'ภัยพิบัติถูกเลื่อนออกไป' นั้นเป็นได้แค่ 'ข้ออ้าง' ?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 4 พฤษภาคม 2011.

  1. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    ผมคิดว่า การที่เราเข้าใจไปเองว่า มีผู้อื่นสามารถรับกรรมแทนเราได้ มันจะไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อาจเป็นมิจฉาทิฐิ

    เราจะยกย่อง เทิดทูญบุคคลที่มีความดีงามในตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ไม่ควรคิดไปเองในเรื่องการรับกรรมทดแทนกันได้

    เป็นเรื่องปกติของโลกไม่ใช่หรือ ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สามารถรับแทนกันได้อยู่หรือ

    แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ นอกจากบอกทางให้เท่านั้น

    แม้พระญาติของพระองค์เองยังจะทำสงครามแย่งน้ำกัน จนพระองค์ต้องเสร็จไปทรงห้ามปรามจึงหยุด

    เพียงเท่านี้ก็เป็นข้อสอนใจได้ว่า กรรมของผู้ใด ไม่อาจรับทดแทนกันได้เลย เรื่องของกรรมย่อมเป็นไปตาม กรรมนิยาม ส่วนเรื่องของธรรมชาติย่อมเป็นไปตาม อุตุนิยาม พีชนิยาม อาจสอดคล้องกัน สัมพันธ์กันบ้างตามปัจจัยเกื้อหนุนหรือหักล้าง แต่โดยเนื้อหา ทุกกฏย่อมดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง ไม่มีผู้ใดห้ามปราม เหนี่ยวรั้งได้
     
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    เรื่องการให้ผลของกรรม เรื่องนี้มนุษย์ปุถุชนคิดอย่างไรก็ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนจนถึงที่สุด
    เราก็รู้เข้าใจในแง่หลักของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยแล้วก็คิดไปได้ระดับหนึ่ง
    แต่จะให้คิดมองเห็นโล่งตลอดไปก็ไม่ไหว



    จากพระสูตร อจินติตสูตร

    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
    ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน


    คัดลอกจาก อจินไตย 4 สิ่งที่มนุษย์ไม่ควรคิด เพราะทำให้เครียดและเป็นบ้า




    ตัวอย่างที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

    จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
    รื่องที่ ๑๒๑
    ท่านอายุวัฒนกุมารจะต้องตายเพราะอุปฆาตกรรม
    พระพุทธเจ้าทรงช่วยไว้จึงไม่ต้องเป็นสัมภเวสี


    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    "..ท่านอายุวัฒนกุมาร เป็นลูกของพราหมณ์ พ่อแม่ของท่านมีเพื่อนเป็นพราหมณ์อยู่คนหนึ่งได้ทิพพจักขุญาณ
    ทราบข่าวว่าเพื่อนคนนี้จะเข้ามาในเขตเมืองก็พากันไปหา เมื่อคุยกันพอสมควรแก่เวลา
    ท่านพ่อก็ส่งลูกชายอายุยังไม่ถึง ๗ ปี ให้แก่แม่ กราบลาเพื่อกลับ
    เพื่อนก็บอกว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า "ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด"
    เมื่อท่านพ่อกราบแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง
    ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ขอให้ท่านมีอายุยืนยาวเถิด"
    แล้วจับลูกให้กราบ ท่านพราหมณ์ก็นิ่งเฉยไม่พูดแบบนั้น
    ท่านพ่อท่านแม่ก็สงสัยเลยถามว่า "เวลาที่ผมกับเมียกราบลาท่าน
    ท่านบอกว่า จงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมท่านจึงทำเฉยๆ"
    ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "ก็ลูกของท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิด"
    เขาก็เลยถามว่า "ท่านรู้วิธีแก้ไหม" ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า "รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้ไม่รู้
    คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียวคือ สมเด็จพระสมณโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตาย ก็ไปหาพระพุทธเจ้าเถิด ท่านแก้ได้"

    พ่อ แม่ของเด็กทราบว่าเด็กจะตายภายใน ๗ วัน ก็ตกใจเพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายด้วย
    จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปถึงก็ทำแบบนั้นที่ทำกับเพื่อนพราหมณ์
    พระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ ตอนลูกชายกราบลา
    ท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่า "ลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน"
    เขาก็ถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้ พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าก็บอกว่า "ถ้าต้องการแบบนั้นได้เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุป ฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย
    ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ อุปฆาตกรรมเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง
    ซึ่งผลของความดีของเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อนจะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาแล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี
    แต่เวลานี้กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาลิดรอนจึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน
    "
    และพระองค์ก็ตรัสแนะว่า "พราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้า
    แล้วนิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกท่านก็จะไม่ตาย"
    พราหมณ์พ่อแม่เด็กก็กลับไปทำโรงพิธี นิมนต์พระไปนั่งล้อมโรงพิธีไม่ต้องใช้สายสิญจน์เพราะพระสมัยนั้นมีมาก
    เมื่อล้อมแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้างแต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียว

    พอถึงวันที่เจ็ดพระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา
    และคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นลูกน้องของ ท่านท้าวเวสสุวัณ
    ตอนนี้เมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่
    องค์สมเด็จพระบรมครูทรงประทับนั่งตั้งแต่เริ่มต้นของวันจนที่สุดของวันคือ อรุณใหม่
    เพราะว่าผู้ที่จะมาเอาชีวิตของเด็กเป็นยักษ์ที่ได้รับพรจากท่านท้าวเวสสุวัณ ได้ภายใน ๗ วัน
    ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้นเมื่อมาคอยอยู่ ๖ วันแล้ว
    พระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้นก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าถ้าเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น
    แต่พอวันที่ ๗ เป็นวันสุดท้าย ก็ตั้งใจว่าวันนี้จะเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้
    ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มากที่เป็นโทษปาณาติบาต แต่ความดีก็มีมาก


    ในเมื่อเห็นท่าว่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่ารอให้พระเผลอ แต่พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง
    เมื่อพรหมลงมา ยักษ์ตนนี้ก็ต้องถอยหลังไปพ้นเขตพรหม และเทวดาลงมา ยักษ์ตนนี้มีบุญน้อยกว่าก็ต้องถอยหลังออกไปอีก
    ในที่สุดต้องออกไปอยู่ขอบจักรวาลเพราะพรหมและเทวดามีปริมาณมาก และสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประทับนั่งจนหมดเวลา

    เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตาย เกินเวลา ๗ วันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้
    เมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้วถึงเวลาอายุ ๗ ขวบ
    ท่านอายุวัฒนกุมารก็บวชเณรแล้วก็ได้อรหัตผล อยู่มาได้ถึงอายุ ๑๒๐ ปี
    ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสไว้


    บรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทำให้คนตายก่อนอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี
    บรรดา สัมภเวสีที่เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมาในโลกมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา
    เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น มีความกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหนได้แน่นอน
    บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก ถ้าญาติของเราตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุขัย
    เช่น ฟ้าผ่าตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกรถชนตาย เป็นต้น
    แต่ก็ไม่แน่นักบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่ ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน สมมติว่าเขาเป็นสัมภเวสี
    พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป อย่าทุบแม้แต่ไข่สัก ๑ ฟอง
    เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่ามีเหล้ายาปลาปิ้ง
    เมื่อทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด
    ถ้าทำอย่างนี้ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ
    เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน.."



    คัดลอกจาก http://www.luangporruesi.com/760.html



    อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่พึงคิด คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด
    แลถ้าขืนคิดให้รู้ให้ได้ก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนแห่งความเครียดเป็นบ้าเสียสติไป
    แต่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าห้ามหรอกนะ
    ท่านเพียงแต่บอกความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น

    ตามหลักของพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไปห้ามใคร
    เป็นแต่เพียงบอกว่า ไม่ควรคิด ถ้าคิดแล้วมันจะทำให้ มี

    ส่วนแห่งความวิปริตของจิตเกิดขึ้น คือเมื่อคิดไม่ออก ก็เลยฟุ้งเพ้อไปเลย
    ฉะนั้นท่านจึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด คือ ไม่

    อาจรู้เข้าใจได้ด้วยการคิด ต้องรู้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเอง
    โดยพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้น อจินไตยมี 4 อย่างคือ

    (องฺ.จตกฺก.21/76/104)

    1. พุทธวิสัยคือ เรื่องปัญญาความสามารถของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร
    รู้ได้อย่างไร ทำได้อย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
    ปัญญาของเราไม่ถึงใคร แล้วให้หยั่งรู้ถึงทันเท่าคนนั้น
    ย่อมคิดไม่ได้ คิดไม่ออก เป็นที่เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่
    เพราะฉะนั้น ปุถุชนจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้
    หรือคิดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าออกได้อย่างไร
    ก็ต้องพัฒนาตัวไปจนกว่าจะมีปัญญาอย่างนั้น

    2. ฌานวิสัย คือ วิสัยของฌาน
    จิตนั้นมนุษย์ก็มีอยู่ด้วยกันทุกๆ คน แต่มนุษย์ปุถุชนก็ไม่เคยรู้จัก
    ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติของจิต
    และการทำงานของจิตของตนเองเลย แม้แต่ความฝัน ตัวเองก็ฝันอยู่แต่ก็ไม่เข้าใจความฝันนั้น
    ความรู้เรื่องจิตที่มีอยู่ในตัวเองหรือที่เป็นตัวเองนี้ มีน้อยอย่างยิ่ง
    ทีนี้สภาพจิตที่เป็นฌานนั้นเกิดจากสมาธิที่แน่วแน่ถึงขั้นที่เรียกว่า อัปปนา
    เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนพัฒนาจิต
    ยิ่งรู้เข้าใจยากกว่าสภาพจิตสามัญ คนทั่วไปจึงไม่อาจคิดให้รู้เข้าใจได้ เป็น
    เรื่องที่ต้องฝึกฝนพัฒนาขึ้นมาแต่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจรู้เข้าใจได้
    มิใช่ด้วยการคิด แต่ด้วยการทำเอา

    3. เรื่องการให้ผลของกรรม เรื่องนี้มนุษย์ปุถุชนคิดอย่างไร
    ก็ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนจนถึงที่สุด เราก็รู้เข้าใจในแง่หลัก
    ของความเป็นไป ตามเหตุปัจจัยแล้วก็คิดไปได้ระดับหนึ่ง
    แต่จะให้คิดมองเห็นโล่งตลอดไปก็ไม่ไหว


    4. เรื่องโลกจินตา คือ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของโลกจักรวาล
    จักรภพ ว่าเกิดขึ้นอย่างไร จะมีการสิ้นสุดหรือไม่ มีขอบเขตถึงไหน
    เรื่องนี้ philosophers คือ นักปรัชญาทั้งหลายชอบคิด แต่ให้คิดไปเถิด
    ก็ข้องอยู่นั้นจะคิดให้ออก ก็ไม่ออกหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2011
  3. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เทพเมรัย [​IMG]
    ผมคิด ว่า การที่เราเข้าใจไปเองว่า มีผู้อื่นสามารถรับกรรมแทนเราได้ มันจะไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อาจเป็นมิจฉาทิฐิ

    เราจะยกย่อง เทิดทูญบุคคลที่มีความดีงามในตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ไม่ควรคิดไปเองในเรื่องการรับกรรมทดแทนกันได้

    เป็นเรื่องปกติของโลกไม่ใช่หรือ ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สามารถรับแทนกันได้อยู่หรือ

    แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ นอกจากบอกทางให้เท่านั้น

    แม้พระญาติของพระองค์เองยังจะทำสงครามแย่งน้ำกัน จนพระองค์ต้องเสร็จไปทรงห้ามปรามจึงหยุด

    เพียงเท่านี้ก็เป็นข้อสอนใจได้ว่า กรรมของผู้ใด ไม่อาจรับทดแทนกันได้เลย เรื่องของกรรมย่อมเป็นไปตาม กรรมนิยาม ส่วนเรื่องของธรรมชาติย่อมเป็นไปตาม อุตุนิยาม พีชนิยาม อาจสอดคล้องกัน สัมพันธ์กันบ้างตามปัจจัยเกื้อหนุนหรือหักล้าง แต่โดยเนื้อหา ทุกกฏย่อมดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง ไม่มีผู้ใดห้ามปราม เหนี่ยวรั้งได้
    </td> </tr> </tbody></table>


    ข้อสังเกต ภัยพิบัติบางครั้งอาจไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ เช่น โรคที่เกิดจากอมนุษย์

    พุทธธรรมแก้มหันตภัยธรรมชาติ
    โดย.. เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ

    ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล มีจากภัยแล้ง ที่ประเทศอินเดียไม่มีฝนตกอยู่นาน
    จนทำให้คนและสัตว์ตายจำนวนมาก จนกระดูก (ของคนและสัตว์) ปรากฏขาวเกลื่อน
    ภัยอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้คนตายกันมาก ตามที่ปรากฏใน คัมภีร์ยุคอรรถกถา คือโรคระบาด (ห่าลง)
    โดยเป็นโรคที่เกิดจากอมนุษย์ ทำให้มนุษย์หวาดกลัวหนีออกจากเมือง
    และพระพุทธเจ้าทรงมอบให้พระอานนท์ทำน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรม (ปรากฏในรัตนสูตร)

    พุทธวิธีการแก้ไขภัยธรรมชาติในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบที่ชาวพุทธในประเทศไทยนำมาใช้ต่อมาเมื่อเกิดโรคระบาดหลายยุค หลายสมัย
    ในยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระราชพิธีอาพาธพินาศ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นต้น

    คัดลอกจาก http://www.songpak16.com/tzunami_budhatham.html





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2011
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เทพเมรัย [​IMG]
    ผมคิด ว่า การที่เราเข้าใจไปเองว่า มีผู้อื่นสามารถรับกรรมแทนเราได้ มันจะไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อาจเป็นมิจฉาทิฐิ

    เราจะยกย่อง เทิดทูญบุคคลที่มีความดีงามในตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ไม่ควรคิดไปเองในเรื่องการรับกรรมทดแทนกันได้

    เป็นเรื่องปกติของโลกไม่ใช่หรือ ในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สามารถรับแทนกันได้อยู่หรือ

    แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ นอกจากบอกทางให้เท่านั้น

    แม้พระญาติของพระองค์เองยังจะทำสงครามแย่งน้ำกัน จนพระองค์ต้องเสร็จไปทรงห้ามปรามจึงหยุด

    เพียงเท่านี้ก็เป็นข้อสอนใจได้ว่า กรรมของผู้ใด ไม่อาจรับทดแทนกันได้เลย เรื่องของกรรมย่อมเป็นไปตาม กรรมนิยาม ส่วนเรื่องของธรรมชาติย่อมเป็นไปตาม อุตุนิยาม พีชนิยาม อาจสอดคล้องกัน สัมพันธ์กันบ้างตามปัจจัยเกื้อหนุนหรือหักล้าง แต่โดยเนื้อหา ทุกกฏย่อมดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง ไม่มีผู้ใดห้ามปราม เหนี่ยวรั้งได้
    </td> </tr> </tbody></table>

    สาเหตุของแผ่นดินไหวไม่ได้มีเพียงเรื่องของธรรมชาติ ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร


    ในพุทธศาสนาก็มีคำอธิบายของเหตุแห่งแผ่นดินไหว ในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๑๗๐ หน้า ๑๑๗ และภูมิจาลสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ที่ ๒๓ ข้อที่ ๗๐ หน้า ๓๗๖-๓๗๘ โดยสรุป เหตุการณ์นี้พระพุทธเจ้าตรัสในวันที่ปลงมายุสังขาร ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๓ เดือน ในคราวที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี

    เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์
    ได้เกิดแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็ดังกึกก้อง
    พระอานนท์ จึงเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เหตุปัจจัย ๘ ประการ คือ

    ๑.ดูกร อานนท์ มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ, น้ำตั้งอยู่บนลม, ลมตั้งอยู่บนอากาศ, สมัยที่ลมใหญ่พัด,
    เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้วย่อมยังแผ่นดินให้ไหว,
    อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ

    ๒.สมณะหรือพราหมณ์ผู้ มี ฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต, หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก,
    เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า, เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวได้

    ๓.เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะลงสู่พระครรภ์พระมารดา

    ๔.เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา หลาย

    ๕.เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    ๖.เมื่อใด พระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป

    ๗.เมื่อใด พระตถาคตมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุ สังขาร

    และ ๘.เมื่อใด พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ




    คือตอนที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยจะปลงอายุสังขาร ปริณพาน แผ่นดินก็เกิดการไหว พระอานนท์ก็จึงทูลถามพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าดูก่อนอานนท์ มีเหตุ ๘ ประการที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
    ข้อที่ ๑ คือ ลมกำเริบ คือ พอตีความทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นลม น้ำ ดิน ไฟ เป็นเหตุปัจจัยที่ทำเกิดรอยเลื่อน
    คำว่า ลม หรือ ธาตุ เราอาจหมายถึง ส่วนประกอบที่เป็นก๊าช เป็นของเหลวที่อยู่ภายในโลก ที่เราเรียกในภาษาสมัยใหม่
    แต่ในภาษาของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า แผ่นดินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมอาศัยอากาศ
    เมื่อลมพายุใหญ่พัด น้ำก็หวั่นไหว เมื่อน้ำไหวแผ่นดินก็ไหว ในทำนองเดียว
    เมื่อลมหรือก๊าชที่อยู่ภายในโลกที่รองรับแผ่นดินภายใน ไหวตัว แผ่นดินโลกก็เกิดการไหว
    ตามที่เราทราบแล้ว เพราะแผ่นดินไม่ได้เป็นแผ่นดินเดียวกัน เป็นแต่จรดกันอยู่เท่านั้น จึงเกิดการไหวง่าย

    ข้อที่ ๒ท่านผู้มีฤทธิดลบันดาล ที่ทำให้โลกสั่นสะท้านได้ ดูอย่างกรณีที่ฮิโรชิมา นางาซากิ ที่ระเบิดปรมาณูมาลง ก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
    คนตายเป็นแสน หรือกรณีมหาอำนาจทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ แล้วทำให้แผ่นดินไหว
    แต่ในที่นี้อธิบายว่าผู้ที่ได้ จตุถฌาณ ที่เกิดจาก กษิณ แล้วสามารถบันดาลให้แผ่นดินไหวได้

    แล้วตั้งแต่ข้อที่ ๓ ถึง ข้อที่ ๘ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งนั้น


    เรื่องลมกำเริบ ข้อที่ ๒ ผู้มีฤทธิบันดาล แล้วแต่จะตีความ
    คือ มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์จนสร้างระเบิดปรมาณู ทิ้งระเบิดใส่คู่ต่อสู้จนแผ่นดินไหว โลกแทบแตกก็ได้
    หรือ ผู้ที่ได้ฌาณ สมาบัตจากการฝึกกษิณก็ได้

    ในข้อที่ ๓ ถึงข้อที่ ๘ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า


    พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    เหตุเกิดแห่งการไหวของแผ่นดินเกิด จากเหตุ ๘ อย่างตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
    ถ้าพระพุทธพจน์นี้เป็นความจริง ทำไมเมื่อพระเวสสันดร ถวายทานแผ่นดินจึงไหวตั้ง ๗ ครั้ง ไม่เกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ไหว ๘ ครั้งเลย
    แสดงว่าถ้อยคำ ๒ ที่มีพิรุธ จะต้องมีที่หนึ่งที่ใดผิด ถ้าอันแรกถูกอันที่สองก็ต้องผิด ถ้าอันที่สองถูกอันแรกก็ต้องผิด
    เพราะเมื่อพระเวสสันดร ถวาย สัตตสดก คือ ถวายทานอย่างหละ ๗๐๐
    เช่น ให้ม้าก็ ๗๐๐ ตัว ให้ช้างก็ ๗๐๐ เชือก ให้คนก็ ๗๐๐ คน
    ภาษาไทยใช้ว่า สัตตสดก บาลีใช้ สัตตสัตตกะ สัตต คือ ๗ สัตตกะ คือ ๑๐๐
    คือ ให้ทานหมวดหละ ๗๐๐ แล้ว แผ่นดินไหวตั้ง ๗ ครั้ง
    เราจะจัด สัตตสดก ของพระเวสสันดร ไปไว้ในข้อไหน
    เพราะ ใน ๘ข้อนั้นไม่มีเลย ขอพระคุณเจ้า โปรดแก้ไขเรื่องอันลึกซึ่งนี้ด้วยเถิด
    ใครก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะเป็นผู้มีปัญญาน้อย เว้นจากพระผู้เป็นเจ้าผู้มีความรู้ คนอื่นก็ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

    พระนาคเสนจึง ถวายพระพรดูก่อน มหาบพิตร ถูกแล้ว เหตุทีเกิดแผ่นดินไหวมี ๘ ข้อจริง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
    แต่กรณีพระเวสสันดร บริจาคทาน แผ่นดินไหว ๗ ครั้งก็เป็นเรื่องจริงอีก แต่ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ท่านจึงไม่นับในเหตุ ๘ ประการ
    พูดง่าย คือ เหตุแผ่นดินไหว ๘ อย่างก็ถูก พระเวสสันดร บริจาคทานอย่างหละ ๗๐๐ แผ่นดินไหว ๗ ครั้ง ก็ถูกอีก
    แต่ไม่จัดเอาพระเวสสันดรเข้าไว้ในเหตุ ๘ อย่างเพราะถือว่าเป็นกรณีพิเศษ

    ท่านจึงยกตัวอย่าง เมฆมีอยู่ ๓ อย่างฤดูหนาว เมฆฤดูร้อน ถ้านอกจากเมฆ ทั้ง ๓ อย่าง ก็เรียกว่ากรณีพิเศษ ก็มี
    เช่นเดียวกับ พระเวสสันดรให้ทานแล้วเกิดแผ่นดินไหวก็เป็นกรณีพิเศษเช่นเดียว
    แล้วท่านก็ยกตัวอย่าง ว่า แม่น้ำจะมาจากกี่สาย แต่ก็มีแม่น้ำ ๑๐ สายเท่านั้นที่ถือว่าเป็นแม่น้ำเอก
    แล้วก็ยกตัวอย่าง อำมาตย์ของพระราชา มีมากมาย แต่ก็มีอำมาตย์ที่เป็นหลัก ๖ คน
    คือ เสนาบดี ปุโรหิต ผู้พิพากษา ขุนคลัง อำมาตย์ที่เชิญพระกลด อำมาตย์ที่เชิญพระแสง
    ก็เหมือนกับพระเวสสันดรทำบุญเหมือนกัน ก็เป็นกรณีพิเศษ ไม่จัดเข้าใน ๘ ประการแต่ถือว่าเป็นเรื่องจริง

    อ้างอิงจาก

    แผ่นดินไหวใน "พระไตรปิฎก" : ศาลาธรรม
    แผ่นดินไหว: สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวทางพุทธศาสตร์ | กลุ่มจุดตะเกียง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2011
  5. e20ehq

    e20ehq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +770
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
    คุณมิควรจะนำพระองค์มาอ้าง จากคำเล่าลือเสียงเล่าอ้างเลย

    ส่วนไอ้ที่ภัยพิบัติ ที่ทำนายไว้งั้นงี้ จะเกิดนั่นนี่ พอมันทำนายพลาดกัน มันก็มักจะมาอ้างว่า ถูกเลื่อนออกไปเสมอแหละครับ...

    น้อมนำเอาพระบรมราโชวาทมาใส่เศียรเกล้า ดำเนินรอยตามพระองค์น่ะ ดีที่สุดแล้วครับ
     
  6. ฟาสิรี

    ฟาสิรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +729
    เลื่อนไปแล้ว และคงจะเลื่อนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เอาไปให้คนรุ่นหลังรับกรรมแทน .... ถ้าเลื่อนได้ น่าจะไม่ให้มันเกิดไปเลย หมดเรื่อง ไม่ต้องมาเฝ้าระวังกัน
     
  7. mu-nice

    mu-nice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +650
    ขอเทิดทูลพระองค์ตลอดไปเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทำทุกอย่างบารมีท่านมากมายนักประเทศไทยรอดพ้นภัยพิบัติร้ายแรงมาหลายครั้งก็เพราะบารมีของพระองค์ใครจะเชื่อหรือไม่ดิฉันไม่รู้แต่สำหรับตัวดิฉันเชื่อ100%
     
  8. thol

    thol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +837
    ภัยจะเกิดไม่เกิดจะเลื่อนไม่เลื่อน แต่สุดท้ายขอให้เกิดน้อยที่สุดเบาบางที่สุด
    เราทุกคนต้องช่วยกัน สวดมนต์ รักสามัคคี เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เพื่อในหลวงของเราและตัวเราเอง คนไทยอยู่ได้ต้องพึ่งวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย แต่สุดท้ายอย่าประมาทครับ
     
  9. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ถ้าหากคนที่เรารัก เช่น ลูก ๆ ของเราเจ็บป่วยหรืออาจได้รับอันตราย
    ถามว่าตัวเราซึ่งเป็นพ่อจะหาวิธีป้องกันแก้ไข เลื่อนความตายของลูก ๆ เราออกไปหรือไม่
    หรือจะคิดเพียงว่า ยังไงคนเราก็ต้องตาย ยังไงลูกเราก็ต้องตายในสักวัน
    หากคิดเช่นนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องมีหมอ ไม่จำเป็นต้องมีโรงพยาบาลไว้รักษาคนป่วย และไม่ต้องมีหน่วยกู้ชีพ หน่วยกู้ภัย


    คงไม่มีใครคิดจะเลื่อนไปให้คนรุ่นใดรับกรรมแทน

    พรหมวิหาร ๔ นั้น ตั้งต้นด้วยเมตตาก่อนจะจบลงที่อุเบกขา
    แม้พระอรหันต์ผู้พ้นจากโลกแล้วแต่ท่านก็ยังมีเมตตา
    ยิ่งพระโพธิสัตว์หรือกลุ่มคนที่หน้าที่นั้นก็ยิ่งต้องพยายามแก้ไขกันไป
    แม้ทำไปได้เหมือนแก้กันทีละเปลาะ แต่ก็โดยหวังว่าภัยพิบัติอาจไม่เกิดขึ้นในที่สุด หรือหากเกิดก็ให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด

    สมมติว่าที่ผ่านมาภัยพิบัติมีการเลื่อนออกไปจริง
    การเลื่อนของภัยพิบัตินั้นหากมีจริงก็ย่อมเป็นผลดี
    หากมีคนเห็นภัยที่เกิดในที่ต่าง ๆ อาจตื่นตัวในการสร้างความดี
    ภัยร้ายต่าง ๆ ก็อาจคลี่คลายเบาบางลง
    อย่างน้อยในประเทศไทยขอให้มีคนตื่นตัวในการทำดีเพิ่มมากขึ้น
    บางคนชีวิตหักเห กลับมาสนใจธรรมะและความดีมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นภัยพิบัติจากต่างประเทศ

    ส่วนคนที่เห็นว่าภัยพิบัติเลื่อนออกไปแล้วกลับประมาทนั้น ก็ควรโทษผู้ที่ประมาทเอง
    ไม่ใช่มาโทษผู้พยายามเตือนด้วยเจตนาบริสุทธิ์ หรือโทษผู้ที่พยายามหาทางช่วยหรือหาทางแก้ไข
    เพราะผู้ไม่ประมาทนั้นมีเพิ่มขึ้น ผู้กลับตัวนั้นมีมากขึ้น ผู้ประพฤติธรรมหลายคนมีการเร่งรัดตัวเองมากขึ้น


    ผู้มีธรรมย่อมเพ่งโทษตัวเอง มิใช่เพ่งโทษผู้อื่น เช่นว่าเพราะเตือนแล้วภัยพิบัติไม่เกิดเลยทำให้ตนประมาท เป็นต้น
    ก็ผู้ที่ไม่ประมาทนั้นยังมีอยู่ ผู้ไม่ประมาทนั้นเมื่อภัยพิบัติยังไม่เกิดก็พากันโล่งใจ และพยายามปฏิบัติธรรมต่อไป
    เหมือนนักกีฬาที่อุตสาหะได้ต่อเวลาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต่างก็เร่งพยายามทำแต้มชัยโดยไม่ย้อท้อ


    ลองคิดดูว่าหากภัยพิบัติไม่ได้มีการเลื่อนออกไป
    คนอาจจะไม่ได้ตื่นตัวเรื่องภัยพิบัติเท่านี้
    ประเทศที่ได้รับภัยพิบัติเป็นประเทศแรก ๆ เช่น เฮติ ญี่ปุ่น นั้นน่าสงสาร
    ประเทศต่าง ๆ ควรช่วยเหลือและนำมาเป็นกรณีศึกษา ไม่ใช่คิดเพียงว่าเราคงไม่โชคร้ายแบบเขาหรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

    หากภัยพิบัติมีการเลื่อนออกไปจริง ก็นับเป็นโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมตัวมากยิ่งขึ้น
    แต่ก่อนเมืองไทยนั้นหากพูดถึงเรื่องซึนามิ แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วมโคราช คนคงว่าบ้าแน่นอน หาคนเชื่อได้น้อยเต็มที

    สมมติว่า
    ภัยพิบัติใหญ่เลื่อนออกไปเหลือไว้แต่เพียงภัยพิบัติย่อย ๆ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นคำเตือนมาเป็นระยะ ย่อมทำให้คนตื่นตัวมากขึ้น
    ตอนนี้หน่วยงานราชการต่าง ๆ ของไทย เริ่มตื่นตัวกันบ้างแล้ว แม้ไม่มากนัก
    บางพรรคการเมืองนำมาเป็นนโยบายหาเสียง (หวังว่าไม่ใช่แค่เพียงหวังผลในการเลือกตั้ง) บางคนเสนอเรื่องภัยพิบัติเป็นวาระแห่งชาติ

    คนไทยที่เคยหัวเราะเยาะเรื่องการเตรียมเป้ฉุกเฉิน เริ่มหันมาหาความรู้เรื่องนี้กันมากขึ้น คนใกล้ ๆ ตัว เริ่มมาถามว่าจะหาซื้ออะไรจากที่ไหน
    หลาย ๆ คนที่เคยมัวเมากับการใช้ชีวิตเริ่มหันกลับมาค้นหาความหมายของชีวิต ค้นหาทางพ้นทุกข์ในวัฏะสงสารแห่งนี้


    อย่างน้อย ๆ ก็มีคนกลับตัวเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง ผมยืนยันได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2011
  10. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ไม่เชื่อว่ามันจะเลื่อนได้ค่ะ ทุกๆอย่างเป็นไปตาม(ธรรมชาติ)ของดินฟ้าอากาศ แล้วก็(กรรม-หมู่) ที่สัตว์โลกได้ร่วมกันสร้างกรรมชั่วนั้นๆกันมา
     
  11. Hmala

    Hmala สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +6
    การเลื่อนระยะเวลาไป แต่กรรมไม่ได้เลื่อนไป เมื่อถึงเวลา จะเห็นความยิ่งใหญ่ของกรรมก็จะบังเกิดแต่จะเกิดรวมทีเดียว เป็นเหตุที่ได้เห็นว่าทำไมหลายคนต้องมาประสบพร้อมกัน
    เหตุใดคนต้องมารวมตัวกันก่อนเกิดซึนามิ ทำไมต้องบินพร้อมกันขณะเครื่องบินตกแต่บางคนตกเครื่องบิน ทำไม่ต้องนั่งรถคันที่เกิดอุบัติเหตุแต่บางคนมีเหตุไม่ต้องมากะรถคันนี้ ล้วนหลายหลากไม่มีคำอธิบาย เหมือนเหตุวันที่ 7 ที่เลื่อนมามอบทองคำ วันที่ 8 พระสายป่าต่างมารวมกันที่พ่อขุนราม แต่ในขณะเดียวกันเมฆที่ฝั่งอันดามันเตรียมเข้ากทม. ก็จางหายแต่ไปที่อื่น หากมองย้อนไปยังนางเมขลา ในพระมหาชนกที่พระองค์ทรงเขียนไว้ เมื่อ คราวนากิส ก็ชัดเจน แต่ส.ค.ส.2547 ยังคงเป็นปริศนา ผมเชื่อว่าเลื่อนได้เพราะขณะผู้มีบุญเข้ามา แต่ได้ไม่นานเพราะท่านต้องจากไปที่อื่นต่อ ซึ่งจะเห็นว่าขณะที่ทำนายว่าจะเกิดเหตุ มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อน้อมนำจิตใจ ให้ช่วยชะลอภัยพิบัติ แต่บุคคลเหล่านั้นหาได้อยู่ ณ ที่นั่นประจำไม่ หลังจากท่านเหล่านั้นไป อะไรก็เกิดตามมา
     
  12. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LTqm-OvenVc&feature=fvwrel]YouTube - First Image of an Alien Planet[/ame]
    สังเกตุตอนท้ายนาทีที่3.00 หบุมดำๆบนพื้นผิวมีรอยบุ๋มลึกขนาดกลมเล็กกว่าสามเท่า....เป็นรอยชนกลับดาวเคราะห์ดวงใดเมื่อครั้งคราวก่อน26,000ปี
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=S7pJM9IWrVM&feature=fvsr"]YouTube - Alien Planets Found Kepler ET Phone NASA SETI Aliens UFOs Planet X Nibiru 2012[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2D0vDsl61s0&feature=related"]YouTube - 2012 Planet X Meteorite Asteroid possible!!!!!!!![/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=11iCmzGnOI8&NR=1"]YouTube - December 21 2012 THE END[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2011
  13. พิทย

    พิทย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +32
    ผมว่าสาระของการเตือนภัย ประโยชน์อยู่ที่ผู้ฟัง เห็นถึงประโยชน์หรือเปล่า มีคนยื่นอาหารแห้งมาให้ ถ้าไม่หิวตอนนี้ต้องทิ้งให้ดูตรงหน้า หรือเก็บเอาไว้กินยามฉุกเฉินทีหลัง ทุกท่านที่เข้ามาเตือน ผมต้องขอขอบพระคุณในความหวังดี จะเลื่อนไม่เลื่อนผมไม่โทษไม่ตำหนิใคร เพราะเจตนาท่านดี รับไว้ไม่เสียหาย ได้เตรียมตัวได้เตรียมสติเร่งทำคุณความดี คนเราดีชั่วต้องดูตัวเองก่อน ไม่ใช่กล่าวโทษคนที่มาเตือนหาว่าเขาไม่แม่นไม่ตรง ผมอยากถามว่า ถ้าจะเป็นคนดีมันมีวันหมดอายุด้วยเหรอครับ สมมุติมีคนมาเตือนว่าภัยจะมาอีกสามวัน คุณก็เร่งเลยถือศีลถือวัตรพอสามวันผ่านไปภัยไม่เกิด คุณจะมีหน้ามาคิดอีกเหรอครับว่า โหรู้งี้ไม่น่าไปเที่ยวป่าวร้องเลย เสียหน้าเพื่อนฝูงหมด รู้งี้ไปกินเหล้าเที่ยวไปต่างจังหวัดก่อนสะก็ดี.แทนที่จะมาคิดได้นะเออว่า เราโชคดีแค่ไหนที่สามวันนั้นเราได้สร้างคุณงามความดี ได้มีรังแห่งโรค(ร่างกาย)ก้อนนี้ไว้
    ใช้งานพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้น ผมว่าใครจะเตือนผิดหรือถูก ตรงไม่ตรง อย่าไปกล่าวตำหนิท่านที่หวังดีมาเตือนเราเลยครับ ถ้าคุณคิดจะทำความดีก็อย่าฉาบฉวย จะดีวันนี้ก็ให้ต่อเนื่อง ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า "ดูดีดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย" ..
    ชีวิตนี้สละได้เพื่อพระเจ้าอยู่หัว
     
  14. มหนฺตยศฺ

    มหนฺตยศฺ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +112
    ขอขอบคุณสำหรับองค์ความรู้นี้ ท่านเจ้าของกระทู้คงเล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญของคนหมู่มากจึงได้เขียนกระทู้นี้เป็นวิทยาทาน ส่วนที่เหลือคงต้องช่างคน เสียบ้าง คนหนอคน
     
  15. tanapart

    tanapart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +113
    xxxxxxxxxxxxxxxxx:cool::cool::cool:
     
  16. atta454

    atta454 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    131
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +263
    ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจสร้างบุญ อย่างไม่มีสิ้นสุด
     
  17. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    สาธุ สาธุ สาธุ......
     
  18. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ขออนุญาตมองต่างมุมครับ ผมมองว่าภัยพิบัติร้ายแรงนั้นเลื่อนได้จริง ด้วยบุญบารมีของพระอริยเจ้าครับ
     
  19. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ภัยพิบัติไม่เกิดนั้นนับเป็นเรื่องดี
    เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยหากมีการเตรียมตัวอย่างมีสติและไม่ตื่นตระหนก

    หากท่านได้พิจารณาคำแนะนำต่อไปนี้
    จะเห็นว่าไม่มีข้อใดเลยที่ดูว่าเป็นการตื่นตระหนกโดยขาดสติ

    การเตรียมภายใน
    1. นับจากนี้สวดมนต์ทุกวัน (ที่ผ่านมาอาจย่อหย่อนไปบ้าง)
    2. พาตัวเองและคนในครอบครัวไปทำบุญปล่อยปลา เลือกเอาปลาที่กำลังจะถูกฆ่าจากในตลาดสด
    3. บริจาคโลหิต บริจาคอวัยวะ
    4. เร่งรัดตัวเองในการปฏิบัติธรรมในทุกทาง ทาน-ศีล-ภาวนา
    5. เจริญสติ เจริญพรมหวิหาร 4 รักษาศีลเป็นปกติตลอดเวลา
    อย่างน้อยศีล 5 กรรมบถ 10 หรือศีล 8 หากพลั้งเผลอให้สมาทานใหม่
    ส่วนในวันที่คาดว่าจะมีภัยพิบัติให้สมาทานศีล 8

    ต่อจากนี้ไปเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างบารมี
    เพื่อเป็นเสบียงทั้งในภพนี้และภพหน้า

    ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่อุบายหลอกให้คนทำดี
    เพราะทั้งหมดเป็นประโยชน์ของท่านเอง
    ผู้เขียนไม่ได้ประโยชน์อันใดด้วยเลย



    การเตรียมภายนอก
    1. ถ้าเห็นว่าสมควร อาจจะ Print คำเตือนและคำแนะนำนี้แจกจ่ายคนในครอบครัว
    ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร อย่าเสียเวลาเถียงกัน จะเสียกำลังใจและเสียเวลาปฏิบัติธรรม
    หากเกิดขึ้นจริงแล้วเรามีสติ เราอาจจะพอเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ คนอื่น ๆ จะหันมาฟังเราเอง

    2. อย่าเชื่ออย่างงมงาย ให้ติดตามข่าวจากแหล่งข่าวต่าง ๆ เช่น พยากรณ์อากาศ และในเว็บแห่งนี้
    ซึ่งมีหลาย ๆ ท่านมีน้ำใจคอยแจ้งความเคลื่อนไหวและสิ่งผิดปกติอยู่เสมอ
    เช่นหากใกล้ ๆ วันดังกล่าวมีประกาศว่าพายุจะเข้า ก็แสดงว่ายิ่งเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดภัยพิบัติ

    3. สังเกตความผิดปกติของสัตว์หรือการอพยพของสัตว์ เช่น มด งู สุนัข

    4. สังเกตท้องฟ้า มีคำเตือนว่า 'ท้องฟ้าสีแดง'
    ผู้เขียนคาดว่าอาจเป็นไปได้ว่ากลางวันของวันดังกล่าวนั้นท้องฟ้าจะกลายเป็นสีแดง
    สังเกตด้วยถ้าฝนตกต่อเนื่องกันเป็นเวลานานก็ให้ระวังภัยให้ดี

    5. ดำเนินชีวิตและทำงานต่อไป แต่งดการเดินทางไปในสถานที่อโคจร งานมหรสพ
    และสถานที่ที่มีคนแออัดพลุกพล่าน เช่น ผับบาร์ คาราโอเกะ โรงหนัง งานคอนเสริ์ต งานเลี้ยงสังสรรค์
    โดยเฉพาะในช่วงค่ำของวันดังกล่าว เพราะเสี่ยงต่อการแตกตื่นชุลมุนหากมีความผิดปกติของธรรมชาติเกิดขึ้น
    แม้ตามท้องถนนก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะท่านอาจจะติดอยู่ในรถบนถนน บนทางด่วนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดไปไหนไม่ได้

    ข้อนี้ท่านอย่าติงเลยว่าคำเตือนนี้เป็นการทำลายเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
    เชื่อเถอะว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะเชื่อและทำตามที่แนะนำนี้
    ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งประมาทนั้นเขาก็จะใช้ชีวิตไปตามปกติของเขาอยู่นั่นเอง

    6. เตรียมสถานที่ให้พร้อม หากเป็นที่บ้านก็ให้เก็บของสำคัญ เอกสารสำคัญขึ้นที่สูง
    และห่อสิ่งของที่อาจเสียเมื่อโดนน้ำด้วยถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้แน่น
    ในช่วงใกล้ ๆ วันดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระการงานแล้วให้รีบกลับบ้าน
    อยู่ในที่พักหรือที่หลบภัยที่ท่านได้เตรียมไว้ เราไม่ได้บอกว่าที่นั่นปลอดภัย
    แต่อย่างน้อยท่านก็พร้อมที่จะตั้งรับด้วยเสบียงและอุปกรณ์ยังชีพที่ท่านมีอยู่
    ตลอดจนท่านน่าจะรู้ทางหนีที่ไล่ได้ดีกว่าการไปอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารหรือในสถานที่ท่องเที่ยวแปลก ๆ
    อันที่จริงเราอยากแนะนำวัด แต่ปัญหาคือในยามค่ำคืนวิกาลนั้นจะมีวัดใดที่เชื่อและให้เป็นแหล่งพักพิง

    7. ตรวจสอบความพร้อม ตรวจเช็คอุปกรณ์ยังชีพและเสบียงต่างๆ ว่าพร้อมหรือไม่
    บางท่านจนถึงตอนนี้แล้วอาจยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย บางท่านเพิ่งเริ่มเตรียมแต่ยังไม่พร้อม
    ส่วนบางท่านพร้อมแต่เก็บอุปกรณ์ไว้นานแล้ว ลองตรวจเช็คดูว่ายังพร้อมใช้งานเหมือนเดิมหรือไม่

    ควรมีชุดชูชีพสำหรับทุกคนในครอบครัว
    เตรียมถ่านในไฟฉายให้พร้อม
    ชาร์จแบตเตอรี่มือถือให้เต็ม
    น้ำดื่มและอาหารให้เพียงพออย่างน้อย 3-7 วัน


    บางท่านบ่นว่ารายการของที่ต้องเตรียมเยอะเหลือเกิน หรือไม่มีเวลาเตรียมตัว
    หากไม่มีเวลาหรือเริ่มต้นไม่ถูกขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นจาก 2 กระทู้นี้
    [FONT=&quot]
    คลิกที่นี่...10 Things for Survival (10 สิ่งที่ควรต้องมีในเป้ยังชีพ)[/FONT]

    คลิกที่นี่...5 Things for Survival (5 สิ่งที่ควรต้องมีในเป้ยังชีพ)

    หากมีเวลาให้ลองศึกษาเพิ่มเติมจากกระทู้อื่น ๆ ในเว็บแห่งนี้ เช่น
    กระทู้ : รวบรวมข้อมูลเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ

    กระทู้ : รวมอุปกรณ์ยังชีพ




    หากอุปกรณ์ยังชีพใดยังขาด มีไม่ครบ หรือชำรุด ให้รีบจัดหาโดยด่วนเผื่อว่าภัยนั้นมาเร็วกว่าระยะเวลาที่เตือนไว้



    การเตรียมอาหารแนะนำให้เตรียมอาหารแบบที่ไม่ต้องปรุงและให้มีความหลากหลาย
    เพราะผู้เขียนเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ ลังเลว่าภัยพิบัติจะเกิดในวันดังกล่าวแน่นอนหรือไม่
    ดังนั้นหากเราเตรียมอาหารที่มีความหลากหลายไว้
    แม้ไม่เกิดภััยพิบัติใด ๆ ในวันดังกล่าว เราก็ยังสามารถเอามาปรุงอาหารได้ในวันอื่น ๆ ตามปกติ
    แต่ถ้าท่านตุนไว้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างเดียว แล้วภัยพิบัติไม่เกิดในวันดังกล่าว
    ท่านคงต้องเซ็งกับการกินมาม่าไปอีกหลายมื้อ พาลจะนึกด่าผู้เขียนอีกด้วย

    8. ก่อนถึงวันเวลาที่ได้เตือนไว้ให้พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเก็บแรงไว้ผจญภัย
    หากนอนไม่หลับให้ สวดมนต์ ฟังธรรมะหรือนั่งสมาธิ
    เพราะ 3 อย่างนี้มักเป็นยานอนหลับขนานเอก
    สำหรับใครบางคนที่บ่นว่านอนไม่หลับ แต่พอให้นั่งสมาธิทีไรหลับได้ทุกที
    หากสวดมนต์ นั่งสมาธิหรือฟังธรรมะแล้วไม่หลับก็ยังเป็นเรื่องดี เพราะได้กุศลความดี มีแต่ได้กับได้

    9. งดเว้นสุรา ของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติรู้ตัว รวมถึงยาแก้ไข้ต่าง ๆ ที่อาจทำให้ท่านหลับเหมือนสลบ
    โดยเฉพาะในวันเวลาที่ได้เตือนไว้ พยายามมีสติ
    หากกลัวให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ สวดอิติปิโส ขอพึ่งพุทธบารมี

    10. ในวันเวลาดังกล่าวหากเป็นไปได้ควรจัดเวรยามผลัดเปลี่ยนกันนอน อาจตั้งนาฬิกาปลุกไว้
    โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงตีสามของวันดังกล่าวที่ได้เตือนไว้ ลองตื่นขึ้นมาเช็คข่าวเสียหน่อย
    เปิดโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ไว้ เผื่อว่ามีข่าวเตือนภัยหรือความเคลื่อนไหวต่าง ๆ
    ที่ผ่านมาปรากฏว่า Facebook และเว็บต่าง ๆ รายงานข่าวได้เร็วกว่าสื่ออื่น ๆ
    หากมีภัยเกิดขึ้นจริงต้องระวัง ปิดแก๊ซและตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อไม่ให้ไฟไหม้หรือถูกไฟดูด


    การเตรียมภายใน 5 ข้อ และการเตรียมภายนอก 10 ข้อนี้
    คงไม่เกินวิสัยและไม่เป็นการตื่นตระหนก

    ผมเชื่อว่าก่อนถึงวันที่เกิดภัยพิบัตินั้นน่าจะมีสิ่งผิดปกติเตือนเราเป็นระยะ
    ขอให้เราช่วยกันเตือน ช่วยกันสังเกตธรรมชาติและสัตว์ต่าง ๆ


    คงจะดีที่ไม่ประมาทและเตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือตัวเองและครอบครัว
    อาจได้ช่วยเหลือคนอื่นที่ไม่ได้เตรียมตัวอีกด้วย

    อย่าลืมว่ามีเพียง 'พระพุทธเจ้า' เท่านั้นที่เป็นสัพพัญญูรู้แจ้ง
    คำทำนายหรือภาพนิมิตต่าง ๆ จากผู้อื่นล้วนมีโอกาสคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย

    หากไม่มีเกิดอะไรขึ้น วันรุ่งขึ้นก็กลับไปทำงาน กลับไปใช้ชีวิตต่อไป

    ขออภัยและขออโหสิกรรม หากทำให้ท่านเป็นทุกข์และตื่นตระหนก
    ได้แต่หวังว่าท่านจะเห็นใจและเข้าใจในเจตนาของผู้เขียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2011
  20. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    กัมมุนา วัตตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    ถ้าจะคิดว่าเลื่อนได้ ...ก็คงจะเป็นบุญของคนไทย ซึ่งน่าจะเป็นเพราะได้รับกรรมดี
    ถ้าจะคิดว่าไม่น่าเลื่อนได้...ก็คงจะเป็นเพราะได้รับกรรมไม่ดี
    กรรม หมายถึง การกระทำ/ผลกรรมคือสิ่งติดตัวของสัตว์ทุกเหล่าที่มีลมหายใจ...อยู่ในโลกใบนี้...คิดต่างกันได้ แต่ไม่แตกแยกกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...