เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ผมชักสนุกแล้วซิ ผมไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้วครับคุณเสือเผ่นป่าราบครับ

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มีนาคม 2007
  2. เสือเผ่นป่าราบ

    เสือเผ่นป่าราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +1,493
    คุณดอกบัวเหล่าที่ 5

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2007
  3. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    ดูจิตให้แจ้ง ขุดรากเหง้ากิเลสให้หมด
    ธรรมนั้น ไม่ใช่จิตปรุงขึ้น
    แต่เกิดจากจิตเห็นตามจริงนั้น



    หัวโขนแบกไว้ก็หนัก วางลงก็เบาสบาย...
     
  4. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    ศรัทธา คือ พละ
    ปัญญา ก็คือ พละ

    ศรัทธา
    วิริยะ
    ปัญญา
    สติ
    สมาธิ

    อะไรอ่อนก็เพิ่มให้สมดุล
    ศรัทธามาก ขาดสติ ส่งผลให้ ปัญญาบิดเบี้ยวได้...
     
  5. pissi03@yahoo.com

    pissi03@yahoo.com สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    คุณNONG-MUSIC ครับ หากสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ใหญ่พระเทพโลกอุดร เข้าไปรับรู้จากคณะศิษย์ของท่านได้ที่http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22445
     
  6. dsi

    dsi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +42
    มานั่งเถียงคุณ rawiphan กันทำไมเนี่ย เค้าก็บอกอยู่แล้วว่าเค้าเป็นใครตั้งแต่ต้นกระทู้ของเขาแล้ว มาหลังๆเขาก็เลยพูดแบบให้คนคิดได้ว่าตัวเองเป็นใคร เชื่อว่าหลายคนดูออก(ดูให้ดีคุณอัญญาสิทธิ์ในสายตาคุณ rawiphan ก็คือ ลูกศิษย์ของเขา ที่เขามาเถียงกับคุณเสือเผ่นก็เพื่อปกป้องลูกศิษย์(ผู้ศรัทธาพระศรีฯ)ไง ) ขอติงว่าธรรมะเราควรเขียนจากความรู้สึกในจิตใจ แต่ถ้ายังเขียนถูกเขียนผิดเป็นปกติ เวลายกข้อธรรมะมาเหมือนหนังสือไม่ผิดสักตัวนี่เขาเรียกว่า copy มาทั้งดุ้น ดูไปดูมาเหมือนปล่อยไก่อีก อายคนอื่นเขาบ้างไหมเนี่ย มันไม่ได้มีพลังอะไรเลยสักนิด และคิดว่าไม่ได้เกิดจากปัญญาที่แตกฉานของคนระดับพระมหาโพธิสัตว์หรอก ถ้าใครจะปรามาสคุณเรื่องนี้เราถือเป็นการปกป้องศาสนาด้วยซ้ำนะ ใครอยากเถียงกันอีกก็เอานะ ไหนๆก็เข้าเนตเสียเวลามาแล้ว เอาเวลาไปโหลดธรรมะดีๆมานั่งพิจารณากันดีกว่า คำพูดนี้ไปสะเทือนใครก็ขออภัยด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A4579631-2.gif
      A4579631-2.gif
      ขนาดไฟล์:
      10.2 KB
      เปิดดู:
      564
  7. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    คุณ ระพิพันธ์
    คำว่าเด็กน้อยไร้เดียงสา ใช้ไม่ได้ซะแล้ว ต้องใช้คำว่าเด็กน้อยแกล้งเสแสร้งซะแล้ว เด็กน้อยเขาออกมาจากท้องมารดา เขาก็ต้องร้องไห้เป็นธรรมชาติของเด็ก เขาจะแสบตัวเวลาออกมาโดนอากาศเหมือนกับหนังกำพร้าของเราโดนลอกออกมันก็แสบฉันใด เด็กน้อยเขามีความรู้สึกสัมผัส แต่จิตเขายังไม่ปรุงแต่ง ถ้าคิดว่าเด็กน้อยเสแสร้ง ก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าเป็นคนเสแสร้งมาตั้งแต่เกิด
    เด็กน้อยเขาก็มีความรู้สึกต่างหาก รู้สึกรับ รู้ความทุกข์ที่เกิด เพราะเกิดออกจากท้องมารดามาตัวทุกข์ก็เกิดขึ้นมาตามตัว ตัวทุกข์และสุขนี้จะติดตามตัวคุณไปเองจนตาย
     
  8. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    481
    ค่าพลัง:
    +1,413
    แสงไฟส่องจากใจกลางใล่ความมืดมนจากภายนอกฉันใด
    ปัญญาย่อมสว่างได้จาก "ภายใน" ได้ด้วยเหตุฉันนั้น


    อย่าส่งจิตออกนอก ให้ส่องดูในจิต...
     
  9. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    สมมติถ้าผมคิดว่าตัวเองเป็นพระศรีอาริย์จริง ผมก็คงไม่คิดว่าพวกคุณอัญญาสิทธ์ และ อัญญาธรรม ทั้งหลายเป็นลูกศิษย์หรอกครับ เพราะ เหล่าผู้ที่ร่วมงานสานต่ออายุพระศาสนา ล้วนแต่ลงมาช่วยงานสานต่ออายุพระศาสนา ด้วยความเต็มใจ มิใช่ถูกบังคับให้มาทำ และพวกเค้าต้องลงมาทำงานหนักมาก เพื่อเตรียมการไว้ก่อนที่จะถึงเวลา...... ดูๆ ไปแล้ว บทบาทของพวกเค้าเหล่านี้ มีส่วนช่วยพระพุทธศาสนาได้มากกว่าการขึ้นข้อความบนหน้าเวปอย่างเดียวเสียอีก และ พวกเขาเหล่านี้ส่วนมาก ล้วนแล้วแต่ปราถนาพุทธภูมิมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ตัวของผมเองซึงก็ยังมีความอยาก และ พยายาม ในการที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้น เพื่อเหตุผลนานับประการ ซึ่งไม่อาจจะขยายความได้ในตอนนี้ เพราะขี้เกียจพิม ขี้เกียจคิด เอาสั้นๆ ได้ใจความก็คือ เพื่อความสุขสูงสุดของทุกคน
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    และผมก็ไม่คิดว่าตัวผมเองนั้นเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์ หรอกครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาแย่งกับคุณ rawiphan ผมแค่อยากให้คุณลองทำงานศาสนา เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์ก่อน และผมเองก็ไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆ ด้วยสิ ยิ่งความเป็นจริงในสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้วคุณจะไม่ลองพิสูจน์ตัวเอง ตามเงื่อนไขที่คนอื่นยอมรับดูหน่อยหรือครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    บัลลังก์พระศรีอาริย์น่ะ ไม่ได้นั่งอย่างสุขสบายหรอกนะครับ<o:p></o:p>
     
  10. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ผมขอยอยก"พระพุทธศาสนา"ครับ ผมไม่ขอยอยก"ศาสนาพระศรีอารย์" แต่หลังจากที่พระศรีอาริยเมตตรัยตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และถ้าศาสนานั้นเสื่อมถอย ผมก็ขอยอยก"พระพุทธศาสนา"อีกครับ และขอยอยก"พระพุทธศาสนา"ตลอดไป
     
  11. baodang

    baodang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +205
    ตามมาอ่านครับ
     
  12. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ Moddang

    เรื่องของพระ 3 รูปนั้น ก็รับรู้เท่าที่บอกไปก็แล้วกันครับ บางอย่างครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ต้องการให้เปิดเผย สำหรับผู้ที่เขาสัมผัสได้ด้วยตนเองก็จะหาคำตอบได้ง่ายขึ้นครับ

    ในระยะนี้หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านลงมาโลกมนุษย์บ่อยมากเพราะท่านมีภาระเกี่ยวกับการนำพาคณะฯในการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์และพระธาตุเจดีย์ แต่ผู้ที่รู้ว่าหลวงปู่ท่านลงมาทำงานนี้นั้นก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นพระปฏิบัติระดับสูงเท่านั้นที่จะรู้เรื่องการทำบารมีของหลวงปู่ และผู้ที่รู้ท่านก็จะปิดเงียบกันหมดครับ


    คุณ nong_music

    การที่จะเข้าถึงหรือเข้าใจเรื่องของหลวงปู่โลกอุดรได้นั้น ต้องปฏิบัติเอาเองครับ ต้องปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกควบคู่กันไป บุคคลใดที่สร้างบารมีร่วมกันมากับหลวงปู่ก็ย่อมได้มีโอกาสพบท่าน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ครับ

    สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาแต่ไม่ได้สร้างบารมีร่วมกันมากับท่านก็ยากที่จะได้พบเจอท่าน บางครั้งแม้ว่าหลวงปู่อยู่ต่อหน้าก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2007
  13. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    (คำตอบข้างบนถูกแก้ไข เปลี่ยนใหม่หมด แต่ผมจะไม่ลบข้อความนี้ของผม ต่อไปจะต้องก็อปคำตอบมาอ้างอิง เพราะชอบแก้ตัว กับคำพูดที่ตัวเองที่พูดออกมา)
    สรุปแล้วหลวงปู่เณรคำน้อยไม่ตอบ แต่กลุ่มคุณสรุปเอาเองใช่ไหมครับ เข้าใจตรงกันเอาเอง
    ผมนึกว่ารู้จริง รอตั้งนานกว่าจะตอบ เพราะเห็นพระสามรูปก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกเห็นว่าเป็นใคร
    แต่กลับไปถามหลวงปู่เณรคำน้อยทำไม ในเมื่อคุณรู้ว่าเป็นใคร

    สำหรับผู้ที่มีความศรัทธาแต่ไม่ได้สร้างบารมีร่วมกันมากับท่านก็ยากที่จะได้พบเจอท่าน บางครั้งแม้ว่าหลวงปู่อยู่ต่อหน้าก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  14. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    หลวงปู่ใหญ่ท่านแนะนำเสมอว่า เมื่อบุคคลใดทำการสร้างบารมีอย่างยิ่งยวดแล้วเท่านั้น ท่านถึงจะปรากฏกายให้เห็น ท่านยังมีชีวิตอยู่ สำหรับผู้ที่มีศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนาและในหลวงปู่ท่านเท่านั้น ท่านจึงจะมาให้พบได้เป็นครั้งคราวไปแล้วแต่โอกาสและเวลาที่เหมาะสม

    สิ่งที่หลวงปู่สอนเสมอๆคือ ฝึกตนให้เป็นที่พึ่งตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เป็นอิสระจากคำโฆษณาต่างๆ จากการบอกเล่าต่างๆ จากตำราต่างๆ จากครูอาจารย์ ให้รู้เห็นด้วยจิตตนอันเกิดจากการปฏิบัติทางจิตเท่านั้น

    ทุกคนในขอบเขตพระพุทธศาสนานี้มีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ท่าน ถ้าแต่ละท่านต่างขวนขวายสร้างบารมี สร้างบุญกุศลอย่างยิ่งยวดและบริสุทธิ์แล้ว ท่านจะปรากฏให้พบเองโดยไม่ต้องทำอะไรมากมาย ไม่ต้องสวดมนต์มากมาย ไม่ต้องมีพิธีการมากมาย หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ที่เรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไร ท่านเคยบอกว่า "ท่านไม่ใช่พระมหากัสสปะ ท่านไม่ใช่พระอุตตระเถระ ท่านไม่ใช่พระโสณะเถระ ท่านไม่ใช่พระปิณฑปาโลชะ หรือหลายๆท่านที่เข้าใจกันมา
    ตลอด..."

    ถึงกาลเวลาท่านจะบอกให้ทราบเองว่าท่านเป็นใคร ขอให้ทุกคนเพียรสร้างบารมี สร้างกุศลท่านจะไปหาเองไม่ต้องสวดอ้อนวอน ไม่ต้องทำอะไรมากมาย

    ท่านปรารภเสมอๆว่า การสร้างบารมี...มันเพลิน สำหรับผู้ที่มีที่พึ่งในตนแล้ว... ผู้ที่ไม่มีที่พึ่งในตนแล้ว...ย่อมหวั่นไหวตามถ้อยคำคนอื่น และคำโฆษณา....

    ในเย็นวันที่ 2 มีนาคม และวันเททองหล่อพระเจ้า 5 พระองค์ ท่านก็อยู่ในสถานที่นั้นตลอดเวลา จนถึงตอนเย็นวันที่ 3 มีนาคม ท่านถึงกลับไป...ท่านดำริว่า...หลวงปู่อนุโมทนากับผู้ที่มาร่วมทำบุญทุกๆคน ท่านภาคภูมิใจมากๆที่ทุกๆคนในงานขวนขวายในการสร้างบารมีครั้งนี้....แล้วท่านก็เดินจากไป...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2007
  15. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    ถามคุณวิสุทธิเทพ กับAunyasit ครับ
    ผมก็ไปงานหล่อพระเหมือนกัน ยิ่งใหญ่มาก คนก็มาก ยินดีนะครับ

    แล้วเมื่อไหร่จะนำพระออกจากที่หล่อได้ครับ ต้องตกแต่งอีกนานหรือเปล่า หรือยังขาดค่าใช้จ่ายในการตกแต่งองค์พระทองเหลืองอีกครับ จะได้ช่วยกันบอกบุญ

    แล้วริมน้ำโขงบริเวณไหนครับที่จะนำพระใหญ่ทั้ง 5 ไปไว้
     
  16. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    หากมีปัญหาก็บอกได้ครับ เผื่อผู้อ่านหรือคนที่เคยร่วมทำบุญ จะได้ช่วยกันคิดแก้ไข
     
  17. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จิตประกายพฤกษ์

    [​IMG]
    ข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องนิโรธที่ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งสอนสานุศิษย์ให้หลวงปู่ทราบโดยละเอียด และเสริมว่า
     
  18. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จิตประกายพฤกษ์

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    เรียนรู้​
    </TD></TR><TR><TD>
    <CENTER>ความลี้ลับแห่งศิลป์ที่แท้จริงคือการทำตัวเป็นผู้เริ่มเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาเพราะในใจของผู้เริ่มเรียนรู้จะไม่มีความคิดที่ว่า "ฉันได้บรรลุบางอย่าง"เมื่อนั้นเราจึงสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้จริงๆต่อเมื่อเรารักษาความคิดข้างต้นไว้ ธรรมะก็จักคงอยู่[​IMG] </CENTER></PRE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>
     
  19. เสือเผ่นป่าราบ

    เสือเผ่นป่าราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +1,493
    ใครว่าช่วยกันหน่อยครับ

    ใครว่างช่วยจับไก่กันหน่อยครับ มีคนปล่อยไก่ ออกมาจิตที่บิดเบี้ยวอีกแล้วครับ

    แบบว่า..คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น
    แบบว่า..หลงว่าตัวเองบรรลุแล้ว
    แบบว่า..คิดว่าตัวเองหลุดพ้นแล้ว


    ขอคนที่มีความรู้จริงๆ มาช่วยกันโพสต์หน่อยนะครับ
    จะได้มีความรู้เกิดปัญญา บ้างครับ


    ตอนนี้อ่านแต่ข้อความที่ไปลอกใครมาก็ไม่รู้ แล้วเอามาติคนอื่นแบบผิดๆ คิดเข้าข้างตัวเองครับ

    (b-oneeye)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2007
  20. rawiphan

    rawiphan บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เราคือบุคคลอันเป็นที่พึ่งยามต้องการจะมาถึงช้า

    จักรวาลกลับเป็นศูนย์<O:p</O:p
    บรรพชิต และ ฆารวาสบุคคลใดยึดพระบริยัติ เป็นครูเป็นอาจารย์จะไม่มีบรรพชิตอุบาสกอุบาสิกาสำเร็จเป็นพระอรหันต์<O:p</O:p
    บรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา ถือตนเป็นครูเป็นอาจารย์วางพระปริยัตให้เบาบางจนหมดจากสัญญาให้มากที่สุด บรรพชิต และ ฆารวาสก็จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์<O:p</O:p
    ออกบวชได้ ๗ วัน ในวันสำคัญทางพระศาสนาเป็นวันมาฆบูชาวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่วัดวังชมพู จังหวัด เพชรบูรณ์โดยมีหลวงตามหาบัววัดป่าบ้านตาดหลวงปู่ท่อนวัดป่าศรีอภัยวัน หลวงปู่บุญเพ็งวัดถ้ำกลองเพลหลวงปู่จันทาวัดป่าเขาน้อยหลวงปู่เหรียญวัดอรัญญบรรพตมาแสดงธรรมอบรมกรรมฐานตลอดถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รุ่งขึ้นวันใหม่ ภายในโบสถ์โดยมีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มาร่วมในการแสดงพระปาฎิโมกข์พระกฤษฎาได้แสดงอาบัติและระลึกถึงนิมิตก่อนรุ่งอรุณ ที่เทวดาเต็มท้องฟ้ามาร้องรำดีดสีตีเป่าเครื่องดนตรี โปรยข้าวตอกดอกไม้ แสดงความดีใจ ก็ยิ่งทำให้พระกฤษฎาสุขใจ นึกอยู่ในใจว่าเราควรทำจิตให้ผ่องใสและเจริญพระกรรมฐาน วิปัสสนาดูลมหายใจเข้าออกอันธรรมดา คนที่ยังไม่เคยมองดูจิตของตัวเอง ไม่เคยฝึกฝน ขัดเกลารูปลักษณ์ เปรียบเหมือนกลุ่มดวงดาวที่กระจายอยู่ในห้วงจักรวาลนักปฏิบัติธรรมจะต้องรวบรวม จิตที่แตกกระจายอยู่รอบ ๆ ตัวของเรา ให้รวมเป็นจิตหนึ่งพระกฤษฎาก็เป็นนักปฏิบัติธรรมตามทฤษฎีธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยการกำหนดรู้ดูเวทนาทางกายต่อเนื่องด้วยเวทนาในจิตพระกฤษฎาจับดูอาการที่เวทนาในกายแสดงตัวเดียวเจ็บเดียวปวดเดียวปวดแสบปวดร้อนและก็เฉย ๆ ผู้รู้พูดจาโต้ตอบในความคิดกับพระกฤษฎา ว่ากำหนดรู้ดูเวทนาในจิตยิ่งกำหนดรู้ทุกข์ก็ยิ่งแสดงตัวความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ เวทนาเพิ่มขึ้น ยิ่งอยากให้หายเจ็บหายปวดหายเมื่อยเท่าไรกับกายเป็นความร้อนที่ร้อนสูงขึ้น จนร่างที่นั่งพับเพียบของพระกฤษฎา สั่นสะท้านไปด้วยทุกข์ขเวทนา ราวกับกระดูกจะแยกชีกออกจากเนื้อ กระดูกถูกบด ร่างนั่งอยู่ในกองไฟ พระกฤษฎายังคงนั่งลืมตาดูทุกข์หูฟังเสียงพระสงฆ์แสดงพระปาฏิโมกข์ ใกล้จะจบลง มารในจิตท้าทายด่าว่าพระรูปนี้ชั่งโง่น่าสงสารมานั่งดูสิ่งไม่มีสาระ มารในจิตพยายามอ้อนว้อน ให้เลิกปฏิบัติวิปัสสนาและขู่ด้วยกริยาของคนถ่อยว่านั่งให้ตายนั่งทั้งวันท่านก็ไมทางตรัสรู้หรอก พระกฤษฎายอมหักไม่ยอมงอ ตามมารจิตกลับดุด่ามารว่าเจ้าซิตัวไร้สาระใช้การอะไรไม่ได้เลย และพระกฤษฎาก็รวบรวมความกล้าอธิษฐานเอาบารมีความเพียรแบบสู้ตาย หากแม้ว่าพระปาฏิโมกข์ยังไม่แสดงจบลง เราพระกฤษฎาจะไม่สับเปลี่ยนอริยาบถถ้าเปลี่ยนอริยบถขอให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิดกันเลย ๑ ช.ม. กว่า พระยังคงส่งกระแสจิตไปตามทำนองพระปาฏิโมกข์ ในอาการสำรวม แต่กำหนดรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคลเขาเราเกิดขึ้นอยู่ตั้งอยู่ดับไป อนุโลมกลับไปกลับมา อยู่ ๆ จิตที่แสดงตัวว่าร้อนรุ่มวุ่นวายก็สงบตัวลงความร้อนในจิตใจ กลับกลายเป็นความเย็นที่ลดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มพระกฤษฎา เกิดสงสารคนไปทั้งโลกอยากให้เค้ามาเห็นทางพ้นทุกข์อย่างเรา บริเวณปริมณฑลนั้นมีละอองธรรมที่ตกกระทบกายแต่ไม่เปียกและเกิดพลังจากภายนอก พลังมหาศาลดึงจิตให้หลุดออกจากร่างกาย พ้นจากแรงดึงดูดของโลกเกิดรังสีแสงทิพย์สีขาว สว่างทลุขึ้นไปทุกชั้นฟ้า ที่สุดถึงพรหม และพระนิพพาน จิตพูดว่าจิตวิมุตติแล้ว จิตวิมุตติแล้ว (จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว จิตหลุดพ้นแล้ว ) รูปลักษณ์ภาพที่ปรากฎฉายอยู่ตรงหน้าพระกฤษฎา คือพระพุทธสมณะโคดมผู้ไปดีแล้วนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวทิพย์ พร้อมกับทรงยิ้ม และทรงตรัสธรรมจิตที่บริสุทธิ์ว่าพระพุทธเจ้า....พระธรรม...พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้ว...... อีกคุณบิดามารดา.....ถ้าใครให้เราสึกเรายอมตาย พระกฤษฎาเข้าใจในเวลานี้เองว่า อยู่ด้วยกันมากรูปก็เท่ากับอยู่รูปเดียว อาคารสิ่งก่อสร้างไม่ปรากฏรูปลักษณ์ รูปเรารูปเค้าไม่มีตัวตนอยู่จริง ดวงจิตบริสุทธิ์ลอยเด่นกลางจันทร์เพ็ญ สมจริงที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เมื่อธรรมได้เกิดขึ้นแล้วกับพระกฤษฎาก็บรรลุพระโสดาบัน อนาคามี อรหันตผล มีศีลอันสงบแล้วมีพุทธคุณอันแผ่ซ่าน มีนามพุทธะคุณว่า พระพุทธศรีอริยเมตไตรอันข้าพเจ้าได้มาตรัสรู้แล้วในภัททกัปป์ ทรงพระสัพพัญญูพุทธเจ้าไว้ ๕ พระองค์ นับแต่ออกก้าวเดินก็ล้มลุกคุกคานมาตลอด ค้นคว้าหาแนวทางตรัสรู้ใหม่ เดิมทีเกิดในสกุลฆราวาสธรรมดาตระกูล กองทรง รู้เห็นเรื่องราวพระพุทธประวัติ เกิดเลื่อมใสคิดตามเรียนแบบพระองค์ ทิ้งการเรียน ทิ้งครอบครัวพ่อแม่ ออกบวชหวังสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรเมื่อตรัสรู้แจ้งแล้วก็รู้ว่าประเพณีวัฒนธรรม ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งก็ใช้ได้ในยุคนั้นจะนำมาใช้หรือลอกเลียนแบบทั้งหมดไม่เกิดประโยชน์เสียเวลาตายทิ้งเสียเปล่า คำว่าพระไม่ได้มีแค่ผู้นุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้นสกุลชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระได้ พระเป็นที่จิต จิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้น ผ้าเหลืองป็นเพียงแค่สัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นนักบวชลัทธินั้น คณะนี้ สาวกพระศาสดาองค์นี้เท่านั้น เรื่องของจิตของใจคนทุกคนต้องปฏิบัติเองเป็นเรื่องรีบด่วนก่อนที่จะตาย จะให้พระศาสดาทำแทนกันไม่ได้ เมื่อรู้ความจริงที่เปิดออกก็ไม่ต้องแบกร่างและโครงกระดูก หัวสมองก็โปร่งใส ร่างกายก็มีสภาพไร้น้ำหนัก ด้วยสัญญา ตัณหาอุปทาน ก็เท่ากับได้ลาจากความโง่ ออกเที่ยวโปรดสัตว์ ในสกุลชาวบ้านธรรมดาไม่คิดสะสมพรรษา คำว่าตรัสรู้ก็คือการที่มารู้แจ้งเรื่องที่พ้นสมัยของ พระศาสดาในอดีตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือมารู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าและสาวกซ่อนเพชรซ่อนพลอยเอาไว้ หลังพุทธปรินิพพาน <O:p</O:p
    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เปลี่ยนชื่อแซ่เป็น นาย รวิพันธุ์ กองทรงวิศิษฐ์<O:p</O:p
    การกินเจ...............การกินเนื้อ สังขารเป็นผู้กิน พระนิพพานไม่ได้มากินด้วย ความว่างไม่สามารถกลืนกินความว่างได้ต้องเป็นสิ่งเดียวกันเท่านั้น<O:p</O:p
    รวิพันธุ์ กองทรงวิศิษฐ์ เป็นผู้แต่งจากชีวิตจริง ๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ไก่ทองขัน หมายถึงพระศรีอาริย์ทรงโปรดชัดเจน
    คุณ dsi เพื่อให้หายสงสัย ในวิมุติธรรมของผม
    คุณ dsi ผมพูดได้และผมก็ทำได้แล้ว วิมุติธรรมโลกุตตระจิตมีเป็นสมบัติของตัวเองแล้ว อาสวักขยญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว คุณ dsi การที่ผมจะเอาวิมุติธรรมของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ในอดีตก็เป็นสัจจะธรรมอันเดียวกัน คุณ dsi และการกระทำของผมก็ต้องการสรรเสริญพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระอรหันต์ และที่สำคัญไม่เป็นการยกตนข่มท่าน ตีตัวเสมอท่าน
    ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณ dsi ไม่เคยซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่คุณ dsi บอกเพื่อนบ้านว่าถูกรางวัลที่ 1 แล้วจะมีเพื่อนบ้านที่ไหนเชื่อ
    เพราะไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลมารองรับความจริง
    อีกหนึ่งตัวอย่าง คุณ dsi บำเพ็ญ จนมีฤทธิ์มีเดชขึ้น จะรู้ดีมีอิทธิ ดำดินบินบนได้อย่างไรๆ ก็ตาม ก็ยังจัดว่าเป็นธรรมเทียมเท็จ
    เพราะยังขาด วิมุติธรรม มารองรับความจริงจึงเป็นแค่ฌานของฤาษีไม่เป็นความดับ แบบประเภทของพระพุทธเจ้าตลอดถึงพระอริยเจ้า ครับคุณ dsi

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 เมษายน 2007
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...