พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    เรื่องราวของพระเทวทัต มอมเหล้าช้างนาฬิคีริง

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ



    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต



    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นทีสุด

    จักขอเล่าเรื่องราวเพิ่มเติม ถึงตอนที่พระเทวทัตคบคิดกับพระเจ้าอชาตศัตรู ลอบปลงพระชนม์แห่งองค์สมเด็จพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะทรงบิณฑบาตรอยู่ โดยการมอมเหล้าพญาฉัททันต์ ช้างนาฬาคิรี แล้วปล่อยให้มาทำร้ายพระพุทธองค์​

    พอช้างมาถึง ทันใดนั่นเองพระอานนท์ออกหน้าขวางไว้ยอมตายแทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าห้าม ๓ ครั้ง ก็ไม่ยอมเชื่อ พอช้างใกล้เข้ามาพระพุทธเจ้าจึงบันดาลด้วยฤทธิ์ ให้พระอานนท์ไปอยู่ข้างหลังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแผ่พระเมตตาไปให้ช้างนาฬาคิรี ช้างที่เมา ๆ อยู่ก็หมอบลง ไม่ได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงให้โอวาทช้างว่า "ชาตินี้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะบาปกรรมที่เคยทำมาชาตินี้อย่าได้ทำบาปกรรมอะไรอีกเลย" ช้างก็เชื่องลงต่อมาก็กลายเป็นช้างมีศีล​

    พระอานนท์ท่านรักพระพุทธเจ้ามาก ยอมตายแทนพระพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้นะ ชาติก่อนพระอานนท์ก็เคยตายแทนพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ชาติก่อนท่านเกิดเป็นหงส์กัน มีบริวารมากอาศัยอยู่ที่ถ้ำบนเขาคิชฌกูฏ พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพญาหงส์ชื่อ ธตรฐ ส่วนพระอานนท์เป็นหงส์ชื่อสุมุข

    วันหนึ่ง บริวาร ๒-๓ ตัวก็แอบไปที่สระบัวหลวงชื่อว่า มานุสิยะ อยู่ใกล้ ๆ เมืองสาตละ ในแคว้นมหัสกะเป็นสระที่อาหารอุดมสมบูรณ์มาก เป็นสระที่สวยงามกว้างใหญ่ มีนกมาหากินเยอะแยะไปหมด ทีนี้พอบริวารไปมาหนหนึ่งแล้ว พากันมาอ้อนวอนพญาหงส์ขอให้พาพรรคพวกไปอีก พญาหงส์ห้ามแล้วห้ามอีก บริวารก็อ้อนวอนอยู่นั่นเองเลยต้องพาไป ​

    พอร่อนลงเท่านั้นแหละ พญาหงส์ก็ติดบ่วงนายพราน พญาหงส์ก็ดิ้นจะดึงบ่วงให้ขาด เลยดึงขาแรง ๆ ครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่ ๒ เนื้อขาด ครั้งที่ ๓ เอ็นขาด ครั้งที่ ๔ บ่วงกินลึกถึงกระดูก เลือดไหลมากเจ็บสาหัส พญาหงสืคิดว่า ถ้าตัวเองร้องขึ้นว่าติดบ่วง ติดบ่วงพวกลูกน้องบริวารก็จะรีบหนีกันใหญ่ แต่ทีนี้ยังกินกันไม่อิ่ม ไม่มีแรงบินถึงถ้ำคงจะไปตกทะเลตายกลางทาง พญาหงส์จึงยังไม่ร้อง พอกะว่าลูกน้องกินอิ่มเรียบร้อยแล้วก็เลยร้องขึ้นพวกลูกน้องก็รีบบินหนีไปหมดเลย ไม่มีใครช่วยพญาหงส์เลย หนีไปหมดเลย สุมุขก็หนีไปด้วยเพราะสุมุขไม่รู้ แต่พอบินไป ๆ สงสัยว่า เอ๊ะใครนะที่ติดบ่วง บินวนหาพญาหงส์ก็ไม่เจอเลยบินกลับไปที่สระอีก เจอพญาหงส์ติดบ่วงอยู่เลยเข้าไปยืนใกล้ๆ แล้วปลอบว่าอย่ากลัวเลยตัวเองจะสละชีวิตแทนถ้านายพรานมา​

    [​IMG]



    พญาหงส์บอกว่า ขอให้สุมุขไปเถอะ จะมาอยู่ทำไมเราติดบ่วงอยู่อย่างนี้ ความเป็นเพื่อนจะมีประโยชน์อะไรสุมุขบอกว่า จะอยู่หรือไป ก็ต้องตายอยู่ดี เมื่อท่านมีความสุข ข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้ ๆ เมื่อท่านมีความทุกข์ ข้าพเจ้าก็จะจากไปได้ยังไง การตายพร้อมกับท่านย่อมดีกว่าการอยู่โดยไม่มีท่าน พญาหงส์บอกว่า ตัวเราจะมีอะไร นอกจากเข้าโรงครัว ท่านมาตายกับเรามีประโยชน์อะไร มองไม่เห็นประโยชน์ที่จะมาสละชีวิตอย่างนี้ สุมุขบอกว่า เราคิดถึงความภักดีในท่าน จึงไม่เสียดายชีวิต ธรรมดาเพื่อนกัน ถ้าเป็นผู้มีธรรมะ ไม่ควรทอดทิ้งกันยามทุกข์ แม้จะต้องตายก็ตาม​

    พญาหงส์ตอบว่า ท่านมีธรรมะดีแล้ว ข้าพเจ้าเห็นความภักดีของท่านแล้ว เราขอร้องให้ไปเสียเถอะ ช่วยดูแลบริวารด้วย ทีนี้นายพรานก็มา เห็นหงส์ตัวหนึ่งติดบ่วง อีกตัวหนึ่งไม่ติดบ่วง ทำไมมายืนอยู่ด้วยกัน ไม่บินหนีไปจึงถามสุมุข ​

    สุมุขก็บอกว่า พญาหงส์เป็นนายทิ้งไปไม่ได้ นายพรานบอกว่า ทำไมเป็นถึงพญาหงส์ น่าจะฉลาดมาติดบ่วงได้ยังไง สุมุขตอบว่า เวลาที่เคราะห์กรรมมาถึงก็ทำให้ไม่เห็นบ่วง แล้วอ้อนวอนนายพรานว่า ขอให้ปล่อยไปทั้งสองตัว เพราะฆ่าไปกินได้แค่มื้อสองมื้อ หรือถ้าขายก็ได้เงินนิดเดียว แต่ถ้าปล่อยไปจะได้บุญมาก แต่นายพรานอยากปล่อยอยู่แล้ว เขาชอบสุมุข แต่แกล้งลองใจ ก็เลยบอกสุมุขว่าตัวเองไม่ได้ติดบ่วงก็บินไปเสียซิ แต่สุมุขไม่ไป บอกถ้าพญาหงส์ตายก็ไม่อยากมีชีวตอยู่เหมือนกัน ถ้านายพรานต้องการหงส์ตัวเดียว ให้เอาตัวเราแทนแล้วปล่อยพญาหงส์ไป นายพรานชมสุขุมว่า เพื่อนอย่างนี้หายาก แล้วก็ปล่อยพญาหงส์ไป ​

    แต่สุมุขก็ดีนะ ยังเป็นห่วงนายพรานว่าไม่ได้อะไรเลย อดขายอดกินเนื้อหงส์ เลยขอให้นายพรานพาไปเฝ้าพระราชาพระราชาทรงทราบเรื่องแล้วก็พระราชทานเงินให้นายพรานพอเลี้ยงตัวไปตลอดชีวิต (พระราชาเป็นเพื่อนสนิทกับพญาหงส์ ในสมัยนั้น) ​

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมถวายบุญกุศลทั้งหมดที่บำเพ็ญมาบูชาคุณพระทุกพระองค์ ท่านทรงความเป็นพระตั้งแต่สมัยยังเป็นสัตว์เดียรฉานเลยหรือนี่ เป็นบารมีที่กระทำได้ยากยิ่ง ขอโมทนาในความดีทั้งหลายเหล่านั้น ขอให้ความเป็นพระจงบังเกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ สาธุ......... สาธุ......... สาธุ................................​

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2007
  2. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ปฐมเหตุแห่งบุพพกรรมพระเทวทัต คิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ​



    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต​



    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นทีสุด​

    วาระนี้จักขอเล่าถึงปฐมแห่งการจองเวรของพระเทวทัตต่อองค์สมเด็จพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่กาลก่อน

    ในสมัยนั้นพระพุทธองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพ่อค้า ทำการค้าขายโดยอาศัยสำเภาเป็นพาหนะ ท่านเทวทัตก็บังเกิดเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน อยู่มาวันหนึ่งมีหญิงชราซึ่งเคยร่ำรวยมากมาก่อน แต่บัดนี้กลับสิ้นทรัพย์จนสิ้น คงเหลือแต่ถาดทองคำแท้ เป็นสมบัติติดตามเพียงชิ้นเดียว ก็ได้คิดจะนำไปขายเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในช่วงบันปลายแห่งชีวิต จึงได้ประกาศขายถาดทองคำนั้น

    [​IMG]


    ครั้งนั้นพระเทวทัตซึ่งเป็นพ่อค้าผ่านมาเห็นเข้า ก็รู้แน่แก่ใจว่าเป็นทองคำแท้ซึ่งมีค่ามาก ซึ่งราคาที่หญิงชรากำหนดไว้นั้นก็พอเหมาะพอดี แต่ด้วยความโลภจึงคิดอุบายขึ้นว่า จะซื้อถาดทองคำนี้ให้ได้ในครึ่งราคา โดยบอกว่าถาดใบนี้เป็นทองเนื้อไม่ดี แล้วกล่าวหาว่า หญิงชราคนนั้นเรียกราคาเกินกว่าความเป็นจริง แต่เนื่องจากราคาของถาดทองคำนั้นแพงมาก ยากนักที่บุคคลทั่วไปจะสามารถซื้อได้ ในที่สุดถ้าไม่มีใครซื้อหญิงชราก็คงจะต้องยอมขายแก่เราเป็นแน่แท้ พระเทวทัตคิดเป็นอุบายอยู่ในใจ

    ดังนั้น พระเทวทัตก็จึงกล่าวแก่หญิงชราว่า ถาดนี้เป็นทองคำไม่บริสุทธิ์คงไม่สามารถซื้อเต็มราคาได้ ขอจ่ายเพียงแค่ครึ่งราคา แต่หญิงชรากลับไม่ยอมขายเนื่องจากแน่ใจว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์อย่างแน่แท้ พระเทวทัตจึงแกล้งเดินจากไปแล้วคิดว่าจะกลับมาซื้อใหม่อีกสักพัก เพราะเชื่อแน่ว่านางจะต้องยอมขายในที่สุด เพราะไม่มีใครจะมีทรัพย์พอมาซื้อไปได้

    ครั้นแล้วพ่อค้าอีกคนหนึ่ง (พระพุทธองค์) ได้มาเจอกกับหญิงชราคนนั้นเข้า แล้วได้สนใจที่จะซื้อถาดทองคำนั้น เพราะรู้ว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์และราคาที่นางเรียกไว้นั้นก็เหมาะสมดีแล้ว จึงได้ขอซื้อด้วยเงินเต็มราคา นางจึงตกลงขายให้พ่อค้าคนนี้

    [​IMG]


    เมื่อพ่อค้าเทวทัตกลับมาปรากฏว่าไม่เห็นถาดทองคำในมือหญิงชราแล้ว จึงถามถึงถาดทองนั้นว่าเอาไปเก็บไว้ที่ใด นางก็บอกว่าได้ขายให้แก่พ่อค้าอีกคนหนึ่งซึ่งซื้อเต็มราคา ขณะนี้ได้จากไปแล้วและจะไปค้าขายต่อที่เมืองอื่นโดยทางเรือสำเภา

    พ่อค้าเทวทัตทราบจึงเกิดโทสะ ที่มีคนมาซื้อถาดตัดหน้าไป จึงรีบวิ่งตามพ่อค้าอีกคน (พระพุทธเจ้า) จนมาถึงท่าเรือ เห็นหลังพ่อค้าอีกคนไว ๆ ก็จำได้ว่าเป็นเพื่อนของท่านนั้นเอง ก็จึงผูกใจเจ็บตัดความเป็นมิตร จองเวรเป็นศัตรูกับพระพุทธองค์ตั้งแต่บัดนั้น แต่เรือได้ออกเดินทางพอดี จึงวิ่งไล่ไปไม่ทัน

    ด้วยความเจ็บแค้นเป็นอันมากที่ถูกแย่งถาดทองคำใบนั้นไป จึงได้กำทรายที่ชายหาดขึ้นมาแล้วกำไว้แน่น จากนั้นก็อธิษฐานจิตขอจองเวรจองกรรมแก่พ่อค้าอีกคน (พระพุทธองค์) ตั้งแต่บัดนั้น และจะขอติดตามไปตัดรอนทุกภพทุกชาติตราบเท่าสิ้นจำนวนเม็ดทรายในมือของเรานี้ จากนั้นพ่อค้าเทวทัตก็ขว้างเม็ดทรายเหล่าลงไปในมหาสมุทรด้วยความโกรธแค้น

    นี้จึงเป็นบุพพกรรมการจองเวรของพระเทวทัตที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตั้งแต่ครั้งยังทรงเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์เจ้า และในชาติที่บังเกิดเป็นพระเทวทัตก็เป็นชาติสุดท้ายที่อธิษฐานจองเวรจองกรรมพระพุทธองค์ไว้ เนื่องครบตามจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดแล้ว

    เมื่อรู้เรื่องราวก็นึกขึ้นมาในใจว่า อำนาจแห่งการอธิษฐานบารมีนั้นไม่ว่าจะเป็นในทางแห่งความดี หรือความเลวแล้วก็ตาม ก็มีอำนาจไม่ยิ่งย่น ไม่ต่างกันเลย ขอให้ทุกท่านจงอย่าได้ประมาท จึงยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นสรณะเถิด คิดทำสิ่งใดก็ขอให้อยู่ขอบเขตแห่งศีล เจริญจิตภาวนา ลุแห่งกรรมทั้งปวงเทอญ

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นอย่างยิ่ง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2007
  3. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    ร่วมโมทนาบุญทั้งหมดในพระศาสนาถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอโมทนาบุญกับพระฤาษีบาฮะมาฯ คุณปู่บุญเหลือ และคณะอาศรมแก้วกู่ทุกท่าน ถวายเป็นพทธบูชาฯ ขอความปราถนาของท่านจงสำเร็จเทอญฯ
     
  4. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา

    [​IMG][​IMG]ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา ขอถวายดอกไม้นี้แทนสิ่งสักการะอันประเสริฐทั้งปวงเพื่อบูชาพระฯ ขอบารมีพระ ฯ ได้โปรดโอบเอื้อเกื้อกูลให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายได้ยังกิจให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ทางใดอันไม่ตรงในการที่จะเข้าพระนิพพานขออย่าให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายได้หลงเดินทางนั้นเลย ตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ[​IMG][​IMG]
    ภาพดอกทานตะวัน.jpg
     
  5. O^HO!

    O^HO! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +2,021
    ร่วมโมทนาบุญทั้งหมดในพระศาสนา ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sravnane [​IMG]
    [​IMG]

    วัดป่าสีดาฯ(พระเจ้านั่งแท่น) จ.หนองคาย เป็นสถานที่ประทับนั่งโปรดเวไนยสัตว์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปล์นี้ ในอนาคตกาลข้างหน้าพระศรีอาริย์จักเสด็จมาตามพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมาฯ ก่อนเสด็จไปโปรดพญาสิงห์กับพญาหงส์พระโพธิสัตว์ พร้อมทรงประทานรอยพระบาทที่บ้านพระบาทนาหงส์(พระบาทนาสิงห์)ให้เป็นที่สักการะบูชา ก่อนเสด็จข้ามไปยังประเทศลาวที่พระบาทโพนฉัน(ประทับนั่งเสวยภัตตาหาร) และประดิษฐานพระศาสนาในฝั่งลาวต่อไปฯ

    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:


    ขอโมทนาบุญกับทุกๆ ท่าน ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขอความปราถนาของทุกท่านจงสำเร็จทุกประการเทอญฯ
     
  6. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    วัดพระนอนแหลมพ้อ จ.สงขลา ทางวัดกำลังสร้างพระวิหารครอบพระนอน ท่านใดสนใจจะร่วมบริจาคสร้างถวาย เป็นพุทธบูชาฯ เชิญได้เลยที่วัดครับ
    ปล.เป็นพระนอนขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามเลยครับ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  7. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอเชิญร่วมบูรณซ่อมแซมพระบรมธาตุและพระบาทสี่รอยกันได้แล้วครับ

    ขอเชิญร่วมบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุพระเจ้าสี่พระองค์และพระบาทสี่รอยฯลฯตลอดจนสมบัติของพระฯทั่วสากลภิภพถวายเป็นพุทธบูชาฯ กันได้แล้วครับ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=57687&page=7 โพสที่187เป็นอานิสงส์ โพสที่188เป็นเหตุที่เราได้มาร่วมกันซ่อมและบูรณฯ โพสที่188เป็นตัวอย่างคำอธิษฐาน
    เชิญร่วมอธิษฐานจิตโพสกันลงมาเลยนะครับ จะได้บุญกันเลยและก็ได้เป็นตัวอย่างคำอธิษฐานให้ท่านอื่นๆด้วยครับ ไม่ยากนะครับ ข้อสำคัญตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาฯร่วมกันครับ
    ปล.กดไปโพสกันที่กระทู้ขอเชิญร่วมบูรณฯกันเลยนะครับ เดี๋ยวอีกสักพักจะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปครับ จะไม่ทันเพื่อน
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2007
  8. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    เรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับพระเทวทัต

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ​




    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต




    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นทีสุด

    จักขอเริ่มเรื่องราวโดยยกเอาเรื่องมิทิลาปัญหาระหว่างพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนมากล่าวอ้างในเบื้องต้น ซึ่งถามถึงความไม่เสมอกันและไม่เสมอกันแห่งกุศลและอกุศล​

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า " ข้าแต่พระนาคเสน วิบากของบุคคลทั้งสอง คือผู้ทำกุศลกับผู้อกุศล มีผลเสมอกันหรือต่างกันอย่างไร"​

    พระนาคเสนตอบว่า " ขอถวายพระพร ต่างกัน คือกุศลมีสุขเป็นผล ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ อกุศลมีทุกข์เป็นผล ทำให้ไปเกิดในนรก"​

    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่าต่อไปว่า " ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวไว้ว่า พระเทวทัต มีแต่ดำอย่างเดียว ประกอบด้วยความดำอย่างเดียว ส่วน พระโพธิสัตว์ มีแต่ขาวอย่างเดียว ประกอบด้วยขาวอย่างเดียว" ​

    แต่มีกล่าวไว้อีกว่า พระเทวทัตเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ ด้วยยศและพรรคพวกในชาตินั้น ๆ ก็ยิ่งกว่าก็มี​

    อย่างเช่นคราวหนึ่ง พระเทวทัตได้เกิดเป็นบุตรปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลเทหยากเยื่อ แต่เป็นผู้มีวิชา ร่ายวิชาให้เกิดผลมะม่วงได้นอกฤดูกาลเป็นอันว่า คราวนั้น พระโพธิสัตว์ต่ำกว่าพระเทวทัตด้วยชาติตระกูล​

    ในคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช้างของพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นวานร อีกเรื่องหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์ พรเทวทัต เกิดเป้นนายพรานฆ่าพญาช้างฉัททันต์นั้นเสีย​

    อีกเรื่องหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพรานป่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกกระทา อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น "พระเจ้ากาสี" ที่พันธุมดีนคร พระโพธิสัตว์เกิดเป็น "ขันติวาทีฤาษี" ถูกพระเจ้ากาสีให้ตัดมือตัดเท้าเสีย เรื่องเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า พระเทวทัตยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ด้วยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริวารก็มี และยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น​

    เรื่องพระเทวทัตเกิดเป็นชีเปลือย ชื่อว่า "โกรัมภิกะ" พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานาค ชื่อว่า ปันทรกะ อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็น ชฏิลดาบท พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสุกรใหญ่ อีกชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพระราชา ผู้ทรงพระนามว่า "อุปริราช" ผู้เที่ยวไปในอากาศได้ พระโพธิสัตว์เกิดเป็น "กบิลพราหมณ์ราชครู"​

    อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ชื่อว่า "สามะ" พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาเนื้อชื่อ "รุรุ" อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นนายพราน ชื่อว่า "สุสามะ" พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างเผือก ถูกพระเทวทัตตามไปเลื่อยงาถึง ๗ ครั้ง​

    อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพญาสุนัขจิ้งจอง เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีป ส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็น "วิธุรบัณฑิต" เรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้นก็ชี้ให้เห็นว่าพระเทวทัตยิ่งกว่าชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริวาร​

    ที่เสมอกันก็มี คือ ชาติหนึ่งพระเทวทัต เกิดเป็นพญาช้างฆ่าลูกในใส้ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาช้างอีกฝูงหนึ่งเหมือนกัน คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นยักษ์ ชื่อว่า "อธรรม" พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นยักษ์เหมือนกัน ชื่อว่า "สุธรรม"​

    คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นนายเรือนเป็นใหญ่กว่าตระกูล ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นนายเรือ เป็นใหญ่กว่าตระกูล ๕๐๐ เหมือนกัน อีกคราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพญาเนื้อชื่อว่า "สาขะ" พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาเนื้อเหมือนกัน ชื่อว่า "นิโครธะ"​

    หยิ่งหย่อนกว่ากันก็มี เช่น คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นปุโรหิต ชื่อว่า กณฑหาลพราหมณ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชกุมารชื่อว่า "พระจันทกุมาร" อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เหมือนกัน ชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น "อลาตเสนาบดี" พระโพธิสัตว์เกิดเป็น "นารทพรหม"​

    อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นราชากาสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชาโอรสทรงพระนามว่า "มหาปทุมกุมาร" อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระราชามหาตปาตะ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรส ถูกพระราชบิดาให้ตัดมือตัดเท้าและศรีษะเสีย​

    มาถึงชาติปัจจุบันนี้ บุคคลทั้งสองก็ได้มาเกิดในตระกูลศากยราชเหมือนกัน แต่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ได้ออกบวชสำเร็จฌานโลกีย์​

    โยมจึงสงสัยว่า ข้อที่ว่า "กุศลให้ผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ อกุศลให้ผลเป็นทุกข์ทำให้เกิดในนรก กุศลและอกุศลมีผลไม่เสมอกัน"​

    แต่เหตุใดบางชาติพระเทวทัตก็ยิ่งกว่า บางชาติก็เสมอกัน บางชาติก็ต่ำกว่า จะว่ามีผลไม่เสมอกันอย่างไร จะว่าต่างกันอย่างไร ถ้าดำกับขาวมีคติเสมอกัน กุศลกับอกุศลก็ต้องมีคติเสมอกัน พระคุณเจ้าข้า​

    พระนาคเสนตอบว่า
    "ขอถวายพระพร กุศลกับอกุศลไม่ใช่มีผลเสมอกัน ไม่ใช่ว่าพระเทวทัตจะทำผิดต่อคนทั้งหลายเสมอไป ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ทำความผิดเลย ผู้ใดทำผิดต่อพระโพธิสัตว์ ผู้นั้นก็ได้รับผลร้าย​

    เวลาพระเทวทัตได้เกิดเป็นพระราชา ก็ได้ปกครองบ้านเมืองดี มีการให้สร้างสะพาน สร้างศาลาและสรงน้ำก็มี ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนขอทานก็มี แล้วเขาก็ได้รับสมบัติในชาตินั้น ด้วยผลแห่งบุญอันนั้น ใครไม่อาจกล่าวได้ว่า พระเทวทัตได้เสวยสมบัติด้วยไม่ได้ให้ทานรักษาศีล ฟังธรรมอบรมจิตใจเลย​

    ข้อที่มหาบพิตรตรัสว่า พระเทวทัตกับพระโพธิสัตว์พบกันเสมอกันนั้นไม่จริง ตั้งร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติก็ไม่พบกัน นานจึงจะได้พบกันสักชาติหนึ่งเหมือนกับเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทร โผล่ขึ้นมาตั้งแสนครั้ง ก็ไม่พบขอนไม้สักทีก็มี หรือเปรียบเหมือนกับการที่ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นของได้แสนยากฉะนั้น​

    พระสารีบุตรเถระได้เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ คือเป็นบิดา เป็นปู่ เป็นพี่ชาย น้องชาย เป็นบุตร เป็นหลาน เป็นมิตรสหายกันกับพระโพธิสัตว์ก็มี

    แต่ว่าหลายแสนชาติ กว่าจะได้เกี่ยวเนื่องกันสักชาติหนึ่ง ด้วยเหตุว่า สัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสาร ที่ถูกกระแสสารพัดไป ย่อมพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็มี พบกับสิ่งอันเป็นที่รักก็มี เหมือนกับน้ำที่ไหลบ่าไป ย่อมพบของสะอาดก็มี ไม่สะอาดก็มี ดีก็มี ไม่ดีก็มี ฉะนั้น


    [​IMG]


    พระเทวทัตคราวเกิดเป็น "อธรรมยักษ์" ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในธรรม ยังแนะนำผู้อื่นไม่ให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก แล้วไปตกนรกใหญ่อยู่ถึง ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี​

    ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อคราวเกิดเป็น "สุธรรมยักษ์" ตัวเองอยู่ในธรรม ยังชักนำบุคคลเหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก ชาตินั้นได้ขึ้นไปเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสวรรค์ตลอด ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี​

    มาชาติปัจจุบันนี้ พระเทวทัตก็ไม่เลื่อมใสต่อพระผู้เป็นเจ้า จนถึงกับทำสังฆเภท แล้วจมลงไปในพื้นดิน ส่วนสมเด็จพระชินสีห์ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง แล้วดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง จึงควรเห็นว่า กุศลกับอกุศลให้ผลต่างกันมาก ขอถวายพระพร"​

    "สาธุ..... พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องแล้ว"​

    ฏีกามิลินท์ ท่านอธิบายข้อที่กล่าวว่า "พระเทวทัตเกิดเป็นพญาสุนัขจิ้งจอก เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปนั้น" มีแจ้งอยู่ใน สัพพทาฐิกชาดก คือในชาดกนั้นว่า​

    มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ได้ยินพราหมณ์คนหนึ่ง ไปนั่งร่ายมนต์ปฐวชัยอยู่ในป่าช้าแห่งหนึ่ง ก็จำเอามนต์นั้นได้ เมื่อเข้าไปร่ายมนต์ในป่าหิมพานต์ สัตว์ทั้งหลายมีพยาราชสีห์เป็นต้น ก็เกรงกลัวอำนาจ ยอมมอบตัวเป็นทาสทั้งสิ้น ตั้งให้สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเป็นพญา เรียกว่า "พญาทาฐิกะ" แปลว่า ผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวมีเล็บทั้งปวง​

    แล้วพญาทาฐิกะนั้น ก็ใจกำเริบฮึกเหิมขึ้นนั่งบนหลังพญาราชสีห์กรีฑาทัพสัตว์ป่า เข้าไปล้อมเมืองพาราณสีไว้ คราวนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชครูของพระเจ้าพาราณสี มีชื่อว่า วิธุรบัณฑิต ได้ออกความคิดฆ่าพญาสุนัขจิ้งจอกนั้นเสียทั้งบริวาร​

    เมื่อรู้ว่าพญาสุนัขจิ้งจอกยกกองทัพมาล้อมเมือง จะให้ราชสีห์แผดเสียงให้คนตายหมดทั้งเมือง จึงขอผลัดกับพญาสุนัขจิ้งจอกไว้ ๗ วัน หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์จึงประกาศให้ชาวเมืองอุดหูด้วยสำลี เมื่อพญาราชสีแผดเสียงแล้ว พญาสุนัขจิ้งจอกกับบริวาร ซึ่งอยู่ในที่ประมาณ ๓ โยชน์ ก็มีอันแก้วหูแตกตายสิ้น ดังนี้​

    ในชาดกไม่ได้กล่าวว่า "พญาสุนัขจิ้งจอกเป็นใหญ่กว่าพระราชาในชมพูทวีปเลย" แต่ในมิลินทปัญหาว่า "พญาสุนัขจิ้งจอกกระทำพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้ยอมเป็นบริวารของตน" เป็นอันผิดจากชาดกไปฉะนั้น ควรถือชาดกเป็นใหญ่ เพราะมีมาก่อนมิลินทปัญหา​


    [​IMG]



    เพิ่มเติมจากมิลินทปัญหา

    เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่า​

    "ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล้ำเลิส ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคุณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก" ดังนี้​

    ด้วยอานิสงส์เพียงเท่านี้​

    "ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทในส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วน จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "อัฏฐิสสระ"​

    เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับพระเทวทัตก็มาบรรจบ สิ้นสุดเพียงเท่านี้​

    ขออุทิศบุญทั้งหมดที่ได้กระทำมาดีแล้ว ถวายเป็นกุศลแด่พระเทวทัต ให้สามารถสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธะในอนาคตกาลข้างหน้าเถิด​

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2007
  9. สุริยทรงศีล

    สุริยทรงศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,873
    ขอร่วมโมทนบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ
    (f) (f) (f)
     
  10. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    07 อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก

    ...ในกาลครั้งนั้นองค์สมเด็จพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พร้อมภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป
    ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้นำเครื่องสักการะทั้งหลาย

    เข้าไปสู่พระเชตะวันมหาวิหารถวายอภิวาท แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควร

    ส่วนข้างหนึ่งแล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอันบุคคลใดกระทำสักการะบูชาสรงเถราภิเษก
    แก่สงฆ์ ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธาจะได้ผลอานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    จึงตรัสว่า ดูกรมหาราช บุคคลใด มีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการในเมื่อปรารถนาอันใด
    ก็จะสมความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกประการ การทำเถราภิเษกนี้ได้ทำกันสืบ ๆ มาในครั้งพุทธเจ้าก่อน ๆ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    ... แล้วพระองค์ทรงแสดงสืบต่อไปว่า ในกาลครั้งนั้นเป็นสมัยครั้งศาสนาของพุทธเจ้าเมธังกร ยังมี
    พระยาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าวิชัยยะ ได้เสวยสมบัติในเมืองสารนครประกอบไปด้วยทศพิธราช
    ธรรม ๑๐ ประการ มีเถระองค์หนึ่งชื่อว่าอุสสาเป็นอันเตวาสิกแห่งพุทธเจ้าเมธังกร
    พระยาวิชัยยะได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหาเถระเข้ามาในเมือง พระยาวิชัยยะก็มีใจศรัทธาเลื่อมใสใน

    อิริยาบถ ของพระมหาเถระเจ้าเสร็จไปต้อนรับนิมนต์ให้ไปสู่ปราสาทของพระองค์ แล้วก็จัดแจงสรง
    เถราภิเษกด้วยน้ำหอม เสร็จแล้วถวายภัตตาหารตั้งความปรารถนาว่า ปวงชนทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขต
    ขัณฑเสมา ขอจงตั้งอยู่ในโอวาทคำสอนของพระองค์ทุกเมื่อ และขอให้ข้าพระองค์ได้พ้นจากทุกข์ภัย
    เวร ข้าศึกศัตรูทั้งหลายด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ในอนาคตกาลโน้นเทอญ พระมหาเถระเจ้าก็
    ได้อนุโมทนาแห่งพระยาวิชัยยะ แล้วถวายพระพรทิพย์ ๑๐ ประการ ลากลับไปสู่สำนักแห่งพระมหา
    เถระเจ้า พระยาวิชัยยะได้รับพร แห่งพระมหาเถระแล้วมีจิตยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ ต่อบุญกุศลของพระ
    องค์ที่ทรงกระทำไว้ ครั้นจุติจากโลกแล้วก็ไปอุบัติ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพิภพ มีวิมานทองสูง
    ๒๒ โยชน์มีนางเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็นบริวาร ครั้นสิ้นชีพเทวบุตรแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเจ้าพระสิริตะ

    เสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ได้มาเกิดเป็นองค์พระตถาคตเดี๋ยวนี้แล<o:p></o:p>

     
  11. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    08 อานิสงส์บวช


    ...
    บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการ
    บรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชา
    ทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์
    ๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้า
    อุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้
    บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะ
    เห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไป
    บวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณร
    ครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพัก
    ผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้
    กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราช
    ทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟ
    แดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของ
    ลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยัง
    ได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึง
    นำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้น
    ไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้า
    ปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  12. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    09 อานิสงส์สร้างศาลาโรงธรรม

    ...อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้สร้างอารามเชตวันมหาวิหารถวายแก่ พระศาสดา และสาวกทั้งหลาย
    อยู่มาวันหนึ่งพระสาวกก็ปรารภกันว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี มีจิตศรัทธา

    สร้างวัดวาอารามทั้งหลายถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้า กับทั้งเป็นผู้เลี้ยงคุ้มครองรักษาพระศาสดาจะ
    เป็นประโยชน์อย่างไรหนอ สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงทราบโดยพระญาณของพระองค์แล้วเสด็จมา ใน
    ที่พระสงฆ์ประชุมนั้น แล้วทรงถามดูกรภิกษุทั้งหลายได้ประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุมีพระอานนท์
    เป็นต้น ก็กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ปรึกษากันด้วยเรื่องอนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้ก่อสร้าง
    อาคามถวายพระพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ จะได้อานิสงส์แก่ท่านอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลครั้งหนึ่งมีพระเจ้าสุทัสน์ได้เสวยราชสมบัติเป็น
    กษัตริย์ในเมืองสุทัสน์นคร ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าปิยทัสสีได้สร้างอารามเป็นทานแก่พระพุทธ
    เจ้าปิยทัสสี แล้วตั้งปณิธาน ความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด เมื่อ
    สิ้นชีพตามอายุขัยแล้วก็ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เสวยสมบัติทิพย์มีนางฟ้าเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็น
    บริวาร มีวิมานทองสูง ๔๕ โยชน์ มีอายุยืนนานได้พันปีทิพย์ ครั้นจุติก็มาเกิดเป็นบุตรพยากาวิตะ
    กษัตริย์ ในเมืองเสถะนคร ชื่อว่ารามวัตติกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วได้ดาบกายสิทธิ์ มีวชิราเพชรช้างแก้ว
    ม้าแก้ว วัวแก้ว ปราสาทแก้ว เกิดขึ้นด้วยบุญกุศลราศี ที่ได้ก่อสร้างอารามศาลาให้เป็นทาน ครั้นได้ละ

    จากอัตตภาพนั้น ก็ได้เสริมสร้างบารมีจนมาเกิดเป็นองค์พระตถาคตในกาลบัดนี้เมื่อพระบรมศาสดาได้
    แสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้วเหล่าภิกษุทั้งหลายก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ
    อนาคามีและพระอรหันตปฏิสัมภิทาญาณ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  13. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    เอตทัคคะ หมวด อุบาสก

    1. ตปุสสะ-ภัลลิกะ เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถึงสรณะก่อน
    ทฺววาจิกอุบาสก / พระพุทธเจ้าประสานบาตร<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    2. อนาถปิณฑิกเศรษฐี เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก
    ได้ชื่อใหม่เพราให้ทาน / สำเร็จพระโสดาบัน / สร้างวัดถวาย / ทำบุญจนหมดตัว /
    ขับไล่เทวดา / ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย / มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาน /

    ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย /พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทูลพระศาสดา <o:p></o:p>

    3. จิตตคฤหบดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นธรรมกถึก
    สร้างวัดอัมพาตการาม / เชี่ยวชาญในการแสดงธรรม <o:p></o:p>
    4. หัตถกคฤหบดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ ๔
    ถูกยักษ์จับ / พุทธานุภาพปราบยักษ์<o:p></o:p>
    5. พระเจ้ามหานามศากยะ เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถวายทานมีรสอันประณีต
    ครองกรุงกบิลพัสดุ์ / ถวายทานมีรสประณีต <o:p></o:p>
    6. อุคคคฤหบดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ให้ของเจริญจิต
    ผู้ให้ของที่ชอบใจ ย่อมได้ของที่ชอบใจ <o:p></o:p>
    7. อุคคตคฤหบดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์
    ต้นคดปลายตรง <o:p></o:p>
    8. สูรอัมพัฏฐอุบาสก เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีศรัทธาไม่หวั่นไหว
    ความคิดมีเหตุผล / มารแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้า / มารร้ายพ่ายพระ <o:p></o:p>
    9. ชีวกโกมารภัจ เอตทัคคะในฝ่ายผู้เลื่อมใสในบุคคล
    จากทารกถูกทิ้งที่กองขยะมาเห็นลูกเจ้า / หนีจากวังหาสำนักศึกษา /
    ได้เรียนวิชาแพทย์พิเศษ / คนไข้คนแรกของหมอชีวก / ประวัติการรักษาโรคครั้งสำคัญ /

    หลอกให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตเสวยเนยใส / แพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ /

    พาพระเจ้าอชาตศรัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า / กราบทูลขอพรห้ามบวชคนมีโรคติดต่อ /
    กราบทูลขอพรให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้ / สร้างวัดชีวกัมพวัน <o:p></o:p>

    10. นกุลบิดาคฤหบดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีความคุ้นเคย
    กล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูก / แม้ทางใจก็ไม่เคยคิดชั่ว <o:p></o:p>
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  14. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    เอตทัคคะ หมวด อุบาสิกา

    1. นางสุชาดา เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถึงพระรัตนตรัยก่อน
    แก้บนด้วยข้าวมธุปายาส / ลูกชายหาย / ยสะบรรลุอรหัตผล / อุบาสิกาคนแรก <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    2. นางวิสาขา เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายิกา
    ๗ ขวบสำเร็จโสดาบัน / หญิงงามเบญจกัลยาณี / ชน ๔ พวกเมื่อวิ่งจะดูไม่งาม /
    ธนญชัยเศรษฐีให้โอวาทลูกสาว / อานิสงส์การทำบุญแล้วแถม / นางวิสาขาตำหนิพ่อผัว /

    พ่อผัวยกย่องวิสาขาให้ฐานะมารดา / คุณสมบัติพิเศษประจำตัวนางวิสาขา / ร้องไห้อาลัยหลาน /

    วิสาขาสร้างวัด / เพราะพระเปลือยกายจึงถวายผ้าอาบน้ำฝน / พระภิกษุคิดว่านางเป็นบ้า <o:p></o:p>

    3. นางขุชชุตตรา เอตทัคคะในฝ่ายผู้แสดงธรรม
    สาวพิการหลังค่อม / โฆสกเศรษฐีสร้างวัดถวาย / นางขุชชุตตราบรรลุโสดาบัน /
    เป็นอาจารย์สอนธรรม / บุพกรรมล้อเลียนพระ<o:p></o:p>

    4. นางสามาวดี เอตทัคคะในฝ่ายผู้อยู่ด้วยเมตตา
    เศรษฐีตกยาก / ได้นามว่าสามาวดี / นางสามาวดีบรรลุโสดาบัน /
    นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระศาสดา / จ้างนักเลงด่าพระพุทธองค์ /

    นางสามาวดีถูกใส่ความเรื่องไก่ / ถูกใส่ความเรื่องงู / อานุภาพแห่งเมตตาธรรม
    /
    นางสามาวดีถูกเผาทั้งเป็นพร้อมหญิงสหาย / ชดใช้กรรมเก่า / กรรมใหม่ให้ผลทันตา <o:p></o:p>

    5. นางอุตตรานันทมารดา เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน
    ขี้ไถกลายเป็นทอง / นางอุตราถูกน้ำมันเดือดราดศีรษะ <o:p></o:p>
    6. พระนางสุปปวาสา เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถวายของมีรสอันประณีต
    ตั้งครรภ์นานเกือบ ๘ ปี / ให้อาหารชื่อว่าให้สิ่งประเสริฐ ๕ ประการ <o:p></o:p>
    7. นางสุปปิยา เอตทัคคะในฝ่ายผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้
    เฉือนเนื้อตัวเองถวายพระ / ทรงบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ <o:p></o:p>
    8. นางกาติยานี เอตทัคคะในฝ่ายผู้เลื่อมใสมั่นคง
    โจรขุดอุโมงค์เข้าบ้าน / พาโจรบวช <o:p></o:p>
    9. นางกาฬีกุรรฆริกา เอตทะคคะในฝ่ายผู้ได้ความเลื่อมใสตามเขา<o:p></o:p>
    10. นางนกุลมารดาคหปตานี เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีความคุ้นเคยในพระศาสดา
    กล่าวตู่ว่าพระพุทธองค์เป็นลูก / แม้ทางใจก็ไม่เคยคิดชั่ว <o:p></o:p>
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  15. DEAR_CPE

    DEAR_CPE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,082
    (f) ขอโมทนาด้วยนะคะ (f) สาธุ(f) สาธุ(f) http://www.morninggarden.com/wiki/index.php/กาซาเนีย
     
  16. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    โมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบชาฯครับ
     
  17. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ร่วมโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
     
  18. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ร่วมโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯ ครับ
    [​IMG]
    รูปนี้ที่ไหนครับสวยมากเหมาะสำหรับนั่งสมาธิรับพลังเป็นอย่างสูง​
     
  19. DEAR_CPE

    DEAR_CPE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,082
    (f) (f) ขอโมทนาบุญถวายเป็นพุทธบูชาด้วยนะคะ(f) (f)
     
  20. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="26%" bgColor=#f7f7f7>




    </TD><TD vAlign=top width="74%" bgColor=#f7f7f7><CENTER></CENTER><TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD>
    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา



    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ​





    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต





    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ อันมีสมเด็จพระองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นทีสุด



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑


    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐)

    ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง

    [๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประ-
    ทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวก
    ป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย
    ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่
    เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้า
    เก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธ-
    เจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็น
    พระพุทธเจ้า ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็น
    แม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพ
    หลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
    พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
    เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
    หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรา
    จึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
    นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง
    ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
    ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
    กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่
    เป็นจริง เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา
    สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้
    น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้
    ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภค
    กาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพ
    ทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้
    มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำ
    กล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ในกาลก่อน เราได้ฆ่า
    พี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และ
    บด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน
    ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด ในกาลก่อน
    เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟ
    เผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
    จึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา ในกาลก่อน เรา
    เป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้
    กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่ง
    แล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ ใน
    กาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วย
    หอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก
    ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของ
    เราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก
    (ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว
    เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ)
    ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะ
    ฆ่าแล้ว เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า
    พระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากิน
    ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่
    ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ในกาลนั้น เมื่อนักมวย
    กำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความ
    ทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค
    ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกา-
    พาธจึงมีแก่เรา เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า
    กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยาก
    อย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก
    (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุ
    โพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอัน
    บุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด (บัดนี้)
    เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้า-
    โศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุ
    กำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุ
    สงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.

    ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ
    อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.

    จบ พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    อันว่ากรรมนั้น ไม่ได้ละเว้นผู้ใดเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระภควัตน์ก็มีกรรมติดตามมาให้ผลอยู่เนื่อง ๆ จึงขอให้ทุกท่านจงตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาทเถิด ตั้งใจความความดี เพื่อการลุแล้วซึ่งความอธิษฐานที่ตั้งไว้ดีแล้วทั้งปวงเทอญ............

    "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง = นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"
     

แชร์หน้านี้

Loading...