เรียนถามอาจารย์ท่านผู้รู้ ผู้มองเห็นธรรม ผู้มองเห็นจิตทั้งหลาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย babifun, 24 พฤษภาคม 2007.

  1. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    เรียนถามอาจารย์ท่านผู้รู้ ผู้มองเห็นธรรม ผู้มองเห็นจิตทั้งหลาย
    ซึ่งผมเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรม,ดี-ชั่ว,บาป-บุญ,สุข-ทุกข์,สวรรค์-นรก,ตาย-เกิด,ชาติ-ภพ,นิพพานเป็นอันมาก

    ข้าพเจ้านั้นมีความใคร่สงสัยกับเรื่องนี้เป็นอันมาก
    ซึ่งจากการได้หาคำตอบในพระไตรปิฎกก็หาไม่มี
    เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้เลย(ตายแล้วไปใหน)
    ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใจได้

    ความคิดเห็นข้าพเจ้าต่อไปนี้ผิดถูกอย่างไรนั้นใคร่อาจารย์ช่วยชี้แนะตัดสินด้วยครับ

    กรรมคือผลของการกระทำ
    เป็นต้นว่าข้าพเจ้าล้างมือ กรรมก็คือมือสะอาด(ผลจากการล้างมือ)

    ความดี-ชั่ว
    ประกอบขึ้นจากปัจจัยคือสังคมและตัวบุคคล
    ซึ่งในแต่ละสังคมนั้นจะมีความดี-ชั่ว ไม่เหมือนกัน(เช่นไทยกับฝรั่งจะต่างกัน)
    แต่จะมีหลักการเดียวกันคือความดี
    จะประกอบไปด้วยปัจจัยคือ
    สังคม (ไม่ทำให้สังคม หรือบุคคลอื่นเดือดร้อน)
    และตัวบุคคล(ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน)
    ส่วนความชั่วก็ตรงข้ามกัน

    บุญ-บาป
    บุญคือกรรมที่เกิดจากการทำดี( อานิสงค์)
    บาปคือกรรมที่เกิดจากการทำชั่ว

    สุข-ทุกข์
    สุขคือผลจากการทำบุญ
    ทุกข์คือผลจากการทำบาป

    สวรรค์-นรก
    (บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ใหน)แต่อธิบายเป็นความรู้สึกได้บ้างเล็กน้อย
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในสวรรค์คือความสุข(เพราะกรรมดี)
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในนรกคือความทุกข์(เพราะกรรมชั่ว)

    ตาย-เกิด
    มนุษย์(จิต)ย่อมเวียนว่ายตายเกิด(เกิดขึ้นดับไป)

    ชาติ-ภพ
    คือขณะหนึ่งของจิตที่เกิดขึ้นเละเป็นไป
    การทำกรรมจะเกิดขึ้นในชาติและจดจำไว้ในจิต
    เมื่อเกิดชาติใหม่กรรมก็จะเป็นเครื่องวนเวียนและแสดงกรรมที่ได้รับ
    เรา(จิต)อาจเกิดในนรกหรือสวรรค์ได้
    การเกิดอย่างไรนั้นกรรมเป็นตัวกำหนด

    นิพพานคือหนทางความไม่ตาย(จิตไม่ตาย)
    นั้นคือไม่เกิด(ซึ่งความไม่ตายนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นหาตั้งแต่แรก)
    จิตที่เข้าสู่นิพพานนั้นเป็นจิตที่ไม่ต้องไปเกิดในนรกหรือสวรรค์อีกต่อไป
    คิอจิตที่เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นไปตามธรรมดาโลก
    เป็นสิ่งที่เป็นสุขมากกว่าสวรรค์เพราะเกิดจากปัญญา(โลกวิทูร)

    ถ้ายังไม่เข้าใจ(ชัดแจ้ง)ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้นะครับ

    ขอบคุณที่อ่านนะครับ
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้านั้นมีความใคร่สงสัยกับเรื่องนี้เป็นอันมาก
    ซึ่งจากการได้หาคำตอบในพระไตรปิฎกก็หาไม่มี
    เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้เลย(ตายแล้วไปใหน)
    ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใจได้
    ตอบ อย่าคิดมากจนเลยเถิด เอาที่คุณเห็นและสามารถพิสูจน์ได้ ก็จบความคิดในเรื่องนี้แล้ว

    ความคิดเห็นข้าพเจ้าต่อไปนี้ผิดถูกอย่างไรนั้นใคร่อาจารย์ช่วยชี้แนะตัดสินด้วยครับ

    กรรมคือผลของการกระทำ
    เป็นต้นว่าข้าพเจ้าล้างมือ กรรมก็คือมือสะอาด(ผลจากการล้างมือ)
    ตอบ กรรม คือ การกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำ คือ ผล ไม่ใช่ กรรมคือมือสะอาด
    มือสะอาด เป็นผล แห่งการที่ได้ล้างมือ ล้างมือ คือกรรม หรือการกระทำ

    ความดี-ชั่ว
    ประกอบขึ้นจากปัจจัยคือสังคมและตัวบุคคล
    ซึ่งในแต่ละสังคมนั้นจะมีความดี-ชั่ว ไม่เหมือนกัน(เช่นไทยกับฝรั่งจะต่างกัน)
    แต่จะมีหลักการเดียวกันคือความดี
    จะประกอบไปด้วยปัจจัยคือ
    สังคม (ไม่ทำให้สังคม หรือบุคคลอื่นเดือดร้อน)
    และตัวบุคคล(ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน)
    ส่วนความชั่วก็ตรงข้ามกัน
    ตอบ ความดีความชั่ว เป็นสิ่งที่บัญญ้ติโดยสังคมแห่งชุมชนนั้นๆ เป็นค่านิยมแห่งชุมชนนั้นๆ ความดี ความชั่วในแต่ละสังคม ล้วนแทบไม่มีความแตกต่างจากกัน ในแง่ของหลักการใหญ่ๆ แต่จะแตกต่างจากกันในรายละเอียด ทั้งนี้ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในหลายๆด้านฯลฯ

    บุญ-บาป
    บุญคือกรรมที่เกิดจากการทำดี(อานิสงค์)
    บาปคือกรรมที่เกิดจากการทำชั่ว
    ตอบ บุญ คือความดี บาป คือความไม่ดี ตามแต่ค่านิยมของสังคมแห่งชุมชนนั้นๆ

    สุข-ทุกข์
    สุขคือผลจากการทำบุญ
    ทุกข์คือผลจากการทำบาป
    ตอบ สุข ไม่ใช่ ผลจากการทำบุญ หรือจากทำความดี แต่การทำความดีอยู่เสมอๆ ก็จะทำให้เกิดความสบายใจ และสบายกายติดตามมา
    ทุกข์ ก็ไม่ไช่ ผลแห่งการทำความไม่ดี
    ทั้ง สุข และทุกข์ เกิดจาก การกระทำของตัวเรา และการกระทำของผู้อื่น และการกระทำของสรรพสิ่งต่างๆที่เราได้ปฏิสัมพันธ์ด้วย หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ

    สวรรค์-นรก
    (บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ใหน)แต่อธิบายเป็นความรู้สึกได้บ้างเล็กน้อย
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในสวรรค์คือความสุข(เพราะกรรมดี)
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในนรกคือความทุกข์(เพราะกรรมชั่ว)
    ตอบ สวรรค์ นรก มีจริง
    โลก ของเรา ก็เป็นสวรรค์เหมือนกัน แต่เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด เป็นที่เหล่าเทวดาน้อยใหญ่ พระอริยะบุคคล จุติดับมาเกิดเพื่อสร้างสมบุญบารมีเพื่อมรรคผล นิพพาน และยังมีอีกหลายที่ซึ่งคุณมองไม่เห็น จึงไม่ขอกล่าวถึง
    ส่วน นรกก็มีจริง อยู่ ใต้พิภพของโลกเรานี้แหละ อันนี้ฟังหูไว้หูนะ ถ้าคุณได้เห็นจึงจะรู้ว่าจริง ถ้าคุณยังไม่เห็นก็ฟังๆไว้ก็แล้วกัน

    ตาย-เกิด
    มนุษย์(จิต)ย่อมเวียนว่ายตายเกิด(เกิดขึ้นดับไป)
    ตอบ ถ้าคุณตาย คุณอาจจะไม่ได้เกิดอีก เพราะจริงๆแล้วมนุษย์หาได้มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่ ในที่นี้หมายความถึงบุคคลคนเดียวนะ และที่ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดก็เพราะ ถูกกลไกแห่งโลกทำลายจนไม่สามารถเกิดได้อีก อันนี้อธิบายยาว คุณลองหากระทู้ "ระลึกชาติได้" ในเวบพลังจิตนี้อ่านดูก็จะเกิดความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง

    ชาติ-ภพ
    คือขณะหนึ่งของจิตที่เกิดขึ้นเละเป็นไป
    การทำกรรมจะเกิดขึ้นในชาติและจดจำไว้ในจิต
    เมื่อเกิดชาติใหม่กรรมก็จะเป็นเครื่องวนเวียนและแสดงกรรมที่ได้รับ
    เรา(จิต)อาจเกิดในนรกหรือสวรรค์ได้
    การเกิดอย่างไรนั้นกรรมเป็นตัวกำหนด
    ตอบ คุณลองหากระทู้ "ระลึกชาติได้" ในเวบพลังจิตนี้อ่านดูก็จะเกิดความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง


    นิพพานคือหนทางความไม่ตาย(จิตไม่ตาย)
    นั้นคือไม่เกิด(ซึ่งความไม่ตายนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นหาตั้งแต่แรก)
    จิตที่เข้าสู่นิพพานนั้นเป็นจิตที่ไม่ต้องไปเกิดในนรกหรือสวรรค์อีกต่อไป
    คิอจิตที่เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นไปตามธรรมดาโลก
    เป็นสิ่งที่เป็นสุขมากกว่าสวรรค์เพราะเกิดจากปัญญา(โลกวิทูร)

    ตอบ นิพพาน ไม่ใช่ ความตาย นะคุณ ข้าพเจ้าเองก็ยังรู้ไม่ชัดแจ้งว่า นิพพานแท้ที่จริงคืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้รู้อยู่ในปัจจุบัน คือ เมื่อถึงนิพพาน สรีระร่างกาย ก็จะกลายเป็นปรมณู หรือโปร่งแสง ไม่สามารถจับต้องได้ สภาพจิตใจ จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกขอรับ
    ที่ตอบไม่ทั้งถึงแม้จะไม่ละเอียดเท่าที่ควร ก็คงพอที่จะทำให้เกิดความเข้าได้บ้าง
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้าพเจ้านั้นมีความใคร่สงสัยกับเรื่องนี้เป็นอันมาก
    ซึ่งจากการได้หาคำตอบในพระไตรปิฎกก็หาไม่มี
    เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้เลย(ตายแล้วไปใหน)
    ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใจได้
    ตอบ อย่าคิดมากจนเลยเถิด เอาที่คุณเห็นและสามารถพิสูจน์ได้ ก็จบความคิดในเรื่องนี้แล้ว

    ความคิดเห็นข้าพเจ้าต่อไปนี้ผิดถูกอย่างไรนั้นใคร่อาจารย์ช่วยชี้แนะตัดสินด้วยครับ

    กรรมคือผลของการกระทำ
    เป็นต้นว่าข้าพเจ้าล้างมือ กรรมก็คือมือสะอาด(ผลจากการล้างมือ)
    ตอบ กรรม คือ การกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำ คือ ผล ไม่ใช่ กรรมคือมือสะอาด
    มือสะอาด เป็นผล แห่งการที่ได้ล้างมือ ล้างมือ คือกรรม หรือการกระทำ

    ความดี-ชั่ว
    ประกอบขึ้นจากปัจจัยคือสังคมและตัวบุคคล
    ซึ่งในแต่ละสังคมนั้นจะมีความดี-ชั่ว ไม่เหมือนกัน(เช่นไทยกับฝรั่งจะต่างกัน)
    แต่จะมีหลักการเดียวกันคือความดี
    จะประกอบไปด้วยปัจจัยคือ
    สังคม (ไม่ทำให้สังคม หรือบุคคลอื่นเดือดร้อน)
    และตัวบุคคล(ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน)
    ส่วนความชั่วก็ตรงข้ามกัน
    ตอบ ความดีความชั่ว เป็นสิ่งที่บัญญ้ติโดยสังคมแห่งชุมชนนั้นๆ เป็นค่านิยมแห่งชุมชนนั้นๆ ความดี ความชั่วในแต่ละสังคม ล้วนแทบไม่มีความแตกต่างจากกัน ในแง่ของหลักการใหญ่ๆ แต่จะแตกต่างจากกันในรายละเอียด ทั้งนี้ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในหลายๆด้านฯลฯ

    บุญ-บาป
    บุญคือกรรมที่เกิดจากการทำดี(อานิสงค์)
    บาปคือกรรมที่เกิดจากการทำชั่ว
    ตอบ บุญ คือความดี บาป คือความไม่ดี ตามแต่ค่านิยมของสังคมแห่งชุมชนนั้นๆ

    สุข-ทุกข์
    สุขคือผลจากการทำบุญ
    ทุกข์คือผลจากการทำบาป
    ตอบ สุข ไม่ใช่ ผลจากการทำบุญ หรือจากทำความดี แต่การทำความดีอยู่เสมอๆ ก็จะทำให้เกิดความสบายใจ และสบายกายติดตามมา
    ทุกข์ ก็ไม่ไช่ ผลแห่งการทำความไม่ดี
    ทั้ง สุข และทุกข์ เกิดจาก การกระทำของตัวเรา และการกระทำของผู้อื่น และการกระทำของสรรพสิ่งต่างๆที่เราได้ปฏิสัมพันธ์ด้วย หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ฯลฯ

    สวรรค์-นรก
    (บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ใหน)แต่อธิบายเป็นความรู้สึกได้บ้างเล็กน้อย
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในสวรรค์คือความสุข(เพราะกรรมดี)
    ความรู้สึกเมื่อเกิด(เกิดขึ้น)ในนรกคือความทุกข์(เพราะกรรมชั่ว)
    ตอบ สวรรค์ นรก มีจริง
    โลก ของเรา ก็เป็นสวรรค์เหมือนกัน แต่เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด เป็นที่เหล่าเทวดาน้อยใหญ่ พระอริยะบุคคล จุติดับมาเกิดเพื่อสร้างสมบุญบารมีเพื่อมรรคผล นิพพาน และยังมีอีกหลายที่ซึ่งคุณมองไม่เห็น จึงไม่ขอกล่าวถึง
    ส่วน นรกก็มีจริง อยู่ ใต้พิภพของโลกเรานี้แหละ อันนี้ฟังหูไว้หูนะ ถ้าคุณได้เห็นจึงจะรู้ว่าจริง ถ้าคุณยังไม่เห็นก็ฟังๆไว้ก็แล้วกัน

    ตาย-เกิด
    มนุษย์(จิต)ย่อมเวียนว่ายตายเกิด(เกิดขึ้นดับไป)
    ตอบ ถ้าคุณตาย คุณอาจจะไม่ได้เกิดอีก เพราะจริงๆแล้วมนุษย์หาได้มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่ ในที่นี้หมายความถึงบุคคลคนเดียวนะ และที่ไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดก็เพราะ ถูกกลไกแห่งโลกทำลายจนไม่สามารถเกิดได้อีก อันนี้อธิบายยาว คุณลองหากระทู้ "ระลึกชาติได้" ในเวบพลังจิตนี้อ่านดูก็จะเกิดความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง

    ชาติ-ภพ
    คือขณะหนึ่งของจิตที่เกิดขึ้นเละเป็นไป
    การทำกรรมจะเกิดขึ้นในชาติและจดจำไว้ในจิต
    เมื่อเกิดชาติใหม่กรรมก็จะเป็นเครื่องวนเวียนและแสดงกรรมที่ได้รับ
    เรา(จิต)อาจเกิดในนรกหรือสวรรค์ได้
    การเกิดอย่างไรนั้นกรรมเป็นตัวกำหนด
    ตอบ คุณลองหากระทู้ "ระลึกชาติได้" ในเวบพลังจิตนี้อ่านดูก็จะเกิดความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง


    นิพพานคือหนทางความไม่ตาย(จิตไม่ตาย)
    นั้นคือไม่เกิด(ซึ่งความไม่ตายนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นหาตั้งแต่แรก)
    จิตที่เข้าสู่นิพพานนั้นเป็นจิตที่ไม่ต้องไปเกิดในนรกหรือสวรรค์อีกต่อไป
    คิอจิตที่เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความเป็นไปตามธรรมดาโลก
    เป็นสิ่งที่เป็นสุขมากกว่าสวรรค์เพราะเกิดจากปัญญา(โลกวิทูร)

    ตอบ นิพพาน ไม่ใช่ ความตาย นะคุณ ข้าพเจ้าเองก็ยังรู้ไม่ชัดแจ้งว่า นิพพานแท้ที่จริงคืออะไรกันแน่ แต่ที่รู้รู้อยู่ในปัจจุบัน คือ เมื่อถึงนิพพาน สรีระร่างกาย ก็จะกลายเป็นปรมณู หรือโปร่งแสง ไม่สามารถจับต้องได้ สภาพจิตใจ จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกขอรับ
    ที่ตอบไม่ทั้งถึงแม้จะไม่ละเอียดเท่าที่ควร ก็คงพอที่จะทำให้เกิดความเข้าใจได้บ้าง
     
  4. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ตัวอย่างเลยนะครับ
    ***ถ้าท่านขัดแย้งกับข้างบนอย่าอ่านเรื่องนี้นะครับเป็นทุกข์เปล่าๆ
    (ไม่ทำเกิดประโยชน์แห่งการดับทุกข์)***
    เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรี่องที่ไม่เกี่ยวกับตายแล้วไปไหนเลย(เพราะผมหาความชัดแจ้งไม่ได้ในพระไตรปิฎก)แต่จะอธิบายถึงที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ทั้งหมด

    เริ่ม...
    จิตมนุษย์นั้นฟุ้งซ่านและเกิด-ดับเรื่อยไป
    ร่วมพิสูจน์ได้ในตอนนี้เลยครับ

    ลองตั้งสติแล้วพินิจดูว่าท่านกำลังคิดกำลังทำอะไรในตอนนี้
    นั้นก็คือกำลังคิดตามอยู่ไช่ใหม *ใช่*
    สิ่งนี้เรียกว่ากรรมซึ่งเกิดจากการกระทำ
    การกระทำนั้นคือท่านกำลังอ่าน
    (สรุปการอ่านทำให้เกิดการคิด
    ความคิดนี้คือกรรมที่เกิดจากการอ่าน
    ตรงนี้เข้าใจใหมครับมันดูงงๆใหม)

    หลังจากนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนด
    สุข-ทุกข์
    หลังจากอ่านแล้ว
    จิตของท่านบันทึกอะไรครับ
    (สุข)ความกระจ่างความสบายใจ
    หรือ(ทุกข์)ความขัดแย้งเร้าร้อนใจ
    ตรงนี้สำคัญครับ...

    และหลังจากนี้ไป
    ในขณะจิตนี้จะถูกดับลง(กายยังไม่ตายนะครับ)
    นั่นคือท่านหยุดคิดเรื่องนี้แล้ว
    เลิกทำแล้ว เลิกอ่านแล้วจริงๆ

    ในทันใดนั้นเอง
    จิตของท่านก็จะเกิดใหม่
    ขอเรียกจิตที่เกิดใหม่นี้ว่าชาติใหม่(การเกิดใหม่ของจิต)นะครับ
    ทำให้ท่านคิดเรื่องใหม่ขึ้นมา
    และก็เหมือนกันอีก
    คือเรื่องที่คิดใหม่ขึ้นมา
    นั้นก็เป็นผลจากการกระทำในขณะนั้น
    แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไร

    การเกิดใหม่ในครั้งนี้ท่านไม่สามารถทิ้งกรรมเก่าได้
    (เนื่องจากยังไม่เกิดปัญญา)

    บุญ-บาปในครั้งอดีตชาติ(เมื่อตะกี้นี้)
    นั้นจะส่งผลถึงชาตินี้

    เช่นท่านเกิดความขัดแย้งเร้าร้อนใจ
    ความเร้าร้อนใจก็ยังตามมา
    เห็นได้จากอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดฉุนเฉียวที่เกิดขึ้น
    นั่นคือทุกข์(นั่นคือจิตท่านไปเกิดในนรก)
    และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปเป็นธรรมดาโลกวนเวียนเกิด-ดับ

    อยารู้วิธีแก้ใหมครับก็อ่านต่อนะ
     
  5. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ขอกล่าวก่อนเลยนะครับว่าข้อความข้างต้นนั้น
    ไม่ได้ต้องการความเห็นด้วยจากผู้อ่าน
    ซึ่งข้าพเจ้าเองไม่มีอิธิฤทธิ์ปาติหารใด
    ที่สามารถว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้เห็นนั้นเเป็นเรื่องจริง
    ข้าพเจ้าเพียงแค่พิจารณาตามธรรมมะ-ธรรมชาติ
    ที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้เพียง5สัมผัสเท่านั้น
    จึงใคร่ขอให้ผู้มีสัมผัสพิเศษช่วยชี้ผิดชี้ถูกด้วยครับ
    ให้ถือว่าเป็นวิทยาทานนะครับ
    ขอบคุณล่วงหน้าเลยครับ

    ท่านเทวดาครับ
    ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเลยว่านิพพานคือความตาย
     
  6. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ท่านเทวดาผู้ตรัสรู้มาคุยกันหน่อยครับ
     
  7. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ส่วนอื่นท่านไม่แย้งคงถูกหมดใช่ใหมครับ
    ท่านเทวดาผู้อ้างว่าตรัสรู้แล้วครับ
     
  8. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    เราสามารถอธิบายได้บ้างว่า
    นิพพานเป็นอย่างไรแต่เข้าถึงได้ยากมาก
    เพราะคุณยอบรับหรือไม่ว่าพุทธมีพราหมผสมกลมกลืน
    ถ้ายอมอ่านต่อนะ
    สิ่งนี้เหละที่ทำให้นิพพานถูกบิดเบือนไป
    นิพพานแท้ที่ผมสัมผัสจากสัมผัสเพียง5สัมผัส
    นั้นจะอธิบายดังต่อไปนี้
    จิตที่นิพพานนั้นจะต้องเป็นจิตที่ไม่ตาย
    นั้นคือไม่ทุกข์ ไม่สุข เป็นจิตที่เกิดจากปัญญา(โลกวิทูร=ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก)
    และที่สำคัญก็คือการควบคุมจิตให้ไม่ทุกข์ ไม่สุข(อริยสัจ4)
    ซึ่งเกิดจากการฝึกด้ววิธืที่ถูกต้องไม่ใช่อยู่ดีๆก็นิพพานได้
    ซึ่งหลักการนั้นก็ได้มีการบันทึกไว้
    เอาคร่าวๆนะเพราะหลายคนอาจรู้อยู่แล้ว
    นั้นคือทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
    ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรู้อย่างเดียวต้องควบคุมจิตได้ด้วย
    (ไม่เพียงแค่อริยสัจ4)
    เช่นว่าหากท่าน อกหักหากแค่อริยสัจ4
    ก็ทำให้ทราบได้ว่าเกิดจากอัตตา(ตัวกู-ของกู)
    มรรคก็คือไม่ยึดติดใช่ใหม*ใช่*
    แต่ใครจะไปทำได้ทันทีละไม่มีทาง
    เพราะฉนั้นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า"ทาน"ขึ้นมา
    การทำทานนั้นแท้จริงแล้วคือการฝึกจิตให้รู้จักสละ(ละตัวกู-ของกูทิ้งไป)
    แต่คนส่วนใหญ่ทำเพื่ออยากได้บุญ
    ท่านพิจารณาเองนะครับว่าอย่างนี้จะนิพพานใหม
    แต่ทำทานเพราะให้ทาน
    สิ่งที่สะสมคือบุญบริสุทธิ์
     
  9. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ต่อไป
    ศีลคือความปกติ
    หากท่านมีความปรกติทางกาย วาจา ใจ ก็ถือว่าอยู่ในศีลแล้ว
    ความปกตินี้จะควบคุมไม่ให้ทำชั่ว
    ซึ่งเป็นหนทางแห่งการไม่ไปเกิดในนรก

    ทาน+ศีลแล้วนะ

    ต่อไป สมาธิ
    สมาธิคือการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    นั่นคือการฝึกให้จิตไม่ตายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
    เมื่อทาน+ศืล+สมาธิถึงพร้อมก็จะเกิดปัญญาแท้
    (โลกวิทูร=ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก)
    ทำให้ท่านรู้จักสละ(ละตัวกู-ของกูทิ้งไป)

    ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตายแล้วไปไหนก็นิพพานได้
     
  10. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ทำไมข้าพเจ้าถึงมองไม่เห็นเทวดา
    แล้วเทวดาเป็นอย่างไร
    อะไรทำให้ท่านเชื่อว่า"ระลึกชาติได้"มีจริงท่านเองก็ทำได้หรือครับ
     
  11. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    กรรมคือผลของการกระทำ
    "เป็นต้นว่าข้าพเจ้าล้างมือ กรรมก็คือมือสะอาด(ผลจากการล้างมือ)
    ตอบ กรรม คือ การกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำ คือ ผล ไม่ใช่ กรรมคือมือสะอาด
    มือสะอาด เป็นผล แห่งการที่ได้ล้างมือ ล้างมือ คือกรรม หรือการกระทำ"
    แสดงว่ากรรมไม่ใช่สิ่งรี้ลับใช่ใหม
     
  12. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ตรัสรู้คือรู้วิธีปฏิบัติ
    ท่านเทวดารู้แนวปฏิบัติว่าอย่างไร(ไม่ใช่ธรรมนะครับ
    เพราะธรรมนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้ว)
     
  13. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    มีวิธีปฏิบัติก็เผยแพร่เป็นทานนะครับ
    ท่านเทวดา
     
  14. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ท่านเทวดาท่านต้องพิมพ์คำตอบหรือทำไมไม่
    ใช้จิตท่านส่งแสดงคำตอบมาบนเวบบอร์ด
    ให้กระจ่างเล่า
     
  15. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    สังเกตดูให้ดี ลุงเทวดา เปลี่ยน อะวาต้าร์ ใหม่ สดใสกว่าเดิม
     
  16. Just_Aware

    Just_Aware เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +579
    สวัสดีครับ คุณ babifun

    ผมรู้สึกว่าคุณ babifun เป็นคนที่มีภูมิรู้ค่อนข้างมากเลยนะครับ ในด้านพุทธศาสนา ของเรา.. ผมเองเรียนตามตรงว่าอ่านแล้ว ยังงงๆ ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะภูมิรู้ผมคงยังไม่ถึง อ่านแล้วยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว อยากจะ แชร์บ้างนิดนึงครับ

    ผมว่าการรับและรู้อย่างตรงไปตรงมาด้วย สัมผัสทั้ง 5 นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ การเข้าถึงความเป็นธรรมดา และเป็นธรรมชาติ ย่อมต้องการ การมอง ดู เห็น และรู้ อย่างธรรมดา.. และเป็นไปตามธรรมชาติ นั่นคือ ไม่ได้ไปตั้งใจบังคับ ให้เห็น ให้รู้ แต่ รู้ ด้วยความรู้สึกว่ามันรู้เอง

    เช่น นั่งๆอยู่ได้ยินเสียงหมาหอน เราจะเริ่มรู้แล้วว่า มีเสียงผ่านหูเข้ามา นั่นคือการรู้แบบไม่ได้ไปตั้งใจ ว่ามันจะหอนเมื่อไหร่.. อย่างไรก็ตาม พระอาจารย์ของผมท่านว่า การมีสตินั้น แท้จริงแล้ว เราต้องรู้ตั้งแต่ว่าเรานั่งอยู่เลยด้วยซ้ำ นั่งอยู่ เอนหัวลง เริ่มหลับตา เสียงเข้ามา นั่นคือ ความสามารถรู้ได้ทางกาย


    พระอาจารย์ของผม ยังบอกด้วยว่า หากรู้อย่างนี้แล้ว ให้รู้อีกนิดว่า หลังจาก เสียงหมาหอนเข้ามาแล้ว คุณรู้สึกอย่างไร.. ใจมันชอบ หรือไม่ชอบ นั่นคือ การรู้ใจ ของตัวเอง

    การที่เราได้เห็นอะไรมากๆ ย่อมเป็นการเรียนรู้ ย่อมเป็นการเข้าใจ ย่อมเหมือนคนที่ลืมตาขึ้นมาในที่มืด แล้วรอสักพัก ภาพจะค่อยๆปรากฏ... ดังนั้นการเรียนรู้โดยผ่านผัสสะทั้ง 5 และ ตามรู้ใจ ของตัวไป ได้อย่างธรรมดา และธรรมชาติ ย่อมนำไปสู่ความรู้แท้ หรือ ปัญญาธรรม ได้อย่างแน่นอนครับ


    จากคำถามที่ว่า หากคุณล้างมือ เป็นเหตุ มือสะอาดเป็นผล ดังนั้นมือสะอาดเป็นกรรม ดังนั้นกรรมจึงไม่ได้รี้ลับจริงไหม

    ผมเห็นว่าจริง กรรมไม่ได้รี้ลับอะไร เหตุ และ ผล ย่อมมีตามกัน บางครั้งเราทำอะไรลงไป เช่นว่ากล่าวคนอื่น เราก็รู้สึกกังวลใจในทันที นั่นก็คือผล หรือ วิบากกรรม เช่นกัน แต่ที่ว่ารี้ลับ เพราะวิบาก (ผลกรรม) บางอย่าง เราไม่ทันเห็นกรรม (เหตุที่ทำ) ว่าเราทำอะไรลงไป แต่ เมื่อเราได้รับ วิบากนั้นไม่ว่าจะดี หรือไม่ เราจึงมองว่ามันลึกลับ เพราะมนุษย์ มักจะจำอะไรๆ ได้เพียงชาติเดียวเท่านั้น

    ของที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยตัวเอง ย่อมยากที่จะเชื่อ หรือควรจะเชื่อ อันนี้เป็นสิ่งดีและพระพุทธเจ้าได้ทรงเตือนไว้ด้วยเช่นกัน (ในกาลามสูตร) แต่.. จากวันนี้ ผมเอง และคิดว่าคุณด้วยเช่นกัน คงหาทาง ทำความจริงให้ปรากฏขึ้นต่อไป

    เพราะอย่างน้อยทุกวันนี้ สิ่งที่ผมเห็นชัด ก็คือ การทำดี แล้วสบายใจทันที มีสุขทันที ไม่ได้สุขใจเพราะหวังว่าจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี หรือไม่ต้องเกิดอีกต่อไป แต่ถ้าคุณเพียง ตามรู้ใจของตัวเองโดยธรรมชาติ แม้คุณจะไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลยก็ตาม เมื่อคุณได้ช่วยเหลือ หรือทำสิ่งดีๆให้ใครแล้วก็ตาม ใจของคุณ จะเบิกบานขึ้นมาทันที

    ลองพิสูจน์ตามนี้ดูก่อนก็ได้นะครับ

    ปล เกี่ยวกับคุณ telwada ผมเห็นว่า เค้าจะพิมพ์อะไร ด้วยวิธีการอย่างไร เค้าก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในภพ และภูมินี้ แต่เราและเค้าจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้ และต่อๆไป.. สนใจที่ตัวเองก่อนดีกว่าครับ เพราะ ยังมีอะไรอีกมากที่เราไม่สามารถเห็น รู้ และเข้าใจ ด้วยปัญญาทางโลกแบบนี้... พระพุทธเจ้าท่านจึงกล่าวว่า จงมาดูเองเถิด
     
  17. 12punna

    12punna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ขอล่วงเกินท่านทีนะครับ ผมทราบเลยครับ คุณ babifun กับ คุณเทวดา
    เป็นคน คนเดียวกัน เพราะ ดวงจิต ในความคิด เป็น ดวงเดียวกัน พูดง่ายๆ
    คือ คน คนเดียวกัน แต่ ก็ .....ถามมา - ตอบเอง

    ผมเข้าใจว่า คุณ เทวดา อาจต้องการอะไร? แต่อยากจะให้ คุณ
    เอาความ ทุกข์ ของ คุณ หรือ ไม่เข้าใจอะไร มาลง หรือ ตั้งกระทู้
    มาเลยก็ได้ครับ ถ้าสิ่งใดรู้ จะตอบให้ เพื่อที่จะได้เดินไปถูกทาง
    มา ตัวเรา มัวแต่ยึดว่า ฉันต้องใหญ่ ฉันเก่ง ฉันรู้ ผู้อื่นไม่รู้ แบบนี้
    ก็ผิด

    ถ้ามัว ถามมา ตอบเอง แบบนี้ สรรพสัตว์มากมาย เดินตกนรก เดิน
    ผิดทางมาแล้วนับไม่ถ้วน

    โชคดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2007
  18. babifun

    babifun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +81
    ก่อนอื่นผมต้องขออภัยคุณ12punnaก่อนนะครับ
    แนะนำตัวเลยละกัน
    ผมbabifun
    อยู่กทม.ครับ
    เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปีหนึ่งครับ
    ซึ่งอายุก็ 19 ปี
    ถ้าตามอาวุโสจึงมิอาจสอนใครได้
    บวชผมก็ไม่เคย
    มีแต่ความใคร่สงสัยในธรรม
    อาจเป็นเพราะพ่อผมสอนพุทธศาสตร์
    แต่พ่อบอกว่าอธิบายไม่ได้ต้องลองทำ
    ผมเห็นว่าเวปนี้มีผู้ปฏิบัติมากมาย
    ก็เลยหวังว่าจะได้คำตอบที่กระจ่างแจ้ง
    ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการรบกวนท่านๆ
    ต้องขออภัยด้วยครับ
     
  19. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    สวัสดีครับคุณบาบิฟัน

    ได้อ่านข้อความของคุณแล้ว โดยส่วนตัวผมชอบ และคิดว่าดีนะ
    เป็นสัมมาทิฐิ ดูไม่น่าผิดนะ และเรียบง่าย เห็นได้จริงในปัจจุบัน

    หากต้องการสนทนาธรรม ก็ปุชฉา-วิสัชนา ได้เลยครับ


    ขอให้พยายามต่อไปนะครับ ผมเป็นกำลังใจคนหนึ่ง (จะคอยอ่าน)...
     
  20. keawnum

    keawnum Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +51
    กรรมคือ คือการกระทำทุกอย่าง เพราะเช่นนั้นถึงคนทำผิดแต่ไม่รู้ว่าที่ทำไปผิดก็จริง อาจไม่รู้สึกเป็นบาป แต่กรรมก็อาจตามทันตามหลักพระพุทธศาสนา

    ความดี-ชั่ว ดีชั่ว เกิดจากอุปาทานในใจ ดังนั้น ความดีชั่วเปรียบเสมือนไม่มีตัวตน เพราะถูกสมมติขึ้นมาเอง

    บุญ-บาป คือ ความรู้สึกเป็นสุข และบาปคือความรู้สึกเป็นทุกข์ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้มีบุญมากมายเพียงไหนก็ไม่อาจสงบสุขได้เนื่องจากมัวหลงระเริงความความรู้สึกสุขนั้น


    สวรรค์-นรก มีไม่มี ไม่สำคัญ เพราะเกิดจากอุปทาน หรือในจิตตนเองของแต่ละคนไป

    ตาย-เกิด เปิดพจนานุกรมภาษาไทยฉบับล่าสุดเอา อย่าไปคิดลึกเอาง่ายๆ

    ชาติ-ภพ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เนื่องจาก เราจำอะไรไม่ได้เลย และเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอยู่กับปัจจุบัน ถึงรู้ว่าเคยเกิดมาเป็นอะไร ก็ไม่ใช่คนๆนั้นแล้ว เพราะสิ่งที่จำได้เกิดจากการอุปทานของจิต ปรุงแต่งโดยสัญญา(ความจำได้หมายรู้)

    นิพพานคือ นิพพาน ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่จิต เพราะจิตเกิดได้เพราะอุปาทานนั่นเอง ดังนั้นหากรู้สึกสุขอยู่แปลว่า ยังอุปาทานอยู่ ต้องละให้หมด โดยเฉพาะอุปาทานนี่สำคัญมาก สัมผัสมี 6 สัมผัส รูป รส กลิ่นเสียง กายสัมผัส และจิต

    ส่วนเรื่องพระสงค์พระโสดาบัน พระอริยเจ้าพระอรหันต์นั้น เป็นแค่คำสมมติ กำหนดเรียกขึ้นมา ผู้ที่ทำความเข้าใจและละอุปทานได้นบางครั้งจะสมมติให้เรียกพระโสดาบัน เพราะไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร เมื่อมีผู้ถามว่าตนอยู่ช่วงไหนๆ
    ตรงกันข้าม พระอรหันต์ คือผู้ที่ละอุปทานได้แน่นอนแล้ว100% สามารถปล่อยวางได้ตามต้องการ แต่ส่วนมากจะไม่ยึดถืออะไรอีกแล้ว ปล่อยวางหมด เพราะรู้แล้วว่าอะไรของจริงไม่จริง ยากที่จะยึดตัวอุปทานเข้ามาใหม่ ใครปฏิบัติธรรมไม่อยากให้ไปหลงกับการเรียกชื่อพวกนี้มาก เหมือนเรียก จ่าสิบเอก กับพันเอก สุดท้ายมันก็คนเหมือนกัน ไม่มีอะไรต่างกันเลย

    เพราะเช่นนั้น พระรูปไหนที่มีกระดูกเป็นพระธาตุไม่จำเป้นต้องเป็นพระอรหันต์เสมอไป หากแต่ปฏิบัติกรรมฐานมามาก(บางคนปฏิบัติธรรมเพราะอยากมีกระดูกเป็นพระธาตุเอาเข้าไป) ที่จริงเหลือพระธาตุไว้ให้เรารู้ว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง มากจากดินจากหิน ไปก็เป็นดินเป็นหิน นี่เป็นข้อธรรมอย่างนึง เกิดแล้วดับชัดเจนดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นเช่นนั้น(เช่นเดียวกันพระอรหันต์ก็ไม่จำเป็นต้องมีกระดูกเป็นพระธาตุหากปฏิบัติสายตรงไม่ลดเลี้ยวอ้อมค้อม)

    ไหนๆมาแล้วก็ซัดซักเรื่องละกันนะ

    มีแมวตัวนึงกระโดษขึ้นโต๊ะ เจ้าของเห็นก็โกรธ ถามว่าแมวตัวนั้นมันรู้ไหมว่าไอโต๊ะตัวนั้น มันห้ามขึ้น แมวมันก็เห็นเป็นท่อนไม้ ไม่มีค่าอะไร ไอมนุษย์ อย่างเราๆน่ะ เห็นแล้วโกรธคิดว่ามีค่า เพราะเราอุปาทานคิดไปเองว่ามันมีค่า มันคือโต๊ะ ไอแมวมันก็อุปาทานว่าไอที่เห็นคือท่อนไม้ธรรมดาๆ ใครๆก็ขึ้นไปได้ นี่ล่ะคือความต่างของอุปาทาน เด็กๆ อุปทานจะน้อย ยิ่งโตก็ยิ่งเยอะยิ่งยึด น่าสงสารนะ

    เออนานๆทีเข้ามาเห็นว่าศึกษาอยากตอบให้กระจ่าง แล้วจะบอกว่าคนที่เขารู้จริงระดับสูงสุดแล้ว จะไม่มีทางเปิดเน็ตเล่นคอมเป็นอันขาดนะ เพราะเขาละอุปาทานได้แล้วเห็นคอมเป็นวัตถุธาตุธรรมดาไม่มีความหมาย เรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือจิต ไม่สามารถใช้พลังจิตเช็คได้นะ แต่ถ้าคุยก็จะรู้กันทันที ใช่ไม่ใช่อยู่ที่การคุยกัน ใครจะมาดูดวงให้เราก็เช็คไม่ได้ นั่งสมาธิก็ทำนายอนาคตไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มี จะเช็คได้อย่างไร ไอเราก็งงกับเขา มันเหนือโลกแล้วเรื่องแบบนี้

    สมาธิคือการจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่งเล่นเน็ต อ่านกระทู้นี่ก็เป็นสมาธิ สติเป็นตัวรู้เท่าทัน เมื่อไหร่สุดท้ายละอุปทานได้ สติสมาธิก็ไร้ความจำเป็น เพราะมันเกิดจากอุปาทาน(อันที่จริงมันมี สติ 100% แต่ผู้ปฏิบัติเองจะไม่เอามันแล้ว ทั้งดีชั่วและจิตก็ตาม มันไม่เที่ยง)

    กสินนี้ฝึกไปเพื่อให้เรารู้ว่า ธาตุรอบๆตัวเกิดจากอุปาทาน วิปัสนามีไว้คิดพิจารณาเพื่อพ้นทุกข์

    ดังนั้นถามว่าถ้าเห็นนรก สวรรค์แล้วไง...สุดท้ายก็เป็นแค่ความรุ้สึกความทรงจำ พ้นทุกข์ไม่ได้ หลงระเริงกับความสุข เศร้ากับความทุกข์ ยินดีกับความทรงจำในอดีต และที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน(จินตนาการ และปัจจุบัน) แม้แต่เวลาก็ไร้ตัวตน

    มีอะไรถามอีกก็ได้ให้กระจ่าง ไม่มีอิทธิฤทธิ์เหมือนกัน เลยนั่งสมาธิส่งไปดูไม่ได้ แต่ถ้าดูแล้วไม่น่าตอบก็จะไม่ตอบ นานๆทีเข้ามา เอาให้คุ้มหน่อย

    ดีแล้วนะเราอะ ปฏิบัติถูกไม่ถูกยังไม่สำคัญอะ แค่ใจสนมันก็ดีมากแล้ว คราวนี้เอาให้ถูกทางนะถูกทาง ปล่อยวางนะปล่อยว่าง ปล่อยให้ว้างไม่เหลือแม้แต่ความว่างเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...