แยกรูปแยกนาม เดินปัญญาละกิเลสขั้นสูง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 17 เมษายน 2011.

  1. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ผมบอกท่านไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของ สัตว์
    -แต่สิ่งที่ผมรู้ว่าไม่ใช่ความจริงว่า สติ คือ การระลึกได้ หากท่านคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกันท่านได้ทะลุธรรมแล้ว
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ไม่ไหว ไม่ไหว เชื่อbluebaby2 เขาเถิด
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ความเห็นพี่ Tboon ดูเหมือนค่อย ๆ กระจ่างในธรรมมากขึ้นนะครับ ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องเจตนาแล้ว อนุโมทนา สาูธุ
     
  4. กนกพิชญ์

    กนกพิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +163
    สติแค่ไหน.. เอาแค่ง่ายๆเลยว่า..ในขณะที่คุณคิดและพิมพ์ตอบกระทู้อยู่ในขณะนี้..

    จิตคุณเห็นเป็นอย่างไร..อารมณ์ใดเกิด..โทสะ โมหะ หรืออุเบกขา....

    หากเรารู้ทันได้...นั่นคือสติ...
     
  5. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ตั้งจิตตั้งใจ กำหนดเบื้องต้น รู้ปัจจุบัน ละปัจจุบัน
    คำว่า "สติ" รู้ในปัจจุบัน "สัมปชัญญะ" รู้ในปัจจุบัน
    รู้เฉพาะตน ละเฉพาะตน วางเฉพาะตน หมุนเข้าหากายหาใจ เข้าสู่จิต
    ทำให้มันแจ้งอยู่ในกาย ประจักษ์แจ้งในใจ
    พิจารณาให้มาก ค้นให้มาก.....


    ย้อนสู่ใจ ทวนกระแส เข้าหาจุดของจริง
    "ปัจจุบัน" นี้แหละ เป็นทางเดินของจิต
    ไม่ไปยึดถือ อดีต อนาคต ไปถือเอาของปลอม ไม่เอาใจเข้าไปเกี่ยวข้อง
    กิเลส ตัณหา มันก็เกิดขึ้นในใจ มันแสดงออกจากใจ ให้น้อมเข้ามา

    รู้ในตน รู้ในใจเรานี้แหละ เป็นปัจจุบันธรรม
     
  6. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ทะลุธรรมตรงไหนเนี่ย อยากจะรู้

    สติ คืออะไร สติคือความระลึกได้ คือความสามารถระลึกสิ่งที่ควรระลึกในแต่ละกรณี ในแต่ละเหตุการณ์ ส่วนในการทำภาวนา สิ่งที่สติต้องระลึกคือ ระลึกอารมณ์กรรมฐานอยู่ในปัจจุบัน คือผูกจิตไว้กับลมหายใจเป็นต้น ไม่ให้ลืม ไม่ให้เผลอ สติคือไม่ลืม ไม่ลืมอารมณ์กรรมฐาน อีกนัยหนึ่งของสติคือ เรายังต้องระลึกในคำสอน หรือสิ่งที่เราได้สั่งตัวเองไว้ตอนเริ่มภาวนา ต้องระลึกอยู่ในอุบายต่างๆ ที่จะแก้จิตให้ละวางการภาวนา มีการระลึกสิ่งที่เราเคยปลูกฝังไว้ หรือสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาจากอดีต สติจึงระลึกสิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันหนึ่ง กับสิ่งที่เกี่ยวข้องที่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการภาวนาหนึ่ง

    สติในลักษณะหรือในแง่ของการระลึกได้นั้นจะอยู่ที่การได้ปลูกฝังหรือการได้ให้ข้อมูลเพื่อสติ คือการยึดข้อมูลมาใช้ทันเหตุการณ์ ในบางครั้งที่เราลืม มันไม่ใช่ว่าบกพร่องอยู่ที่การระลึก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเราไม่ได้ฝากข้อมูลเอาไว้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่างเช่น หาแว่นตาไม่เจออีกแล้วก็ว่าตัว “แหม ! สติเราแย่มาก”

    แต่ที่จริงมันไม่ใช่ปัญหาอยู่ในปัจจุบันนะว่าสติบกพร่อง ปัญหาเกิดตั้งแต่ขณะที่เราวางแว่นไว้ใช่มั้ย ในขณะที่เราวางแว่นไว้อาจกำลังพูดกับคนอื่น สนใจเรื่องอื่นแล้วไม่มีการใส่ใจกับการวางแว่นว่าวางตรงไหน เพราะฉะนั้นเมื่อเราพยายามนึกว่า เอ๊ะ ! เราวางไว้ตรงไหนนะ ก็จำไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลที่จะดึงมาได้ เราจะดึงข้อมูลได้เพราะว่าฝากข้อมูลไว้ก่อน ถ้าไม่ฝากข้อมูลไว้แล้วสติจะดีขนาดไหนมันก็มีที่จะหยิบมาได้

    ฉะนั้น ในปัญหาการขาดสติหรือการมีสติไม่ดี หลงลืมหรือลืมของบ่อย ต้องมาดูที่เหตุปัจจัย เหตุปัจจัยก็คือ ไม่ได้ฝากข้อมูลไว้ หรือข้อมูลไม่ชัดเจน สติจึงระลึกไม่ได้ เมื่อเราทุกข์อย่างไรก็ตามให้เรารู้จักวิเคราะห์ หยุด แล้วเผชิญหน้ากับความทุกข์ ให้ดูความทุกข์ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ คือ “ผู้รู้” ดูความทุกข์ แล้วเหตุปัจจัยของความทุกข์จะค่อยๆ คลี่คลายออกมาให้เราเห็น

    เรื่องปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องเข้าใจว่าปัญหาบางอย่างใช้ความคิดก็ได้ผล แต่หลายๆ ปัญหา หยุดคิดถึงจะได้ผล ดูจากประวัติของนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็ได้ ส่วนมากทฤษฎีต่างๆ ของเขาจะเกิดเมื่อเขาหยุดคิด อยู่ที่ห้องทดลองและอยู่ทีมหาวิทยาลัย คิด คิด คิด ไม่ออก เหนื่อยกลับบ้านดีกว่า ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน อื่อ ! นึกได้

    นักวิทยาศาสตร์ชื่อ อาร์คิมิดิซ แช่อยู่ในอ่างแล้วก็ร้องขึ้นมาว่า “ยูริก้า !” ลุกขึ้นวิ่งเปลือยกายไปตามถนน ร้องตะโกน “ได้แล้ว...ได้แล้ว” ดีอกดีใจที่นึกได้ในขณะที่ไม่คิด ทุกวันนี้เราให้คุณค่า ให้ความสำคัญกับความคิดมากเกินไป มองข้ามหรือประมาทในพลังของการไม่คิด คือถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้

    โดยปกติแล้วปัญญาของเรามันก็มีอยู่แล้ว แต่ความคิดผิวเผินทับถมเอาไว้ พอเราเขี่ยๆ ออก เขี่ยๆ ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดผิวเผินออกมา จิตสะอาดขึ้นและความคิดลึกซึ้ง ความคิดที่เข้าถึงความจริงของปัญหามันจะโผล่ขึ้นมาได้ แต่ก่อนปัญญามันขึ้นไม่ได้เพราะมันมีอะไรมาปิดบังเอาไว้

    ทุกข์ทำไม โดย ชยสาโร ภิกขุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  7. อศูนย์น้อย

    อศูนย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +495
    ระลึกรู้ สิ่งที่กระทบได้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะรู้ด้วย ฉเพราะเหตุ ที่เข้ามากระทบผัดสะ หรือ ตามดูตามรู้ สุดท้ายแล้ว ก็ เป็นเพียงผู้เฝ้ามอง มองดูหมือนกัน .. อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ และทุกๆท่าน ที่ถึงวาระกระทบผัดสะถึงกัน มันคือเหตุของแต่ละบุคล แล้วมันก็จะเข้าใจในเหตุของตนที่พึงปกิบัตมา ไม่ว่าจะการนี้ หรือ การก่อน คือบทเรียนบททดสอบ วาระของจิตตนใจยิ้มๆใจกลางๆ มันขึ้นอยู่กับฐานมุม มองที่เพียนแสวงหาทั้งนั้นสุดท้ายก็อนัตาธรรม คือ จะเอาอะไรในความไม่มีอะไร จะหาอะไร ในสิ่งที่ไม่มีอะไร สิ่งเหล่าใดเหล่านี้ มันอยู่กับเรามาตั่งแต่เกิดแล้ว เพียงแค่ระลึกรู้ เป็นผู้เฝ้ามองที่ดี ก็น่านับถือแล้ว แล้วที่ว่า สติคืออะไรสติคือเครื่องรู้ แล้วทีนี้ จะรู้อะไรละ การนี้ การก่อน การหน้า ควรดูและรู้ด้วยปัญญา เข้าใจนะ ว่าไช้ ครื่องรู้ร้อยรัด----->คือสติ....นี้เป็นกันทุกคน เพียงแค่ไห้รู้จักไช้ ไช้ไห้ถูกที่ ไช้ไห้ถูกเวลา แล้วไอ้ที่อุปโลกเรียกขน ขนาน นาม ว่าสติ หรือจะนิยามว่าอะไรก็ตาม ที่เป็นจริตท่าน ก็จะเกิดอานิสง ประโยชน์ที่สูงสุด ในตัวตนของท่านนั้นๆ
    ถ้ากล่าวถึง คนไข้สองคนคุยกัน ผมว่าผมก็เตยเจอคนไข้แล้วนะจะรักษาไห้ผมด้วยซ้ำ คำพูดคนไข้คนนั้นน่าเชื่อถือมาก สามารถพูดดลใจชักจูงจนคลอยตาม แต่คนไข้ ก็มีเจตณาดีที่จะช่าวรักษา แต่ถว่า พ่อ แม่ เราเป็นหมอนะสิ ก็แค่รับฟังบทความคำพูดของคนไข้ ที่ขจรเข้ามากระทบผัดสะ ก็ เท่านั้นเพราะ มันเป็นช่วงเวลาที่จะเกิดเหตุ แต่ใจเรานั้นกลับชื่นชอบในวาระการเหล่านั้น มิได้อยากดีอยากเด่น หรือจะอย่างเก่งกว่าใครๆ เรามีแต่ภูมิใจที่ได้เห็นได้รู้ ในสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันมาไม่ว่าจะการใดๆ เรามีแต่ชื่นชมกับความรู้เหล่านั้น ที่ท่านได้สั่งสมมาไม่ว่าจะทางใด ช่างน่าชื่นชมยินดี ในเคื่องรู้ร้อยรัดของการนั้นๆ เกิด เราก็เห็ ดับ เราก็เห็น ไม่ว่าจะพอใจหรือชิงชัง กับสิ่งที่ขจรเข้ามาทุกขณะ สว่นตัวผมว่า ปัญญาแค่เม็ดทรายเพียงเม็ดเดียวก็บรรณลุธรรมกันได้ ถ้ารู้จริง เพียงแค่รอโอกาศนั้นรอเหตุนั้นจะมาถึงค่อยใช้ไอ้เครื่องร้อยรัดพันผูกนี้และจะเกิดผลที่สมบูรณ์แบบ หรือใครจะใช้ไปซื้อกาแฟโอวัลติน ก็ตามแต่ใจท่าน ... เล่นไห้เป็นให้รู้จักเล่น หรือแบบว่า ใช้เครืองมือไม่ถูกประเภศเช่น เอาฝอยขัดหม้อไปล้างรถ เอาน้ำแข็งไปปิ้งกิน อะไรประมาณนี้ ถ้าถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรละว่าสิ่งนั้นถูก หรือสิ่งนั้นผิด ก็คำตอบเดิมๆอีกนั่นและว่า เรียนรู้ศึกษาปฏิบัตตามเราก็จะลองถูกลองผิดในแบบแผน ตามจริตของเราเอง เพียงแค่สิ่งเดียวกันทั้งนั้น แล้วที่ผมพร่ามมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อ......อยากเปิดให้เปิดจิตเปิดใจให้ากว่าง และมอง สิ่งที่อยู้ร้อบๆตัวเราไห้กว้างขึ้น เพียงแค่ออกจากห้องที่คับแคบที่คิดว่าเป็นของตัวเป็นของตน แล้วความร้อนลุ่มอบอ้าวในห้องเล็กๆนั้น ก็จะไม่ครอบงำเรา และสิ่งที่เรียกว่าห้องแคบๆ หรือ อวิชา ก็จะค่อยๆเบาบางลงจากจิตจากใจของเรา ไม่ว่าจะกระทำการใดใด ไม่มีใครหามท่าน เพราะมันเป็นสิ่งที่ท่านเลือก ท่านเดิน เพื่อแสวงหาผลที่ท่านไขค่องและเรียนรู้มา ไม่ไช่ว่าไห้เกิดความกำหนัดใคร่รู้เพียงแค่สนองกิเลศตันหาของตัวเอง ขอไห้เข้าใจเพราะ มันต่างกันนิดเดียว มองอย่ามองแค่รู้ รู้ไม่พอหลอกต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็แค่ เม็ดทรายเม็ดเดียวจะแย่งกันทำไม่

    สาธุ ขอไห้เจริณในธรรม กันทุกหมู่เหล่า ขอไห้ข้ามพ้นหว่างตันหา แม่แต่เครื่องพันผูก อนุโมทนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...