รับขันธ์แล้วถ้าแต่ไม่ได้ไปประสิทธิขันธ์เลย ทำไงดีแนะนำด้วยค่ะ

เราก้อคล้าย ๆ คุณง้วนดิน คือมีคนทักว่ามีเทพคุ้มครองอยู่เขาว่าเรามีองค์ให้รับขันธ์ เพราะจิตเราเปิดแล้วอันตรายกลัวอย่างอื่นแทรกที่ไม่ใช่เทพเราก็รีบรับเลยเพราะกลัว คือคนที่ทักคนนี้เขาเป็นศิษย์ของอาจารย์คนนี้อีกที อาจารย์ท่านก็ดีนะค่ะท่านก็งงๆ แสดงว่าที่จริงเราไม่มีองค์หรอกเราว่าแต่ท่านคงกลัวศิษย์เสียหน้าก็เลยรับเป็นครู เราก็เลยรับขันธ์ต้องเอามาไว้ที่ห้องพระ

ฝากถามท่านผู้รู้ที
ว่า ถ้าเราอยากเอาขันที่เค้าเรียก "ขันครู" นี้ไปทิ้ง
ทำได้มั้ย (อยากทิ้งมาก อายเวลาที่มีเพื่อนมาที่ห้องพระแล้วมองเราประมาณเป็นเอามากนะเธอ)
และควรทำอย่างไรดีที่สุด

 

คือเหมือนกับมัดมือชกอาจารย์เหมือนกันเพราะเตรียมทุกอย่างไปเลยคนที่ทักเราจัดการให้ แล้วเขามีงานใหญ่กันด้วยคนก็มาก อาจารย์ท่านเลยไม่ได้นั่งสมาธิท่านบอกว่าเดี๋ยวท่านว่างเสร็จงานก่อนท่านจะดูให้ว่าเป็นองค์ใดเพราะงานอย่างนี้ท่านเหนื่อยมากคนมาเยอะไม่สดวก แต่เห็นน่าจะเป็นเชื้อกษัตย์ เราก็อธิฐานตลอดเลยเราไม่เป็นร่างทรงนะ เราขอ คิดอยู่ในใจตลอด แต่ตอนนี้ก็ยกขันธ์ครูไปก่อน แล้ววันหลังอาจารย์ก็โทรมาบอกเราว่าเป็นประมาณพระเจ้าตาก พระนเรศวร พระสุพรรณกัลยา ให้หารูปมาไว้เคารพพร้อมกับขันธ์ครูปีหน้าค่อยเอารูปไปเข้าพิธี แต่ท่านคุ้มครองเฉยๆไม่ได้ให้เป็นร่างทรงเราโล่งใจแบบสุดๆ แต่ก็เหมือนที่บอกครั้งที่แล้วอายเรื่องขันครูมากกว่าแต่กับอาจารย์เราว่าท่านดีเราก็นับถือแต่ไม่อยากมีพิธีอย่างนี้มันกล่ำกึ่ง เราก็ลำบากใจ แต่ อย่างพระเจ้าตาก ฯ เราก็นับถือว่าท่านทุกองมีบุณคุณกับแผ่นดินอยู่แล้ว เราคิดว่าอยู่ที่ใจแต่ควรทำอย่างไรดีที่สุดแนะนำด้วย

 

เป็นเหมือนกันค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด ช่วงนั้นเครียดมาก แล้วได้ยินเสียงเสด็จพ่อ ร. ๕ ท่านมาโปรด ออกจากวัดมีคืนหนึ่งตื่นมากลางดึก ได้ยินเสียงม้าเหาะแหวกอากาศมาหยุดที่ห้องนอนด้านนอก และมีแสงส่องเข้ามาในห้อง ต่อมามีพี่คนหนึ่งที่ฝึกมโนมยิทธิซึ่งเจอกันโดยบังเอิญ แนะนำให้รับขันธ์ท่าน ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีพี่คนหนึ่งแนะนำให้รับขันธ์ท่านเหมือนกัน ก็ทำพิธีรับขันธ์กับพี่คนหลัง ก็มีรูปท่าน พานใส่ดอกไม้ บรั่นดี ซิก้าร์ อยู่ไป ๆ ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง มีพี่คนหนึ่งบอกเราว่ามีฤาษีเคราขาวยาว ๆ บอกว่าให้เราถอนขันธ์ เพราะจะปฏิบัติไปติดอยู่ชั้นเทพ เค้าบอกว่าเห็นหมอกขาว ๆ คลุมเรา ก็ถอนขันธ์โดยจุดธูป ๑๖ ดอกบอกต่อฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ว่าขอถอนขันธ์แล้วปักลงดิน ตอนนี้เริ่มอยากมากขึ้น อยากเป็นพุทธภูมิ ก็เป็นประสบการณ์เล่าให้ฟังในวิธีถอนขันธ์วิธีหนึ่งค่ะ

 

คุณ หนูน้อย
หลังจากที่ถอนขันธ์แล้วเป็นไงบ้างละคะ มีอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า แล้วถอนง่าย ๆ เลยหรอ..รอคำตอบอยู่นะคะ

 

คุณ oill คะ ขอโทษด้วยนะคะเพิ่งได้เข้ามาอ่าน ทราบมาว่าทุกอย่างอยู่ที่จิต หลังจากที่ปักธูปแล้ว ก็ใช้ชีวิตตามปกติมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ มีปฏิบัติธรรมเป็นระยะ ๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกไป ก็เจอทุกข์สุขตามกรรมของตน และเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ตามการปฏิบัติธรรมช่วงนั้น เช่น ถอดจิตได้โดยบังเอิญ เหมือนมีญาณรู้บางอย่างที่อยากรู้ แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ค่ะ คาดว่าคงมาจากการไม่สม่ำเสมอของการปฏิบัติสมาธิภาวนามากกว่า

 

ผมก็เคยรับ"ขัน"
แต่เป็น"ขันน้ำ"
เพราะผมนับถือศรัทธาพุทธสายอรัญวาสีหรือพระป่า
จึงไม่ต้องมีขันธ์อะไรทั้งสิ้น
ส่วนพวกที่นับถืออิสลาม คริต ฮินดูฯลฯ เหล่านี้ก็คงมีความเชื่อที่แตกต่างกันไปไม่ขอวิจารณ์

 

การรับขันธ์ จริงๆแล้วเราต้องรู้เหตุผลก่อนค่ะ ว่าขันธ์ที่เรารับหมายถึงอะไรก่อน การรับขันธ์นั้นจริงๆแล้วหมายถึงการบูชาขันธ์ตัวเรานั้นเอง ขันธ์ห้าคือ ถือ ศีลห้า ขันธ์แปด ขันธ์เก้า ขันธ์สิบหก แล้วทำไมต้องบูชา ก็เนื่องมาจากคนที่มีองค์เทพมาคุ้มครองนั้น บางคนไม่อาจถือศีลให้ได้ครบถ้วน ทำให้องค์เทพท่านที่มีอยู่กับตัวเรานั้นก็ผิดศีลไปด้วย เค้าจึงต้องมีขันธ์มารองรับ เวลาเราบูชา เราให้ขันธ์นั้นเป็นตัวแทนเรา ศีลที่มีในขันธ์นั้นไม่ด่างพร้อย เทพท่านได้รับบุญร่วมกับเราได้เต็มที่ แต่การรับเจ้าสำนักต่างๆไม่รู้จริง ทำให้การรับเป็นธุรกิจไปหมด คนให้ก็ไม่รู้ คนรับก็ไม่รู้ เอามาอ้างเพื่อเก็บเงินแพงๆ แล้วเวลาทำขันธ์ก็ทำมาผิดๆ ขันธ์จริงๆ มนุษย์อย่างเราๆรับได้แค่ขันธ์ 5 ขันธ์แปดเต็มที่ เพราะขันธ์แปดก็คือศีลแปด แต่เหนือกว่านั้นมันเป็นไปได้ยาก รูปแบบของขันธ์ก็ทำเป็นใบตอง ในเมื่อขันธ์นั้นเป็นตัวแทนเราเมื่อใบตองเหี่ยวตัวของเราก็ย่อมมีโรคภัย เจ็บป่วย ส่วนการเสริมนั้นต้องทำทุกๆปีเพราะเป็นการเสริมบารมีเรา การเสียเงินแพงๆย่อมไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ควรไปเสียเงิน เมื่อรับแล้วไม่จำเป็นต้องทรงทุกคนไป บางคนอาจทำเพื่อที่ให้ท่านมาช่วยคุ้มครอง ช่วยค้าขายก็ได้ การเอาท่านไปจำเริญลงน้ำนั้นก็ควรระวัง ถามผู้รู้ก่อนจะทำจะดีไม่ควรทำโดยพลการ ที่แนะนำไม่ได้เพื่อการงมงายนะคะ เพราะว่าคนที่มีองค์คุ้มครองนั้นควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นแนวทาง เพราะจริงๆแล้วทางที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น เพื่อนิพพาน แต่ในกรณีที่บางคนอาจจะมีติดสัญญาที่ให้ไว้กับเทพพระองค์ใดก็ตามก็อาจจะต้องช่วยท่านไปก่อนในการบำเพ็ญบารมี อันนี้ก็ต้องเข้าใจว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องช่วยท่าน ซึ่งแม่เราอยากจะหนีจากท่านนั้นมันไม่ง่ายเหมือนพูด เพราะฉะนั้นตกลงกันดีกว่าว่าทำได้แค่ไหนเพราะที่เห็นมาถ้าท่านเป็นของจริงแล้ว ท่านจะนับถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นที่สุดที่ควรคารวะ ยกไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า

 

คุณสันโดษ

ผู้หยั่งรู้จิตเอกภพ ช่วยชี้แจงในเรื่องประเด็นนี้หน่อย ถือว่าสร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ผู้ไม่รู้ด้วย

 

ถึง จขกท.

เพื่อความสบายใจของท่าน ก็ให้ถือเสียว่าเป็นการครอบครู ก็แล้วกัน โดยมีใจความดังนี้

การครอบครูนิยมใช้เศียรพระฤาษีมาครอบ แต่นัยของพระพุทธศาสนาให้ย้อนรำรึกถึงบารมีของบรมครู บารมีพระฤาษี ตั้งแต่พระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งพระองค์ทรงบำเพ็ญตบะเป็นพระฤาษีก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้บรรลุโพธิญาน รวมทั้งบารมีของพระอาจาร์ยสองท่าน ทั้งพระอาฬารดาบส และอุคหดาบส บารมีของปัญจวัคคีทั้ง ๕ บารมีของพ่อเฒ่า พ่อแก่ ฤาษี อีกทั้งครูผู้บำเพ็ญตบะทั่วทุกสารทิศทุกนิกาย จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่นพระฤาษีตาไฟ ฤาษีวิไลโกฎ ถือเป็นการเชิญบารมีสูงสุดมาคุ้มครองครอบครอง แก้ไข ขันธ์ ๕ ของเราให้ดีขึ้น จึงเป็นพิธีที่มีทั้งศักยภาพ และมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วย สามารถตัดกรรมลงไปได้มาก ที่สำคัญหากเราครอบครูอย่างมีตัวรู้ มีปัญญา นั่นคือมีธรรมารมณ์ในขณะครอบครู การครอบครูนั้นจะยิ่งก่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างมาก เรียกว่าเราต้องมีกิจกรรมของชีวิตต้องประกอบด้วย กิจกรรมของหน้าที่ และกิจกรรมของกรรมเก่า ทุกอย่างจึงสมดุล ปัญหาทางวิบากกรรมก็จะลดลง

เพราะฉะนั้น จะรับกี่ขัน ร้อยขัน พันขัน รับมาแล้วไม่ว่ากัน ทำใจให้สบาย และให้ถือเสียว่าเป็นบรมครูให้หมด และขอพรประทานพลังบารมีเพื่อจุดประกายแสงสว่างแห่งปัญญา และขอปกปักษ์รักษาเรา แค่นี้ก้เพียงพอแล้ว

แต่สิ่งสำคัญหรืออื่นใด เจ้าตัวต้องมั่นทำทาน ศีล ภาวนา ด้วยหลักการของไตรสิขา อย่าน้อยที่สุดสิ่งเหล่านี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้ฝักใฝ่คุณธรรมไม่ใช่หรือ

 

การรับขันธ์เป็นเรื่องที่ ไม่จำเป็น สำหรับ คนที่ศึกษาพระธรรม

จะมี ญาณหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่งโดยไม่จำเป็นต้องมี การรับขันธ์ และ เปิดพระโอษฐ์ใดๆทั้งสิ้น

การดูกาย และ ดูจิต ก็เพียง พอที่จะรู้เเล้วว่า จิตต้องการ สื่อสารกับตัวเรา

เมื่อท่านป่วย หาทางรักษาไม่ได้ จึงมี กุศโลบายให้ ทำกรรมฐานบ้าง นั่งสมาธิบ้าง

เพื่อให้ จิตและกาย ประสานรวมกันเป็น หนึ่ง เมื่อจิตท่านไม่นิ่ง

จิตท่านเเตก ท่านย่อม รู้ว่า จิตท่านผิดปกติ เเต่ โดยปกติ มนุษย์ไม่สังเกตุ

ว่าตนเอง ส่งจิตออกนอกหรือ คิดมากเรื่องใด ท้ายที่สุด จึง ทำให้จิตของเรา เเย่ลง

การรับขันธ์ไม่จำเป็น ร่างทรงไม่มีการแฝง เเต่ มีการรวมสร้างบารมีเมื่อ จิตท่านเป็นหนึ่งกับกาย

อาการต่างๆจะหายไป เเละ ท่านจะมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง

ดูจิตให้ดีว่า ทุกข์เรื่องอะไร และออกมาให้ได้

ดูจิตให้รู้ ไปฝากไว้ที่ใครเเล้วเอากลับมาอยู่กับปัจจุบันเเล้วจิตจะเป็นปกติ

เมื่อ จิตนิ่ง สติสัมปชัญญะ ย่อมบริบูรณ์ ตามกระเเสเเห่ง ความเป็น มนุษย์

ที่ปราถนาเพื่อที่จะดำรงขันธ์ กลับคืนสู่ที่ที่เรา จากมา คือ นิพพาน

 

..ผมเห็นด้วยกับคุณโฉมฉายครับ

 

คิดว่าเรื่องแบบนี้แล้วแต่คนจะคิดนะ ส่วนตัวดิฉันเองก็รับขันธ์ ถ้าถามว่ารับแล้วดีไหม ดิฉันคิดว่า ดี แต่ดีในเรื่องการปฏิบัติของตัวเราเอง คือเราจะนั่งสมาธิ สวดมนต์ รักษาศีล มากขึ้นจนกลายเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ และผลจากสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ดิฉันมีสติมากขึ้น ใจเย็นลงเยอะ คือว่าไม่ได้ดีขึ้นในด้านฐานะเงินทองนะ ถ้าคนที่รับขันธ์คิดว่าถ้ารับแล้วคุณจะรวยขึ้น ก็แสดงว่าคุณคิดผิดตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ อย่าลืมนะคะว่าถ้าคุณติดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็จะผิดไปจนหมด

 

คล้ายๆ กับว่าเรารับขันธ์เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ รับมาเป็นครู ในการปฏิบัติธรรม มาสร้างบารมีในทางธรรม จะสบายใจกว่า แต่ดิฉันไม่ได้เป็นร่างทรงนะ บางเรื่องรู้แต่ไม่สมควรจะพูด บางเรื่องพูดมากไปก็ไม่ดี และการเปิดตำหนัก (บางตำหนัก) เพื่อช่วยเหลือคนและเรียกเงินเรียกทองมากจนเกินไป ก็คงไม่ใช่ความประสงค์ของครูบาอาจารย์ (องค์เทพ องค์นอก-องค์ใน คือว่าดิฉันจะเรียกองค์เทพว่าครูค่ะ)

 

ส่วนเรื่องที่ว่าคุณควรจะรับขันธ์รึไม่ ถ้ารับมาแล้วอยากทิ้ง อยากถอนขันธ์ จะทำได้รึไม่ ถ้าทำแล้วจะดีไหม ตัวคุณเองนั่นแหล่ะ จะให้คำตอบตัวเองได้ดีที่สุด ถามใจตัวเอง ถามสิ่งที่อยู่ลึกๆ ในตัวคุณ ในใจคุณ แล้วจะได้คำตอบ

 

ถ้าคุณหมั่นทำบุญตักบาตรถือศีล 5 เป็นปรกติ ต่อไประดับของคุณอย่างน้อยก็เทพชั้นดาวดึงส์แล้ว เหนือกว่าพวกที่แบกขันธ์เหล่านั้นเยอะ สละสิ่งเล็กเพื่อสิ่งใหญ่ ละสิ่งไม่เป็นสาระมาถือสิ่งที่เป็นสาระอย่างพระรัตนตรัย น่าจะดีกว่าไหม

 

ฝึกวิชชาธรรมกาย(สายวัดปากน้ำนะครับ) พิศดารธาตุธรรมครับ

นี่คือคำตอบ...

สาธุๆๆ สัมมาอรหัง

 

ก๊ากๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรับเลยเพราะที่บ้านใช้ฝักบัวตลอด

 

chalermsat;377423]การรับขันธ์ครูหรือรับองค์เทพนั้น มีแนวทางดังนี้
1.เราจะต้องรู้รายละเอียดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร?
2.มีเทพองค์ไหน?อยู่กับตัวเรา
3.สื่อสารทางสมาธิจิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าต้องการอะไร?
4.จะให้เราปฏิบัติตัวอย่างไร?ขันธ์ครูทำถูกต้องหรือไม่?
5.จะให้รับขันธ์ครูหรือไม่?ที่ไหน?ใครจะเป็นผู้ทำให้?
6.เมื่อมีการตรวจสอบองค์เทพและสื่อสารทางสมาธิจิตแล้วจึงจะให้คำแนะนำได้ถูกต้องด้วยเหตุผลหลายๆประการเมื่อเรานับถือพุทธศาสนา แล้วทำไมยังมีสิ่งเหล่านี้ ปัญหาที่ว่าเมื่อรับขันธ์มาแล้วจะเลิกรับขันธ์จะทิ้งลอยน้ำไป เรามีเหตุผลอะไร? ตรวจสอบก่อนทำอะไรลงไปดีกว่าไหม?
วิธีการตรวจสอบของผมคือตรวจดูทางสมาธิจิต ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร?มีเทพหรือไม่?ถ้ามีอยู่สายไหน?ท่านมีความต้องการอะไร?จะให้เราปฏิบัติตัวอย่างไร?พูดคุยกันก่อนจะดีที่สุด ก่อนที่ทำลงไปแล้วเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเราเอง ถึงตอนนั้นอาจจะแก้ไขยากขึ้น ท่านใดสนใจต้องการแก้ปัญหาติดต่อมาที่
เฉลิมษัตริย์ วชิรโกมล
มือถือ:08-1820-3760
เรามาร่วมกันหาทางออกสำหรับชีวิตที่เหมาะสม โดยไม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะผมมีประสพการณ์ทางด้านนี้มาตั้งแต่ปีพศ.2519จึงให้คำแนะนำมา ณ ที่นี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน...ขอขอบคุณ

 

ผมอยากทราบว่า ตัวผมเองผมไปรับขันธ์มาแล้ว ในเดือน สิงหาคม แต่ ทำจากใบตองจึงแห้งผมมีความรู้สึกว่าผมอยากเปลี่ยนขันธ์หรือเจริญขันธืใหม่เพื่อให้สวยงามเหมือนเดิมหรือ สวยงามตลอดเวลาต้องทำอย่างไรบ้างครับ(เปลี่ยนเป็นขันธ์ที่ทำจากผ้าได้ไหมหรือวัสดุที่ไม่แห้งนะครับ) รบกวนผู้รู้ช่วยผมตอบที(ผมขอขั้นตอนเอาแบบระเอียด เลยนะครับ) ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ