คนรักษาศิลก็ตกนรกได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย จิตสดใส, 16 เมษายน 2011.

  1. จิตสดใส

    จิตสดใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +1,260
    [​IMG]
    ตอบคำถามโดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
    ถาม[FONT=PSK Smart,PSK Smart]:คนที่ทำบุญทำทานเช่นสร้างพระพุทธรูปร่วมสร้างศาลาสร้างสิ่งต่างๆมากมายไม่เคยตระหนี่เลยและยังชักชวนคนอื่นร่วมทำด้วยแต่ คนๆนั้นเป็นคนขี้โกรธขี้โมโหและยังมีอัตตาตัวตนมากอย่างนี้จะปิด อบายเขาได้ไหมคะ? [/FONT]
    ตอบ [FONT=PSK Smart,PSK Smart]:ปิดอบายเขาได้ไหม?เรื่องของการทำทานอย่างเดียวยังปิด อบายไม่ได้นะเราจะทำบุญสุนทานมากขนาดไหนก็มีโอกาสไปอบาย ได้ตลอดหรือแม้แต่การรักษาศีลก็ตามถึงจะรักษาศีล๕ [FONT=AngsanaNew,Bold][FONT=AngsanaNew,Bold]อุโบสถ[/FONT][/FONT][FONT=AngsanaNew,Bold][FONT=AngsanaNew,Bold]ศีล([/FONT][/FONT]ศีล๘) ยังไงก็ ยังมีสิทธิ์ไปอบายได้เหมือนกันฟังแล้วก็เอ!มันยังไงนี่คนที่จะปิดอบาย ได้ก็คือกลุ่มบุคคลในระดับโสดาบัน . . โสดาบันบุคคลนั่นเอง [/FONT][FONT=PSK Smart,PSK Smart]มีปริพาชกมาถามพระพุทธเจ้าว่าเขาเห็นคนรักษาศีล๕แล้วไปเกิดใน นรกพระพุทธเจ้าฟังแล้วก็เฉยๆแล้วเขา(ปริพาชก)ก็บอกว่าเห็นคน ทุศีลที่ฆ่าสัตว์ทำปาณาติบาตผิดศีล๕ไปเกิดบนสวรรค์พระพุทธเจ้า ตอบไหมไม่ตอบเฉยๆพระพุทธเจ้าไม่ตอบปริพาชกก็เดินหลีกไปพระ อานนท์นั่งอยู่ข้างๆก็สงสัยจึงถามพระพุทธเจ้าว่าพอจะรับฟังได้ ไหม ? พระพุทธเจ้าบอกได้ [/FONT][FONT=PSK Smart,PSK Smart]พระอานนท์ถามต่อว่าเพราะเหตุอะไร?พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเพราะมี กรรมอีก๓ระดับที่จะส่งผลให้เขาเช่นถ้าเขาทำความไม่ดีมา๑๐ ปีก่อน หน้า๑๐ปี[/FONT][FONT=PSK Smart,PSK Smart]ที่เขาทำความไม่ดีนั้นเขาได้ทำความดีมาก่อนหรือเปล่า?กรรมดีตรงนี้ ก็ส่งผล(นี้เป็นกรรมระดับแรก)ทำให้เรามองว่าเขาทุศีลมานี่ตั้ง๑๐ปี เอ!ทำไมไปเกิดบนสวรรค์?หรือว่า(กรรมระดับที่สอง)เขาทำความไม่ ดีมา๑๐ปีพอปีที่๑๑เขามาสร้างความดีอย่างใหญ่หลวงหรือเปล่า? กรรมตรงนี้ก็ส่งผลอีก กรรมระดับที่สามก็คือกรรมก่อนตายอันนี้ก็เป็น ตัวส่งผลเพราะว่าจิตสุดท้ายเกาะอารมณ์ใดพระพุทธเจ้าก็บอกอัตตภาพจะได้ไปตามอารมณ์นั้นเพราะนั่นมันคือสถานที่เกิดของจิตนั่นเองตัวอารมณ์มันเป็นภพเป็นสถานที่เกิดของจิตเหมือนอาตมาจับ หนังสือจะบอกว่าเป็นแก้วได้ไงจับแก้วจะบอกเป็นหนังสือได้ไงจิตจับ อะไรมันก็เป็นตามนั้น [/FONT]
    [FONT=PSK Smart,PSK Smart][FONT=PSK Smart,PSK Smart]เพราะสิ่งที่จิตไปจับไปยึดไปเกาะก็คือตัวภพของจิต[/FONT]เป็นตัวเกิด ของจิตไงใช่ไหม?บางคนบอกไม่ยุติธรรมไม่ยุติธรรมยังไงก็นี่ยุติธรรม ที่สุดแล้วจิตจับอะไรก็ได้ตามนั้นถ้าไม่อยากไปเป็นเดรัจฉานก็อย่าไป จับมันซิใช่ไหม?ก็ต้องฝึกจิตปล่อยวางทำสมาธิเห็นการเกิดดับมองว่า จิตไม่ใช่ตัวเราของเรามันจะไปเกาะกุศลอกุศลก็ช่างมันมันไม่ใช่เรา เราก็ปล่อยมันไปทำแค่นี้มันก็พ้นอบายใช่ไหม?แต่ถ้าเราไม่เข้าใจตรง นี้มันก็มีสิทธิ์ไปอบายได้ตลอดเวลา
    ในการที่คนเรามีกิเลสนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปอบายเสียทั้งหมดบุคคล ที่มีกิเลสแล้วไม่ไปอบายก็คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคา มี ที่มีกิเลสแต่ไม่ต้องไปอบายมีคราวหนึ่งพวกปริพาชกคุยกันแล้วก็ถก เถียงกันบอกว่าคนมีกิเลสนี่ตกนรกทั้งหมดไม่มีทางเลยที่จะไปสู่สุคติ พระสารีบุตรฟังแล้วก็ไม่รับรองไม่คัดค้านเก็บกลับมาถามพระพุทธเจ้า ดีกว่าพระสารีบุตรขนาดเลิศทางปัญญาไม่ฟันธงอะไรกลับมาถาม พระพุทธเจ้าว่าท่านได้ยินพวกปริพาชกเขาคุยกันอย่างนี้มันจริงไหมว่าคน มีกิเลสจะต้องตกนรกทั้งหมด?พระพุทธเจ้าบอกสารีบุตร!ไม่จริง[FONT=PSK Smart,PSK Smart]คน มี กิเลสที่ไม่ตกนรกนั้นได้แก่ พระโสดาบัน [/FONT]พระโสดาบันประเภท หนึ่ง สองสามก็ไม่ตกนรกโสดาบัน จะมี ๓ ประเภท ประเภทแรก เกิดอีก๗ ชาติพวกนี้จะเวียนในภพเทวดาและมนุษย์อีกไม่เกิน ๗ ชาติไม่มีชาติ ที่ ๘ สำหรับพระโสดาบันประเภทที่๒ .ก็เกิดอีก ๒ - ๓ ชาติพวกนี้ก็ จะเกิดเฉพาะภพมนุษย์ประเภทที่๓ .ก็จะเกิดอีกชาติเดียว..ชาติเดียว ก็จะเกิดเฉพาะภพมนุษย์เท่านั้นเพราะฉะนั้นถ้าโสดาบันไปเป็นเทวดา นี่เป็นพวกกลุ่ม๗ชาติ ส่วน[FONT=PSK Smart,PSK Smart]สกิทาคามี[/FONT]ก็เวียนเกิดในภพมนุษย์อีกชาติ เดียวจะได้เป็น พระอรหันต์ ส่วน[FONT=PSK Smart,PSK Smart]พระอนาคามี[/FONT]ก็จะมีเป็นกลุ่มๆกลุ่มที่อายุได้กึ่งหนึ่งของอายุขัยก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์พวกนี้ก็ไม่ต้องไป อบาย กลุ่ม ที่๒ของพระอนาคามีก็คือช่วงใกล้จะสิ้นอายุขัยถึงจะสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ กลุ่มที่ ๓ ก็คือพวกที่ปฏิบัติแล้วไม่ต้องใช้ความเพียร เรี่ยวแรงก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กลุ่มที่๔ก็คือปฏิบัติแล้วต้องใช้ ความ เพียรเรี่ยวแรงอันนี้ก็อยู่ที่การหยิบมรรควิธีไม่ใช่มรรควิธีผิดนะมรรควิธี ถูกแต่เป็นมรรควิธีที่ลำบากก็ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรงจึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กลุ่มสุดท้ายของพระอนาคามีก็คือตายก่อนแต่แก้ปัญหาเรื่องอบายภูมิได้แล้วและไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกอีกด้วยการ ละความยินดีในทางอายตนะ๕ของกายได้ก็ไปเกิดในพรหมชั้นสุทธา วาสและจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชั้นพรหมนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือกลุ่มบุคคลที่ยังมีกิเลสเหลือแต่ไม่ต้องไปอบายแล้วแล้วก็บอก พระสารีบุตรอีกว่าคำถามนี้จริงๆแล้วถ้าไม่ถูกถามเฉพาะเจาะจงจะไม่ ตอบเด็ดขาดเลยเพราะว่าจะเป็นเหตุให้เกิดความประมาทพวกเราฟัง อย่างนี้ก็นอนใจเลยสบายแล้วพอโสดาบันก็เย็นใจนอนมาไม่เกินเจ็ด ชาติได้เป็นพระอรหันต์แน่นอนมันก็เลยจะเป็นเหตุให้เกิดความเนิ่นช้า
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. จิตสดใส

    จิตสดใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +1,260
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1DPhGcOgGfU&feature=share]YouTube - พุทธวจนบรรยาย[/ame]
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=FGtWpiaCWz8&feature=mfu_in_order&list=UL]YouTube - พุทธวจนบรรยาย ณ ปูนซีเมนต์นครหลวง[/ame]
     
  3. ไม่เน้นขาย

    ไม่เน้นขาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    310
    ค่าพลัง:
    +61
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]


    ขอให้เจริญธรรมในเร็วนะครับ สาธุ....[/CENTER]
     
  4. เนตรอิศวร

    เนตรอิศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +425
    สาธุ...ข้าแต่ท่านผู้เจริญ..
    .....ผู้น้อยมีปัญญาอันน้อยนิด จักขอเผยความเห็น ด้วยคำกล่าวที่ว่า "ผู้ที่รักษาศีล ก็ย่อมตกนรกได้" ด้วยสิ่งนี้ผู้น้อยนั้นมีความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุว่า คำว่ารักษาศีลนั้นคือ การไม่เบียดในตนเองและผู้อื่น หรืออีกอย่างคือการไม่กระทำอันเป็นเหตุให้ตนเองเดือดร้อน และการไม่กระทำอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อน ฉะนั้นเมื่อไม่ทำก็ย่อมไม่สร้างกรรม ไม่สร้างกรรมในที่นี้ก็ต้องรวมถึงกรรมดี และกรรมชั่วด้วย เพราะศีลนั้นมีแต่ข้อห้าม แต่ไม่มีข้อปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ หรือแม้แต่ศีล๒๒๗ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อห้ามโดยทั้งสิ้น มีแต่การบอกว่าไม่ให้กระทำผิดเพราะจะเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ไม่มีศีลข้อให้ที่บอกว่าต้องทำเพื่อให้เกิดสุข ยกตัวอย่าง ศีล๕ ห้ามฆ่าสัตว๑ ห้ามลักทรัพย์๑ ห้ามผิดในกาม๑ ห้ามพูดปดอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือนร้อนและถึงแก่ความตาย๑ ห้ามเสพของมึนเมามัวเมา๑.
    .....หากเป็นศีล๘ ก็เพิ่มข้อห้ามอีก๓ ข้อ คือ ห้าเที่ยวยามวิกาล๑ ห้ามทัดดอกไม้เครื่องหอม๑ ห้ามร้องรำ๑.
    ....หากเป็นศีล๑๐ ก็เพิ่มข้อห้ามมาอีก๒ ข้อ
    ....หากเป็นศีล๒๒๗ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อห้าม แบ่งออกเป็น ปราชิก๔ มีโทษขาดจากการเป็นภิกษุ สังฆาทิเสท๑๓ มีโทษอยู่กรรมจึงจะพ้น ปราจิตตีมี๙๖ ต้องปลงอาบัติต่อหน้าภิกษุรูปอื่นจึงจะพ้น สังเวสสินีย(หากกล่าวผิดโปรดอภัยแก่ผู้น้อยเถิด) และอื่นๆอีก รวมทั้งหมด๒๒๗ ข้อ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อห้าม.
    .....ฉะนั้นศีลนั้นจึงมีแต่ข้อห้าม แต่ไม่มีข้อให้บอกให้กระทำ ส่วนข้อปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่แยกออกมาจากศีล เช่น หากเป็นปุถุชนทั่วไปจะมีข้อปฏิบัติเรียกว่า การสร้างกุศลอันได้แก่ พรหมวิหาร๔ มงคลชีวิต เป็นต้น .
    .....ฉะนั้นผู้ที่รักษาศีลจึงเปรียบเสมือนผู้ที่ยืนอยู่ จะนั่งก็ไม่นั่ง จะเดินก็ไม่เดิน จึงไม่ไปไหน เปรียบดั่งบุญก็ไม่ทำ กรรมก็ไม่สร้าง ประดุจดังผู้ที่ไม่เบียดเบียนใครไม่ทำให้ใครเดือดร้อนประดุจดั่งก้อนหินที่วางอยู่เฉยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ที่ถือศีลนั้นเป็นทุกข์คือจิต เช่นเดินไปเห็นทองหล่นอยู่ ทองนั้นมีเจ้าของ ศีลบอกว่าห้ามเอาทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของไม่ยินยอมถือว่าผิดบาป เมื่อศีลห้ามมือจึงไม่หยิบ เมื่อมือไม่หยิบก็ย่อมไม่ผิดศีลข้อ๒ แต่ในจิตใจเกิดความรู้สึกเสียดาย ความรู้สึกเนี่ยแหละทำให้เกิดทุกข์ เกิดความม่นหมองของดวงจิต ด้วยความอยากมี อยากได้ สุดท้ายเมื่อตายไปก็ไปเกิดในภพภูมิของเดรัชฉาญ เพราะดวงจิตพาไป หรืออีกตัวอย่างนึงชาตินี้เกิดมาทรัพย์ศีลเงินทองมากมาย เกิดมาเป็นใบ้จะพูดด่าใคร ว่าร้ายใครก็ไม่ได้เพราะเป็นใบ้ ตาบอดจะไปดูใครอาบน้ำก็ไม่ได้ พิการมือเท้าไม่ดีจะไปต่อยตีใครหยิบฉวยของใครก็ไม่ได้ถามว่าบุคคลผู้นี้เมื่อตายไปจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ เกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำผิดบาปเลย ขอตอบว่าบุคคลผู้นี้สามารถไปได้ทั้งนรก และสวรรค์ เพราะดูที่จิตใจ ในขณะมีชีวิตอยู่บุญก็ไม่เคยทำใส่บาตรพระก็ไม่เคยใส่ ทานก็ไม่เคยสร้าง แต่ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเป็นคนที่มีเงินมีกินมีใช้ตลอดชีวิต เป็นตระหนี่ เมื่อคราวกำลังสิ้นใจตนเองกลับมีจิตห่วงในทรัพย์สมบัติของตน เอาไปฝังดินซ่อนไว้ด้วยความกลัวว่าใครจะมาเอาทรัพย์สมบัติของตนเองไป สุดท้ายเมื่อคราวสิ้นใจไปแล้วดวงจิตก็พาล่องลอยไปเกิดเป็นงูมาเฝ้าสมบัติของตน หรือไม่ก็ไม่ยอมไปเกิด ไปเกิดภูมิอสุรกายคอยเฝ้าทรัพย์ของตน อย่างนี้ก็เป็นผลมาจากรักษาศีลอย่างเดียวแต่ไม่ปล่อยวาง.
    .....ทีนี้มาถึงกรณี ผู้ที่รักษาศีลแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ก็คือไม่กระทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใดเลยทั้งมนุษย์และสัตว์ หรือแม้แต่เปรต อสุรกาย มาร พรหม กระทั้งตนเองก็ไม่เบียดเบียนรักษาศีล เป็นอย่างดี และด้วยเป็นคนใจบุญชอบใส่บาตรพระ ให้ทานสัตว์เป็นนิจ ชอบฟังเทศฟังธรรม พูดจาไพเราะ มีความยิ้มแย้มแจ่มใสมีจิตชื่นบานเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อสิ้นลมไปดวงจิตจึงบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยบุญบารมีจากการทำบุญแก่ภิกษุ เลี้ยงดูบิดามารดา และให้ทานแก่สรรพสัตย์ทั้งปวง เมื่อสิ้นลมละสังขารดวงจิตจึงพาไปเกิดแดนสวรรค์ แดนวิมาน เกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา ด้วยเหุตุที่ว่ารักษาศีลไม่เบียดเบียนผู้อื่นจึงไม่มีกรรม จึงไม่ต้องไปชดใช้กรรมในนรก.
    .....ทีนี้อีกกรณีหนึ่ง คือ เมื่อเป็นมนุษย์ รักษาศีลไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย บุญก็ไม่ทำ บาปก็ไม่ทำ คือศีล๕ครบถ้วน แต่กลับสร้างกรรม หลายท่านอาจจะสงสัย ศีล๕ หรือแม้แต่ศีล๒๒๗ ข้อ อยู่ครบเลย แล้วทำไม่กลับเกิดกรรมได้ แล้วทำไมลงไปชดใช้กรรมในนรกได้ ก็มีสาเหตุมาจากนี้คือ การไม่เลี้ยงดูบิดามารดา ปล่อยให้บิดามาดาทนทุกข์เวทนา เมื่อยามชราหรือไม่ชราก็ตาม เช่นเรียนจบมาทำงานมีเงินเดือน ๓๐๐๐๐ บาท เที่ยวทำบุญให้ทานรักษาศีล วัดที่นั่นดีก็ไป วัดที่นี่ดีก็มา ตักบาตรพระสงฆ์ทุกวัน ทำทานเป็นนิจ แต่ทีกลับบิดามารดาตนเองกลับปล่อยให้กินข้าวคลุกน้ำปลา เจ็บป่วยไข้ก็ปล่อยให้นอนเจ็บปวดทรมานไม่พาไม่ดูดำดูดี ตัวนี้แหละเป็นกรรมหนักเลย บุญกุศลที่ไปสร้างมาจากไหนก็ไม่เท่าเทียมกรรมที่กระทำการละเลยบิดามารดาของตน ไม่ว่าจะถือศีลสักหมื่นข้ออย่างเคร่งครัด สุดท้ายก็ตายไปก็ต้องไปใช้กรรมในนรก เกิดมาก็อนาถา เป็นยาจกขอทานร่างกายพิการ เต็มไปด้วยโรคเรื้อรังหาภพชาติที่จะสิ้นสุดไม่เจอ .
    ......ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่า การรักษาศีลนั้นก็การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เมื่อไม่ทำบาปย่อมไม่ผิดบาป เมื่อไม่ทำกุศลก็ย่อมไม่เกิดกุศล แต่การรักษาศีลนั้นต้องควบคู่ไปกับการสร้างบุญบารมี สร้างกุศลทั้งทางกายและทางจิต จึงจะมีอานิสงน์มาก บุญนั้นก็คือบุญ แต่อานิสงน์ของบุญยิ่งใหญ่นัก เช่น ท่านทั้งหลายทำบุญสร้างโบสถ์ บุญย่อมเกิดจากการสร้างโบส แต่อานิสงน์ ก็คือพระภิกษุสงฆ์ทำวัตรเช้าเย็น นาคจะบวชเป็นภิกษุก็ต้องใช้โบสถ์ อานิสงฆ์จึงหาประมาณมิได้ตราบเท่าโบสถ์พังทลาย ยิ่งหากโบสถ์ที่ท่านทั้งหลายได้สร้าง มีนาคมาบวชและเกิดบรรลุอรหันต์ หรือแม้แต่ขั้นใดก็ตาม อานิสงน์สร้างโบสถ์หลังนั้นเป็นเหตุให้เกิดพระอรหันต์ อานิสงน์ย่อมหาที่ประมาณมิได้เลย
    .....กรรมก็เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ท่านทั้งหลายรักษาศีลอยู่อย่างเคร่งครัด วันหนึ่งในยามเช้าท่านเดินไปเห็นพระธุดงค์กำลังเดินด้วยร่างกายผอมแห่ง เดินเซไปเซมา ท่านทั้งหลายเดินผ่านไปพบแล้วในมือท่านมือข้าวหนึ่งห่อ น้ำหนึ่งขวด แต่ท่านกลับยืนดูพระเดินผ่านไปด้วยความเสียดายของที่จะถวายแก่พระภิกษุรูปนั้น ถามว่าท่านจะบาปหรือไม่ ตอบท่าไม่บาป เพราะท่านไม่ได้กระทำการเบียดเบียนแก่พระภิกษุรูปนั้นให้เดือดร้อน แต่ท่านนั้นจะได้อานิสงน์แห่งกรรมคือ ท่านปล่อยให้พระภิกษุรูปนั้นเดินผ่านไปต่อหน้าด้วยความหิว เพราะเพียงท่านเสียดายในอาหารที่มี อานิสงน์แห่งกรรมจึงส่งผลให้ท่าน ต้องพบกับความยากลำบาก เจียนหมดเรี่ยวแรงแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะยื่นมือมาช่วยท่านเลยแม้แต่น้อย นี่แหละคือ อานิสงน์แห่งกรรม.
    .....จากคำที่ผู้น้อยนั้นได้เผยความเห็นไปนั้น หวังว่าจะทำให้ท่านทั้งหลายเข้าใจในความหลายแห่งการรักษาศีล และอานิสงน์ของกรรมที่ มีผลพวงมาจากการรักษาศีลที่ไม่สร้างบุญด้วย ประการ ฉะนี้แล ......
    ..............................สาธุขออนุโมทนาบุญ....................................
     
  5. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    พูดง่ายว่าทำบุญเยอะๆ ให้มันอิ่มเอมใจบ่อยเวลาก่อนตายจะได้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ จะได้ไปที่ดีๆก่อน ไปอยู่เยอะหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ที่เราทำ หากทำไว้เยอะบุญก็จะส่งให้เราอยู่ที่ดีๆนานๆ
    แต่จงละรึกไว้ว่าไม่ที่ใดอยู่ได้นานเท่านิพพาน อยู่สวรรค์นานหมดบุญก็ต้องมาลงตู้ปลา3ตู้นี้อีก โลก สวรรค์ นรก วนอยู่แต่สามตู้นี้ ออกจากตู้ดีกว่าเป็นอิสระดี ไปอยู่แม่น้ำหรือไม่ก็ทะเลอันกว้างใหญ่ดีกว่า พระนิพาน สาธุ ๆ ๆ
     
  6. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    ผมขอสรุปสั้นๆง่ายนะครับ

    คนที่รักษาศีล 5 ตกนรกได้ครับ เพราะยัง รักษา อาจจะพลาดอาจจะเผลอเป็นบางกรณีไป

    ที่เขานั้นยังขาดสติ

    แต่ถ้าคนมีศีล 5 ผมรับรองว่าไม่มีทางต่ำกว่ามนุษย์แน่นอนครับ

    เพราะศีล 5 คือสิ่งยืนยันของความเป็นมนุษย์ :] และ ถ้ายิ่งปฏิบัติ(หนทางที่ถูกต้อง)

    ควบคู่ไปด้วยก็จะยิ่งก้าวหน้าทางธรรม

    *อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...