในเมื่อท่านบอกว่า ท่านทรงศีล 5 กันบ้าง ทรงศีล 8 กันบ้าง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงไม่มี ฉะนั้นการใส่บาตรของพวกท่าน กับข้าวจึงไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีต้ม ไม่มีแกง มีแต่ข้าว ผสมกับน้ำมันบ้าง (น้ำมันอะไรของท่านก็ไม่ทราบ) น้ำมันบ้าง น้ำตาลบ้าง กินหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อยพอกินกันไปได้ อยู่แบบนี้มา อยากกินผลไม้ ก็กินผลไม้ ใครเบื่อข้าว ก็กินผลไม้ เบื่อผลไม้ก็มากินข้าว ความจริงข้าวก็ไม่ได้หว่าน ไม่ได้ปลูก มันขึ้นเอง ท่านอธิบายแบบนั้น
    เมื่อสุดแถวแล้วก็เดินทางกลับมาฉันข้าวที่ถ้ำ เมื่อขณะที่เดินกลับมา ก็มีชาวบ้านตามมาด้วย มานั่งในถ้ำบ้าง นั่งนอกถ้ำบ้าง คณะของอาตมาก็นั่งฉันข้าวตามปกติ ก่อนจะฉันก็ใช้ อาหาเรปฏิกูลสัญญาก่อน ขณะที่ใจนึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา หัวหน้าก็ยกมือไหว้แล้วกราบ ทุกคนก็กราบ เราก็นึกว่า แกกราบใครกัน ก็ถามว่า โยมกราบอะไร ท่านหัวหน้าก็บอกว่า ท่านนึกอะไร ก็บอกว่า นึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา
    ท่านก็เลยบอกว่า พระอย่างนี้สิครับ ผมต้องการ ฉะนั้นบรรดาพวกผมเห็นท่านมาพักที่นี่ จึงยกบ้านมาตั้งอยู่หน้าถ้ำ เพื่อไม่ให้ไกลท่าน ถามว่า หมู่บ้านของโยมเดิมอยู่ที่ไหน ท่านบอก ทุกคนแยกกันอยู่ครับ อยู่กันคนละทิศคนละทาง แต่ว่าเมื่อตอนเย็นวาน เห็นท่านมาพักก็เลยพร้อมใจกันยกบ้านเข้ามาปลูกหน้าถ้ำ จะได้ไม่ลำบากในการพบกับท่าน (ฟังท่านพูดบรรดาท่านพุทธบริษัท มันของง่ายเหลือเกิน แค่จะเดินก็ไม่ไหว)
    เมื่อฉันข้าวเสร็จก็ให้พร ให้พรตามปกติ ยถา สัพพีฯ ตามธรรมดา ฯ แล้วก็คุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็นั่งมองทุกคนที่คุยไม่มีใครกระพริบตาสักคนในที่สุด (ไอ้ปากมันก็ทนไม่ไหว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท) ก็คิดในใจว่า ท่านพวกนี้ ท่านเป็นเทวดาบ้าง ท่านเป็นนางฟ้าบ้าง ทำไมท่านจึงต้องมาหลอกเรา พอคิดเท่านี้ ท่านหัวหน้าท่านก็ยิ้ม ท่านบอกผมไม่ได้หลอกขอรับ ผมต้องการทำบุญ ถามว่า โยมรู้อารมณ์อาตมานึกหรือ ท่านบอกว่า ท่านรู้ ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น โยมเป็นเทวดาใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า เทวดาทำไมต้องปลูกบ้านอยู่ ท่านบอก ถ้าไม่ปลูกบ้านอยู่ ท่านจะเห็นบ้านได้อย่างไร ก็ต้องปลูกบ้าน แต่ผมขอพรท่านสักอย่างหนึ่ง คือว่า ขอให้ท่านอยู่ที่นี่ 7 วัน อย่างน้อย 7 วัน เพื่อพวกผมจะได้ทำบุญ และเวลาตอนกลางคืน เวลา 2 ทุ่ม ขอฟังเทศน์สัก 10 นาที เลยตกลง
    ถึงเวลากลางคืน เวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว ก็มีเทวดามาชุมนุมกัน ก็เลยท่านบอกว่าในเมื่อท่านทั้งหลายเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ก็เลิกแต่งตัวเป็นคนธรรมดาเสียได้ไหม ท่านอกว่า ได้ หลังจากคำว่า ได้ ทุกคนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวหมด ที่เป็นเด็กก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เป็นคนแก่ก็เป็น หนุ่มเป็นสาว ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่แล้ว ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ผิวพรรณดีกว่าเดิม มีแสงสว่างออกจากกาย แต่ว่าไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา
    ถามว่า ทำไมไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา ท่านบอกว่า เวลานี้กำลังฟังธรรม ต้องการจะฟังเทศน์ ทำไมจะต้องใช้เครื่องประดับด้วย ทำไมต้องใช้ชฎาด้วย ชฎามันเป็นหมวก ถ้าใส่หมวก ก็เป็นการไม่เคารพในธรรม ถามท่านว่า ท่านต้องการจะฟังเทศน์อะไร (ถามหัวหน้า) ท่านบอก อริยสัจ ก็เลยเทศน์อริยสัจให้ท่านฟัง ตามที่จะพึงเข้าใจ พอฟังจบ ท่านก็สาธุกัน แล้วท่านก็ลากลับ แล้วท่านก็บอกว่า วันพรุ่งนี้ ขอนิมนต์บิณฑบาตตามเดิมนะครับ
    ก็อยู่ที่นั่นมาจนกระทั่งอยู่ครบ 7 วัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจะถามว่า ในเมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว บ้านเป็นวิมานไหม ก็ขอบอกว่า บ้านตามเดิม คนเลิกหลอก เทวดาเลิกหลอก แต่บ้านของเทวดายังหลอกอยู่ เป็นบ้านไม้ธรรมดา ๆ อยู่กันอีโหลกโขลกเขลก ฟันฟืนบ้าง ขุดหลุมบ้าง ทำอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวไป เป็นเรื่องของท่าน เป็นการบริหารกาย
    ตอนจะกลับ ท่านหยิบเอาลูกมะปรางเข้ามา เหลืองอ๋อยเหมือนทองคำ มาให้องค์ละ 100 ลูก ท่านบอกว่า ลูกมะปรางนี้ ถ้าหากว่าเดินออกไปพ้นจากที่นี้แล้ว จะเป็นทองคำก็เลยบอกว่า โยม พระธุดงค์หยิบทองคำไม่ได้ หยิบเงินไม่ได้นะ แม้จะมีทองคำเปลวเพื่อจะปิดพระพุทธบาท มดยังขึ้นกลดเลย เพราะเป็นอาบัติ การธุดงค์แบบอุกฤษฏ์อย่างนี้ จะต้องไม่ประสงค์ในลาภ และพระธุดงค์ ทุกองค์ก็ต้องไม่ประสงค์ในลาภ ถ้าประสงค์ในลาภ ก็ไม่ต้องมาธุดงค์ เพราะการมาธุดงค์ ต้องการตัดโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ราคะ ความรัก ต้องการตัดในเมื่อไปรับทองเข้า โลภ ความโลภมันก็เกิด เมื่อความโลภเกิดขึ้นมาแล้ว ความรักมันก็มี เมื่อความรักในทองมีขึ้น ความโลภอยากได้ ก็อยากมีอีก เมื่อได้มาคนละร้อยลูก ก็อยากจะได้พันลูก หมื่นลูก แสนลูก แล้วจะไม่จบกัน
    ท่านก็ยกมือโมทนา ท่านบอกว่า หายากครับ ถามว่า ทำไมจึงหายาก พระธุดงค์ทุกองค์เหมือนกันหมด ท่านบอก ไม่เหมือนกันครับ มีบางรายมาที่เขานี้ ที่ตรงโน้นมีแร่ที่มีความสำคัญ คือ (แร่ที่มีความสำคัญก็ไม่ใช่แร่ยูเรเนี่ยม เป็นแร่เงินแร่ทอง) เป็นทองคำธรรมชาติ ท่านก็ชี้ให้ดู ท่านก็พาไปดู ตรงนี้เป็นทองคำธรรมชาติครับ ท่านเปิดหินพั้บเข้าไป โอ้โฮ..ทองคำเหลืองอร่าม เต็มถ้ำหมด แต่ว่าจะมองเป็นถ้ำไม่ได้ เพราะเป็นภูเขาปิด
    ท่านบอก นี่เป็นทองคำ มีพระหลายองค์มาธุดงค์แล้วมาค้นคว้าแถวนี้ คงจะทราบจากใครมา หรือได้ลายแทงจากใครก็ไม่ทราบ เวียนหากันไป เวียนหากันมา บางทีก็ตั้งพิธีบวงสรวงบ้าง อะไรบ้าง พวกผมก็เลยไม่สนใจ เพราะพระพวกนั้นไม่ตั้งใจมาตัดกิเลส มาเพื่อสั่งสมกิเลส มาเพื่อความโลภ แต่คณะของท่านนี่ ขนาดให้ยังไม่รับ ไม่รับแล้ว มือก็ไม่หยิบบาตรไม่เปิดด้วย ผมขอกราบเป็นครั้งสุดท้ายครับ และต่อนี้ไปท่านจะไปไหน ก็บอกว่ายังไม่แน่ สุดแล้วแต่ท่านอินทกะท่านจะพาไปที่ไหน ก็จะไปที่นั่น ถ้าอินทกะท่านไม่พาไป ก็ไม่ไป จะอยู่แถวนี้ อยู่ใกล้ ๆ บ้านโยม เธอก็บอก ก็ดีสิครับ
    ก็นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็มา เมื่อท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปก็ลาญาติโยมพวกนี้เสีย บรรดาญาติโยมทั้งหลายนี้ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ใคร ก็ขอทุกคนรื้อบ้านให้หมด มันรกป่าเขา พอสั่งคำว่า รื้อบ้าน บ้านหายเลย แล้วขอแสดงบ้านให้ปรากฏ บ้านใครอยู่ที่ไหนบ้าง ปรากว่า ภุมเทวดาก็มีวิมานอยู่ภาคพื้นดิน แต่ว่าสูงกว่าดินหน่อย รุกขเทวดาก็มีวิมานแปะต้นไม้ สวยสดงดงามาก แพรวพราวเป็นระยับพวกที่รักษาศีล 5 คือ พระโสดาบัน พวกที่รักษาศีล 8 คือ พระอนาคามี แล้วท่านอินทกะก็บอกว่า ท่านทั้งหมดที่มานี่ เป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด (ที่มาใส่บาตร)
    ก็นึกในใจว่า 7 วันนี้เรากินข้าวของพระอริยเจ้า ถ้าจิตใจของเราเลว มันก็จะต้องลงนรกกันแน่ พอคิดในใจเพียงเท่านี้ ท่านเจ้าของคณะก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ จิตใจของมนุษย์เป็นของธรรมดา มันก็ดีบ้าง เลวบ้าง เป็นของธรรมดา แต่ขอให้ดีเป็นส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตั้งเวลาดีเข้าไว้ เวลาไหนถ้ามันดี ถ้าตั้งเวลาไว้ เวลาเท่านี้ ถึงเท่านี้ เราจะทรงความดีไว้ไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามารบกวนใจ ในเมื่อกิเลสมัน ยังไม่หมดเพียงใด นิวรณ์มันก็กวนใจเพียงนั้น เป็นของธรรมดา แต่จงอย่าลืมว่า อย่าสนใจกับ ราคะ ความรัก โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ถ้าสนใจเมื่อไร เทวดาทั้งหมดเขาจะไม่ใส่บาตรให้
    เลยถามว่า ท่านรักษาศีลอะไรเป็นปกติ หัวหน้าท่านก็บอกว่า ผมรักษาศีล 8 เป็นปกติครับ ศีล 8 แบบละเอียด (คำ ว่า ละเอียด นี่หมายความว่า เป็นพระอนาคามีแบบละเอียดใกล้จะเป็นพระอรหันต์ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ขึ้นชื่อว่า เทวดา หรือภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี บางคนก็นึกว่า เป็นเทวดากระจ้อยร่อย ความจริงไม่ใช่ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก) ท่านบอกว่า ท่านจะไปพักที่ไหนก็ตาม ในจักรวาลนี้ทั้งหมด คณะผมจะไปใส่บาตร ที่นั่น ท่านไม่ต้องกลัวอด เว้นไว้แต่ว่า ถ้าวันไหนจิตใจของท่านมั่วสุมกับ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ วันรุ่งขึ้นจะไม่ใส่บาตรถวาย เพราะจิตใจของท่านสกปรก
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ทำให้คณะของอาตมา ดีขึ้นมาก (คำว่า ดี หมายความว่าอะไรเพราะกลัวอดตาย) เดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจอะพระอริยเจ้าเข้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นเทวดา ถ้าเป็นอนาคามี ท่านไม่มีทางกลับ มีทางเดียว ไปนิพพาน ถ้าเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่แน่ ในเมื่อท่านทำบุญต่อ
    เมื่อเดินทางออกมาจากท่าน ลาท่านมาแล้วมาปรึกษากันบอกว่า พวกเราต้องระวังตัวให้มากนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่า มรณานุสสติกรรมฐาน จะพ้นจากจิตใจของเราไปไม่ได้
    ประการที่สอง อานาปานสติ พ้นใจไม่ได้
    ประการที่สาม พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ พ้นใจไม่ได้ จะต้องทรงอารมณ์อยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวตานุสสติ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านเป็นผู้มีคุณกับเรา เราต้องนึกถึงท่าน
    สององค์ก็บอกว่า ลื้อไม่ต้องสอนหรอกโว้ย อั๊วปกติอยู่แล้ว สำคัญแต่ลื้อเท่านั้นแหละเพราะลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ยังกอกแกก ๆ อยู่นะ อั๊วสองคนไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ ที่ท่านพวกนั้นพูด อั๊วมีพร้อมแล้ว แต่ลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ก็ถือว่า คนปรารถนาพุทธภูมิย่อมเป็นหัวหน้า ก็ถือว่า ลื้อเป็นหัวหน้า ต้องปฏิบัติตัวให้ดีก็แล้วกัน ลื้ออย่าเผลอลงนรกก็แล้วกัน
    เป็นอันว่า เดินกันไปไม่ช้านัก ก็ไปเจอะภูเขาลูกย่อม ๆ แต่ก็เป็นการบังเอิญ มีถ้ำ ๆ หนึ่ง ถ้ำลึกมีธารน้ำไหลใสสะอาด หน้าถ้ำเตียนโล่ง บริเวณต้นไม้ พุ่มไม้ดี ต้นไม้เป็นดงเต็งรัง ร่มรื่น มองดูไกลตา ก็อยากจะพักที่ตรงนั้น ก็นึกถึงท่านอินทกะ
    ท่านอินทกะก็ปรากฏตัว ก็เรียนท่านบอกว่า จะพักตรงนี้ไหม ท่านบอก ควรพักครับเพราะว่าที่ตรงนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะว่าที่ตรงนี้แหล่งนี้ เป็นแหล่งที่มีทรัพย์มาก เทวดาชั้นจาตุมหาราชมาเฝ้าที่นี่เยอะ จะได้ป้องกันอันตรายให้กับท่าน ท่านไม่ต้องกลัวสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย เพราะว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชจะต้องอารักขาท่าน แล้วเทวดาที่พบวันนั้น เขาก็จะมาใส่บาตร เลยถามว่า จาตุมหาราชใส่บาตรเป็นไหมล่ะ ก็บอกว่า เป็น คอยดูก็แล้วกัน ถ้าพวกไหนตาใส พวกนั้นเป็นรุกขเทวดาบ้าง ภุมเทวดาบ้าง พวกไหนตาแดง พวกนั้นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เมื่อท่านบอกอย่างนี้แล้ว ก็เข้าถ้ำพักที่สบายมาก ไม่ต้องกวาดมันก็เตียนอยู่แล้ว
     
  6. dida

    dida Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +80
    ถ้ำศรีฐาน

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ 16 กรกฏาคม 2534 วันนี้ก็จะคุยกันถึงเรื่องธุดงค์
    ในตอนก่อนได้อำลาบรรดาเทวดาทั้งหลาย เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท บางท่านเห็นว่าเทวดาไม่มีความหมาย นางฟ้าไม่มีความหมาย นั่นไม่จริง หรือบางรายก็ไม่รับรองเทวดา นางฟ้าเสียเลย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เทวดามี นางฟ้ามี พรหมมี นรกมี สวรรค์มี แต่ว่าบางท่านที่บวชเข้ามาแล้วก็ลืมคำสอน ตอนนี้คิดว่า ตัวเองเป็นศาสดาเสียเอง สร้างศาสนาใหม่ คัดค้านความมีเทวดา ความมีนางฟ้า ถือว่า ไม่มีที่สุดในโลก
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้วก็พบเขา ๆ หนึ่ง เป็นเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่าชัฏ ป่าก็เป็นป่าเต็งรัง ตอนโคนโปร่ง ใบมีตอนยอด เหมือนกับใครเอาเสาไปตั้งไว้ เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นสถานที่น่าอยู่มาก มีความรื่นรมย์ ถ้ำกว้าง ปากถ้ำเล็ก แต่ว่าไม่เล็กมากนัก กว้างประมาณสัก 4 ศอก สูงประมาณสัก 6 ศอก แต่เข้าไปบริเวณในถ้ำปรากฏว่า กว้างขวางมาก เป็นที่สำหรับนอน 3 ที่ เป็นแท่นหินและก็มีธารน้ำไหล มีบ่ออาบน้ำมีห้องลับ ลับจากหิน เลี้ยวซ้ายเข้าไปจะมีถาน เป็นส้วม ส้วมนั่นก็มีธารน้ำไหล ถ่ายไปแล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ เหมือนกับว่า ถ้ำนี้มีใครมาสร้างไว้เพื่ออยู่ อากาศดีมาก
    ในเมื่อเขาไปในสถานที่นั้นเสร็จ วางของเสร็จ ก็ไม่มีสมบัติมาก มีบาตรหนึ่งใบ ย่ามหนึ่งลูก กลดหนึ่งชุด ผ้าสบงหนึ่งตัว ผ้าอาบหนึ่งผืน จีวรหนึ่งตัว สังฆาฏิหนึ่งตัว ผ้ารัดอกหนึ่งผืน ผ้าเช็ดปากอีกหนึ่งผืน มีเท่านี้เอง สมบัติอย่างอื่นไม่มีอีก
    เมื่อนั่งกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า เวลานี้เป็นเวลาใกล้กลางเดือนหก เราจะกลับวัดกันเมื่อไร เราจะขออยู่ที่ตรงนี้ จะอยู่ที่ตรงนี้จนกว่าจะถึงวันกลับ ทั้ง 3 องค์ ก็ตัดสินใจเห็นพ้องกันว่า ควรจะอยู่ที่นี่ การมาธุดงค์ไม่ใช่การธุเดิน การเดินไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาที่อยู่ ที่นี้เหมาะสม เสียงสุนัขเห่าหอนก็ไม่ได้ยิน คนเดินให้เห็นก็ไม่มี และเป็นป่าโปร่งมากน่าอยู่มาก
    เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ถามท่านอินทกะ เมื่อนึกถึงท่านอินทกะท่านอินทกะก็ปรากฏ ถามท่านว่า เวลานี้จะอยู่ที่นี่ดีไหม ท่านบอกว่า ดีขอรับ ที่ผมพามา เพื่อต้องการให้มาอยู่ที่ตรงนี้ ที่นี้ไกลบ้านมาก สัตว์ร้ายมีเยอะ ผีร้ายก็มีมาก เทวดาที่เป็นอันธพาลก็มีมาก (ของท่านมากทุกอย่าง) ก็เลยถามว่า ในเมื่อของร้ายมีมาก ๆ ทำไมจึงน่าอยู่ ท่านก็บอกว่า มันน่าอยู่สิขอรับ เพราะ จะได้ เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เป็นปกติ หรือว่าใช้ สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เห็นเสือมันมาก็คิดว่า ร่างกายเป็นอาหารของมันก็ช่างมันเถอะ มันจะกินร่างกายก็กินไป แต่กินใจเราไม่ได้ ใจเราจะไปสวรรค์ ใจเราจะไปพรหมโลก ใจเราจะไปนิพพาน เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าเสือกัดเมื่อไรไปเมื่อนั้น อย่างนี้จะมีความ ไม่ประมาท หรือว่าเห็นผีร้ายมาเมื่อไร ก็ตั้งใจนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างน้อยที่สุดตายก็ไปสวรรค์ ต่อจากนั้นไป ก็ตั้งใจใช้สมถะบ้าง วิปัสสนาญาณบ้าง
    ก็เลยถามว่า ท่านอินทกะมีความรู้มาก เวลานี้ท่านอยู่ระดับไหน ท่านอินทกะท่านบอกว่า เวลานี้ผมเป็น พระอนาคามี ท่านเป็นเทวดา ท่านกล้าพูด จึงได้บอกท่านว่า ถ้าอย่างนั้นถ้ามีอะไรขัดข้อง จะถามท่านได้ไหม ท่านก็บอก พร้อมจะบอกเสมอ ถ้าอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ผมพร้อมบอก และท่านที่จะบอกได้ มีอีก 4 องค์ คือ ท้าวมหาราช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท้าวเวสสุวัณ ก็เป็นพระอนาคามี อีก 3 องค์ก็เป็นพระอนาคามี เหมือนกัน และนอกจากนั้น ก็ยังมี พระอินทร์ โยมของคุณท่านเป็นพระอนาคามีเหมือนกัน ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบัน คน หรือเทวดาที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีใครโง่ ปล่อยอยู่แค่นั้น ท่านก็ฝึกฝนกำลังใจของท่าน จนกระทั่งเป็นพระอนาคามี ท่านพร้อมจะบอกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรหมชั้นที่ 8 ที่เป็นต้นตระกูลของท่าน ท่านก็พร้อมที่จะแนะนำ ท่านสหัมบดีพรหมก็ดี ท่านพร้อมจะแนะนำ และมีพระอริยเจ้าทั้งหลาย พร้อมจะแนะนำ
    การอยู่ที่นี่ดีมาก เราจะตัดโลภะ ความโลภ ได้จากการไม่อยากได้ทรัพย์สินต่าง ๆ ถามว่า ทรัพย์สินคืออะไร ท่านก็ชี้ให้ดูนี่ทองคำ มันดาดาษไปทั้งหมด ทองคำธรรมชาติ ดาดาษไปเต็มพื้นที่ และนี่เพชร (ด้านหลังเป็นเพชร) ด้านใต้นั้นลงไปเป็นน้ำมัน (ถ้าเจาะตื้นจะพบก๊าซ ถ้าเจาะลึก จะพบน้ำมัน) เป็นฐานน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลก ต่อไปถ้าคนไทยมีความฉลาด (นั่นก็หมายความว่า เลิกโกง เลิกกินกัน มีความฉลาดขึ้นมา มีความรู้ขึ้นมา) สามารถจะเจาะได้ จะสามารถเจาะน้ำมันใช้ได้แบบสบาย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทองคำนี่ถ้าเทวดาให้ (ท่านบอกว่า ถ้าเทวดาให้)
    ก็หมายความว่า ถ้าคนดีพอที่จะรับได้ เทวดาก็จะเปิดทางให้ เมื่อเทวดาเปิดทางให้ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีทองคำมาก จะเป็นประเทศที่มีแต่ความร่ำรวย ถามว่า เขานี้ เขาเรียกเขาอะไร หรือถ้ำอะไร ท่านบอก เราตั้งชื่อกันเองก็แล้วกัน มันไม่มีชื่อ ให้ชื่อว่า ถ้ำศรีฐาน (คำว่า ศรีฐาน คือ เป็นที่ตั้งแห่งมิ่งขวัญ แห่งความดี)
    ฉะนั้นการอยู่ที่นี่ จะพบแต่ความดี ท่านจะพบครูบาอาจารย์ เวลานี้ก็เป็นเวลาข้างขึ้น เดือนหก อีก 3 วัน ก็จะถึง วันวิสาขบูชา วันนั้นตั้งใจให้ดีจะพบของดี เมื่อท่านแนะนำแล้วท่านก็กลับ (คำว่า กลับของท่าน ก็หมายความว่า หายไป)
    หลังจากนั้นพวกเราก็อาบน้ำ น้ำเย็นสบาย ไม่เย็นมากเกินไป ถ้าต้องการอุ่น น้ำก็อุ่น ต้องการเย็น น้ำก็เย็น เหมือนกับใครมาตั้งเครื่องทำความเย็นความร้อนไว้ให้ น้ำใสสะอาดมาก มีบ่อ ๆ หนึ่ง เขียนหนังสือเป็นภาษาไทยอยู่ที่ปากบ่อว่า น้ำสำหรับดื่ม สำหรับในธารหรือในบ่อใหญ่ เขียนไว้ว่า น้ำสำหรับอาบ แต่ว่าน้ำไม่หยุดนิ่ง ไหลเรื่อย น้ำไหลซึมมา แต่สำหรับที่ถ่าย มีอีกทางหนึ่งต่างหาก เป็นธารเล็ก ๆ ไม่ใช่ธารใหญ่ไหลผ่าน มีเหมือนกับใครเอาไม้มาวางไว้สองแผ่น กระดานใหญ่สองแผ่น ถ่ายลงร่อง แล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ แต่กระแสน้ำนั้นจะไม่ไปรวมกัน รู้สึกว่า มีความสุขมาก
    หลังจากจัดสถานที่เสร็จ ก็เริ่มบวงสรวง และชุมนุมเทวดา เมื่อเสร็จแล้วก็ทำวัตรสวดมนต์ บทที่ลืมไม่ได้ก็คือ กรณีย์บทเล็ก ได้แก่ เมตตัญ จะ สัพพโลฯ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมานั่งเล่นข้างนอก มองดูต้นหญ้าต้นไม้ ต้นเต็งต้นรัง มีแต่เต็งรังทั้งนั้น ดาดาษไปหมด มองไปทางไหนเห็นไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีป่ารก เตียนหมด แต่ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นก็คือ เสือ กับช้าง (แต่ความจริง เสือนี่ไม่อยากเห็น เพราะเห็นทีไร เสืออาละวาดทุกที แต่บางครั้งเสือก็ดี แต่ความดีของเสือ อีตอนเสือหัวเราะนี่น่ากลัว เห็นฟันขาว ก็ไม่แน่ใจว่าแกจะหัวเราะดีใจ เพราะว่าจะได้กินเรา หรือว่าหัวเราะชอบใจก็ไม่ทราบ แต่สำหรับช้างนี่ดีมาก) จึงได้นึกในใจ แล้วพูดกันทั้ง 3 องค์ว่า เอ..แถวนี้มีพวกพ่อปู่หรือเปล่านะ ถ้ามีคณะพ่อปู่อยู่ เราจะสบายใจมาก เพราะอย่างน้อยที่สุด พ่อปู่เคยป้องกันอันตรายให้กับเรา อีกองค์หนึ่งในคณะก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าพ่อปู่มีในสถานที่นี้ ก็ขอเชิญให้พบหน่อย
    ก็นั่งคุยกันไปสัก 5 นาที เสียงใบไม้ เกร้าๆ ข้างหลัง หันไปดู ปรากฏมีพ่อปู่มาประมาณร้อยเชือกเศษฯ เป็นช้างสีดอนำหน้า นอกนั้นก็เป็นช้างพังบ้าง ช้างพลายบ้าง อยู่ข้างหลัง พอหันไปเห็นก็บอกว่า ขอบใจพ่อปู่ที่เมตตา ท่านหัวหน้าก็คุกเข่าลง ชูงวงขึ้นแสดงความเคารพ ทั้งฝูงก็ทำเหมือนกันหมด ก็เลยบอกท่านบอกว่า ถ้าจะมีอันตราย ขอคณะพ่อปู่มาช่วยด้วยนะ มาช่วยป้องกันปากถ้ำด้วย ฉันจะอยู่ในถ้ำ ถ้าหากว่ามีอะไรขัดข้อง ก็ขอโปรดให้สงเคราะห์ด้วย แต่ผลไม้นี่ไม่ต้องการ เพราะต้องการกินข้าวกับเทวดา ถ้าเทวดาไม่ให้กิน ก็ยอมอดตาย พ่อปู่ท่านยืนฟังหูผึ่ง อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็เทาลง ชูงวงขึ้น ท่านหันหลังกลับ ลูกน้องท่านทั้งหมดก็เทาลงไป แล้วก็ชูงวงขึ้น หันหลังกลับ ต่างคนก็ต่างเดินไป พ่อปู่ใหญ่เดินคุมหลัง สักครู่ก็หายไป
    หลังจากนั้นมา พอค่ำก็เข้าเจริญกรรมฐาน จิตใจเงียบสงบดีมาก การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าเคยบอก
    อันดับแรก ให้แผ่เมตตาจิตก่อน แผ่เมตตาจิตไปทั่วจักรวาลทั้งปวงว่า เราจะไม่เป็นศัตรูของใคร ใครเขาจะเป็นศัตรูของเรา นั่นเป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นมิตรที่ดีของคน และสัตว์ทั้งโลก แล้วแผ่เมตตาไปทั่วหมด จิตใจก็สบาย
    หลังจากนั้นก็เริ่มระงับนิวรณ์ (นิวรณ์ทั้ง 5 ประการ คือ 1. กามฉันทะ 2. พยาบาท 3. ความง่วง 4. จิตฟุ้งซ่าน 5. สงสัย) ทั้ง 5 ตัวนี่ต้องไม่มีในใจ ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาสิงใจเช้าอดข้าว
    เป็นอันว่าเราก็ต้องคุมอารมณ์นี้ไว้ไม่ให้มันปรากฏขึ้น วิธีคุมอารมณ์ก็ไม่ยาก ก็จับอานาปานสติ ก็ไม่แน่นอนนัก อานาปานสตินี่ ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เผลอ ทางที่ดีที่สุด ก็หาเพื่อนคุย เพื่อจะมาคุยกับเรา มีหรือไม่มี บางคราวก็มีมา ในเมื่อท่านไม่มาหาเรา เราก็ไปหาท่าน
    เพื่อนคุยอันดับแรกที่เคารพที่สุดก็คือ พระยายม อันดับแรกลงไปหาพระยายมก่อน คุยกับท่านและนายบัญชี ถ้าท่านว่าง ไปดูการตัดสินของท่าน ดูคนที่คอยการลงโทษ หรือว่าคอยการพ้นโทษ ดูไว้เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อเราจะไม่ต้องไปอย่างเขา ถ้าบุคคลใดถูกตัดสินลงโทษ มีเจ้าหน้าที่ (คือ นายนิรยบาล) นำไป ก็ตามไปด้วย ดูว่า เขาพวกนั้นไปลงนรกขุมไหน มีสภาพเป็นอย่างไร แล้วกลับมาดูบุคคลที่พ้นโทษ ไม่ต้องถูกลงโทษ ไปสวรรค์ ไปสวรรค์ชั้นไหน มีสภาพเป็นอย่างไร และเขาให้การกับพระยายมว่าอย่างไร จึงไม่ต้องโทษ รวมความว่า อันดับแรก สำนักพระยายม
    คณะต่อมา คณะท่านท้าวมหาราช หรือบริวารของท่าน ว่าง ๆ เห็นท่านอยู่ใกล้ ๆ ก็เรียกมาคุยกัน การคุย ทำให้ลืม นิวรณ์ 5 ประการ หรือบางทีก็ย่องไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปคุยกับโยมบ้าง ไปพรหม ก็ไปคุยกับ โยมบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง อย่างนี้เป็นต้น
    รวมความว่าหาเรื่องคุยจิตก็ไม่คบนิวรณ์ แม้จะไปพบนางฟ้าที่สวย ๆ ก็ไม่ลืมตัวว่า เราเป็นมนุษย์ เขาเป็นนางฟ้า มันแต่งงานกันไม่ได้ นางฟ้าแต่ละคนท่านก็ดี มีลีลาน่ารัก ไปถึงก็แสดงความเคารพ ในเมื่อเขาเคารพแล้ว เราก็รักเขาแบบชู้สาวไม่ได้ อันนี้เป็นวิธีการหนึ่ง ที่เราจะระงับนิวรณ์
    หรือถ้าหากว่าจะมีคนถามว่า ถ้าไปไม่ได้ตามนั้นจะทำอย่างไร อันนี้ก็ขอตอบว่า ถ้าไปไม่ได้มันก็ต้องเป็นเหยื่อของนิวรณ์บ้าง เป็นบางเวลา บางเวลาก็ชนะ บางเวลาก็แพ้ ถ้าไปได้ คุยได้ตามนี้ละก็ ไม่มีทางแพ้แน่ ความเจริญถ้าเราอยู่เฉย ๆ เราแพ้ ถ้าเราหาเพื่อนคุย เราไม่แพ้ ถามว่าจะคุยเรื่องอะไร ก็ตอบว่า ถ้าไปสวรรค์ เราก็เรียกเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ทีละองค์สององค์ หรือท่านมาหลายองค์ มานั่งคุยกัน ถามว่า เวลาท่านเป็นมนุษย์ ท่านทำอย่างไร ถึงมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้
    ท่านก็ให้ดูภาพเดิม แต่ละองค์ก็มีบาป เคยทำบาปมามากเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำบุญทำกุศล เหมือนกับบรรดาประชาชนทั้งหลายเดี๋ยวนี้เหมือนกัน ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ (ความชั่วคือ บาป ความดี คือ บุญ) แต่ว่าเวลาจะตาย จิตนึกถึงบุญก่อน นึกถึงทานบริจาคบ้าง นึกถึงพระที่เคยบูชาบ้าง นึกถึงการใส่บาตรกับพระสงฆ์บ้าง นึกถึงการไหว้พระบ้าง นึกถึงงานการก่อสร้างบ้าง อะไรก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่เป็นบุญก็เข้าสิงใจ เมื่อสิ่งที่เป็นบุญเข้าสิงใจ ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อตายแล้ว บุญก็พามาก่อน แต่ว่าถ้าผมเผลอไม่ทำบุญต่อเมื่อหมดบุญแล้ว ผมต้องลงนรกขุมนั้นขุมนี้ แต่ผมไม่ยอมแล้ว ก็รวมความว่า เป็นวิธีการหนีนิวรณ์ (นี่เล่ากันอย่างย่อ ๆ นะ)
    ต่อมาอีก 2-3 วัน ทุกวันก็ออกเดินจงกรม (เดินจงกรม ก็คือ เดินธรรมดา นี่เอง) ป่ามันร่มรื่น มันน่าเดินเที่ยว เดินไปไกล ๆ เดินแก้เมื่อย เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นโน้น ต้นโน้นถึงต้นนั้น จะไกลแสนไกลขนาดไหน ก็ไม่มีการรกรุงรัง ไม่มีป่าชัฏมีแต่ต้นรัง ยืนเป็นแถวเต็มไปหมด
    ปรากฏว่ามาวันหนึ่ง อยู่ได้ประมาณ 5 วัน เมื่อขณะที่เดินจงกรมไป (คำ จงกรมก็เดินแบบธรรมดา ๆ ไม่ใช่ค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง ไอ้แบบค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง นี่เขาเป็นเกณฑ์บังคับ ถือว่าเป็นการฝึกเบื้องต้น ทีนี้การฝึกขั้นปลาย เขาใช้เดินธรรมดา เดินธรรมดา ให้ใจมันพร้อมไปกับเท้า ใจคิดถึงด้านของความดี ไปพร้อมกับเท้าที่ลง)
    เมื่อเดินไปก็ปรากฏว่า พบพระองค์หนึ่งสูงใหญ่ ห่มจีวรสีกรัก มีย่ามหนึ่งลูก มีบาตรหนึ่งลูก มีไม้เท้าหนึ่งอัน (ไม้เท้า ก็คือ ไม้ท่อน) ท่านเดินสวนทางมา (ไอ้ความรู้สึกมันจะหลอก หรือไม่หลอกก็ไม่ทราบ) ความรู้สึกก็นึกว่า พระองค์นี้คงเป็น พระมหากัสสป จิตมันมีความรู้สึกขึ้นเอง พอจิตนึกอย่างนั้น เสียงท่านบอกว่า ใช่แล้ว คิดถูกแล้ว ตกใจเพียงแค่คิด ท่านบอกว่าใช่แล้ว ถูกแล้ว ก็นั่งลงกราบท่าน ท่านก็นั่งลง ถามว่า พระคุณเจ้ามาอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ที่มานี่ ก็จะมาเตือนน่ะสิ เห็นมาธุดงค์แบบฉัน ฉันก็พระชอบธุดงค์ เธอก็ชอบธุดงค์ จะได้เล่าเรื่องธุดงค์ให้ฟังสักหน่อยหนึ่ง เลยให้ท่านเล่าให้ฟัง
    แต่ว่าท่านเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ท่านบอกว่า การธุดงค์ ต้องฝึกเข้า นิโรธสมาบัติ พอใช้คำว่า นิโรธสมาบัติ เราก็ตกใจ คิดว่าคนอย่างเราไม่สามารถจะทำได้ ท่านบอกว่า คุณอ่านแต่หนังสือไม่เข้าใจ อาจารย์คุณก็ไม่สอน สอนแต่ ผลสมาบัติ แต่ความจริงผลสมาบัติกับนิโรธสมาบัติ มันก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่านิโรธสมาบัติ เราจะกำหนดเวลายาวหน่อย ผลสมาบัติเข้าตามเวลา ออกตามเวลาเล็กน้อย
    นิโรธ แปลว่า ดับ สมาบัติ แปลว่า เข้าถึง เข้าถึงความดับทุกขเวทนา นิโรธสมาบัติ เขามีเขตบังคับว่า ต้องใช้ฌาน 4 เป็นพื้นฐาน แต่พวกคุณเองก็ชำนาญในฌาน 4 มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรหนักใจ แต่ที่ผมพูดนี่ คุณหนักใจ เพราะว่าคุณไม่เคยทำ ไม่เข้าใจมาก่อน แต่ที่คุณทำ ๆ อยู่นั่นแหละ ก็เป็น นิโรธสมาบัติ อยู่แล้ว แต่ใช้เวลาน้อย ใช้เวลาเพียง 10 นาทีบ้าง 20 นาทีบ้าง 30 นาทีบ้าง ขณะที่นั่งไป มันไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย จิตสว่างโพลงอย่างนี้ ก็เป็น นิโรธสมาบัติ จิตต้องตั้งไว้เพื่อนิพพานโดยเฉพาะ คือว่าจิตตั้งไว้โดยเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง จิตแยกจากประสาทเด็ดขาดไม่รู้เรื่องของร่างกาย เป็นฌาน 4 อย่างนี้เป็นนิโรธะ อย่างหนึ่ง
    และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อจิตเข้าถึงฌาน 4 แยกออกจากกายแล้ว จิตอารมณ์มีความสงัด หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง พ้นไปเสียจากร่างกาย ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย มันก็เป็น นิโรธสมาบัติ เหมือนกัน ทั้ง 2อย่างนี้ จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ว่ากำหนดเวลาว่าง เราจะใช้เวลาสัก 3 วันหรือ 5 วันหรือ 7 วัน หรือ 9 วันหรือ 15 วัน ก็ตามใจชอบ
    เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว จะต้องเหาะไปบิณฑบาต ท่านบอกว่า ไม่จำเป็น พวกคุณยังเหาะไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเหาะ ถึงแม้ว่าเหาะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหาะ ที่เขาเหาะไปแบบนั้น เขาจะโปรดคนจน คนไหนที่ยากจนมาก แต่ว่ามีศรัทธา ถ้าใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติเพียงครั้งเดียวในชีวิตเขาจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น แต่นี่เราเข้าเพื่อเราเอง ไม่จำเป็นต้องเหาะไป พอหลังจากคุณออกจาก นิโรธสมาบัติแล้ว เทวดา นางฟ้าก็จะเลี้ยงเอง
    เวลานี้เทวดา นางฟ้าท่านพร้อมแล้ว ตั้งแต่พรหมลงมา ก็หวังในบรรดาพวกคุณทั้ง 3 องค์ ต้องการให้คุณทั้ง 3 องค์ เข้านิโรธสมาบัติ ถามว่า ท่านทำบุญแล้ว ท่านจะมีผลเป็นอย่างไร ท่านบอก ถ้าทำบุญกับพวกคุณแล้ว จะมีรัศมีกายสว่างขึ้น เทวดา กับนางฟ้า หรือพรหมก็เช่นเดียวกัน ใครมีรัศมีกายสว่างมาก คนนั้นมีบุญญาธิการมาก (เรียกว่า มีบุญมาก)
    ท่านก็แนะนำว่า วิธีการมีไม่มาก ใช้ตามแบบที่คุณทำอยู่แล้ว อันดับแรก คุณซ้อมน้อย ๆ ก่อน จับตั้งแต่หัวค่ำ ยันสว่าง เราจะไม่ถอนสมาธิ ตั้งใจไว้ กำหนดเวลาไว้ ถ้าแสงอรุณขึ้นเมื่อไร ให้จิตตกทันที หรือว่าเราจะใช้ 2 วัน 3 วันก็ได้ ทีแรก ๆ เอาแค่น้อย ๆ ก่อน เข้ากันทุกวัน พอถึงตอนเย็นปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ เข้านิโรธสมาบัติ
    เป็นอันว่า ใช้นิโรธสมาบัติตอนกลางคืน กลางวันนอน กลางวันกินข้าวเวลาเดียว เทวดาเลี้ยงแล้ว เราก็นอน ใช้อย่างนี้สะดวกดี หรือถ้านาน ๆ หนัก ๆ เข้า ถ้ารำคาญ วันเดียวไม่เอา ลอง 2 วัน ลอง 3 วัน ลอง 4 วัน ลอง 5 วัน ลอง 7 วัน ก็ได้ ตามใจชอบ ก็ยอมรับ ก็ถามท่านว่า อย่างพวกผม 3 องค์นี่ทำได้นะขอรับ ท่านบอกว่า อย่าย้สิ ฉันพูดแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะกลับละนะ ฉันหมดห่วง ที่มานี่ห่วงเพียงเท่านี้ สงสารเทวดา นางฟ้าท่าน ท่านพร้อมอยู่แล้ว
    พวกเราก็มีความรู้ใหม่ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ ก็ไม่จำเป็นต้อง 7 วัน 15 วัน เสมอไป ก็เรียกว่า เข้ากันทุกวัน และมันก็ดีที่สุด พอพลบค่ำปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ (ทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้เวลาไม่มาก) ก็เริ่มเข้านิโรธสมาบัติ จับพับ จับ อานาปานสติ ก็ไม่ต้องใช้เวลามาก ใช้เวลาเพียงครึ่งนาที จิตก็เข้าถึงฌาน 4 เต็มกำลัง ในตอนต้น ก็ตั้งอารมณ์เฉพาะจุดก่อน หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ ตั้งใจว่า ถ้าสว่างจะให้จิตตกจากสมาธิ บางทีเราเที่ยวเพลินไป พอจะสว่าง เทวดาก็เตือนว่า สว่างแล้วครับ
    หลังจากนั้นลงมา เทวดานางฟ้าก็มาใส่บาตร คราวนี้ท่านไม่แต่งตัวเป็นคนแล้ว ท่านมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีเครื่องเต็มยศออกมาเลย ท่านมากันมาก ข้าวที่ท่านใส่ รู้สึกว่ามาก แต่ก็กินพอดีหมดไม่เหลือ
    ก็รวมความว่า ทำแบบนี้ตลอดมา ตั้งแต่ต้นเดือน 6 ข้างขึ้น จนกระทั่งถึงเดือน 8 ข้างขึ้น พอถึงขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ก็เดินทางกลับ การเดินทางกลับ บรรดาท่านพุทธบริษัท (เขตนี้ทราบภายหลัวว่าเป็น เมืองขอนแก่น) จากเมืองขอนแก่น มาถึงอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานี้ถ้าเดินกันจะต้องถึงหนึ่งเดือน แต่ว่าพวกเราใช้เวลาเดินแค่ 3 วัน วันแรกรู้สึกว่าเดินมาเรื่อย ๆ ในป่า วันที่สองก็เดินมาเรื่อย ๆ ตามธรรมดา กลางคืนก็หลับตามทาง (ปักกลด) พอคืนที่สาม ปรากฏว่าตื่นขึ้นมาอยู่หลังวัด ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร ก็ตกใจ ถามท่านอินทกะว่า ทำไมถึงมาถึงได้เร็วอย่างนี้ มันมาอย่างไร เมื่อคืนนี้หลับ
    ท่านบอกว่า โยมคุณ ท่านเกรงว่า คุณจะเข้าพรรษาไม่ทัน ท่านเลยใช้อำนาจเทวดานุภาพ บันดาลให้มาอยู่หลังวัด ก็กราบท่าน เมื่อกราบในที่ว่าง ก็ปรากฏภาพองค์ท่านขึ้นมาพอดี ท่านบอกว่า คุณทำอย่างนี้ให้ดีทุกปีนะ โยมจะดีใจมาก เทวดา และนางฟ้าก็ดีใจมาก
     
  7. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ขอบคุณ คุณ dida30 มากๆน่ะค่ะ ที่ช่วยนำบทความตอนอื่นๆมาช่วยลง ช่วยข้าพเจ้าได้มากเลย และพี่ๆน้องๆทุกคนจะได้ไม่ต้องรออ่านนาน เพราะข้าพเจ้าเองก็ยุ่งๆกับงานกว่าจะแบ่งเวลามาพิมพ์ได้แต่ละตอนก็ลำบาก ขอบคุณมากๆค่ะ โมทนาด้วยน่ะเจ้าค่ะ
     
  8. jaya

    jaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +2,183
    ขอโมทนากับเจ้าของเรื่องและผู้นำมาพิมพ์ให้อ่านทุกท่าน และขออนุญาตก๊อปปี้ไว้ เพื่อจะได้จัดพิมพ์เป็นเล่ม ถวายแก่พระป่าพระธุดงค์ ตามโอกาสอันควรต่อไป .. สาธุ
     
  9. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ยินดีอย่างยิ่งค่ะ และขอโมทนากับท่านที่จะจัดพิมพ์เป็นธรรมทานทุกท่านด้วยน่ะค่ะ
     
  10. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ไปพักที่ดงพระยาเย็น
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๔ ก็จะขอคุย เรื่องธุดงค์ คราวนี้ขอเล่าธุดงค์ภาคอีสานต่อไป เพื่อให้จบเรื่องภาคอีสาน และภาค เหนือ
    เป็นอันว่า เมื่อถึงเวลาธุดงค์ เวลานั้นเป็นพรรษาที่ ๔ หลวงพ่อปานมรณภาพแล้วเมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพแล้วท่านสั่งว่า ถ้าฉันตาย เธอก็ไปขึ้นธุดงค์กับหลวงพ่อจงก็แล้วกัน (ท่านเรียก หลวงพ่อจง แต่ว่าหลวงพ่อจงเรียกหลวงพ่อปานว่า ท่านปาน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า หลวงพ่อปานอ่อนกว่าหลวงพ่อจง ๑๐ ปี เศษนิดหน่อย) เมื่อไปถึงหลวงพ่อจง ไปขอขึ้นธุดงค์กับท่าน ไปกราบ ๆ ท่าน
    ท่านถามว่า เตรียมกลดไปไหน ก็ราบเรียนบอกว่า จะมาขึ้นธุดงค์ครับ ท่านหัวเราะ ฮิ ๆ ตามนิสัยของท่าน บอก จะขึ้นไปถึงไหนล่ะพ่อคุณ ไอ้การขึ้นธุดงค์ ก็คือการเรียนวิชาการธุดงค์ ไม่ใช่จะมาขึ้นแบบต้นไม้ ปีนตรงนั้น ปีนตรงนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาขึ้นกันทีเดียว ทีหลังไปไหนก็ไปเองได้ ก็เลยบอกว่า เวลานี้หลวงพ่อปานตายแล้วครับ ไปเองก็ไปได้ แต่ว่าผมก็ต้องพึ่งหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี เคยสงเคราะห์ผมในป่า อยู่เสมอ ท่านก็ยิ้ม ไม่พูดว่าอย่างไร
    หลวงพ่อจงบอก วันจริง ๆ มันดีทุกวัน ของแนฤกษ์ดีทุกวัน และทุก ๆ เวลา เวลานี้ก็ดี เธอจะขึ้นธุดงค์เวลานี้ไหมล่ะ ก็บอก ขึ้นครับ ท่านก็นำสมาทานกรรมฐาน และแนะนำแนวเดียวกับหลวงพ่อปาน เพราะท่านเรียนด้วยกัน ท่านบอก ท่านปานกับฉันนี่ เรียนกรรมฐานมาด้วยกันจากหลวงพ่อสุ่น และก็หลวงพ่อปั้น แต่ว่าหลวงพ่อปานแยกไปทำการก่อสร้าง ฉันไม่เอา ฉันทำกรรมฐานอย่างเดียว
    ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น หลวงพ่อก็จบแล้วใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า จบ ฉันจบมานานแล้ว ถามว่า จบอะไร ท่านบอกว่า ทีแรกก็เรียนจบ ก.ไก่ ข.ไข่ ต่อมาก็จบ ก.กา ข.ขา ก็ถามว่า เวลานี้หลวงพ่อจบอรหันต์แล้วหรือยังครับ ท่านบอก ข้าจะไปรู้หรือโว้ย ก็ในเมื่อไม่มีคนอื่นพยากรณ์ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ข้าไม่รู้ เอาย่างนี้ก็แล้วกัน ขึ้นธุดงค์กันดีกว่า แล้วท่านก็นำกรรมฐาน
    ท่านนำกรรมฐานเสร็จ ก็นั่งกรรมฐานกันประมาณ ๑๐ นาที ลืมตามา ท่านหัวเราะ ฮิ ๆ ท่านบอกไปคราวนี้ดีน่ะ อันดับแรกไปดงพระยาเย็น (เวลานั้นยังเป็นป่าทึบ ที่ปากช่อง เป็นป่าทึบมาก) ที่นั้นจะพบผีมาก เพราะ ผีสมัยกบฎบวรเดช รบกันตายที่นั้นมากเขาจะมาเยี่ยมเธอ ความจริงก็เป็นญาติกัน เป็นญาติร่วมชาติกัน
    และหลังจากนั้น เธอก็ไปที่โน่น ภูเขากระดึง ด้านทิศตะวันตก ที่นั้นเป็นดินแดนที่มีความสำคัญมาก เธอต้องไปตามนี้นะ เธอต้องไปตามฉันพูด ที่ไหนมีอันตรายมากจงไปที่นั่น ที่ไหนมีอันตรายน้อย หลบไป พักชั่วคราว และก็ไปเสีย ทั้งนี้เพราะเราต้องการไปเอดีกัน ก็กราบเรียนถามท่านว่า อันตรายจะมากขนาดไหนครับ ท่านเลยอบกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อไปถึงแล้วจึงค่อยรู้กัน
    เป็นอันว่า วันพรุ่งนี้เช้า หลังจากฉันเช้าเสร็จเธอออกเดินทาง คืนนี้นอนที่นี่หนึ่งคืนก็เป็นอันว่า นอนอยู่กับท่าน ท่านจัดที่หอสวดมนต์ให้นอน ตอนเข้าไปบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จก็กราบลาท่านออกเดินทาง ท่านบอกว่าเดี๋ยวก่อนจะไปก้มหัวมาสิ ท่านก็เป่ากระหม่อมคนละ ๓ พรวด ทั้ง ๓ องค์ ท่านบอกว่า เธอจงเดินเหมือนฉันนะ (คำว่า เดินเหมือนฉัน พวกเราเองก็สงสัย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่าเดินเหมือนท่าน มันเดินอย่างไร แต่ความจริงท่านเดินช้า ๆ แต่เร็วมาก ถ้าท่านเดิน รุ้สึกเดินเนิบ ๆ ก้าวช้า ๆ พวกเราต้องวิ่งตาม) ตั้งแต่ไปจนกระทั่งกลับ เธอจงเดินเหมือนฉัน
    เมื่อสมัยก่อนฉันไปเดินธุดงค์ ไปที่ภูเขากระดึง นี่เป็นจุดหมายปลายทางจุดหนึ่ง ท่านปานก็เคยไป เพราะที่นั่นต้องต่อสู้อันตรายหนักที่ไหนหนัก เราต้องไปที่นั่นฉันไปวันแรกก็ถึงดงพระยาเย็น และพักที่ดงพระยาเย็น ๓ คืน หลังจากนั้นแล้วก็เดินตรงไปทางด้านจังหวัดเลย ด้านขอนแก่น มุ่งหน้าตัดลงหาจังหวัดเลย และก้ไปอยู่ที่ภูเขาภูกระดึง และก็อยู่ที่นั้นตลอดกาล จนกว่าจะถึงเวลากลับ ที่นั่นมีของดี ๆ เยอะ คือ ช้างก็เยอะ (พอพูดถึงช้างพวกเราก็ชอบใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเจอะช้างที่ไหน สบายใจที่นั่น) เสือก็เยอะ สัตว์ต่าง ๆ เยอะแยะมาก น่าชม น่ารักมาก แต่ทว่าพระธุดงค์ตายมาหลายองค์แล้ว (นี่ท่านลงท้าย) พวกอาตมาก็ยิ้ม เรื่องตายเป็นของเล็ก เพราะทราบอยู่ว่า ความตายมีกับเราทุกขณะตามที่ พระพุทธเจ้าสอน ถ้าตายเมื่อไร ก็ไปพรหมเมื่อนั้น
    ก็รวมความว่า ตั้งใจตัดสินใจเดินทางไป ความจริง จากวัดหน้าต่าง ไปปากช่อง วันเดียวไม่น่าจะถึง ก็เดินไปเรื่อย ๆ คุยกันไปเรื่อย ๆ ตามสบาย ๆ แต่ว่าสิ่งที่เราท้งไม่ได้ นั่นคือ ท่านอินทกะ เมื่อชุมนุมเทวดาเสร็จ นึกถึงท่าน ท่านก็มา ท้าวมหาราชท่านก็มา ท่านมอบหมาย ท่านอินทกะท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ไม่เป็ฯไรครับ ไปวันนี้ เดินตามแบบหลวงพ่อจง ท่านว่าอย่างนั้น
    เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ ๓ โมงเย็นเศษ ๆ ต้องเริ่มปักกลด เพราะป่าทึบมากน้ำค้างเริ่มตก ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่ที่ไหน ท่านบอก ที่นี่คือที่เขาเรียกกันว่า ดงพระยาเย็น หรือ ดงพระยาไฟ ตามธรรมดาแล้ว เดินธรรมดา วันหนึ่งจะไม่ถึงที่นี่ ต้องเดินถึง ๓ วันแต่นี้หลวงพ่อจงท่านบอกให้เดินแบบท่าน ก็ต้องเดินตามท่าน ก็ถามว่า ที่มาถึงไวนี้อาศัยอะไร อาศัยท่านอินทกะช่วยใช่ไหม ท่านบอกไม่ใช่ หลวงพ่อจงช่วย
    ในที่สุดก็หาที่ปักกลด ก็ได้ภูเขาลูกหนึ่ง มีเงื้อมชะโงกออกมา ข้างในเป็ฯถ้ำเล็กน้อย พอที่จะบังน้ำค้างได้ดี อาศัยร่มบังน้ำค้าง ก็ปักกลดใต้เงื้อมเขานั้น พอปักกลดเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งสงสัยว่าเราจะมีน้ำที่ไหนกิน น้ำที่ไหนใช้ ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ในสถานที่ปักกลดนี่มีน้ำใช้กินไม่ยาก อยู่ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู ก็เดินไปตามมือท่านชี้ ก็เจอะบ่อน้ำใส เป็นธาร น้ำตก และเป็นอ่างน้อย ๆ น้ำขัง อยู่ น้ำตกก็ไม่แรงนัก อาบกินกันแบบสบาย ๆ ก็มีความสุข
    พอถึงเวลาก็เข้าที่พัก ท่านอินทกะท่านก็หายไป ความจริงเทวดาท่านจะมาแสดงอยู่เสมอก็ไม่ได้เพราะว่างานของท่านก็มี เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ ความจริงเวลาก็ไม่นาน ประมาณสัก ๔ โมงเย็นกว่า ๆ ก็เริ่มค่ำ เพราะตะวันลับยอดไม้ เวลานั้นต้นไม้สูงมาก ต้นไม้มีเยอะ เป็นป่ารกชัฏ จุดภายในโปร่งบ้าง รกบ้าง ตามสภาพของป่า ไม่ใช่ป่าเต็งรัง
    เมื่อปักกลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งกรรมฐานกัน อาบน้ำเสร็จ ก็นั่งกรรมฐานกัน พอนั่งกรรมฐานกันเรียบร้อยดี ใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที ก็รู้สึกว่า มีคนจำนวนมากแบกปืนมา เป็นปืนเล็กยาวของทหาร แต่งตัวเหมือนทหาร ทุกคนมาเป็นจำนวนร้อย มาด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายทางเหนือก็มา ฝ่ายใต้ก็มา มาถึงเข้า ต่างคนต่างปะทะกัน ยิงกันขนาดหนัก แต่ก็ไม่ตกใจ ถือว่า ภาพ ก็คือ ภาพ เราจะห้ามภาพไม่ให้เกิดไม่ได้ ในมื่อเขาอยากจะยิง ก็ยิงกัน ก็ถือว่า โลกนี้เป็นของธรรมดา ก็นึกในใจเวลานั้นตามแบบฉบับกรรมฐาน (ตามแบบฉบับกรรมฐานมี ๒ อย่าง คือ มีอารมณ์ทรงตัว กับอารมณ์คิด) ก็มีการใคร่ครวญว่า การเกิดเป็นคนนี่มันไม่ดี คนทั้งสองฝ่ายที่ยิงกันเวลานี้ไม่รู้จักกันเลยไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อน ต่างฝ่ายก็ต่างมายิงกันตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และก็มีการล้มตายกันหลายคน
    ในที่สุด ภาพนั้นก็หายไป (กว่าภาพจะหายไป ธรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาก็เกือบจะตีสอง) ในเมื่อภาพนั่นหายไปเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏภาพ เป็นภาพอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพคนเจ็บ คนตาย เดินเข้ามาหา ก็ถามว่า พวกเธอทำไมถึงยิงกัน เขาก็บอกว่าเพราะเขาสั่งให้ยิง ถามว่า ใครสั่งให้ยิง คนหนึ่งบอก ผู้บังคับหมู่สั่งให้ยิงครับ อีกคนหนึ่งบอก ผู้บังคับกองสั่งให้ยิงครับ ถามว่า ยิงกันทำไม เขาก็บอกว่า อาศัยในการบ เมื่อสมัย พ.ศ.๒๔๗๖ ถามว่า พวกเธอตายไปหลายปีแล้วนี่ ยังไม่ไปไหนหรือ เขาบอก พวกผมเป็นสัมภเวสี ครับ ถาม เวลานี้ เธอมาทำไม บอก มาขอส่วนบุญ ขอส่วนบุญแล้วทำไมต้องทำท่าแขนร่องแร่งกันบ้างแผลเลือด ไหนบ้าง อะไรบ้าง เธอก็บอกว่า ในลักษณะการตายของผม ผมตายแบบนี้ครับ บางคนก็หูขาด บางคนก็ตาทะลุไปข้างหนึ่ง ลูกปืนเข้าลูกตา บ้างคนก็ขาเป๋ ขาโขยกเขยก ถูกยิงขาบ้าง ถูกยิงแขนบ้าง ถูกยิงตามตัวบ้าง นึกสังเวชสลดใจ ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอต้องการบุญอะไร เท่าที่ฉันมีอยู่นี่ ฉันไม่ปิด ฉันไม่ขัดข้อง ให้หมดทุกอย่าง
    เขาบอก เอาย่างนี้ก็แล้วกันครับ บุญใดที่ท่านบำเพ็ญมาแล้ว ตั่งแต่ต้นจนปัจจุบันจะพึงมีผลแก่ท่านเพียงใด ผมขอโมทนาบุญนั้นครับ บอก เออ..ถ้าอย่างนั้นก็สลาย ง่าย ๆ สั้น ๆ ดีนะ ก็บอกว่า เธอจงตั้งใจนะ เขาก็นั่งพนมมือ ก็อธิษฐานใจว่า ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทำมาแล้ว ตั่งแต่ชาติในอดีต ชาติต้นที่ทำบุญ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สะสมตัวกันมากแล้วเพียงใดนี้ จะพึงให้ประโยขน์ความสุขกับขัาพเจ้าเพียงใดขอบุญนี้จงได้แก่พวกเธอทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ขอเธอจงโมทนา เธอก็โมทนา เธอกราบไปครั้งหนึ่ง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สอง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สาม รูปร่างเป็นเทวดาหมด ปรากฏว่าที่เป็นเทวดาเวลานั้น ประมาณ ๖๐ คน ก็เป็นเทวดาทั้งหมด แต่ว่าเทวดาพวกนั้นท่านก็แน่เหมือนกัน เมื่อเป็นเทวดาแล้วสภาพต่าง ๆ ก็ค่อยหายไป (คือเป็นภาพเดิม) ย่องไปอีกสองกลด ไปขอตามเดิม เขาก็ให้เหมือนกัน เป็นอันว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งสวยขึ้น ๆ ถึงกลดที่สามสวยสดงดงามมาก
    นี่แหล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ใครเขาบอก ตายแล้วสูญ ๆนี่มันก็ต้องสงสัยเหมือนกัน เป็นอันว่า กว่าจะหมดเวลาจริง ๆ หยิบนาฬิกามาดูเป็นเวลาตี ๔ ทุกคนก็ออกจากกลด มานั่งพบกัน เล่าความเป็นมา ก็เหมือนกันหมด ทั้งสององค์ก็บอก ก่อนที่เขาจะมาหาท่าน ผมก็เห็นเขายิงกัน แล้วเขาก็มาหาท่าน และในที่สุดเขามาหาผม และไปหาอีกองค์หนึ่ง ก็รวมความว่า เขาขอบุญ ทั้ง ๓ องค์ คือ ตาคนนี้ได้กำไรมาก นั่งคิดดูอีกที ก็น่าคิดเหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ปัตตานุโมทนามัย นี่แหล่ะ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย จงอย่าทิ้งการโมทนาความดีของคน คนที่เขาทำความดี ที่เขาใส่บาตรก็ดี เขาให้ทานก็ดี เขารักษาศีลก็ดี เขาฟังเทศน์ก็ดี เขาเจริญกรรมฐานก็ตาม เขาทำงานก่อสร้างก็ตาม ขึ้นชื่อเป็นคนดี ถึงแม้ว่าเป็นความดีที่ทำกับพ่อ กับแม่ ที่เขามีความกตัญญูรู้คุณ เราพลอยยินดีกับเขา ความดีนั้นก็สนองตัวเรา ดูตัวอย่างเทวดาทั้ง ๖๐ คน
    อาตมามานั่งคิดว่า แกได้เปรียบกว่าเราเสียอีก เขาเอาอาตมาไปหมดทุน และขออีก ๒ องค์ ก็องค์ละหมดทุน แกได้สามหมดทุน ก็ลืมถามว่า เป็นเทวดาชั้นไหน และก่อนจะไป แกหันกลับมาบอกว่า ผมขอลาละครับ เมื่อกี้ลืมลาไป ไปขออีก ๒ องค์
    เป็นอันว่า ทั้ง ๓ องค์ก็คุยกัน คุยไปคุยมา ก็เวลาใกล้สว่าง ก็เป็นอันว่า คืนนั้นไม่ได้นอนกัน นั่งกรรมฐานคุยกับผี ให้ผลกับผี เวลาใกล้สว่าง ก็ปล่อยให้สว่าง นั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่ง นั่งทำจิตสงบ เลิกคุยกัน ทำกรรมฐานอีกนิดหนึ่ง นั่งให้ใจสบาย ๆ พออารมณ์สบาย ๆ จิตสงบดี แล้ว ปรากฏว่าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ลืมตาพร้อมกัน ถอนกรรมฐานพร้อมกัน
    คิดว่า จะไปบิณฑบาตทางไหน ก็เห็นบรรดาเทวดาทั้ง ๖๐ องค์ ท่านมาในภาพเทวดาเลย ท่านมาถึงกราบ ๆ ท่านบอกว่าท่านขอรับ ไม่ต้องไปบิณฑบาตที่ไหน พวกผมได้รับผลบุญความดีจากท่าน มีความสุข เดิมทีเดียวผมมีความทุกข์มาก ผมตายเป็นสัมภเวสี การรบราฆ่าฟัน นี่ เป็นของไม่ดี แต่จำเป็นจะต้องรบ เพราะเราอยู่ใต้บังคับบัญชา เลยถามว่า เท่าที่มากันเมื่อคืนนี้ มาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย บอก มาทั้งสองฝ่ายครับ ต่างคนต่างตาย ต่างคนก็ต่างมา ถามว่า ตายเวลานั้นจริง ๆ เท่าไร ท่านบอกว่า เห็นเป็นร้อยคน เพราะต้องปะทะกันมาก แต่ก็บางส่วนเขาไปที่อื่น แต่พวกผมทราบว่าท่านจะมา ผมเลยดักอยู่ที่นี่
    ก็ถามว่า วันนี้มีอะไรมาถวายบ้างล่ะ บอก มีข้าวมาถวายครับ ต่างคน ไม่มีขันทองคำมีเป็นขันแก้ว สวยมาก แพรวพราวเป็นระยัง ตักข้าวใส่บาตรใส่ทั้ง ๖๐ คน แต่บาตรไม่เต็มได้ประมาณครึ่งบาตร เวลาใส่ก็เต็มทัพพี ตักเต็มที่ ใส่เต็มที่ เมื่อใส่เสร็จ พวกแกก็นั่งอยู่ที่นั่น (มาเต็มอัตราของเทวดานะ มีชฎาแหลมเปี๊ยบ สดชื่นมาก แต่ขาดนางฟ้า ที่ขาดนางฟ้าเพราะว่าการบกัน เขาไม่ได้เอาผู้หญิงไปรับด้วย) ฉะนั้นเมื่อเธอใส่บาตรเสร็จ พวกเราก็ฉัน ฉันเสร็จก็โมทนา เมื่อโมทนา เธอทั้งหลายก็ตั้งใจรับโมทนาอีกครั้งหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท พอโมทนาจบ ภาพเทวดาทั้งหลายเล่านั้นผ่องใสกว่าเดิมขึ้นมาก มีแสงสว่างขึ้นมาก
    ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์อยู่ที่นี่ ๓ คืนครับ ผมขอรับเลี้ยง ถามถึงอันตราย บอกไม่มีครับ ไม่มีแน่นอน พวกผมทั้ง ๖๐ นี้ขอยืนยันว่า จะไม่มีอันตราย พอดีท่านอินทกะก็โผล่ท่านอินทกะท่านก็บอกว่าพวกนี้เขาจะป้องกันได้ดีครับ เพราะเขาเป็นลูกน้องผม เมื่อเขาเป็น สัมภเวสีอยู่ เขาก็เป็นลูกน้องผม ในเมื่อผมมา เขาก็มากับผม แต่เขาไม่ให้ท่านเห็นเขาเป็นเทวดาแล้ว เขามีอาภาพมากขึ้น เขาก็ต้องเลี้ยงชดใช้ท่านบ้าง แล้วก็ต้องติดตามท่านไปด้วย ในเมื่อผมไป เขาก็ต้องไปด้วย ก็ถามเทวดาองค์นั้น ถามว่า ไปไหม ท่านบอกว่า ไป
    ในเมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้จะไปเดินเที่ยวที่ไหนดี ถามท่านอิทฃนทกะว่าจะไปเดินที่ไหนให้มันหายเมื่อย ท่านอินทกะบอก เมื่อคืนนี้ไม่ได้หลับทั้งคืนนะครับ นิมนต์จำวัดดีกว่า ก็เลยนอนใต้กลด นอนใต้ชะโงกเขา มีความเย็นดีมาก นอนไปนอนมา ปรากฏเจ้านกยูง ๒-๓ ตัวมันเดินเข้ามาหา มาถึงก็มองหน้า พอจ้องหน้าก็รำแพนป้อ อวดความสวยของเธอ นึกในใจ เจ้านกยูงนี้ไม่รู้จักคนนะ ถาไปเจอคนจริง ๆ เข้า นกยุงก็นกยูงเถอะ จะเหลือแต่ขนหางเท่านั้นแหล่ะ ขนหางเท่านั้นที่เหลือ นอกนั้นนกยูงจะไม่เหลือ แม้แต่เนื้อ หรือกระดูกในที่สุด ก็นอนอยู่ที่นั้น ๓ คืน เทวดาคณะนั้นก็ใส่บาตรทั้ง ๓ วัน เธอมาปฏิบัติ แม้แต่น้ำก็ไม่ต้องไปตัก ท่านไปตักให้ ท่านทำทุกอย่าง ให้ความสะดวกทุกอย่าง
    เมื่อออกจากดงพระยาเย็นแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไป ถามท่านอินทกะว่า เราจะไปไหน ท่านอินทกะก็วางแผนที่วางทิศทาง มุ่งหน้าตัดตรงตามนี้ครับ ไปภูเขาภูกระดึง ตามที่หลวงพ่อจงสั่ง ก็เดินทางจากดงพระยาเย็น ไปประมาณครู่เดียว ประมาณสัก ๓ โมงเย็น ก็ถึงภูเขา เป็นเขาลาด ลาดมาก มีป่าทึบ ยอดเขามองไม่เห็น ต้นไม้มากเหลือเกิน ท่านบอก ที่นี้เขาเรียก ภูกระดึงด้านทิศตะวันตก ครับ ถ้าทิศตะวันออกจะเป็นที่ชั้นขึ้นยาก แต่คนจะขึ้นทางนั้น (เวลานั้นไม่มีคนขึ้น ยังไม่มีคนไปถึงภุเขาภูกระดึง จะมีบ้างก็พรานป่า) ท่านอินทกะก็บอกว่า ภูเขากระดึงลูกนี้ เดิมทีเดียวอยู่ในทะเล จมอไปยู่ในทะเลหลายล้านปีมาแล้ว ต่อมาน้ำก็เหือดแห้งไป ถ้าเราจะพิสูจน์กัน เอาไววันข้างหน้า หากว่ามีโอกาสผมจะพาท่านขึ้นไปยอดเขาภูกระดึง ท่านจะได้ชมหลักฐานว่า ภูเขาลูกนี้เคยเป็นทะเล มันเป็นจริงหรือเปล่า จะมีรอยคราบน้ำทะเล จะมีหอย มีปู เป็นต้น จะเป็นคราบหมด มันตายแล้ว
    ก็รวมความว่า วันนั้นที่นั่นไปหาที่ภูเขาภูกระดึงก็ไปพบผา ๆ หนึ่งเป็นผาชะโงกเป็นที่น่าอยู่ รื่นรมย์ดีมาก ผายาว ยาวแล้วก็สวย ร่มรื่นดีมาก มีความสุข ฝนตกก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นหน้าผาสูง ท่านอินทกะก็บอกว่านิมนต์อยู่ที่ตรงนี้นะครับ อยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลากลับ แต่ว่าการอยู่ที่นี้ถือว่าเป็นที่อยู่ที่เราตั้งทีแรก ต่อไปผมจะพาเที่ยวในที่ต่าง ๆ ในที่นี้มีพระหลายองค์ ไม่ใช่มีแต่พวกเรา เวลานี้ปัจจุบันก็มีพระกำลังอยู่ที่ภูเขาภูกระดึงนี่หลายองค์ด้วยกันครับ แต่ว่าหลายองค์ที่ก่อนมาแล้วก็ตายเยอะเหมือนกัน เพราะมีความประมาทในชีวิต
    จบไปอีกหนึ่ตอน ตอนต่อไป เป็นตอน ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง ค่ะ
     
  11. Chanseenak

    Chanseenak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +506
    สาธุ ขออนุโมนาครับ ยังไม่เคยได้อ่านเลยครับ
     
  12. srtumsrtum

    srtumsrtum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +44
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงครับ
    ขอให้ลูกเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันกาลนี้ด้วยเทอญ
     
  13. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง
    ท่านสาธุชนพุทะบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๔ ก็ขอคุยถึงเรื่องภูเขากระดึง
    ก็เป็นอันว่า หลังจากปักกลดเสร็จ ที่นี่ไม่ควรจะใช้คำว่า ปักกลด คือ กางร่มกันน้ำค้างและก็เป็นภูเขาลึก เป็นถ้ำลึกเข้าไปหน่อย สบายมาก มีธารน้ำเย็นไหลผ่าน มีความสะดวกธารน้ำใสไหลยาว และมีเป็นห้องเป็นหับ น่าอยู่มาก ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ที่นี่กำลังมีพระธุดงค์อยู่ ท่านบอกว่า ตั้งแต่บัตนี้เป็นต้นไป ถ้ามีความจำเป็น ผมจะมาหาท่าน ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไปทำงานของผม ก็บอกว่า ตามสบายเถอะ หลังจากท่านไปแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญกรรมฐาน
    การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถามว่า ทำอะไรบ้าง ก็ขอตอบง่าย ๆ ว่า ๑. อานาปานสติ ๒. มรณัสสติ (คำว่ามรณัสสติ หมายความว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เราอาจจะตายที่ตรงนี้ก็ได้) นึกถึงความตายไว้เสมอ หลังจากนั้นก็มี พุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นก็ อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็รวมความว่า กรรมฐานทุกบทก็ทำกันหมด กายคตาสติ ก็ต้องทำ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เป็นวิปัสสนาญาณข้อต้น เป็นสังโยชน์ข้อต้น ต้องทำประจำ
    ถ้าถามว่า คิดอย่างนี้เป็นพระอรหันต์หรือยัง ก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่ต้องมาธุดงค์กัน อย่านึกว่า เป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐมากเกินไป เห็นว่า ทำผีเป็นเทวดาได้ นี่เป็นของธรรมดา ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็เคยทำให้คนเป็นเทวดามาแล้วนับไม่ถ้วน โดยที่ท่านไม่รู้ นั่นหมายความว่า เวลาที่พระมาบิณฑบาต ท่านใส่บาตรพระเป็นทาน เป็นการถวายทานกับพระสงฆ์ เป็นสังฆทาน บุญใหญ่มาก บางท่านใส่บาตรพระเสร็จ ก็กรวดน้ำที่ตรงนั้น พระเดินไปแล้ว บางท่านก็กลับบ้านมากรวดน้ำ
    ขณะที่กรวดน้ำหรืออุทิศส่วนกุศล บรรดาท่านพุทธบริษัท บุญใหญ่ของท่าน มีบรรดาพวกเปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัมภเวสีก็ตาม มาโมทนากันเป็นอันมาก เมื่อมาโมทนาแล้ว พวกที่มีบุญญาธิการมากหน่อย ( คือ บาปน้อยหน่อย กรรมเหลือน้อย) เขาก็เป็นเทวดาทันทีทันใด (เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า) กรรมเหลือมากนิด กณรมก็ผ่อนคลายไป เขาก็มีความสุข การทำผีให้เป็นเทวดานี่ทำกันเป็นทุกคน ทุกคนทำมาแล้วทั้งหมด แต่ก็น่าเสียดายที่บางท่านไม่เคยเห็นผีที่ท่านให้ และหลาย ๆ ท่านที่ได้กรรมฐาน ได้ทิพพจักขุญาณ ก็สามารถเห็นได้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของแปลก อย่าไปคิดว่า พวกอาตมานี่วิเศษวิโสกว่าใคร ไม่ใช่อย่างนั้น ยังก่อน ดูก่อน
    หลังจากฉันข้าสเช้าเสร็จ ตามเทวดาสัญญา ตอนนี้มีนางฟ้ามาด้วย นางฟ้าก็ไม่แปลงเทวดาเข้าไม่แปลง เขามาเป็นเทวดาชัด นางฟ้าก็เป็นนางฟ้าชัด ๆ ถ้าถามถึงความรู้สึกว่าเห็นสาวชาวฟ้าเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่าอย่าลืมว่า เธอเป็นผี เธอจะเป็นอย่างไรนั่นไม่สำคัญสำคัญเรา นึกถึงตัวเราเองเป็นสำคัญว่า ตัวเราจะตาย เวลานี้เรากำลังจะตาย ความตายมีอยู่แค่ปลายจมูก เมื่อเลิกลมหายใจเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น เสือกัดเมื่อไรก็ตาย ช้างกระทืบก็ตาย ขาดอาหารก็ตาย ขาดลมก็ตาย
    รวมความว่า เราก็นึกถึงแค่ตัวเราว่า ทุกท่านที่มานั่งทั้งหมดนี่เป็นคนมาแล้วทั้งหมดแต่อาศัยที่เป็นคนที่สร้างความดี จึงเป็นเทวดาได้ เป็นางฟ้าได้ ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่าบรรดาเทวดาที่มานั่งทั้งหมด ๖๐ องค์กว่า มีความดีจากพวกท่านใช่ไหม ก็ต้องตอบว่า ใช่แต่ต้องถือว่า เป็นความดีของเขาด้วย ถ้าเขาไม่ดีเขาก็ไม่มาขอโมทนา เพราะบุญเดิมของเขาดีมีอยู่แล้ว แต่กรรมบางอย่างคือ กรรมปาณาติบาต เป้นต้น เป็นเหตุให้เขาต้องมาฆ่ากันตายในระหว่างชีวิต ชีวิตยังไม่ถึงอายุขัยก็ฆ่ากันตายเสียแล้ว และต้องรอทนมาจนกว่าจะพบคณะอาตมา เมื่อรับบุญจากคณะอาตมาไปแล้ว บุญเก่าของเขาก็เกิดขึ้น ของเขาก็รวมตัวกันเขาก็ต้องเป็นคนมีบุญ รวมความว่า ที่เขาเป็นเทวดาได้เพราะความดีของเขาด้วยของเราด้วยรวมกัน ถ้าเขายังไม่มีดี หรือดียังไม่ถึงเขา เขาก็ไม่มาหาพระ เขาก็ต้องเร่ร่อนต่อไป
    ก็รวมความว่า ที่มาหาพระได้ เพราะว่าเขามีดีแล้ว ดีมาถึงเขาแล้ว ทีนี้ถ้าจะนึกถึงภาพเทวดา นางฟ้า เทวดาไม่เป็นไร นางฟ้าสวย ๆ เห็นหน้าเธอแล้ว ก็มีความรู้สีกว่า สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เธอมีรูปร่างอย่างไร ก็เห็นภาพเดิมของเธอ บางคนก็แก่ตายบ้าง บางคนก็สาวตายบ้าง บางคนก็ตายสมัยเป็นเด็กบ้าง แต่เวลาเป็นนางฟ้า ก็เป็นสาวเหมือนกันหมด เมื่อฉันข้าวเสร็จ โมทนาให้พวกเธอ เธอรับโมทนา มีความสว่างมากขึ้น เธอก็กลับไป
    หลังจากนั้นแล้ว ก็ชวนกันเดินเที่ยว จำทิศทางไว้ว่า ป่ารกชัฏขนาดนี้ เราไม่เคยมา เป็นป่ารกมาก เวลานี้ภูกระดึงด้านนั้น ก็เป็นป่ารกชักมาก แต่ว่าจะบางไปมากแล้ว ยังมีเสือ ยังมีช้างอยู่เวลานั้นมีสัตว์ทุกอย่าง สิ่งที่น่ารักจริง ๆ ก้คือกล้วยไม้ กล้วยไม้สวยมากเกาะอยู่ตามต้นไม้ เดินไปทางทิศตะวันออก สูงขึ้นไปนิดหน่อย
    ไปเจอะถ้ำ ๆ หนึ่ง มีพระองค์หนึ่ง ท่านนั่งอยู่ที่นั้นองค์เดียว พอเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านกำลังนั่งกรรมฐาน ก็นั่งลงกราบท่านบอกว่า ขอประทานอภัยขอรับ กระผมมารบกวนท่าน ท่านบอก เปล่า ฉันนั่งคอยเธอ ถามว่า คอยทำไม ก็บอกว่า คอยเธอตั่งแต่ก่อนมา ฉันมาคอยอยู่ที่นี่ บอกหลวงพ่อจงแล้ว บอกให้ส่งเธอมาที่นี่ มองไปมองมาท่านก็ยิ้ม ๆ ทีแรกจำไม่ได้แน่ชัด เป็นพระหนุ่มมาก ยิ่งมองไป ๆ แก่ลงไปทุกที ๆ เป็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อมาคอยผมอยู่ที่นี่หรือขอรับ บอกใช่ ป่านี้สำคัญมาก เป็นป่าตัดเชือกชีวิตของพวกเธอ เธอรอดจากป่านี้ไปได้ ก็หมายถึงว่า ต่อไปข้างหน้าเธอเอาดีได้ ถ้าเธอรอดไปไม่ได้ เธอไปตามกรรมของเธอ ตั่งใจไว้ให้ดีน่ะว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง การเกิดเป็นมนุษย์ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ จงอย่าอาลัยในชีวิต มันจะตายเมื่อไรก็ช่างมัน เอาดีเข้าไว้ ดีนั่นคือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้คิดว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันปั้นเป็นก้อนขึ้นมา เขาแยกเป็นอาการ ๓๒ ในไม่ช้าก็ตาย ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ฉันก็ตายมาแล้ว
    ถามว่า หลวงพ่อเวลานี้อยู่ที่ไหนครับ ท่านบอกว่า เธอถามทำไม เวลานี้ฉันนั่งคุยกับเธอ บอก ไม่ใช่ครับ ชั้นที่หลวงพ่ออยู่ ท่านบอก เธอก็รู้แล้ว อยุ่ชั้นดุสิต ที่เธอไปหาฉัน เธอไปหาฉันที่ไหน ฉันก็อยู่ที่นั้น แต่วันนี้ฉันมาคอยเธอที่นี่ เพราะจะบอกเรื่องให้ฟัง
    ถามว่า เรื่ออะไรขอรับ ท่านบอก เรื่ออนิจจังของดินแดนนี้มันมีมาก เดิมทีเดียว ในที่นี้เป็นทะเลลึก ภูเขาลูกนี้จมอยู่ก้นทะเลลึกมาก ต่อมาน้ำค่อย ๆ แห้งไป ๆ ที่ละน้อย ๆ นับเป็นเวลาล้านปี ยอดเขาลูกนี้ก็โผล่ขึ้นพ้นจากน้ำ บนยอดลูกนี้ในที่โล่งที่ราบจริง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ คือ ต้นไม้ห่าง ๆ นาน ๆ ต้น มีประมานพันไร่เศษ แต่ว่าที่ที่เป็นป่ารกชัฏนี่สามพันไร่เศษถ้าเธอเดินขึ้นไปข้างบน เธอจะพบว่าต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ มันเป็นระเบียบ นั่นคือคนปลูก ต้นไม้ดอกสีเขียว พันธุ์เดียวกัน อยู่เป็นแถว แต่ละแถว ๆ สวยมาก และก้ยังมีต้นสน ต้นไม้ต่าง ๆ จะมีสระโบกขณี (คำว่า สระโบกขรณี นี่มันเป็นสระที่เขาสมมุติขึ้น) มีธารน้ำตกไหลไปทางด้านทิศตะวันออก เป็นต้นของแม่น้ำพอง หรือแม่น้ำอะไรไม่ทราบ (อาจจะเป็นที่ทาของแม่น้ำพองก็ได้น่ะ ถ้าจำไม่ผิดนะ) ท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง ในที่สุดท่านก็สรุปว่า เธอจงคิดว่าเวลาหลายล้านปี สัตว์นับจำนวนไม่ถ้วน อยู่บริเวณนี้ ตายหมด ตายไม่เหลือ ถูกเขาฆ่าตายก็ตาย ที่ไม่ถูกฆ่าตายก็หมดชีวิตตาย
    ต่อมา เมื่อสถานที่นี้เป้นดินแดนของคน คนชาวเกาะ คือ เป็นเกาะใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพ่อค้าชาวเรือ ต่างคนต่างก็มีความสุขไปหากินทางเรือกัน เขากลับมาถึงที่เดิมอาหารการบริโภคก็มีความสุขมาก ผลหมากรากไม้ก็มี ผักปลาไม่ต้องหามาก เพียงแค่ถือสวิง ถือแห ไปตักเอาข้าง ๆ ชาย ๆ เขา ก็ได้กิน มีความสุข และเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ตายหมด สุขของเขาไม่สุขจริง สุขในสมัยที่มีชีวิต คือ เอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตน แต่ในที่สุดตนเองก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้ชีวิตของเขา แต่ที่เป็นเทวดา ที่เป็นนางฟ้าก็มีขอเธอจงอย่าลืมว่า ที่นี่เขาตายกันมามากแล้ว และเราเอง เราก็ต้องตายตามเขา อย่าลืม ความตายเป็นสำคัญ
    ท่านบอกว่า หลังจากนี้ไป ภัยอันตรายทั้งหลายไม่มีแน่ เพราะว่าเทวดาเขาคุม พวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นเธอ เขาจะทำเป็นไม่เห็น บางทีเขาก็ไม่เห็นจริง ๆ เพราะว่าเทวดาหันหน้า แต่ที่นี่มีพระสำคัญ ๆ อยู่หลายองค์ ที่ท่านตัดสินใจมาอยู่ที่นี้ อยู่ถึง ๒-๓ พรรษาก็มี ถามว่า ท่านอยู่อย่างไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า บางองค์ก็อยู่อย่างเธอ กินข้าวกับเทวดาบางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ เธอจงอยู่ประมาท ถ้าพบพระทุกองค์ให้เคารพท่าน ถือว่าท่านเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากว่าท่านสอน ถือว่าท่านเป็นครู ถามท่านบอกว่า พระที่จะสอนผิดมีไหม ท่านบอกไม่มีหรอก พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ฉันขอบอกให้พวกเธอทราบว่า เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด (ตายจริง เรานึกในใจว่า ตายจริง มาเจอแดนพระอรหันต์เข้าแล้ว)
    หลวงพ่อปานบอก ฉันบอกเธอเท่านี้นะ ฉันจะลากลับ แล้วท่านก็กลับไป พวกเราก็กราบ แล้วก็ตามท่านไป ไปถึงวิมานของท่าน ท่านเข้าที่แล้ว ก็กราบลากลับ ก็นึกในใจ มาปรึกษากัน ๓ องค์ว่า เวลานี้เราเจอะของดีแล้ว เจอะพระอรหันต์ทั้งหมด พระอรหันต์จริง ๆ ท่าทางน่าจะเรียบร้อย คิดในใจนะ เป็นพระที่มีความสงบเสงี่ยม ห่มผ้า ห่มผ่อนต้องเรียบร้อย พูดจาเรียบร้อย
    แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสนั่นตัดได้ แต่นิสัยตัดไม่ได้ เรื่องนี้พวกอาตมาเวลานั้นพลาดไป ไม่ได้คิดถึง คิดถึงว่า พระทุกองค์ต้องเรียบร้อยก็กลับมาที่เดิม เมื่อกลับมาที่เดิม ก็มาถึงที่พักใต้ต้นไม้ นั่งกรรมฐานแบบสบายใจ เวลาประมาณบ่านสัก ๒ โมงเศษ ๆ (นาฬิกาต้องคอยไขตามเวลา ไม่อย่างนั้นเวลาจะพลาด)
    บ่าย ๒ โมงเศษ ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ถือต้นไม้ต้นใหญ่ ถือมาทั้งราก ทั้งโคนเสร็จ
    แบกเดินเทิ่ง ๆ เข้ามา (ตัวใหญ่) มาถึงใกล้ ท่านถามว่า แถวนี้ใครเป็นนักเลงบ้างโว้ย ถ้าเก่งจริงมาตีกับกูสิหว่า มึงจะเอาต้นไม้ต้นไหนมาตีกับกูก็ได้ กูใช้ต้นนี้ต้นเดียว ทั้ง ๓ องค์ ก็พากันมองหน้า ต่างคนต่างก็ยิ้ม ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ลองคิดดูว่า คนตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ขนาดต้นยางมาหนึ่งต้น แล้วก็เอามาทั้งราก เหมือนกับถอนรากถอนโคนมาเลย แล้วก็มาท้าตีกัน
    ถ้าเราจะคิดว่า สุครีพ เวลานั้นที่รบกับภุมภกัณฐ์ ก็ไม่ผิด ถ้าหากว่าเราจะคิดถึง สุครีพ ก็เป็นอันว่า สุครีพนี่โง่กว่ากุมภกัณฐ์ เพราะว่ากุมภกัณฐ์ เวลานั้น รู้ว่าสุครีพมีฤทธิ์มาก มีกำลังมาก หลอกให้ถอนต้นพญารัง เมือถอนต้นพญารังมาแล้ว กุมภกัณฐ์เห็ฯว่าสุครีพอ่อนเพลีย ก็เลยเข้าโจมตีทันที ในที่สุดก็จับสุครีพไป ข้อนี้ฉันใด พระองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะถือว่าเป็นคนเก่ง ก็ต้องเก่ง เพราะถอนต้นพญารังได้ ความจริงไม่ใช่ต้นพญารัง เป้นต้นพญายางไป ต้นยาง ต้นใหญ่มาก ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ใหญ่ได้ ถ้าคิดไปทีหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ต้องเป็นอรหันต์ขึ้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือขั้นอภิญญา
    แต่พวกอาตมาก็โง่อีกแหละว่า อรหันต์ทำไมต้องมาท้ากันแบบนี้อีกล่ะ ลืมอดีตที่เคยถูกพระท้ามาแล้ว เมื่อท่านท้า ๒-๓ คำ ท่านเห็นพวกเรายิ้ม ท่านก็วางต้นไม้ ถามว่า พวกมึงหาว่ากูบ้าหรือย่างไรวะ ก็เลยยกมือขึ้นกราบท่านไหว้ท่านแล้วก็กราบ บอก ผมยังไม่เคยคิดเลยครับ คิดแต่เพียงว่า สุครีพโง่กว่าพระยากุมภกัณฐ์ แต่ว่าเวลานี้พวกผมไม่ใช่พระยากุมภกัณฐ์ครับ เป็นพระธุดงค์เดินมาเพื่อหาความสุข ทราบข่าวจากหลวงพ่อปานว่า ที่นี่มีเฉพาะพระอรหันต์ แต่พระแบกต้นไม้หลวงพ่อปานไม่ได้บอกไว้ เลยถาม อรหันต์แบกต้นไม้ไม่ได้หรือวะ ก็บอกว่า การถอนไม้ ทำต้นไม้ให้พรากจากกัน เช่น ตัดกิ่ง ตัดใบ เป็นต้น พระพุทธเจ้าปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ท่านบอกว่า นี่กูไม่ได้พรากต้นไม้นี่หว่า กูเอามาทั้งรากทั้งโคนเสร็จ (เอากับท่านสิ) กูจะเป็นอาบัติได้อย่างไร ก็ตอบว่า ถึงอย่างไรผมก็ไม่สู้หรอกครับในเมื่อพระคุณเจ้าเก่งขนาดนี้ ผมไม่สู้ ต้นยางนี่ผมก็ยกไม่ไหว ท่านบอกว่า เพราะพวกมึงยกไม่ไหว กูจึงมา ถ้าพวกมึงยกไหว กูก็ไม่มา ก็เลยกราบ นิมนต์ให้ท่านนั่ง
    ท่านเห็นท่าพวกเราไม่เถียงท่านด้วยวาจาหยาบ ท่านก็นั่ง ก่อนจะนั่งก็ห่มผ้าเรียบร้อย และก็ยิ้ม ก็ถามท่านว่า ขออภัยครับ ท่านอยู่ที่ไหนครับ บอก เออ..ไอ้เรื่องบ้านอย่าถามกันเลยวะ พวกที่อยู่บ้านโน่น เขานั่งแถวโน้น เขามีบ้านอยู่กัน ข้าไม่มีบ้านอยู่หรอก ถามว่า อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีบ้านอยู่ อยู่กับอะไร อยู่กับต้นไม้ ท่านบอก ไม่ใช่ ต้นไม้ก็ไม่ใช่ ถามว่า เพราะอะไร ข้าตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปี (เอาแล้ว พอฟังเท่านี้ก็เริ่มตกใจ นึกแปลก เอ๊ะ พระตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปีนี่มาได้อย่างไร) บอก เท่าที่มานี่ เธอจำได้ไหมว่ การเดินทางนี่เร็วนี่ใครสอนเธอ ก็บอกไม่มีใครสอนครับ หลวงพ่อจงเป่าหัว ๓ ครั้ง ท่านถามว่า การท่องเที่ยวไปภพต่าง ๆ ได้ ที่เธอทำได้ เพราะอาศัยใครรู้ไหม บอก รู้ครับ ท่านถามว่า อาศัยใคร ก็บอกว่า อาศัยหลวงพ่อปานหนึ่ง เป็นองค์ต้น ประการที่สอง เข้าถึงพระพุทธเจ้า ประการที่สามเข้าถึงพระอรหันต์ องค์ที่สอนให้ไปเที่ยวภพต่าง ๆ ได้จริง ๆ นั้นคือ พระโมคคัลลาน์
    ท่านก็เลยหัวเราะ รุปทั้งกายเป็นพระโมคคัลลาน์ทันที บอก นี่จำไว้นะว่า ลีลาพระอรหันต์ เมื่อกี้เธอคิดผิด ฉันมาสอนเธอ อย่าไปคิดสิว่า พระอรหันต์จะต้องเรียบร้อยทุกองค์ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านเคยเป็นลิงมาก่อน ขนาดเป็นอัครสาวก เจอะลำรางยังขัดเขมรกระโดดข้าม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา แต่ว่าเคยเป็นลิงมาก่อน และนิสัยลิงก็ติดมา นี่ก็เช่นเดียวกัน พวกเธอก็มานั่งวาดภาพ พอหลวงพ่อปานบอก มีพระอรหันต์มาก ก็คิดว่าต้องเรียบร้อย มันไม่ใช่อย่างนั้น
    ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านบอกว่า เป็นได้ จะเป็นอะไรไป ถ้าเธออยากจะเป็นจริง ๆ เว้นไว้แต่ว่าเธออยากจะไม่เป็น เธออยากเป็นพระครูไหม บอก ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นเจ้าคุณไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสมเด็จไหม ไม่อยากเป้นครับ อยากเป็นสังฆราชไหม ไม่อยากเป็นครับ ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่อยากเป็นก็บอกว่า ที่ไม่อยากเป็นไม่ใช่ไม่มีใครเขาตั้ง เขาจะตั้งหรือไม่ตั้ง ผมก็ไม่ทราบ เพราะว่า เกณฑ์วิชาความรู้ความสามารถผมไม่ถึง เอาเป็นแต่เพียงว่า ถ้าเป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย เวลานี้ มาคิดอย่างเดียวว่า เราจะตายแล้วเราจะไปไหนกัน บอก เออ..ดีแล้ว เธอคิดว่าจะไปไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เวลานี้กำลังผมอยู่แค่พรหมครับ ผมก็อยากจะไปพรหม ท่านบอกดี ไปพรหมก็ดี ตั้งใจต่อนิพพานเลยก็แล้วกันนะ
    ก้อถามท่านว่า จะตั้งใจต่อได้อย่างไรครับในเมื่อผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอก เรื่องพุทธภูมิ ก็เรื่องพุทธภูมิสิ นิพพานก็นิพพานสิ ถ้าเราบุรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระอรหันต์ไป มันไม่มีการจำกัดจำเขต ไม่มีการบังคับ อย่าง พระมหากัจจายนะ ท่านก็มาจากพุทธภูมิ ท่านมีบารมีเต็มแล้ว แต่ท่านไม่อยากจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ท่านก็ตัดสินใจลาพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิไป ก็เป็นอาจารย์ของเธอใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ครับ ท่านสอนด้านปฏิภาณ
    แล้วท่านก็ถามใหม่ว่า พวกเธอต้องการอะไรอีก บอกไม่ต้องการครับ มีความต้องการรู้อย่างเดียวว่า พระที่นี่มีอรหันต์กี่องค์ ท่านบอก ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ๑๖ องค์ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ทั้ง ๑๖ องค์ ถาม จริยา ท่านบอก ที่ฉันมานี่เพื่อจะให้พวกเธอรู้นะ ถ้าไปพบท่านบางองค์ท่านแสดงอะไรผิดปกติ อย่าไปนึกแปลกใจนะ ให้เข้าใจว่าทุกองค์เป็นพระอรหันต์ พร้อมใจไหว้ไว้ และไม่ใช่อรหันต์ปกติ เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เธอมานี่ทุกองค์รู้ พร้อมที่จะสอนเธอ ทุกองค์ตั้งใจสอนพวกเธอทั้งหมด ฉันจึงมาก่อน มาบอกเธอไว้ อาจารย์ปานท่านไม่ได้บอกให้ครบ ฉันมาบอกเธอ ถามว่า ต้นไม้ต้นนี้ละครับ ท่านบอก ไม่ยาก เดียวฉันจับโยนไว้ที่เดิมก็แล้วกัน แล้วท่านก็จับปั๊บ โยนไปปักที่เดิม ตามรูปเดิม ไปหารอยดินก็ไม่ได้
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับไป เวลากว่าที่ท่านจะกลับก็ค่ำ พวกเราก็จำวัด นอนตามสบาย เช้ากินข้าวเทวดา ตอนสายก็เดินไป ประมาณสักชั่วโมงเศษ ๆ ก็พบ ถ้ำ ๆ หนึ่ง พบพระองค์หนึ่ง สวยมาก องค์นี้พระจริง ๆ ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือว่า พระโมคคัลลน์ท่านบอก เป็นอรหันต์หมด หลวงพ่อปานก็บอก เป็นอรหันต์หมด และเป็นอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย
    เมื่อเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็นั่งเรียบร้อย องค์นี้เรียบร้อยมาก เหมือนผู้หญิง ท่าทางคล้ายผู้หญิง ผ้าผ่อนเรียบร้อยดี เขาไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า มากราบทำไม ก็บอกว่า สุปฏิบันโนครับ พระคุณเจ้าปฏิบัติดีปรฏิบัติชอบแล้ว ผมก็อยากจะไหว้ อยากจะดีเหมือนพระคุณเจ้า ท่านบอก ก็ดีได้ไม่เป็นไร วิธีปฏิบัติก็ง่าย ๆ นะ ไม่ยากนะ ครูก็สอนมาหมดแล้วนี่นะ ไม่ต้องเรียนกันอีกก็ได้มั้ง ที่มาหาแก้ข้อข้องใจนิดหน่อย ฉันก็สอนตามเดิม พวกเธอนี่สนใจอย่างเดียวว่า อาหันต์เขาเป็นกันอย่างไรใช่ไหมล่ะ บอกใช่ครับ ท่านบอก อรหันต์ไม่ได้หมายความว่า ต้องเหาะได้ทุกองค์ ไม่ต้องหายตัวได้ทุกองค์ ไม่ต้องแปลงตัวได้ทุกองค์ อารหันต์มีตั้ง ๔ อย่าง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    ถามท่านบอกว่า พระที่นั้งอยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดใช่ไหมท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า พระคุณเจ้าฉันข้าวกับอะไรครับ กับเทวดา หรืออยู่ด้วยธรรมปีติ ท่านบอก อยู่ด้วยธรรมปีติ ถามว่า ไม่ไปสงเคราะห์คนในบ้านในเมืองหรือครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ของฉันคือ บรรลุแล้วก็อยุ่ในป่า คอยพระที่มาในป่า เมื่อไรพระเข้ามาในป่า ฉันก็สอน ก็เลยบอกว่า เวลานี้ผมต้องการรับคำสอนครับ รับคำสอนอย่างที่ชอบใจมากที่สุด ท่านถามว่า ชอบใจใคร บอก ชอบใจพระคุณเจ้าครับ ดูท่าทางยังหนุ่มมาก ยังไม่แก่ ท่านก็ยิ้ม บอก ชอบใจฉันนะ บอกครับ
    ท่านเลยบอก เธอจงอย่าสนใจในรูป ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมดเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง รูปทั้งหมดเป็น ทุกจัง เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งหมด รูปทั้งหมดเป็นอนัตตา ตายทั้งหมด พังทั้งหมด อย่าสนใจในรูป จะเป็นคนก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นนางฟ้า จะเป็นเทวดา จะเป็นพรหมก็ดี มีสภาพจุติทั้งหมด ไม่มีการทรงตัว สภาพที่ทรงตัวมีที่เดียว คือ นิพพาน จงจำไว้ว่า นับตั้งแต่บัตินี้เป็นต้นไป จงอย่าสนใจในรูป เห็นรูปแล้วจงคิดไม่ใช่เอาตาหลบรูป เอาตาสู้รูป ตาสู้รูป ใจก็สู้รูป
    ตาสู้รูป ก็หมายความว่า ตาเห็นรุป จงคิดว่า รูปนี้เป้นธาตุ ๔ แล้วแบ่งเป็นอาการ ๓๒ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ต้องมีความทุกข์เพราะรูป ต้องหาเลี้ยงรูป ในที่สุดรูปก็ตาย ตายแล้วมีสภาพเป็นผี เมื่อสภาพเป็นผีแล้ว ไม่สามารถจะเอารูปไปได้ ต้องทิ้งรูปไว้ ไปเสวยสุข เสวยทุกข์ตามธรรมดา ถ้าเธอไม่สนใจในรูป เธอก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเธอยังสนใจในรูปอยู่ เธอก็เป็นอรหันต์ไม่ได้
    จบไปอีกหนึ่งตอนน่ะค่ะยังเหลืออีก ๓ ตอนก็จะจบเล่มแล้วค่ะ ตอนต่อไป เป็นตอน ไปสายเมืองกาญจนบุรี ว่างๆจะมาต่อให้น่ะค่ะ
     
  14. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ไปสายเมืองกาญจนบุรี
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายวันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ ตอนที่แล้วมาหยุดที่ภูเขาภูกระดึง
    ตอนที่อยู่ภูเขาภูกระดึงนั่น ก็ปรากฏว่า มีพระอรหันต์ที่มีเนื้อมีหนัง ๑๖ องค์ เป็นปฏิสัมภิทาญานทั้งหมด ก็มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะจากท่าน วิธีปฏิบัติจากท่านทั้ง ๑๖ องค์ แต่ความจริง พระอรหันต์ท่านอยู่แบบสบาย ๆ ไม่ต้องนั่งเครียดนั่งเคร่งอย่างพวกเรา พวกเราต้องเครียด พวกเราต้องเคร่ง ท่านอยู่แบบเป็นสุข เดินไปเดินมาบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ตามสบาย ๆ ของท่าน แล้วท่านก็ไม่กวนใคร จะหาว่าเป็นการรังแกสังคม (เขาเรียกกันว่าอะไร) กินของสังคมเปล่า ๆ ท่านก็ไม่ได้กิน พวกท่านกินข้าวจากเทวดาบ้าง แต่บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ สิ้นเวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง แล้วก็ออก
    ก็ได้ศึกษาความรู้จากท่าน และวิธีปฏิบัติ แต่ความจริง วิธีปฏิบัติแต่ละท่านที่สอนไม่ยากเลย ท่านสอนแบบง่าย ท่านบอกว่า การปฏิบัติที่เป็นแบบยาก ๆ น่ะ มันไม่ถูก มันใช้อารมณ์ไม่ครบถ้วน ถ้าใช้อารมณ์ครบถ้วนมันไม่ต้องยาก ทำแบบนี้ ๆ เหมือนกันหมดองค์ไหนก็องค์นั้น สอนเหมือนกันหมด ถามว่า ถ้าจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณ จะทำอย่างไร ท่านก็บอกว่าไม่ยาก ก็ทำตามนี้แหละ อย่างที่พวกเธอทำนี่ก็เดินแนวเข้าหาปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน(แต่ว่าไม่ได้ถามท่านว่า ชาตินี้เราจะเป็นอรหันต์หรือเปล่า ไม่ได้ถามท่าน ท่านอาจจะรู้)
    ท่านบอกว่าถึงแม้ว่าเธอไม่ถาม ฉันก็ทราบ ถ้าเธอถาม ฉันก็ไม่ตอบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าก็สุดแล้วแต่คน ทาง ถึงแม้ว่าจะไม่ไกล ท่านบอกว่า ไปแระเดี๋ยวใจก็ถึง แต่คนนั้นจริง ๆ เดินไปทุกวัน ก็ใกล้เข้าไปทุกที การบรรลุอรหัตผลถึงขั้นปฏิสัมภิทาญาณ ก็ไม่ใช่ของยาก เป็นของง่าย ๆ ท่านว่าอย่างนั้นนะ
    เลยถามท่านองค์หนึ่ง ถามท่านว่า ที่พระเดชพระคุณบอกว่า มันง่าย เคยนำวิชา ความรู้นี้ไปสอนชาวบ้านบ้างหรือเปล่า ใน ๑๕ องค์เงียบ นั้นแสดงว่า ๑๕ องค์ไม่เคยไปสอนใคร อีกองค์ยกมือขึ้น ฉันเคยไปสอนแล้ว เมื่อฉันได้อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แต่ความจริง เวลานั้นฉันได้แค่เพียงนักธรรมตรี เพราะฉันอยู่ที่วัดได้แค่นักธรรมตรี และออกธุดงค์ การธุดงค์ก็มาขึ้นกับ หลวงพ่อปานเหมือนกัน (ไปเจอะลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันเข้า) หลวงพ่อปานท่านก็แนะนำให้ฝึกธุดงค์อยู่ ๓ เดือนอย่างพวกเธอนี้แหล่ะ (แบบอุกฤษฏ์) การฝึก ๓ เดือนนั้น ท่านฝึกแผนกปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง ความจริงฉันก้ไม่รู้เมื่อครบ ๓ เดือน ท่านมั่นใจแล้ว ท่านก็ปล่อยออกปฏิบัติ เมื่อมาปฏิบัติธุดงค์อยู่จริง ๆ ได้ ๓ ปี อยู่ในป่าเลยไม่กลับบ้านไม่กลับเมือง ๓ ปี จึงได้บรรลุอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
    หลังจากเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คิดว่า ที่สำนักของเราก็เป็นนักบุญ นักศึกษา นักปฏิบัติอยากจะบรรลุมรรคผลกัน แต่ว่าหลักสูตรที่สอนกัน มันไม่เข้าขั้นการบรรลุมรรคผล เพราะคนแต่ละคนที่มาทำ ต้องพอใจเรื่องยาก ๆ และครูสอนก้ต้องสอนแบบยาก ๆ อารมณ์ด้านจิตใจไม่ค่อยสนใจกันนัก จึงได้กลับไปสำนักของท่าน เมื่อไปถึงแล้ว ก็อธิบายให้เขาฟัง พออธิบายเสร็จ บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็บอกว่า ท่านออกไปจากวัดนี้จบแค่นักธรรมตรี พวกผมเป็นนักธรรมเอกบ้าง กำลังเรียนอภิธรรมบ้าง จบอภิธรรมบ้าง จะเอาควายมาสอนม้า มันสอนไม่ได้หรอกคุณ กลับเข้าป่าไปตามเดิมเถอะ เมื่อโดนเข้าแบบนี้ ก็เลยต้องกลับ สอนไม่ได้
    ก็ถามท่านว่า ในฐานะที่ท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านไม่รู้ก่อนหรือว่าไปแล้วเขาจะไม่รับ ท่านบอก ท่านรู้ แต่อยากลองดูว่า ความรู้ของเราจะตรงตามความเป็นจริงไหม อาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ ความรู้สึกของเราก็ตรงตามความเป็นจริงก็พอใจ มีความพอใจเกิดขึ้นก็กลับมาที่เดิม มาอยู่ที่ตรงนี้ ฉะนั้นถ้าเธออยากจะเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ จะเป็นชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เพราะการปฏิบัติความดี มันสืบเนื่องกันทุกชาติ ไม่ใช่ทำชาตินี้ตายแล้วหายไป ชาติหน้าเกิดใหม่ทำใหม่ เริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่อย่างนั้น มันต่างคนต่างติดต่อกันทุกชาติ ที่เรียกว่า ติดต่อสร้างบารมีต่อกัน
    ก็เป็นอันว่า ได้รับการศึกษาแล้ว ก็อยู่กับท่านในสถานที่นั้น คราวนั้นอยู่จริง ๆ ๔ เดือน ปฏิบัติร่วมด้วย ฟังคำอธิบายด้วย รู้สึกชื่นใจมาก และการปฏิบัติก็ไม่มีการเคร่งเครียด เพราะท่านคอยเตือน อารมร์ใดที่ท่านให้ตั้งใจทำ ก็ทำตามนั้น เมื่อเป็นที่พอใจของท่านแล้ว ก็ย้ายไปสู่อารมณ์อื่นที่ท่านต้องการอีก เมื่อย้ายไปแล้ว ความจริงอารมณ์แรก ถ้าทำได้จริง ๆ และมีอาการทรงตัว อารมณ์ภายหลังก้ไม่หนักนัก เพราะใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน เปลี่ยนแต่ลีลาเท่านั้น
    หากว่าท่านทั้งหลายอยากจะถามว่าที่ท่านสอนนั้น สอนอย่างไร ก็ขอตอบว่า ไม่ตอบให้ทราบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันจะไปขัดกับคนหลายคนที่เขากำลังสอนกัน ก็มีสำนักหลาย ๆ สำนักที่กำลังปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เขาทำถูกไม่ใช่เขาทำผิด แต่ว่าอารมณ์เท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท อารมณ์ที่ปฏิบัติเท่านั้นเอง ที่ตึงเกินไป หรือว่าหย่อนเกินไป ใช้อารมณ์ถูกต้อง หรือไม่ถูก ตรงเป้าหมายไหม หรือว่าเฉียดเป้าหมาย
    เป็นอันว่า อยู่กับท่าน ๔ เดือนเศษ ก็จะลาท่านกลับ ท่านก็บอกว่า ฉันรู้สีกพอใจมากที่คุณทั้ง ๓ ทำทุกอย่างตามที่ฉันสอน และก็มีผลทุกอย่างตามที่ฉันสอน แต่ว่าจงอย่าลืมตัว จงอย่าคิดว่า เราเป็นพระอรหันต์ เวลานี้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นแต่เพียงว่า เรียนรู้วิธีการพระอรหันต์เท่านั้น ให้กลับไปวัด ไปทำเสมอ ๆ ไปสู้กับคน (คำว่า สู้กับคน ก็หมายถึงว่า สู้กับอารมณ์) กลับไปถึงวัด พวกคุณจะถูกชาวบ้านโจมตี พระด้วยกันจะโจมตี จงทำอารมณ์ให้สบาย ขณะที่อยู่ในป่า มีอารมณ์เยือกเย็นฉันใด เมื่อเข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่ต้องการ ไม่ต้องใจของเรา ให้มีอารมร์เยือกเย็นฉันนั้น ทำให้เหมือนกันอยู่ในป่า ป่า หรือบ้านให้มีสภาพเหมือนกัน ป่าสงัด แต่อยู่ในวัด ก็ต้องสงัดเหมือนป่า อยู่กับชาวบ้านก็ต้องสงัดเหมือนป่า คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเหลือ คนที่พูดให้ขัดคอเรา ไม่ถูกใจเราเขาเหล่านี้ก็ตาย เขาเคยพูดอย่างนี้มานับอสงไขยกัปไม่ถ้วน และเขาก็ลงนรกนับไม่ถ้วน เขาไม่เข็ด ปล่อยเขาไป อย่าไปโต้เถียงเขา ถ้าโต้เถียงเขา เขาจะโกรธมาก เขาจะบาปมากขึ้น เราก็ทำเฉย ๆ เสีย บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าขอลาท่านกลับ
    เวลากลับ ก็เดินทางแค่ ๓ วัน ก็ถึงวัดหน้าต่าง ขาไป ๒ วัน ขามา ๓ วัน จากวัดหน้าต่าง พอเข้าไปถึง ก้ไปหาหลวงพ่อจง กราบท่าน พอเห็นหน้าท่านก็ยิ้ม พอกราบท่านลืมตาขึ้นมา บอกว่า อย่างไรล่ะ ฉันว่าแล้ว ไปต้องเจอะของดี สิ่งที่ดุ ๆ ทั้งหมด (นั่นก็คือ พระอรหันต์) พวกเสือสางนางไม้ไม่น่ากลัว พวกที่น่ากลัวคือพระอรหันต์ การที่ไปอยุ่ที่นั่นดีไหม พวกเราคิดอะไรไม่ได้เลย คิดนอกลู่นอกทาง รุ่งเช้าพบหน้ากัน ท่านยิ้ม ท่านบอก เมื่อคืนนี้พลาดไปหน่อยน่ะ แต่ไม่เป็นไร เป็นของธรรมดา ก็ราบท่าน บอก จริงขอรับ คิดนอกลู่นอกทางไม่ได้หลวงพ่อจงเลยบอกว่า การปฏิบัติ ถ้าอยู่กับคนรู้ เราจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่บรรลุมรรคผลแบบท่าน ถึงท่านก็ตาม แต่ว่าอย่าลืมว่า เชื้อสายเก่าท่าน ที่เราได้มาก็เหมือนกับอาหารหล่อชีวิต เราค่อย ๆ คิดตามท่านค่อย ๆ ปฏิบัติตาม่าน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า มันต้องถึง ท่านเลยบอกว่า ฉันคิดว่า อาจจะเป็นชาตินี้มากว่า ถ้าเธอไม่เลิก
    แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็อย่าเพิ่งคิดนะว่า อาตมาเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณยังไม่ได้บอก เพราะว่าการกลับมาวัด กลับมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ภาระอื่นก็หนัก กรรมฐานก็อ่อนไปหน่อย หย่อนไปนิด แต่ไม่เลิก เวลาที่ทำได้จริงก็คือ เวลานอน กับเวลาทำวัตร เวลานอน ว่างจากการดูตำรา ก็ใช้อารมณ์พิจารณา เวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เวลานั้นใช้กำลังเต็มที่ ปากก็สวดไป ใจก็นึกไปตามภาษาบาลีที่สวด (ภาษาภาลีที่สวด ถ้าแปลได้ มีประโยชน์มาก เป็นวิปัสสนาญาณเยอะแยะ สอนไว้ได้ดีมาก)
    ก็รวมความว่า หลังจากนั้นมา รุ่งอีกปีหนึ่ง ก็นัดกันว่า หลังจากสอบไล่เสร็จ เดือน ๔ แล้ว เดินทางเข้าป่าต่อไป การเป็นเปรียญของเราไม่มีประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า การเรียนเปรียญ ไม่ใช่หมายถึง มรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแนะนำว่า เป็นเปรียญชั้นนั้น ชั้นนี้ จะมีมรรคผลเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราเป็นเปรียญ ๙ ประโยค เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าบังเอิญไม่ได้ปฏิบัติ และแถมไม่ใช่ผู้ทรงฌาณเสียด้วย ดีไม่ดีจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไป เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเรียนกันแค่พอรู้ภาษาบาลี พอรู้บ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้รู้ว่าภาษาบาลีเป็นอะไร มุ่งมั่นปฏิบัติดีกว่า ก็ชวนกันออกธุดงค์ต่อไป
    หลังจากกลางเดือน ๔ เสร็จแล้ว พอแรมค่ำหนึ่งเดือน ๔ ก็เดือนทางเข้าหาหลวงพ่อจง ขึ้นธุดงค์ใหม่ หลวงพ่อจงหัวเราะ ฮิ ๆ ท่านถามว่า จะไปไหนปีนี้ บอก ปีนี้จะไปทิศตะวันตกครับ ท่านบอกว่า เออ..ก็เจอะอีกแบบหนึ่งนะ คราวนี้ไปเจอะ ๒ แบบ ถามว่า แบบอะไรครับท่านบอก ฉันไม่บอกหรอก เธอไปก่อนก็แล้วกัน เธอจะรู้เอง ก็ตัดสินใจว่า ต้องไป จะพบแบบไหนก็เอากัน ก็ลาท่านไป เดินออกไปจาก จังหวัดสุพรรณบุรี ไปข้ามที่ประตูน้ำบางยี่หน และเดินเลาะคลองไปถึง (จำชื่อไม่ได้ ใกล้ ๆ บางใหญ่) ก็ข้ามฟากตัดไปพระแท่นดงรัง
    ระหว่างไปทีพระแท่นดงรัง ก่อนที่จะถึง ก็ไปถึงศาลาหลังหนึ่ง เขาปลูกอยู่กลางทุ่งมันเป็นป่าละเมาะ ก็ปักกลด เมื่อปักกลดเสร็จ มองบนศาลา เห็นกลดเยอะ มีกลดตั้ง ๑๐ กลดกว่า มีบาตร มีกลดเยอะแยะ วางอยู่ ก็สงสัยว่า ที่นี่คงมีพระธุดงค์มาพักมาก และเวลานี้ท่านไหน อาจจะเข้าไปอาศัยวัดต่าง ๆ เพื่อพักอาศัยชั่วคราวก็ได้ จึงทิ้งกลด ทิ้งบาตรไว้ (แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น)พอปักกลดเสร็จ ตามระเบียบของการธุดงค์ ปักกลดเสร็จห้ามถอน จะเป้นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม ห้ามถอนเด็ดขาด
    ก็เป็นอันว่า เมื่อปักกลดเสร็จ อาบน้ำเสร็จ บ่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ ก็มีชาวบ้าน ๓-๔ คนมายกมือไหว้ด้วยความเคารพ บอก ท่านขอรับ อย่าปักกลดที่นี่เลยขอรับ ถ้าปักกลดจริง ๆ นิมนต์ไปปักกลดใกล้ ๆ บ้านผม หมูบ้านผมที่โน่น ห่างจากนี่ไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านหลายหลัง ถามว่า ทำไมละโยม เพราะตามธรรมดา พระปักกลดแล้วถอนไม่ได้ มันเป็นระเบียบ โยมก็เลยบอกว่า อย่างนี้หลายองค์มาแล้วครับ ท่านเห็นกลดบนศาลาไหม บอกว่า เห็น ถามว่า พระไปไหน เธอก็บอกว่า พระนี่ เสือกินหมด ถามว่า เสือกินที่ไหน บอกว่า ปักกลดที่นี้แหล่ะครับ ที่ท่านปักนี่แหล่ะ เสือก็มาลากพระไปกิน พวกผม ตอนเช้ามาใส่บาตร ไม่เห็นพระ เห็นแต่รอยเลือด และรอยเสือ ก็เขาใจว่า เสือเอาไปกิน ก็เอากลดเอาบาตรไปเก็บไว้ และพระคุณเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้ง ๓ องค์ เกรงว่าจะไม่พ้นความเป็นเหยื่อเสือ ก็บอกว่า โยม ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาตมาปักแล้วถอนไม่ได้ ก้ขอยอมตายอย่างพระพวกนั้น ถ้ามันจะตาย ถ้ามันจะไม่ตายก็ไม่ตาย ถ้ามันตายก็ตายตามใจชอบ
    เมื่อโยมเห็นว่าไม่ถอนจริง ๆ โยมก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้พวกผมจะมาประมาณ ๑๐ คน จะนอนอยู่ป่าละเมาะโน้น ถ้าบังเอิญเสือมาจริง ๆ ให้ท่านเคาะฝาบาตรผมจะจัดการกับเสือเอง และญาติโยมก็กลับ หลังจากนั้นก็เอาน้ำมะตูมมาถวาย
    ถึงเวลาหัวค่ำ ญาติโยมกลับแล้ว ก็เจริญกรรมฐานก็ไม่มีอะไรเดือนหงายจัดเพียงแค่ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ เดือนยังหงายจัดอยู่ แต่ว่าเวลาตอนตี ๒ บรรดาท่านพุทธบริษัท ตื่นขึ้นมาตามเวลาเจริญพระกรรมฐาน ปรากฏว่า เจ้าเสือใหญ่ขนาดม้า มันยืนขาวสง่าอยู่ใกล้กลด มันก็ดมฟุดฟิด ๆ ไปรอบ ๆ กลด มันจะหาทางเข้าในระหว่างกลด แต่เข้ามาไม่ได้ ผ่านสายอัพโภกาศไมได้ มันเดินรอบ ๆ ไป สัก ๒-๓ รอบ แล้วมันก็เดินออกไป แล้วก็กลับมาใหม่ ทำอย่างนี้ ๓ ครั้ง
    ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายอยากจะถามว่า เวลานั้นรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบว่า ความรู้สึกเวลานั้นก็คือ ตั้ง เมตตัญ จะ สัพพโลฯ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด แผ่เมตตาจิต และคิดว่าถ้าเสือกัดเราคราวนี้ เสือกัดปั๊บ ทันที เราขอไปนิพพาน ร่างกายมันจะตาย หรือไม่ตายก็ตาม ขอไปนิพพานอย่างเดียว ก็ภาวนา นิพพานะ สุขัง จิตเป็นสุข เสือทำท่าอย่างไรก็ช่าง หลับตาไปเลย ไม่ยอมมองเสือใจไปโน่น ใจไปทอดท้ายอยู่พรหม ไปมองดูภาพเสือ มันฟุดฟิดโฟไฟของมัน ตามเรื่องตามราวในที่สุด เสือก็กลับไป
    พอตื่นขึ้นเช้า อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็นำภัตตาหารมาถวาย ญาติโยมเห็นเข้าก็ดีอกดีใจบอกว่า เจ้าพระคุณเอ๊ย หลายองค์แล้วไม่พ้นจากเขตเสือ ญาติโยมก็ถามว่า เมื่อคืนเสือมาหรือเปล่า บอก มา แต่มันไม่ทำอะไร มันเดินวนมาวนไป วนไปวนมา มันดูดกลิ่นฟิด ๆ แล้วมันก็กลับไป โยมก็ดีใจคิดว่า เป็นพระที่มีความดี เมื่อถวายข้าวเสร็จ ก็นิมนต์อยู่ ๓ วัน ขอทำบุญ ๓ วัน ก็รับโยม แต่ว่าก็มีคืนแรก คืนเดียว ที่เจ้าเสือมากวน คืนที่ ๒ คืนที่ ๓ ไม่มี
    หลังจากวันที่สามแล้ว ตอนบ่ายก็ถอนกลด เดินไปอีกพักหนึ่ง ก็เจอะลาน ๆ หนึ่ง มีหมูบ้านไม่ไกลนัก (ตอนนี้ยังไม่พ้นหมู่บ้าน) เห็นเป็นบริเวณดี ก็เลยปักกลด มีหนองน้ำใกล้ ๆ ปักกลดเสร็จ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็มา ปรากฏว่าที่นี่คนเก่งภาษาบาลีมาก ญาติโยมที่มาคุยเรื่องของพระ รู้เรื่องดีทั้งหมด ญาติโยมผู้ชาย ญาติโยมผู้หญิง รู้ดีหมด จนกระทั่ง ญาติโยมสาว ๆ ที่ยังเป็นโสด ก็รู้เรื่องพระดี แต่ว่ามีแปลก ในสถานที่อื่นไม่เหมือนที่ตรงนี้ คือ ญาติโยมสาว ๆ เวลาคุยแกใช้ตาแบบเจ้าชู้ ไอ้ลีลาแบบนั้นใช้เป็นปกติ เผลอไมได้ เผลอเป็นใช้ แกตั้งใจใช้มาหลายสาว ก็นึกในใจว่า ที่นี่มันเป็นอย่างไร
    ก็หันไปถามท่านอินทกะ ถามว่า ที่นี่ทำไมสาว ๆ พวกนี้จึงสนใจแสดงท่าทางแบบนี้ ท่านก็เลยบอกว่า คนผู้ชายที่นี้ส่วนใหญ่เป็นพระธุดงค์ และก็มาที่นี่ มาสึกเพราะ สาว ๆ ประเภทนี้ มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าชุดไหนก็ชุดนั้น สึกแน่ เหลือแต่พวกท่าน ๓ องค์เท่านั้น แหละจะสึก หรือไม่สึก ก็เลยบอกว่า ยังไม่สึก เพราะว่าที่นี่ไม่มีแม่น้ำ ตามปกติชอบใกล้แม่น้ำ ถ้าที่นี้มีแม่น้ำ มืเรือพายแจว ก็จะสึก นี่หาแม่น้ำไม่ได้
    ท่านอินทกะท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า น้ำใจอย่างไรเล่า เขามีน้ำใจมาตั้ง ๔-๕ คน นั่งเพ่งมอง แล้วก็ช้อนตามอง ตะแคงมอง มองแล้วก็ยิ้มให้ ทำไมไม่สนใจกับเขา ก็บอกว่า สนใจแล้ว แต้งแต่เห็นเธอเดินมาก็สนใจ ท่านอินทกะก็ถามว่า สนใจแบบไหน ก็เลยบอกท่าน บอกว่า สนใจแบบคนพวกนี้ไม่ช้าก็แก่ เมื่อยังไม่แก่ก็มีทุกข์ ทุกข์จากอารมณ์ที่รัก ทุกข์จากความเหนื่อยยากจากการงาน ทุกข์ในอาชีพต่าง ๆ ทุกข์ทุกอย่างที่มันเข้ามาถึงและร่างกายมันก็ไม่เป็นสาระ มีอาการ ๓๒ สกปรกโสโครก ข้างนอกถึงแม้จะขัดสีฉวีวรรณอย่างไรก็ตาม มันก้ไม่สะอาดพอ ฝุ่นละองก็แปดเปื้อน ถึงแม้จะทาขมิ้นให้เหลือง (โดยมาก สมัยนั้น เขาชอบทาขมิ้น กับแป้งผสมกัน มันทั้งขาว ทั้งเหลือง ความจริงก็น่าดูเหมือนกัน)
    ก็รวมความว่า พักอยู่ที่นั้น ๒ คืน (เป็นอันว่า หลุดจากเปลาะที่นั่นไป) ตามคำอาราธนาเหมื่อหลุดไปแล้ว ก็เข้า พระแท่นดงรัง เขาไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น ที่เขาบอกว่าพระพุทธเจ้านิพพานที่นั่น แต่ความจริงไม่ใช่ ใช่ หรือไม่ใช่ก็ไม่สำคัญ เราถือว่าที่ตรงนี้เป็นที่ชาวบ้านยอมรับนับถือว่า พระพุทธเจ้านิพพานที่ตรงนี้ เมื่อเรากราบลงไป เราก็กราบพระพุทธเจ้า เราไม่ได้กราบหิน นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าท่านดีขนาดไหนเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นลูกกษัติย์ และเป็นผู้เลิศในการบรรลุมรรคผล ไม่มีบุคคลใดสามารถจะสู้ได้ มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่สามารถแตะต้องได้ ความรู้ดีเลิศ ตัดกิเลศได้อย่างประเสริฐ มีความสามารถเป็นพิเศษ ยัง นิพพาน แล้วเราล่ะเรา ไม่ช้าเราก็ตาย
    ก็เป็นอันว่า ไปไหว้ท่าน แล้วก็ปักกลดที่นั่นหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เดินเข้าดงต่อไปเดินเข้าดงต่อไปก็เข้าป่า คราวนี้ไม่พบใตรแล้ว เข้าป่าชัฏตามที่มีความต้องการ ก็ไปเจอะภูเขา ลูกหนึ่ง สูงมาก (แต่ความจริง เมืองกาญจน์นี่ ภูเขาเยอะแยะบอกไม่ถูก) แต่เขาลูกหนึ่งแปลกสูงหน่อยหนึ่ง และมีแสงสีเขียวออก ก็แปลกใจ ก็คิดว่ ที่นี่อาจจะมีอะไรดีพิศษ ก็เลยพากันปักกลด
    ถ้าถามว่าในฐานะที่เรียนกับพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมไม่ใช้ญาณเป็นเครื่องรู้ก็ขอตอบว่า ญาณเป้ฯเครื่องรู้เขาใช้เฉพาะเวลากัน เวลาที่มีความจำเป็นจริง ๆ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เขาไม่ใช้กัน ดูตัวอย่าง พระมหากัสสป ที่ท่านเสียท่าพระอินทร์ ก็เพราะไม่ได้ใช้พระอรหันต์เขาไม่ใช้กันป้วนเปี้ยนไปหรอก ไม่เหมือนพวกทรงฌาณโลกีย์ พวกทรงฌาณโลกีย์ คล้าย ๆกับเด็กรุ่นหนุ่ม หรือนักมวยหัดใหม่ อยากจะเก่ง ไปไหนก็ทำท่าจะชกอยู่ตลอด เวลา พระอรหันต์ ก็เหมือนกับแชมป์โลก ไปไหนก็เดินเฉยๆ
    สำหรับคณะอาตมานั้น ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ว่าเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ ก็ทำลีลา คล้าย ๆ กับอาจารย์ อาจารย์สอนมาแบบไหน ทำแบบนั้นตตามปกติคือ ไม่ฝ่าฝืนคุณงามความดีของอาจารย์ อาจารย์ ก็คือ หลวงพ่อปานด้วย หลวงพ่อจงด้วย หลวงพ่อเนียมด้วย หลวงพ่อโหน่งด้วย อย่างนี้เป็นต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อาตมาก็เคยไปเรียนกับท่าน ท่านก็สอนดี ความเข้าใจของท่านถูก ท่านสอนถูก ตามความเป็นจริง แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง สำคัญผุ้รับเท่านั้นแหละ รับไปแล้วจะเข้าใจถูก หรือเข้าใจผิด อันนี้ไม่ทราบ
    เป็นอันว่า ปักกลดเสร็จ ก็ถึงเวลาพอดี เข้าพักผ่อน นอน เริ่มนอนในตอนต้น พักผ่อน อาการเหนื่อย ถึงเวลาหัวค่ำก็เจริญกรรมฐาน ก็ไม่มีอะไร บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ขณะที่เจริญกรรมฐาน ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติหมด ไม่มีอะไรน่าหนักใจ
    จบไปอีกหนึ่งตอน
     
  15. กัณฑกะ

    กัณฑกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +1,427
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=eODCzrFeQ5o]หลวงตามหาบัว::อัศจรรย์แห่งธรรม - YouTube[/ame]
     
  16. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ขึ้นเขาพระสุเมรุ
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ ก็ขอต่อ ต่อนที่แล้วมาพักปักกลดเสร็จ เจริญกรรมฐานตอนต้น แต่ว่าสงสัยว่า ทำไมมีแสงเขียวจากภูเขาลูกนี้ ก็ไม่มีใครใช้กำลังใจดู ถ้าดูเสียก็หมดเรื่อง แต่ความจริง เราเป็นคนต้องการหาเรื่อง ไม่ต้องการให้หมดเรื่อง ต้องการรู้ของจริง สิ่งที่รู้จากจิต ถ้าไม่มีใครยืนยัน เช่นหลวงพ่อจงก็ดีหลวงพ่อปานก็ดี และอาจารย์ทั้ง ๑๖ องค์ก็ดี ท่านไม่ยืนยัน เราก็ไม่ยอมเชื่อตัวเองเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็ต้องท่านอินทกะยืนยัน ถ้าถามท่านอินทกะ ท่านอาจจะบอก หรือไม่บอกก็ได้ จะมีอะไรบ้าง มีถ้ำไหม มีอะไรไหม แสงเขียวมาได้อย่างไร
    หลังจากตี ๒ ทำกรรมฐานเสร็จ ก็นอนต่อไป ตอนตี ๔ นอน พอตื่นมาใกล้สว่าง มีคนนอนสองข้าง คิดว่าเพื่อนสององค์มานอนด้วย แต่ความจริงไม่ใช่ กลายเป็นคนนุ่งโสร่งแดง ผ้าพันคอแดง นอนข้าง ๆ พอลุกขึ้นมาถามว่า ว่าอย่างไรเพื่อนเอ๊ย มานอนอย่างไรเล่า สองคนลุกขึ้นมาบอก มานอนกันผีน่ะสิ ที่นี่ผีมันดุ ถามว่า แกไม่ใช่ผีหรือ บอก ผมก้ผี เขาเรียก ผีเทวดา (อีกสองกลดก็มีสภาพเหมือนกัน) ก็ถามว่าในภูเขานี่มีอะไรหรือ จึงมีแสงสีเขียวออกมา เขาบอกว่า ที่นี่มีเหล็กไหล
    ตอนเช้าท่านฉันข้าวเสร็จ ผมจะนำท่านไป ไปดูเหล็กไหลกัน ผมเป็นเจ้าของถื่นแถวนี้ก็ถามว่า ที่นี่มีแต่เหล็กไหลหรือ ทองคำมีไหม ท่านบอก เยอะ ทองคำธรรมชาติก็เยอะ ทองคำที่เป็นแท่ง เขาหลอมแล้วก็เยอะ จะเอาไหมล่ะ จะให้ บอกว่า อย่าเลยพ่อคุณ อย่าให้ฉันตกนรกเลย ฉันมาธุดงค์นะ ฉันไม่ได้มาหาเงิน หาทอง แต่ต้องการเห็นเหล้กไหล ทองนี่เคยเห็น แต่เหล็กไหลไม่เคยเห็น
    ตอนเข้าบิณฑบาตกับเทวดาเสร็จ (แต่ความจริงไมได้ไป) ก็มีเทวดา มีนางฟ้า ท่านมาใส่บาตร ทีนี้ท่านแต่งตัวสวย ๆ แต่ไม่ได้ใส่ชฎานะ ไม่มีเครื่องประดับ แต่งตัวเรียบร้อย เหมือนคนสวยของเรา ๆ ใส่บาตรเสร็จ ฉันข้าวเสร็จ ยถา สัพพีฯ เสร็จ ท่านรับพรแล้วท่านก็หายไป ท่านทั้ง ๔ องค์ (ที่นอนกับอาตมา ๒ องค์ อีก ๒ องค์ คนละองค์) ก็เดินนำหน้าเข้าไปดูข้างใน ไปถึงหน้าถ้าเขาบอก มีถ้ำ ไปเจอะเถาวัลย์มันก่ายกันเข้ายากเหลือเกินไม่มีมีด ไม่มีขวาน เป็นอันว่า ต้องขอแรงเทวดา ดึงเถาวัลย์ให้พอเป็นช่องลอดตัวเข้าไปได้
    เมื่อเลย เถาวัลย์เข้าไปแล้ว ก็เจอะถ้ำใหญ่มาก ด้านหน้าสูงพอสมควร เข้าไปมีถ้ำลึกเพดานสูงมาก ต่อไปตอนหลัง ก็มีถ้ำหลังคาเตี้ย ๆ มีเหล็กไหล เหล็กไหล นี้สวยจริง ๆ สีดำขลับ เป็นมันวับ ก้อนใหญ่มาก โตกว่าบาตร และก็มีหลายจุด
    ท่านเทวดาก็บอก ลองจุดไฟขึ้น จุดเทียน ก็จุดเทียนไข แล้วก็ลน พอลนเข้าไปแล้ว รู้สึกเหล็กไหลย้อยลงมา ย้อยลงมาจนแหลมเปี๊ยบ เส้นเล็ก จากเส้นใหญ่เป็นเส้นเล็ก พอมือไปแตะพั๊บ รัดพึ้บ เขาที่เดิมตามเดิม เทวดาท่านก็เลยบอกว่า ให้ดูได้ แต่เอาไม่ได้นะ ก็เลยบอก ไม่เอาหรอก ให้ก็ไม่เอา การให้การรับของ เป็กิเลส ไม่ต้องการ เป็นอันว่า กลับมาอยู่ที่ถึงเวลากลางวัน ก็นอนโคนต้นไม้
    ขณะที่นอนโคนต้นไม้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาประมาณบ่อยสัก ๒ โมง เศษ เกือบ ๓ โมง หันไปทางด้านขวา มีพระองค์หนึ่ง นุ่งผ้าสบง เอาผ้าอาบคาด เอาจีวรเคียนศรีษะ และมีอังสะตัวเดียว มีส้อมเหล็ก แล้วก็มีเถาปลาไหล ลากมาเป็นพรวน แทงส้อมเหล็กลงไปในหิน แล้วก็ได้ปลาไหลขึ้นมา แล้วก็ร้อยพวง ปลาไหนก็ดิ้นปั๊บ ๆ ท่านก็แทงเรื่อยไปท่านได้ปลาไหลเรื่อยไป พวกเรามองดูก็แปลกใจว่า ถ้าพระจริง ๆ ไม่มีใครเขาทำ และอีกประการหนึ่ง หินนี่เหล็กมันแทงไม่ไหว แทงบนหินนะ มีปลาไหลขึ้นมา เจ้าปลาไหลถูกร้อยก็ยอมตาย ดิ้นไปดิ้นมา มันดิ้น มันช่วยกันดิ้น พวงใหญ่ ท่านก็แทงหินหน้าตาเฉย เรื่อยมาใกล้ ๆ ห่างประมาณสัก ๔ วา ท่านแทงวนรอบ ๆ จึงคุยด้วยกันทั้ง ๓ องค์
    ทั้ง ๓ องค์มองดูหน้ากัน ก็ทราบกำลังใจว่า ทุกองค์ทราบแล้วว่า พระองค์นี้เป้นใคร (คำว่าเป็นใคร นั่นหมายถึง ผลของท่านนะ พูดถึงมรรคผล ไม่ใช่ชื่อเสียง) และทำอย่างไรจึงคุยกันได้ ท่านไม่ยอมคุยด้วย ท่านแทงแต่ปลาไหล ที่รอบตัวเราปลาไหนก็ชุมอีกเหมือนกันมันก็เป็นหิน ก็เลยพูดขึ้นมาระหว่างเพื่อน บอก เพื่อนเอ๊ย คนเรานี่ ถ้าบ้าจริง ๆ นะ มันรักษาหาย คนแกล้งบ้านี่ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ถ้าไม่เลิกแกล้งเมื่อไร ก็ไม่หายเมื่อนั้น พอพูดจบท่านก็ยุด ท่านร้องตะโกนถาม มึงว่าใครวะ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ผมไท่ได้ว่าท่าน ผมว่าคนแกล้งบ้า ไม่ทราบว่าแถวนี้มีใครแกล้งบ้าบ้างหรือเปล่า หากว่าท่านบ้าจริง ๆ ก็เป็นเรื่องของท่านไป ผมไม่ว่าหรอก ว่าแต่คนแกล้งบ้า คนดีแต่แกล้งทำเป็นคนบ้า
    ท่านยืนนิ่งสงบประเดี๋ยว ประมาณอึดใจ กูเลิกบ้าก็ได้วะ (เสียงร้องตะโกนเข้ามา) จึงโยนส้อมทิ้ง ไอ้ส้อมที่ถือมาน่ะ เป็นเรียวไม้ไผ่ และโยนพวงปลาไหลทั้งพวง เป็นรากไม้ทั้งหมด นี่หลอกกันขนาดนี้ แล้วท่านก็เปลื้องผ้า ห่มผ้าเรียบร้อย เข้ามานั่งใกล้ ท่านเข้ามานั่งใกล้ ก็กราบท่าน ก็ทราบว่า ท่านเป็นใคร
    ท่านถามว่า ที่ผมทำอย่างนั้น พวกคุณมีความรู้สึกอย่างไร ก็ตอบว่าตั่งแต่แรกเห็น ผมก็มีความรู้สึกแล้วครับว่า ท่านองค์นี้ต้องเป็น อรหันต์ อย่างน้อย อภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ ท่านก็เลยถามว่า พวกท่านเคยเดาแบบนี้เสมอหรือ บอกไม่ได้เดา ครับ เท่าที่เห็นมา เขาไม่ทำอย่างนี้ ยังเป็นอรหันต์ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครจะเอาเหล็กมาแทงหินลง และในหินจะมีปลาไหลได้อย่างไร นี่เหตุผลครับ และประการที่สอง ปลาไหลตั่งเยอะเอาไปทำไมกัน มันเหลือกินเหลือใช้ ประเดี๋ยวก็เน่าหมด หม้อข้าวหม้อแกงก็ไม่มี ท่านฟังแล้ว ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า เออ..ดี ใช้สมองแบบนี้เสียบ้างก็ดีเหมือนกัน
    อาจารย์สอนมาแล้วสิ อาจารย์ ๑๖ องค์น่ะ สอนมาแล้วใช่ไหมล่ะ บอก ใช่ครับ แล้วหลวงพ่อจงก็สอนมาแล้วใช่ไหม บอกมาแล้วใช่ไหม บอก ใช่ครับ แต่ไม่ได้บอกลีลา บอกว่าจะพบของดี ท่านก็บอกว่า ก็พบเหล็กไหลแล้วใช่ไหม ของดี บอกนั่นไม่ดีพอ มันเป็นวัตถุที่ดีจริง ก็คือ บุคคล คือ พระคุณเจ้า ท่านถามว่า เธอรู้ได้อย่างไรว่า ฉันดีก็บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมยอมรับว่า ท่านดีก็แล้วกัน ก็กราบท่านที่ตัก เท่านั้นแหละ รูปร่างหน้าตา เปลี่ยนทันทีเลย จากผิวคล้ำ ผิวดำ รูปร่างใหญ่โต กลายเป็นเพรียว ผอม ทรงโปร่งใส่ ผิวเหลืองสวยสดงดงามมาก และก็สอนกรรมฐานแบบง่าย ๆ เหมือนกับพระอรหันต์ ๑๖ องค์ เหมือนกันไม่ผิด เหมือนกันเปี๊ยบเลย
    ท่านก็เลยบอก พระทั้ง ๑๖ องค์ ก็เรียนไปจากฉันเหมือนกัน ฉันไปสอนที่ภูกระดึงในฐานะที่พวกเธอมีวิสัยอยากจะเป็นอย่างเขา ฉันก็มาสอนบ้าง จะได้หรือไมได้ ไม่ใช่อยู่ที่คำสอนของฉันนะ ฉันมีหน้าที่แต่เพียงบอกอย่างเดียว บอกแล้ว เธอต้องจำ จำแล้ว ปฏิบัติตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุมอารมณ์ให้ถูก จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น อย่างเมื่อกี้นี้ถูกต้อง ใครเขาจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา เราก็เรา เขาก็เขา เขาไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เขา เราตายเขาไม่ได้ตายด้วย เขาอยู่เราไม่ได้อยู่ด้วย เขาอิ่มเราไม่ได้อิ่มด้วย เขาหิวเราไม่ได้หิวด้วย เรียกว่า ต่างคนต่างอื่ม ต่างคนต่างหิว ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างตาย อย่าไปสนใจเรื่องของเขา เรื่องของคนอื่นทั้งหมดอย่าสนใจ ร่างกายเราก็เหมือนกัน อย่าสนใจมัน สนใจเฉพาะกำลังใจอย่างเดียว ร่างกายมีสภาพผิดปกติ มันจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    ก็เป็นอันว่า ท่านก็สอนกรรมฐานแล้ว ท่านก็จำวัดอยู่ด้วย พอตกขึ้นมาเช้าท่านบอกว่า วันนี้ฉันจะไปบิณฑบาตที่ จังหวัดสมุทรสาคร ไปกับฉันไหม ก็บอกไม่ไปขอรับ ท่านบอก เธออย่าเพิ่งฉันข้าวนะ เทวดาเขามาถวาย ก็รอก่อน ฉันจะเอาปลาทูต้มยำมาให้คุณ เพราะ แม่พวง ที่นั้น เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน เขารู้ว่าพวกคุณชอบปลาทูสดต้มยำ พวกคุณเข้าป่า อดแห้งอดแล้งมานานแล้ว
    ก็เป็นอันว่า ยอมรับท่าน ท่านไปประเดี๋ยวเดียว ประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็กลับ มีหม้อเคลือบเขียว ใส่ปลาทูต้มยำ ร้อนโฉ่ มาถวายให้ แล้วก็ฉัน เมื่อฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ฉันกับข้าวของเทวดา) รุ่งขึ้นเช้า ท่านบอก ฉันจะเอาหม้อเขียวไปส่งแม่พวง แต่ฉันไม่บิณฑบาต วันนี้นะ จะเอาไปส่งเขาเฉย ๆ ในที่สุดท่านก็ไปส่ง แล้วท่านกลับมา
    หลังจากนั้น ท่านก็แนะนำบอกว่า อย่าลืมนะ เท่าที่ฉันบอกแบบง่าย ๆ แบบนี้ ปฏิบัติตามนี้นะ และในที่สุด หลวงพ่อจง อาจารย์ของเธอก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเหมือน ใช้ วาโยกสิณ เป็นปกติ คำว่า ใช้วาโยกสิณ ไม่ได้หมายความว่า ต้องเข้าว่โยกันเรื่อย ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นของมันเอง เวลาจะออกเดินทางปั๊บ วาโยเข้าอารมณ์ใจทันที จึงเดินเร็ว และพวกเธอก็ได้ขี่วาโยไปหน่อยหต่งใช่ไหมล่ะ ที่ไปภูเขาภูกระดึงกันแค่ ๒ วันก็ถึง และกลับมา ๓ วันก็ถึง แต่ความจริง เขาเดินกันเป็นเดือน
    ต่อนี้ไป เธอจะพบของดี ฉันจะลานะ เป็นหน้าที่ของเธอ ถ้าเธอรักษากำลังใจดี เธอก็ดีได้ ถ้ารักษากำลังใจไม่ดี คราวนี้พังแน่ แต่ขอบอกว่า ไม่ใช่เสือ ไม่ใช่ช้าง ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เก้ง ไม่ใช่แรด ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่เป็นของที่จะทำให้เธอพังได้แบบง่าย ๆ แบบนิ่มนวล แล้วท่านก็ลาหายไป
    หลังจากนั้น พวกเราก็เดินธุดงค์เรื่อยไป ก็มีผู้ชายสองคน เป็นช้าวป่า มีมีดเหน็บขัดหลัง บอกท่านครับ ตามผมมาสิครับ ผมจะพาดูของสวย ๆ เดินไปเจอะจุดหนึ่ง บริเวณกว้าง (กว้างกว่าสนามหลวง) มีต้นตะไคร้เต็มหมด เหมือนใครมาปลูกไว้ แล้วเข้าป่าไป โผล่ไปก็เจอะอีกบริเวณหนึ่ง มีต้นข่าเต็มหมด ต่อไปก็มีต้นพริก พริกสวย ๆ มีเยอะ สีเป็นมุกเป็นฟักทองบ้าง เป็น้ำเต้าบ้าง เป็นพริกธรรมดาบ้าง เป็นเหมือนลูกฟักบ้าง เม็ดสวย ๆ ในสวย ๆ มีมาก แพรวพราวเหมือนกับมุกหมด เดินต่อไป ก็เจอะต้นไม้หลากสี ต้นไม้แต่ละอย่าง แต่ละจุด จะเป็นต้นไม้อย่างเดียว ดอกไม้อย่างเดียว คือไม่ปนกับอย่างอื่น ไม่มีผสมกัน จะเป็นกุหลาบ ก็กุหลาบ ดาวเรือง ก็ดาวเรืองโดยเฉพาะ
    ในที่สุด เดินไป ๆ ก็ชักขึ้นสูงไป ทีละน้อย ๆ มองข้างหลัง เห็นป่าอยู่ข้างล่าง เราก็เดินในป่าเหมือนกัน แต่มันเป็นเนินขึ้น บรรดาท่านพุทธบริษัท นึกอัศจรรย์ใจท่าน ที่นี่มันอะไรกันหนอ ก็ถามโยม ที่นี่เขาเรียกอะไร โยมก็บอก ภูเขาครับ แต่เป็นภูเขาที่บนยอดมีความวยสดงดงามมากเป็นที่มาเล่นน้ำของเทวดา และนางฟ้า ถามว่า คนมาเล่นได้ไหม โยมก็บอก คนมาเล่นไม่ได้ครับ เพราะภูเขาลูกนี้ ตามปกติ จะไม่มีคนเห็น และจะไม่เป็นที่กีดขวางทางเดินของใครก็เว้นไว้แต่พวกท่านเป็นชุดที่สอง ชุดแรกน่ะผ่านไปแล้ว สอนได้ สอนไม่ตก ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่ทดสอบพระธุดงค์ขั้นสุดท้าย ถ้าใครสอบได้ก็หมายถึงว่า ชาตินี้ได้ดีกันแน่ ถ้าใครสอบตก ก็ไม่ต้องไปแล้ว ก็หมายความว่า ไม่ต้องบวช สึกไปเลย
    ก็เดินตามโยมเรื่อย ๆ ขึ้นไป มันก็สูงไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดเหลียวมาอีกที เมฆลอยต่ำ กว่าตัวเรา เราอยู่เหนือเมฆมาก สูงกว่าเมฆมาก เดินเร็วเหลือเกิน เดินเฉย ๆ ช้า ๆ ค่อย ๆ เดิน แต่รู้สึกไปไวมาก ในที่สุดก็ถึงยอดเขา ยอดเขาราบเรียบ บริเวณรอบ ๆ มีต้นไม้ ตรงกลวง ไม่มีอะไร บริเวณกว้างใหญ่ หลายกิโลเมตร มีต้นไม้เป็นจุด ๆ และก็มีถ้ำเป็นถ้ำ ๆ และมีสระใหญ่ สระใหญ่มาก น้ำใสแจ๋ว เหมือนน้ำตา มองเห็นก้นสระ เหมือนกับใครเขาแกว่างสารส้มไว้ ลองเอาหินลูก ๆ โยนลงไป เห็นหินก้อนนั้นลอยลงไป ก่อนจะถึงก้นสระ
    แล้วโยมทั้งสองคนก็บอกว่า ท่านครับ มาทางนี้สิ ที่พักพระธุดงค์ พระธุดงค์ที่สอบได้ สอบตกเขาอยู่ตรงนี้กัน พระที่เคยสอบตกก็อยู่ตรงนี้ พระที่เคยสอบได้ก็อยู่ตรงนี้ ก็ถามว่า คนที่ขึ้นมานี้สอบตกมีไหม ท่านบอก ไม่มี ผู้ที่สอบตกผมไม่พามาขอรับ เห็นท่าว่าจะสอบได้ ถึงจะพามา ถามว่า บ้านอยู่ที่ไหน แกบอก บ้านผมอยู่ไม่ไกลครับ ถามว่าไม่ไกล บนนี้มีบ้านหรือ แกบอก ไม่มี ก็บอกว่า โยม คำว่า ไม่ไกล นี่มันเดินมาหลายกิโลแล้วนะ โยมก็บอกว่า หลายสิบกิโลครับ ไม่ใช่หลายกิโล ถามว่า ภูเขาลูกนี้เขาเรียกว่าอะไร ท่านบอกว่า ผมไม่รู้เหมือน แต่สระนี้ เขาเรียกว่า สระอโนดาต ที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ชอบมาสรงน้ำที่ตรงนี้ และพาบริวารมาด้วย และดีไม่ดี นางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มา แต่คนไม่เคยมีใครมา โยมก็เลยบอก ชี้ถ้ำให้คนละถ้ำ ถ้ำเล็ก ๆ แต่ไม่เล็กมากนัก กว้างหลายวา แต่ถือเป็นถ้ำเล็ก ๆ มีที่สะอาด มีแท่นสำหรับนอนเสร็จ มีน้ำไหลผ่าน มีความสุขมาก ตอนเย็น เมื่อโยมชี้ให้อยู่ แล้วก็ลากลับไป
    พอถึงเวลากลางคือน ก็นั่งเจริญกรรมฐานบนแท่นหิน บนแท่นหินที่กลางแจ้ง แสงพระจันทร์สว่างจ้า เห็นแต่แสง ไม่เห็นพระจันทร์ (สงสัยจะขึ้นไปเลยพระจันทร์ไม่เห็นพระจันทร์ แต่เห็นแสงสว่าง สว่างคล้าย ๆ กับตอนกลางวัน ประมาณสัก ๓ โมงเย็น) อากาศเย็นสงัด ความร้อนจากแสงแดดไม่มี ครั้นเมื่อนั่งกรรมฐานเสร็จ ก็มานั่งคุยกัน นั่งพิงแท่นหินคุยกัน (ความจริง เวลานั่ง นั่งคนละแท่น)
    ขณะที่คุยกันเสียงเบา ๆ ก็ได้เสียงมาแต่ไกล เป็นเสียงดนตรี เพลงไทยเราชัด ๆ เสียงเหมือนเครื่องสาย ไม่ใช่ดนตรี แว่วมาแต่ไกล ใกล้เข้ามา ๆ พวกเราก็แอบดูที่ข้างแท่นหินใกล้เขามาเสียงก็ดังชัดเข้ามา พอใกล้เข้ามา เห็นเป็นหมู่ สาว ๆ ประมาณสัก ๒๐๐ กว่าคนแต่งตัวสวย แบบแพรวพราวเป็นระยับ เข้ากับแสงจันทร์ สวยงามมาก เห็นชัด และกลางหมูสาว ๆ ก็มีสาว ๔ สาวหามเสลี่ยง เสลี่ยงก็สวยงามมาก ประดับประดาสวยสดงดงาม พอวางปุ๊บลงไปสาวที่ก้าวออกมาจากเสลี่ยง สวยกว่าทุกคนหมด แต่งตัวสวยกว่ามาก
    ทุกคนเมื่อเสร็จพร้อมแล้วก็พากันเปลื้องผ้าออก เปลื้องเครื่องแต่งกายออกเหลือแต่ชุดอาบน้ำ เดินนวยนาดไปทางขอบสระ ต่างหัวเราะต่อกะซิก หยอกล้อกันไป หยอกล้อกันมา เหมือนกับพวกเธอเห็นพวกเรา แต่เราคิดว่าเธอไม่เห็นเรา เธอต่างคนต่างมองมาทางก้อนหินที่เรานั่ง แล้วก็ยิ้ม ก็ชานตาให้บ้าง อะไรบ้าง ตามเรื่องตามราว พวกเราก็เฉย ก็คิดในใจว่ พวกนี้คือ ผี คนจะมาในอากาศได้อย่างไร ต้องเป็นผี จะเป็นผีนางฟ้า ผีเทวดา ผีพรหม ก็ผี ทั้งนั้น เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น แต่เขามีความดี
    เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็ต่างคนต่างลงเล่นน้ำ เขาลงเล่นน้ำ เสียงเฮฮาเกรียวกราวไปพักใหญ่ พวกเราในจำวน ๓ องค์ มีองค์หนึ่งไอขึ้นมามันคันคอ พอเสียงไอแค้กเดียว พวกนั้นหยุดพับ คนหนึ่งประกาศบอกว มนุษย์ พอบอกมนุษย์ หายแว๊บ ก็คิดว่าเธอดำน้ำ แต่ไม่เห็นโผล่ มาอีกเลย หายไปเลย ก็นึกในใจว่า พวกนี้หายไปแล้ว แต่เครื่องตัวแพรวพราว ไม่ได้เอาไปด้วย ก็เลยย่องไปดู ไม่มีแล้ว มีแต่ก้อนหิน เสลี่ยงก็หายไป
    เป็นอันว่า เมื่อเธอไปแล้ว ก็นั่งกรรมฐานกันใหม่ ทีนี้เรื่องเช็คละ มีความจำเป็นต้องรู้นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกระก็ไม่มา นึกถึงใคร ใครก็ไม่มา เงียบหมด นึกถึงท้าวมหาราช ก็ไม่เห็นท่าน ท่านอาจจะมา แต่เราไม่เห็น ก็ปรึกษากัน เอาอย่างนี้ดีกว่า ขึ้นไปหาพระอินทร์ ขึ้นไปหาโยม ทั้ง ๓ องค์ ก็ตัดสินใจไปหาท่าน เมื่อไปถึงท่านแล้ว ก็กราบท่าน
    ถ้าถามว่า เป็นพระทำไมจึงกราบ อย่าลืมว่า ท่านก็เป็นพระเหมือนกันน่ะ ท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธเจ้ายังทรงพระชนน์อยู่ เวลานี้ท่านก็เป็นเทวดา หรือใครว่าเทวดาไม่ดีก็ตามใจ แต่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องเทวดา อาตมาก็ยกย่องเทวดาเหมือนกันขอยอมรับนับถือว่า เทวดามีความดีมาก ก็ถามท่านว่า เมื่อสักครู่นี้ หญิงสาวประมาณ ๒๐๐ คนและมีเสลี่ยงนั่งไปด้วย คนในเสลี่ยงสวยกว่าทุกคนหมด ไปอาบน้ำที่สระ เขาเรียกว่า สระอะไร ท่านบอกว่า ที่นั่นเขาเรียก สระอโนดาต ไม่ใช่สระโบกขรณี ถามว่ หญิงสาวพวกนั้นไปไหนเวลานี้ ท่านก็ชี้ให้ดูข้างหลังท่าน บอก นี่ นั่งอยู่ข้างหลังนี่เต็มไปหมด และคนนั่งเสลี่ยง ท่านก็ชี้ให้ดู (ไม่ใช่ใครเลย แม่ศรี เอง)
    เธอก็ยิ้ม เธอถามว่า จำได้ไหม ถามว่า จำใคร บอก จำฉัน บอก ไม่รู้ ฉันไม่จำผู้หญิงทั้งหมด จะเป็นผู้หญิงคนก็ดี จะเป็นผู้หญิงนางฟ้าสวรรค์ก็ตาม ฉันไม่จำ ถ้าขืนจำเมื่อไร ฉันเจ๊งเมื่อนั้น คือ ไม่ยอมจำภาพของใครทั้งหมด เธอก็บอก นึกถึงเบื้องหลัง บอก เบื้องหลังเบื้องหน้า ฉันไม่คิด อดีตที่แล้วมา ฉันก็ไม่คิดถึง อนาคตต่อไปข้างหน้าฉันก็ไม่คิดถึง คิดถึงเฉพาะปัจจุบัน เธอถาม ปัจจุบันทำอะไร บอกปัจจุบันต้องการอย่างเดียว คือ ตัดกิเลส แล้วเธอก็ยิ้ม แล้วหันมาหาโยม
    โยมก็บอกว่า ศรีเอ๊ย..หลวงพี่เขาพูดถูกแล้วนะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ นี่เขาสอบได้แล้วนะ เขาสอบไม่ตก เธอไปอย่างนั้น คิดว่าเขาจะนึกถึงความสวยสดงดงาม เธอก็บอกว่าต้องทดลองดูก่อน ไม่อย่างนั้นก็เชื่อใจไม่ได้เหมือนกัน ต้องการจะเอาดี มันต้องดีกันจริง ๆ ต้องพบดีกัน เมื่อพบดีแล้วไม่ติดดีใช้ได้
    เมื่อทราบความมาเสร็จ ก็ลาโยมกลับลาทุกคนกลับ ก็กลับมาที่เดิม
    เมื่อมาที่เดิม ก็พบสองโยมตามเดิม บอกว่า โยมสบายดีหรือ บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ มาเร็วเหลือเกิน บอกบ้านผมอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละครับ อยู่ไม่ไกลหรอก ถามว่า อยู่ตรงไหน เธอก็ชี้ส่งเดช พอชี้ให้ดู มันกลายเป็นวิมานไป โยมก็เลยบอก ที่นี่เป็นพื้นที่ของ จาตุมมหาราช เขานะ ที่เห็นเป็นภูเขานี่ ผมลวงตาท่าน ความจริงเขาไม่มี เขาที่มนุษย์จะเดินได้ไม่มี เขาประเภทนี้ เป็นเขาที่พวกมีกายทิพย์เดินได้เท่านั้น มนุษย์มาก็ไม่ขวางทางใคร นี่เขาเรียกว่าเขาพระสุเมรุ จำให้ดีนะ ในช่วงนี้เป็นช่วงกลางเขาพระสุเมรุ ที่ดาวดึงส์นั่น เป็นยอดเขาพระสุเมรุ ที่ท่านไปเมื่อกี้นี้
    ก็เป็นอันว่า ถูกเทวดาต้ม ท่านเลยบอกว่า ดีแล้วสอบได้ ไม่ตก เลยถามว่า ถ้าสอบไม่ตก ชาตินี้จะเป็นอรหันต์ได้ไหม ท่านบอก นั่นผมไม่รู้ ไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่จะพยากรณ์ หากว่าท่านได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า เมื่อไร ท่านก็เป็นอรหันต์เมื่อนั้น ถ้าหากไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าจงอย่าคิดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ปรเดี๋ยวจะหลงผิด ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ก็มีพระบางองค์ ได้แค่ฌาณโลกีย์ แต่มีความเข้าใจเองว่า ตัวเป็นพระอรหันต์ เพราะกิเลสสงบเพราะเข้าถึงฌาณ จึงประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ต่อมาอารมณ์กำเริบขึ้น จึงเข้าไปเฝ้า พระพุทธเจ้า ถามว่า มีควาผิดตามวินัยไหม ที่ประกาศตัวเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่ได้เป็น พระพุทธเจ้าบอกว่า การหลงผิดมีอยู่ ไม่ถือว่าเป็นโทษ
    เมื่อโยมอธิบายให้ฟังเสร็จ ท่านก็พากลับ ท่านบอก วันนี้ผมจะพากลับส่งถึงวัดเลยไม่ต้องเดินลำบาก แต่ก็ต้องเดินไปตามผมนี่แหล่ะ เตี๋ยวเดียวก็ถึง แล้ท่านก็เดินนำหน้า (ขอโทษนะญาติโยม ตอนนี้ท่านเลิกเป็นชาวป่าแล้วน่ะ ท่านเป็นเทวดา แต่งตัวสวยมาก) ท่านทั้งสองนั่นคือ ทาวมหาราชนั่นเอง คือ ท่านท้าว เวสสุวัณ กับ ท่านวิรุฬหก สององค์ เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึงวัด บางนมโค แล้วก็เฉยไปวัดหลวงพ่อจง แล้วท่านก็ลากลับ เข้าไปหาลวงพ่อจง
    หลวงพ่อจงถามว่า อย่างไรล่ะ เจอะดีแล้วใช่ไหม บอก เจอะแล้วครับ เป็นอย่างไรสอบได้ หรือสอบตก ก็บอก พระอินทร์บอกว่าสอบได้ ท่านท้าวเวสสุวัณ กับท้าววิรุฬหกก็บอกว่าสอบได้ เออ..ถ้าสอบได้แบบนี้ไม่เป็นไรนะ สาว ๆ เมืองมนุษย์ไม่มีใครสวยเท่าพวกนั้น ฉะนั้น พวกคุณคงจะไม่แพ้เขาต่อไป เพราะพวกนั้นเขาไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีป่วย ไม่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย สาว ๆ เมืองมนุษย์มีการแปรปรวนเป็นธรรดา
    ฉะนั้น ต่อนี้ไปไม่มีใครสามารถชนะใจคุณได้ ระวัง โทสะ อย่าให้มันเกิดขึ้น กับโมหะ ตัวหลง อย่าให้เกิดขึ้น มันก็เหลือสองตัว โทสะ กับ โมหะ แต่มันก็เบาแล้วนะ ไม่เป็นไร ต่อไปก็พักธุดงค์ได้นะ ให้ถือเป็นการจบกิจแห่งการธุดงค์ เพราะการธุดงค์ ถึงที่สุดกันแค่นี้ อันดับแรก คุณก็พบพระที่ภูกระดึงแล้ว นั่นยอดของอาจารย์ ประการที่สอง ส่วนที่จะประกอบเรื่องโลกียวิสัย คือ กามคุณ เธอก็พบแล้ว เธอไม่ติดใจในกามคุณ ใช้ได้
    ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องธุดงค์ ซักซ้อมอารมร์ที่พระสอนมาซ้อมอยู่ที่วัด จะเรียนหนังสือก็เรียน จะสอนหนังสือก็สอน แต่ว่าธุดงค์อย่าทิ้ง เราทำของเราคนเดียวในกุฏิ เราทำของเราคนเดียวในใจ เดินไปที่ถนน ก็ให้เป้นป่า เดินไปในบ้านก็นึกว่าป่า
    จบไปอีกหนึ่งตอน เหลืออีก ตอนเดียวก็จะจบเล่มแล้วน่ะค่ะ ว่างๆจะมาต่อให้จบ
     
  17. nutsuanplu

    nutsuanplu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +27
    ยังรออ่านต่อไปอยู่นะครับ
    อ่านยังไงก็ไม่เบื่อ
    ขอบคุณมากครับ
     
  18. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ขอบคุณมากน่ะค่ะ ที่เป็นกำลังใจให้ค่ะเดียวจะรีบต่อให้จบน่ะค่ะเหลืออีกตอนเดียวก็จบแล้ว
     
  19. vampiresza

    vampiresza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +216
    ไปเที่ยวภูกระดึง
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย มาตอนนี้ไม่ใช่ตอนธุดงค์ เป็นการเดินดง ไปเดินเที่ยว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ตอนนั้นมาพักอยู่ที่ วัดชิโนรส พักฟื้นจากไข้ ป่วยไข้ไม่สบายที่กรมแพทย์ทหารเรืออยู่ ๒ ปี และก็มีญาติโยมที่นั่น เขาชวนไปทอดกฐินที่ วัดหนองเขียด อำเภอชุมแพ อยู่ปลายเขตแดนของจังหวัดขอนแก่น ทางไปก็ลำบากมาก ก็มีโต๊ะหมู่ทองไปตีระฆังไป เป็นของแปลกของเจ้าของถิ่น เพราะที่นั่นเขาไม่เคยมี ที่นั่นเขาใช้ไม้ขุด และก็เอาเลื่อยโกรกตรงกลาง ตรงข้าง ๆ ตีแทนระฆัง ในเมื่อเรานำระฆังทองเหลืองไป เขาก็แปลกใจว่า สวยสดงดงาม เขาก็แห่กันโต๊ะหมู่ก็แห่กัน รวมความว่า ทอดกฐินเสร็จ เจ้าอาวาส และชาวบ้านเขาชวน เวลานั้นมีพระติดตามไป ประมาณสัก ๔-๕ องค์ด้วยกัน ก็ชวนไปเที่ยวภูเขาภูกระดึง
    ภูเขาภูกระดึง นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เขาบอกว่า ในสมัยก่อน ถ้าวันดีคืนดี เดือนหงาย จะได้ยินเสียงฆ้อง และมีคนทอหูก มีคนฝัดข้าว มีคนตำข้าว ซ้อมข้าว บนยอดภูเขา นี่เป็นเรื่องราวเก่า ๆ ที่บรรดาญาติโยมเก่า ๆ เล่าให้ฟังว่า เป็นสถานที่ศักสิทธิ์
    และก่อนหน้าที่อาตมาจะไป พระที่มีความสำคัญองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์สำราญไปอยู่ที่ยอดเขาภูกระดึง ๓ ปี (เวลาปี อาตมาอาจจะจำไม่แม่นนะ แต่มั่นใจว่า ๓ ปี) เมื่อขึ้นจากทางเดินไปแล้เว ก็ต้องเดินไปจากที่ขึ้นยอดเขาได้ ไปอีก ๘ กิโลเมตร จึงจะถึงที่อาจารย์สำราญอยู่ ท่านอยู่ที่นั่น ท่านมีมีหม้อข้าว ไม่มีอาหารทั้งหมด และก็ไม่เคยเก็บผลไม้กิน ท่านอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ ถ้าวันใด ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทนำอาหารไปถวาย ท่านก็รับ ท่านก็ฉัน ถ้าไม่มีใครนำอาหารไปถวานท่านก็ไม่ฉัน หรือว่าอย่างน้อยที่สุด อาจจะฉันอาหารเทวดา เพราะมีบาตร รวมความว่า ไม่นานเอง พระที่มีความสำคัญก็มีอยู่ ที่ภูเขาภูกระดึงนี่ มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เขาเล่าความเป็นมาของภูเขาภูกระดึง อาตมาก็ชวนคณะไป ไปด้วยกัน ก็มีเจ้าของถิ่นไปด้วย รวมแล้วทั้งหมดประมาณ ๓๐ คน มีพระที่วัดหนองเขียดตามไปทั้งหมด ประมาณ ๑๐ องค์ มีฆราวาสด้วย รวมแล้ว ๓๐ คน
    เมื่อไปถึง นั่งรถสองแถวไปถึงที่ ศรีฐาน ใกล้ ๆ ภูกระดึงก็เพล ลงไปที่โรงสี เขาพาเข้าไป ในโรงสี เจ้าของโรงสีก็เลี้ยง เลี้ยงทั้งพระเลี้ยงทั้งคนโรงสีนี่โรงใหญ่มาก มีความกว้างประมาณ สัก ๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๔๐ เมตร มุงสังกระสี และมีไม้กระดานหนานิ้วครึ่ง หน้า ๘ ยาว ๔ วากองอยู่ กองใหญ่มาก เครื่องโรงสี ก็เป็นเครื่องเล็ก ๆ คือ เครื่องสีสมัยแรก เครื่องย่อม ๆ ที่สีแกลบเป็นรำ ปรากฏว่า เจ้าของที่เป็นสามี เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี แต่ว่าภรรยาเป็นคนขอนแก่น
    ในเมื่ออาตมาไป มองเห็นโรงสีเข้า เห็นไม้เข้า เห็นเครื่องต่าง ๆ เห็นโรงสี กับไม้ ก็ถามว่า โรงสีนี่สร้างสักสองหมื่นได้ไหม (เราถามอย่างราคาถูกที่สุด เพราะบ้านเราสร้างไม่ได้) ภรรยาแกหัวเราะ เอาเงินที่ไหนมาสองหมื่นเจ้าค่ะ ไม่ถึงหรอก ทั้งหมดนี่สร้างสามพันกว่า ๆ (ตกใจ สามพันกว่า ๆ นี่ รวมไม้ที่กองด้วย แค่ไม้ที่กอง ถ้าเป็นบ้านเรา เวลานั้นก็หลายหมื่นบาท) ถามว่า ไม้ที่นี่ราคาถูกหรือ (ที่นั่นเป็นดงเต็งรัง ที่วัดหนองเขียดก็เป็นดงเต็งรังทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวไม่มีแล้ว มันเป็นดงเต็งรังหนาทึบ เต็มไปหมด ทั่วบริเวณแต่ว่าตอนหลังนี่ไป เมื่อ ๔-๕ ปีที่แล้ว ไม่เหลือเลยสักต้น) เขาบอกว่า ถ้าหากว่า เขาเลื่อยในป่า เราไปเอาเอง หน้ากว้าง ๘ นิ้ว หน้านิ้วครึ่ง ยาว ๔ วา เราไปเอาเอง เขาเอาแผ่นละ ๔ บาท ถ้าให้เขามาส่งที่บ้าน เขาเอาแผ่นละ ๕ บาท เพิ่มค่าขนมอีก ๑ บาท เจ้าของโรงสี บอกว่า เมื่อมีสตางค์ก็ซื้อไว้แบบนั้นเอง เผื่อว่าจะมีโอกาสขายได้กำไรได้บ้าง
    เมื่อฉันอาหารเสร็จ คุยกันเสร็จ เวลาหลังจากเที่ยง ก็นั่งรถต่อไปที่เชิงเขาภูกระดึงเดินขึ้นไปทีแรกประมาณสัก ๒๐๐ เมตร (ทางขึ้นนะ และก่อนที่จะขึ้น) พวกชาวบ้านบอกว่า ไปดูต้นตะไคร้กันครับ ถามตะไคร้ที่ไหน ตะไคร้ไปดูทำไม ที่บ้านฉันก็มีเยอะ แกก็บอกไม่เหมือนกัน แกลากลู่ถูกัง ก็ต้องไปดูกับแก ปรากฏว่า เป็นไม้แก่น โอบแล้วถึง ๒ โอบ ต้นใหญ่มาก พอเขาฉีกเปลือกดูมันฉุนเหมือนตะไคร้ธรรมดา ๆ เรา แต่ฉุนมากกว่า แกบอก ถ้าชาวบ้าน ต้องการตะไคร้ ก็เอาเปลือกไม้ที่นี่ไปใช้แทนต้นตะไคร้ต้นเล็ก ๆ
    หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไป เมื่อเดินขึ้นไป พระก็บอกว่า อยากน้ำ อาตมาก็ใช้วิธีโกหกบอกว่า ประเดี๋ยวก็มี ประเดี๋ยวเราก็จะเจาะต้นมะขามป้อม อีกสักครู่หนึ่งก็ถึงต้นมะขามป้อม ถึง ลานข้างบน (ความจริงไมเคยไปเลย ก็ดูดส่งเดชไป) บอก จากนี้ขึ้นไปจะมีลานกว้าง บริเวณนั้นมีลานกว้างอยู่ จะมีต้นมะขามป้อมมาก ลูกมะขามป้อมตกเกลื่อน เราก็กินมะขามป้อมกัน และก็มีกล้วยไม้สวย ๆ (ไอ้ที่พูดนี่ไม่จริง ไม่รู้เรื่อง โกหกพระ) พอขึ้นไปถึงจริง ๆ แล้ว มันปรากฏว่ามีจริง ๆ ลูกมะขามป้อมเกลื่อน เดินเหยียบ เกลื่อนถึงขั้นเดินเหยียบไม่ใช่ก้าวไปเหยียบลูกโน้นลูกนี้บ้าง ไม่ใช่ วางเกลื่อนเต็มพื้นที่ กล้วยไม้ก็สวยแสนสวย มีดอกสวย ๆ มาก พระก็ฉันมะขามป้อม พอบอกว่ามีมะขามป้อมเธอก็มีน้ำลาย มีแรงเดินไป
    เมื่อขึ้นถึงลานนั่น ก็พักกันชั่วคราว นั่งกินมะขามป้อมบ้าง คุยกันบาง หลังจากนั้นเดินไปสักครู่หนึ่ง พระบอกว่า อยากน้ำ (ไอ้ในใจก็นึก เอ้า..โกหกต่อไปก็แล้วกัน) บอกว่า ต่อไปข้างหน้าจะมีซำ เขาจะเขียนว่า ซำ ซำ คือ บ่อน้ำ (มันใช่ หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ พูดมันส่งไปแบบนั้น) ถ้าเขาเขียนว่า ซำที่ไหน ให้ไปทางลูกศรชี้ จะมีบ่อน้ำ ขึ้นไปสักครู่หนึ่ง ก็พบซำที่หนึ่ง (เอาเข้าแล้ว ชักดีใจ นึกว่า ผลการโกหกของเรานี่ มีผล) ก็เดินไปตามลูกศรชี้ ก็พบน้ำใสไหลเย็น น้ำจากยอดเขาลงมา พระก็ดิ่มกันกระติกก็ไม่มีไป กระบอกก็ไม่มีไป เพราะไม่รู้ว่า เขาสูงขนาดไหน ต่อไปก็พบ ซำที่สอง ซำที่สาม ซำที่สี่ ต้องเดินกัน ๕ ชั่วโมงครึ่ง จึงถึงยอด พอถึงใกล้ยอดเขา มีบันไดขึ้นไปสัก ๑๐ ขั้น ขึ้นไม่ไหว
    อาตมา กับสมภารวัดหนองเขียด ต่างคนต่างแก่ อาตมาน่ะป่วยด้วย ทั้งหมด ก็ขึ้นไปแล้ว นิมนต์ขึ้นมาครับ ๆ บอก ขึ้นไม่ไหวจริง ๆ หมดแรง หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เห็น ๕ โมงเศษ ก็นึกในใจว่า (นึกในใจเอานะ) ที่นี่ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้ามีเทพเจ้าทั้งหลายที่มีฤทธิ์ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ให้มีแรงขึ้นให้ได้ด้วย และพาเดินด้วย เพียงเท่านั้น ทั้งสององค์ ก็มีกำลังขึ้นยอดเขาได้ และก็เดินไปอีกประมาณ ๔ กิโลเมตร ตัดทางตรง บอกเขาบอกว่า ถ้าทางตรงนี้จะพบ สระอโนดาต (โกหกอีก)
    ถ้าถามว่า รู้หรือ ก็บอกว่า โกหกเหมือนกัน เดามันส่งเดชไป ก็เป็นความจริง ประมาณ ๔ กิโลเมตร ก็เจอะสระอโนดาต สระเล็ก ๆ น้ำเต็มสระ ในมาก เย็นมาก พวกที่นั่นบอก ที่นี้มีเต่า แกหาเต่า ถามว่า หาทำไมเต่า บอก เต่าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น คอมันเข้ากระดองไม่ได้ มันมีหาง แล้วก็ร้องเหมือนเมว หาไปหามา แกบอกว่ พบเต่าตัวหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ จับขึ้นมา แกร้องเหมือนแมว ขึ้นมาท่าทางแสดงความกลัว ก็ให้เขาวาง เอามือลูบ ๆ เลยบอก พูดดัง ๆ ว่า ผลบุญใดที่ฉันทำแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ถ้าผลบุญนี้จะพึงมีประโยชน์ความสุขกับฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนา และจงเป็นผู้มีความปลอดภัย มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ตลอดอายุขัยของเธอ ให้เธอมีความสุขตลอดไป
    เธอแหงนหน้าดูร้อง แม้ว ๆ เหมือนกับแมว เหมือนกับรู้เรื่อง และพอเดินไปสักประเดี๋ยวหนึ่ง เจ้าเต่าก็เดินตาม ไปไหนมันก็เดินตาม พอจะเดินออกจากที่นั่น มันก็เดินตาม บอก เต่า ไปไม่ได้ ฉันจะไปไกล แกบอกว่า จะไปส่ง แกร้อง แม้ว ๆ เหมือนแมว ก็เดาเอาว่า แกบอกจะไปส่ง บอก อย่าไปเลย เธอเดินช้า กลับที่เดิมก็แล้วกัน ก็เลยจับไว้ที่เดิม บอก ฉันลานะ อยู่ให้เป็นสุขนะ
    หลังจากนั้นก็ค่ำ เป็นวันกลางเดือนสิบสองพอดี เห็นพระจันทร์ใกล้มาก แต่ว่าจีวรเริ่มเปียก น้ำค้างลง ยังไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน (ไอ้ความโง่ ก่อนที่ไปไม่ได้ถามเขาว่า เขามันสูงขนาดไหน คิดว่าเป็นเขาธรรมดา ที่นี้มันสูงตั้ง ๑ กิโลเมตร ต้องเดินอย่างเก่ง คนเก่ง ๆ ต้องเดินถึง ๕ ชั่วโมง พวกเราไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง) พอเดินไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะไป เสียงเต่าร้อง แม้ว ๆ ก็ตีความหมายว่า ให้เดินตรงไปทางด้านทิศเหนือ (เดาภาษาเต่านะ ความจริงนี่ไม่ได้รู้นะ เดาเอา สัญญาณที่แกร้อง) ก็คิดว่าให้ไปทางด้านเหนือ จะมีที่พัก ก็บอก ทุกคนไปตรงทิศเหนือ ทางพระจันทร์ขึ้น เป็นทิศตะวันออก
    ไปสักครู่หนึ่ง ปรากฏว่า บนนั้นมีต้นหญ้ามันตาย เหมือนกับเดินบนฟูกเดินนิ่ม ๆ มีกระต่ายตัวหนึ่ง สูงประมาณแค่เข่า นั่งอยู่เฉย ๆ พวกพระ พวกชาวบ้านก็ล้อมเข้าไป ๆ จนกระทั่งขาติดกัน พอเขาประชัดตัว ตะปบ กระต่ายปั๊บ กระต่ายไม่ได้โดด หายไปในดิน เลยบอก พวกคุณ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าทำแบบนี้ จะมีภัย เรามาเที่ยวกัน อย่าคิดทำร้ายคนอื่นเขา ควรจะมีเมตตาจิต
    หลังจากนั้นต่อมา ก็ปรากฏว่าเดินไปอีก อาตมาก็เดินล้าหลัง สององค์กับ สมภาร วัดหนองเขียด เดินล้าหลังแล้ว น้ำต้างก็ตก จีวรก็เปียก คณะกลุ่มใหญ่เดินข้างหน้า ไปถึงก็ยุดถามว่า ทำไมจึงหยุด บอก งูใหญ่ ปรากฏว่างูใหญ่เอาหางพันต้นไม้ ตัวขนาดเสาได้ หัวส่ายไปส่ายมา และก็มีหงอน ก็เลยเข้าไปยืนใกล้ ๆ บอก พี่ชาย ขอบคุณนะ มีอะไรผิดไปบ้างก็ขออภัยด้วย เพราะคนพวกนี้เขาไม่รู้เรื่อง อันตรายก็ไม่มีกับกระต่าย เพราะเขาเป็นคนไม่รู้ ต้องขออภัยด้วย เพียงเท่านี้ เขาก็ปล่อยหางจากต้นไม้ เลื้อยหายไป
    เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ปรากฏว่า มีคนสองคนเดินสวนทางมา แกมา แกก็บอกว่า แกเป็นเจ้าหน้าที่ก่อสร้างที่นี่ สร้างอาคารที่พัก เพราะว่า พระเจ้าอยุ่หัวจะเสด็จ แต่อาคารยังไม่เสร็จ เวลานี้คนงานว่าง คนงานลงไปข้างล่างหมด ขอนิมนต์ไปพักที่นั่นครับ ก็เลยบอกว่า หลายคน ที่พอหรือ แกบอกว่า พอ ในที่นั้นคนงานมาก มีผ้าห่มมาก เขาก็แจกผ้าห่มให้ ทุกคนก็นอนกันแบบเป็นสุข คิดว่า ตอนเช้า เราควรจะลงแต่เช้า ขาขึ้น ๕ ชั่วโมง ขาลง ถ้าเราลงแต่เช้าตรู่ ก็ประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึง ขาลงมันง่าย คงจะกินข้าวที่บ้านศรีฐานได้ ซื้อข้าวเขากิน ก็เลยบอกเจ้าของบ้าน บอกว่า เรื่องอาหารไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพราะหลายคนด้วยกัน ตั้ง ๓๐ คน ท่านเลี้ยงไม่ได้ เจ้าของบ้านบอก ไม่เป็นไรครับ อาหารคนงานไม่อยู่นี่มีเยอะ พรุ่งนี้ผมจะหุงข้าวให้ ก็เลยบอกว่า อย่ากังวลเลยโยม แกก็ยืนยันบอกว่าขอให้ผมมีโอกาศทำบุญเถอะครับ ให้มีโอกาสได้ทำบุญบ้าง
    ก็เป็นอันว่าตกลง เขาจะทำก็ไม่เป็นไร ก็นั่งคุยกันไปถึงประวัติความเป็นมาของภูกระดึง แกก็เล่าสภาวะต่าง ๆ ของอาจารย์สำราญให้ทราบ ก็เล่าความเป็นมาของภูกระดึงว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็ได้ยินเสียงฆ้องบ้าง ระฆังบ้าง บางทีได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกันบ้าง บางคราวเห็นคนทอผ้าบ้าง ตำข้าวบ้าง อย่างนี้เป็นต้น บางคราวจะเห็นเป็นหมู่บ้านใหญ่ ๆ บางทีก็เห็นหมู่บ้านเล้ก ๆ บาง ทีก็เห็นแต่คน แกก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของแกแล้ว
    แต่มาพอรุ่งเช้า ทีนี้เมื่อคืนก็คุยกันดึกไป ต่างคนต่างตื่นสาย เจ้าของบ้านก็ตื่นพร้อม ๆ กัน ประมาณโมงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมา แทนที่เจ้าของบ้านจะหุงข้าว กลับ มีคนประมาณสัก ๕๐ คน นำข้าวปลาอาหารมาพร้อม แต่งตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ นุ่งผ้าขาดบ้าง นุ่งผ้าเก่าบ้าง เหมือนชาวบ้านธรรมดา ๆ น้ำอาหารมาถวาย มีต้ม มีแกงเสร็จ ถามว่า โยม โยมมาจากไหน โยมก็เลยบอก นายช่างไม่เห็นเอง บ้านฉันอยู่ใกล้ ๆ นี่แหล่ะ ไม่ไกล ทราบว่า ท่านมากัน และมากันมาก ตอนเข้าไม่มีอะไรจะฉัน ไม่มีอะไรจะบริโภคกัน เลยชวนพวกชาวบ้านนำอาหารมาถวายพระบ้าง เลี้ยงคนบ้าง ต่างคนต่างกินกันอิ่มหนำสำราญ เหลือให้เจ้าของบ้านไว้เยอะ เมื่อ ยถา สัพพีฯ เสร็จ ญาติโยมก่อนจะไป ก็คุยกันนิดหน่อย แต่ว่าสังเกตแล้ว ทุกคนไม่กระพิบตาสักคน นั่งตาแข็งทื่อเหมือนกันหมด ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดา ๆ ไอ้อย่างนี้ก็เข้าใจว่า เป็นเทวดาแน่ เป้นนางฟ้ากันแน่
    ก็รวมความว่า หลังจากญาติโยมลาไปแล้ว ก็ลาเจ้าของถิ่นเดินทางกลับ ขณะที่เดินทางกลับลงมา ก็ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็ลงถึงเชิงเขา แล้วก็เดินไปที่ร้านอาหารบ้านศรีฐาน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เข้าไปถึงเวลา ๕ โมงพอดี พอดีเจ้าของโรงสีเห็นเข้า บอกว่า ท่านกลับแล้วหรือ ก็บอก กลับแล้วโยม โยมไม่ต้องเป็นห่วง อาตมาจะซื้อข้าวเอง ท่านบอก ไม่ต้อง ๆ ผมหุงไว้แล้วครับ ถาม โยมรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาจะลงมา บอกว่า เมื่อตอนเช้ามีคนแก่มาบอกว่า มีคณะชาวบ้าน ลูกบ้านของแก นำอาหารไปเลี้ยง และตอนเพล ทั้งคณะจะมาที่นี่ แล้วแกก็นำหมู นำเนื้อ นำอะไรต่ออะไรมาให้ไว้ ให้ทำอาหารถวายพระด้วย
    แต่ปรากฏว่า ไอ้หมู ไอ้เนื้อต่าง ๆนี่มันไม่มีความคาว เจ้าของโรงสีก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมจึงไม่มีคาว หมูก็มี เนื้อก็มี ปลาทูก็มี ปลาทูนี่ ความจริงมันเหม็นคาวมาก แต่ปลาทูตัวใหญ่ ๆ แต่ไม่มีคาว เขาก็ทำอาหารไว้เสร็จ พวกเราก็เข้าที่ กินกันตามเดิม เมื่อกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เล่าความเป็นมาว่า ขึ้นไปข้างบน ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง บังเอิญไปเจอะกระต่ายเข้า พวกนี้จะจับกระต่าย เมื่อพ้นจากเขตกระต่าย ก็ปรากฏว่าเจอะงุใหญ่ เจ้าของโรงสีศรีฐาน ก็บอกว่า ข้างบนมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
    แต่ความจริงท่านพุทธบริษัท อาตมาไปนั่งดูในสถานที่นั้นว่า ภูเขาภูกระดึงนี่ทีแรกเดียว อยู่ใด้ทะเลลึก เพราะมีรอยคราบน้ำ รอยคราบน้ำยังปรากฏชัด สีขาวและก็มีหอย หอยเล็ก ๆ เกาะอยู่แน่น แสดงว่า สมัยก่อนในดินแดนแห่งนั้นเป็นทะเล และด้วยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นไม้ปลูกเป็นระเบียบ ต้นไม้สีเขียวก็เขียว แดงก็แดง เหลืองก็เหลือง เป็นตับ เหมือนกับใครไปปลุกไว้ แสดงว่า เป็นดินแดนที่มีคน มีบ้านมีเมืองอยู่ เฉพาะบริเวณที่เตียนแล้ว พันไร่เศษ เป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่เป็นป่า อีกมากกว่ามาก ภูกระดึงนี่เป้นดินแดนน่าเที่ยว (ถ้าขึ้นง่ายนะ)
    แต่ว่าอาตมาไปตอนหลัง เสร็จ ไอ้ขี้นไป ๒๐๐ เมตร ที่มีฐานกว้าง บริเวณกว้าง มีที่ราบ ที่ว่ามีต้นมะขามป้อม ไปคราวหลังนี่ ต้นมะข้ามป้อมสักต้น ก็ไม่มีจะมีรอยตัด ก็ไม่มีร้อย ต้นไม้ก็ตามเดิม ต้นไม้ต่าง ๆ สมัยนั้นมันเป้นมะข้ามป้อม (ยังจำภาพได้) แต่ไปตอนหลังนี่ไม่ใช่มะขามป้อมเสียแล้ว กล้วยไม้ที่มีดอกสวย ๆ ก็ไม่มี มันกลายไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบห่างกันเวลาไม่กี่ปีนัก ถ้าใช้เวลาปลูก ก็ปลูกไม่ทัน เพราะต้นมันใหญ่
    ก็รวมความว่า การไปคราวนั้น ก็มีความรู้สึกว่า ดินแดนแห่งนี้ เราเคยมาในสมัยที่ไปธุดงค์ แต่ไม่เคยขึ้นทางชัน ขึ้นทางด้านทิศตะวันตก เพราะทิศตะวันตกมันเป็นที่ลาด ค่อย ๆ ขึ้นมาก็มีป่าชัฏ ค่อย ๆ เดินขึ้นมา ปรากฏว่า ไม่รู้สึกว่าเป็นเขา คิดว่าเป็นเนิน เดินขึ้นมาเดินทีละน้อย ๆ มันค่อย ๆ สูงขึ้น ทีนี้คนที่เขาไม่ขึ้นทางนั้น เพราะทางมันยาวมาก ต้องใช้เวลาเป็นวัน (หนึ่งวันนี่ เดินไม่ตลอดทางแน่) เวลานั้นก็เป็นป่า เสือช้างก็มาก มีทั้งเสือทั้งช้าง เวลานี้ช้างก็ยังมีอยู่ ก็รวมความว่า การไปเที่ยวภูกระดึงคราวนั้น ก็มีความรู้ว่าที่นั่นเป็นถิ่นศักดิ์สิทธิ์จริง และเป็นดินแดนที่พระที่มีความอัศจรรย์อยู่
    พระที่มีความอัศจรรย์ นอกจากอาจารย์สำราญแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัทก็มีญาติโยมเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่ง ท่านไปอยู่ที่เชิงเขา แล้ววันหนึ่งต้างคนต่างนัดกันบอกว่า จะไปที่อำเภอหล่มเก่า และญาติโยมก็มีรถสองแถว พอวันรุ่งตึ้น ก็ไปนิมนต์ท่านขึ้นรถ เวลานั้นท่านกำลังบิณฑบาต ท่านก็บอกว่า โยมไปก่อนเถอะ เวลานี้อาตมากำลังบิณฑบาตอยู่ ถ้ารออาตมาก็สาย ญาติโยมก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมรอท่านดีกว่า ผมมีรถ ท่านบอก ไม่ต้องคอย อาตมารู้ทางลัด
    เป็นอันว่ ในที่สุด ญาติโยมก็ต้องไปก่อน เพราะท่านให้ไปก่อน ท่านรู้ทางลัด เมื่อพระยังไม่กลับจากบิณฑบาต โยมก็ออกรถ มาอำเภอหล่มเก่า แต่ว่าพอถึงที่วัด (นัดกันไว้ว่าจะไปวัดไหน) ก็ปรากฏว่า ญาติโยมไปถึงที่หลัง พระองค์นั้นไปนั่งที่หน้าอาสน์สงฆ์แล้ว ญาติโยมก็ไปถามว่า ท่านมาอย่าไรครับ นี่ทางมันไกล ท่านก็เลยบอกว่าอาตมาบอกแล้วว่า อาตมารู้ทางลัด
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ทางลัดของท่านก็คือ เหาะ นี้พระที่ทรงอภิญญาสมาบัติ เวลานี้ยังมีอยู่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บางคนเขาว่า อาตมานี่เก่งกาจ แต่ความจริงไม่ใช่ พระที่เก่งกว่าอาตมา เวลานี้มีเยอะ มีอยู่มาก และพระที่รู้จักทางลัด เวลานี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ทราบว่าวัดไหน
    สำหรับอาจารย์สำราญนี่ก็ยังไม่ตาย แต่ไม่ทราบว่าอยู่ทีไหนเหมือนกัน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะท่านไม่ยอมให้บอก ถ้าไปบอกเข้า ท่านรำคาญ ท่านบอก ท่านรำคาญคน คนที่ไปหาท่าน โดยมากจะไม่ไปหาความดี มักจะไปหาหวย ก็เลยบอก ถ้าอย่างนั้น เราไม่รู้จักคนอื่นเลยเสียดีกว่า อยู่เป็นหลวงตาธรรมดา ๆ มีความสุขกว่ามาก ก็เป็นอันว่า ก็บอก กันไมได้ ทั้งสององค์นี่ยังมีชีวิตอยู่
    ความจริงบนภูกระดึง ทำไมจึงมีคน คนที่ไม่ปรากฏตัว คนประเภทนี้ชาวบ้านเขาเรียกว่า พวกลับแล (คำว่าลับแล หมายความว่า แลไม่เห็น) ถ้าเขาต้องการให้เห็น เราก็เห็น เขาไม่ต้องการให้เห็น เราก็ไม่เห็น บางครั้งที่เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า บางครั้งมีหมู่บ้านใหญ่ตั้งใกล้ ๆ มีเด็กมีเล็กมาก มีคนเยอะเสียงเจี๊ยวจ๊าวเกรียวกราว มีสวนดอกไม้ มีสวนลูกไม้มีผลไม้ต่าง ๆ มากมาย มีอยู่เป็นวัน ๆ บางทีก็มีอยู่ถึง ๗ วันก็มี เคยคุยกัน แต่อยู่ ๆ บ้านทั้งหลายเหล่านั้นก็หายไป เวลาที่มีบ้านทีไร ก็ปรากฏว่า มีคนทอหูกทุกที เห็นคนทอหูกเห็นคนเย็บจักร เห็นคนเย็บเสื้อผ้าด้วยมือ มีเครื่องมือพร้อม แต่ว่าทุกคน ไม่มีใครไปหาปลาหาเนื้อ กินแต่ผลไม้ เท่าที่กินให้เห็นนะ เขาบอก เขาไม่กินปลากินเนื้อกัน เขากินแต่ผลไม้ และอยู่ ๆ มา บ้านก็หายไปหมด บ้านก็หาย คนก็หาย อย่างนี้เขาเรียกว่า เมืองลับแล
    ฉะนั้น ที่อาจารย์สำราญท่านอยู่ที่นั่น อาตมาก็มีความรู้สึกว่า ชาวลับแลพวกนี้ ต้องใส่บาตร ชาวลับแลเป็นใคร ก็ตอบได้ว่า ชาวลับแล คือ ภูมเทวดา กับรุกขเทวดา นอกจากนั้น พระที่มีความีดขนาดนั้น พวกอากาสเทวดาก็ทำบุญ อากาสเทวดาที่ต้องการความดีก็มีมาก เขาก็ทำบุญกับพระที่มีความดี จะเห็นว่า อาจารย์สำราญนี่ ท่านอยู่ตั้ง ๓ ปีทางขึ้นไปตั้ง ๕ ชั่วโมง คนเดินเก่งนะ ๕ ชั่วโมง
    ทีนี้มีบางคราวไปถามคนว่า เคยนำอาหารไปถวายไหม บอกว่าเคย บางครั้งบางคราว นาน ๆ ครั้ง เดือนไปสักครั้งบ้าง ถามว่า เอาข้าวสารไปให้ท่านไหม บอกเคย เคยนำไปให้ แต่ท่านไม่ยอมรับ ถ้านำข้าวสุกไปถวายท่าน ไปได้ แต่ว่าต้องไปแต่ตอนดึก ถ้าไปตอนเช้า ก็ถึงเลยเที่ยง เพราะเดินไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง และเดินจากที่นั้นไปอีก ๘ กิโลเมตร ก็เลยเที่ยง ท่านไม่ยอมรับ ท่านฉันหนเดียว ก็ต้องไปกันตั้งแต่ตอนดึก
    ก็รวมความว่า อาจารย์สำราญท่านกินอะไร ท่านอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า อาจารย์สำราญ เป็นพระที่บรรดาบุคลทั้งหลายคิดว่า พระประเภทนี้ในโลกนี้ไม่มีแล้ว นั่นคือ พระอรหันต์ อาตมาคิดเอาอย่างนี้นะ และพระที่ว่าเดินรู้จักทางลัดก็เช่นเดียวกัน พระองค์นี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา ต้องเป็นพระอรหันต์ ที่ทรงอภิญญาสมาบัติ
    ( จบเล่มเสียที หวังว่าพี่ๆน้องๆทุกท่านจะได้รับความเพลิดเพลินกันไม่มากก็น้อยและหวังว่าจะหยิบเอาธรรมะเล็กๆน้อยๆในนี้ ที่พี่ๆน้องๆ ทั้งหลายชอบใจนำกลับไปปฏิบัติกัน และขอให้มีนิพพานเป็นที่ไปกันทุกท่านด้วย ขอโมทนาไว้ล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยสำหรับท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อพระนิพพานทุกท่านด้วย สาธุ สาธุ สาธุ )
     
  20. อวตาร888

    อวตาร888 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,070
    ขอขอบคุณมากครับที่กรุณานำธรรมะดีๆของหลวงพ่อมาให้อ่าน ขออนุโมทนาในความดีของคุณด้วยครับ สาธุ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...