บทความที่เกี่ยวกับ "พญานาค" น่าสนใจมากๆค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย lynn@nice, 4 พฤษภาคม 2011.

  1. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    เข้ามาติดตามเรื่องราวดีๆ ขอบคุณครับพี่ลิน
     
  2. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณค่ะ คุณ เตอร์ที่แวะมาเยี่ยมชม :cool:
     
  3. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    คุณวรพร ทองดีเลิศ ผู้อยู่รับใช้หลวงพ่ออุตตมะนาน 24 ปี เล่าว่าหลวงพ่ออุตตมะเคยมีประสบการณ์ในการมองเห็นพญางูยักษ์ในเขตป่าเมือง กาญจนบุรี บริเวณรอยต่อของแผ่นดินไทยกับพม่า ห้วงพ.ศ.2500 กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่างที่หลวงพ่อเพิ่งจะเข้ามาอยู่อำเภอสังขละไม่นานปี

    เรื่อง นี้คุณวรพร บอกว่าได้ยินจากปากของหลวงพ่อด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อได้ยินแล้วจะนึกเห็นภาพพญางูยักษ์นั้นใหญ่โตมโหฬารขนาดขบวนตู้รถไฟ หรืออาจจะกว่านั้น

    มูลเหตุที่ได้พบเห็นพญางูยักษ์นั้น หลวงพ่ออุตตมะเล่าว่า รับนิมนต์จากค่ายตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่ง ตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายเอารถจิ๊ปมารับหลวงพ่อเข้าค่ายซึ่งอยู่ในป่าลึกชิดชายแดน ขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุประมาณ 50 ปี (ปัจจุบันอายุ 96 ปี และกำลังอาพาธอยู่โรงพยาบาลศิริราช)

    ระหว่างเดินทางโดยรถจิ๊ปของ ตำรวจตระเวนชายแดน หลวงพ่อปวดปัสสาวะ คณะตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายจึงให้หยุดรถตรงบริเวณที่เป็นทุ่งโล่งกว้างใหญ่ในหุบเขา

    โดยที่ ไม่ทันได้สังเกตุแต่แรก ทุกคนได้เห็นพญางูยักษ์เลื้อยผ่านทุ่งโล่งอย่างช้า ๆ และไม่มีอาการว่าจะแสดงความสนใจหลวงพ่อและตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นาย ทว่าตำรวจตระเวนชายแดน 4-5 นายนั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว

    ขนาดของงู ยักษ์นั้นยากจะบรรยาย แต่ความยาวของพญางูคงจะพอกำหนดขนาดได้ คือ หัวของพญางูเลื้อยไปถึงเขาลูกข้างหน้าแล้ว แต่หางยังอยู่เขาอีกลูกหนึ่ง

    เมื่อตำรวจตระเวนชายแดนหายจากตกตะลึงก็ขยับปืนจะยิงพญางูยักษ์ หลวงพ่อก็ห้ามเอาไว้

    “อย่านะ ปืนยิงไม่ออกนะ”

    หลัง จากนั้นหลวงพ่อจึงอธิบายว่า อย่าเห็นว่าเขาเป็นแค่งู เขาต้องสร้างบารมีมาไม่น้อยจึงมีขนาดใหญ่โตปานนั้น ถ้าเจ้าจะยิงเขาจริง ๆ พวกเจ้าคิดว่าปืนจะทำอะไรเขาได้ และถ้าเขาพยาบาท บ้านช่องพวกเจ้าจะเหลืออะไร แค่งูเห่าตัวเล็ก ๆ ยังรู้จักพยาบาท งูใหญ่ขนาดนั้นพยาบาทจะน่ากลัวแค่ไหน

    อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อไม่ได้เอ่ยว่า พญางูยักษ์ที่ได้เห็นนั้นเป็นพญานาค ท่านเอ่ยแต่ว่าเป็นพญางูเท่านั้น

    เกี่ยว กับเรื่องงู หลวงพ่อมีเรื่องพัวพันกับงูที่น่าสนใจมาก เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือ “อุตตมะ 84 ปี” เรียบเรียงโดย นายทรงวิทย์ แก้วศรี ดังนี้

    “เรื่องของงู

    วันหนึ่งผู้ใหญ่ซวยฉ่องป่วยหนัก หลวงพ่อได้ข่าวก็เป็นห่วงมาก เพราะผู้ใหญ่ซวยฉ่องเป็นผู้มีอุปการคุณต่อหลวงพ่อและทางวัด วันนั้นฝนตกพรำ ๆ อากาศมืดสลัว หลวงพ่อรับนิมนต์ไปสวดมนต์ที่นิเถะ พอฝนซาก็กระวีกระวาดจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่องซึ่งอยู่ริมดงสัก เส้นทางนั้นต้องเดินผ่านโรงพัก ตาแลขี้เมาเห็นหลวงพ่อผ่านมาก็ร้องถามว่าจะไปไหน หลวงพ่อตอบว่าจะไปบ้านผู้ใหญ่ซวยฉ่อง ตาแลจะไปด้วยกันไหม ตาแลบอกว่าจะมืดแล้ว (ขณะนั้น 5 โมงครึ่ง) อย่างไปเลย ที่ดงสักมีงูเห่าตัวใหญ่มาฉกวัวตาย เจ้าของวัวยังมาขอให้ตำรวจไปยิงงู หลวงพ่อได้ยินก็ห้ามตาแลว่าอย่าไปยิงเลย จากนั้นท่านเดินต่อไป ตาแลเป็นห่วงจึงตามหลังมาด้วย พอถึงดงสักพบงูเห่าพอดี อยู่ตรงที่กัดวัวตาย งูนั้นมีขนาดลำตัวเท่ากระติกน้ำขนาดกลาง ความยาว 3 วา กลิ่นสาปรุนแรงมาก ตอนแรกงูขดตัวอยู่ พอเห็นหลวงพ่อก็ชูหัวท่อนบนขึ้นแผ่พังพานใหญ่และยกตัวขึ้นสูงกว่าหลวงพ่อ เสียอีก

    หลวงพ่อยืนแผ่เมตตาให้งู ส่วนตาแลร้องว่าแผ่เมตตาไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หนีก็ต้องยิงล่ะ เก็บไว้ก็จะเป็นอันตรายต่อสัตว์และมนุษย์ หลวงพ่อบอกว่า อย่าพูดเชียวนะว่าจะฆ่าเขา งูเขารู้ เดี๋ยวเขาตามไปถึงบ้านเลย แล้วท่านก็พาตาแลหลีกทางไปให้พ้นงู

    อยู่มา อีก 3 วัน มีคนมานิมนต์หลวงพ่อไปรักษาคนป่วยที่หมู่บ้านวังกะล่าง ระหว่างทางหลวงพ่อได้ยินเสียงชาวบ้านเอะอะอยู่กลางทุ่งนา นึกว่าพวกมอญ กะเหรี่ยง และละว้าตีกัน เพราะได้ยินเสียงหลายภาษาขรมไปหมด จึงแวะเข้าไปดู เห็นมอญ กะเหรี่ยง ละว้า ล้อมงูใหญ่อยู่ เป็นงูเห่าตัวที่หลวงพ่อเคยห้ามตาแลไม่ให้ยิงนั่นเอง งูกำลังแผ่พังพานทำท่าสู้ ชาวบ้านบอกว่า งูตัวนี้ออกมาจากรูหรือจากป่าก็ไม่รู้ สงสัยว่ากำลังจะเลื้อยขึ้นเขา หลวงพ่อจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นไปล้อมเขาไว้ทำไม ชาวบ้านบอกว่า เนื้องูอร่อยดีและตัวนี้น่าจะได้เนื้อหลายกิโล

    หลวงพ่อมีความเมตตางู ตัวนั้น จึงบอกกับชาวบ้านว่า งูตัวนี้เขามาเฝ้าหลวงพ่ออยู่ เพื่อไม่ให้งูตัวอื่นมาทำร้าย เป็นงูของเจ้าป่าเจ้าเขา ชาวบ้านได้ยินเลยยกมือไหว้งู แล้วพากันแยกย้ายจากไป

    เรื่องของงูใหญ่ ยังมีอีกมาก หลวงพ่อเล่าว่า งูใหญ่ลอกคราบ 3 ปีต่อครั้ง เวลาลอกคราบจะอ่อนแอ ต้องอยู่ในรู แต่งูใหญ่มักมีเดชะ สามารถอธิษฐานเอาดินวงล้อมปากรูไว้ สัตว์ (หรือมนุษย์) หลงเข้าไปจะงงงวยหาทางออกไม่ถูก”

    เกี่ยวกับการฆ่างูนั้น หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าอยากให้พญานาครักเรา อย่างไปฆ่างู” เข้าใจว่าบรรดางูน้อยใหญ่สารพัดชนิดล้วนเป็นบริวารของพญานาค ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานหลายเรื่อง

    คุณวรพร เมื่อเล่าเรื่องหลวงพ่อพบพญางูยักษ์ให้ฟังแล้ว ได้กล่าวย้ำว่า ถ้าเป็นชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อว่าพญานาคมีจริง มีฤทธิ์มีคุณ มีเดชะอานุภาพจริง

    แต่ว่าพญานาคทั้งมวลก็คงจะเหมือนมวลมนุษย์ ชาติในโลกที่มีหลากหลายชาติพันธ์ หลายลักษณะ ทั้งผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ทั้งยังมีหลายศาสนา และแม้แต่ไม่มีศาสนา มีทั้งใจดีและใจร้าย มีทั้งประพฤติธรรมและไม่ประพฤติธรรม ครั้นเมื่อรวมพวกเขาไว้ด้วยกันแล้วเขาก็คือ พญานาค หรือรวมทุกชาติพันธ์ของมนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกัน ถ้ามีมนุษย์ต่างดาวบุกเข่นฆ่ามนุษย์สักเผ่าพันธ์หนึ่ง มนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ที่เหลือย่อมรวมตัวกันสู้ เฉกเช่นเหล่าพญานาคเมื่อลูกหลานบริวารถูกรังแกเข่นฆ่า พวกเขาก็จะลงมือกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา

    ดังนั้นคำพูดของ หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพฯ นครพนม จึงเป็นคำพูดที่ควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ แม้แต่คำพูดของคุณวรพรก็ควรจะให้เป็นข้อพิจารณาว่าเราเป็นชาวพุทธหรือไม่ เพราะว่าในพระไตรปิฏกหรือพุทธประวัติก็ได้ลงเป็นหลักฐานในการปรากฏตัวของพญา นาคผู้ซึ่งมีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเหมือนพวกเรา จึงเป็นเหตุให้ได้ยินจากปากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่ได้เล่าถึงการ ประสพพบเห็นพญานาคที่รักษาพุทธศาสนาตลอดมา
     
  4. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ยังมีท่านผู้หนึ่งคือ เรือเอกกวี บุญวัฒน์ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่กรมสื่อสารทหารเรือ ได้เล่าเรื่องการพบเห็นพญานาคอย่างใกล้ชิดให้ฟัง

    ประมาณ ปี พ.ศ. 2531-2532 คุณกวี ยังทำงานอยู่หน่วย นปข. นครพนม ในตำแหน่งหัวหน้าช่างซ่อมอิเล็คโทรนิค ครั้งหนึ่งได้ลาพักร้อนกลับบ้านที่กรุงเทพฯ พอหมดเวลาพักก็เดินทางกลับนครพนมโดยรถทัวร์ ระหว่างเดินทางได้อ่านหนังสือพระ พบเรื่องครูบาอาจารย์พบเห็นพญานาค ก็นึกปรามาสอยู่ในใจว่า พญานาคยังจะมีอยู่จริงหรือ ถ้ามีจริงน่าจะให้ตนเองได้เจอบ้าง จะได้เชื่อว่ามีจริง

    หลัง จากกลับเข้าทำงานตามปกติในหน่วย นปข. นครพนม แล้ว คืนหนึ่งขณะที่กำลังหลับสนิทก็ต้องสะดุ้งตื่นด้วยได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง หนึ่งกระทุ้งข้างเตียงนอนจนสะเทือนดังตึง ตึง พอลืมตา คุณกวีก็ช็อคไปทันที

    พญานาค 2 ตัว ขดลำตัวขนาดใหญ่ล้อมเตียงนอนคุณกวี เอาไว้ แต่ก็ไม่ทำอะไรคุณกวี เพียงแค่แผ่พังพานชูคอจ้องมองคุณกวีนิ่งอยู่อย่างนั้น

    เวลา ผ่านไปพอสมควร คุณกวี เริ่มตั้งสติได้และเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ความกลัวก็คลายออกจนถึงกับกล้าเอื้อมมือไปสัมผัสลำตัวของพญานาคคู่นั้น โดยที่พญานาคทั้ง 2 ก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด

    คุณกวี บอกว่า ลำตัวของท่านพญานาคเย็นเฉียบเหมือนสัมผัสน้ำแข็ง และมีลักษณะเลื่อมประกายหลากสีสันปนเปกันอยู่ในเกล็ด คล้ายเห็นรุ้งกินน้ำทำนองนั้น

    การปรากฏตัวของพญานาคคู่นี้ปรากฏ อยู่นานจนพอจะได้พิจารณาเห็นจนถึงกับว่ามีหงอนแดง และหางแดงด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ก็หายวับไปเลยโดยไม่รู้ตัว

    คุณกวีได้กล่าวอีกว่า

    “ผม ขอเอาชื่อ นามสกุล เกียรติ และยศตำแหน่งของผมค้ำประกันว่า เรื่องที่ผมเล่านี้เป็นความจริง ผมยังอยากจะเห็นพวกท่านพญานาคอีกสักครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบเห็นอีกเลย”
     
  5. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    หลวงปู่สังข์ ฐิตธมโม วัดบ้านท่าช้างใหญ่ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันอายุ 97 ปี (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว: Admin) เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้พบเห็นพญานาค โดยพบเห็นขณะเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ดีโลด (พระครูวิโรจน์รัตโนบล) วัดทุ่งศรีเมือง

    ท่านเล่าว่า

    “สมัยปู่เป็นเณรอยุ่กับ คุณอาจารย์พ่อถ่าน (พ่อท่าน) ดีโลดท่านถามอาตมาครั้งหนึ่งว่า เรณเชื่อว่าพญานาคมีจริงไหม ตอบท่านว่าเชื่อขอรับ ท่านถามอีกว่า เคยเห็นไหม ตอบท่านว่าไม่เคยเห็น ท่านถามต่อไปว่าอยากเห็นไหม ตอบท่านว่าอยาก ต่อมาได้ไปทำงานอยู่กับท่านข้างสระน้ำในวัดทุ่งฯ (สระที่มีสิมโบราณกลางน้ำ ซึ่งทุกวันนี้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้แล้ว) กำลังเพลิน ๆ ท่านก็เรียกให้ดูอะไรที่กลางสระ ปู่เองยังเป็นเณรน้อยตกใจกลัวจนแทบจะคุมสติไม่อยู่ ดีแต่ว่าคุณอาจารย์ท่านปลอบเอาไว้ว่าอย่ากลัวให้ดูเฉย ๆ ท่านพญานาคไม่ทำอะไรหรอก ที่ปู่ได้เห็นนั้นเป็นงูขนาดใหญ่ หงอนแดง ลำตัวเขียว ตาแดง ชูคออยู่กลางน้ำ ท่าทางไม่ดุร้ายอะไร ดู ๆ ไปเหมือนจะมาแสดงสักการะคุณอาจารย์ พักใหญ่ ๆ ก็มุดน้ำหายไป”

    หลวง ปู่ดีโลด หรือพระครูวิโรจน์รัตโนบล วัดทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี ท่านนี้มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าพญานาคหลายวาระ ซึ่งจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เกิดขึ้นที่ปากเซ ซึ่งไหลตกแม่น้ำมูล (เซ ก็คือ ห้วย) ปัจจุบันนี้เป็นวัดดอนลังกา อยู่ในเขตอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี

    เรื่องนี้พ่อถ่านมายเป็นผู้เป็นเล่าให้ฟังในสมัยที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนลังกาจนมรณภาพไปเมื่องประมาณปี พ.ศ. 2541-2542

    ท่าน เล่าว่า สมัยนั้นท่านเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ดีโลดที่วัดทุ่งฯ ชาวบ้านดอนลังกาพากันมานิมนต์หลวงปู่โลดดีโลดให้ไปแก้อาถรรพณ์ที่ปากเซนั้น เพราะว่าชาวบ้านเขากลัวด้วยมีคนตายกันมาก คือใครหลงพายเรือเข้าไปบริเวณเวิ้งน้ำตรงปากเซ มักจะประสบเหตุมีลมพัดหมุนขึ้นมาจากใต้น้ำ และดูดเอาเรือจมลง คนก็หายลงไปในน้ำถึงขนาดหาศพไม่เจอ บริเวณนี้มักจะมีเสียงฆ้องกล้องมโหรีดังขึ้นเสมอทุกวันพระ จนชาวบ้านยุคหลังไม่กล้าเข้าไปหาปลาบริเวรนั้น เดือดร้อนถึงกับมาขอพึ่งหลวงปู่ดีโลดช่วยแก้

    พ่อถ่านมายเล่าต่อ ไปว่า ได้ติดตามท่านมาทำพิธีที่นั่นด้วย เห็นท่านเอาเรือออกไปกลางเวิ้งน้ำปากเซ ทิ้งก้อนหินลงปในน้ำ 3 ก้อน แล้วเอาเรือกลับเข้าฝั่ง ต่อมาสถานที่นั้นก็สงปลอดภัย

    ภายหลัง หลวงปู่ดีโลดได้สั่งพ่อถ่านมายเอาไว้ว่า เหล่าพญานาคที่นั่นอาศัยบริเวณนั้นเป็นทางขึ้นลง เมื่อเราไปขอเขาให้เว้นชีวิตผู้คน เขาก็ขอให้เราสร้างอนุสรรืสถานสักอย่างหนึ่งตรงปากทางขึ้นลง ซึ่งอยู่บนฝั่งปากเซนั้น (ท่านบอกตำแหน่งไว้ด้วย) แต่ท่านจะไม่สร้าง ต่อไปภายหน้าจะมีผู้มาสร้างให้เอง ถึงเวลานั้นจะรู้ว่าเป็นใคร

    หลวงปู่ดีโลดสั่งพ่อถ่านมายเอาไว้เหมือนว่าจะรู้พ่อถ่านมายจะได้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ตรงนี้ในอนาคต

    ปัจจุบัน อนุสรณ์สถานนี้ได้สร้างสำเร็จแล้วเมื่อประมาณปี 2529 โดยท่านเดชโอภาส ซึ่งพ่อถ่านมายบอกว่า ท่านผุ้นี้เป็นเชื้อสายพญานาค และท่านผู้นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย และมีเรื่องราวพิสดารจนยากลำบากที่จะเขียนถึง แต่ก็จะเขียนในไม่กี่ฉบับข้างหน้า ซึ่งจะต้องขอความกรุณาผู้อ่านไว้ล่วงหน้าว่าโปรดทำใจเป็นกลาง ๆ เมื่อได้อ่านเรื่องของท่านเดชโอภาสด้วย
     
  6. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ท่านเดชโอภาสได้เล่าเรื่องหนึ่งให้ผมฟังว่า สมัยที่ท่านมีอายุประมาณ 8 ขวบ ได้บังเกิดความฝันแปลกประหลาด ซึ่งฝันนั้นยังตราตรึงอยู่จนทุกวันนี้โดยไม่เคยลืมเลือน

    ฝันว่า ได้พบกับชีปะขาวท่านหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีอายุประมาณ 70 กว่าปี หนวดเคราสีขาวยาว ผมขาวยาวถึงก้น ท่าทางใจดี ได้พาท่านเดชโอภาสไปที่ถ้ำแห่งหนึ่ง เป็นถ้ำกว้างใหญ่ มีหินงอกหินย้อยสีขาวเปล่งประกายแวววับ จากนั้นชีปะขาวได้บอกว่า ตัวท่านคือ พญาอนันตนาคราช เป็นต้น กำเนิดของเหล่าพญานาคทั่วสากลภพ ปกครองภูมิภพแห่งนาคทั้งหมด ในอดีตชาตินานมาแล้วท่านเป็นแค่งูธรรมดาทั่วไปที่ชาวโลกเรียกว่า งูทิบสมิงคลา (งูสามเหลี่ยม) แต่ด้วยบุญวาสนาที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดและได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัณหังกร (พระพุทธเจ้าองค์แรกที่อุบัติขึ้นในโลก) ท่านนำคำสอนของพระองค์มาปกิบัติจนสิ้นอายุขัย และด้วยอำนาจธรรมที่ปฏิบัตินั้นดลให้มาเกิดในภพภูมิชั้นภุมมานัง มีร่างเป็นทิพย์ มีฤทธิ์อำนาจไม่ต่างจากเทวดาทั้งมวล และด้วยอำนาจที่มีนั้น ท่านได้สร้างเผ่าพันธ์ของนาคราชขึ้นมา และเนรมิตภูมิที่อยู่ของเหล่านาคราชที่พวกเราเรียกว่า นาคพิภพ หรือเมืองบาดาล เหตุที่ท่านมาหานี้ก็เพื่อจะให้ท่านเดชโอภาสบอกกล่าวเล่าเตือนเพื่อนมนุษย์ ให้หยุดลบหลู่พญานาค อย่าทำลาย หรือสร้างความสกปรกหมกเหม็นตามต้นน้ำลำธาร อันเปรียบเสมือนประตูเชื่อมพิภพทั้งสอง (คือ พิภพนาคและพิภพมนุษย์) ด้วยสองพิภพนี้ซ้อนกันอยู่อย่างใกล้ชิดที่สุด และในเวลานี้พญานาคมีมากมายหลายเผ่าพันธ์ มีทั้งดุร้ายและเอื้ออารีมีศีลธรรม ท่านเองไม่สามารถจะควบคุมได้หมด เพราะเวลานี้ท่านอยู่ชั้นพรหมโลกแล้ว จึงมาบอกกล่าวให้ฟัง กลัวว่าภายภาคหน้ามนุษย์จะได้รับอันตรายจากฤทธิ์เดชของเหล่าพญานาค

    ความ ฝันนี้ท่านเดชโอภาสได้เล่าให้ครูบาอาจารย์หลายองค์ฟัง เช่น หลวงปู่คำคนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงปู่กิ วัดสนามชัย หลวงพ่อสมาน ที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเจ้าคุณแก้ว เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม หลวงพ่อดี ตาบอด ที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม และหลวงปู่คำพันธ์ ซึ่งครูบาอาจารย์ที่กล่าวนามมานี้รับรองความฝันนี้ว่าจริง

    อีกเรื่องหนึ่งซึ่งท่านเดชโอภาสได้เล่าให้ฟังซึ่งน่าสนใจมาก จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “พญานาคเปลี่ยนชะตาให้ดินกลายเป็นดาว”
     
  7. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สลัมคลองเตย กรุงเทพมหานคร เมื่อประมาณ 17 ปีที่ผ่านมา

    หญิง สาวคนหนึ่งชื่อว่า นางหงส์ เป็นชาวอุดรธานี หลังจากพ่อแม่แยกทางกัน เธอกับน้องชายได้ไปอาศัยอยู่กับป้าที่อำเภอหนองบัวลำภู (ปัจจุบันเป็นจังหวัด) ซึ่งห้วงเวลานั้นเธอมีอายุเพียง 10 ขวบ ชีวิตตกอับ รันทดจนสุดพรรณา เมื่อไปอยู่กับป้าก็ไม่ได้เรียนหนังสือ หนำซ้ำยังถูกใช้งานเยี่ยงทาส ข้าวน้ำได้กินมั่งไม่ได้กินมั่ง เธอและน้องชายทนทุกข์อยู่จนอายุ 13 ขวบ ป้าจึงส่งเธอมาเป็นคนรับใช้ในบ้านหลังหนึ่งแถบสลัมคลองเตย ส่วนน้องชายไปหางานทำที่จังหวัดอุดรธานี

    เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ ชะตาชีวิตก็หาได้ดีขึ้นไม่ เงินเดือนทุกเดือนทุกบาททุกสตางค์จะถูกส่งไปให้ป้าที่อำเภอหนองบัวลำภูทั้ง หมด เธอแค่ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้น

    ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับนางหงส์ จะเรียกว่าวิบากกรรมซ้ำซัดก็ได้

    ในขณะที่เธอกลับจากซื้อของในวันหนึ่ง วัยรุ่นขี้ยาคนหนึ่งดักอยู่กลางทางและลากตัวเธอไปข่มขืน

    ไอ้ขี้ยาขู่เธอว่าถ้าบอกใครมันจะกลับมาฆ่าให้ตาย ความกลัวบวกกับความอาย เธอจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

    ไอ้ ขี้ยายิ่งได้ใจหวนกลับมาข่มขืนเธอถึงในบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเจ้าของบ้านจับได้ และเข้าใจว่าเธอแอบนัดผู้ชายเข้ามานอนในบ้าน โกรธจัดไม่ฟังเหตุฟังผล ไล่เธอออกจากยบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา

    เธอไม่มีที่ไป ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน ไม่เคยออกไปไหน ไม่รู้หนทางในกรุงเทพฯ

    เธอจำใจซมซานไปหาไอ้ขี้ยาถึงที่บ้านของมันขอความช่วยเหลือ

    เคราะห์กรรมก็ยังไม่หมด

    ไอ้ขี้ยาให้เธออาศัยอยู่ในบ้านของมันและนับแต่นั้นเธอก็กลับเป็นทาสอีกครั้ง

    เธอ อยู่ในภาวะจำใจ ไม่มีที่ไป ต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ทั้งพ่อแม่ไอ้ขี้ยา และทุกคนในบ้านข่มเหง ดุด่า ใช้งานเหมือนทาสในเรือนเบี้ย บางวันไอ้ขี้ยาก็ทุบตีอีกด้วย

    และแล้วเหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คงจะเป็นด้วยกรรมเวรของเธอหมดลงไปแล้ว

    เย็น วันหนึ่งเธอกำลังหอบหิ้วของเดินย่ำอยู่บนสะพานไม้ที่มีน้ำท่วม (น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา) ปรากฏงูประหลาดตัวหนึ่งเลื้อยมาอย่างรวดเร็ว เป็นงูสีทองทั้งตัว ยาวประมาณ 1 เมตร ลำตัวขนาดลำไม้ไผ่ ฉกกัดที่เท้าของเธอจนถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้ววิ่งหนีไปจนถึงบ้านและบอกไอ้ขี้ยาสามีว่าโดนงูอะไรไม่รู้กัดปวดแสบปวด ร้อนที่สุด

    แทนที่ไอ้ขี้ยาจะเห็นใจช่วยเหลือกลับด่าซ้ำและแช่งว่าให้ถึงตายอย่างทุกข์ทรมานไปเลยจะได้พ้นหูพ้นตากู

    นางหงส์เจ็บปวดหัวใจจนน้ำตานองหน้า เดินเข้าห้องทิ้งตัวลงนอนแล้วพูดกับตัวเอง

    “ตายเสียเถิด จะได้พ้นทุกข์ทรมานเสียที”

    จากนั้นก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

    แล้วก็ฝัน

    มี ชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบอกกับเธอว่า ท่านคือพญานาคเสน ได้รับบัญชาจากพญาศรีสุทโธนาคราชให้มาช่วยเหลือ เธอได้ย้อนถามว่าช่วยเหลืออะไร พญานาคเสนตอบว่าได้ช่วยไปแล้วเมื่อตอนเย็นวันนี้ ท่านได้ให้อำนาจพิเศษแก่นางหงส์ แต่เธอกลับตกใจวิ่งหนี เธอจึงกล่าวว่า งั้นท่านก็คืองูสีทองตัวนั้น พญานาคเสนได้อธิบายว่า ตัวท่านเป็นพญานาคอยู่ประจำแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่งูธรรมดา ถ้าไม่เชื่อ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะมาให้เห็นอีก แต่ห้ามบอกใคร ให้ไปที่เก่าเพียงคนเดียว

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ชีวิตใหม่ก็อุบัติขึ้น

    ทุก คนในบ้านรวมทั้งสามีตัวแสบมีพฤติกรรมประหลาดเกิดขึ้น ทุกคนเข้ามาแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใย และเห็นใจเธออย่างแปลกประหลาด เหมือนหน้ามือกลับเป็นหลังมือในชั่วคืนเดียว

    หลังจากทุกคนออกไป ทำงานนอกบ้านกันหมดแล้ว นางหงส์ได้ย้อนกลับไปตรงที่เกิดเหตุโดนงูกัดอีกครั้งหนึ่ง เธอถึงกับเกิดอัศจรรย์ใจเมื่อพบงูสีทองตัวเดิมลอยเลื้อยไปมาอย่างเห็นได้ชัด อยู่นาน 10 นาที จึงมุดน้ำหายไป

    เย็นวันนั้น เมื่อทุกคนกลับมาพร้อมหน้ากันที่บ้านแล้วจึงทราบว่า พ่อสามีซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทของคุณอาทิ บูรณสมภพ ซึ่งเป็นอู่เรือที่มีโกดังเก็บสินค้ามูลค่านับ 10 ล้านบาท นำเข้ามาจากต่างประเทศ สินค้าเหล่านั้นหายไป และพ่อสามีถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมในการขโมยด้วย จึงวิตกเป็นทุกข์กลัวจะถูกตำรวจจับ

    จู่ๆ นางหงส์ก็บอกว่าไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกลัว ของที่หายไปยังอยู่ ไม่ไปไหน แต่อยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลนัก ทั้งยังบอกชื่อคนลักของได้ทั้งหมดว่ามีใครบ้าง

    พ่อสามีถึงกับอึ้งพูดไม่ออก

    เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อสามีนำตัวเธอไปพบกับคุณอาทิ บูรณสมภพ ให้เล่าเรื่องของที่หายให้คุณอาทิฟังทั้งหมด

    คุณ อาทิ เป็นมหาเศรษฐี มีความรู้ระดับปริญญาโทจากต่างประเทศ แม้จะไม่เชื่อที่นางหงส์บอก แต่ก็ยอมโทรศัพท์แจ้งตำรวจเพื่อให้ไปตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว รวมทั้งแจ้งชื่อผู้ต้องสงสัยด้วย

    ปรากฏว่าทุกสิ่งเป็นจริงตามที่ นางหงส์บอกทุกประการ คุณอาทิ ถึงกับยกมือไหว้นางหงส์ด้วยความเลื่อมใส และรับนางหงส์เข้ามาทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัว และอยู่ในฐานะที่ปรึกษาสำคัญ คล้าย ๆ กับที่อดีตนายกฯ ทักษิณจ้างหมอดูอีทีเดือนละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นที่ปรึกษาทำนองนั้น

    ต่อมาคุณอาทิทราบเรื่องชีวิตรันทด ของนางหงส์ ก็เกิดความสงสารเหนอกเห็นใจ จนยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งซื้อชีวิตนางหงส์ออกมาจากครอบครัวของไอ้ขี้ยา และซื้อบ้านหลังงามใหญ่อยู่ พร้อมกับจ้างคนรับใช้ส่วนตัวให้คอยรับใช้นางหงส์ด้วย

    นี่คือการพลิกชะตาจากยาจกเข็ญใจกลายเป็นท้าวพระยาในข้ามคืน

    ท่าน เดชโอภาสยืนยันว่า ทราบเรื่องนี้จากปากนางหงส์ ขณะที่นางหงส์มากราบหลวงปู่คำพันธ์พร้อมกับคุณอาทิ และเคยพบปะสนทนากับนางหงส์ 2 ครั้ง

    ทุกวันนี้ คุณอาทิ บูรณสมภพ เสียชีวิตแล้ว แต่นางหงส์จะยังอยู่ที่เดิมหรืออยู่ที่ไหนไม่ทราบ หากนางหงส์ได้อ่านเรื่องนี้ ขอให้ติดต่อมาที่ผมด้วย หมายเลขโทรศัพท์ 081-9770207 เพื่อผมจะได้ให้เบอร์โทรฯ ของท่านเดชโอภาส เพราะท่านเดชโอภาสอยากพบปะพูดคุยธุระกับนางหงส์อีก ซึ่งนางหงส์คงทราบดีว่าเป็นเรื่องอะไร

    หากนางหงส์ไม่ได้อ่านเรื่องนี้ คนอื่นที่รู้จักกับนางหงส์ได้อ่านเข้าแล้ว กรุณาบอกนางหงส์ด้วย

    ขอขอบพระคุณไว้ล่วงหน้า
     
  8. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    เข้ามาติดตามเช่นเคย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับพี่ลิน
     
  9. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    มีผู้สงสัยถามกันมากว่าทำไมจึงต้องสร้างรูปพญานาค

    บังเอิญผมก็เป็นคนหูตึงมาแต่อ้อนแต่ออก เลยไม่ได้ยิน ไม่ได้ตอบคำถามนี้เสียแต่แรก

    ในที่สุดคำถามดังกระหึ่มขึ้น จนจะอ้างว่าหูหนวกหูตึงเห็นจะไม่ได้

    แต่ก็แปลก

    ยังไม่ได้บอกถึงเหตุในการสร้างรูปพญานาคนี้ พญานาคก็จวนจะหมดแล้ว

    จำนวนสร้าง 3,000 องค์ เหลืออยู่ราว ๆ 600 องค์เท่านั้น

    เรียกว่าแม้จะไม่บอกอะไรถึงที่มาที่ไป พญานาคคงจะหมดไปได้ในเร็ว ๆ นี้

    ต้องขอบคุณทุกคนที่เชื่อถือศรัทธาโดยไม่มีความเคลือบแครงระแวงสงสัย

    ในการสร้างวัตถุมงคลทุกครั้งหรือทุกโอกาส โดยมากจะมีวัตถุประสงค์เหมือนกันคือ จะหาปัจจัย
    เมื่อได้ปัจจัยแล้ว ปัจจัยนั้นจะเอาไปทำอะไร

    ถ้าบอกว่าจะเอาปัจจับไปซื้อเบียร์กัน คนก็คงไม่มีใครยอมควักสตางค์บริจาคหรือเช่าซื้อวัตถุมงคลนั้นอย่างแน่นอน

    บ้านเมืองเรามีคนใจบุญอยู่มาก

    บุญ แปลว่า ดี

    จะพูดว่าใจดีก็ได้

    แต่จะหาคนใจดี ยอมให้เงินคนอื่นไปซ้อเหล้ากินหรือดาวน์รถสักคันไม่มีหรอกครับ

    จึงจะเรียนให้ทราบว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ได้มาแล้วนั้นเอาไปใช้อะไรแล้วบ้าง

    ส่วนหนึ่งร่วมสมทบทุนสร้างกุฏิถวายหลวงปู่สังข์ ฐิตธัมโม วัดบ้านท่าช้างใหญ่ และสร้างเสร็จไปแล้ว


    อีกส่วนคือ กำลังสร้างศาลาการเปรียญ หรือศาลาเอนกประสงค์ไว้ในที่พักสงฆ์สภาบุญ ซึ่งคงจะเสร็จในเร็ววันนี้


    ที่เหลือเข้าไปร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ทูล ขิปปปัญโญ วัดป่าบ้านค้อ จังหวัดอุดรธานี โดยผ่านมูลนิธิหลวงปู่ทูล


    ส่วนที่เหลือคือส่วนที่ยังไม่ได้จำหน่ายจะเป็นของมูลนิธิสภาบุญเอง


    เมื่อตั้งวัตถุประสงค์ในการสร้างวัตถุมงคลไว้อย่างนี้จะพูดได้ว่าบรรลุวัตถุประสงค์อย่างเต็มปาก


    เวลาจะพูดให้ยืดอกผึ่ง ๆ เอาไว้ โดยไม่ต้องเกรงใจใคร


    ถึงหนี้ที่ไปยืมเขามาสร้างก่อนจะท่วมหัวโดยที่ยังชดใช้ไม่หมดก็รู้สึกสบาย


    จริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ที่มีเพื่อจะหาปัจจัยนั้น เมื่อคิดให้ดีแล้วจะเห็นว่ามีความโลภแฝงอยู่


    ความโลภที่มีนั้นเป็นโลภฝ่ายมี


    แต่ถ้าจะโลภบ่อย ๆ โลภกันทุกวัน คือสร้างตะพึดตะพือคงจะไม่ดีแน่


    จึงอยากจะบอกว่าที่สร้างรูปพญานาคขึ้นมานี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการคิดแปลกแหวกตลาด เผื่อสนองความโลภจะเอาปัจจัยแต่ประการใด


    มีเหตุครับ


    ถ้าจะรู้จักเหตุที่แท้จริงแล้ว จะเห็นว่าวัตถุประสงค์ที่จะหาปัจจัยนั้นเป็นเรื่องรองลงไป


    ผม เคยพูดบ่อยๆว่า การสร้างวัตถุมงคลนั้น ผมหวังแค่จะได้ยินข่าวว่า วัตถุมงคลที่สร้างได้ช่วยชีวิตคนหรือช่วยให้คนผ่านพ้นอุปสรรคอันตราย แม้แค่คนเดียวผมก็ดีใจแล้ว


    ในการสร้างรูปพญานาคนี้ก็เช่นกัน


    หวัง จะได้เห็นพญานาคออกไปช่วยคนให้พ้นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ตามคำ พยากรณ์ของเจ้าหลวงราชครูโพนสะเม็กหรือพระครูขี้หอม และหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย


    พระครูขี้หอมบอกว่า ปี 2555 จะเกิดวิกฤติในประเทศไทยจนถึงขั้นประเทศไทยจะตกต่ำกว่าเมืองลาว


    พยากรณ์นี้ปรากฏอยู่ในหนังสือก้อม โบราณ์ จดสืบทอดต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย


    บางวัดยังเก็บรักษาหนังสือนี้ไว้ ผู้สนใจพอจะสามารถค้นคว้าได้


    ส่วนหนึ่งของพยากรณ์ที่กล่าวไว้ในรูปของผญาโบราณอีสาน มีใจความดังนี้


    “เวียงจันทน์ร้างคือกับโพนขี้หมาจอกบาดห่าบางกอกร้างมันสิร้ายกว่าเวียง”


    เวียงจันทน์ร้างก็คือภาวะตกต่ำย่ำแย่ของเมืองลาว ซึ่งน่าจะผ่านพ้นตรงนั้นมาแล้ว ดังนั้นเมืองลาวในวันนี้กำลังรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ


    ครั้นถึงเวลาที่บางกอกร้างหรือประเทศไทยประสพวิกฤติเข้าบ้างจะย่ำแย่กว่าเวียงจันทน์ตอนนั้น


    พยากรณ์ไม่ได้ชี้ชัดว่าจะย่ำแย่ตกต่ำในแง่มุมไหน


    ผมก็ยังคิดไม่ออกจะเป็นวิกฤติอะไรหรือตกต่ำกว่าเมืองลาวด้วยเหตุอันใด


    จะเกี่ยวข้องกับพยากรณ์นี้หรือไม่ผมยังไม่แน่ใจ


    หลวง ปู่คำพันธ์สั่งไว้ก่อนมรณภาพว่า เมื่อหลวงปู่ละสังขารไปแล้ว 3 ปี เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏให้เห็น ขอให้สังเกตดูให้ดี จะเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ


    ขณะนี้จวนครบ 3 ปี แล้วครับ


    มีใครเห็นอะไรกันบ้าง


    ผมรับว่ายังไม่เห็น


    คนหูหนาปัญญาทึบแบบผมนี่ มักจะรู้จะเห็นอะไรทีหลังเขาอื่นเสมอ


    ถ้าใครเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่คำพันธ์อย่างแท้จริง ย่อมได้ยินหลวงปู่พูดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ


    ปฐวีธาตุที่หลวงปู่ทำขึ้นก็เพื่อรับมือกับวิกฤติในอนาคตนี้


    ท่านกล่าวว่า เมื่อถึงเวลานั้น พญานาคจะออกมาช่วยคน


    ปฐวีธาตุของหลวงปู่คือสื่อที่จะสื่อถึงพญานาค


    ใน การเกิดรูปพญานาคนี้ เกิดด้วยเหตุเดียวกันคือ หวังจะให้รูปพญานาคนี้เป็นสื่อถึงเหล่าพญานาคทั้งหลายที่หลวงปู่บอกว่า พวกเขาจะออกมาเมื่อถึงเวลาวิกฤตินั้น


    ทำไมหลวงปู่คำพันธ์ไม่ทำรูปพญานาคนี้เสียเองแต่สมัยยังมีชีวิต


    เรื่องนี้ไม่ทราบ


    แต่ท่านได้ถ่ายทอดกระบวนการทำรูปพญานาคนี้ไว้กับท่านเดชโอภาส ซึ่งท่านว่าคน ๆ นี้จะเป็นผู้ทำขึ้นเองในภายหลัง


    กระบวนการนี้มีความเป็นมาอย่างไร


    ใจเย็น ๆ ครับ


    กำลังจะเล่าให้ฟัง


    ผมได้ขอให้ท่านเดชโอภาสเขียนถึงเรื่องนี้แต่พอย่อ ๆ เป็นแนวทาง และได้นำข้อเขียนเชิงบันทึกสั้นมาลงให้อ่านกัน


    เดชโอภาสเป็นแค่ชื่อสมมติ เพื่อจะปกปิดตัวตนจริง ๆ ของท่านผู้นี้เอาไว้ก่อน


    คงจะปิดไม่มิดเฉพาะกับผู้ที่ติดตามข้อเขียนของผมมาโดยตลอด


    ย่อมจะเดาออกในที่สุดว่า เดชโอภาสนี้คือใคร
     
  10. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    “เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2540 อยู่ในช่วงก่อนเข้าพรรษา น่าจะเป็นเดือนมิถุนายน พระเดชพระคุณหลวงปู่คำพันธ์ได้ส่งข่าวมาหาข้าพเจ้าที่วัดแก่งตอย บอกให้ข้าพเจ้าขึ้นไปหา เพราะว่ามีธุระสำคัญจะพูดด้วย เมื่อข้าพเจ้าทราบแล้วได้รีบเดินทางไปวัดธาตุมหาชัยทันที

    ถึงวัด ธาตุมหาชัยเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน จึงตัดสินใจเข้าพักจำวัดที่วัดป่าอรัญญคาม รอให้ถึงเลาเช้ารุ่งขึ้นจึงจะเข้าไปหาท่าน


    ครั้นถึงเช้ามืด ประมาณตี 4 กว่า ข้าพเจ้ากำลังทำกิจวัตรอยู่ มีสามเณรมาเรียกอยู่หน้ากุฏิบอกว่าหลวงปู่ให้มาเรียกข้าพเจ้าไปพบที่กุฏิ รับรองของหลวงปู่ในวัดป่าอรัญญคามที่ข้าพเจ้าได้มาพักจำวัด


    พอได้ ยินเช่นนั้น ข้าพเจ้ารีบบึ่งไปพบท่านทันที ทั้งยังนึกแปลกใจว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามาพักที่วัดนี้ โดยที่เมื่อคืนนี้ขาพเจ้ามาถึงดึกมาแล้ว และยังไม่ได้เข้าไปในวัดธาตุมหาชัยเลย แค่ผ่านวัดธาตุมหาชัยมาพักที่นี่


    ท่านไม่น่าจะรู้ได้เร็วขนาดนี้


    เมื่อไปถึง หลวงปู่พูดว่า เมื่อคืนรออยู่ที่วัดธาตุมหาชัย ยังไม่ได้จำวัด ท่านจึงตามเข้ามาถึงวัดป่าฯ ซึ่งก็คือมาถึงในเวลานี้


    ข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกหวั่นใจและสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมหลวงปู่จึงเร่งร้อนขนาดนั้น


    เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกเรื่องราวทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจและซาบซึ้งในพระคุณของท่านเป็นทวีคูณ


    หลวงปู่ได้นำตำราโบราณของหลวงปู่พรหมาแห่งนครเวียงจันทน์ให้ข้าพเจ้าอ่านดู

    ตำรา นั้นเขียนด้วยตัวธรรมทังหมด อยู่ในสมุดข่อยเก่าคร่ำคร่า แต่ยังอยู่ในสภาพดี ด้วยหลวงปู่เก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวังมาตลอดชีวิตของท่าน

    ตำรา นั้นว่าด้วยการทำพิธีอธิษฐานจิตสร้างรูปเหมือนพญานาคให้ถูกต้องและเกิด ปาฏิหาริย์ ซึ่งตำราได้กล่าวถึงว่าได้มีการทดลองทำขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง โดยมีหลวงปู่พรหมา หลวงปู่คำ หลวงปู่แก้ว และหลวงปู่ศรี ที่ฝั่งประเทศลาว


    หลวง ปู่ทั้ง 4 รูปนี้ได้บันทึกพิธีกรรมนี้เอาไว้ในสมุดธรรมฉบับนี้ โดยมีรายละเอียดมาก ตั้งแต่การรวบรวมมวลสารส่วนผสม 15 อย่าง การจัดตั้งขันพิธีบวงสรวงอัญเชิญเหล่าพญานาค การกำหนดวันและเวลา (ฤกษ์) การเลือกสถานที่ในการทำพิธี และพระคาถาที่ใช้ในการบริกรรม


    พระคาถาจะต้องสวดให้ถูกต้องทุกคำ ทุกอักษร ห้ามผิดเพี้ยน หาไม่จะเกิดอันตรายได้


    ตำรา ยังกล่าวเอาไว้อีกว่า สมัยนี้นหลวงปู่ทั้ง 4 รูป ได้มาปฏิบัติธรรมร่วมกันที่ภูหินอ่อน ในเขตเวียงจันทน์ และเกิดมีพญานาคใหญ่มาปรากฏแล้วกลายการอุปัฏฐากตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น


    ทั้งยังถวายพิธีกรรมเหล่านี้ให้พวกท่านอีกด้วย


    สาเหตุที่หลวงปู่คำพันธ์เรียกข้าพเจ้ามาพบท่านอย่างเร่งด่วนก็ด้วยท่านต้องการให้ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนวิชานี้เอาไว้


    เหตุที่ท่านเจาะจงเลือกข้าพเจ้านั้น ปรากฏอยู่ในตอนท้ายของตำรา ซึ่งคือว่าเป็นข้อห้ามสำคัญ


    คือห้ามทำหรือใช้วิชานี้ ถ้ายังเรียนไม่ครบ 7 ปี


    ผู้ เรียนต้องเป็นเชื้อสายของพญานาค หรือเป็นผู้บรรลุธรรมขั้นสูง ขนาดที่ว่าสามารถล่วงรู้อดีต อนาคต และมีอิทธิจิตทำอะไรได้เหนือธรรมชาติ


    ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงจะสามารถทำรูปพญานาคให้เกิดความสมบูรณ์ และเกิดอิทธิพลัง จนสามารถจะอัญเชิญเหล่าพญานาคมาร่วมพิธีได้


    นอก เหนือไปจากบุคคลที่เป็นเชื้อสายพญานาคและพระอริยบุคคลแล้ว ห้ามทำหรือสร้างรูปเหมือนพญานาคโดยนัยจะให้เป็นสื่อหรือเกี่ยวข้องกับเหล่า พญานาคโดยตรงโดยเด็ดขาด


    หาไม่แล้วจะเกิดอันตราย เกิดภัยพิบัติแก่ตนเอง


    ข้าพเจ้าอ่านข้อความทั้งหมดแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมหลวงปู่จึงไม่ให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ เล่าเรียน


    แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมหลวงปู่จึงรีบเร่งกับเรื่องนี้มาก


    หลัง จากที่ท่านให้ข้าพเจ้ายกขันบูชาคารวะพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว ท่านจึงกล่าวว่าการเรียนวิชานี้ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลและตรวจสอบอยู่เสมอ จนครบ 7 ปี


    ตัวหลวงปู่เองแก่เฒ่าแล้ว จึงต้องการให้ข้าพเจ้าสืบทอดวิชานี้เอาไว้ เพราะว่าต่อไปข้าพเจ้าจะได้ใช้วิชานี้ช่วยเหลือผู้คนในอนาคตอันใกล้นี้


    ที่สำคัญคือ หลวงปู่ยังพอจะมีสุขภาพเข้มแข็งที่จะดูแล ควบคุม ตรวจสอบ แนะนำข้าพเจ้าได้


    ต่อ มาในปี 2546 เดือนมิถุนายน หลวงปู่ได้เรียกข้าพเจ้าไปพบอีกครั้ง ตอนนั้นท่านอาพาธหนัก มีลูกศิษย์และแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ท่านให้ข้าพเจ้าประคองท่านลุกขึ้นไปนั่งรถเข็น แล้วให้ข้าพเจ้าเข็นรถท่านไปที่องค์พระธาตุมหาชัย โดยไม่ให้พระเณรหรือใคร ๆ ติดตามไปด้วย


    มีเพียงหลวงปู่กับข้าพเจ้า 2 คนเท่านั้น


    เมื่อ ไปถึงองค์ธาตุมหาชัย ท่านได้กล่าวว่าวิชาที่ให้ข้าพเจ้าเรียนไว้ให้หมั่นท่องภาวนาและจดจำขึ้นใจ เวลานี้หลวงปู่ถือว่าได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดให้อย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า ข้าพเจ้าจะได้ใช้วิชานี้ทำรูปเหมือนพญานาค เพื่อช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก


    หลังจากออกพรรษาปี 2546 ในเดือนพฤศจิกายน หลวงปู่ได้มรณะละสังขารไปตามกฏแห่งพระไตรลักษณ์”


    ถึงตรงนี้คงจะหมดคำถามกันแล้วว่าทำไมจึงต้องสร้าง
     
  11. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    สวัสดีค่ะ คุณ เตอร์ ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยม :cool:
     
  12. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462

    หลังจากสร้างขึ้นมาแล้วจะต้องมีทั้งผู้เชื่อถือศรัทธาและไม่เชื่อถือศรัทธา

    เป็นเรื่องธรรมดาครับ


    เกี่ยวกับตำราวิชาโบราณนี้มีที่มาที่ไปซึ่งจะเล่าเพิ่มเติม


    จะเพิ่มความเชื่อถือหรือเพิ่มความไม่เชื่อถือก็ไม่ทราบ


    หลวงปู่คำพันธ์เคยเล่าว่า นอกจากหลวงปู่เสาร์กับปู่ผ้าขาวครุฑแล้ว ก็มีหลวงปู่พรหมารูปนี้ที่ท่านถือว่าเป็นครูบาอาจารย์


    การเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์เกิดขึ้นได้อย่างไร


    บอกไว้เสียด้วยว่าแปลกมาก


    หลวงปู่คำพันธ์ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อหลวงปู่พรหมาก่อน แต่หลวงปู่พรหมาได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาหาหลวงปู่ด้วยตนเอง


    ในขณะนั้นหลวงปู่คำพันธ์มีอายุประมาณ 57 ปี กำลังเริ่มลงมือก่อสร้างองค์ธาตุมหาชัยอยู่ในราว พ.ศ. 2515


    หลวงปู่พรหมาได้บอกว่าที่เดินทางไกลมาหาถึงวัดธาตุมหาชัยนี้ก็เพื่อจะมาถ่ายทอดวิชาอาคมให้


    หลวงปู่คำพันธ์ได้ยินก็เฉย ๆ ไม่ได้มีความตื่นเต้นสนใจอะไร


    ท่านว่า


    “ในเวลานั้นมุ่งประพฤติปฏิบัติเคร่งครัด ไม่ได้มีจิตใจฝักใฝ่ในวิชาอาคมใดใด”


    และยังไม่เกิดความเชื่อถือในตัวหลวงปู่พรหมา


    ทั้ง ยังสงสัยว่ามีเลศนัยอะไรหรือไม่ที่อยู่ ๆ หลวงปู่พรหมาก็ปรากฏตัวขึ้นมาบอกจะถ่ายทอดสอนวิชา โดยที่ไม่ได้ไต่ถามก่อนว่าหลวงปู่คำพันธ์จะสนใจหรือเปล่า


    คนที่เขาสนใจจะเรียนก็คงจะมีเยอะแยะ ก็แล้วทำไมจึงจะมาเลือกท่านที่ไม่ได้มีความสนใจอะไรเลย


    แถมยังไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนอีกต่างหาก


    วันหนึ่งตอนเช้ามืด หลวงปู่พรหมาได้เอ่ยปากชวนหลวงปู่คำพันธ์ไปบิณฑบาตที่อำเภอธาตุพนม


    “จะไปได้ยังไงครับ ไม่ใช่ใกล้ ๆ” หลวงปู่คำพันธ์สงสัย


    “ถ้าอย่างนั้นท่านยังไม่ต้องไป ผมจะไปคนเดียวก่อน แล้วจะกลับมาให้ทันฉันเช้าด้วยกัน” หลวงปู่พรหมาว่า


    จากนั้นท่านก็เดินอุ้มบาตรออกจากวัดธาตุมหาชัยไป


    วัด ธาตุมหาชัยสมัยปี 2515 ถนนหนทางยังทุรกันดาร รถราหายาก ไม่มีรถประจำทาง แต่ถึงมีก็ไม่มีทางไปกลับได้ทัน ด้วยอำเภอธาตุพนมอยู่ห่างจากวัดธาตุมหาชัยไม่น้อยกว่า 60 กิโลเมตร


    ครั้นถึงเวลาหลวงปู่คำพันธ์ออกบิณฑบาต ท่านก็ออกไปตามปกติ คือบิณฑบาตอยู่ในบ้านธาตุมหาชัย จนได้อาหารพอเพียงจึงกลับวัด


    เห็นหลวงปู่พรหมานั่งรออยู่ก่อนแล้วในศาลาโรงอันมีอาหารคาวหวานเต็มบาตร ซึ่งท่านก็ไม่ได้สนใจไต่ถามอะไรในตอนนั้น


    จนฉันเสร็จจึงได้คุยกัน


    “ตกลงหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่บ้านไหน” หลวงปู่คำพันธ์ถาม


    “ก็ธาตุพนมอย่างที่บอกไง” หลวงปู่พรหมายืนกรานตามนั้น “ถ้าท่านไม่เชื่อให้ไปถามเจ้าคุณแก้วว่าผมไปจริงหรือไม่”


    เจ้าคุณแก้ว คือ พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดธาตุพนมในขณะนั้น


    หลวงปู่คำพันธ์จึงให้ญาติโยมจัดหารถเดินทางไปวัดธาตุพนมในตอนสายของวันเดียวกัน


    ท่านว่า


    “ไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ จะคุยโม้โอ้อวดอะไรจะได้รู้กัน”


    เมื่อ ไปถึงวัดธาตุพนม เจ้าคุณแก้วรับว่ามีพระผู้เฒ่ารูปหนึ่งมาขอบิณฑบาตร่วมกับท่าน โดยที่ท่านเองเข้าใจว่าพระผู้เฒ่ารูปนี้คงธุดงค์มาไกลและพักอยู่วัดใกล้ ๆ แถวนี้


    “พระผู้เฒ่ารูปนั้นพักอยู่กับกระผมขอรับ” หลวงปู่คำพันธ์กราบเรียนเจ้าคุณแก้ว


    ท่านเจ้าคุณฯ ถึงกับอึ้ง


    ในที่สุดท่านเจ้าคุณฯ ได้เดินทางมาวัดธาตุมหาชัยกับหลวงปู่คำพันธ์เพื่อมาดูว่าจะเป็นพระผู้เฒ่ารูปเดียวกันหรือเปล่า


    พอพบเห็นหลวงปู่พรหมาก็เกิดอัศจรรย์ใจเลื่อมใส ก้มกราบด้วยความเคารพ และถือว่าเป็นอาจารย์ที่ควารค่าแก่การศรัทธามาแต่นั้น


    หลัง จากบทพิสูจน์นี้เสร็จสิ้น หลวงปู่พรหมาได้เดินทางออกจากวัดธาตุมหาชัย ไปพักอยู่วัดบ้านม่วง ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านธาตุมหาชัยราว 1-2 หมู่บ้านคั่นกลาง


    ส่วนหลวงปู่คำพันธ์ก็ได้เดินออกจากวัดธาตุมหาชัย ตามหลวงปู่พรหมาไปทั่วบ้านม่วงเพื่อขอเล่าเรียนวิชาอย่างเต็มใจ
     
  13. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    เรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่พรหมา ที่ได้แสดงให้หลวงปู่คำพันธ์เห็นว่า การเดินทางไปบิณฑบาตที่อำเภอธาตุพนม แล้วกลับมาทันฉันเช้าที่วัดธาตุมหาชัยนั้นสามารถทำได้
    โดยข้อเท็จจริงแล้วไม่มีทางทำได้
    ถึงจะอาศัยรถยนต์เป็นพาหนะทั้งขาไปและขากลับก็ทำไม่ได้
    ให้เหยียบคันเร่งจนมิดตลอดเส้นทางก็ทำไม่ได้
    ระหว่างวัดธาตุมหาชัย อำเภอปลาปาก กับอำเภอธาตุพนมมีระยะทางเกินกว่า 60 กิโลเมตร
    อย่าว่าแต่สมัยปี 2515 ซึ่งเส้นทางทุรกันดารอย่างยิ่ง ต่อให้สมัยปัจจุบันนี้ถนนรนแค่มดีแล้วก็ยังไม่มีทางทำได้
    หลวงปู่พรหมาได้กล่าวกับหลวงปู่คำพันธ์เพียงประโยคเดียวสั้น ๆ
    “นี่คือวิชาที่มีอยู่ในตำราที่อยากจะสอนให้”
    ประโยคนี้เป็นเหตุให้หลวงปู่คำพันธ์เดินอกจากวัดธาตุมหาชัยตามหลวงปู่พรหมาไปยังวัดบ้านม่วงโดยไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป
    ในปีนั้น (2515) หลวงปู่พรหมาได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านม่วง ตำบลโคกสูง อำเภอปลาปาก ซึ่งอยู่ห่างจากวัดธาตุมหาชัยประมาณ 10 กิโลเมตร หลวงปู่คำพันธ์ได้ติดตามมาฝากตัวเป็นศิษย์รับการถ่ายทอดวิชา แต่มิได้อยู่จำพรรษาด้วย หากแต่ใช้วิธีเทียวไปเทียวมาแทบทุกวันระหว่างวัดธาตุมหาชัยกับวัดบ้านม่วงมิ ได้ขาดตลอดพรรษา ซึ่งท่านก็ได้รับเมตตาจากหลวงปู่พรหมาสั่งสอนแนะนำวิชาให้โดยไม่ปิดบัง อำพราง
    หลวง ปู่คำพันธ์สำนึกในเมตตาของหลวงปู่พรหมาและรู้คุณของครูบาอาจารย์อยู่เต็ม หัวใจ ท่านได้ขอร้องพ่อใหญ่จำปา กอมสิน ชาวบ้านม่วงที่เป็นเพื่อนรักของท่านให้คอยอุปัฏฐากหลวงปู่พรหมาตลอดเวลาที่ อยู่วัดบ้านม่วง พ่อใหญ่จำปาก็รับทำธุระนี้ด้วยความยินดี
    ครั้นออกพรรษาแล้ว หลวงปู่พรหมาได้เดินทางออกจากวัดบ้านม่วงไปโดยไร้ร่องรอยและหายสาปสูญไปตั้งแต่บัดนั้น
     
  14. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ก่อน ที่หลวงปู่พรหมาจะจากไป ได้ฝากตำราวิชานี้ไว้กับพ่อใหญ่จำปาเพื่อเอาไว้ถวายหลวงปู่คำพันธ์ ซึ่งหลวงปู่พรหมาท่านคงพิจารณาแล้วเห็นว่า พ่อใหญ่จำปาเป็นคนซื่อตรง ไว้วางใจได้ และยังเป็นผู้ที่ไม่รู้หนังสือ เมื่อฝากตำราไว้กับพ่อใหญ่จำปา ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่รู้จักว่าเป็นหนังสืออะไร
    หลัง จากพ่อใหญ่จำปาได้ถวายตำราที่หลวงปู่พรหมาฝากไว้ให้หลวงปู่คำพันธ์แล้ว ในพรรษาปีถัดมาหลวงปู่คำพันธ์จึงอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านม่วงเพื่อศึกษาเล่า เรียนวิชาจากตำรา อีกทั้งทบทวนข้อศึกษาอบรม แนะนำที่ได้รับจากหลวงปู่พรหมาอย่างตั้งอกตั้งใจและเอาจริงเอาจัง
    ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า วิชา 32 ธนู ซึ่งแค่เรียนได้เพียงธนูใดธนูหนึ่งก็สามารถแสดงฤทธิ์เหนือธรรมชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์
    เล่า กันว่าตลอดพรรษา หลวงปู่พรหมากับพ่อใหญ่ำปาได้ทดลองวิชากันในหลายลักษณะ โดยเฉพาะวิชาธนูหินและธนูไฟที่หลวงปู่คำพันธ์ได้สอนให้กับพ่อใหญ่จำปานั้น เป็นที่เลื่องลือกันมาก
    พ่อใหญ่จำปาสามารถใช้ฝ่ามือตบใส่ต้นไม้ใหญ่ ๆ เพียงครั้งเดียว ต้นไม้นั้นก็โค่นล้มลงมา
    หรือกำถ่านไฟที่กำลังลุกแดงไว้ในมือจนกระทั่งไฟถ่านมอดดับคามือโดยไม่เป็นอะไร
    เรียกว่าวิชาธนูหิน และธนูไฟ ซึ่งอยู่ติดตัวพ่อใหญ่จำปาจนตลอดชีวิต
    แต่แปลกที่พ่อใหญ่จำปาไม่ยอมถ่ายทอดวิชานี้ให้กับใครเลย แม้กระทั่งหลวงพ่อผายซึ่งเป็นลูกชายของพ่อใหญ่จำปาเอง
    หลวง พ่อผายเล่าว่า เคยขอเรียนกับพ่อใหญ่จำปา แต่ท่านไม่สอน กลับบอกว่า ถ้าเจ้าอยากเรียนให้ไปขอเรียนกับหลวงปู่คำพันธ์เท่านั้น เพราะท่านเป็นผู้เดียวที่จะพิจารณาว่าควรสอนหรือไม่สอนใคร
    “ทำไมจึงอยากเรียน”
    “ทีแรกไม่คิดอยาก ไม่เคยรู้ว่าพ่อของอาตมาจะมีวิชาอาคมดี เห็นแค่เป็นคนแก่คนเก่าของหมู่บ้าน แต่วันหนึ่งก็เกิดเหตุ”
    หลวง พ่อผายเล่าว่า สมัยนั้นยังไม่ทันบวช ยังเป็นฆราวาส พ่อใหญ่จำปาชวนไปตัดไม้มาปลูกเรือน หลวงพ่อผายกำลังเอาขวานฟันต้นหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่นัก คือ ราวโคนขาของคนเรา ยังฟันไม่ขาด ข้างหลังก็มีไม้ขนาด 1 คนโอบล้มตึงลงมา
    เห็นพ่อใหญ่จำปายันอยู่ตรงนั้นด้วยมือเปล่า ๆ แถมยังคุยเขื่องอีกด้วย
    “ต้นที่ลูกกำลังโค่นนั้น พ่อแค่เอานิ้วดีดก็ล้มแล้ว”
    หลวงพ่อผายจึงเกิดอัศจรรย์ในพ่อของท่านเอง แต่เมื่อไปขอเรียนกับหลวงปู่คำพันธ์ก็ได้รับคำปฏิเสธไม่สอนให้
    ปัจจุบันหลวงพ่อผายพำนักอยู่วัดบ้านม่วง ส่วนพ่อใหญ่จำปาเสียชีวิตไปก่อนหลวงปู่คำพันธ์นานแล้ว
    ในสมัยที่หลวงปู่คำพันธ์ศึกษาวิชา 32 ธนู และทดลองวิชากับพ่อใหญ่จำปานั้น กล่าวกันว่าไม่ใคร่มีใครได้เห็นหลวงปู่แสดงฤทธิ์ แต่พ่อใหญ่จำปานั้นคนเห็นกันมาก
    กระนั้นก็ยังมีครั้งหนึ่งซึ่งสามเณรทองและสามเณรสมาน (ขณะ พ.ศ. 2515-2516) ได้ประสพและไม่เคยลืมจนตลอดชีวิต จนกระทั่งได้เล่าให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมา
     
  15. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ระหว่าง พรรษาที่วัดบ้านม่วงนั้น หลวงปู่ได้เรียกสามเณรทอง และสามเณรสมานไปที่ห้วยวังจานด้วยกัน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นห้วงน้ำกว้างใหญ่ น้ำใส ลึกราว ๆ 4 เมตร ห้วยนี้อยู่ห่างจากวัดธาตุมหาชัยราว ๆ ครึ่งกิโลเมตร
    เมื่อ ไปถึงริมฝั่งห้วยวังจาน หลวงปู่ได้สั่งและกำชับสามเณรทองกับสามเณรสมานว่า ให้นั่งรออยู่บนบก ไม่ต้องลงไปในน้ำ เดี๋ยวตัวหลวงปู่จะลงไปทำธุระในน้ำ ให้รออยู่บนนี้ ห้ามไปไหน
    พอสั่งกำชับแน่ชัดเป็นที่เข้าใจแล้ว หลวงปู่ก็เดินลงน้ำจมหายไป
    สามเณรทั้ง 2 ปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด นั่งคอย นอนคอย จนทนไม่ไหวถึงออกอาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ไม่รู้ว่าหลวงปู่ทำไมหายลงไปใต้น้ำนานจนเกินไปขนาดนั้น
    สามเณรสมานซึ่งต่อมาคือ พ่อตาของมหาฮงผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดปรนนิบัติหลวงปู่คำพันธ์ตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นมหา ได้บอกว่า
    “หลวงปู่หายลงไปในน้ำห้วยวังจานเกิน 1 ชั่วโมง”
    ในที่สุดก็ทนรอไม่ไหว เกรงว่าหลวงปู่อาจจะเป็นอะไรไป อาจจะมรณภาพอยู่ใต้น้ำไปแล้ว จึงตัดสินใจชวนกันกระโดยน้ำตามลงไปดู
    ปรากฏ ว่าเมื่อดำน้ำลงไปแล้ว กลับเห็นหลวงปู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินใต้น้ำนิ่งอยู่ พอเข้าไปใกล้ท่านก็ลืมตาขึ้นแล้วโบกมือไล่สามเณรทั้งสองให้ถอยกลับคืนไป
    หลังจากนั้นสักพักใหญ่หลวงปู่จึงกลับคืนมาขึ้นฝั่ง
    เรื่องอัศจรรย์นี้สามเณรทั้ง 2 ไม่เคยลืมเลือนตลอดชีวิต
    วิชาที่หลวงปู่ใช้ลงไปอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานับชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมงนี้ จะเป็นวิชาธนูอะไรก็ไม่ทราบ แต่ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องอภินิหารที่สามเณรทั้ง 2 มีวาสนาได้ประสพกับตาตนเองอย่างแท้จริง
    ปัจจุบัน สามเณรทองเสียชีวิตไปแล้วก่อนหลวงปู่มรณภาพหลายปี ส่วนสามเณรสมานก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน คงเหลือแต่มหาฮงเป็นผู้สืบทอดเรื่องราวน่าอัศจรรย์นี้ต่อมา
    ในตำรา 32 ธนูนี้ ก็ปรากฏการบันทึกศาสตร์วิชาทำรูปพญานาคอยู่ด้วย
    ดังนั้นรูปพญานาคนี้จึงควรค่าแก่การเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง
     
  16. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    บทความที่คุณ อำพล เจน ได้เขียนเล่าเอาไว้ก็จบเพียงเท่านี้ค่ะ ในโอกาสหน้า ลินจะนำบทความ ของ ครูบาอาจรย์ ท่านอื่นๆที่เกี่ยวกับพญานาค มาให้ได้อ่านกันต่อไป ขอบคุณค่ะ
    สำหรับท่านที่อคติ คิดว่่า ลินเข้ามาตั้งกระทู้นี้เพื่อจะขายของ ก็ขอให้คิดซะใหม่นะคะ โปรดใช้วิจารณาญาณในการวิเคาระห์ด้วยค่ะ
    แต่ท่านใดที่ชอบแนวนี้ และ มีข้อความของครูบาอาจารย์ท่านใดจะมาแชร์หรือเคยมีประสบการณ์ที่ได้พบหรือสัมผัสได้ก็เรียนเชิญเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  17. ฅนคลองหลวง

    ฅนคลองหลวง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +3,571
    คอยติดตามตอนต่อไปอยู่ครับ
    ช่วงนี้ก็อยากได้ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันไว้บูชาเพื่อป้องกันภัยในอนาคตเหมือนกัน
     
  18. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,495
    ค่าพลัง:
    +19,462
    พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเคร่งครัดในศีลธรรม
    มักจะประสบพบเจอกับพญานาคในรูปแบบต่างๆ
    และการพบเจอนี้มีมาครั้งแต่โบราณกาลแล้ว
    ตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    กระทั่งในกาลปัจจุบัน
    ก็ยังพบว่าพระภิกษุ ผู้บรรลุธรรมชั้นสูงได้พบเจอกับพญานาค
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

    หากแต่ผู้ที่จะสัมผัสกับพญานาคได้นั้น
    จะต้องปฏิบัติธรรมขั้นอภิญญาญาณพิเศษ และจิตที่แก่กล้า

    ส่วนพวกที่ไม่มีความเชื่อเรื่องพญานาค
    ก็เพราะมีจิตอ่อนไม่เคยศึกษาในพระไตรปิฎก
    และไม่สนใจในทางธรรม
    หรือไม่สนใจในการประพฤติปฏิบัติธรรม
    ก็ย่อมไม่มีความเชื่อเรื่องพญานาค

    หากแต่ว่าเรื่องพญานาคดูเหมือนจะเป็นสิ่งคู่กัน
    กับพระระดับอภิญญาญาณ หรือผู้ที่บรรลุธรรมชั้นสูง
    ดังเช่นตัวอย่างที่จะยกมาพอสังเขป ดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    [​IMG]

    พบพญานาคผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ณ ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่


    ๒. หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี

    [​IMG]

    พบพญานาคงูยักษ์สีดำ ลำตัวขนาดโคนต้นตาลใหญ่
    พาท่องเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง
    ในเขตอำเภอโขงเจียม จ.อุบลราชธานี


    ๓. หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    [​IMG]

    พบพญานาคในนิมิต ณ ท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง ของท่านนั่นเอง
    อยู่ในอำเภอศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    ซึ่งเรื่องนี้มีข้อมูลที่ตรงกับเรื่อง “สามพญานาครักษาแม่น้ำโขง”
    ในหนังสือ หลวงปู่คำพันธุ์ โฆษปัญญาโญ
    เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง ที่จัดพิมพ์ใน พ.ศ. ๒๕๔๘


    ๔. หลวงปู่หลุย จันทสาโร

    [​IMG]

    พบพญานาคมีมิจฉาทิฏฐิ ที่ภูบักบิด เหนือฟากฝั่งแม่น้ำเลย จังหวัดเลย


    ๕. หลวงปู่สิม พุทธจาโร

    [​IMG]

    พบพญานาคทั้งพวกมิจฉาทิฎฐิและสัมมาทิฏฐิ
    ที่อาศัยอยู่บริเวณ เขื่อนแม่งัด ถ้ำเชียงดาวและถ้ำตับเตา จังหวัดเชียงใหม่


    ๖. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    [​IMG]

    พบพญานาคมาแสดงฤทธิ์ให้เห็น ทอดลำตัวยาวไปไกลสุดสายตา
    บริเวณป่าลึกบนภูเขา อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย


    ๗. หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ

    [​IMG]

    พบพญานาคมาแสดงให้เห็นในถ้ำกกยาใหญ่
    ที่วัดพระธาตุภูเพ็ก อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และที่วัดป่ามหาชัย

    จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้

    เป็นเพียงบางส่วนที่มีการบันทึก
    เกี่ยวกับการได้พบและสัมผัสกับพญานาค
    ทั้งทางสมาธิและทางสัมผัสกับธรรมชาติ
    เกี่ยวกับครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ซึ่งเรื่องราวของการได้พบกับพญานาค ของครูบาอาจารย์นั้นมากมาย

    และท่านผู้อ่านคงได้ผ่านสายตามาบ้างไม่มากก็น้อย
    เป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าเรื่องราวของพญานาคไม่ใข่เรื่องของชาดก
    หรือนิทานพื้นบ้านที่เล่าขานสืบต่อกันมา

    หากแต่พญานาคมีเรื่องอยู่จริงตามธรรมชาติ
    จะปรากฏให้ผู้ที่ได้พบเห็น
    และรับทราบอย่างไรอยู่ที่ญาณสมาธิของผู้นั้น
     
  19. big09

    big09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +771
    สุดยอดครับบทความนี้ น้อง กด like เลยครับ
     
  20. คนกันเอง

    คนกันเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    7,441
    ค่าพลัง:
    +8,977
    เข้ามาอ่านครับ ชอบมากๆครับ

    จะติดตามตอนต่อไปนะครับ

    coming Soon
     

แชร์หน้านี้

Loading...