พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ผมก็คิดแบบนั้นครับเรื่องการเกิดพระธาตุ แต่จากหนังสือของคุณโจ หลวงปู่ต้นบุญได้อธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า4 พระองค์ในภัทรกัปนี้ และัได้พระธาตุของพระัศรีอาริยเมตไตรย จากเจดีย์ชเวดากองมาด้วย ตอนนั้นผมก็สงสัย เพราะพระัศรีอาริยเมตไตรยยังไม่ได้ตรัสรู้จะมีกระดูกเป็นพระธาตุได้อย่างไำร

    แต่ผมคิดว่าข้อมูลจากคุณโจ ไม่น่าจะผิดพลาดนะครับ
    แสดงว่าการเกิดพระธาตุนั้นไม่ได้เกิดจากการที่เป็นพระอรหันต์เพียงสาเหตุเดียว แต่มีสาเหตุอื่นๆอีก

    นี้คือ logic ที่ผมคิดนะครับ
    A เป็นพระัอรหันต์
    ฺฺB กระดูกเป็นพระธาตุ
    C สาเหตุอื่นๆที่เรายังไม่รู้

    A->B
    C->B

    หรือท่านเห็นว่าอย่างไรครับ
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ...........ครับผมเห็นเช่นเดียวกับท่าน....บางครั้งได้ยินเรื่องเล่ามาว่า .......พระ

    โสดาบันกระดูกก็ยังเป็นพระธาตุ....รวมทั้งพระฤาษีต่างๆ...ก็มีที่กระดูกกลายเป็น

    พระธาตุได้เหมือนกัน...อาจเป็นเรื่องของ"อจินไตรย"ก็เป็นได้นะครับ...........

    ...........ในส่วนของคุณโจต้องยอมรับข้อหนึ่งว่า "ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมของ

    ท่านอย่างเพียรพยายาม...และพยายามเสาะหาครูบาอาจารย์เพื่อไปเรียนรู้เรื่องราว

    ต่าง ๆ...แล้วก็นำมาเขียนเพื่อบำเพ็ญเพียรในแง่การให้"ธรรมเป็นทาน"...รู้สึกว่า

    ท่านปรารถนาจะสร้างบารมีในการเผยแพร่ทางนี้....ความรู้สึกลึก ๆของผม...คุณ

    โจกำลังพยายามฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้แสดงธรรมชั้นสูงไปเรื่อย ๆ....และคาดเดา

    ได้เลยว่า"คุณโจปรารถนาพุทธภูมิอย่างแน่นอนครับ".............
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ผมคิดว่าท่านก็ปรารถนาพุทธภูมิเช่นกันครับ
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    นายพลศักดิ์ ตัวป่วนบอร์ด บอกว่า หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด กับอีกหนึ่งที่ยังไม่เกิด เป็นพระศรีอริยเมตไตรย แบ่งภาคมา ท่านเห็นด้วยหรือไม่ครับ ถ้าไม่ คิดยังไงกับนายพลศักดิ์ ครับ

    จากที่ผมได้ไปอ่านข้อความในบอร์ดเค้ามา ผมคิดว่าเค้าทรงฌานจริงๆ และมีญาณจริงๆในระดับโลกีย์ แต่หลงทางไปคิดเรื่องอจินไตยเข้า ผลเลยออกมาอย่างที่เห็น แล้วท่านมีความเห็นว่าอย่างไรครับ
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งนานมากทีเดียวแล้วก็หาเล่มนั้นไม่เจอ

    อีกเพราะย้ายบ้านหลายครั้งมาก....จำได้เขาเขียนถึงพระศรีอริยเมตไตรยว่า...หลัง

    ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมาท่านปล่อยดวงจิตของท่านมาเกิด 2,507 ดวง......(อ่าน

    แล้วพิจารณาใคร่ครวญก่อนนะครับ)....ซึ่งใน 2,507 ดวงนั้นมาเพื่อสร้างบารมี

    ธรรมยิ่ง ๆขึ้นไป....แต่บางดวงอาจไม่สามารถสร้างบารมียิ่ง ๆขึ้นไปได้...ถูกฝ่าย

    มารส่งกิเลสครอบงำ..ดวงจิตนั้นก็จะเสียไป.........

    ...........ในดวงจิต 2,507 ดวง...หากรอดจากฝ่ายมาร..ก็จะกลับไปรวมบารมี

    ธรรมกับดวงจิตใหญ่เพื่อกลับมาตรัสรู้เป็น"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อจากพระโคดม

    พุทธเจ้า"......

    ............ความรู้จากหนังสือดังกล่าวไม่ทราบว่า"เทียบเคียงกับคำว่า"แบ่ง

    ภาค"ไหม......แต่ก็เคยอ่านจากเพื่อนสมาชิกที่โพสเรื่อง..หลวงตาม้ากล่าวถึงเรื่อง

    นี้ไว้เหมือนกันครับ......

    ............สำหรับท่านพลศักดิ์ที่ท่านเอ่ยถึง.........."หากเชื่อตามพระพุทธองค์

    กล่าวไว้ว่า....คนเราที่เกิดมาจนกระดูกกองเป็นภูเขาได้นั้น...ที่จะไม่เคยเป็นญาติพี่

    น้องกันมาก่อน..เป็นพ่อแม่ลูกกันมาก่อน...หรือเป็นสามีภริยากันมาก่อนนั้นไม่มี...

    เพียงแต่เกิดมาใหม่แล้วจดจำของเดิมไม่ได้เท่านั้น.....ถ้าคิดตามนี้ท่านพลศักดิ์ก็คือ

    ญาติพี่น้องของเราคนหนึ่ง...เขาจะทำอะไรก็เมตตาเขาเถิด..ให้อภัยเขา....ภาวนา

    ให้เขาเห็นทางที่ดี.....มีความสุขกว่าคิดร้ายต่อเขามากมายนักครับ...."........
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........ผมกำลังค้นหาตัวตนในอดีตชาติอยู่...เพราะผลที่เป็นอยู่ในปัจจุบันล้วนมี

    เหตุมาจากอดีตชาติ.......

    ............สำหรับความปรารถนาพุทธภูมินั้นมีอยู่...แต่ง่อนแง่นสั่นคลอน....ไม่คง

    ที่.......เพราะสภาวะธรรมที่ปรากฏอยู่ทุกวัน....เหมือนกับตัวเรามาดำรงชีวิตอยู่

    เพื่อเป็นฐานของการ"สับเปลี่ยนอารมณ์ไปตลอดทั้งวัน"....อารมณ์นี้เข้าอารมณ์นี้

    ออก..โดยมีอายตนะทางโลกเป็นเหยื่อล่อ....จนรู้สึกว่า..."เบื่อกับชีวิตที่เห็นความ

    ไม่เป็นตัวเป็นตนชัดเจน...เห็นโทษของการเกิดเสียแล้ว....คงหมดท่าเรื่องพุทธ

    ภูมิครับ............"
     
  7. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ผมเคยได้อ่านคอมเม้นท์ของใครบางคนในห้องนี้ บอกไว้ว่า ร.4 กำลังเสวยทุกคติภูมิ จากการทำอนันตริยกรรม แบ่งแยกคณะสงฆ์ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ครับ

    สำหรับผมเอง ซึ่งไม่มีญาณ หยั่งรู้อะไรเลย ผมคิดว่าข้อความนี้น่าจะเป็นเท็จ ท่านไม่ได้ทำอนันตริยกรรมในข้อนั้น เพราะท่านตั้งใจจะปฏิรูปวงการสงฆ์ซะใหม่ โดยกลับไปในรูปแบบของสงฆ์ในยุคพุทธกาล เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ใจจริงท่านอยากจะเปลี่ยนสงฆ์ทั้งประเทศ แต่ก็มิอาจทำได้ จึงได้เปลี่ยนแปลงเฉพาะกลุ่มก่อน

    หรือท่านมีความเห็นว่าอย่างไรครับ
     
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ความเห็นของผม.."ธรรมยุติ"......ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นมีผู้ปฏิบัติ

    สายนี้..สำเร็จธรรมชั้นสูงอย่างสง่างามเป็นจำนวนหลายรูป...เหตุที่พระองค์ท่าน

    กำหนดขึ้นมา.......เพื่อแยกพระสงฆ์ผู้มุ่งตรงต่อความหลุดพ้น..ได้มีวินัยของธรรม

    ยุติคุ้มครองในการปฏิบัติ...เป็นคุณต่อพระศาสนา

    .................เรื่องเสวยทุกข์อยู่ในทุคตภูมินั้น...ต้องดูนิมิตและธรรมารมณ์ก่อน

    สวรรคตของพระองค์ท่านว่า"เศร้าหมอง"หรือ"เบิกบาน"อันเป็นคติก่อนตายที่มี

    หลักเป็นเหตุวินิจฉัยไว้ในศาสนา....

    .................ซึ่งพฤติการณ์นี้ไม่มีใครรู้ได้นอกจากพระองค์ท่าน...แต่ดูพฤติการณ์

    ในคุณงามความดีของพระองค์ท่าน.."ขึ้นชื่อว่าพระองค์ท่านได้บวชเป็นพระ...อานิ

    สงฆ์ก็มากมายถึง 64 กัปป์อยู่แล้ว".........ผมเชื่อว่า.."พระองค์ท่านไปสุคติ

    ภูมิครับ"................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่106ช่างทองผู้ประดิษฐ์สร้อยลายดอกทานตะวัน.....





    ....................ก็ต้องขอย้อนกล่าวถึงความหลังในตอนที่ 64 วิถีชีวิตฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ

    น่าน หน้า 27...ขณะที่ปลัดเมือง มีสุข..ได้ถูกเจ้าเมืองน่านเรียกมาที่จวนเจ้าเมือง..และมอบหมายให้

    ทำหน้าที่แทนปลัดปักษ์ หงษา..ที่ถูกส่งไปทำการแทนปลัดเมือง มีสุข..ที่ฝั่งตะวันออกร่วมกับขุนทัพ

    และเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกพร้อมกับกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก..ในการวาง

    แผนต่อกรกับกองกำลังพม่าของเอหม่อง...

    .....................ก่อนที่กองกำลังของเอหม่องจะพาพวกมาบุกโจมตีค่ายหมู่บ้านฝั่งตะวันออก...โดย

    ระดมปืนใหญ่เข้ายิงดังสนั่นหวั่นไหว..จนเสียงดังข้ามฝากมาถึงฝั่งตะวันตกซึ่งก่อนที่เสียงปืนใหญ่จะ

    ถล่มค่ายของหมู่บ้าน.....ปลัดเมืองได้เดินทางเข้าตลาดแล้วพบร้านทำทองที่มีฝีมือปราณีตละ

    เอียดอยู่ร้านหนึ่ง...และเขาคิดว่าจะนำแหวนทองคำของเขามาให้ช่างทองหล่อหลอมทำทอง

    รูปพรรณอย่างหนึ่ง...แต่เขายังไม่ได้ดำเนินการได้หันมาพบคุณหนูสายใจบุตรสาวคนโตของ

    เจ้าเมืองน่าน...และระหว่างพูดคุยกันนั้น....ก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ที่กองกำลังพม่ายิงถล่มค่าย

    ของหมู่บ้าน...และปลัดเมืองได้รีบเดินทางไปยังฝั่งตะวันออกโดยสายใจได้ควบม้าตามไป

    ด้วย.....

    ....................มาดูเรื่องราวการกำเนิดสร้อยข้อมือทองลายดอกทานตะวันเส้นนั้นครับ..

    โดยขอเกริ่นคร่าว ๆก่อนนำเสนอในวันที่เมือง มีสุขมาทำสร้อยข้อมือทองเส้นนี้จริง ๆ.........

    ....................กาเผือกพาพวงผกาขับซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์วิบากมาตามถนน..เพื่อหาร้านใส่

    กรอบภาพวาดของโนรีที่เขาวาดขึ้นเพื่อมอบให้คุณยายและพวงผกาเป็นที่ระลึก..

    ....................ในที่สุดเขาก็พบร้านใส่กรอบรูปเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว..และดูมืดสนิทในฤดูหนาว..

    บรรยากาศหนาวเย็นขึ้น....ร้านกรอบรูปดังกล่าวอยู่ติดร้านช่างทองและขายทองซึ่งปิดสนิทตาม

    ประเพณีของร้านทองที่จะไม่เปิดร้านขายทองเด็ดขาดในยามค่ำคืน...ซึ่งก็คงไม่ต้องอธิบาย

    มากว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...

    .....................กาเผือกกับพวงผกาเดินเข้าไปในร้านใส่กรอบภาพ..แล้วพวงผกาได้กางภาพที่จะ

    ใส่ให้ดู...ลูกสาวเจ้าของร้านใส่กรอบเอ่ยถาม

    ..........................."จะใส่กรอบแล้วรอไปเลยหรือเปล่าฮะ"

    .....................กาเผือกได้เห็นรูปร่างหน้าตาและทรงผมสั้นของหญิงสาวพร้อมกับคำพูด..ก็คิดอยู่

    ในใจว่า"เด็กสาวเป็นทอมหรือเปล่า"...แต่ก็เอ่ยตอบทันที

    ..........................."ผมรอไปเลยดีกว่าครับ"

    ..........................."งั้นพี่ชายรอช่างตัดกระจกและตีกรอบไม้ก่อนนะฮะ"

    .....................กาเผือกมองหน้าพวงผกา..ก็พบว่าหน้าตาเธอยังคงรื่นรมณ์ดีจึงเอ่ยตอบ..เด็กสาว

    เจ้าของร้านไป

    ..........................."รอได้ครับ"

    .....................เด็กสาวถือรูปไปที่ด้านหลังแล้วส่งภาพ..ให้ลูกน้องพ่อเธอซึ่งเป็นช่างตัดกรอบไม้

    และกรอบกระจกวัดขนาดภาพ....กาเผือกหันมายิ้มให้พวงผกาแล้วเอ่ยอย่างน่าระรื่นทันที

    ............................"ดูท่าทางลูกสาวเจ้าของร้าน...คงจะทนเห็นความสวยของน้องพวงผกาไม่

    ได้เหมือนดอกทานตะวันกระมั๊ง...จึงรีบไปจัง"

    ............................"อ๋อ...แน่นอนอยู่แล้วพี่ชาย....เดี๋ยวเธอก็ต้องกลับมาจ้อแน่นอน" พวงผกา

    ตอบอย่างอมยิ้ม

    ....................และเด็กสาวก็ออกมาจริง ๆ พร้อมกับจ้องมองดูพวงผกาอย่างไม่วางตา

    ประเภท.."ถูกใจสาวทอม"...จนกาเผือกต้องกะแอมออกมา...เด็กสาวจึงหันมาหาเขาแล้วถามทันที

    ............................"พี่ชายไม่ใช่คนเมืองน่านไม่ใช่หรือ...มาจากไหนฮะ"

    ............................"ผมคนชัยนาทครับ.."

    ............................"แล้วพี่ชายมาทำอะไรที่เมืองน่านนี่ฮะ"

    ............................"มาธุระ..แล้วมาพักกับน้องเขาที่บ้านครับ" กาเผือกพูดพร้อมกับหันไปทาง

    พวงผกา

    ............................."เป็นญาติกันหรือฮะ" สาวทอมถาม

    ............................."ไม่ใช่หรอกคะ...."

    ....................ในขณะที่พวงผกาพูดอยู่..กาเผือกได้สังเกตบ้างสิ่งบ้างอยู่ที่คอของเด็กสาว....มัน

    เป็นสายสร้อยทองขนาดสั้นเกือบติดคอ...ตรงที่สายสร้อยห้อยอยู่มันคือ.."ทองที่ประดิษฐ์เป็น

    ดอกทานตะวันดอกหนึ่ง"...ซึ่งดูสวยงามมาก...

    .....................กาเผือกหยุดคิดพิจารณาทันที...ด้วยทองที่ประดิษฐ์เป็นดอกทานตะวันที่

    คอเด็กสาวนั้น..มันเหมือนกับดอกทานตะวันที่อยู่ในสร้อยข้อมือทองในขวดแก้วอย่างไม่ผิด

    เพี้ยน....เพียงแต่ว่าสร้อยข้อมือทองมีดอกทานตะวันอยู่หลายดอก...แต่ที่คอของเด็กสาวเป็น

    ดอกทานตะวันเพียงดอกเดียว.....

    .....................เด็กสาวหันหลังไปดูช่างตัดกระจกหลังร้าน...กาเผือกรีบสกิดบอกพวงผกาทันทีให้

    สังเกตที่คอเด็กสาวคนนั้น...พวงผกาจึงรีบสังเกตดูทันทีหลังจากที่เด็กสาวหันกลับมาคุยต่อ.....

    .....................และแล้วพวงผกาก็เริ่มตาเบิกโพลงพร้อมกับหันมามองที่กาเผือก...เหมือนรู้

    กันว่า..."น่าจะต้องมีเรื่องถามไถ่เด็กสาวคนนี้มากมายเสียแล้ว".................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2012
  10. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    อ่านเรื่องคู่บารมีของหลวงปู่มั่นแล้วผม รู้สึกหดหู่ชอบกล นึกถึงคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่ท่านลาพุทธภูมิไปแล้ว

    อุตส่าห์ร่วมสร้างบาีรมีกันมาด้วยกันหลายภพหลายชาติ โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนเลย คู่บารมียอมเป็นอิฐเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้พระโพธิสัตว์ หวังเพียงเพื่อให้พระโพธสัตว์ได้บรรลุอนุตรสัมโพธิญาณเท่านั้น และจะได้มาโปรดตนในภายหลัง

    แต่เมื่อพระโพธิสัตว์ลาพุทธภูิมิไปแล้ว เหลือแต่คู่บารมีที่ต้องเคว้งคว้าง คิดถึงความรู้สึกนั้นแล้วผมหดหู่ใจแทน ถ้าคู่บารมีนั้นเป็นอริยบุคคลแล้ว ก็ดีไป แต่หากยังเป็นแค่ิปุถุชน ผมว่าไม่รู้ท่านจะไปทางไหนดีเหมือนกันนะครับ

    นี่เป็นความคิดเห็นของผมครับ ผิดถูกประการใดช่วยชี้แนะด้วย แล้วท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..................เทียบเคียงกับเรื่องนี้นะครับ.."มีเพื่อนรักกันอยู่คู่หนึ่ง..มีเป้าหมาย

    เดียวกันที่..."จะหาบ้านที่สุขสบายติดเครื่องปรับอากาศ...และมีบริวารกับเสบียง

    อาหารพร้อมสรรพ.."

    ..................ทั้งคู่เดินทางไปด้วยกันผ่านป่าเขาลำเนาไพร..ทะเลทรายอันร้อน

    แรง..เผชิญทุกข์อย่างไม่หยุดหย่อน..ทั้งคู่ก็พิจารณาสภาวธรรมที่ปรากฎอยู่..ปรับ

    เข้ากับใจของตน..จนเห็นธรรมอย่างหนึ่งปรากฎว่า.."หากเดินทางเพื่อหาเป้าหมาย

    เดิมต่อไปเช่นนี้..ก็จะพบเห็นกับสภาพเหล่านี้ไม่จบสิ้น.."

    ...................ความเปลี่ยนแปลงจากเป้าหมายเดิมเริ่มสั่นคลอน...ด้วยเห็น

    ว่า.."การเดินทางเช่นนี้..ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่สุขสบายเลย.."อันเป็นความไม่เที่ยง

    แท้ที่ปรากฎขึ้นตลอดเวลาไม่คงที่....

    ...................แต่เพื่อนคนหนึ่งก็ยังมีปณิธานเดิม คือ "ต้องหาบ้านที่สุขสบายติด

    เครื่องปรับอากาศ....และบริวารกับเสบียงอาหารพร้อมสรรพให้ได้"....แต่เพื่อนอีก

    คนหนึ่งเห็นต่าง..ด้วยเห็นว่า"สภาวธรรมจากการเดินทาง..ว่ามีแต่ทุกข์..เหมือน

    โยนความสุขไปข้างหน้า..แล้ววิ่งตามไปหาความสุข...เขาอยู่กับสภาวะธรรมใน

    ปัจจุบันที่เป็นจริง"

    ...................จนกระทั่งเดินทางข้ามทะเลทรายมาพบ..บ้านหลังหนึ่ง...ที่

    เป็น"บ้านที่สุขสบาย..มีเครื่องปรับอากาศให้ความเย็น...มีเสบียงอาหารพร้อม

    สรรพ...แต่ขาดบริวารหรือคนรับใช้"

    ...................เพื่อนคนที่เห็นว่า"สภาวธรรมจากการเดินทาง..มีแต่ทุกข์..เหมือน

    โยนความสุขไปข้างหน้า..แล้ววิ่งตามไปหาความสุข...และคิดอยู่กับสภาวะธรรมใน

    ปัจจุบันที่เป็นจริง"...จึงเลือกที่จะอยูที่บ้านหลังนี้อย่างสุขสบาย..แม้จะไม่มีบริวารก็

    ตาม...เขาพอใจและหยุดเดินทางทันที...และยังชวนเพื่อนรักให้หยุดเดินทางและ

    อยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้....ด้วยความห่วงใย..ว่าหากเพื่อนเดินทางต่อไปอาจมีภัย

    และอาจหาเป้าหมายไม่เจอ...

    ...................เพื่อนคนที่มีปณิธานแน่วแน่ก็ว่า.."เราตั้งใจหาบ้านที่สุขสบายมี

    เครื่องปรับอากาศมีเสบียงพร้อมสรรพ..พร้อมบริวาร....แต่บ้านหลังนี้ขาดบริวาร...

    ดังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา...เราจะเดินทางหาบ้านหลังที่ครบเป้าหมายที่เราต้อง

    การ"........ดังนั้นเพื่อนคนนี้จึงเดินทางต่อไป

    ...................ด้วยสิ่งที่ทั้งคู่เรียนรู้วิชาในการเดินทาง..ซึ่งต้องมีทั้งความอดทน..

    เพียรพยายาม..มุ่งมั่น ฯลฯ..ซึ่งทั้งคู่ผ่านกระบวนการเรียนรู้มาหมด..เป็นวิชาที่

    สามารถเดินทางต่อไปได้โดยสวัสดิภาพ....เพื่อนคนที่ได้บ้านจึงรู้ดีว่าเพื่อนที่จากไป

    ต้องหาบ้านที่ต้องการพบ...ด้วยรู้วิชามาเหมือนกัน..แต่ก็ตามไปช่วยไม่ได้นอกจาก

    ส่งกำลังใจภาวนาให้เพื่อนที่จากไปพบบ้านโดยเร็ว....ฝ่ายเพื่อนที่จากไปก็รู้ว่าเพื่อน

    ที่ได้บ้านปรารถนาดีและยังเป็นกำลังใจให้เขาเดินทางต่อไปให้พบความสำเร็จ...แม้

    ทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยกันเลยในตอนก่อนจาก...

    ....................มาเปรียบเทียบกับ "กรณีที่หลวงปู่มั่นกับเพื่อนคู่บารมีของท่าน

    ต่างปรารถนาเป็น"พระพุทธเจ้า"....หลวงปู่มั่นก็เหมือนกับเพื่อนที่หาบ้านได้พบ

    ก่อน..แม้จะไม่ต้องตามปณิธานเดิม....แต่ด้วยเหตุที่ว่าผ่านเหตุการณ์ตอนเดินทาง

    มามากมาย..จึงพิจารณาตนว่าควรไปต่อหรือไม่..ด้วยเห็นความจริงในการเดินทาง

    เสียแล้ว....."

    ....................คู่บารมีของท่านที่เดินทางต่อไป..."ท่านไม่เคว้งคว้าง...เพราะ

    ท่านมีวิชาการเดินทางเป็นที่พึ่ง..และรู้ว่าเพื่อนนั้นส่งกำลังใจช่วยเหลืออยู่เสมอ....

    ที่พึ่งของผู้เคว้งคว้างก็คือ "ธรรม"..........ธรรมนั้นแลเป็นที่พึ่งได้ตั้งแต่คนชั้นต่ำ

    ยันคนชั้นสูง.....ธรรมนั้นแลเป็นที่พึ่งตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์

    ครับ".........คนที่มีธรรมเป็นที่พึ่งจะไม่มีความหดหู่ของใจครับ....ที่หดหู่หัวใจ

    เพราะเราอุปทานในนิวรณ์ครับ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • naratapm4.jpg
      naratapm4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.1 KB
      เปิดดู:
      200
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"น้องครับ..ดอกทานตะวันทองคำ..ที่น้องห้อยคออยู่..น้องจ้างช่างทองที่

    ไหนทำขึ้นหรือครับ" กาเผือกถามสาวทอม..โดยมีพวงผกาตามลุ้นอยู่ใกล้ ๆ

    ............................"อากงเป็นคนให้หนูเองฮะ" สาวทอมตอบ

    ............................"อากงของน้องสาวเป็นช่างทองหรือ" กาเผือกต้องการรู้ที่มา

    ............................"ใช่ฮะ...แต่ดอกทานตะวันดอกนี้..เตี่ยของอากงเป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมา"

    สาวทอมหน้าใสเอ่ยขึ้นพร้อมกับปลดสายสร้อยส่งให้กาเผือกและพวงผกาดูอย่างชัด ๆ

    ............................"ใช่จริง ๆเลยพี่ชาย" พวงผกาเอ่ยอย่างตื่นเต้นเมื่อดูดอกทานตะวันใกล้ ๆก็

    พบว่ามันเหมือนกับดอกทานตะวันที่ติดอยู่ที่สร้อยข้อมือทองคำที่อยู่ในขวดแก้ว

    .....................กาเผือกมองหน้าพวงผกาและสาวทอมหน้าใส..อย่างยินดีที่พบ..ที่มาของคน

    ประดิษฐ์ดอกทานตะวันทองคำนี้..และเขาเชื่อว่า..ช่างทองผู้นี้จะต้องเป็นคนเดียวกับที่ทำสร้อย

    ข้อมือทองคำเส้นนั้นอย่างแน่นอน...เขาจึงรีบถามที่มาที่ไป

    ............................"น้องครับ..แล้วเตี่ยของอากงเขาทำดอกทานตะวันดอกนี้มาตั้งแต่เมื่อไร"

    ............................"เมื่อปีพ.ศ.2466...อากงเล่าให้ฟังว่าเตี่ยของอากงทำดอกทานตะวัน

    ประดิษฐ์ขึ้นให้กับชายคนหนึ่งเพื่อทำสร้อยข้อมืองทองคำ...ซึ่งเขานำแหวนปลอกมีดทองคำนำมา

    มอบให้ทำ...เตี่ยของอากงได้ทำดอกทานตะวันจำนวน 6 ดอก..เพื่อติดสร้อยข้อมือทองคำ...แต่เขา

    บอกว่า..ให้เอาออกจากสร้อยข้อมือทองคำ 1 ดอก..เขาต้องการให้สร้อยข้อมือทองคำมีดอก

    ทานตะวันเพียง 5 ดอก...ดังนั้นเขาจึงมอบดอกทานตะวันทองคำนี้ให้แก่เตี่ยของอากงเป็นที่ระลึกนอก

    จากค่าทองที่เขาจ่ายมาแล้ว...เตี่ยของอากง...ทำดอกทานตะวันนี้อย่างยากเย็น...มันเป็นลายที่ไม่มี

    ใครเคยประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนเลย....เตี่ยอากงบอกว่า..ชายคนนี้เข้าใจคิดที่นำดอกทานตะวันมาเป็นลาย

    สร้อยข้อมือทอง"

    ....................กาเผือกและพวงผกาได้ยินสาวทอมพูดเช่นนั้น...ก็เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราว

    ว่า..."ความจริงดอกทานตะวันที่สาวหมวยได้มา..ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสร้อยข้อมือทองคำที่

    อยู่ในขวดแก้ว...แต่ได้ถูกช่างทองแกะออกตามคำสั่งของผู้จ้างทำ...ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้

    นอกจากปลัดเมือง มีสุข"....กาเผือกเริ่มมีความหวังขึ้นมาเรื่อย ๆกับการได้รับรู้เรื่องราวที่เขากำลัง

    สืบหาความเป็นมาอยู่....สักครู่สาวทอมก็เอ่ยขึ้น

    ............................"พี่ชายอยากเห็นภาพของคนที่ประดิษฐ์ดอกทานตะวันทองคำนี้ไหมฮะ"

    ............................"อยากเห็นภาพของช่างผู้มีฝีมือจริง ๆครับ" กาเผือกตอบ

    ............................"งั้นพี่ชายกับน้องสาว..เดินตามมาทางนี้ฮะ"

    .....................ทอมหน้าใสเดินนำหน้ากาเผือกและพวงผกา..มาที่หลังห้อง..ก็พบภาพคนจีนที่ติด

    อยู่ที่ผนังเรียงกันหลายภาพ....แต่สาวน้อยทอมบอยเดินไปที่ภาพบานแรก..แล้วชี้ให้ทั้งสองคนดู

    ............................."นี่คือเตี่ยของอากงฮะ"

    ......................กาเผือกและพวงผกาจ้องมองดูภาพ..ก็เห็นความน่าเกรงขามของบุคคลในภาพ..

    ที่มีท่าทีเอาจริงเอาจัง...เป็นผู้เฒ่าผมขาวโพลนคิ้วยาว..จมูกสวยได้รูปกับใบหน้า..ดวงตาคล้ายตา

    มังกร...แต่ตาดำโตและดำสนิท...ใบหูยาวใหญ่.........เส้นฮวบเหล็งบริเวณมุมปากกว้างยาว...บง

    บอกลักษณะของคนที่เป็นผู้มีความละเอียดความเพียรพยายาม..มุ่งมั่น........เช่นนี้เองผลงานของ

    เฒ่าจีนผู้นี้จึงงดงามเกินคำบรรยาย...แต่ผู้เฒ่าผู้นี้ไม่ต้องบอกว่าอยู่ที่ใด...ทุกคนก็รู้ได้เลยว่า...เขาลา

    โลกไปแล้ว....แต่เขาได้ทิ้งผลงาน คือ "ดอกทานตะวันทองคำอันสวยงามที่ไม่มีช่างใดทำมา

    ก่อนให้กับชนรุ่นหลังได้ดู"......โดยเฉพาะสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันที่เฒ่าจีนทำ

    ขึ้นกำลังเป็นตำนาน...แห่งความรักของ...เมือง มีสุขกับโนรี นรา...ที่มีค่ายิ่ง...ถึงขนาดกับ

    ก่อนที่เขาจะจากไปได้สั่งเสียให้..เจ้านกกาเผือกนำสร้อยข้อมือทองคำเส้นนี้ไปให้แก่ โนรี

    นรา......และเมื่อเจ้ากาเผือกตายไป...ก็กลับมาเกิดและทำหน้าที่ในอดีตของมันต่อไป......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................กาเผือกและพวงผกาได้ดูภาพของเฒ่าจีนผู้สร้างงานประดิษฐ์ทอง

    รูปพรรณที่สวยงามและล้ำค่าคือ "สร้อยข้อมือลายดอกทานตะวัน"..ก็รู้สึกชื่นชมเฒ่าจีนซึ่งเป็น

    เตี่ยของอากงของสาวทอมเป็นอย่างยิ่ง...เขาทั้งสองไล่ดูภาพทุกภาพที่ติดตั้งไว้ที่ผนังห้องก็พอรู้

    ว่า..รูปภาพของอากงของสาวทอมคนไหน..

    .....................ภาพต่าง ๆที่เขาเห็น คือ ภาพที่บุคคลในภาพลาลับโลกไปแล้ว...สักครู่หนึ่งช่างที่

    ทำกรอบรูปของโนรี นราก็เดินออกมาบอกสาวทอม

    ............................."แสงเดือน..กรอบรูปติดเสร็จแล้ว"

    .....................คำพูดของช่างทำให้กาเผือกและพวงผการับรู้ชื่อของสาวทอม..พร้อมกับหันมอง

    หน้ากันอย่างไม่นัดหมาย...ก็ชื่อของเธอ ..."แสงเดือนนั้นสมกับความเป็นหญิงของเธออยู่แล้ว...แต่

    เธอดันตะแบงไปมีจริตแบบชาย"....."เป็นผู้ชายมันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะโว้ยเจ้าทอมน้อย"(เสียงตะโกน

    บ่นอยู่ในใจของกาเผือกที่.....อยากแสดงความเห็นในใจออกมาให้เจ้าสาวทอมรับรู้)

    ............................"เอาออกมาเลยนะฮะ..ช่าง" เสียงออกคำสั่งแต่กลับอ่อนโยน..ที่แสดงให้

    เห็นว่าเธอใช้พระเดชไม่เป็นเลย

    .....................กาเผือกมองหน้าพวงผกาแล้วยิ้ม...เขาอยากจะบอกพวงผกาว่า.."จริง ๆแล้ว..แม่

    สาวคนนี้ไม่น่าจะใช่ทอม 100 เปอร์เซนต์หรอก..ยังมีความเป็นหญิงอยู่มาก..เพราะหล่อนไร้ซึ่งความ

    ห้าว"

    .....................สักครู่หนึ่งรูปที่ใส่กรอบก็นำออกมาวางที่บนตู้กระจกให้..กาเผือกและพวงผกาดู...

    ซึ่งแสงเดือนเองก็เริ่มเพ่งดูภาพนี้..ก็รู้ว่าไม่ใช่ภาพวาดที่พวงผกาเป็นแบบ..แต่แสงเดือนเริ่มรู้สึกชอบใจ

    โนรี นราที่อยู่ในภาพ..หล่อนจึงเอ่ยถาม

    ............................"พี่ชาย..ผู้หญิงที่อยู่ในภาพนี้เป็นคนที่ไหนหรืออายุเธอเท่าไรแล้ว"

    .....................กาเผือกกับพวงผกาหันมายิ้มให้กัน..ด้วยถ้าบอกอายุไปหล่อนคงตกใจ..แต่ก็ต้อง

    ตอบ

    ............................"เธอเป็นคนสุราษฎร์..อายุเธอก็คงราว 90 กว่าปีครับ"

    ............................"พี่ชายว่าอะไรนะฮะ...90กว่าปีหรือฮะ"

    ............................"ใช่แล้ว...แต่ตอนที่วาดภาพนี้เธออายุราว 17 หรือ 18 ปีนี่แหละ" กาเผือก

    ตอบ

    ............................"แล้วพี่นำภาพของเธอเป็นแบบมาจากไหนจึงวาดได้" แสงเดือนซักด้วย

    อยากรู้จริง

    ............................"พี่วาดตามคำบอกเล่าของคุณยายของน้องพวงผกา" กาเผือกพูดพร้อมหัน

    มาทางสาวที่ยืนอยู่ข้าง

    .....................แสงเดือนมองไปทางพวงผกา...และก็ฟังเธออธิบาย

    ............................"คุณยายอายุราว 7 ขวบก็เห็นผู้หญิงคนนี้และจดจำได้"

    ............................"แล้วเธอคือใครหรือฮะ..อยู่ต้องสุราษฎร์มาทำไมที่เมืองน่าน"

    .....................แสงเดือนสงสัยอย่างแรง...ด้วยไม่เคยรับรู้เรื่องราวของ โนรี นรา..ที่จะมีประวัติอยู่

    ในเมืองน่านมาก่อนเลย........

    ............................"เธอคือ ..คนรักของปลัดเมือง มีสุข" กาเผือกเอ่ย

    ............................"ว่าไงนะพี่ชาย..พี่ชายพูดผิดหรือเปล่า...คนรักของปลัดเมือง คือ

    คุณหนูสายพิณบุตรชายเจ้าเมืองน่านต่างหาก" สาวทอมโต้เถียง

    ............................."แล้วน้องไปรู้ได้อย่างไร..ว่าคุณหนูสายพิณคือคนรักของปลัด

    เมือง"

    ............................."พี่ชายมาที่นี่ได้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์มาหรือยัง...ภาพต่าง ๆที่วาดขึ้น

    คุณหนูสายใจเป็นคนเขียนขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ปลัดเมืองหลังจากที่เขาจมน้ำหายไป...อีกทั้งลูก

    ธนูดอกกุหลาบ..ดอกนั้นที่ติดอยู่ก็ยืนยันคำมั่นสัญญาของพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างดีแล้ว...

    ว่าเขาคือคู่รักกันนะฮะ"

    ..........................."ข้อนั้นพี่รู้..แต่พี่รู้กว่าคนเมืองน่านก็ตรง..ภาพที่ใส่กรอบภาพนี้

    แหละ....แล้วน้องรู้ไหมว่า..ดอกทานตะวันทองคำที่น้องห้อยคออยู่..ใครเป็นคนสั่งให้เตี่ยของ

    อากงน้องเป็นคนทำขึ้น"

    ....................แสงเดือนส่ายหน้า..เพราะตนเองไม่เคยรู้เรื่องถึงคนสั่งทำสร้อยเส้นนี้..นางจึงเอ่ย

    ถาม

    ............................"พี่ชายรู้หรือว่าใครเป็นคนสั่งทำฮะ"

    ............................"ปลัดเมือง มีสุข เป็นคนสั่งเตี่ยของอากงน้องทำเพื่อนำไปให้สาวที่อยู่

    ในกรอบรูปนี้"

    ............................."หา...ว่าไงนะ...แล้วทำไมไม่มีเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้อยู่ในประวัติ

    ของปลัดเมือง ในพิพิธภัณฑ์"

    .....................กาเผือกหัวเราะเบา ๆ..แต่ก็ไม่อยากจะเปืดเผยเรื่องราวใดมาก..จึงเอ่ยขึ้น

    ตัดบท

    .............................."เอา..เป็นว่า...พี่จะมาเติมเต็มประวัติของเขาให้คนเมืองน่านได้รู้

    เรื่องราวจนหมดสิ้น....จำได้ไหม..ว่าตอนที่เขาหายไปจากเมืองน่าน..ก่อนจะกลับมาจมน้ำ

    หายไป..เขาไปอยู่ที่ไหน...รู้ไหม"

    .............................."ไม่รู้ฮะ" แสงเดือนพูดพร้อมกับส่ายหน้า

    ....................กาเผือกคิดพิจารณาประมวลเรื่องราว..จึงตอบแบบคาดเดาปนความรู้ที่รับรู้มา....

    ..............................."เขาไปอยู่ที่เมืองสุราษฎร์ธานีกับผู้หญิงคนนี้...หล่อนชื่อ โนรี

    นรา"

    ..............................."โนรี นรา" สาวทอมอุทานด้วยไม่เคยได้ยินมาก่อน.พร้อมกับมอง

    ไปที่ภาพ.แล้วเอ่ยต่อ

    ..............................."หมายความว่าผู้หญิงที่สวยน่ารักในกรอบภาพนี้คือ โนรี นรา หรือ

    ฮะ"..................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ใช่แล้วน้องสาว..แล้วพี่จะไปค้นหาเรื่องราวของผู้หญิงนี้มาให้คนเมืองน่าน

    ได้รู้" กาเผือกย้ำ

    ............................"ดีเลยฮะ..หนูก็อยากรู้...เพราะเรื่องราวของปลัดเมือง..ที่อยู่ที่นี่..หนูว่าไม่

    ค่อยชัดเจน...ทางพิพิธภัณพ์ก็อยากรวบรวมให้สมบูรณ์..แต่หนูว่ายากนะฮะ..แม้แต่..ลูกธนูที่อยู่บน

    ดอยของปลัดเมือง..พวกเขายังตามหากันไม่พบ...ลูกธนูที่มีประวัติจึงมีเพียงเท่าที่เห็นใน

    พิพิธภัณฑ์"

    ............................."ลูกธนูบนดอย" กาเผือกและพวงผกาทวนคำพร้อมกัน

    ............................."ลูกธนูบนดอยที่ไหนหรือ" พวงผกาย้อนถามอย่างสนใจ..โดยมีกาเผือก

    คอยฟัง

    ............................."ก็ลูกธนู..ที่เคยมีประวัติว่าเขาเคยไปพบกับสหายเขาที่เป็นชาวเผ่า

    ชื่อลีเจง..แล้วไปยิงลูกธนูที่ถูกเหยี่ยวที่บนดอยไงเล่าฮะ"

    .....................คำพูดของแสงเดือนสาวทอมน้อย..ทำให้ทั้งกาเผือกและพวงผกาเริ่มย้อนกลับไป

    คิดถึงเรื่องคุณยายมั่นเล่าให้ฟัง...ว่ามีเหตุการณ์ที่ปลัดเมืองยิงลูกธนูดอกหนึ่งไปปักถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งที่

    กำลังไล่ล่านกน้อยอยู่กลางเวหา...ตอนอยู่บนดอย

    .....................ก็ต้องขอย้อนให้ทบทวนเรื่องราวใน.....ตอนที่ 52 ผู้ถูกล่ากับเผ่ามูเซอ..ใน

    หน้าที่ 21 และ...ตอนที่ 57 ความรักบนดอยของสาย หน้าที่ 25

    .....................ซึ่งมีการกล่าวถึงการยิงลูกธนู..ในระหว่างที่ลีเจงกับปลัดเมืองกำลังสนทนาเรื่อง

    ความต่างของ "ธนูกับหน้าไม้"...แล้วปลัดเมืองได้บอกว่าเขาเรียนรู้การยิงลูกธนูสำหรับเป้าหมายที่

    เคลื่อนที่จากศัตรูของเขา...โดยลอบดูวิธีการยิงและเรียนรู้จากศัตรูเขา..ในขณะที่ศัตรูเขาสอยอีกาที่

    กำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้าจนล่วงลงมา...แล้วขณะกำลังพูดคุยกันอยู่ปลัดเมืองได้นำลูกธนูมาทาบคัน

    ธนู..เป็นขณะเดียวกับที่เหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังบินโบไล่ล่านอกน้อยสามตัวเพื่อจับกิน..ลูกธนูวิ่ง

    ทะยานพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วและแรงเจาะเข้ากลางลำตัวของเหยี่ยวตัวนั้นล่วงหล่นมาก่อนที่จะตะครุบ

    กินเป็นอาหาร.

    ...................ซึ่งลีเจงได้นำลูกธนูที่ปักเหยี่ยวตัวนั้นสต๊าปไว้ที่บ้านเพื่อเป็นที่ระลึกถึงเมือง

    สหายของเขา...และเมื่อสายซึ่งได้ออกติดตามกัมพูไปจนถึงดอย..และพบกับนะจาและจาโอ....

    ...................และเขาก็ได้มาพบกับลีเจง...........จนเห็นลูกธนูดอกนี้ที่ปักอยู่ที่นกเหยี่ยว.......ลี

    เจงจึงรู้ว่าเขาเป็นสหายกับปลัดเมือง.......

    ...................ลูกธนูและนกเหยี่ยวดังกล่าว.....ก็คือลูกธนูและนกเหยี่ยวที่ทางพิพิธภัณฑ์ก็

    อยากได้มาเสริมเพื่อเติมเต็ม........เรื่องราวของปลัดเมือง มีสุข.....

    ....................กาเผือกกับพวงผกา...ออกจากร้านก็มุ่งตรงกลับบ้าน...แต่ใจของกาเผือก

    เริ่มคิดว่า.."เขาควรจะตามหาลูกธนูดอกนั้นเหมือนกัน...ซึ่งจะหาที่ใดไม่ได้นอกจากบนดอย

    เท่านั้น....แต่ก่อนที่เขาจะตามหาเขาก็ต้องวาดรูปของโนรี นรา ภาพที่สองให้เสร็จสิ้น

    ก่อน"........

    ....................พวงผกาที่นั่งอยู่ท้ายรถเห็นกาเผือกนิ่งไปก็ให้รู้ว่าคงกำลังคิดอะไรอยู่..แต่เธอมั่นใจ

    ว่า...กาเผือกจะต้องคิดถึงเรื่องลูกธนูบนดอยอย่างแน่นอน..ดังนั้นเธอจึงเอ่ยขึ้นดักคอ

    ............................"พี่ชายเงียบไป...นี่ท่าทางใจจะไปถึงดอยแล้วมั้ง"

    ....................กาเผือกได้ยินเสียง..ก็ให้แปลกใจที่สาวซ้อนท้ายเดาใจถูกได้อย่างไร..แต่ก็หัวเราะ

    กลบเกลี่อนแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"เดาผิดแล้วมั้ง...ใจยังอยู่ที่ทอมฝึกหัดอยู่ต่างหาก"

    ............................"นั้นแน่...แอบชอบทอมแล้วสินะ" พวงผกาเอ่ยเจือสม

    ............................"คงอย่างงั้นละมั้ง" กาเผือกคล้อยตาม

    ............................"คงต้องกลับไปฝีกหล่อนให้เป็นผู้หญิงก่อนนะพี่ชาย"

    ............................"ไม่ต้องฝีกหรอก..เพราะหล่อนเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว..แต่เป็นผู้หญิงที่

    ชอบผู้หญิงที่นั่งซ้อนท้ายรถอยู่นี่ไง" กาเผือกพูดกระเซ้าพร้อมกับหัวเราะ

    ....................สาวที่นั่งซ้อนท้ายได้ยิงเสียงพูดก็ให้รู้สึกหมั่นไส้..หล่อนจึงทุบเขาที่ข้างหลัง

    อย่างแรง......

    ............................."โอ๊ย"......เสียงสุดท้ายของกาเผือกก่อนกลับถึงบ้าน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............ตอนที่ 107 ภาพวาด โนรี นรา ภาพที่สอง...........




    .....................กาเผือกนำภาพโนรี นราที่ใส่กรอบมาตั้งเป็นแบบวาดภาพที่สองในวันรุ่ง

    ขึ้น...ซึ่งภาพนี้เขารู้สึกวาดได้ง่ายด้วยเป็นการวาดภาพลอกแบบจากภาพที่หนึ่ง..ภายในใจของกา

    เผือกครุ่นคิดไปถึงลูกธนูของเมือง มีสุขที่อยู่บนดอย...พลางคิดว่า..บนดอยคงหนาวไม่น้อยทีเดียว..

    แล้วเขาไปที่แห่งนั้นไม่ใช่ว่าวันเดียวจะหาได้พบ..อาจต้องค้างคืนบนดอยแห่งนั้น....แล้วเขาจะมั่นใจ

    อย่างไรว่าชีวิตเขาจะปลอดภัย....แต่อีกความคิดหนึ่งของกาเผือกคิดว่า...ในเมื่อเขาจะค้นพบเรื่องราว

    ของเมือง มีสุข..ทำไมเขาไม่เริ่มแกะรอยจากภาพวาดที่มีคำอธิบายอยู่ในพิพิธภัณฑ์นั้น...เพราะภาพ

    เหล่านั้นต่างก็วาดมาจากสถานที่จริง..มีคำอธิบายบนความเป็นจริง....

    .....................กาเผือกหยุดวาดภาพ..แล้วเดินตามหาไก่ตุ๋นน้องชาย..ก็เห็นเขามาแอบนอนหลับ

    อยู่ในรถ..จึงได้ปลุกน้องชายตื่น...

    ............................"ไอ้อ้วน..ตื่น" กาเผือกพูดพร้อมเขย่าตัว

    .....................ไก่ตุ๋นงัวเงียแล้ว..ถามกลับ

    ............................"อะไรของมึงว่ะ..คนกำลังจะนอน"

    ............................"มึงตื่นมาช่วยกูคิดหน่อยสิ..ว่าจะเอาอย่างไรดี" กาเผือกเอ่ย

    ............................"เอาอะไรดี..มึงว่ามาเลยกูฟัง" ไก่ตุ๋นเอ่ยพร้อมกับไม่ยอมลืมตา

    ............................."มึงจะนอนไปถึงไหน..เวลาเหลือน้อยแล้วนะโว้ย"

    ............................."เวลาอะไรเหลือน้อย"

    ............................."ก็เวลาที่มึงจะอยู่ที่นี่ไง...มึงลืมเรื่องบ้านที่จะปลูกใหม่แล้วหรือ" กาเผือก

    เตือนเรื่องบ้านที่เขาจะต้องมาดูแลการปลูกบ้านที่ชัยนาทในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2547 อันเป็น

    ฤกษ์มงคลที่เขาจะต้องพาช่างมาขึ้นเสาเอก

    ............................."ก็มึงทำให้ชักช้าเอง..มึงขึ้นไปบนจุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกันแล้ว..หาขวด

    แก้วพบก็จบแล้ว...ก็ไม่รู้ว่ามึงมัวแต่ถ่วงทำอะไรอยู่" ไก่ตุ๋นอธิบายพฤติการณ์ของกาเผือกให้เขา

    ทบทวนดู

    ............................."ไม่ได้ไอ้อ้วน..มึงก็รู้ว่ามีคนจ้องเล่นงานเราอยู่..กูคิดว่าเป้าหมายคือขวด

    แก้วนั้นแน่...ตอนนี้กูเดาว่ามีสองกลุ่มที่ต้องการขวดแก้วนี้..คือ คนของพิพิธภัณฑ์..กับเจ้าวายร้ายที่

    ขับรถตามเรามาวันนั้น" กาเผือกให้ความเห็น

    ............................."แล้วตอนนี้มึงคิดอย่างไร" ไก่ตุ๋นเริ่มลืมตามองหน้าพี่ชาย

    ............................."กูคิดว่า..หากกูวาดภาพเสร็จ...เราต้องไปจากที่นี่ก่อน"

    ............................."ไปไหน"

    ............................."ไปบนดอย..เพื่อตามหาลูกธนูของเมือง มีสุขอีกดอกหนึ่งที่เขายิงเหยี่ยว

    ตัวหนึ่งตาย...แล้วสหายของเขาได้สต๊าปเหยี่ยวกับลูกธนูนั้นไว้" กาเผือกอธิบาย

    .............................."ไปกี่วัน" ไก่ตุ๋นถามแบบตาเริ่มสว่างด้วยเห็นว่า..จะได้เดินทางไปที่แปลก

    ใหม่

    .............................."สัก 3 วัน..แล้วเราค่อยกลับมาที่บ้านคุณยาย" กาเผือกกำหนด

    .............................."มึงจะไปได้หรือ...กูเห็นกระหนุงกระหนิงอยู่กับพวงผกา" ไก่ตุ๋นลองเชิงจี้

    ใจดำกาเผือก

    ....................กาเผือกหัวเราะก่อนตอบ

    .............................."ก็กูจะเอาเขาไปเป็นคนนำทางด้วย"

    .............................."หา...พิเรนท์แล้วมึง" ไก่ตุ๋นอุทานพร้อมกับด่าพี่ชาย

    .............................."พิเรนท์อย่างไร" กาเผือกถามอย่างสงสัยในความคิดน้องชาย

    .............................."คุณยายและพ่อแม่เขาจะคิดว่า..มึงพาพวงผกาหนีนะสิ"

    .............................."มึงต่างหากที่คิดพิเรนท์...กูจะขออนุญาตคุณยายเขาก่อนโว้ย...คุณยาย

    เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี้...คุณยายเขาสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว....ที่เราจะมาค้นหาความ

    จริงเรื่องของปลัดเมืองพี่ชายของคุณยาย"

    .....................ไก่ตุ๋นนั่งคิดตามก็เห็นว่าจริงตามพี่ชายเอ่ย...........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากที่กาเผือกเดินจากไป..ไก่ตุ๋นคิดถึงเรื่องราวภาระที่เขาและกาเผือกจะ

    ต้องกลับไปดูแลการก่อสร้างบ้านที่ชัยนาท..เขาจึงโทรศัพท์มือถือโดยตรงเข้าหาน้องเก้งน้องสาวคน

    เล็กของเขา...

    ............................"เก้ง..นัดหมายกับช่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเรื่องลงเสาเอกวันที่ 1 ปีใหม่นี้"

    ............................"เรียบร้อยแล้วพี่ไก่ตุ๋น...แล้วพี่จะกลับมาเมื่อไร..แม่เขาบ่นอยู่นะ" เก้ง

    รายงาน

    ............................"ไม่นานหรอก..พี่กลับทันแน่..แต่กาเผือกนะสิ..มันมีเป้าหมายที่จะไปถึง

    สุราษฎร์ธานีโน้น" ไก่ตุ๋นแจงเรื่องอนาคต

    ............................"อ้าว..เรื่องยังไม่เรียบร้อยหรือพี่ไก่ตุ๋น"

    ............................"มันมากมายเกินกว่าที่คิด..เรื่องราวมันพันพัวไปถึงจังหวัดชัยนาทเราด้วย"

    ............................"ถึงชัยนาทอย่างไรพี่.." น้องเก้งถามกลับอย่างสงสัย

    ............................"พี่ไปดูที่พิพิธภัณฑ์ที่น่าน..พบเห็นภาพหนึ่งที่เมือง มีสุข เขาน้อมกราบ

    หลวงปู่ศุขแทบเท้าเลย...เขาเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ศุข..เขาเคยมาอยู่ที่ชัยนาท"

    ............................"หา...มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ..แล้วทำไมไม่มีเรื่องราวของเขาที่วัด

    หลวงปู่ศุขเลยล่ะ"

    ............................"นั่นนะสิ..กาเผือกมันจึงสงสัย..มันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด...มันจะ

    อยู่สืบเรื่องราวก่อน..แล้วจึงไปที่สุราษฎร์ธานีตามหาหลุมศพของโนรี นรา" ไก่ตุ๋นบรรยายขั้น

    ตอน

    ............................"หนูว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ...พี่คุยกับแม่ดีกว่า" น้องเก้งรีบจะ

    เดินเอาโทรศัพท์ไปให้แม่เพื่อคุยกับพี่ชาย...เสียงไก่ตุ๋นกรอกเสียงอย่างดังมาทางโทรศัพท์

    ............................"เฮ้ย...อย่านะเก้ง" ไก่ตุ๋นพูดจบก็ปิดโทรศัพท์มือถือทันที.....

    ............................."ฮัลโหล..ฮัลโหล" น้องเก้งพยายามเช็คสัญญาณ..และก็รู้ว่าฝ่ายไก่

    ตุ๋นปิดโทรศัพท์มือถือไปแล้ว

    .....................ไก่ตุ๋นเดินตามหากาเผือกก็พบว่ายังวาดภาพของโนรีภาพที่สองอยู่..เขาชำเรือง

    ภาพที่ติดกรอบรูปภาพแรกแล้วเอ่ย

    ............................."ภาพนี้ติดกรอบแล้วก็ดูเด่นดีว่ะ"

    ............................."เออ..ใส่กรอบแล้วทำให้รู้เรื่องราวเพิ่มขึ้น" กาเผือกเอ่ย..พร้อมจะเปิด

    เรื่องเล่าให้น้องชาย

    ............................."เรื่องราวอะไรว่ะ" ไก่ตุ๋นสงสัย

    ............................."ก็สร้อยข้อมือดอกทานตะวันในขวดแก้วนะสิ..กูรู้ว่าช่างทองเมือง

    น่านเป็นคนทำ..เมื่อวานกูไปเห็นดอกทานตะวันทองคำที่สาวทอมเจ้าของร้านใส่กรอบ..คล้อง

    คออยู่..มันเหมือนดอกทานตะวันในขวดแก้ว..กูก็เลยถามว่าเขาได้มาจากไหน...แล้วเธอเล่า

    ให้ฟังว่าเตี่ยของอากงเป็นคนทำขึ้น..โดยมีชายคนหนึ่งมาว่าจ้างทำ..แล้วคนว่างจ้างให้นำ

    ดอกทานตะวันทองคำออกจากสร้อยข้อมือ 1 ดอก..ให้เตี่ยของอากงเก็บไว้...แล้วอากงของ

    เธอเป็นคนให้เธอ"

    ............................"อย่างนี้นี่เอง..มึงรู้เรื่องลึกลับของเขามากขึ้น..ก็เลยอยากรู้เรื่องราว

    ของเขาทั้งหมด...."

    ............................"ใช่...เสร็จจากวาดภาพ..กูจะขึ้นไปตามลูกธนูบนดอย"

    ............................"เมื่อเช้ากูโทรหาน้องเก้ง..น้องเก้งบอกว่านัดกับช่างเรียบร้อยแล้ว.."

    ไก่ตุ๋นรายงาน

    .....................กาเผือกหยุดวาดภาพแล้วมองหน้าน้องชายพลางเอ่ยขึ้น

    ............................."มึงคงต้องกลับชัยนาทไปก่อน...เพราะกูคงต้องอีกนานกว่าจะได้

    กลับบ้าน"

    ............................."แล้วจะให้กูกลับเมื่อไร..." ไก่ตุ๋นอยากรู้กำหนด

    ............................."ขึ้นดอยเสร็จ...กูจะขึ้นไปที่เขาลูกที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน...เพื่อ

    นำขวดลงมา..แล้วเราแยกกัน" กาเผือกอธิบาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  17. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ก่อน ร.4 ท่านเสีย....ผมได้ยินมาว่า สมเด็จโต ท่านจัดให้ทำพิธีขอขมา ต่อหน้าพระสงฆ์ หลายรูป ทั้ง 2 นิกาย เพื่อสำนึกตน อะไรประมาณนี้ครับ เพื่อที่จะทำให้บาปนั้นเจือจางไป อะไรประมาณนี้ครับ จำเรื่องราวไม่ค่อยได้ ฟังมาอีกทีครับ ก็เลยมาเสนอความเห็นซักหน่อย
     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ไก่ตุ๋นรับรู้เรื่องราวแล้วเดินแยกตัวจากไป..กาเผือกก้มหน้าวาดรูปต่อไป..แต่

    แล้วความคิดอันหนึ่งก็เข้ามาในสมอง..เมื่อเขานึกถึงดอกทานตะวันที่แสงเดือนสาวทอมห้อยคออยู่....

    เขารำพึงรำพันขึ้นมาว่า.."ความจริงดอกทานตะวันนั้นต้องเป็นของโนรี นรา"...เขาลองกำหนดดูว่าถ้า

    เอาสร้อยห้อยคอของแสงเดือนมาห้อยที่คอของโนรี นราตามภาพคงสวยไม่ใช่น้อย....นางช่างอาภัพ

    นัก..ที่ไม่ได้อยู่เห็นสร้อยข้อมือดอกทานตะวัน....แล้วถ้าเขาพบกับศพของนาง..เขาควรนำสร้อยข้อ

    มือดอกทานตะวันมาผูกให้นางไหม....และจนบัดนี้สร้อยข้อมือดอกทานตะวัน..ก็ไม่รู้จะนำออกจาก

    ขวดแก้วได้อย่างไร...นอกจากคงต้องทุบมันทิ้งเพื่อเอาสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันออก

    มา....

    ....................เขามองภาพโนรีอย่างชื่นชมและสงสารนางอย่างจับใจ...ในที่สุดกาเผือกก็เดินไป

    หยิบขวดแก้วที่ใส่สร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันไว้ข้างใน...และนำมาดูที่หน้าภาพวาดของ

    โนรี....กาเผือกมองไปที่ข้อมือซ้ายของโนรี นรา..แล้วมองไปที่สร้อยข้อมือทองคำเส้นนั้น...เขาคิด

    ว่า..หากเมือง มีสุข มอบให้นางขณะที่นางมีชีวิตอยู่..เขาจะต้องผูกสร้อยเส้นนี้ไว้ที่ข้อมือซ้ายของ

    นาง........

    .....................กาเผือกคิดได้ดังนั้น...เขาจึงวาดภาพสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันไว้ที่

    ข้อมือซ้ายของโนรี นรา....โดยตั้งใจวาดให้สร้อยเส้นนั้นเหมือนของจริงที่สุด....

    .....................และในที่สุด..ภาพวาดของโนรี นรา ภาพที่สองก็เสร็จสิ้นโดยที่ข้อมือซ้ายของ

    นาง...มีภาพของสร้อยข้อมือทองคำลายดอกทานตะวันที่กำลังสะท้อนแสง..สวยงาม...ทำให้ขับภาพ

    นี้เด่นชัดและสวยงามขึ้นมามาก.......

    ......................ตกเย็นพวงผกากลับมาเห็นภาพวาดภาพที่สองวางคู่กันกับภาพแรก..และสังเกต

    เห็นที่ข้อมือซ้ายของภาพที่สอง...ว่าได้มีสร้อยข้อมือลายทองทานตะวันปรากฏขึ้นอย่างสวยงาม...ทำ

    ให้พวงผกานิ่งอึ้งพร้อมกับมีแววตาลิงโลด............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1115378716.jpg
      1115378716.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.3 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................พวงผกาเดินตามหากาเผือกแล้วบอกบางสิ่งบางอย่างกับเขา..กาเผือกเดิน

    ตามพวงผกามาที่ภาพวาด..........

    ............................"ถ้าพี่ชาย..จะวาดสร้อยข้อมือทองลายดอกทานตะวันนี้..ไว้ที่ข้อมือของ

    นางที่ภาพแรกน่าจะได้นะพี่" พวงผกาเอ่ยทันทีเมื่อมาที่ภาพวาด

    ............................"มันต้องแกะภาพออกมาจากกรอบ..แล้วสีที่วาดขึ้นใหม่..มันจะไม่กลมกลืน

    กับภาพเดิม" กาเผือกแสดงความเห็นและแย้ง

    ............................"เอาน่า...ให้ภาพมันเหมือนกันทั้งสองภาพดีที่สุด..มันจะได้ดูไม่แตกต่าง

    กัน" พวงผกาย้ำกาเผือกให้เลือกตามที่เธอตัดสินใจ

    ............................"ก็ได้..ถ้าอย่างนั้นมาช่วยกันถอนตะปูที่ด้านหลังภาพก่อน" กาเผือกบอกขั้น

    ตอน

    ....................ทั้งกาเผือกและพวงผกาช่วยกันแกะภาพของโนรีภาพแรกออกจากกรอบกระจก...

    เพื่อที่จะนำมาวาดสร้อยข้อมือทองลายดอกทานตะวันเพิ่มขึ้นให้เหมือนกับภาพที่สอง....

    ....................กาเผือกต้องใช้เวลาตกแต่งภาพอยู่นาน..ในที่สุดภาพทั้งสองภาพก็เหมือนกัน..ราว

    คู่แฝด...พวงผกาพอใจมากกับภาพทั้งสองนี้.........

    ....................ก็บอกกล่าวไว้ให้เห็นถึงภาพทั้งสองนี้...ต่อไปในปี พ.ศ.2666 ในอนาคต...

    ภาพทั้งสองนี้จะมีความสำคัญ..ที่จะเป็นปริศนาในเรื่องของ"ความทรงจำของฉันเพื่อ

    เธอ".....ก็บอกใบ้อีกนิดให้ใจของท่านผู้อ่านเบิกบานขึ้นมา..แม้จะเป็นการเดินทางในการ

    เขียนที่ยาวนานมากกว่าจะถึงปี พ.ศ.2666...

    .....................ในปีนั้น..โนรี นราที่นอนสงบนิ่งเป็นศพอยู่ภายใต้หลุมศพที่ยังคงสภาพเป็น

    หญิงสาวสวยงาม..ด้วยอานุภาพและคุณสมบัติของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...เมื่อนางถูกแสงจันทร์

    เพ็ญส่องร่าง..นางได้ฟื้นขึ้นมา...ซึ่งในขณะที่นางเป็นศพอยู่ในโลง..กาเผือกได้นำทุกสิ่ง

    ทุกอย่างเกี่ยวกับความทรงจำของเมืองและนาง..และภาพนี้ไปให้นางในโลงศพ..ซึ่งภาพใน

    โลงศพจะมีพวกภาพวาดของโมลีและบทเพลงขลุ่ยอยู่ในโลงศพ...พร้อมกับขลุ่ยฟ้าผ่าที่อยู่

    ในมือนาง...กาเผือกได้ถ่ายภาพวาดของโมลีเกี่ยวกับตอนที่โนรีเป่าขลุ่ย..พร้อมกับอักษรที่

    ปรากฎเป็นบทเพลง...และเขาก็ได้แกะบทเพลงเหล่านั้นนำมาเป่าเพลงขลุ่ย....

    .....................ว่าด้วยการฟื้นขึ้นมาของ โนรี นรา ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ ซึ่งนางได้สิ้นใจไปเมื่อ

    ปีพ.ศ.2468 และมาฟื้นคืนชีพมาในปี พ.ศ.2666 ..ในขณะที่ทุกคนที่นางรู้จักได้ตายไป

    หมดแล้ว...ถามว่า "นางจะอยู่ได้อย่างไร...ในสภาพของสังคมรุ่นใหม่...แล้วปริศนาที่นางได้

    รับตอนฟื้นขึ้นมาจากความตายก็คือ..ขวดแก้วทรงมะม่วง..สร้อยข้อมือทองคำ..ลายดอก

    ทานตะวัน...และบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับความทรงจำของนางกับเมือง มีสุขที่อยู่ภายในขวด

    แก้วที่ฝังอยู่ที่จุดจันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..และภาพวาดของนางที่กาเผือกวาดขึ้น.".....คนที่

    นางต้องตามหาในสภาพสังคมรุ่นใหม่...ก็คือ เมือง มีสุข...ที่ต้องอาศัย"ความทรงจำของฉัน

    เพื่อเธอติดตามหาเขา".........

    .....................ในส่วนของเมือง มีสุข..ในปี พ.ศ.2666 เขาก็จะขึ้นมาจากแม่น้ำน่าน...ใน

    สภาพที่คงเดิมทุกประการไม่แก่ไม่เฒ่า...เพราะเขายังมีชีวิตอยู่ภายใต้ลำน้ำน่าน...ซึ่งนับแต่

    วันที่จมหายสาบสูญไปจนถึงปี พ.ศ.2666..เขาขึ้นมาจากแม่น้ำน่านโดยที่มาอยู่ในสังคม

    นั้น..อย่างที่ไม่รู้จักใคร...ดังนั้น..พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน...จะเป็นความทรงจำที่เขาต้อง

    ศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้น...กับเขา...และภาพวาดของกาเผือกภาพแรก..เขาจะนำมาจากไหน..

    เพื่อติดตามโนรีซึ่งมีสภาพชีวิตที่ไม่แตกต่างจากเขา...คือไม่รู้จักใครเลย....เขาจะตามหากัน

    พบไหม...แล้วราชวงศ์พม่า...กษัตริย์พม่าจะเกิดขึ้นตามคำบอกเล่าของพระมหาอุปราชที่

    บอกแก่หลวงปู่ศุขหรือไม่....โปรดติดตาม..ยังมีเรื่องราวสนุก ๆ ลึกลับซับซ้อนให้ท่านบันเทิง

    ใจไปอีกมากมายนักครับ...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ตอนที่ 108 ขึ้นดอยตามหาลูกธนู...............






    .....................หลังจากวาดภาพที่สองและแต่งเติมภาพที่หนึ่งของโนรี นรา เสร็จสิ้น...ยาม

    ดึกทั้ง กาเผือก ไก่ตุ๋น และพวงผกา...ได้ลงมาก่อกองไฟเพื่อบรรเทาความหนาวและปรึกษาหารืกกัน

    เพื่อขึ้นดอยตามหาลูกธนูดอกที่ปลัดเมืองยิงเหยี่ยวตัวหนึ่งและทั้งเหยี่ยวและลูกธนูถูกสต๊าป

    ไว้...เก็บอยู่ที่ดอยแห่งนั้น...ซึ่งตามเรื่องราวของลูกธนูดอกนั้น..ลีเจงได้นำเหยี่ยวที่ถูกลูกธนูของ

    ปลัดเมืองมาสต๊าปไว้ที่กิ่งไม้บนบ้านของตนเพื่อตั้งโชว์และเป็นที่ระลึกแก่เขา...สายได้ไปเห็นลูกธนู

    ดอกนั้นและได้ถามหาเจ้าของลูกธนูที่เขารู้ได้ทันทีจากการมองเห็นลูกธนูดอกนั้นว่าเป็นของปลัด

    เมือง..สหายและนายของเขา....สายนั้นได้เสียกับจาโอสาวชาวเผ่าของมูเซอ..และเขารับปากกับจา

    โอว่า..หากเสร็จสิ้นเรื่องราวตามหน้าที่...เขาจะมาอยู่กับจาโอบนดอยแห่งนี้...แต่ปรากฎว่าหน้าที่ยัง

    ไม่เสร็จสิ้น...แต่ปลัดเมืองได้จมน้ำหายสาบสูญไปเมื่อราววันที่ 23 พฤศจิกายน 2466..ในวันที่กอง

    กำลังพม่ารวมแรงร่วมใจกันบุกตีเมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง...วันนั้นเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์มากมายที่ต้องจด

    จำ.....และจากที่ปลัดเมืองจมน้ำน่านไปศพของเขาไม่มีใครพบ..จึงสรุปไม่ได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือ

    ตายไปแล้วในสมัยนั้น....แต่เพราะการจากไปของปลัดเมืองครานั้น...ทำให้กองกำลังพม่าเลิกติดตาม

    เอาชีวิตของปลัดเมือง...คงเป็นแต่การค้นหาขวดแก้วทรงมะม่วงใบนั้นเท่านั้น...เพื่อนำมันไปเปิดประตู

    ถ้ำเพื่อนำทรัพย์สินของราชวงศ์พม่ามาก่อตั้งประเทศพม่าให้เป็นปึกแผ่นและมีความมั่นคง.....รวมทั้ง

    การสถาปนาราชวงศ์พม่าขึ้นใหม่....ในสมัยนั้นทั้งฝ่ายราชวงศ์อันมี ตะละแม่ราชาวดีหรือสายฝน..

    แม่ของปลัดเมือง..และ ฝ่ายขุนนางใหญ่พม่า..ต่างก็ต้องผิดหวังที่ไม่สามารถนำทรัพย์สิน

    ออกมาได้...ประเทศพม่าจึงต้องกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนา..และเกิดการรบรากับภายใน

    ประเทศระหว่างชนหลายกลุ่ม...จนเป็นปัญหามาถึงปัจจุบันนี้..เหตุแห่งความยากจนของชาว

    พม่า..ทำให้ในปัจจุบันนี้ชนชาวพม่าที่ยากจนต้องหลบหนีเข้าประเทศไทยเพื่อทำงานหาเงิน

    ส่งเสียไปให้แก่ลูกเมีย..พ่อแม่..ญาติพี่น้องในประเทศพม่า.......



    .....................สายนักสู้จังหวะหนึ่งที่บู๊ล้างผลาญ...ได้ละทิ้งหมู่บ้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ

    น่าน...มาอยู่บนดอยกับจาโอ..และพวกลีเจง..นะจา..ฯลฯ..นับแต่ที่ปลัดเมืองจมน้ำหายสาบสูญไปไม่

    นาน.......

    .....................กาเผือกเอามือกอดอกเพื่อบรรเทาความหนาวและได้เอ่ยบอกกับไก่ตุ๋นและพวงผกา

    ............................"รถยนต์..และรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่คงหมดสิทธิ์นำมันไปขึ้นดอย"

    ............................"ทำไมว่ะ..หากไม่เอารถยนต์ไปจะนอนที่ไหน" ไก่ตุ๋นถาม

    ............................"เรื่องนอนเราจะเอาเต็นท์ไปกางนอนที่ดอย.." กาเผือกอธิบาย

    ............................"แล้วทำไมไม่เอารถยนต์ไป"

    ............................"รถยนต์กับมอเตอร์ไซด์..มันใช้น้ำมัน..แต่ถ้าน้ำมันรถหมด..เราก็จบเห่

    กัน....กลับออกมาไม่ได้" กาเผือกแจงเหตุสำคัญ

    ............................"แล้วยังหนทางที่ไม่ราบเรียบเหมือนถนน...เอารถยนต์ไปต้องลำบากแน่

    นอน...หากตกหลุมบนดอยก็จบเห่อีกเหมือนกัน"

    ............................"แล้วเราจะเอาอะไรเป็นพาหนะในการเดินทาง..ที่จะต้องขนสัมภาระต่าง ๆ

    อีกด้วย" ไก่ตุ๋นถามอย่างสงสัย

    ............................"เราจะเดินทางตามที่เราได้ยินเรื่องที่พวกชาวเขาเดินทางในสมัยนั้น"

    ............................"อะไรล่ะ"

    ............................"ม้าเทียมเกวียน...อย่างที่หัวหน้าเผ่ามูเซอใช้เดินทางไปยังเผ่าต่าง ๆ....

    หรืออย่างที่ลีเจงใช้ออกไปล่าสัตว์" กาเผือกพูดพร้อมกับมองมาทางพวงผกา.เพื่อโยนเรื่องให้เธอ

    จัดการ....พวงผการับรู้เธอจึงเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากเป็นผู้ฟังมานาน

    ............................"เกวียนกับม้า...หาได้อยู่...แต่หนูว่าเราควรต่อเสาเกวียนแล้วเอาผ้าใบคลุม

    กับแสงแดดและลมหนาวน่าจะดีกว่า"

    ............................"จริงของพวงผกา" ไก่ตุ๋นสนับสนุน

    ............................"ก็ได้เพราะฉะนั้น..พรุ่งนี้เราจะเตรียมจัดสัมภาระ..และต่อเสาเกวียนผูกผ้า

    ใบ"

    ............................"ได้เลยพี่ชาย...เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะไปยืมเกวียนกับม้าชาวบ้านมาให้"

    .....................กาเผือกนั่งคิดแล้วเอ่ยถาม

    ............................"แล้วดอยมันไกลจากที่บ้านนี้มากไหม"

    ............................"มันก็ไกลอยู่...น่าจะใช้เวลาซักครึ่งวันก็ถึงนะ" พวงผกาตอบไก่ตุ๋น

    ............................."งั้นเดินทางก็ราว 4 ชั่วโมง"

    ............................."น่าจะเป็นเช่นนั้น"

    ............................."แล้วเราจะเจออะไรบ้าง"

    ............................."ก็ชาวเขาเผ่ามูเซอ..และเผ่าต่างๆที่เขาอาศัยอยู่บนดอยกัน"

    ............................."ที่นั้นยามหน้าหนาวอย่างนี้...มันคงเป็นวิวที่สวยงามมาก" กาเผือกแสดง

    ความเห็น

    .............................."แน่นอนอยู่แล้ว...พี่ชายทั้งสองไปที่นั้นแล้วอาจไม่อยากกลับเข้าเมือง"

    พวงผกาพูดพร้อมกับยิ้ม

    .............................."มันมีอะไรดึงดูดขนาดนั้น..หรือ" ไก่ตุ๋นสงสัย

    .............................."สาวดอยผิวพรรณงดงาม..และสวยน่ารักเป็นส่วนใหญ่..อาจทำให้พี่ลืมที่

    จะกลับชัยนาทก็ได้"

    .....................กาเผือกยิ้มแล้วหัวเราะ..พลางพูดขึ้น

    ..............................."แล้วสาวดอยที่นั้น..เขามีสาวทอมแบบในตลาดเมืองน่านบ้างหรือ

    เปล่า"

    .....................พวงผกาหัวเราะ..ทำให้ไก่ตุ๋นแปลกใจ..หล่อนได้เอ่ยต่อ

    ..............................."ไม่แน่เหมือนกันนะ..พี่ชาย...ถ้ามีก็อาจจะน่ารักเกินบรรยายเลย

    ล่ะนะ"

    .....................และแล้วทั้งหมดก็พากันไปพักผ่อน...

    .....................จนรุ่งเช้า.....พวงผกาได้ออกไปเอาม้าสองตัวกับเกวียนแต่เช้า...แล้วเธอก็นั่งมา

    บนเกวียนนั้น....เพื่อนำมาให้สองพี่น้องได้ดัดแปลงเกวียนเตรียมตัวเดินทางขึ้นดอยในวันรุ่ง

    ขึ้น................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...