Mamaa full center เปิดจักระ เชื่อม กาย ใจ จิต วิญญาณ

มาดันกระทู้ครับหายไปไหนกันหมด

 

๑.ความทรงจำหรือจำได้หมายรู้ ศัพท์ภาษาบาลี เรียกว่า สัญญา
๒.ความรู้สึก ศัพท์ภาษาบาลี เรียกว่า เวทนา
ทั้วสองคือ เวทนาและสัญญา มาจากประสบการณ์ชีวิตผ่านสัมผัส<WBR>ทวาร ๖ (ผัสสะ๖ : ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ)

อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
สังขาระปัจจยา วิญญาณัง
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
นามะรูปะปัจจะยา ผัสโส
ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
ภะวะปัจจะยา ชาติ
ชาติปัจจะยา ชารามะระณัง
สัมภะวันติ จึงเกิดขึ้น

อะวิชชายะเต์ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ

ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ
ตัณหานิโรธา ตัณหานิโรโธ

อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
ชาตินิโรธา ชารามะระณัง
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตืติ

ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจนะท่านทั้งหลาย

 

ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนความคิดของตนเอง
ก่อนที่จะมาเปลี่ยนความคิดคนอื่นเช่นกันนะครับ

คุณอย่าได้เปลี่ยนชื่อ Login เลย น่าจะรู้นะครับว่าผมหมายถึงอะไร

 

ใจเย็นๆ.....
แม้ัน ความเห็น แตกต่าง แต่อย่าให้ เกิดความแตกแยก

นักวิชาการ ที่ศึกษา กันไป
ค้นคว้า จากตำหรับ ตำรา แล้วนำมา ตีความ
เสนอความเห็นกัน
ก็ มักจะมี ความแตกต่าง ในความคิดเห็น ดังนี้ แหละ

พวกฝ่ายปฏิบัติ
เค้า นำทฤษฏี มาทดลอง และค้นคว้า
จนได้ ผล สรุปความ ออกมาเป็นแนวปฏิบิติ
พวกนี้ ไม่ค่อย ทะเลาะกัน
เพราะว่า ทดลอง เอง เห็นผลเอง

ต่างคน ต่างรู้ จึง ไม่มีอะไร ให้ ต้อง โต้แย้งกัน...

........ เน้อ....​

 

ขอบคุนครับพี่ดาว ผมไม่ได้ต้องการโต้แย้งอะไรหรอกครับ และผมก็ไม่ได้แบ่งแยกเลยครับว่าใครจะศึกษาแบบมีอักษรหรือไม่มี

ประเด็นที่ผมข้องใจก็คือ ว่าทำไมไม่กล้ามาพูดต่อหน้า เจอตัวเปนๆกันเลย ไม่ใช่คอยเม้นกระแทก กระทุ้นั้นที กระทุุ้นี้ที มานั่งเม้นเหน็บแนม ผมเห็นแล้วรำคานไม่ได้โมโหอะไรหรอกครับ

แล้วก้อคุณ ภูตน้อย ถ้ายังเป็นผู้ชายอยู่ก็ควรจะสำเนียกในสิ่งที่ทำนะครับ อย่าทำเปนผุ้ชายใส่กระโปรงปิดหน้าปิดตา ผมไปทำอะไรเดือดร้อนคุนรึไง

 

พี่ฮะ..ใจร่มๆฮะ ปล่อยเค้าเถอะ ว่าแต่ว่า"ภูติน้อย" เป็นผู้ใดฮะ?

 

ตีฆ้องร้องข่าวว​

ถึง ท่านที่อยู่เขตพื้นที่ภาคใต้ ที่ต้องการบำบัด รักษา พบปะ พูดคุย เชิญได้เลยนะครับ
หม่าม๊า ได้ฝากมาประกาศเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน โดยจะมีพี่จูน ผม จะไปที่ หาดใหญ่
บ้านของคุณหลิน
ในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 9-10 ก.ย. 2554


โทรศัพท์สอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์หม่าม๊าครับ

085-148-1705

​

 

เขียนมาแจ้ง
คุณหลิน หาดใหญ่
คุณหลิน กทม.
คนละคนกัน.........;aa10;aa10;aa10

 

เสียดายจัง ผมอยู่ลพบุรีครับ..

 

อยากฝึกสมาธิบ้างค่ะ

สวัสดีค่ะดิฉันสนใจอยากฝึกสมาธิเพื่อเปิดจักระบ้าง แต่ไม่กล้าโทรไปค่ะ เพราะไม่ค่อยสะดวกเพราะไม่ค่อยมีเวลามาก อยากได้คำแนะนำเบื้องต้น เป็นข้อๆๆ เพื่อลองไปปฏบัติเบื้องต้นดู รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ (เป็นคนจิตฟุ้งซ่านด้วนค่ะ) ขอบคุณมากค่ะ

 

การโทรไป ขอคำแนะนำจากหม่าม้า
ทำได้ ง่ายๆ
ไม่ต้องมีพิธี รีตรอง คุย กันเหมือนญาติสนิท
แม้น ท่านจะ เพิ่งติดต่อมาเป็นครั้งแรก ก็ตาม

หาโอกาส โทรไป สัก ครั้งสองครั้งแล้ว จะทราบว่าผม พูดไม่ผิด

..........

ถ้าจะ ฝึกเอง มันไม่ง่าย นะ
แต่ หากจะพยายาม ก็ ลองดู

แต่อยากให้ เริ่มต้น ให้มาเริ่มในงานสัมนาหรือ งานที่ หม่าม้า
นัดพบประกัน

ในที่นั้น กระแสดี ๆ หลั่งไหลลงมาคลุมพื้นที่ไว้รอบบริเวณ
เริ่มฝึกในห้องนั้น จะทำให้ ง่ายหน่อย

แค่ นั่งเฉยๆ อยู่ใน กระแส นั้น ก็ ว่างๆ สบายๆ
ที่ เคยฟุ้งๆ ก็ จะ ลดลงๆ
เป็นลำดับไป

เป็นการทำสมาธิ แบบ ไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องเพ่ง
ไม่ต้อง...ฯลฯ.....
เฉยๆ นั่นแหละ แล้ว จะ ว่างๆ สบายๆ

.....​

 

สวัสดีคะ ติดตามอ่านมา 2 -3 เดือนแล้ว กำลังคิดว่าจะต้องโทรไปหาหม่าม้าสักวัน
ฝึกเจริญสติมาหลายเดือนแล้วมีสภาวะแปลกๆ
ค้นไปค้นมา คล้ายการเปิดของจักระ ก็เลยมาเจอกระทู้นี้เลยติดตามอ่านมาตลอดคะ
ตอนนี้เริ่มสัมผัสพลังเย็นได้บ้าง แถว ขา พุง และีศีรษะ

หากมีโอกาสคงได้ไปขอความเมตาจากพบหม่าม้า ถ้าท่านมาที่กทม.
ขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยกันเผยแพร่ให้ได้รู้จักหม่าม้านะคะ

 

เป็นการทำสมาธิ แบบ ไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องเพ่ง
ไม่ต้อง...ฯลฯ.....
เฉยๆ นั่นแหละ แล้ว จะ ว่างๆ สบายๆ​

.....​

[/QUOTE]
อยากไปต่อ....เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสเปิดอีกเมื่อไหร่ครับ

เคยโทร..ไปหาหม่าม้า หลายครั้ง นานแล้ว ก็ฝึกมาเรื่อยๆครับ แต่ยังไม่เคยเข้าไปสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นเลย

 

ใครออนอยู่ช่วยตอบผมที่นะคับ

ผมอยากถามว่าก่อนที่จะโทรหามาม่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้างคับ หรือต้องเรียนรู้เรื่องอะไรก่อน แล้วเบอร์มาม่าเบอร์อะไรหรือคับ ขอรบกวนหน่อยนะคับขอบคุณคับ เบอร์ขึ้นต้นด้วย 085-147 หรือ148คับ ขอบคุณล่วงหน้านะคับ

 

เบอร์ หม่าม้า 085-148-1705

การฝึกในแนว นี้ ออกจะเป็นแนว พลังในระบบใหม่

(ใหม่ สำหรับคนในยุคนี้ )

คือ ปล่อยวาง ว่างๆ จน ไร้

พูด สั้นๆ เหมือนมันง่าย
แต่ ขั้นตอน และ หนทาง นั้นยังยาวไกล กว่าจะถึงปลายทาง

คนเริ่มต้น ใหม่ๆ เอา เป็นว่า ว่างๆ สบายๆ ก็ ดีแล้ว

การเตรียมตัว
ไม่ต้อง ทำอะไร ไม่ต้องรู้ หรือเรียนอะไรมาก่อน ก็ดี

พวกที่ เรียนมา มาก รู้มา เยอะ ก็ อาจไม่เป็นประโยชน์
บางที ก็ ต้อง มาแคะ มาแกะออก เสียด้วยซ้ำ ไป
ให้เหนื่อย ทั้งคนสอน และ คนเรียน......55

ไม่รู้ อะไร ก็ ยิ่งดี เพราะสอนง่าย
ไม่ต้องมาคอยตอบ ว่า ทำไม ไม่เหมือน ตำรานั้น
ทำไม ไม่เหมือน สำนักนี้ ทำไมไม่เหมือน ที่นั่นที่นี่..... ฯ

เฮ้อ ก็ มันคนละ เรื่องกัน จะเหมือนกันได้ อย่างไร ละจ๊ะ.......55

แม้นพวกเรา ที่มารวมกัน อยู่ในที่นี้
ก็ เคยเรียนกันมา ก่อนจาก ที่นั่นที่นี่ ฝึกวิชา นั้นวิชานี้ มาก็ เยอะ
ทั้งพวกชอบปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ก็มี
พวก ฝึกพลัง จักรวาล พลังยูเรอัส พลังฯ
พวกฝึกวิชา อาคม ก็มี

มาอยู่รวมกันได้ ยางไง......55

คงเป็นเพราะ เขาเหล่านั้น ยอมวาง ยอมลด ทิฐิ ของตนลง
ถึงจะ วางได้ ระดับหนึ่ง ก็ ยังดี
จึงพูดจาพาที กันได้
จนในที่สุด ก็ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนกัน ดังที่ เห็นอยู่ นั่นแหละ

 

เป็นดังเช่นที่พี่ ดาวทะเลทราย ... ได้กล่าวไว้ ... ตอนนี้ ผมก้อมีพี่ ๆ ที่ เคารพกันมาก ... จากไม่รู้จักกัน .. จาก อะไรคืออะไร ... จาก .. ต่อมิอะไร ... เมื่อ ยอมวาง ยอมลด ทิฐิ ของตนลง ...

 

ของฝากจาก หาดใหญ่ครับบบบบบบ

(k)

 

จิตเดิมแท้ "ธรรมญาณ"


เป็นรากฐานเดิมตามธรรมชาติแท้ของจิต ยากที่จะอธิบายสภาวะนั้นด้วยภาษาคนเพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "จิตเดิมแท้" แต่ในที่นี้เรียกว่า "ธรรมญาณ" อันเป็นญาณที่มาจากธรรมชาติดั้งเดิมแท้จึง การค้นพบภาวะ "ธรรมญาณ" ของตนเองจึงเป็นเรื่องที่ลึกล้ำและยากนัก ท่านหงเหยิ่นพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า จึงเรียกประชุมศิษย์ทั้งปวงแล้วกล่าวว่า "การเวียนว่ายตายเกิดเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่มีใครเอาใจใส่แทนที่จะหาหนทางพาตัวเองให้พ้นไปจากทะเลทุกข์แห่งการเวียนเกิดและเวียนตายอันไม่มีที่สิ้นสุด กลับพากันหมกมุ่นอยู่แต่บุญกุศล ที่มีตัณหาชักนำอันเป็นต้นเหตุให้เกิดใหม่ ถ้าธรรมญาณยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งปวงก็หามีประโยชน์อันใดไม่ จนตั้งใจค้นหาปัญญาของตนเองแล้วเขียนโศลกว่าด้วยเรื่องของ "ธรรมญาณ" ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า "ธรรมญาณ" นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่ง พระสังฆปริณายก พร้อมทั้งธรรมะอันเป็นคำสอนเร้นลับแห่งนิกายเซ็น และจะสถาปนาขึ้นเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งนิกายเรา อย่ามัวรีรอตรึกตรองเพราะไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์อะไร ผู้ที่รู้แจ้งชัดใน
"ธรรมญาณ"

จะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนคุยด้วยและมันไม่เลื่อนลอยไปจากธรรมจักษุของเขา แม้จะชุลมุนวุ่นวายอยู่ท่ามกลางสนามรบก็ตาม " วจนะของท่านหงเหยิ่นเป็นความจริงจนถึงการสมัยปัจจุบันมนุษย์ยังคงเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์โดยมิได้รู้สึกว่ากำลังจมอยู่ในห้วงทะเลแห่งการเกิดและตาย เขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงปัญหานี้ ก็ต่อเมื่อความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า และพากันบอกหนทางโดยหวังว่าจะช่วยให้พ้นไปจากนรกอเวจีและเชื่อว่าบุญกุศลที่ได้สั่งงสมเอาไว้ทำให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเก่า การสร้างบุญกุศลเช่นนี้กระทำได้ง่ายกว่าการใช้ปัญญาค้นคิดหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์อันเกิดจากเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์จึงมี "บุญ" และ "บาป" เป็นเหตุปัจจัยให้ไปเวียนเกิด-ตายเพื่อไปรับผลอันมาจากเหตุที่ตนเองสร้างไว้ไม่มีที่สิ้นสุด การสร้างบุญจึงไม่ต่างอะไรกับการหาเงินฝากธนาคารเอาไว้เป็นของตน เมื่อใช้จนหมดแล้ววิถีแห่งชีวิตก็ต้องยากจนลงไปเหมือน "กินบุญ" หมดแล้วจึงไป "รับบาป" ชดใช้หนี้สินหมดแล้วจึงไป "กินบุญ" เวียนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ไม่เข้าใจทุกข์แห่งการเกิดและตาย จึงทำบุญด้วยการอยากเกิดใหม่ เพื่อให้ได้ชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้นเอง วิถีแห่งชีวิตจึงไม่พ้นไปจากวัฎสงสาร เพราะตัณหาเป็นตัวชักนำ แต่พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายการเกิด-ตาย ทรงเล็งเห็นเป็นความทุกข์อันแท้จริงจึงทรงสละฐานันดรกษัตริย์ ซึ่งปุถุชนเห็นเป็นความสุขสมบูรณ์อันสูงงสุดทิ้งเสีย และทรงค้นคว้าหาหนทางที่สามารถไปพ้นจากทะเลทุกข์ ทรงลำบากตรากตรำทั้งปฏิบัติและศึกษานานถึง 6 ปี

เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหก พระพุทธองค์ทรงค้นพบ "ญาณทวาร" และ "วิถีจิต" อันเป็น "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" "ญาณทวาร" เป็นประตูวิเศษอันเร้นลับ ซึ่งพระพุทธทีปังกรเคยพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปน์ได้นิมิตเป็นแสงดาวสว่างวาบตรงจุดนั้น "วิถีแห่งจิต" เป็นหนทางอันตรงต่อประตูวิเศษซึ่งเป็นทางสายกลาง "อนุตตรสัมมาสัมโพธิ" เป็นปัญญาอันยิ่งเพราะรู้ถึง "ธรรมญาณ" ซึ่งพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอันแท้จริง เพราะสภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" นั้น มิได้ "เกิด" จึงมิได้ "ตาย" และไม่อาจนำเอาบัญญัติใดๆ ในโลกนี้มาเทียบเคียงหรืออธิบายให้ใครเข้าใจได้เลย เพราะสภาวะนั้นพ้นไปจาก "รูป" และ "นาม" "อนุตตรธรรม" ที่พุทธองค์ตรัสรู้จึงเป็นเรื่องรับรสได้เฉพาะตนแต่เหตุไฉนตลอด 45 พรรษา พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ชี้แนะหนทางเท่านั้น ส่วนการเดินไปสู่จุดหมายปลายทางล้วนต้องประคองจิตด้วยตนเองทั้งสิ้น และเพื่อมิได้ "อนุตตรธรรม" สูญหายไปจากโลกนี้ พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดประตูวิเศษนี้ไว้ด้วยวิธีอันเร้นลับ มิได้ถ่ายทอดโดยเปิดเผย สมกับคำกล่าวโบราณที่ว่า

"ไม่รู้ถึงหูที่หก" สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางสงฆ์สาวกล้วนเป็นพระอรหันต์ 1,250 รูป ณ ภูเขาคิชฌกูฏ แห่งกรุงราชคฤห์ และมิได้ตรัสประการใด จึงมีผู้ทูลอาราธนาว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุไฉนวันนี้ พระองค์จึงมิได้ตรัสเทศนาโปรดเวไนยสัตว์เลย" ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งแล้วตรัสว่า "ตถาคตมีธรรมจักษุอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ อยู่ในครรโภทร…"

ที่ประชุมสงฆ์สาวกทั้งนั้น มีแต่พระมหากัสสปะซึ่งเป็นผู้สูงอายุหน้าตายับยู่ยี่ด้วยเร่งบำเพ็ญเพียรจนไม่เคยยิ้มเลยตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่ เมื่อเห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงรหัสตรัสเช่นนี้จึงรู้ได้ด้วยไวปัญญา พระมหากัสสปะจึงยิ้มครั้งแรกในชีวิตและแสดงกริยาก้มหน้าเป็นการตอบรับ พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อไปว่า "ตถาคตได้ส่งมอบธรรมะนี้แก่พระมหากัสสปะแล้ว" พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่าเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ จึงทรงแลกบาตรและจีวรกับพระมหากัสสปะ ปัญหาที่น่าพิจารณาคือบรรดาพระอรหันต์ทั้ง 1,249 รูป นั้นมิได้รู้อนุตตรธรรม เหตุไฉนจึงสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้เล่า

คำตอบอยู่ที่บรรดาสงฆ์สาวกทั้งปวงล้วนปฏิบัติตรงตามทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและประคองจิตของตนเองมิได้พ้นไปจากเส้นทางสายนี้ เช่นเดียวกับพระมหากัสสปะจึงเป็นผู้ได้หนทาง แต่มิได้รู้ถึง "ประตูวิเศษ" แต่พระพุทธองค์ทรงรู้ถึง "ทวารวิเศษ" บรรดาสงฆ์สาวกซึ่งรักษาจิตของตนเองในหนทางสายกลางย่อมเดินไปจนถึง "ทวารวิเศษ" นี้ ในวันสุดท้ายของการทิ้งกายสังขาร เมื่อพระมหากัสสปะได้รับการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ" และประคองจิตของตนเองอยู่ในหนทางสายกลาง จึงย่อมเสมอเหมือนพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้น บาตรและจีวรของพระพุทธองค์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการถ่ายทอด "ทวารวิเศษ ของอนุตตรธรรม" สืบต่อกันมาจนถึงพระธรรมาจารย์ หงเหยิ่น องค์ที่ห้า ในครั้งนั้นพระมหากัสสปะจึงเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่หนึ่งซึ่งได้รับรู้ "ประตู" ของ "ธรรมญาณ" อันเป็นหนทางแห่งอนุตตรธรรม นั่นเอง

 

MaMaa Full Center | Facebook

 

ชาวหาดใหญ่ขอขอบพระคุณอาจารย์หม่าม้าที่เมตตารักษาโรคผู้ป่วย บำบัดทุกข์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ตอนนี้หม่าม้าโด่งดังมากค่ะ ผู้ที่มารักษาที่บ้านหลินหลายคน ถูกญาติสนิท มิตรสหายทั้งหลายตำหนิว่าทำไมไม่มาชวนมาบ้าง มีคนถามมากมายว่าหม่าม้าจะมาอีกเมื่อไหร่ ตอนนี้ได้แต่บอกว่า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อิอิ