พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..........กลับมาแล้วครับ"น้องชาย".........
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............ข้อมูลที่ผมได้เขียนต่อจากตอนที่ 11 เขียนเพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ

    และส่งข้อความออกไป...เวปก็ล่มทันที...."ข้อมูลเดิมจึงหายหมด"

    ............การโพสของผมส่วนใหญ่....เขียนเดี๋ยวนั้นโพสเดี๋ยวนั้นทันที...

    ............ดังนั้น..จึงต้องขอเวลารวบรวม.....จดจำสิ่งที่โพสแล้วหายไปกลับมา

    ก่อนครับ

    ............ต้องขออภัยท่านผู้มีเกียรติที่ติดตามอ่านกระทู้นี้เป็นอย่างสูงครับ....
     
  3. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในกระทู้ บุญบารมีผู้โพสกระทู้ บุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และบุญบารมีผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........น้อมรับครับ.....ขอให้ท่านเจริญในธรรม..และมีบุญบารมียิ่ง ๆ

    ขึ้นไปครับ..........
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    นิยายรักของฉันความทรงจำของฉันเพื่อเธอ
    ................ตอนที่ 41 หลวงปู่ศุข เมืองชัยนาท...............


    ....................ผมขอตัดตอนนำเสนอนิยายเกี่ยวกับหลวงปู่ศุขสักสองตอน ก่อนจะ

    เขียนเรื่องที่ค้างไว้ครับ

    ....................เมืองชัยนาท ปีพุทธศักราช 2461 อยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ

    มงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่

    น้ำเจ้าพระยา

    ....................บริเวณฝั่งตะวันตกมีคลองแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นจุดเริ่มต้นของ

    แม่น้ำท่าจีน พระภิกษุชราอายุราวประมาณ 70 ปี นามว่า "หลวงปู่ศุข" เป็นเจ้าอาวาส

    ปกครองดูแลวัดอยู่ ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราช

    โอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และยังเป็นพระเชษฐาของ

    พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการลที่ 6 แต่ต่างพระมารดากัน

    ....................ก่อนที่หลวงปู่ศุขจะมาอยู่วัดนี้ท่านเคยออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม และออก

    ศึกษาวิชาความรู้ทางไสยเวทย์จนแตกฉาน ความเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ทรงศีลและมุ่งมั่นสั่ง

    สอนผู้คนตามแนวทางพุทธศาสนาของหลวงปู่ทำให้ทุกวันพระ ท่านจะต้องนั่งธรรมมาส

    เทศน์โปรดญาติโยมเป็นประจำ และวันธรรมดาก็มุ่งสั่งสอนผู้คนด้วยถ้อยคำปริศนาทาง

    ธรรม ที่ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า คนผู้นั้นพอมีปัญญารับฟังธรรมท่านได้ และในอีกทาง

    หนึ่งท่านพิจารณาเห็นว่าผู้ใดพอมีวาสนาบารมีจะรับความรู้ทางอาคมหรือไสยเวทย์ได้

    ท่านก็จะมุ่งมั่นในการสั่งสอนโดยไม่ย่อท้อ เช่น เสด็จกรมหลวงชุมพรเตอุดมศักดิ์

    ....................ความเป็นอาจารย์และศิษย์ของหลวงปู่ศุขและเสด็จกรมหลวงชุมพรเขต

    อุดมศักดิ์เป็นความยิ่งใหญ่อันงดงามตระการตาทางจิตใจของผู้คนอย่างที่ไม่มีอาจารย์และ

    ศิษย์ผู้ใดจะเทียบเทียมเท่าในยุคสมัยนั้น จึงได้เกิดการเล่าขานสืบทอดกันต่อมาให้เป็น

    ภาพที่คนรุ่นหลังได้รู้จักความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างอาจารย์และศิษย์คู่นี้บนแผ่นดินสยาม.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภายในวัด มีศิษย์หลวงปู่อยู่สองคน คนแรกคือ "บุญนำ" เป็นลูกชาย

    คนเล็กของผู้ใหญ่บุญชูซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ผู้ใหญ่บุญชูได้นำบุญนำมาฝากหลวงปู่ให้ช่วย

    เหลือรับใช้หลวงปู่ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ...จนบัดนี้บุญนำอายุราว 11 ขวบ เขาเป็นเด็กผิว

    ขาวเหลือง คิ้วดกดำ หัวโหนกทุย ตัวล่ำ ...เพราะบุญนำมาอยู่กับหลวงปู่ ทำให้

    เพื่อนวัยเดียวกันคือ "สมพงษ์" ต้องเตร่มาหาที่วัดเป็นประจำ และในที่สุดเขาทั้งคู่ก็ร่วม

    กันรับใช้หลวงปู่ สมพงษ์ผิวขาวแกมน้ำตาล หูกาง รูปร่างต่ำกว่าบุญนำเล็กน้อย

    ....................วันพระภายในวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าวันหนึ่ง หลวงปู่ศุขขึ้นั่งธรรม

    มาสเทศน์ให้ญาติโยมที่มาทำบุญรับฟังในช่วงสาย ๆ จับความได้ตอนหนึ่งว่า

    ........................"หัวใจของพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธและบรรพชนของเราสืบทอด

    กันต่อ ๆ มา ก็คือ การละเว้นความชั่ว ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อ

    ประมวลพิจารณาดูแล้ว คำสั่งสอนเช่นนี้เป็นแนวทางแห่งความสงบร่มเย็น อันทำให้

    เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นการเป็นอยู่ด้วยความร่มเย็นมีค่ายิ่งใหญ่กว่าการเป็นอยู่

    อย่างอื่นทั้งมวลในโลกนี้ เมื่อพวกโยมได้มาฟังธรรมและมารักษาศีลในวันพระนี้ ขึ้นชื่อ

    ว่ามาหาความสงบร่มเย็นอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แม้จะเป็นเพียง

    ข้อปฏิบัติเบื้องต้น แต่มันก็ตรึงหัวใจของเราให้พบความสุขได้ เพราะฉะนั้นพวกเราจง

    พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติเข้าไว้ การกระทำของพวกโยมจะซึมซาบไปยังลูกหลานผู้

    เคารพตั้งมั่นในคำสอนของพวกโยมเอง โดยไม่ต้องพร่ำสอนพวกเขา"

    ....................ในขณะที่หลวงปู่กำลังเทศน์อยู่บนศาลา บุญนำและสมพงษ์ได้เตรียม

    เรือลำหนึ่งไว้ที่ท่านน้ำหน้าวัด เพื่อรอหลวงปู่ข้ามฟากไป"วัดธรรมามูล" ซึ่งอยู่ฝั่งตะวัน

    ออกของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยวัดดังกล่าวเป็นที่ประดิษฐานของ"องค์หลวงพ่อธรรมจักร

    พระพุทธรูปเนื้อไม้ซึ่งลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านจึงอัญเชิญท่านขึ้นไว้ ณ วัด

    ธรรมมามูล.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1374 (2).JPG
      IMG_1374 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      80
    • IMG_1375.JPG
      IMG_1375.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      72
    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      70
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................สมพงษ์ได้เอ่ยถามบุญนำด้วยความสงสัย "ทำไมทุกวันพระหลวงปู่

    ต้องให้เราพายเรือไปส่งที่วัดธรรมามูลวะ"

    ....................."นี่มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ" บุญนำย้อนถามกลัวตอบในสิ่งที่เพื่อนรู้แล้ว

    ....................."กูไม่รู้จริง ๆ ถ้ากูรูจะถามมึงหรือ"

    ....................."หลวงปู่ท่านไปสวดมนต์ที่หน้าหลวงพ่อธรรมจักร"

    ....................."แล้วท่านไปสวดทำไม"

    ....................."หลวงปู่บอกว่า หลวงพ่อธรรมจักรท่านศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดารักษา

    อยู่ ท่านไปสวดขอพรให้องค์ท่านปกปักรักษาดูแลคนเมืองชัยนาท"

    ....................."มึงฟังจากหลวงปู่บอกเองหรือเดาเอาวะ"

    ....................."เต็มสองหูกูเลย ตอนกูมาอยู่ใหม่โดยที่ไม่มีมึง กูก็พายเรือไปสอง

    คนกับหลวงปู่ กูพายแทบไม่ไหว หลวงปู่ท่านก็พูดให้กำลังใจว่า กูกำลังทำความดีไม่

    ควรย่อท้อ และกูก็กำลังพาหลวงปู่ไปทำความดี เพราะหลวงปู่จะไปขอพรองค์หลวงพ่อ

    ธรรมจักรให้คุ้มครองคนเมืองชัยนาท และเมืองชัยนาทให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข"

    ..................สมพงษ์ขมวดคิ้วเหมือนนึกอะไรออกแล้วจึงถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น

    ....................."เออ....ตอนที่มึงมาอยู่กับหลวงปู่ตอนแรก หลวงปู่สอนเวทย์มนต์

    อาคมอะไรให้มึงบ้างวะ"

    ....................."ไอ้บ้า...มึงคิดว่าหลวงปู่จะสอนให้ใครได้ง่าย ๆหรือ"

    ....................."ทำไมวะ"

    ....................."หลวงปู่บอกว่าคนจะเรียนอาคม ต้องมีบารมีมาทางนี้ หลวงปู่จึงจะ

    สอนให้ อย่างมึงกับกู ไม่มีทางที่หลวงปู่จะสอนให้"

    ....................."เพราะอะไร"

    ....................."..หลวงปู่บอกเด็กเล็กไม่มีความตั้งมั่น เพราะความคิดยังอ่อนอยู่

    บารมีไม่เกิด"

    ....................."แล้วที่หลวงปู่สอนให้เสด็จท่าน ก็แสดงว่าพระองค์ท่านบารมีทาง

    อาคมสูงอย่างงั้นหรือ" สมพงษ์หมายถึงเสด็จกรมหลวงชุมพรฯ

    ....................."หลวงปู่บอกพระองค์ท่านมีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว เดินหน้าแล้วไม่มี

    ถอย เรียนอะไรก็สำเร็จ"

    ....................."ถ้าจะจริงของมึง" สมพงษ์พยักหน้ารับกับบุญนำเป็นคำพูดสุดท้าย

    ก่อนจะเหลือบมองไปเห็นหลวงปู่เดินมาที่ท่าน้ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12102008361.jpg
      12102008361.jpg
      ขนาดไฟล์:
      472.9 KB
      เปิดดู:
      102
    • IMG_1626.JPG
      IMG_1626.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...............ภาพที่ 1...ตามภาพถ่ายแลเห็นกระแสน้ำด้านซ้ายมือ คือ..แม่น้ำเจ้า

    พระยา......แม่น้ำเจ้าพระยาจะไหลลงมาทางทิศใต้...จะมาปะทะกับฝั่งตลิ่งด้าน

    ทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาตามภาพ......แล้วไหลเข้าปากคลองด้านซ้ายมือ

    ตามภาพที่มีสะพานข้าม.."ปากคลองนี้" ....คือ "ต้นแม่น้ำท่าจีนหรือปากแม่น้ำท่า

    จีน" ภาพนี้อยู่ด้านทิศเหนือของ"วัดปากคลองมะขามเฒ่า" ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า"วัด

    อู่ทองคลองมะขามเฒ่า"ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1629.JPG
      IMG_1629.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ภาพที่ 2 ภาพนี้คือ.."เขาธรรมมามูล" จะปรากฏวัดเขาธรรมามูล

    ตั้งอยู่บนไหล่เขา.....เขาธรรมามูลจะตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา

    ภาพนี้ถ่าย.....บนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณฝั่งตะวันตกครับ.

    ....................ภาพที่ 3 คือภาพขององค์"หลวงพ่อธรรมจักร" พระพุทธรูปไม้ที่

    ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา.....แล้วชาวบ้านอันเชิญขึ้นประดิษฐานที่.....วัดเขา

    ธรรมามูล ..เป็นพระพุทธรูปที่"หลวงปู่ศุขให้ความเคารพนับถือมาก"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      72
    • 12102008361.jpg
      12102008361.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ภาพที่ 4 ถ่ายภาพจากหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่าไปที่.....

    เขาธรรมามูล......จะแลเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาโค้งไปมาครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1626.JPG
      IMG_1626.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      84
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เรือลำน้อยแล่นไหลไปตามสายน้ำเจ้าพระยา มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

    เป้าหมายคือ "วัดธรรมามูล" โดยมีสมพงษ์พายอยู่หัวเรือ และบุญนำพายอยู่ท้ายเรือ

    ส่วนหลวงปู่ศุขนั่งอยู่กลางลำ

    .....................หลวงปู่มองดูเรือที่นั่งมาพุ่งฉิวไปตามกระแสน้ำ ท่านมองดูสมพงษ์ที่

    กำลังพายอยู่หัวเรือ และจึงหันกลับไปดูบุญนำ ก็เห็นทั้งคู่จวงพายลงน้ำอย่างพร้อม

    เพรียงกัน

    .....................หลวงปู่คิดธรรมและคติบางอย่างที่จะสั่งสอนศิษย์ทั้งสองจึงได้เอ่ยขึ้น

    ........................"พวกเอ็งสองคนพายเรือตามน้ำไหล กับ พายทวนน้ำอย่างไหนมัน

    สบายกว่ากัน"

    .....................คำถามของหลวงปู่ทำให้สมพงษ์ที่กำลังพายอยู่หัวเรือ นึกขันขึ้นมา

    ในใจที่เหตุใดคำถามของหลวงปู่จึงง่ายนัก ใครฟังก็ตอบได้ มันจึงโบ้ยไปทางบุญนำ

    ทันที

    .........................."หลวงปู่ ข้าว่าบุญนำมันตอบหลวงปู่ได้นะ"

    .....................บุญนำปล่อยหัวเราะออกมาอย่างดัง แล้วจึงโต้เพื่อนกลับทันที

    .........................."อ้าว...ไอ้พงษ์มึงวอนเสียแล้ว หลวงปู่ท่านหันหน้าไปทางมึง

    แสดงว่าท่านถามมึง มึงต้องตอบ หรือมึงตอบไม่ได้"

    .....................หลวงปู่เห็นศิษย์ทั้งสองทำเป็นเล่น จึงย้ำคำถามเดิมอย่างเสียงดัง

    แกมดุอีกครั้ง

    .........................."ข้าถามพวกเอ็งสองคนนั่นแหละ"

    .........................."พายเรือตามน้ำไหลสบายกว่าครับหลวงปู่" บุญนำและสมพงษ์

    ประสานเสียงตอบ

    .........................."แล้วมันเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า" หลวงปู่ถามต่อ

    .........................."โธ่...หลวงปู่ ก็มันมีกระแสน้ำช่วย เราก็ไม่ต้องออกแรงพาย

    มากมันก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก ขนาดไม่ต้องพาย มันยังไปถึงที่ได้ เพียงแต่เราถือพาย

    คัดให้ตรงทางเท่านั้น กระแสน้ำก็พาเราไปเอง" บุญนำอธิบาย

    .....................หลวงปู่พยักหน้ารับว่าถูกตามที่บุญนำอธิบาย แล้วท่านก็เริ่มชึ้ทาง

    สอนให้ศิษย์ทั้งสองฟังในทันทีตามที่ท่านคิดไว้

    ............................"ถูกต้อง...พวกเอ็งทั้งสองจงจดจำไว้ เส้นทางใดที่เราไปแล้ว

    มีคนช่วยเหลือเราอยู่ มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างสบาย ไม่เหนื่อยและถึงที่หมายเร็ว

    เหมือนกับที่พวกเอ็งพายเรือตามน้ำไหล ไม่ว่าพวกเอ็งจะประกอบอาชีพรับราชการ พ่อค้า

    หรืองานใด ๆ ถ้ามันมีคนช่วยเหลือเสียอย่างเดียว พวกเอ็งก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และ

    ถึงที่หมายโดยเร็ว ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน........คนที่จะเต็มใจช่วยเหลือเราได้ก็

    เห็นมีแต่"มิตรแท้เท่านั้น".......ไม่ว่าเป็นเจ้านายเราหรือลูกน้องหรือเพื่อนเรา .....ถ้า

    ลงว่าเขาได้เป็นมิตรแท้ของเราแล้ว....เขาจะช่วยเราเอง......ที่เป็นเจ้านายเราก็ช่วยดึง

    เพราะอยู่ที่สูงกว่า......ที่เป็นลูกน้องก็ช่วยดันเพราะอยู่ที่ต่ำกว่า....ที่เป็นเพื่อนระดับเดียว

    กันก็ช่วยประคองช่วยพยุง.......อย่างนี้ชีวิตที่มีมิตรแท้มันจะตกต่ำไปได้อย่างไร เพราะ

    ฉะนั้นพวกเอ็งสองคน ถ้าไปอยู่ถิ่นใดจงหามิตรแท้ไว้ให้ได้ มันคือสิ่งที่ผลักดันพวกเอ็ง

    ให้ก้าวหน้าและคุ้มครองพวกเอ็งให้อยู่รอดปลอดภัย"

    ....................บุญนำและสมพงษ์นั่งพายเรือไปพร้อมกับตั้งใจฟังอย่างสงบ ทั้งสอง

    พิจารณาตามคำของหลวงปู่ ซึ่งแม้ตัวเองจะมีอายุเพียง 11 ขวบ แต่คำพูดง่าย ๆ ที่มี

    ความหมายเช่นนี้ทำให้เขามองเห็นความจริงตามคำหลวงปู่ สมพงษ์หันหลังกลับมาหา

    หลวงปู่ช้า ๆ แล้วถามหลวงปู่อย่างตั้งใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........................."แล้วพายเรือทวนน้ำ...มันมีความหมายอย่างไรขอรับหลวงปู่"

    ........................."ข้อนี้..ข้าจะให้พวกเอ็งหาความหมายเอาเอง คืนนี้ข้าจะค้างอยู่

    ที่วัดธรรมามูล ตอนขากลับพวกเอ็งทั้งสองพายเรือกันกลับสองคน พวกเอ็งจงใช้

    กำลังพายเรือทวนน้ำกลับวัดอย่างเต็มแรง สิ้นแรงเมื่อไร จงหยุดคิดพิจารณาเอา ถ้าไม่

    รู้ค่อยมาถามข้า"

    .........................."อ้าว...ทำไมหลวงปู่ไม่กลับวัดขอรับ" บุญนำแย้งขึ้นด้วยสงสัย

    .........................."ข้ามีธุระ...จะดูช่างที่นี่เขาแกะทำแม่พิมพ์เหรียญหลวงพ่อ

    ธรรมจักรแล้วข้าจะปลุกเสกแม่พิมพ์ เจ้าอาวาสวัดธรรมามูลท่านอย่างให้ข้าช่วยสร้าง

    เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรรุ่นแรก เพื่อไว้แจกญาติโยมที่เขามำทำบุญ ข้าจะต้อง

    อาราธนาบอกกล่าวหลวงพ่อธรรมจักรท่าน และยังต้องบอกกล่าวเทวดาที่รักษาองค์ท่าน

    ให้อนุญาต เพื่อให้เหรียญนี้เมื่อสร้างขึ้นมาจะได้มีความศักดิ์สิทธิ์ พูดไปพวกเอ็งก็

    ไม่เข้าใจ"

    .........................."แล้วพรุ่งนี้.หลวงปู่จะกลับมาบิณฑบาตเช้าอย่างไร" สมพงษ์เอ่ย

    .........................."พรุ่งนี้...มันเป็นเรื่องของอนาคต..มันไม่แน่นอน..พวกเอ็งอย่าง

    สร้างนิสัยการกำหนดเหตุการณ์ในอนาคตให้มั่น...เพราะหากทำไม่ได้มันจะเสียสัจจะ"

    ....................เรือของหลวงปู่ศุขจอดเทียบท่าน้ำหน้าวัดธรรมมามูลตอนเที่ยงวัน

    หลวงปู่ศุขเดินขึ้นตลิ่งโดยมีบุญนำถือยามพระเดินตามข้างหลัง ในขณะที่สมพงษ์นั่งเฝ้า

    เรืออยู่ พลางบุญนำคิดอะไรขึ้นมาได้...จึงหันกลับหลังไปทางสมพงษ์และตะโกนขึ้น

    อย่างดัง

    .........................."เฮ้ยไอ้พงษ์...มึงไม่ขึ้นตามมาดูช่างเขาแกะแม่พิมพ์เหรียญหลวง

    พ่อธรรมจักรก่อนหรือ...รุ่นแรกเชียวนะมึง ดังระเบิดแน่"

    .....................คำชวนของบุญนำได้ผล...ซึ่งปกติสมพงษ์จะไม่ค่อยเดินขึ้นวัดธรรมา

    มูล เพราะวัดดังกล่าวตั้งอยู่บนไหล่เขา และองค์หลวงพ่อธรรมจักรก็ถูกประดิษฐานไว้ใน

    วิหารที่ไหล่เขานั้น....การเดินขึ้นตลิ่งและเดินขึ้นไหล่เขาย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าเดินบน

    ทางเรียบ สมพงษ์จึงเลือกเอาการอยู่เฝ้าเรือดีกว่า.......แต่ครั้งนี้ทั้งบุญนำและสมพงษ์ไม่

    เคยเห็นการแกะแม่พิมพ์ทำเหรียญมาก่อน มันจึงดูเป็นสิ่งแปลกใหม่ของทั้งคู่ที่อยากรู้

    อยากเห็น.......สมพงษ์จึงกระโดดขึ้นตลิ่งวิ่งตามบุญนำไปทันที

    ....................หน้าวิหารหลวงพ่อธรรมจักร มีช่างชราอายุราว 60 ปี ผมดำแซมขาว

    ทั้งหัวกำลังนั่งมองดูองค์หลวงพ่อธรรมจักร ซึ่งองค์ท่านมีพุทธลักษณะยืนสูงราว 4.50

    เมตร พระหัตถ์ขวายกขึ้นแบออก ใจกลางพระหัตถ์มีรูปกงจักรติดอยู่ พระพักตร์ของ

    ท่านดูงดงามเย็นสบายตา เหตุเพราะท่านมีกงจักรอยู่ที่ฝ่าพระหีตถ์ ผู้คนจึงเรียกพระ

    นามท่านว่า "หลวงพ่อธรรมจักร" .........ช่างมองไปพร้อมกับก้มลงใช้เหล็กสกัดแกะแม่

    พิมพ์เหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้า ข้าง ๆของช่างมีพระลูกวัดอยู่สองรูปยืนสังเกตการณ์

    อยู่ พร้อมกับศิษย์วัดธรรมามูลวัยเดียวกับบุญนำและสมพงษ์อีก 2 คน คือ "นิมิต" กับ

    "ปราโมทย์" ซึ่งทั้งคู่ต่างรู้จักมักคุ้นกับ บุญนำและสมพงษ์เป็นอย่างดี ด้วยศิษย์สองวัดนี้

    ไปมาหาสู่กันบ่อยเมื่อตอนตามพระอาจารย์ไปเยี่ยมเยียนที่วัดของแต่ละฝ่าย....นิมิตนั้นรูป

    ร่างผอมขาวสูง ส่วนปราโมทย์นั้นตัวเตี้ยและผิวดำสนิทเวลายิ้มที ฟันสีขาวตัดกับสี

    ผิวอย่างงดงามชวนหัวเราะ

    ...................หลวงปู่เดินมาทางช่าง ทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างเปลี่ยนอิริยาบถ

    เป็นนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ทันที หลวงปู่ก้มมองดูแม่พิมพ์ที่ช่างแกะขึ้นแล้วจึงเอ่ยถามพระ

    ทั้งสองรูป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"ท่านเจ้าอาวาสอยู่ไหนหรือพระ"

    ............................"อยู่ที่กุฏิกำลังรอหลวงปู่อยู่ขอรับ" พระรูปหนึ่งตอบ

    ....................หลวงปู่พยักหน้าแล้วหันมาทางบุญนำ พลางเอ่ยขึ้น ก่อนเดินจากไปที่

    กุฏิเจ้าอาวาส

    ............................"พวกเอ็งสองคนจะกลับก่อนเลยก็ได้นะ.."

    ....................ลับหลังหลวงปู่ไป ปราโมทย์ส่งยิ้มฟันสีขาว พร้อมกับดวงตาที่หยีให้

    กับเพื่อนต่างวัด และเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

    ............................"วันนี้ขึ้นมาบนเขาได้นะไอ้พงษ์ ทุกทีกูเห็นนั่งขี้เกียจหลัง

    ยาวอยู่บนเรือ"

    ............................"อ้าว...ไอ้นี่หาเรื่องด่ากระทบกูหรือมึง...เดี๋ยวก็ถูกเตะหรอก"

    สมพงษ์พูดพลางหัวร่อพลางที่ปราโมทย์พูดแทงใจดำ

    ............................"เฮ้ย...มิต มีกับข้าวกับขนมอะไรเหลือบ้างวะ เอามาให้กูกิน

    ก่อน" บุญนำเอ่ยขอด้วยกำลังหิว

    ............................"เออ..พวกกูก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเหมือนกัน พวกมึงตามกูไป

    ที่โรงครัวเลย"

    ....................แล้วทั้งสี่ก็เดินไปจัดแจงบรรทุกอาหารลงสู่กระเพาะที่โรงครัว ก่อนที่

    จะออกมาดูช่างแกะแม่พิมพ์เหรียญต่อไป

    ....................แม่พิมพ์เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรรุ่นแรกที่ช่างแกะขึ้นใน ปี พ.ศ.2461

    นี้ เป็นรูปอาร์มยาว มีรูปหลวงพ่อธรรมจักรยืนอยู่กลางเหรียญ ด้านหลังเป็นอักขระขอม

    แปลได้ความว่า "พระธรรมจักร"

    ....................ประมาณบ่ายสองโมง มีพระเดินออกมาหาบุญนำกับสมพงษ์ แล้วเอ่ย

    ขึ้น

    ..........................."นี่เจ้าสองคน หลวงปู่ให้ไปเอากระถางต้นว่านสองกระถางที่

    เชิงเขาเอาขึ้นเรือไปด้วย แล้วให้กลับวัดเลย"

    ....................คำพูดของพระ ทำให้ศิษย์ต่างวัดต้องแยกกัน ปราโมทย์กับนิมิตจึง

    ได้ลงไปยกกระถางไปส่งให้เพื่อนที่เรือ ปราโมทย์เอ่ยเตือนเพื่อนไม่ให้ลืมเรื่องที่คุยกัน

    ที่โรงครัว

    ..........................."ไอ้พงษ์...มึงอย่าลืมวันพระหน้านะโว้ย...อย่าลืมว่ามึงต้องตัด

    ง่ามไม้หนังสติ๊กมาให้กู อย่าลืมเชียวนะมึง"

    ..........................."เออน่า...ไอ้มืดย้ำจัง" สมพงษ์เปลี่ยนไปเรียกลักษณะเด่นของ

    เพื่อน

    ..........................."เอ้ย...กูปราโมทย์โว้ย....ไอ้หูกาง...ไม่ใช่ไอ้มืด" ปราโมทย์

    โต้กลับด้วยไม่ยอมแพ้

    ....................เสียงโต้เถียงก่อนจาก..ทำให้ทั้งสี่หัวเราะขบขันสนุกสนาน

    ....................เรือลำน้อยถูกพายข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งตะวันออกเฉียงมาทางฝั่ง

    ตะวันตกก่อน แล้วเมื่อเรืออยู่ห่างชายฝั่งทิศตะวันตกราว 6 เมตร บุญนำกับสมพงษ์ก็เริ่ม

    พายตามคำสั่งของหลวงปู่ที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12102008361.jpg
      12102008361.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.4 KB
      เปิดดู:
      94
    • IMG_1626.JPG
      IMG_1626.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ภาพนี้.....ถ่ายบนไหล่เขาวัดธรรมามูล....บริเวณหน้าโบสถ์ไปทาง

    วัดปากคลองมะขามเฒ่า(สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่เห็นเพิ่งใช้มาได้ประมาณ

    ปีเศษ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1365.JPG
      IMG_1365.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      92
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................สมพงษ์และบุญนำเริ่มจ้ำพายอย่างสุดกำลัง ทำให้เรือลำน้อยแล่นโต้

    ทวนขึ้นน้ำอย่างรวดเร็ว อันทำให้เห็นถึงกำลังของเขาทั้งสองซึ่งมีอยู่ขณะนี้ เหนือกว่า

    กำลังไหลของสายน้ำเจ้าพระยาอย่างมาก ซึ่งปกติแล้วทั้งคู่เมื่อพายทวนน้ำกลับวัดอู่ทอง

    คลองมะขามเฒ่า(วัดปากคลองมะขามเฒ่า) เขาจะจ้ำพายขณะละ 2 จวง ....จวงแรก

    เป็นการพายสู้กับกระแสน้ำเพื่อให้เรือแล่นทรงตัวอยู่กับที่ และจวงที่ 2 ต่อเนื่องกันเป็น

    พายเรือโต้ขึ้นเพื่อให้เรือแล่นทวนกระแสน้ำขึ้นไป......เพราะหากพวกเขาพายเออระเหย

    ขณะละหนึ่งจวง...เหมือนพายเรือตามน้ำ เรือก็คงแล่นอยู่กับที่ไม่เดินหน้า.....แต่การที่

    ทั้งคู่พายอย่างสุดกำลังเช่นนี้..ทำให้เห็นการจวงพายของเขาเพิ่มขึ้นเป็นขณะละสี่จวงพาย

    ในแต่ละคน

    .....................วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าอยู่ขึ้นเหนือห่างจากวัดธรรมามูลไปประมาณ

    3 กิโลเมตรเศษ และมีโค้งของลำน้ำเจ้าพระยาหลายโค้งก่อนจะถึงวัดอู่ทองคลองมะขาม

    เฒ่า โดยเฉพาะโค้งแรกของลำน้ำเจ้าพระยาช่วงออกจากวัดธรรมามูลเป็นโค้งที่มีความ

    โค้งเป็นเหมือนครึ่งวงกลมทีเดียว การโค้งเช่นนี้ทำให้กำลังของน้ำไหลเชี่ยวแรง

    ......................จากการที่บุญนำและสมพงษ์พายเรือจนสุดกำลังดังที่หลวงปู่ศุขสั่งไว้

    เช่นนี้ ทำให้เพียงโค้งแรกที่ออกจากวัดธรรมามูล...พวกเขาก็สิ้นแรงอ่อนหล้าในทันที

    .......................บุญนำเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนเปลี้ยทันทีเมื่อหลุดโค้ง

    ............................."เฮ้ยพงษ์....กูพายไม่ไหวแล้ววะ"

    ............................."เออ...กูก็เหมือนกัน" สมพงษ์เอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ

    ........................แล้วทั้งคู่จึงหยุดพายในทันที ...เป็นเหตุให้เรือที่กำลังแล่นทวนน้ำ

    อยู่ได้ถูกกระแสน้ำพัดพาถอยหลังกลับ

    .............................."เฮ้ย..เฮ้ย..." ทั้งคู่ตะโกนขึ้นพร้อมกัน...พร้อมกับหอบ

    หายใจถี่ยิบ

    .............................."พงษ์...พายเรือเข้าฝั่งก่อน...ไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่โน้น"

    บุญนำได้สติจึงมองเข้าหาฝั่งพบต้นไม้ใหญ่จึงบอกสมพงษ์ แล้วช่วยกันพายไปที่นั่น

    .............................."เอาเชือกที่หัวเรือพันไว้ที่กิ่งไม้ก่อน" บุญนำ

    ตะโกนบอกอย่างต่อเนื่อง..เมื่อเห็นกิ่งไม้ใหญ่ยื่นเข้ามาในแม่น้ำในขณะที่พายเรือไปถึง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เรือน้อยหยุดอยู่กับที่ บุญนำและสมพงษ์ต่างนำกระถางต้นว่านที่อยู่

    กลางลำเรือยกไปไว้บนหัวเรือและท้ายเรือของแต่ละฝ่าย....พร้อมกับนอนแผ่หลาเอาปลาย

    เท้าชนกัน เขาทั้งสองหอบหายใจอย่างถี่ยิบ....ก่อนที่บุญนำจะเอ่ยขึ้น

    ............................"เป็นไงบ้างวะ...ไอ้หูกาง" บุญนำเรียกตามปราโมทย์ด้วยเห็น

    เป็นชื่อตลก

    ............................"แล้วมึงล่ะไอ้หัวโหนก...นอนหอบลิ้นห้อยเลย...ตายแล้วมั้งมึง

    น่ะ" สมพงษ์เรียกชื่อตลกของเพื่อนแก้คืน

    .....................สิ้นคำไอ้หัวโหนก..ก่อนจบประโยคก็เรียกเสียงหัวเราะของบุญนำที่กำ

    ลังเหนือยหอบอยู่ ...ปล่อยก๊ากออกมาอย่างดัง....ยังผลให้สมพงษ์ต้องหัวเราะตามกัน

    หร่วน.......สองเพื่อนรักทั้งหัวเราะและหอบอยู่นานก็ค่อย ๆ สงบลง....เป็นตั้งสติคิดถึง

    เหตุการณ์ตามที่หลวงปู่สั่งไว้"สิ้นแรงเมื่อไรจงหยุดคิดพิจารณาเอา"....ทั้งบุญนำและสม

    พงษ์จึงนอนเอามือก่ายหน้าผากพลางคิดอย่างสงบ

    .....................สิ่งที่บุญนำและสมพงษ์กำลังคิดอยู่นี้ ก็คือ"ข้อเปรียบเทียบ"ที่เมื่อ

    ก่อนพวกเขาพายเรือทวนน้ำ พวกเขาไม่เคยรู้สึกหมดแรงไปไม่ถึงวัดเหมือนการพายครั้ง

    นี้ แต่การพายเมื่อครู่นี้มันทำให้พวกเขาถึงกับหมดแรงพายต่อไปไม่ไหว

    .....................การพายเรือทวนน้ำเหมือนกับการต่อสู้อุปสรรคที่มีอย่างต่อเนื่องไม่มี

    เวลาหยุดพัก หากเราโหมกำลังอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ประมาณกำลังของตนเอง ในที่สุด

    เราก็จะหมดแรงและเป็นผู้พ่ายแพ้อุปสรรคนั้นในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................การที่หลวงปู่ศุขให้พวกเขาลองพายเรือเช่นนี้..เหมือนจะสอนว่า...หาก

    ชีวิตของพวกเขาหรือเส้นทางที่พวกเขาไป..มีอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง....และพวกเขามี

    กำลังไม่เพียงพอ..รวมทั้งมิตรที่คอยช่วยเหลือกันอยู่กำลังมีน้อย....พวกเขาควรออมกำลัง

    ไว้ต่อสู้อุปสรรคนั้นพอประมาณ..ไม่ควรโหมกำลังจนสิ้นแรง.....เพราะเขาไม่สามารถผ่าน

    พ้นอุปสรรคไปได้แน่

    ....................แต่เมื่อพวกเขาคิดจะโหมแรงสู้จนหมดแรง...พวกเขาก็ควรมีหลักเกาะ

    หรือที่พึ่งพาอันมั่นคงเฉกเช่นกิ่งไม้ใหญ่ที่พวกเขาเอาเชือกมัดไว้กับต้นไม้.....เพราะหาก

    ไม่มีกิ่งไม้ในคราวนี้...เรือลำน้อยของพวกเขาก็คงลอยไหลไปตามกระแสน้ำโดยที่พวกเขา

    ไม่มีแรงประคองเรือให้ทวนน้ำเอาไว้....เรือก็อาจไปชนกับโขดหินจนอับปาง....กิ่งไม้ใหญ่

    หรือหลักเกาะก็คงไม่พ้น"มิตรแท้"ผู้มีกำลังต้านอุปสรรคได้

    ....................การที่พวกเขาพายเรือตามปกติทุกวัน..เมื่อพายเรือทวนน้ำ..เป็นสิ่งที่

    พวกเขาทำถูกต้องแล้ว...เพราะมันทำให้พวกเขากลับวัดได้โดยไม่สิ้นแรงเหมือนคราวนี้....

    คติธรรมนี้เหมือนหลวงปู่จะสอนว่า "หากมีอุปสรรคที่เกินกำลังของเรา...เราไม่ควรสู้เต็ม

    กำลัง...และ..ชีวิตที่มีอุปสรรคควรหามิตรแท้ที่มีกำลังต้านอุปสรรคนั้นเอาไว้เป็นที่พึ่งที่

    เกาะ"

    ...................."มิตรแท้" เป็นสิ่งที่หลวงปู่ชี้ทางให้พวกเขาหา...ดูท่ามันจะไม่ใช่เรื่อง

    ธรรมดาสำหรับพวกเขา....การที่หลวงปู่ชี้หนทางของ"การมีมิตรแท้"เช่นนี้น่าจะเป็นเรื่อง

    สำคัญทีเดียว...เพราะเมื่อพิจารณาคำสอนของ"พระพุทธองค์"ก็ได้กล่าวถึงเรื่อง"มิตร

    แท้"เอาไว้...พร้อมให้ข้อธรรมการดูลักษณะของมิตรแท้ และยังกล่าวถึงมิตรเทียมให้เห็น

    ข้อต่างกัน....พร้อมทั้งยัง"รับรอง"ถึงการคบหามิตรแท้ว่า"มีแต่เจริญอย่างเดียว"...แต่การ

    คบหามิตรเทียมมีแต่เปลืองตัว เวลา และทรัพย์สิน หาได้มีความเจริญกับการทุ่มเวลาคบ

    หาคนพวกนี้ไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เหตุการณ์ครั้งนี้บุญนำและสมพงษ์จดจำจนขึ้นใจ ถึงคติธรรมที่หลวงปู่

    ศุขให้กับพวกเขาไว้......ในกาลต่อมาหลังจากหลวงปู่ศุขสิ้นไป....พวกเขาทั้งสองได้โต

    ขึ้นและได้เข้ารับราชการเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ของกรมป่าไม้ .....โดยครั้งแรกบุญนำได้

    เข้ารับราชการอยู่ในกรมป่าไม้...และต่อมาได้ย้ายเรื่อยไป...จนมาประจำอยู่เมืองสุราษฎร์

    ธานี...บุญนำได้ค้นหามิตรแท้ของเขาจนพบ....เพราะเขาเองก็เป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อ

    มิตร...และคอยช่วยเหลือมิตรเสมอ...คำพูดที่โกหกทำให้มิตรเดือดร้อนไม่เคยออกจาก

    ปากของเขา....เขามีมิตรแท้ที่เป็น"ผู้บังคับบัญชา" "ผู้ใต้บังคับบัญชา...และ "เพื่อนระดับ

    เดียวกัน"....นอกจากนี้แม้แต่"ชาวบ้าน"ก็ยังเป็นมิตรแท้ของเขา...ชีวิตของเขาจึงถูกห้อม

    ล้อมไปด้วยมิตรแท้.......จึงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วในหน้าที่การงานและวิถีชีวิต....."ดุจ

    ดังการพายเรือตามกระแสน้ำไหลที่หลวงปู่ศุขสอนไว้"...ที่เป็นผู้บังคับบัญชาก็ช่วยดึง...ที่

    เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ช่วยดัน....ที่เป็นเพื่อนระดับเดียวกันก็ช่วยประคอง...แม้แต่ชาวบ้าน

    ก็ช่วยสรรเสริญ

    ...................ส่วนสมพงษ์รับราชการเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้อยู่ที่เมืองอุทัยธานี ..เขา

    กลับเจออุปสรรคในการดำเนินชีวิต..และหน้าที่การงานอย่างมากมาย.....ชีวิตของเขาจึง

    เหมือนกับ "การพายเรือทวนกระแสน้ำตามที่หลวงปู่ศุขสอน".....เขาพบและต่อสู้กับผู้มี

    อิทธิพลในการลักลอบตัดไม้ในท้องที่...และคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ก็จะเข้ากับผู้มีอิทธิพล....

    แต่เขาเป็นคนตรงในหน้าที่...จะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก็มีกำลังเพียงเล็กน้อย....แม้ได้ชื่อ

    ว่าเป็น"มิตรแท้" แต่ก็ชื่อว่า "เป็นผู้มีกำลังน้อย"

    ....................ประการสำคัญ "เขาหามิตรแท้ที่เป็นหลักยึดเกาะที่มีกำลังต้านผู้มี

    อิทธิพลไม่ได้เลย"....แม้"นิมิตหมายคำสั่งสอน"ของหลวงปู่จะก้องอยู่ในหัวใจเขา...ใน

    การต่อสู้อุปสรรคอย่างต่อเนื่อง"ให้เขาหามิตรแท้ประเภทนี้ไว้เป็นที่พึ่ง"...ดังนั้น วิถีชีวิต

    ของสมพงษ์จึงค่อนข้างอาภัพในการต่อสู้อยู่กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไม่กี่คนอย่างโดยเดี่ยว

    ....................และคืนแห่งความเศร้าก็มาถึง.....เมื่อสมพงษ์ขับรถมอเตอร์ไซด์กลับ

    จากตรวจงาน...มีคนพบศพของสมพงษ์อยู่ห่างจากรถมอเตอร์ไซด์ของเขาบนถนนลูกรัง

    สายหนึ่ง..ในตำบลหนึ่งของเมืองอุทัยธานี.....ศีรษะของเขาบอบช้ำ...มีคนสันนิษฐาน

    ว่า..เขาขับรถมอเตอรไซด์ตกหลุมบนถนนทำให้รถเสียหลักล้มลงและหัวของเขาน็อคพื้น

    ถนนตาย....แต่ก็มีอีกพวกหนึ่งที่สันนิษฐานว่า...เขาถูกตีจนล่วงจากรถมอเตอร์ไซด์

    ตาย.....ในขณะนั้นสมพงษ์มีอายุเพียง 22 ปีเศษ ไม่มีพยานปากใดยืนยันในขณะเขา

    ตาย......ที่คอของเขาไม่มี"เหรียญหลวงพ่อธรรมจักรรุ่น 1 ที่หลวงปู่ศุขให้เขาไว้พร้อมกับ

    บุญนำ" ..ที่เขาเคยใส่สายสร้อยห้อยแขวนติดตัวไว้....เขาตายในขณะที่ไม่มีมิตรแท้ไป

    ด้วย...ดูช่างตรงกับสุภาษิตของคนโบราณกล่าวไว้ให้จดจำยามไปในที่มีภัยว่า "ไปคน

    เดียวหัวหาย..สองคนเพื่อนตาย..สามคนกลับบ้านได้"

    ....................ดูแล้ว"มิตรแท้หรือเพื่อนแท้"..น่าจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนักในการดำเนิน

    ชีวิตของคน....คำสอนของพระพุทธองค์..หลวงปู่ศุข..และคนโบราณ จึงได้เอ่ยถึง

    เรื่อง"มิตร"เอาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ย้อนกลับมาในขณะที่บุญนำและสมพงษ์คิดพิจารณาจนได้ความ

    กระจ่าง...ถึง"การพายเรือทวนกระแสน้ำตามที่หลวงปู่ศุขสั่ง" ...พวกเขาจึงได้พายเรือ

    เหมือนปกติกลับวัดโดยไม่ได้พายจนสุดกำลังเช่นหลวงปู่สั่ง.....เมื่อมาถึงวัดก็ได้ตรงไปที่

    กุฏิหลวงปู่

    ....................กุฏิของหลวงปู่ศุขเป็นเรือนทรงไทยชั้นเดียวใต้ถุนสูงมากราวประมาณ 4

    เมตร มีห้องที่เรียกว่า"เรือน"อยู่ห้องหนึ่ง...และมีชานต่อออกมา.....ภายในห้องของ

    หลวงปู่จะมีโต๊ะหมู่ตั้งพระพุทธรูปไว้บูชาไว้...และหลวงปู่กางกลดจำวัดภายในห้อง....ส่วน

    บุญนำจะกางกลดนอนอยู่หน้าห้องของหลวงปู่........ส่วนสมพงษ์นั้นบางคืนก็มานอนกับ

    บุญนำในกลด.....แต่บางคืนก็กลับไปนอนบ้าน ซึ่งบ้านของสมพงษ์จะอยู่ไปทางเหนือวัด

    ราว 500 เมตร

    ....................บุญนำและสมพงษ์ยกกระถางว่านขึ้นจากเรือ...นำมาตั้งไว้ที่ลูกกรงริม

    ชานกุฏิของหลวงปู่....และบุญนำได้เอ่ยขึ้น..

    ..........................."ตกลงวันนี้..มึงจะนอนกับกูหรือไปนอนบ้าน

    ..........................."นอนนี่โว้ย"

    ..........................."ถ้าอย่างนั้น..มึงติดไฟต้มน้ำร้อนชงชาใส่กาให้หลวงปู่ก่อน"

    ....................สมพงษ์ทำตามคำสั่งบุญนำอย่างว่าง่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 42 ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ศุข.............


    ....................ในคืนนั้นบุญนำและสมพงษ์กางกลดนอนอยู่หน้าห้องของหลวงปู่ศุข...

    ส่วนหลวงปู่ศุขค้างที่วัดธรรมามูล

    .....................ห่างจากวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ไปทางทิศใต้ประมาณ 70 เมตร

    "ลุงบุญ" ผู้เฒ่าวัย 50 ปี ผู้ที่ไม่เคยสนใจการทำบุญเหมือนกับชื่อของตน....พร้อมด้วย

    "แต้ม" หลานชายวัย 14 ปีลูกของน้องชาย...กำลังนั่งรอปลากินเบ็ดที่ตนเองปักคันไว้ที่ริม

    ตลิ่งเป็นแนวยาวราว 20 คัน...ท่ามกลางแสงจันทร์ขึ้น 15 ค่ำซึ่งเป็นวันพระ...ในเพิงพัก

    ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก

    ....................หลังจากที่ปลดเอาปลาที่กินเบ็ดใส่ตะข้องไปหลายตัวแล้ว...ลุงกับ

    หลานก็นั่งรอจนงีบหลับไป...มาตื่นเอาตอนตีสี่ของวันรุ่งขึ้นเพราะปวดฉี่....เจ้าแต้มเดินไป

    ฉี่ที่ป่าไผ่ริมแม่น้ำ..แล้วหันกลับมาดูคันเบ็ดที่ปักไว้

    ....................เมื่อสายตาของแต้มมองไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา..ก็เห็นร่างของคนเดินอยู่

    บนผิวน้ำ..ท่ามกลางแสงจันทร์เช่นนี้ทำให้มันเห็นค่อนข้างชัดเจน....เจ้าแต้มตาค้างและ

    เพ่งสายตามองคนคนนั้นที่กำลังเดินบนผิวน้ำ...จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปทางวัดอู่ทอง

    คลองมะขามเฒ่า....และกำลังเดินผ่านหน้าของมันซึ่งอยู่ห่างราว 30 เมตร...มันจึงรีบวิ่ง

    ไปปลุกลุงบุญที่กำลังหลับที่เพิงพักทันที

    ............................"ลุงบุญ...ตื่น...ตื่น...ตื่นเร็ว" เจ้าแต้มพูดด้วยอาการตกใจ

    พร้อมกับเขย่าตัวลุงบุญ

    ............................"อะไรของมึงวะไอ้แต้ม" ลุงบุญงัวเงียและตวาดหลาน

    ............................"พูดเบา ๆ ลุง" เจ้าแต้มพูดพร้อมกับเอามือซ้ายเคาะที่แก้ม

    ของลุงบุญพลางชี้มือลงไปที่แม่น้ำเจ้าพระยาทันที

    .....................ลุงบุญมองตามที่มือเจ้าแต้มชี้...แล้วลุงบุญก็ต้องตกใจตาค้าง..ด้วย

    ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่...ไม่เคยเห็นใครมาเดินอยู่บนผิวน้ำเช่นนี้...แล้วทั้งสอง

    ลุงหลานก็พยายามข่มความตื่นเต้น...เพ่งดูคนผู้นั้นว่าแท้จริงคือ "คนหรือผี"

    .....................แล้วทั้งสองก็เห็นว่า..ศีรษะของบุคคลที่กำลังเดินผ่านหน้าไปบนผิวน้ำ

    นั้น"โล้นเหมือนพระ"...และที่แน่ใจว่าเป็นพระก็เมื่อเห็นชายจีวรกระทบแสงจันทร์..พร้อม

    กับปลิวไสวเมื่อต้องสายลม.....เมื่อพิจารณาดูจนรู้สึกคุ้นจนจำได้ว่า..."พระรูปนั้น"ที่เดิน

    บนผิวน้ำผ่านหน้าพวกตนไปคือ "หลวงปู่ศุข" ซึ่งท่านกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางวัดอู่ทอง

    คลองมะขามเฒ่า

    ....................ลุงบุญกับเจ้าแต้มมองดูหลวงปู่ศุขจนท่านเดินลับตาไป...เจ้าแต้มจึง

    เอ่ยรำพึงรำพันขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...