พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯ ครับ

    ด้วยบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วและได้โมทนาบุญทุกอย่างในพระศาสนานี้ ขอน้อมถวายแด่พระฯ ทุกๆพระองค์ ขอบารมีแห่งพระฯท่านจงโปรดประทานพระธรรม ช่วยปลดโซ่เคราะห์ โซ่กรรม ให้วิญญาญแห่งถ้ำนี้ได้หลุดพ้นจากวัฎสงสาร ได้เข้าใจถึงพระธรรม และนิพพานในที่สุดเทอญ

    นี้คือกฎของกรรมหรือ น่ากลัวจริงๆ

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  2. sasiwimon

    sasiwimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอร่วมโมทนาบุญ

    ขอร่วมโมทนาบุญถวายเป็นพุทธบูชาฯ สาธุสาธุสาธุ(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  3. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯ ครับ

    ด้วยบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วและได้โมทนาบุญทุกอย่างในพระศาสนานี้ ขอน้อมถวายแด่พระฯ ทุกๆพระองค์ ขอบารมีแห่งพระฯท่านจงโปรดประทานให้ท่านพระจันทร์ อย่าได้ไปเกิดในทุกคติ เกิดทุกชาติ ขอได้พบ พระศาสนา ได้เจริญธรรม และมีทรัพย์สินมากมายได้บำรุงพระศาสนาทุกภพทุกชาติ และในชาติสุดท้ายขอให้ได้พบพระศรีอริย์เมตไตร ได้ฟังพระธรรมจบเดียว บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ได้จรรโลงพระศาสนาให้ยั้งยืนตลอดกาลเทอญ

    ขอบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำทั้งหมดได้อุปถัมค้ำชู ให้ท่านจันทร์อย่าได้ตกต่ำ ตราบท่านจันทร์เข้าสู่นิพพานเทอญ ขอโมทนาบุญในการสร้างพระฯ ถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  4. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ พระนอนงามดีครับ
     
  5. sasiwimon

    sasiwimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอร่วมโมทนาบุญ ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญน้อมถวายเป็นพุทธบูชาฯ สาธุสาธุสาธุ(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  6. sasiwimon

    sasiwimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ขอร่วมโมทนาบุญน้อมถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    ขอร่วมโมทนาบุญน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สาธุสาธุสาธุ(f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)
     
  7. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
    ได้โมทนบุญไป นึกถึงคุณของพระฯไป มีความสุขใจมากเลยครับ
    ถ้าไม่มีพระฯท่านสงเคราะห์ผมคงไม่ได้ทำบุญและโมทนาบุญมากขนานนี้
    จับลมหายใจ นึกถึงคุณพระฯ ย้อนไปหาที่สิ้นสุดไม่ได้จริงๆ
    ขอขมาพระฯ ถวายบุญทั้งหมดฯ อุทิศบุญกุศล แผ่เมตตา
    สาธุ สาธุ สาธุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  8. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ขอโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชาฯครับ
    ภาพที่1-2 เห็นเหมือนเป็นภาพ พระยืนประทานพร อยู่ข้างหน้าเกาะ
    ส่วนภาพที่10 สุดท้าย เกาะ เหมือนภาพพระพิฆเนตร กำลังนั่งหันหน้าเข้าหาเกาะใหญ่
    ขอถวายบุญทั้งหมดให้กับทวยเทพทั้งหลายที่ปกป้องพระศาสนาให้พระศาสนายั้งยืนตลอดกาล
     
  9. Jenn

    Jenn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอตั้งจิตอนุโมทนาถึงผลบูญอันใหญ่ครั้งนี้ด้วยครับ และขอน้อมนำถวายดอกไม้นึ้แด่เกาะพระหัตถ์ ขอให้เป็นดอกไม้แก้วบูชาพระพุทธองค์แลเทพเทวดาทั่วพิภพจักรวาลนี้ด้วยเทอญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.7 KB
      เปิดดู:
      312
  10. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    ขอโมทนาบุญทั้งหมดครับ

    ขอโมทนาบุญกุศลทั้งหมดในครั้งนี้ ด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นสืบไป ได้ช่วยให้ท่านทั้งหลายได้หลุดพ้นจากวัฏฏะแห่งการเกิดและตาย ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ แต่ก็มีสุข เพราะได้รู้จักกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเซาะหามาแสนนาน
    บัดนี้ ได้ประสบพบเจอแล้ว มีความพอใจในทุกอย่างแล้ว อยากจะขอลาจากการเกิดและตายในชาตินี้

    สาธุ.......... สาธุ.......... สาธุ...................
     
  11. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    (verygood) ศีล - สมาธิ -ปัญญา:cool:

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม:cool:

    เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เช้า]:cool:


    ....อย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ในตำรับตำรา พระนี้ได้ฟังทุกองค์ในอนุศาสน์ ๘ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ จะยกมาแสดงเพียงนิสสัย ๔ ที่พระองค์ทรงสั่งสอน แล้วก็มาสรุปเอาตอนนี้เลยว่า ท่านสอนพระในผลแห่งการไปอยู่ตามป่าตามเขา รุกขมูลร่มไม้บำเพ็ญเพียรในป่าในเขา ด้วยธรรม ๓ ประเภท คือบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดให้มีในใจของตนจากสถานที่เหมาะสมเช่นนั้น เช่น รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ไปอยู่ในป่าในเขาซึ่งเป็นที่สงบงบเงียบ สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรมได้เป็นอย่างดี

    และผลของการไปบำเพ็ญในที่เช่นนั้น ท่านก็ยกศีล สมาธิ ปัญญาขึ้น ไปอยู่ในที่เช่นนั้นก็คือไปรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไปบำเพ็ญสมาธิคือความสงบเย็นใจ ความแน่นหนามั่นคงทั้งหลายภายในใจ ปัญญาความรู้แจ้งแทงทะลุ บุกเบิกกิเลสตัณหา ตัวมืดตัวบอด ปิดตันทางเดินของเราออก ให้มองเห็นบุญ เห็นบาป เห็นดี เห็นชั่ว ให้เห็นทั้งความฟุ้งซ่านที่กิเลสสร้างขึ้นมา และความสงบซึ่งธรรมสร้างขึ้นมาในตัวของเราแต่ละราย ๆ ท่านแสดงไว้เป็นอานิสงส์ คือผลประโยชน์อันดีงาม ตลอดถึงผลประโยชน์อันดีงามถึงผลประโยชน์อันสุดยอด ไว้ว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ผู้มีความประพฤติปฏิบัติต่อศีลของตนอยู่แล้วนั้น ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้ศีลของตนบริสุทธิ์

    เมื่อศีลมีความบริสุทธิ์ในตัวเองแล้ว ผู้บำเพ็ญเช่นนั้นแหละเป็นผู้สงบเย็น อยู่ในป่าในเขาก็เย็น ไม่ระแคะระคาย จิตใจไม่ส่ายแส่ ไม่ระแวงสงสัยตัวเองว่าทำศีลให้ด่างพร้อย หรือขาดทะลุไปที่ตรงไหนข้อไหน จิตใจก็มีความสงบเย็น เมื่อเราบำเพ็ญทางสมาธิเพื่อตะล่อมอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ให้มันคิดในแง่ผิดพลาดประการต่าง ๆ นั้น ให้คิดแต่ทางที่ดี จิตเรารักษาดีแล้วในเรื่องศีลเรื่องธรรม เราก็มีความอบอุ่น จิตจะแย็บไปถึงศีล ศีลก็บริสุทธิ์แล้ว จิตใจมีความอบอุ่น นั้นแหละท่านถึงเรียกว่า สมาธิที่ศีลอบรมแล้ว ย่อมมีอานิสงส์มาก ผลมาก

    เมื่อพูดให้ตรงไปเลยก็คือว่า สมาธินั้นเมื่อศีลเป็นเครื่องหนุน เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงไม่ให้จิตใจแส่ส่ายหาพิษหาภัยมาเผาตนเองแล้ว การบำเพ็ญสมาธิ จิตใจก็สงบร่มเย็นได้ง่าย นี่ท่านเรียกว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิที่ศีลหล่อเลี้ยงแล้ว ด้วยความระเวียงระวัง หิริโอตตัปปะ รักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์แล้ว การบำเพ็ญสมณธรรม คือสมาธิธรรม ย่อมมีความสงบร่มเย็นได้ง่าย นี่เป็นข้อแรก จิตของผู้ที่บำเพ็ญศีล รักษาศีลด้วยดี ศีลย่อมเป็นปุ๋ยอันดีงามหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นเบิกบาน ทำสมาธิภาวนาก็ง่ายขึ้น นั่นข้อแรก

    ข้อที่สอง สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิเป็นเครื่องหนุนหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ เพราะสมาธิคือความอิ่มใจ อิ่มอารมณ์ ไม่ส่ายแส่ ไม่หิวโหย อยากรู้อยากเห็น อยากได้ยินได้ฟัง ที่เรียกว่าความอยาก อยากไม่มีประมาณ เมื่อสมาธิมีความสงบใจ ที่เรียกว่าใจอิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิดปรุงแต่งต่างๆ ในเรื่องที่เป็นภัยต่อจิตใจ เพราะจิตใจอิ่มตัวด้วยสมาธิธรรม มีความสงบเย็น มีธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แล้วปัญญาย่อมเดินได้สะดวกคล่องตัว ท่านแปลไว้ทางปริยัติว่า ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก แปลให้ตรงเข้าไปสู่ตัวเลยทีเดียวก็ว่า ปัญญาเมื่อมีสมาธิเป็นเครื่องหนุนแล้ว ย่อมเดินคล่องตัว คืออิ่มอารมณ์ คิดทางปัญญาก็เป็นปัญญาล้วน ๆ ไปเลย

    เมื่อหิวอารมณ์คิดทางปัญญา มันกลายเป็นสัญญาอารมณ์ไปกว้านหากิเลสตัณหาไปเผาตัวเองเสีย เพราะฉะนั้น จึงมีสมาธิ เครื่องอิ่มอารมณ์เป็นธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยสมาธิแล้ว พิจารณาทางด้านปัญญา จะเป็นแง่ใดมุมใด คำว่าปัญญานี้กว้างขวางมากทีเดียว ย่อมเป็นปัญญาไปโดยลำดับลำดา ตั้งแต่ขั้นหยาบของปัญญา จนกระทั่งถึงขั้นละเอียดสุด วิมุตติหลุดพ้นไปจากปัญญานี้ทั้งนั้น คือปัญญาจะก้าวเดินสะดวกคล่องตัว เมื่อมีสมาธิหนุนหลัง เรียกว่า สมาธิคือความอิ่มอารมณ์ของใจ เรียกว่าใจสงบ ใจเย็น ไม่หิวโหยในอารมณ์ พิจารณาทางด้านปัญญาก็เป็นปัญญาไปโดยลำดับลำดา

    ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตยุ่งเหยิงวุ่นวาย จะพาพิจารณาทางด้านปัญญา มันกลายเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นฝ่ายสมุทัย เป็นฝ่ายกิเลสตัณหาไปเสีย โดยไม่รู้สึกตัว ท่านจึงสอนให้มีศีลเป็นที่อบอุ่นของสมาธิ ให้รักษาศีลของตนให้ดี เช่นนักบวชผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติศีลโดยตรงอยู่แล้ว ให้รักษาศีลให้ดี บำเพ็ญสมาธิก็เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อสมาธิคือความสงบใจเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาก็เดินได้คล่องตัว นี่ข้อที่สองแล้วนะ นี่ท่านแสดงเรียงลำดับลำดา

    ข้อที่สาม ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คือจิตนี้จะหลุดพ้นด้วยปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้หลุดพ้น ท่านจึงว่า ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่ธรรม ๓ ประการ คือศีล สมาธิ ปัญญา ก้าวเดินโดยลำดับ สำหรับนิสัยผู้อยู่ในขั้นที่ควรจะพิจารณาโดยลำดับ แต่ท่านผู้ที่เป็น ขิปปาภิญญา นั้นมีน้อยมาก คือศีล สมาธิ ปัญญานี้ไปพร้อม ๆ กัน เป็นผู้รวดเร็ว อุคฆฏิตัญญู พวกนี้รวดเร็ว ไปเร็วๆ แต่ก็ไม่เคยพ้นไปจากศีล สมาธิ ปัญญานี้ไปได้ อันนี้พร้อมแล้ว หนุนผึงไปได้เลย นี่เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่จะเป็นขั้นเดียวตอนเดียว ......

    http://www.luangta.com/:cool: :cool: :cool: :cool:
     
  12. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    [​IMG]ตั้งนะโม 3 จบ
    [​IMG]ขอขมาพระรัตนตรัย
    [​IMG]สวดอิติปิโส ฯ

    :cool: ขอบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแต่ต้นจงมารวมตัวกันเป็นดอกบัวแก้วนี้บูชาพระหัตถ์ บูชาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อันมีสมเด็จพ่อองค์ปฐมเป็นประธานใหญ่ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์เจ้า แลอริยเจ้าทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และพรหมเทพเทวาทุกชั้นฟ้าชั้นดิน ขอท่านทั้งหลายได้โปรดจงรับซึ่งดอกบัวแก้วนี้ เพื่อประโยชน์ ความสุข สมหวังสมความปรารถนาของข้าพเจ้า และท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ :cool:

    [​IMG]อุทิศส่วนกุศล
    [​IMG]แผ่เมตตา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ


    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ท่านสร้างพระ,พระอุโบสถ แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็มีความสวยงามมากครับ บังเอิญโชคดีได้มีโอกาสผ่านไปร่วมทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิตพอดีเลยครับ สาธุ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  14. DEAR_CPE

    DEAR_CPE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +1,082
    ขอร่วมโมทนาบุญ ถวายเป็นพุทธบูชาด้วยนะคะ
     
  15. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ พิธีบวงสรวงรอยพระบาทที่สนามกีฬาแห่งชาติปทุมวัน ดูออกจะแปลกตาแปลกที่ไปหน่อย แต่ก็นับได้ว่าเป็นรอยพระบาทแห่งแรกในเมืองหลวงของเราเลยทีเดียว ที่มีการบวงสรวงอย่างเป็นทางการ คงเป็นเพลาที่พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองตามพุทธพยากรณ์แล้ว
    ขอบรรดาเหล่าพุทธศาสนิกชนจงสามัคคี เจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นในธรรมตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานตามความปรารถนาของทุกๆท่านเทอญฯ
    ปล.ส่วนเรื่องที่จะเป็นพระบาทจริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญขอใจเรานึกถึงพระได้ มีสัจจะธรรมในใจ ทุกอย่างในเรื่องของพระจริงสำหรับท่านเสมอครับ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2007
  16. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ

    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบุชาฯ พระบรมธาตุ วัดพริบพลี อ.เมือง จ.เพชรบุรี ประวัติการสร้างวัดนี้ยาวนานมากครับ เริ่มตั้งแต่สมัยพระโสณะกับพระอุตตระฯ มาประกาศพระศานาในเขตนี้กันเลยครับ สาธุ​
    [​IMG]
    และที่สำคัญอีกอย่างมากของวัดนี้ก็คือกระเบื้องจาร ที่กล่าวกันว่าเป็นกระเบื้องที่พระโสณะท่านจารประวัติความเป็นมาของพระศาสนาและชนชาติไทยในสุวรรณภูมิครับ (รายละเอียดจะนำมาลงให้อ่านกันเร็วนี้ครับ)
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2007
  17. tumromeo

    tumromeo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +1,077
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    คุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น

    ที่นำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามพระบาลีก็ไม่ได้บอกว่า ท่านธัมมิกอุบาสิกา บรรลุมรรคผลขั้นไหน แต่ว่าตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือตรัสว่า คนที่จะเกิดเป็นเทวดาทั้ง ๖ ชั้นได้นั้น ต้องปฏิบัติตามนี้ คือ

    ๑. ชั้นจาตุมหาราช ต้องเคยได้ฌานสมาบัติมาก่อน แต่ไม่ถึงฌาน ๔ เป็ฯฌาน ๑ ถึง ฌาน ๓ ในขณะที่ยังดีอยู่ แต่เมื่อเวลาจะตาย ใจเป็นกศลแต่จิตของจนเข้าไม่ถึงฌานสมาบัติ แทนที่จะไปเกิดเป็นพรหมก็ไปเกิดเป็นเทวดา ชั้นจาตุมหาราช นี่เป็นคุณสมบัติของเทวดาแต่ละชั้น

    ๒. ชั้นดาวดึงส์ ชั้นนี้ ต้องทำบุญกุศลด้วยความจริงใจ เป็นการตัดชีวิต หมายความว่า ทำบุญในคราวนั้นไม่ห่วงชีวิต นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีจิตเมตตา เห็นสัตว์เดินมา เห็นคนเดินมา หรือว่าเห็นพระเดินมา มีความหิวโหยต้องการอาหาร หรือว่าต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญ แต่เวลานั้นอาหารของเรามีจำกัด ถ้าเราจะกินเข้าไปมันก็พออิ่ม ถ้าจะเหลืออิ่มก็เล็กน้อย ซึ่งไม่พอต่อการอิ่มของอีกคนหนึ่ง เมื่อจิตใจของเราเป็นกุศลประกอบไปด้วยเมตตา คิดว่าเขาหิวมา ถ้าไม่ช่วย ชีวิตก็อาจจะตาย หรือมีความลำบาก ก็แบ่งสรรปันส่วนให้ การให้ก็ไม่จำเป็นต้องให้หมด แต่ว่าที่เหลืออยู่กับตัวเอง มันก็ไม่ถึงกับอด แต่กินไม่อิ่ม การให้บุญทำบุญแบบนี้ จึงมีสิทธิ์เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก นี่อย่างหนึ่ง

    และอีกประการหนึ่ง กรรมที่ทำให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้แก่การถวายสังฆทานการถวายสังฆทานนี้ทำให้เกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์แน่ อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัทนำอาหารมาถวายทานแก่พระสงฆ์วันนี้ก็ดี หรือใส่บาตรหน้าบ้านก็ดี อันนี้เรียกว่า "สังฆทาน"

    สังฆทานนี้บุญขั้นต่ำที่สุดที่จะพึงได้ อานิสงส์ที่จะพึงได้ คือต้องเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสร้างวิหารทาน คือสร้างที่อยู่ สร้างบ่อน้ำ สร้างสาธารณประโยชน์ สร้างสะพานข้ามคลอง สร้างศาลา และที่พักอาศัยระหว่างทาง อย่างนี้เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๓. สำหรับชั้นยามา ที่เราจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้ ก็ต้องมีเหตุผล

    ประการแรกคือ
    ๓.๑) พอใจในการสวดมนต์อย่างยิ่ง ถ้าเวลาสวดมนต์บูชาพระ ไม่ได้สวดจริงๆ ใจมันไม่สบาย ต้องสวดให้ได้
    ๓.๒) การเจริญพระกรรมฐานในตอนต้นนั้น จิตไม่เข้าถึงฌานสมาบัติ แต่ว่ากำลังใจเข้าถึงอุปจารฌาน คือเฉียดฌาน เมื่อจะตายจากความเป็นคน ใจของเราน้อมไปในกุศลทั้ง ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งคือ จิตคิดติดอยู่ในสวดมนต์ อยากแต่จะสวดมนต์ และพอใจทั้งเสียงสวดมนต์ หรือว่าเวลานั้นจิตตกอยู่ในอุปจารสมาธิ หรืออุปจารฌาน

    ถ้าจิตของเราเวลานั้นเป็นอย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรคืชั้นยามา

    ๔. สำหรับ ชั้นดุสิต นี่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าจะไปอยู่ได้ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
    ๔.๑.) พระพุทธบิดา พระพุทธมารดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติสุดท้าย จึงจะไปเกิดบนชั้นดุสิตได้
    ๔.๒) หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญบารมีมาถึงปรมัตถบารมี เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปอยู่บนชั้นดุสิต ได้
    ๔.๓) บุคคลทั้งหลายจะเป็นพระก็ดี เณรก็ดี เจริญพระกรรมฐานในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินศรี ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปคือมีผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอนาคามี จึงจะมีสิทธิ์อยู่ชั้นดุสิตได้

    ฉะนั้นท่านธัมมิกอุบาสก ถึงแม้พระบาลีจะไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า แต่ท่านต้องเข้าใจถึงกฏของการอยู่ ชั้นดุสิต ว่าอย่างน้อยที่สุดท่านต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำจึงมีสิทธิ์เข้าอยู่ชั้นดุสิตได้

    ๕. ขอพูดเรื่องเทวดาอีก ๒ ชั้นต่อไป เมื่อพูดแล้ว เป็นอันว่า สมเด็จพระประทีปแก้วทรงกล่าวถึงคุณธรรมของเทวดาชั้นนิมมานรดี ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้ชอบเนรมิต ของทุกสิ่งในการเนรมิตขึ้นมา เมื่อเทวดาชั้นที่ ๖ คือ ปรนิมิตวสวัตดี ต้องการอะไรก็ตามที เทวดาชั้นที่ ๕ เนรมิรให้ทุกอย่าง ท่านที่ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่ก็มีความเลื่อมใสในสมเด็จพระบรมครูได้ ๕ ในอภิญญา ๖ เว้นอาสวักขยญาณ และก็ชอบเล่นชอบเนรมิตของต่างๆ จุกจิกๆ เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ด้วยอำนาจของอภิญญาสมาบัติ
    ชอบเนรมิตเล่นตามความพอใจ เกิดความสบายในจิต ท่านผู้ที่มีจิตเข้าถึงฌาน ๔ จึงได้อภิญญา แต่ทว่าเวลาที่ท่านจะตายท่านไม่ได้เข้าฌานตาย จิตเข้าถึงกำลังของฌานเป็นอันว่าจิตของท่านนี้นั้น น้อมไปในกุศลตายจากความเป็นคนจึงได้เกิดเป็นเทวดาชั้นที่ ๕ เรียกว่า "นิมมานรดี"

    ๖. สำหรับเทวดาชั้นที่ ๖ นี้เป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูง คือ สมาบัติ ๔ แต่ทว่าเวลาตายนี่ ท่านเองไม่ได้เข้าฌานตายจึงไม่เป็นพรหม ต้องไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

    เทวดา ๓ ชั้นที่มีสิทธิ์ไปเป็นพรหม

    รวมความว่าเทวดา ๓ ชั้น ที่พ้นจากความเป็นเทวดาแล้วไปเป็นพรหมเลยก็คือ
    ๑. ชั้นจาตุมหาราช
    ๒. ชั้นนิมมานรดี
    ๓. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    ทั้ง๓ ชั้นนี้ เพราะอาศัยมีฌานเป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นเทวดาเมื่อไรฌานเขาก็ตัดเป็นกำลังใจตามเดิม แต่ว่ายังเป็นพรหมไม่ได้ เพราะเวลตายไม่ได้เข้าฌานตาย เมื่อหมดเวลาการที่อยู่บนสวรรค์เมื่อใด ท่านทั้ง ๓ ชั้นไปเป็นพรหมทันที

    จากนิตยสารธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๑๐ มกราคม ๒๕๕๐
    (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f) (f)

    นิพานคือที่สุด
     
  18. tumromeo

    tumromeo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +1,077
    ทำบุญแล้วได้บาปเป็นอย่างไร (โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
    ชาวบ้านเขาทำบุญกันแล้วมีการบวงสรวงอันเชิญเทวดา อันนี้ฉันไม่รู้เขาเชิญให้มาหรือไม่ให้มากันแน่ เราต้องดูส่วนประกอบหลายอย่าง จิตเขาสะอาดแค่ไหน ถ้าสะอาดไม่พอ ท่านได้ยินแต่ว่าท่านไม่มาซะอย่างก็หมดเรื่องอย่างทำบุญตามบ้าน ที่เขาทำพิธีอัญเชิญแล้วว่า “สัคเค กาเม จะรูเป ... บางทีคนเชิญยังเมาแอ่น กลิ่นเหล้าฟุ้ง อย่างนี้เทวดาที่ไหนเขาจะมาล่ะ มีแต่ เปรตกับอสูรกาย มากันเป็นตับ มากันจริง ถ้าเมาแล้วไปว่า “สัคเค.. เข้าแบบนี้พัง

    จะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องมันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตอนนั้นฉันมาช่วยเขาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า 2 ปี มันมีอยู่คืนหนึ่งคนใกล้วัดบ้านเขาห่างจากวัดไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร เขาตาย ญาติพี่น้องเขาก็มานิมนต์พระเณรที่วัดนั้นไปสวดอภิธรรมกันทั้งหมด วันนั้นการเจริญกรรมฐานก็เลยต้องพัก พระเณรไปหมดนี่ เหลือฉันอยู่คนเดียว ฉันไม่ได้ไปกับเขา ***เรื่องกินผีนี่เลิกกินมานานแล้ว

    คืนนั้นฉันอยู่คนเดียว ประมาณสัก 2 ทุ่มหรือ 3 ทุ่ม กำลังนอนอยู่ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เอ เราไปเที่ยวนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ไปเที่ยวมาหมดแล้ว แต่ว่า ข้างวัดนี่มันมีอะไรบ้างเราไม่ได้มองเลย ก็เลยคิดว่า ออกไปเดินดูข้างวัดดีกว่า ตัวก็นอนอยู่แต่ใจมันก็เดินออกไปรอบ ๆวัด

    พอไปถึงหลังวัด ตรงนั้นเขามีกองฟืนสำหรับไว้เผาศพอยู่ ก็ไปเจอะวิมานอยู่หลังหนึ่งใกล้ ๆ กับกองฟอน ศาลพระภูมินี่ตามบ้านห้ามตั้งทางด้านทิศตะวันตก ถ้าดันไปตั้งทางด้านทิศตะวันตกก็มีหวังฉิบหายและตายโหงที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าอากาศเทวดาเขามาอารักขาอยู่ เราไม่มีสิทธิที่จะใช้อากาศเทวดาเขาได้ เขาไม่ใช่ภุมเทวดา

    เมื่อไปเจอะวิมานหลังนั้นเห็นว่าใหญ่โตพอสมควร เขาก็ไปยืนดู เอวิมานของใครวะ บริษัทบริวารข้างล่างมีอยู่ประมาณ 40เศษ พอเราไปถึงเขาก็ถามพวกนั้นว่า “เฮ้ย ..พวกนี้ ...บ้านข้างวัดเขาตาย ใครไปบ้างหว่า”

    ที่เขาถามอย่างนี้ เพราะเขาต้องการให้เรารู้ พวกบริษัทก็บอกว่า “ผมไม่ครับ ๆ ๆ”

    เสียงตอบมาประมาณ 20 เศษ แล้วเขาก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างวะ ใครมาบ้าง ไปแล้วได้อะไรมาบ้างล่ะ”

    พวกนั้นก็บอกว่า “มันจะไปได้อะไรครับ มันเมากันทั้งบ้าน แม้แต่คนอาราธนาธรรมก็เมา อีเหละเขะขะ “ เฮ้ย มันจะไม่ได้อะไรบ้างเลยหรือ” “มันไม่ได้อะไรเลยครับ มันมีแต่บาป บุญไม่มีให้โมทนาเลย”

    เราได้ยินแล้วก็จำไว้ พอตอนเช้าพระท่านก็ต้องไปฉันใช่ไหม ฉันเสร็จก็เลยเรียกพระที่เขาปฏิบัติกรรมฐานและมีอารมณ์รู้ได้ให้เข้ามาหา ถามว่า “ นี่ เมื่อคืนนี้ไปสวดที่บ้านนั้น มันเมากันบ้างหรือเปล่า “ เขาบอกว่า “แหมหลวงอาครับ มันเมากันหมดทั้งบ้านเลย บารมีเลวครบถ้วนหมด” ก็เลยถามว่า “เวลาแกสวดน่ะ แกสวดให้ผีฟังใช่ไหม”

    ที่ว่าสวดให้ผีฟังก็หมายความว่า สวดตามประเพณีมีฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ก็เลยถามว่า “เวลาแกสวดน่ะแกเอาจิตดูใครเขาบ้างหรือเปล่า” เขาบอกว่า “ดูครับ” เพราะเคยสอนเขาไว้ว่า เวลาไปสวดอย่าไปเฉย ๆ เวลาเขาทำบุญบ้านไหนอย่าไปเฉย ๆ ให้รู้เรื่องด้วย ก็เลยถามว่า “มีใครมาบ้าง” “มีเปรตกับพวกอสุรกายเป็นตับหมด เปรตมันมาแย่งอาหารกินและพวกอสุรกายมันก็มาแย่งอาหารที่เขาทิ้งแล้วกิน” เลยถามว่า “เทวดาไม่มีเลยหรือ” “ ไม่มีเลยครับ หาไม่ได้เลย”

    นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เทวดาองค์นั้นท่านต้องการให้เรารู้เรื่องนี้ จึงถามลูกน้อง ความจริงท่านต้องไปถามทำไม เพราะท่านต้องรู้อยู่แล้ว ที่ท่านทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการให้เรารู้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยัน

    ฉะนั้นวันทำบุญอย่าให้มีบาป และวันทำบุญจริง ๆ เวลาเริ่มอย่าให้มันมีบาปเข้ามาปะทะหน้า ถ้าหากมีบาปเข้ามาปะทะหน้าแล้ว บุญมันเข้าไม่ได้หรอก เพราะบาปกับบุญมันไม่ถูกกัน เริ่มต้นงานก็เชือดไก่ เชือดปลา เลี้ยงเหล้า ฯลฯ อารมณ์มันเป็นอกุศลแล้ว อารมณ์กุศลมันก็เข้าไม่ได้

    ถ้าจะทำแบบโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย วันต้นงานให้มันเรียบร้อยทุกอย่าง อย่าให้มันมีบาปเข้ามาปะทะ ถ้าทำบุญเสร็จกิจที่เป็นเรื่องของพระเสร็จแล้ว จะเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งกันว่ากันไป ให้มันไปอยู่เสียคนละวัน

    แหมบางบ้านบอกทำบุญเยอะ ทำบุญหมดไปตั้งหลายหมื่น พระฉันไปสักกี่ช้อน และอีตอนพระฉันน่ะเป็นบุญหรือเปล่ายังไม่แน่เลย จิตของเจ้าภาพรับบุญหรือเปล่า บางทีรักษาประเพณีกันเกินพอดีไป พอพระจะให้ศีลเจ้าภาพบอกไม่ว่าง อย่างเขาจะถวายทานก็ไม่ว่าง พระจะเทศน์ไม่ว่างอีก บุญมันมีตรงนี้ ถ้าไม่ว่างตรงนี้ แล้วจะเอาอะไร

    ฉะนั้นการทำงานใหญ่ ๆ สู้อานิสงส์ของการถวายสังฆทานไม่ได้แบบนี้ลงทุนเท่าไหร ถ้าหากว่ากำลังทรัพย์เรามีไม่มากนัก จะถวายของอย่างละนิดอย่างละหน่อยก็ได้ เขาไม่ได้จำกัดและความกังวลแบบนั้นไม่มี สิ่งที่เป็นบาปแบบนั้นไม่มี ผลที่ได้รับต่างกันกับทำแบบนั้นหลายร้อยเท่า ยิ่งทำงานมากเท่าไร ความกังวลก็มากเท่านั้น กังวลดีก็มี กังวลเลวก็มี บางทีก็โมโหโทโสใช่ไหม “แหม ...หมดนี่เสือกมาเมาเกะกะซะอีกแล้ว” เรื่องจริง ๆ เป็นอย่างนี้

    อย่างการถวายสังฆทานแบบนี้จิตมันบริสุทธิ์ งานก็ไม่มีกังวลมากไม่ต้องไปเลี้ยงเหล้าใคร เวลาจะรับศีลก็ไม่มีใครมาสะกิดข้าง ๆ ว่าแขกมาเวลาจะถวายทานก็ไม่มีใครมากวนใจ ทำอย่างนี้ได้บุญเยอะ

    บางบ้านเราขึ้นไป โอโฮ้ลงทุนตั้งเยอะ สมัยก่อนตอนที่เทศน์อยู่ ถ้าลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นก็แย่แล้วนะ ค่าของเงินมันสูง บางทีตั้งแต่เริ่มต้นงานจนกระทั่งถึงงานเลิก ทำบุญไม่ได้บุญเลยก็มี

    แบบนี้บ่อย ๆ ก็เลยเบื่อ ไม่ไปดีกว่า จะไปทำไมถ้าไปแล้วเขาไม่ได้บุญ ไม่ใช่ไม่ได้บุญอย่างเดียวนะ มันได้บาปด้วย บางครั้งเอาพระเป็นลูกจ้างเสียอีก ก็ว่าไปตามเรื่องของเขา จะว่าอะไรก็ว่าตามเรื่อง ต้องการอะไรก็พูดส่งเดช มันก็เป็นการปรามาสไปในตัวเสร็จ สบาย แบบนี้ลงหลายชั้น ไม่ใช่ชั้นเดียวนะ แบบนี้เขาเรียกว่า ทำบุญแล้วลงนรก


    นิพานคือที่สุด
     
  19. tumromeo

    tumromeo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +1,077
    สำคัญที่ใจ

    ต่อแต่นี้ไปโอกาสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน การเจริญพระกรรมฐานที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติในอันดับแรกเราสมาทานศีลกันก่อน แล้วต่อไปก็สมาทานพระกรรมฐาน เพื่อปฏิบัติในด้านสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา นี่การเจริญพระกรรมฐานนี้เราปฏิบัติเพื่อเอาดีทางใจ เพราะว่าองคสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า

    "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุดสำเร็จได้ด้วยใจ" เป็นอันว่าคนเราจะดีหรือชั่วก็อยู่ที่ใจตัวเดีย ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว อารมณ์ใจดี กายและวาจาใจก็ดีไปด้วย

    กายก็ดี วาจาก็ดี จะทำดี จะพูดดี จะพูดชั่วขึ้นอยู่กับอารมณ์ของใจ หรือใจเป็นผู้สั่ง ฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงแนะนำท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพื่อหวังประโยชน์สุขแห่งตน คือพยายามฝึกใจให้เข้าถึงความดี

    ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานก็ชื่อว่าเราต้องการความดี ต้องการความสุขในทางใจ อารมณ์ใจมีความสุขเสียอย่างเดียวกายและวาจามันก็สุขด้วย เพราะว่าความสุขหรือความทุกข์มันอยู่ที่อารมณ์ของใจ นี่การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรก

    วันนี้จะขอพูดแบบเจริญกรรมฐานแบบง่ายๆ เพื่อหวังผลตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ในอันดับแรกขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขอให้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นมนุษย์เสียก่อน เพราะว่าคนส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้วมักไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

    การที่เราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีศีล ๕ เป็นที่พึ่ง ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราเป็นผู้มีใจรักษาศีล ๕ และรักษาศีล ๕ ไว้เป็นปกติ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทนึกถึงศีล ๕ เป็นปกติ และระมัดระวังไม่ให้ศีล ๕ บกพร่อง

    ความจริงในระดับเบื้องต้น เราเกิดเป็นมนุษย์ก็จริงแหล่ แต่สติสัมปชัญญะมันก็ฟั่นเฝือไปบ้างตามอำนาจของอกุศลกรรม มันจะบันดาลให้จิตใจของเราเห็นผิดเป็นชอบ

    จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐

    นิพานคือที่สุด
     
  20. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่างถวายเป็นพุทธบูชา

    [​IMG]ขอโมทนาบุญทุกอย่างในการสร้างพระอริยสงฆ์ (ปางธุดงค์มหาลาภ)นี้ ถวายเป็นพุทธบูชา ขอบารมีพระฯ ครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลภิภพ ได้โปรดดลบันดาลให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายรวย ๆๆๆ ขอความไม่มี ไม่เป็น ไม่รู้ ไม่สามารถ ไม่สำเร็จจงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ[​IMG][​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...