พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ถ้าข้าไม่เห็นกับตา ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดเลยลุงว่าหลวงปู่เดินบน

    ผิวน้ำได้"

    ............................"เออจริงของเอ็งเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเห็นครั้งนี้นี่แหละ"

    ............................"เอาอย่างไรดีล่ะ"

    ............................"ก็ถอนคันเบ็ดแล้วนับปลาดูซิมีกี่ตัว..ตอนเช้าจะได้รีบไปขายใน

    ตลาด"

    ............................"ลุงบุญ..ข้าแปลกใจว่า ทำไมหลวงปู่จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้เรา

    เห็น"

    ............................"อาจจะเป็นเพราะเราสองคนทำบาปในวันพระก็ได้..หลวงปู่เลย

    มาเตือน"

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ข้าว่าวันพระเราเลิกลงเบ็ดดีกว่า"

    ............................"ข้าก็กำลังคิดแบบเอ็งว่าเหมือนกัน"



    ....................กุฏิหลวงปู่ศุข..บุญนำกับสมพงษ์ยังคงหลับสนิทอยู่หน้าห้องของหลวงปู่

    โดยหารู้ไม่ว่า..หลวงปู่ศุขได้มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิอยู่ในห้องแล้ว ...โดยปกติพวกเขา

    ทั้งสองจะตื่นตอนตีห้าเพื่อจัดเตรียมบาตรไว้ให้ปลวงปู่..พร้อมทั้งกระแต๋งหิ้วสำหรับใส่ถุง

    แกงหรือขนมที่ชาวบ้านใส่บาตรจนเต็มบาตรจึงถ่ายเอามาไว้ในกระแต๋ง

    ....................หลวงปู่ศุขจะออกบิณฑบาตในตอนหกโมงเช้า เมื่อแสงสว่างเริ่มจับ

    ขอบฟ้า



    ....................ตีห้าบุญนำและสมพงษ์ตื่นขึ้นมากระวีกระวาดเตรียมบาตรไว้รอหลวงปู่

    พวกเขารอว่า.......เมื่อไรจะมีใครที่วัดธรรมามูลพายเรือมาส่งหลวงปู่ที่วัดอู่ทองคลอง

    มะขามเฒ่า

    ............................"ไอ้โมทย์กับไอ้มิต...มันจะพายเรือมาส่งหลวงปู่หรือเปล่าวะ"

    สมพงษ์เอ่ยคาดหวัง

    ............................"พวกมันมาแล้วจะกลับไปบิณฑบาตที่วัดธรรมามูลทันอย่างไร"

    ............................"เออจริง...แล้วใครจะมาส่งหลวงปู่"

    ....................ขณะที่บุญนำและสมพงษ์กำลังคุยกันอยู่หน้าห้องหลวงปู่ ก็มี

    เสียงกระแอมของหลวงปู่ดังมาจากในห้อง...ทำให้ทั้งคู่ตกใจและหยุดสนทนาในทันที..

    แล้วรีบหันไปเปิดประตูห้องของหลวงปู่...ทั้งสองก็พบหลวงปู่กำลังรินน้ำชาที่สมพงษ์ชงใส่

    กาไว้ใส่แก้วกระเบื้องเคลือบลายจีนใบเล็กแล้วยกขึ้นดื่มฉัน

    ....................บุญนำและสมพงษ์แปลกใจมากเพราะไม่รู้ว่าหลวงปู่มาตั้งแต่เมื่อไร

    ....................บุญนำเอ่ยขึ้นถามทันที

    ............................"หลวงปู่กลับมาตั้งแต่เมื่อไร...ใครพายเรือมาส่งครับ"

    ....................หลวงปู่นั่งเงียบไม่ตอบ...บุญนำจึงหันมาสบตากับสมพงษ์ ..เพราะรู้ว่า

    พฤติการณ์ลักษณะนี้ของหลวงปู่ คือ "ท่านไม่ให้ถาม"....พวกเขาจึงเงียบแต่ก็ยังคิดสงสัย

    อยู่ในใจ...และพากันเดินมารอหลวงปู่ที่พื้นดินบริเวณตีนบันได..หลังจากล้างหน้าล้างตา

    เสร็จแล้ว

    ....................หากบุญนำและสมพงษ์ได้ฟังคำบอกเล่าของลุงบุญกับเจ้าแต้มก็จะรู้ได้

    ทันทีว่า...แท้จริงแล้วหลวงปู่ท่านเดินมาจากวัดธรรมามูล..เดินบนผิวน้ำข้ามฝากมา..และ

    เดินผ่านลุงบุญกับเจ้าแต้มไปเมื่อราวตีสี่ของวันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................การบิณฑบาตของพระวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าซึ่งมีพระอยู่ 9 รูป จะ

    แบ่งการเดินบิณฑบาตออกเป็น 3 สายหรือ 3 ทาง...คือ..ทางทิศใต้ ถนนเลียบแม่น้ำเจ้า

    พระยาไปทางเพิงพักตกปลาของลุงบุญ....ทางทิศเหนือ ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว

    เดินข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีนไปทางบ้านของสมพงษ์....และทางทิศตะวันตกถนนเลียบแม่

    น้ำท่าจีนฝั่งทิศใต้มุ่งหน้าสู่ตลาดวัดสิงห์ ....โดยการแบ่งพระออกเป็นสายละ 3 รูป..พร้อม

    กับลูกศิษย์วัดสายละ 2 คน สลับสับเปลี่ยนกันไปทุกวัน...

    ....................ในเช้านี้หลวงปู่ศุขต้องออกบิณฑบาตมุ่งหน้าไปทางสายทิศตะวันตก

    ถนนเลียบแม่น้ำท่าจีนฝั่งทิศใต้...เพื่อโปรดชาวบ้านตลาดวัดสิงห์....โดยมีพระหนุ่มสองรูป

    พร้อมกับบุญนำซึ่งเดินหิวกระแต๋งและสมพงษ์สพายยามเพื่อรับดอกไม้ที่ชาวบ้านถวายพระ

    เดินตามหลัง

    .....................ทุกเช้ายามบิณฑบาตหลวงปู่ศุขจะมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง..ใบหน้าที่เอิบ

    อิ่ม..แววตามีเมตตาอ่อนโยน...เดินก้มหน้าทอดสายตาลงกับพื้นดินและไม่พูดเลย...บุญ

    นำได้รับคำบอกจากหลวงปู่ว่า.."ท่านต้องภาวนาแผ่เมตตาและให้พรกับชาวบ้านให้เขาร่ำ

    รวยอยู่เย็นเป็นสุข"

    .....................บุญนำและสมพงษ์รู้สึกกระชุ่มกระชวยและตื่นเต้นเป็นพิเศษ...เมื่อถึง

    คิวที่หลวงปู่มาบิณฑบาตที่ตลาดวัดสิงห์....เพราะถึงแม้พวกเขาจะเป็นเด็กชายวัย 11

    ขวบ .....แต่ก็แอบชอบสาวแรกรุ่น"พันธุ์หมวยแท้"วัย 18 ปีลูกสาวของ"แป๊ะเส็ง"ที่เปิด

    ร้านขายกาแฟอยู่ในตลาดวัดสิงห์....เธอชื่อ"เหมย"..เป็นสาวผิวขาว ตาเล็ก หนังตาชั้น

    เดียว จมูกโด่งเล็ก ริมฝีปากดังกระจับ...คิ้วดกดำ....จัดเป็นสาวสวยน่ารักในตลาดที่หนุ่ม

    รุ่นใหญ่และรุ่นเดียวกันรุมจีบ.....แต่พันธุ์เด็กชายอย่างบุญนำและสมพงษ์ได้เพียงแค่"มอง

    เฉย ๆ ก็ชื่นใจแล้ว"...........แต่การมองเหมยของบุญนำและสมพงษ์ก็ไม่พ้นสายตาของ

    เหมยที่เธอรู้สึกได้....เธอก็จะส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูเด็กน้อยทั้งสอง...เหมือนกับจะบอก

    ว่า"รอให้โตก่อนน้องชายแล้วค่อยมาจีบเจ๊"

    ....................แป๊ะเส็งจะขายกาแฟตอนเช้าโดยมีเหมยเป็นผู้ช่วยเสริฟกาแฟให้แก่

    ลูกค้า....และลูกค้าประจำของแกก็คือ..ลุงบุญ..ตาเข่ง...ทิศด้วง...และ..ทิว..ชื่อสุดท้าย

    นี้มากินกาแฟอย่างมีความหมาย...ด้วยมิได้ติดใจรสชาดของกาแฟแป๊ะเส็งที่ขมดุจ

    ดัง"กาแฟของหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่ในปัจจุบันนี้"...แต่มากินกาแฟเพราะอยากเห็นหน้า

    "เหมย"หมวยพันธุ์แท้ที่ตนเองแอบหลงรักอยู่.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................และแน่นอนในเช้านี้...เมื่อทั้งสี่หนุ่มต่างวัยกันมาพบกันที่โต๊ะกาแฟ..

    เรื่องราวเมื่อตอนเช้ามืดที่ลุงบุญกับเจ้าแต้ม......พบเห็นเมื่อตอนตีสี่ก็ได้พลั้งพรูออกจาก

    ปากแกทันที

    ............................"จริง ๆนะ ข้าเห็นมากับตาพร้อมเจ้าแต้มมันเลยว่า..หลวงปู่ท่าน

    เดินมาบนผิวน้ำผ่านหน้าข้ากับเจ้าแต้มเมื่อตอนตีสี่" ลุงบุญยืนยันอย่างเสียงดังเมื่อถูกตา

    เข่งค้านหาว่าแกตาฝาดจนคนในร้านได้ยินกันทั่ว

    ............................"ตีสี่หลวงปู่ท่านจะออกไปไหนกัน..ยิ่งวันพระตอนกลางคืนท่าน

    ไม่ออกจากวัดหรอก" ทิดด้วงก็ค้านลุงบุญเหมือนตาเข่ง..ด้วยตนเองเคยบวชอยู่

    กับหลวงปู่

    ....................ลุงบุญเห็นตาเข่งกับทิดด้วงไม่เชื่อในคำพูดของแก..จึงหันไปหาเจ้าทิว

    เพื่อหาพวก..ก็ได้เห็นเจ้าทิวกำลังส่งตาหวานให้กับสาวเหมย...โดยไม่สนใจการโต้เถียง

    ของแกกับตาเข่งและทิดด้วง.....แกจึงส่ายหน้าด้วยจนปัญญาไม่รู้จะพูดให้สองคนเชื่อ

    อย่างไร จึงได้เปลี่ยนเรื่องมาหยอกล้อเจ้าทิวทันที

    ............................"ไอ้ทิว....มึงจะกินกาแฟหรือมึงจะกินนังเหมยกันแน่วะ"

    ....................เจ้าทิวสะดุ้งอย่างเขินก่อนจะหัวเราะ..และโต้ลุงบุญกลับทันที

    ............................"อ้าวลุงบุญ..ลุงจะเถียงกับตาเข่งกับทิศด้วงก็เถียงไปสิ...มา

    เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ.....เรื่องที่ลุงเล่ามานะ...ข้าฟังจากไอ้แต้มมันเล่าแล้วตอนที่ข้าซื้อปลา

    มันเอาไปให้แม่ข้าก่อนมาที่นี่...ข้าว่าถ้าอยากรู้เรื่องนี้ต้องถามเจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์มัน

    ดู...ว่า...เมื่อคืนนี้หลวงปู่จำวัดที่กุฏิไหม...แล้วเราก็จะได้ข้อมูลเพิ่มว่า...หลวงปู่ท่านน่า

    จะเดินมาบนผิวน้ำตามที่ลุงบุญบอกไหม"

    ............................"เออ...ให้มันได้อย่างนี้สิวะ" ลุงบุญพอใจในคำพูดของเจ้า

    ทิวที่หาทางพิสูจน์เรื่องนี้...ทำให้ดูว่าแท้จริงเจ้าทิวก็สนใจเรื่องนี้อยู่...ไม่เหมือนกับตาเข่ง

    และทิดด้วง....ที่แสดงความเห็นไม่เชื่อคำพูดของแกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ระหว่างทางที่หลวงปู่ศุขเดินบิณฑบาต..บุญนำเดินตามหลังสมพงษ์

    และบุญนำได้เหลือบไปเห็นกิ่งต้นมะขามเทศกิ่งหนึ่งอยู่ข้างทาง...ซึ่งเป็นง่าม..สามารถตัด

    เอาไปทำง่ามหนังสติ๊กให้ปราโมทย์ได้...เขาจึงเอ่ยกับสมพงษ์ขึ้นอย่างกระซิบเบา ๆ

    ............................"เฮ้ย...ไอ้หูกาง..มึงดูง่ามไม้มะขามเทศต้นซ้ายมือโน้น..พอจะ

    ตัดไปให้ไอ้มืด..ทำง่ามหนังสติ๊กวันพระหน้าได้ไหมวะ"

    ....................คำพูดของบุญนำทำให้สมพงษ์หยุดเดินทันที..แล้วหันไปมองตามที่บุญ

    นำบอก

    ............................"เออ...กิ่งมันสวยดีวะ...เดี๋ยวบิณฯเสร็จแล้ว...มึงไปเอามีดที่

    กุฏิหลวงปู่มา...แล้วเรากลับมาตัดไปให้มันหน่อย....ขี้เกียจฟังมันทวง...คนมันเจ๊าะแจ๊ะ"



    ....................หลวงปู่ศุขเดินเข้าบิณฑบาตในตลาดวัดสิงห์...ชาวบ้านต่างก็ยืนใส่บาต

    หลวงปู่กับพระเป็นระยะ ๆ...ทำให้กับข้าว ขนมหวาน และดอกไม้เต็มบาตร...ทำให้บุญนำ

    และสมพงษ์ต้องกุลีกุจอ หยิบกับข้าวและขนมหวานที่อยู่ภายในถุงพลาสติก......ออกจาก

    บาตรของหลวงปู่และพระ...นำมาใส่กระแต๋ง..และหยิบดอกไม้ใส่ยาม

    ....................จนใกล้ผ่านหน้าร้านกาแฟแป๊ะเส็ง...บุญนำและสมพงษ์ต่างก็หน้าบาน

    ด้วยหัวใจที่พองโต....ที่จะได้เห็นเจ๊เหมยคนสวยของมัน....ซึ่งเหมยจะต้องนำกาแฟใส่ถุง

    มาใส่บาตรให้หลวงปู่กับพระ....และไม่วายที่จะต้องส่งยิ้มให้มันสองคน

    ....................และวันนี้ก็เช่นกัน...หลวงปู่เดินมาถึงหน้าร้านแป๊ะเส็ง...ทุกคนที่อยู่ภาย

    ในร้านต่างก็ลุกจากเก้าอี้มานั่งยอง ๆ และพนมมือไหว้มาทางหลวงปู่.....เหมยเอากาแฟ

    สามถุงใส่บาตรหลวงปู่และพระที่ติดตาม...แล้วเดินมายิ้มให้กับบุญนำและสมพงษ์พลาง

    เอ่ยขึ้น

    ............................"เหนื่อยไหมจ๊ะ...สองหนุ่ม"

    .....................ทั้งบุญนำและสมพงษ์..ซึ่งมองเจ๊เหมยตาไม่กระพริบด้วยอาการยิ้ม

    ปลื้มอยู่ก่อนแล้ว.....เมื่อได้ยินเสียงเจ๊เหมยทักทาย..หัวใจจึงพองโตและแย่งกันตอบคำ

    พูดเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน

    ............................"เห็นหน้าเจ๊เหมย...แล้วไม่เหนื่อยเลยคร๊าบ"

    .....................เจ๊เหมยได้ยินเสียงตอบประสานของบุญนำและสมพงษ์..ก็ถึงกับ

    หัวเราะและหน้าแดงด้วยความเขิน...แม้ตนเองจะเอ็นดูทั้งสอง...แต่คำพูดเสมือนเกี้ยว

    พาราสีเช่นนี้ก็ให้รู้สึกอาย......ซึ่งพฤติการณ์ของบุญนำและสมพงษ์ทำให้เจ้าทิวซึ่งมองอยู่

    รู้สึก"หึงจนหึ่ง"อยู่เหมือนกัน...มันจึงบ่นพึมพำขึ้นมา

    ............................"แหม...ไอ้บุญนำกับไอ้สมพงษ์...ริอ่านจีบน้องเหมยของข้า

    หรือวะ...ไอ้เด็กเมื่อวานซืน"

    ....................คำพูดของเจ้าทิวทำให้ทิดด้วง ตาเข่ง และลุงบุญ...ที่ฟังอยู่ต้องปล่อย

    หัวเราะออกมาทันทีที่หลวงปู่ไปแล้ว....ลุงบุญจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยความหมั่นไส้

    ............................"ไอ้ทิว...ไอ้ใจแคบ หึงแม้กระทั่งเด็ก"

    ............................"อ้าวลุง...ความรักมันเข้าใครออกใครที่ไหน...ไอ้ที่ลุงไม่มีเมีย

    ถึงปานนี้..ไม่ใช่เพราะประมาทหรือ...แม่เจ้าแต้มมันถึงไปรักน้องชายลุง"

    ....................เจ้าทิวเอ่ยท้าวความหลังที่ตนเองฟังจากแม่ที่เล่าให้ฟังว่า...ความจริง

    ลุงบุญกับแม่เจ้าแต้มเคยชอบกัน...แต่เพราะน้องชายตัวดีของแกก็ดันชอบแม่เจ้าแต้ม...

    และดันช่างพูดช่างประจบกว่าแก....แม่เจ้าแต้มเลยไปรักน้องชายของแก...และแต่งงาน

    กัน..ออกลูกมาเป็นเจ้าแต้ม...แกก็เลยอกหักไม่คิดจะรักใครอีก...นอกจากรู้สึกว่า...อยู่ใกล้

    เจ้าแต้มหลานชายก็เหมือนอยู่ใกล้แม่ของมัน

    ....................คำพูดของเจ้าทิว...ทำให้ลุงบุญสดุดกึกกลืนน้ำลายตัวเอง...แล้วหยุด

    พูดต่อทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ต้นมะขามเทศข้างทางที่จะไปวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าในตอนสาย

    ของวันนั้น.....บุญนำได้ปืนขึ้นไปและกำลังตัดกิ่งที่เล็งไว้เมื่อเช้านี้ โดยมีสมพงษ์ยืนรอ

    อยู่ข้างล่าง ...เป็นขณะเดียวกับที่เจ้าทิวกับเจ้าแต้มเดินมาตามถนน..เพื่อมาหาและสอบ

    ถามบุญนำกับสมพงษ์เรื่อง"หลวงปู่อยู่ที่ใดเมื่อคืนนี้"....เจ้าแต้มเห็นเด็กรุ่นน้องสองคน

    ก่อนจึงเอ่ยขึ้น...

    ............................"นั่นไง...พี่ทิว..เจ้าสองคนมันอยู่ที่ต้นมะขามเทศ"

    ....................เจ้าทิวมองไปทางต้นมะขามเทศ..เห็นบุญนำกำลังตัดกิ่งมะขามเทศ..

    โดยมีสมพงษ์รออยู่ข้างล่าง จึงเอ่ยทักขึ้น

    ............................"นั่นพวกเอ็ง...จะตัดไม้เอาไปทำอะไร"

    ....................บุญนำและสมพงษ์หันมาทางต้นเสียงก็พบคนคุ้นเคย...สมพงษ์จึงเอ่ย

    ตอบ

    ............................"ตัดเอาไปทำง่ามหนังสติ๊กให้ไอ้ปราโมทย์วัดธรรมามูลน่ะพี่

    ทิว..แล้วพี่ทิวกับพี่แต้มจะไปไหนกัน"

    ............................"ก็มาหาพวกเอ็งสองคนนี่แหละ..มีเรื่องจะถาม"

    .....................บุญนำหยุดตัดไม้ทันทีแล้ว...จึงตะโกนถามกลับมาด้วยความสงสัย

    ............................"เรื่องอะไรหรือพี่ทิว"

    ............................"เอ็งตัดกิ่งไม้ให้เสร็จก่อนเถอะ..ข้าไม่รีบร้อนหรอก"

    ............................"ได้"

    .....................บุญนำจึงจัดการตัดกิ่งมะขามเทศจนขาด......และตกลงมาที่ข้างหน้า

    สมพงษ์...แล้วจึงโยนมีดลงมาพื้นล่าง....พลางปีนลงจากต้นมะขามเทศอย่างรวดเร็ว...

    ส่วนสมพงษ์หยิบมีด......และดึงเอากิ่งมะขามเทศ......มาริดกิ่งและใบที่เกะกะออก......

    แล้วตัดให้เหลือ"ง่ามไม้"...พร้อมกับเหลาให้เป็นรูปทรง..เพื่อให้ดูงาม"อันเป็นน้ำใจจาก

    เขาที่จะมอบให้เพื่อนรัก"

    ....................ทั้งสี่นั่งล้อมวงอยู่ใต้ต้นมะขามเทศ...บุญนำจึงเอ่ยคำถามเดิมอีกครั้ง..

    พร้อมกระเส้าแหย่เจ้าทิวอย่างอารมณ์ดี

    ............................"พี่ทิวมีเรื่องอะไรหรือถึงมาหาข้า...หรือว่าเลิกรักเจ๊เหมยแล้ว..

    จะมายกให้ข้ากับเจ้าพงษ์หรือ...ข้าเลี้ยงไม่ไหวหรอกนะ"

    .....................เจ้าทิวฟังคำแหย่ของบุญนำ..เลยละคำถามที่ตั้งใจมาถาม..หันมาเอา

    มือตบหัวโหนกบุญนำเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะด้วยชอบใจคำพูดของมัน

    ............................."นี่แน่...ไอ้ทะลึ่ง..ริอาจจีบสาวรุ่นพี่หรือ...รอไปก่อนเถิดพวก

    เอ็งน่ะ"

    ............................."อ้าว...ไม่แน่นะ...ตอนนี้ข้ายังไม่หล่อ...แต่อีก 9 ปีข้าง

    หน้า..ข้าโตเป็นหนุ่ม..ข้าอาจหล่อเกินหน้าพี่ทิว..แล้วเจ๊เหมยอาจมาชอบข้าก็ได้"

    ............................."9 ปีข้างหน้า...เอ็งรอลูกสาวเจ๊เหมยเถอะ..แล้วรอลูกเขาโต

    ด้วย"

    ............................."ลูกสาวเจ๊เหมยกับพี่ทิว...หรือคู่แข่งพี่ทิวล่ะ" สมพงษ์ได้

    ทีแจม

    ............................."ยังไม่แน่โว๊ย...อาจเป็นลูกข้าก็ได้..และข้าอาจจะเป็นพ่อตา

    พวกเอ็งในอนาคตก็ได้นะเว้ย"

    ............................."ฮะ ฮา...พวกข้าไม่เอาพ่อตาที่หล่อเหมือนพระเอกลิเก

    หรอก" สมพงษ์หัวร่อพร้อมกับพูดถึง......ความหล่อของทิวที่กระเดียดไปทางพระเอก

    ลิเก...ทำให้บุญนำและเจ้าแต้มรวมทั้งเจ้าทิวเอง.....ก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาด้วย

    ความครื้นเครงอยู่พักหนึ่ง...แล้วเจ้าทิวจึงเอ่ยถาม........บุญนำกับสมพงษ์อย่างเป็นงาน

    เป็นการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ที่ข้ากับเจ้าแต้มมาหาพวกเอ็งสองคน..เพราะต้องการถามพวก

    เอ็งว่า...เมื่อคืนนี้หลวงปู่จำวัดอยู่ที่กุฏิหรือเปล่า"

    ............................"เปล่าหรอก...เมื่อคืนหลวงปู่ค้างที่วัดธรรมามูล..แล้วพี่ทิวถาม

    ทำไม" บุญนำตอบพร้อมกับถามกลับด้วยความสงสัย

    ............................"ก็เมื่อคืนนี้ ลุงบุญกับเจ้าแต้มนั่งเฝ้าคันเบ็ดอยู่...และเมื่อตอน

    ตีสี่เจ้าแต้มมันเห็นหลวงปู่เดินบนผิวน้ำมาจากทางใต้.....แล้วมุ่งหน้าไปที่วัด...และมันจึง

    เรียกลุงบุญดู...ลุงบุญก็เห็นเหมือนกับมัน"

    ............................"หา" บุญนำและสมพงษ์อุทานพร้อมกันเมื่อได้ฟังคำอธิบาย

    ของเจ้าทิว

    ............................"ข้านึกสงสัยอยู่แล้วเชียว...ว่า...หลวงปู่กลับมาอยู่ให้ห้องกุฏิ

    เมื่อตอนตีสี่ได้อย่างไร" สมพงษ์รำพึงรำพันให้ฟังพร้อมกับ...หันมาสบตาบุญนำ...ทำให้

    บุญนำเอ่ยขึ้นบ้าง

    ............................."ถึงว่า...เมื่อตอนเช้ามืด..ข้าถามหลวงปู่ถึงไม่ตอบ แสดงว่า

    ท่านไม่อยากให้รู้"

    ....................เจ้าทิวและเจ้าแต้มให้นึกสงสัยว่า...ทำไมหลวงปู่ไปค้างวัดธรรมามูล

    เจ้าแต้มจึงเอ่ยถามขึ้นก่อน

    ............................."แล้วหลวงปู่ท่านไปค้างทำไมที่วัดธรรมามูล"

    ............................."ท่านไปปลุกเสกแม่พิมพ์ที่ช่างแกะสลักแม่พิมพ์..เหรียญหลวง

    พ่อธรรมจักรรุ่นแรก" บุญนำตอบ

    ............................."เหรียญหลวงพ่อธรรมจักร" เจ้าทิวและเจ้าแต้มอุทานอย่าง

    ตื่นเต้น

    ............................."ใช่แล้ว..ขนาดแม่พิมพ์หลวงพ่อธรรมจักร...หลวงปู่ยังปลุก

    เสกเป็นคืน...ถ้าเหรียญทำออกมา...ข้าว่าหลวงปู่ต้องไปปลุกเสกแทบทุกคืนวันพระแน่....

    พี่ก็ลองคิดดูก็แล้วกันว่า...ถึงขนาดหลวงปู่ข้ามฝากไปทำพิธีถึงที่วัดธรรมามูล เหรียญ

    หลวงพ่อธรรมจักรจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน"

    ....................เจ้าทิวและเจ้าแต้มฟังบุญนำอธิบาย..นั่งนิ่งอึ้งฟังอย่างตั้งใจ...เพราะ

    โดยส่วนตัวแล้วต่างก็รู้ดีเหมือนชาวบ้านมะขามเฒ่า ...และชาวบ้านวัดสิงห์ว่า...หลวงปู่ศุข

    ท่านจะเคารพนับถือองค์หลวงพ่อธรรมจักรมาก...แต่ไม่เคยมีข่าวเรื่องหลวงปู่ศุขจะสร้าง

    เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรมาก่อนเลย...เจ้าทิวเลยถามกลับด้วยความสงสัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"แล้วหลวงปู่ท่านคิดสร้างเองหรือ"

    ............................"ไม่ใช่หรอก...ท่านเจ้าอาวาสวัดธรรมามูลมาขอให้หลวงปู่สร้าง

    ไว้แจกญาติโยมที่มาทำบุญ...เมื่อวานนี้ข้ากับไอ้พงษ์ไปเห็นแม่พิมพ์ที่ช่างแกะสลักมาแกะ

    แล้ว...สวยดี"

    ....................เจ้าทิวพยักหน้ารับรู้...และได้ประมวลเหตุการณ์ที่หลวงปู่ศุขไปค้างที่วัด

    ธรรมามูลเมื่อคืนนี้...เข้ากับเหตุการณ์ที่ลุงบุญและเจ้าแต้ม...เห็นหลวงปู่เดินบนผิวน้ำมา

    จากทางใต้...ก็คงมาจากวัดธรรมามูล...และ..เหตุการณ์ตอนที่บุญนำและสมพงษ์พบ

    หลวงปู่มาอยู่ที่กุฏิแล้วตอนตีสี่...จึงสรุปได้ว่า....เหตุการณ์ที่ลุงบุญกับเจ้าแต้ม...เห็น

    หลวงปู่ศุขเดินบนผิวน้ำ..."น่าจะเป็นจริง"...แต่ก็ฝากให้บุญนำและสมพงษ์ไปถาม

    ปราโมทย์กับนิมิตว่า.....ใครเป็นคนพายเรือมาส่งหลวงปู่ศุขที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า

    ....................ซึ่งในวันพระต่อมา...ที่บุญนำและสมพงษ์พายเรือไปส่งหลวงปู่ศุขที่วัด

    ธรรมามูล...พร้อมกับได้เอาง่ามหนังสติ๊กไปให้ปราโมทย์...และได้สอบถาม..เมื่อวันพระที่

    แล้ว....ใครพายเรือมาส่งหลวงปู่ศุข....ก็ได้ความว่า...นิมิตกับปราโมทย์ได้ออกมาดูหลวง

    ปู่ศุขที่วิหารหลวงพ่อธรรมจักรเมื่อตอนก่อนตีสี่เล็กน้อย...ก็ไม่พบหลวงปู่อยู่แต่อย่างใด....

    โดยนิมิตและปราโมทย์ได้รอหลวงปู่อยู่ที่วิหารหลวงพ่อธรรมจักร...เพื่อจะพายเรือไปส่ง

    หลวงปู่จนฟ้าสางก็ไม่พบหลวงปู่....จึงได้ไปบอกเจ้าอาวาสวัดธรรมามูลทราบ....ซึ่งท่านก็

    บอกว่า.."คงกลับวัดแล้ว".......แต่จะกลับได้อย่างไรคนที่วัดธรรมามูลไม่ทราบ.....จะ

    ทราบก็จากคำบอกเล่าของบุญนำและสมพงษ์ที่ว่า"ท่านเดินกลับวัดเองและเดินบนผิวน้ำ

    ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาฝั่งตะวันตก"

    ....................ง่ามหนังสติ๊กที่สมพงษ์ทำให้แก่ปราโมทย์...ปราโมทย์ได้ใช้ทำ

    หนังสติ๊ก...แต่ไม่ใช่เพื่อยิงนกให้ผิดศีลข้อ 1 ...แต่ปราโมทย์ได้ใช้มันยิงสังกะสีที่ติดอยู่

    ที่โรงครัวให้เกิดเสียงดัง.....เพื่อไล่หมาตอนจะขึ้นมากินอาหารในโรงครัว.....โดยที่ตน

    เองไม่ต้องวิ่งมาไล่เหมือนก่อน....ง่ามหนังสต๊กดังกล่าวปราโมทย์ได้เก็บมันไว้เป็นที่ระลึก

    ที่สมพงษ์เพื่อนรักได้ทำให้แม้กระทั่งเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว.......และเมื่อทราบข่าวว่า

    สมพงษ์เพื่อนรักเสียชีวิตที่เมืองอุทัยธานี....เขาได้หยิบง่ามหนังสติ๊กขึ้นมาดูด้วยใบหน้าที่

    เศร้าสลดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ

    ....................ปาฏิหาริย์การเดินบนผิวน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาของหลวงปู่ศุข..ได้ถูก

    เล่าสู่กันฟังจนชาวบ้านมะขามเฒ่าและบ้านวัดสิงห์ต่างก็รู้กันทั่ว...และศรัทธาในคำสอน

    และอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ศุขเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรรุ่นแรก..เมื่อถูกสร้างเสร็จหลวงปู่ศุขได้ข้าม

    ฝากไป"พุทธาภิเษก"หรือที่เรียกสั้น ๆตามนิยมก็คือ"ปลุกเสก"....แต่ความจริงแล้ว..เนื่อง

    จากเหรียญเป็นรูปของพระพุทธองค์ไม่ใช่รูปหลวงปู่จึงต้องใช้คำว่า"พุทธาภิเษก".....

    หลวงปู่ได้ข้ามฝากไปทำพิธีอยู่หลายคืนในทุกวันพระ...จนเป็นข่าวลือไปทั่ว....ทำให้ชาว

    บ้านที่รู้ข่าวต่างก็นำปัจจัยมาถวายที่วัดธรรมามูล..เพื่อทำบุญและขอรับเหรียญนี้....โดย

    เฉพาะงานประจำปีวัดธรรมามูล...ท่านเจ้าอาวาสวัดธรรมามูลได้นิมนต์หลวงปู่ศุขเป็นผู้

    มอบแจกเหรียญหลวงพ่อธรรมจักรให้แก่..ผู้มีศรัทธาทำบุญ..และ ......ท่านเจ้าอาวาสวัด

    ธรรมามูลได้ถวายเหรียญหลวงพ่อธรรมจักรจำนวนหนึ่งให้แก่...หลวงปู่ศุขนำมาแจกแก่

    ญาติโยมที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า

    ....................เหรียญนี้เป็นเหรียญที่ผู้คนต้องการมาก...ด้วยเห็นนิมิตหมายว่า...ขนาด

    หลวงปู่ศุขซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ยังมาเคารพกราบไหว้บูชาหลวงพ่อธรรมจักร....

    เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า..."หลวงพ่อธรรมจักรต้องเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก"...และ

    หลวงปู่ศุขเป็นผู้ที่นั่งเรือข้ามฝากไปพุทธาภิเษกที่วัดธรรมามูล.......เหรียญนี้ก็คงเป็นนิมิต

    หมายว่า.."น่าจะพาผู้คนที่มีเหรียญข้ามฝากไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย"..

    ทำให้เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรรุ่นแรกหมดไปโดยเร็ว......เจ้าอาวาสวัดธรรมามูลจึงได้ขอ

    ให้หลวงปู่ศุขพุทธาภิเษกเหรียญหลวงพ่อธรรมจักรขึ้นอีก...โดยเหรียญรุ่นนี้ได้ทำเป็น

    รูป"น้ำเต้า"...และก็ได้แจกจ่ายผู้คนจนหมดอีกเช่นกัน

    ....................บุญนำ ..สมพงษ์..ปราโมทย์..และนิมิต...ต่างก็ได้รับเหรียญหลวงพ่อ

    ธรรมจักรรุ่นแรกจากมือของหลวงปู่ศุขด้วยกันทุกคน....และพวกเขาก็ได้ใช้ห้อยคอแขวน

    ติดตัวเป็นประจำ...ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่...รวมทั้ง..ลุงบุญ ตาเข่ง ทิศด้วง เจ้าทิว เจ้าแต้ม

    แป๊ะเส็ง และเจ๊เหมยต่างก็มีเหรียญรุ่นนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  9. กินข้าวยัง

    กินข้าวยัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +27
    อนุโม กับความรู้ครับผม
     
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ขอนำเรื่องที่ผู้เขียนประสบพบมา...แทรกในนิยายสักเล็กน้อย..เกี่ยว

    กับ"หลวงพ่อธรรมจักร"..ประมาณปี พ.ศ.2532 ผู้เขียนมีธุระไปติดต่อที่ศาลจังหวัด

    ชัยนาท...และได้เดินขึ้นไปบนชั้นสองของศาลแถวหน้าห้องพิจารณาคดี....มีตำรวจนาย

    หนึ่งนำตัว....จำเลยที่แต่งชุดนักโทษตีโซ่ตรวนไว้ที่ขาทั้งสองข้าง....เดินผ่านหน้าผู้เขียน

    ไป....ทราบภายหลังว่า..จำเลยผู้นี้ถูกนำตัวไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกา.....ที่ศาลจังหวัด

    ชัยนาทจะเป็นผู้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา.....เป็นคดีอาญาที่มีความผิดร้ายแรงอัตราโทษ

    สูง......และจำเลยไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ได้รับการประกันตัวนั่นเอง.....จึงต้อง

    ถูกคุมขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดชัยนาทจนกว่าคดีถึงที่สุด.....การฟังคำพิพากษาศาลฎีกาที่

    เป็นศาลสุดท้าย....โดยปกติจำเลยจะต้องมีสีหน้าที่วิตกกังวลอยู่เสมอ...จะติดคุกต่อหรือ

    จะรอดก็อยู่ที่ศาลฎีกานี้......แต่จำเลยผู้นี้กลับมีสีหน้าสดใสเบิกบาน...ซึ่งผิดปกติของ

    จำเลยทั่วไป......ราวประมาณ 15 นาทีที่จำเลยผู้นี้กับตำรวจท่านนั้น...หายไปในห้อง

    พิจารณาคดี..ก็กลับออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตื่นเต้นยินดี...และพูดออกมาด้วย

    เสียงอันดังว่า
    ..........................."ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ หลวงพ่อธรรมจักร....เมื่อคืนนี้ท่านไปเข้าฝัน

    ผม..บอกผมว่า...พรุ่งนี้มึงหลุดแร่เตรียมตัวออกจากคุก...ที่ชัยนาทนี่กูใหญ่กูคุมอยู่ ..มึง

    หลุดแน่"

    ....................ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า..ก่อนที่จำเลยผู้นี้จะรับฟังคำพิพากษาศาลฎีกา...ที่

    เขามีหน้าตาสดใสเบิกบาน..เพราะเขาเชื่อในความฝันที่ฝันเห็นหลวงพ่อธรรมจักรมาบอก

    ดังได้กล่าวมา

    ....................ผู้เขียนทราบในภายหลังว่า...จำเลยผู้นั้นไม่ใช่คนจังหวัดชัยนาท...และ

    ไม่เคยไปกราบไหว้หรือเห็นหลวงพ่อธรรมจักรมาก่อนเลย...แต่เขากลับรู้ว่า...พระที่มาเข้า

    ฝันบอกเขาคือ...หลวงพ่อธรรมจักรได้อย่างไร...เมื่อคิดดูแล้ว...ในความฝันของเขา..น่า

    จะมีเรื่องราวมากกว่านั้น...ที่ทำให้เขารู้ว่า..พระองค์นั้นคือ"หลวงพ่อธรรมจักร"

    ....................เมื่อจำเลยผู้นั้นออกจากเรือนจำจังหวัดชัยนาทแล้ว...ก็คงไปกราบ

    หลวงพ่อธรรมจักรด้วยคิดว่า"ท่านคงช่วยเขาให้รอดคุก"...ตามที่เขารำพึงรำพันให้ผู้เขียน

    ได้ยินว่า"ออกจากคุกแล้ว..ผมต้องไปกราบหลวงพ่อธรรมจักร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตามประวัติหลวงพ่อธรรมจักร..เป็นพระพุทธรูปเนื้อไม้สูงประมาณ

    4.50 เมตร ได้ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา...เมื่อลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดธรรมามูล...

    ปรากฎว่าได้ลอยวนเวียนอยู่....พระภิกษุและชาวบ้านจึงได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน

    ที่วัด....โดยนำเชือกพร้อมด้ายสายสิญจน์ผูกกับพระพุทธรูป...แต่ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้

    จนกระทั่งตกเย็น...ก็ได้แยกย้ายกันกลับ...โดยนัดกันจะกลับมาดึงต่อในวันรุ่งขึ้น

    .....................ครั้นรุ่งเช้า...ชาวบ้านต่างก็แปลกใจเมื่อไม่พบพระพุทธรูปซึ่งผูกไว้ที่

    ชายน้ำ....ต่างก็คิดว่า"พระพุทธรูปได้หลุดลอยน้ำไป".....จึงแยกย้ายกันกลับ....แต่ใน

    ขณะเดียวกันนั้น..มีผู้พบเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานปิดขวางทางเข้าประตูวิหารวัดซึ่งอยู่ที่

    บริเวณไหล่เขา...จึงได้เรียกชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างให้ขึ้นไปดู...ทำให้ทุกคนประหลาดใจ

    ว่า"พระพุทธรูปขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร"...ทำให้เห็นถึงปาฏิหาริย์ของท่าน...

    ....................และเมื่อพระพุทธรูปอยู่ ณ ที่นั้นได้ 3 วันก็หายไปจากวัด...แต่ต่อมาก็

    กลับมาประดิษฐาน ณ ที่เดิมโดยไม่ทราบสาเหตุ......และมีโคลนรวมทั้งจอกแหนติดเปื้อน

    มาด้วย......ชาวบ้านเชื่อว่า"ท่านอาจจะหนีลอยน้ำไปเที่ยวที่อื่นแล้วจึงกลับมา".....ดังนั้น

    จึงได้นำโซ่มาผูกไว้ที่ข้อพระบาท...เพื่อไม่ให้องค์ท่านหนีหายไป

    ....................ต่อมามีชายต่างถิ่นล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา...จากทางเหนือ

    มาตามหาพระพุทธรูป...และมาถึงวัดธรรมามูลจึงได้พบองค์หลวงพ่อ..ซึ่งเขากำลังตามหา

    อยู่...ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ...ชายผู้นั้นจึงอาศัยนอนอยู่ที่วัด...เพื่อรอเวลาอัญเชิญ

    หลวงพ่อกลับ ณ วัดเดิมในตอนเช้า.....แต่เขากลับฝันไปว่า.."หลวงพ่อไม่ขอกลับขออยู่ที่

    วัดธรรมามูล"....ดังนั้นในตอนเช้าเขาจึงลาสมภารกลับ...และขอถอดเอา.............

    "จักรที่ฝ่ามือ"องค์หลวงพ่อกลับไป

    ....................นับแต่นั้นหลวงพ่อไม่เคยหายไปไหนอีกเลย....ชาวบ้านจึงได้นำโซ่

    ออกจากข้อพระบาท..และ "สร้างจักรขึ้นมาใหม่"ถวายท่านที่ฝ่ามือแทนอันเก่าที่ถูกชายผู้

    นั้นถอดไป.

    (ข้อมูลนี้นำมาจากประวัติหลวงพ่อธรรมจักร ของ วัดธรรมามูลวรวิหาร ตำบลธรรมามูล

    อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12102008361.jpg
      12102008361.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      46
    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตอนที่ 51 หลวงปู่ศุขรำพึง...................


    ....................ต่อมาอีก 1 ปี ..เมืองชัยนาทปี พ.ศ.2462 ....ก่อนที่หลวงปู่ศุขจะมา

    อยู่ที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ..... ท่านเคยเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร...ทั่ว

    แผ่นดินสยาม...เพื่อปฏิบัติธรรมโดยการนั่งกรรมฐานภาวนา....และฝึกฝนเรียนรู้วิชาอาคม

    จากพระอาจารย์ในป่าใหญ่....ซึ่งพวกท่านทั้งหลายต่างก็หลีกเร้นตนเอง...จากโลกภาย

    นอก..มุ่งสู่การปฏิบัติธรรมเช่นกัน

    ....................ด้วยเหตุที่หลวงปู่ศุขละการปฏิบัติภาวนาด้วยการอยู่"ธุดงควัตร"มา

    นาน...ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งท่านรำพึงรำพันถึงชีวิตเช่นนั้น....อันเป็นชีวิตที่ปลอดโปร่งโล่ง

    จากการพบปะผู้คนมากมาย....ไม่ต้องสงเคราะห์ผู้คนที่มีทุกข์ร้อน..และมาขอให้ท่านช่วย

    เหลือเหมือนเช่นทุกวันนี้...ชีวิตเช่นนั้นมีแต่สงเคราะห์ตนเองเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ

    ธรรมเท่านั้น

    ...................สายลมเย็นยามบ่ายพัดผ่านมาที่ชานกุฏิที่หลวงปู่ศุขนั่งอยู่...โดย

    ปราศจากบุญนำและสมพงษ์ศิษย์รักทั้งสอง..ที่ขออนุญาตกลับไปช่วยงานที่บ้านตนเอง

    ...................หลวงปู่ศุขหวลรำลึกไปถึงสมัยที่ท่านเดินธุดงค์เข้าป่าใหญ่แขวงเมือง

    สุพรรณบุรี...และได้พบเจดีย์โบราณเก่าแก่หักพัง...มีต้นไม้กิ่งไม้ใหญ่ปกคลุม..รกไปทั่ว

    องค์เจดีย์จนไม่สามารถมองเห็นได้ว่า....ใต้แมกไม้ที่ปกคลุมนั้นเป็น"เจดีย์"...ประกอบกับ

    มีกลิ่นไอของความอาถรรพณ์.....และการสัมผัสทางจิตของท่านพบว่ามี...เหล่าวิญญาณ

    ต่าง ๆสิงสถิตอยู่ ณ ที่นั้นอย่างมากมาย.....ด้วยฤทธิ์แห่งวิญญาณและอาถรรพณ์ได้สร้าง

    ภาพลวงตาปิดบังเจดีย์นั้นไว้....หากผู้คนธรรมดาผ่านไปจะไม่สามารถรู้เห็นได้เลยว่าที่นั้น

    คือ "เจดีย์"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ก็เจดีย์นั้น คือ เจดีย์อะไรเหล่า จิตของท่านถึงมิได้สัมผัสกับเหล่า

    เทพยดาเลย.....เพราะเจดีย์ใดเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ...ท่านก็สามารถสัมผัส

    ได้ว่า.."มีเทพยดาสถิตรักษาอยู่...เพราะจิตของหลวงปู่ศุขสัมผัสสื่อได้กับเทพยดา...จึง

    ทำให้ท่านภาวนาพระคาถาเกี่ยวกับเทพยดาอยู่เสมอว่า "สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภะคะ

    วาติ"..อันเป็นพระคาถาที่รำลึกถึงเทวดาส่วนหนึ่ง

    ....................เจดีย์ที่บุคคลใด"ก่อสร้าง"ขึ้นเพื่อบรรจุหรือครอบไว้...มันเป็นสิ่งที่

    บุคคลนั้นให้ความเคารพสักการะอย่างสูง....ก็ในเมื่อสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในเจดีย์หรือที่เจดีย์

    ครอบไว้.."ไม่ใช่พระบรมสารีริกธาตุแล้ว"....ทำไมผู้สร้างจึงได้สร้างเอาไว้ค่อนข้างใหญ่

    โต....และมีสิ่งใดกันอยู่ที่อยู่ภายในเจดีย์ที่มีความสำคัญ.......ถึงขนาดบุคคลผู้สร้างจะ

    ต้องทำการ"สักการะอย่างยิ่งใหญ่"ด้วยการสร้าง"พระเจดีย์".อย่างเช่น "การสร้างพระเจดีย์

    บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    .....................การที่ผู้สร้างสร้างเจดีย์ขึ้นก็เพื่อสักการะ....ผู้สร้างจะต้องเห็นถึงบุญ

    คุณอันยิ่งใหญ่ของสิ่งที่อยู่ภายในพระเจดีย์นั้น.."ก็แล้วสิ่งนั้นคืออะไร"

    .....................เพื่อต้องการพิสูจน์ว่า"มีสิ่งใดอยู่ในพระเจดีย์"...หลวงปู่ศุขจึงปักกลด

    นั่งภาวนาอยู่ข้างเจดีย์นั้น....โดยก่อนที่จะนั่งภาวนาในคืนนั้น...ท่านได้ใช้มนต์คาถาเบิก

    ไพรแก้อาถรรพณ์ที่วิญญาณเหล่านั้น...บังลวงจิตลวงใจเอาไว้เสียก่อน

    .....................ประมาณเกือบเที่ยงคืนที่ท่านนั่งสมาธิแผ่บุญกุศลและเมตตาไป

    ยัง"สรรพสัตว์และเหล่าวิญญาณ ณ ที่นั้น....ท่านก็ได้ยินเสียงและเห็นทางจิตถึงการรบพุ่ง

    กันระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย ..ท่านรู้ได้ว่า คือ "ฝ่ายกรุงศรีอยุธยา" กับ "กรุงหงสาวดี"..

    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "สยาม" กับ "พม่า" (สมัยหลวงปู่ศุขเรียกประเทศไทยว่า "ประเทศ

    สยาม")
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  14. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,574
    อนุโมทนาสาธุบุญกับพระโพธิสัตว์ทุกๆท่านทุกๆกองบุญ ครับ
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลวงปู่ศุขเห็นภาพ.."การทำยุทธหัตถี"ชนช้างกันระหว่าง.แม่ทัพทั้ง

    สองฝ่าย...นั่นคือ."ฝ่ายกรุงศรีอยุธยา" คือ "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช" กับ "ฝ่ายกรุงหง

    สาวดี" คือ "สมเด็จพระมหาอุปราชา"

    ....................การทำยุทธหัตถี...ท่านเห็นเหมือนกับที่รู้มาจากประวัติศาสตร์ของสยาม

    นั่นคือ..สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันสมเด็จพระมหาอุปราชาด้วยของ้าวสิ้นพระชนม์บนหลัง

    ช้าง........

    ....................เมื่อท่านเพ่งญาณมองไปที่รอบ ๆ พระเจดีย์ก็เห็น..วิญญาณของเหล่า

    ทหารสยามแห่งกรุงศรีอยุธยาและทหารพม่าแห่งกรุงหงสาวดีหลายนาย...ต่างก็ยืนเฝ้าเป็น

    ยามรักษาระวังภัยพระเจดีย์...บางก็พากันเดินไปมาด้วยกัน....ระหว่างทหารสยามกับพม่า

    รอบพระเจดีย์นั้น....อันเป็นการคอยระวังมิให้ผู้ใดบุกรุกพระเจดีย์แห่งนี้

    ....................มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่า.."ทหารที่เคยรบราฆ่าฟันกันทั้งสองฝ่ายจะมา

    เป็นมิตรกัน...ช่วยกันดูแลพระเจดีย์แห่งนี้"....แต่เรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน...

    หลวงปู่ศุขจึงพยายามที่จะเข้าญาณเพ่งไปดูภายในพระเจดีย์นั้น...แต่แล้วก็มีบางสิ่งที่ทำให้

    ท่านต้องลืมตาขึ้น

    ............................"พระคุณเจ้าขอรับ...พระคุณเจ้าขอรับ"

    ....................หลวงปู่ศุขออกจากฌานและสมาธิลืมตาขึ้น...ก็เห็น.."แม่ทัพพม่าหนุ่ม

    อายุราว 40 ปีพร้อมกับ....เหล่าทหารสยามและพม่านั่งอยู่ด้านหลังรายล้อมด้วยอาการ

    เคารพ....หลวงปู่ศุขเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"มีสิ่งใดให้อาตมาช่วยเหลือหรือ"

    ............................"เราคือ พระมหาอุปราชา...เรากับทหารหงสาวดีและทหารอโยธ

    ยา..ได้รับเมตตาและบุญกุศลที่พระคุณเจ้าแผ่ให้พวกเรา...เราจึงพากันมานมัสการขอบใจ

    ในพระคุณเจ้าเป็นอย่างสูง"

    ....................หลวงปู่ศุขแย้มปากเล็กน้อย...มองดูเหล่าผู้อยู่เบื้องหน้าอย่างเมตตา..

    และได้เห็นสีหน้าของแม่ทัพหงสาวดี..มีใบหน้าเอิบอิ่มยิ้มแย้มแจ่มใส...จึงเอ่ยขึ้น

    ............................"มหาบพิตรและเหล่าทหารมาจากไหนหรือ..และทำไมมาอยู่รวม

    กันอย่างกลมเกลียว...มิได้รบรากันแต่ก่อน"

    ............................"เรามาจากในพระเจดีย์...ส่วนทหารทั้งสองฝ่ายคือ..ทหารที่

    อารักขาเรานอกพระเจดีย์.....และเหตุที่ทหารจากอโยธยามาอารักขาเราด้วยนั้น...เนื่องมา

    จากพวกเขาเห็นนายของเขา คือ พระนเรศวรน้องเรา...มากราบสักการะพระศพเราภายใน

    เจดีย์นี้...พวกเขาจึงเห็นความสำคัญว่า...ขนาดนายของพวกเขายังเคารพสักการะเรา....

    แสดงให้เห็นว่า..พระองค์จะต้อง"เห็นคุณแห่งเรา"...จึงพากันละทิฏฐิที่จะประทุษร้ายต่อ

    กัน...หันมาเป็นมิตรกันเพื่อเฝ้าดูแลพระศพเรา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  16. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    พี่ชายครับ มีเรื่องถามนิดหน่อยครับ
    คือว่า คำว่าเทพเจ้า ที่หลายคนยกให้หลวงพ่อบางรูปเป็นเช่นเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด แล้วเทพเจ้าอยู่สวรรค์ชั้นไหนครับ หรือพรหมโลก หรืออรูปพรหม ผมนั่งคิดแล้วก็คิดไม่ออก เพราะไม่เห็นมีในสาระบบของสวรรค์ เช่นชั้นดาวดึงค์หรือกามาวจรณ์ หรือดุสิตซึ่งก็ไม่ใช่เทพแต่เป็นพระโพธิสัตว์ พอจะมีความรู้บ้างหรือไม่ครับพี่ชาย ไขความกระจ่างให้ทีครับ
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..............."น้องชาย"ครับ..."เทพเจ้า"...ที่ผู้คนเรียกขานกันนั้น..เทียบเคียงมา

    จากเทพเจ้าที่คนจีนเรียกขานกัน....และนำมาจากชั้นสวรรค์ตามลัทธิความเชื่อ

    ของคนจีนเช่น "เทพเจ้าเง็กเซียน" "เทพเจ้ากวนอู" ฯลฯ

    ................คุณสมบัติคือ ผู้ที่บำเพ็ญเพียรความดี...มีคุณธรรม..มีอิทธิฤทธิ์และ

    มีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้คน....

    ................พระสงฆ์องค์ใดมีลักษณะเช่นเดียวกับเทพเจ้านี้...เขาจึงเรียกเป็นคำ

    สมมติตามอย่างว่า"เทพเจ้า"

    ................ชั้นสวรรค์หรือพรหมโลกตามศาสนาพุทธ"ไม่มีเทพเจ้าครับ"..มี

    แต่"เทพ" หรือ "พรหม" ฯลฯ ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกครับ.
     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลวงปู่ศุขนั่งคิดตาม พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"อาตมาก็คิดอยู่ว่า..การที่บุคคลใดจะสร้างเจดีย์ครอบพระศพไว้

    และสักการะ...จะต้องเห็นคุณความดีของบุคคลนั้น...ก็แล้วคุณความดีอันใดเหล่าที่

    มหาบพิตรทรงให้แก่..พระนเรศวร"

    ............................"พระคุณเจ้า..ลืมประวัติศาสตร์ไปแล้วหรือ...ก็พ่ออยู่หัวนันทบุ

    เรงคิดกำจัดพระนเรศวรน้องเรามาโดยตลอด...เคยรับสั่งให้เราลอบสังหาร...โดยใช้พระยา

    เกียรติและพระยารามลอบสังหารคราวตีเมืองแครง....เราก็ทำตามด้วยความละอายใจยิ่ง

    นัก...แต่เป็นเพราะพระยาเกียรติและพระยารามไม่กระทำตามคำสั่ง....และนำความนี้แจ้ง

    แก่มหาเถรคันฉ่องและพระนเรศวร....พระนเรศวรจึงรอดตาย..และประกาศอิสรภาพไม่ขึ้น

    ต่อหงสาวดี.....ต่อมาพ่ออยู่หัวนันทบุเรงได้สั่งให้เรายกทัพมาตีอโยธยา...เราก็ยกทัพมาตี

    และพ่ายกลับไป.....เรารู้อยู่แก่ใจว่า..เรามิอาจเอาชนะพระนเราศวรในเชิงรบได้....

    ............................ในคราวยุทธหัตถีที่เรามาตีอโยธยาครั้งที่สอง..เราเป็นฝ่ายได้

    เปรียบพระนเราศวรในทุกด้าน...พระนเรศวรน้องเรานั่งอยู่บนหลังช้าง..ตกอยู่ในวงล้อมเรา

    เพียงเดียวดาย.....หากเราสั่งแม่ทัพ.นายกองและไพร่พลระดมยิงปืนใส่พระนเรศวรก็ต้อง

    สิ้นพระชนม์อยู่ตรงนั้น

    .............................เราเห็นสายตาของน้องเราที่พยายามสอดส่ายสายตามองหา

    เรา...เหมือนกับจะทวงความเป็นธรรมที่ถูกรุมล้อมครั้งนี้...เราคิดอยู่ว่าขณะนั้น..น้องเรา

    ต้องการความช่วยเหลือจากเรา....เราจึงไสช้างออกไปฟังความ....น้องเราได้กล่าวแก่เรา

    ให้มากระทำยุทธหัตถีกัน...เราคิดว่าเหตุที่น้องเรา...กล่าวเช่นนั้น..เป็นการร้องขอแก่เรา

    เป็นความนัย...เหมือนการขอโอกาสขอชีวิตขอความเป็นธรรมให้มีทางต่อสู้ให้อยู่รอด

    ............................เราใคร่ครวญถึงการปะมือกับน้องเราหลายครั้งในอดีต...เราเป็น

    ฝ่ายพ่ายแพ้มาตลอด....การลอบสังหารน้องเราโดยคำสั่งพ่ออยู่หัวนันทบุเรง...เราก็เคย

    ทำมาแล้วแต่ไม่สำเร็จ.....ในครั้งนี้ชัยชนะเป็นของเราอย่างแน่นอนหากเราออกคำสั่งให้

    ไพร่พลฆ่าน้องเราเสียบัดนั้น

    ............................แต่ขณะนั้นเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาดลใจเรา..ให้เกิดขัตติยะ

    และเมตตาสงสารน้องเราอย่างจับใจ...เมื่อรู้ว่าน้องเราจะต้องตายเพราะคำสั่งเรา..ด้วยไม่

    มีไพร่พลต่อกรด้วย....ด้วยความไม่เป็นธรรมแก่น้องเรา

    ............................เราจึงสั่งให้ไพร่พลที่ล้องอยู่ถอยห่างออกไปจากพระองค์...และ

    เราคิดว่า..หากกระทำยุทธหัตถีครั้งนี้.เราจะต้องพ่าย...ซึ่งน้องเราก็รู้ดีว่าเราสู้น้องเราไม่

    ได้.....ด้วยเหตุที่ต่างฝ่ายต่างรู้ผลของการชนช้างกระทำยุทธหัตถีแล้ว....ดังนั้น การอ้อน

    วอนของน้องเราต่อเรา....เป็นนัยของการขอโอกาสขอชีวิตได้สู้อย่างยุติธรรมนั่นเอง...

    ............................เราสงสารน้องเราอย่างจับใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน..เราจึงรับท้า

    ที่จะกระทำยุทธหัตถีเพื่อให้โอกาสและให้ชีวิตให้ความเป็นธรรมแก่น้องเรา...และในที่สุด

    เราก็พลาดถูกของ้าวสิ้นพระชนม์

    ............................หลังจากนั้นไพร่พลฝ่ายอโยธยาก็ได้ตามมาช่วยทัน..น้องเราจึง

    รอดกลับมา.....ด้วยความที่น้องเราสำนึกในคุณแห่งเราที่"ให้ชีวิตให้โอกาสให้ความเป็น

    ธรรมแก่พระองค์ในการให้โอกาสการทำยุทธหัตถี" น้องเราจึงจัดการพระศพของเราอย่าง

    สมเกียรติ น้องเราได้กระทำอัญชลีโดยการกราบบังคมพระศพอย่างสำนึกในคุณต่อหน้า

    กองทัพของพระองค์....พร้อมกับนำเครื่องทรงของกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และทรัย์สินเงินทอง

    ถวายแก่พระศพ ...มีการทำบุญสวดอภิธรรมให้แก่พระศพทุกคืน...พร้อมกับการจัดสร้าง

    พระเจดีย์ครอบพระศพของเราไว้...และพระองค์จะมาทำการสักการะพระศพเราที่เจดีย์แห่ง

    นี้..เมื่อผ่านมา

    ............................พระองค์มิได้คิดเห็นว่าเราเป็นศัตรูหลังจากเราสิ้นพระชนม์เช่น

    ประวัติศาสตร์จารึกไว้...หากพระองค์เห็นเราเป็นศัตรูคงไม่กระทำต่อพระศพเราเช่นนี้

    ............................พวกไพร่พลแห่งอโยธยาและหงสาวดีที่สิ้นชีวิตพร้อมกับเราใน

    คราวนั้น...เห็นการกระทำของพระองค์ที่มาสดุดีต่อพระศพเรา...พวกเขาจึงได้สามัคคีกัน..

    ปกป้องดูแลพระศพเราอย่างที่พระคุณเจ้าเห็น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลวงปู่ศุขพยักหน้าด้วยเข้าใจในเหตุการณ์ และเอ่ยถามต่อ

    ............................"หากเจดีย์นี้เป็นเจดีย์ครอบพระศพ.....แล้วเจดีย์ที่พระ

    นเรศวรทรงจัดสร้างขึ้นเพื่อรำลักถึงชัยชนะ คือ เจดีย์ใดเหล่า"

    ............................"เจดีย์นั้น..พระองค์ทรงสร้างขึ้นที่วัดใหญ่ชัยมงคลพระคุณเจ้า"

    ............................"แล้วมหาบพิตร กับเหล่าทหารจะต้องอยู่ที่เจดีย์นี้อีกนานเท่าไร"

    ............................"เมื่อมีผู้มีบุญญาธิการมาพบ ..ท่านจะเป็นผู้ส่งวิญญาณให้แก่

    พวกเราเอง"

    ............................"อาตมาทำพิธีส่งวิญญาณให้มหาบพิตรและพวกพ้องได้ไหม"

    ............................"วาสนาเราไม่มีต่อกัน..พระคุณเจ้าทำได้เพียงให้เราและพวกได้

    บุญกุศลจากการที่พระคุณเจ้าแผ่มาให้พวกเราเท่านั้น...เท่านี้เราก็พึงพอใจแล้ว"

    .....................หลวงปู่ศุขพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ

    ............................"มหาบพิตรและพวกจงฟัง...อาตมาจะสวดอภิธรรมถวาย..และ

    จงรับบุญกุศลจากการฟังธรรมทั่วถึงกันด้วยเทอญ"

    ....................หลวงปู่ศุขได้ตั้งนะโมและสวดอภิธรรมเริ่มด้วย ..กุสลาธรรมา อกุสลา

    ธรรมา ฯลฯ จนจบครบถ้วนและแผ่บุญกุศลไปที่เหล่าวิญญาณเป็นเหตุให้บังเกิดแสงสว่าง

    นวลไปทั่วทุกร่าง...ยังความสุขแก่เหล่าวิญญาณนั้น

    ....................รุ่งเช้าหลวงปู่ศุขได้ออกบิณฑบาต...และมีความคิดตั้งใจจะสวด

    อภิธรรมถวายพระศพและดวงวิญญาณเหล่านั้นสัก 3 คืน...เพื่อให้เหล่าวิญญาณได้มีบุญ

    กุศลในปัจจุบันติดตัวไว้

    .................... คืนที่สอง หลวงปู่ศุขนั่งสมาธิภาวนาเช่นคืนก่อน และก็ได้พบกับ

    สมเด็จพระมหาอุปราชากับพวกทหารพม่าและสยามเช่นเดิม...สมเด็จพระมหาอุปราชาได้

    บอกแก่หลวงปู่ศุขว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"พระคุณเจ้ารู้ไหม..ว่าจะมีบุคคลที่มีสายเลือดพม่าและสยาม

    รวมอยู่ในตัวจะได้เกิดขึ้นทางทิศเหนือของสยามติดแม่น้ำ"

    ............................"ความรักของปุถชนไม่มีพรมแดนกั้น...สยามกับพม่าก็คือเพื่อน

    ร่วมโลกกัน...ไม่ใช่เป็นของแปลกในสายตาของอาตมา..เมื่อเขารักกันและเป็นคู่ผัวตัวเมีย

    กัน...บุตรของเขาย่อมมีสายเลือดสองสายรวมกันอยู่"

    ............................."หามิได้พระคุณเจ้า...เราจะบอกพระคุณเจ้าว่า..บุคคลผู้มีสาย

    เลือดสองแผ่นดินนั้น...เป็นบุคคลสำคัญที่จะสามารถนำพระศพของเรากลับหงสาวดีได้"

    ............................."สยามประเทศ..จะให้พระศพของพระองค์กลับได้เช่นไร...ใน

    เมื่อพระนเรศวรกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา กรุงสยาม...เป็นผู้ที่นำพระศพของพระองค์มา

    ไว้ที่นี่...ไม่มีคนสยามผู้ใดกล้าจะเคลื่อนพระศพออกไป......เพราะถือว่าดูหมิ่นพระนเรศวร

    กษัตริย์แห่งกรุงสยามในอดีต"

    .............................."หามิได้พระคุณเจ้า...บุคคลผู้นั้นหากฝ่าเคราะห์กรรมที่ชน

    พม่าทำไว้ได้...เขาจะขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งพม่า...และเขาจะเป็นผู้นำศพวีรกษัตริย์ พระญาติ

    วงศ์ ประชาราช และเถ้ากระดูกแห่งอโยธยาที่อยู่ที่หงสาวดีกลับมากรุงสยาม...และจะเป็นผู้

    ที่ทูลขอกษัตริย์แห่งกรุงสยามเพื่อนำพระศพของเรากลับไป....แต่เขาจะได้เพียงพระศพ...

    แต่วิญญาณของเราจะถูกผู้มีบุญบารมีแห่งสยาม..ส่งเสด็จขึ้นสรวงสวรรค์แล้ว"

    ....................หลวงปู่ศุขนั่งคิดพิจารณาตามว่า...ใครกันในอนาคตที่พระมหาอุปราชา

    เอ่ยถึง...ซึ่งมีอยู่สองคน...คนแรก คือ "ผู้มีบุญบารมีแห่งกรงุสยามที่จะส่งพระวิญญาณพระ

    มหาอุปราชาขึ้นสู่สรวงสวรรค์" .......และ..อีกคนหนึ่ง.คือ "บุคคลสำคัญที่มีสายเลือด

    พม่าและสยามรวมกัน..ที่จะเป็นกษัตริย์แห่งพม่าและเป็นผู้นำพระศพพระมหาอุปราชากลับ

    แผ่นดินพม่า".........และ"เคราะห์กรรมอันใดที่ชนพม่าทำไว้..ที่หนักหนาถึงขนาดต้อง

    ฝ่าฟันเพื่อจะทำให้พม่ามีกษัตริย์" ..ซึ่ง ณเวลานี้หลวงปู่ศุขไม่อาจรู้ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...