"วิชาโทรจิต"..และการฝึกฝนจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานต้นกำเนิด

ถูกต้องแล้วครับ...ถ้าเกิดจากจิตสำนึกที่แท้จริงและจิตที่บริสุทธิ์ด้วยแล้ว..ถึงตรงเป้าหมายทั้งผู้ส่งและผู้รับ ไมผิดตัวแน่ครับ..

 

ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)

คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล จัดเสวนา

 

คงได้เคยอ่านข่าว การพบเห็นสัตว์ประหลาด ลึกลับปรากฏตัวที่โน่น ที่นี่กันบ่อยๆ อาทิ "เยติ" มนุษย์หิมะตีนโต "เนสสี" แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์ และ "มนุษย์ต่างดาว" ผู้มาจากนอกโลก ซึ่งผู้ที่พบเห็นจะยืนยันว่า "เห็นจริงๆ ป่าวตาฝาด" แถมบางครั้งยังมีภาพ หรือแม้กระทั่งวีดิโอ เทปที่ถ่ายไว้ได้มาเป็น หลักฐานพยาน ทำให้ ผู้คนพากันเชื่อถือและแห่กันไป (แอบ) ดู "อมนุษย์" ลึกลับเหล่านั้น ทว่า...ก็ยังไม่มีใครได้เห็นจะจะกะตาซักที

กระทั่งมีบุคคลบางคนเกิดสงสัยว่า "เอ... อสุรสัตว์เหล่านี้มีจริงหรือเปล่าหวา" และลงมือสืบสวนดู ในที่สุดก็พบว่า ภาพถ่ายหรือวีดิโอเทป ของอมนุษย์เหล่านั้น แท้ที่จริง...

ล้วนเป็นภาพ "ลวงโลก" เกือบทั้งสิ้น!




ผู้ที่บันทึกภาพของจานบิน ได้มากกว่าใครๆก็คือ นายบิลลี เมียร์ ชาวไร่แห่งสวิตเซอร์แลนด์

หนแรกในวันที่ 18 มิถุนายน 1875 เมียร์ ถ่ายภาพยานบินโลหะกลมแบน ที่ร่อนอยู่เหนือต้นไม้ของเพื่อนบ้าน มันเวียนวนต่ำๆจนต้นไม้ เอนไหวด้วยแรงลม

ถัดมาอีกสองเดือน เขาสามารถจับภาพจานบิน ที่ร่อนอยู่เหนือไฮเวย์ และเห็นรถที่วิ่งอยู่เบื้องล่างได้ชัดเจน

หนที่เจ๋งที่สุดคือ ครั้งที่เจ้ายานลึกลับมาบินเวียนวนอยู่เหนือเนินเขา แล้วก็แวบหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ฉับพลันมันก็ปรากฏขึ้นใหม่ เมียร์มีโอกาสได้ถ่ายภาพของมันทั้งในระยะไกลและซูมเข้ามาใกล้ บางครั้งมันมาร่อนอยู่เหนือศีรษะของเขาพอดี เป็นภาพที่ไม่เคยมีใครถ่ายทำได้ถึงขนาดนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเมียร์โด่งดัง ลือกันว่าเขาสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ และพวกนี้อาจให้ข้อมูลเมียร์เกี่ยว กับการล่มสลายของโลก ผู้ที่กลัวโลกแตกจึงพากันติดต่อ หรือมาหาเมียร์กันมากมาย

แต่เบื้องหลังในเรื่องนี้ ผู้ที่ให้ข้อมูลได้ดีที่สุดก็คือ โปปิ ภรรยาเก่าของเมียร์

"เมื่อฉันเห็นรูปยูเอฟโอ ฉันก็พลันระลึกไปถึงเค้ก วันแต่งงานของเรา ฉันถามตัวเองว่า เคยเห็นส่วนล่างของเจ้ายานนี้ที่ไหนหนอ แล้วฉันก็คิดออกทันทีว่ามันคือ ฝาถังขยะของฉันนั่นเอง ฉันลองเปรียบเทียบลักษณะ ของฝาถังขยะกับไอ้ ยานนั่น...มันเหมือนกันเด๊ะทีเดียว"

โปปิยังสาธยายอีกว่า สามีของหล่อนนั้น ถนัดในการสร้างหุ่นจำลองต่างๆจากวัตถุที่หาได้ในบ้าน ดังนั้นจึงไม่ยากที่เขาจะสร้างยาน อวกาศขึ้นมาสักลำแล้วก็ใช้เทคนิคถ่ายทำ...

จนปรากฏเป็นภาพที่หลอกลวงผู้คนได้ทั้งโลก!

 

แนะนำคนข้างบนให้ไปอ่าน "จุไรท่องดวงดาว" นะครับ

 

คุณbassate สามารถฝึกจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้แล้วหรอค่ะ อยากทราบว่าปฏิบัติยังไงบ้างค่ะ คุณbassate ทำตามคำแนะนำที่คุณmead บอกมารึป่าวค่ะ แล้วเมื่อฝึกได้แล้วมีผลอย่างไรกับจิตบ้าง ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้รึป่าวค่ะ อยากฝึกบ้างจัง แต่ก็ยังไม่เข้าใจถึงการทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลเราจะกำหนดจิตอย่างไรหรือค่ะ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ

 

คุณ UFO ลองpmไปถามดูนะครับ..
ขออนุญาตินิดนะครับคุณ Bassate (เขาไม่ให้อยากให้พูดน่ะครับ..เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องอวดอุตริครับ..แต่ผมรับรองให้นะครับ..)

คือมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ครับ..คุณ Bassate เองบอกผมว่าได้สัมผัสได้เป็นบางครั้งครับเมื่อจิตนิ่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ได้รับข้อมูลตรงเห็นสิ่งที่อยากรู้ด้วยหลายๆเรื่อง เรื่องแอตแลนตีส อียิปต์ มนุษย์ต่างดาว เรื่องภพชาติของตัวเอง มาเป็นภาพ บางทีก็เป็นเสียงจากข้างบนโดยตรงครับ..ท่านบอกให้เน้นการฝึกพลังจักรวาลครับ..อาจเป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ
ส่วนวิธีการเดี๋ยวผมจะลองตามเขามาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ..

 

เสียดายไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้วัดมากกว่านี้ ตอนนี้ก็อยู่ม.6ค่ะ สนใจเรื่องพวกนี้มาสองปีแล้ว อยากไปถือศีลแปดที่วัดก็ไม่มีโอกาส(เคยไปกับโรงเรียนครั้งนึงรู้สึกชอบมากๆอยากไปอีก)เพราะไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสหยิบยื่นมาให้ จะฝึกแค่นั่งสมาธิธรรมดาที่บ้านก็กลัวๆกล้าๆ เพราะเคยได้ยินมาว่า บ้างคนถึงกับเสียจริตไป บ้างคนว่าเห็นเปรตมาขอส่วนบุญบ้าง เลยรู้สึกกลัวไม่กล้านั้งนานๆ แล้วคุณmead ได้ฝึกสมาธิอยู่รึป่าวค่ะ เรื่องแบบนี้ก็คุยกับเพื่อนมากๆก็ไม่ได้ เดี๋ยวเค้าจะว่าเราคิดอะไรที่มันไม่ควรจะคิด จะบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ไร้สาระอะไรเลย มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเก็บเข้ามาใส่ตัวด้วยซ้ำ แต่เด็กสมัยนี้มีน้อยนักที่จะสนใจเรื่องแบบนี้ มีแต่ผู้ใหญ่แถวๆบ้านที่มีอายุบางท่านก็เคยปฏิบัติสมะถะ หรือวิปัสนากรรมฐานมาบ้าง หนูก็คอยสอบถามเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เน้นในเรื่องของพลังจิตเท่าไหร่ แค่นั่งเพื่อให้จิตสงบ เข้าถึงญาณบ้างในบางครั้ง มีอาจารย์ที่สอนพระพุทธศาสนาที่โรงเรียนท่านหนึ่ง เคยไปฝึกนั่งวิปัสสนาที่วัด มีพระท่านคอยสอนและสอบถามอารามณ์ ต้องไปฝึกเป็นเดือนๆแนะ แล้วหนูจะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกหละเนี้ย เขียนมาตั้งนาน ก็อยากจะถามว่า หนูเหมาะที่จะฝึกการนั่งกรรมฐานมั้ยค่ะ แล้วถ้าให้ดีจะไปฝึกที่ไหน ถ้าจะนั่งเองที่บ้านได้มั้ยค่ะ ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แล้วถ้านั่งแล้วจะเห็นอะไรแปลกๆรึป่าว แล้วถ้าเห็นจะทำยังไง เคยอ่านเจอในเว็บพลังจิตนี้หละค่ะ ที่เค้าบอกว่า ให้พูดโอมพระนารายณ์แล้วไล่ผีได้ เหอๆรู้สึกว่าตอนนี้จะมาไกลแล้ว ช่วยตอบคำถามให้ด้วยน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์จะต้องชดใช้กรรม

 

จะลองฝีกดูนะเผื่อติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้

 

เยี่ยมมากเลยครับ

 

อ่าวว..รินดันไปโพสกระทู้ ซ้ำ พี่มี๊ด อีก แหะๆๆ โทษทีค่ะ
หนูมองไม่เห็น ไปอ่านเจอมาเลยเอามาโพส..รู้งี้ไม่โพสอ่ะ ถ้าเห็นกระทู้นี้ก่อน.. ขออภัยฮับ..

 

ดีแล้วครับคุณริน เอาเรื่องดีๆมีสาระมาโพส เดี๋ยวว่างๆจะโพสเรื่องโทรจิตเพิ่มอีกครับ..คอยอ่านกันครับ เรื่องประสบการณ์การติดต่อกับพลังงานต้นกำเนิดชื่อ Abrahum ครับ ผู้ได้รับสื่อเป็นหญิงชาวสเปญ ที่ใช้เวลาฝึกฝนราว 9 เดือนเพื่อเข้าถึงพลังงานแห่งต้นกำเนิดครับ

 

ตามมาอ่านข้อความคุณ bassate
ว่างๆก็มาโพสบ้างนะครับ กับสาระความรู้จากประสบการณ์ทางจิตนะครับ

เรื่องนี้โดยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ยากเกินไปครับ อาศัยการเปลี่ยนแปลงความคิด ไปในทิศทางใหม่ แต่เราเข้าถึงกันไม่ได้ เพราะเราไม่ได้จูนตัวเองให้เข้ากับพลังแห่งธรรมชาติต้นกำเนิด บางทีก็ท้อ และไม่พยายามมากกว่า เราอยู่ในมิติของระยะทางและเวลาพรางเอาไว้ พลังงานที่ว่านั้นอยู่รอบๆตัวเรา และมีอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง

วิธีง่ายๆก็คือ
A กำหนดจิตส่งขั้นไปหาคำตอบ
B ได้รับคำตอบ ตามกฎของการดึงดูด
C การปรับจิตใจ เพื่อเข้าหาพลังงานนั้น

ฟังดูง่ายๆเพราะเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติสุดๆ
แต่ส่วนใหญ่จะติดตรงขั้นตอนที่สามกันครับ
ทั้งๆที่คำตอบวิ่งมาหาแล้ว แต่เรากลับรับไม่ได้...

ไว้จะมาขยายความครับ คุณ Bassate มาช่วยด้วยกันครับ
หรือใครที่เข้าใจหลักการเหล่านี้ก็มาช่วยกันแนะนำด้วยครับ
ผมก็ยังฝึกฝนตัวเองกันอยู่ครับ เพียงแต่ต้องเข้าใจหลักการด้วยนะครับ
มาช่วยกันครับ จะได้เป็นแรงขับเคลื่อนในการฝึก ดีไหมครับ?

(verygood)(verygood)(verygood)

 

...............
ขออนุญาต น่ะครับ

( จากข้อความที่คุณ บัวบูชา )

วันแห่งการล่มสลาย ที่อยู่ดีๆ น้ำแข็งในทะเลอันสวยงามก็ละลายอย่างรวดเร็ว กษัตริย์แห่งแอตแลนติสยุคนั้น จมลงในทะเลย่างช้าๆ ชูมือร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะทุกคนก็ดิ้นรนตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือเต็มไปหมด ก่อนจบชีวิตไปอย่างน่าเศร้า......ทำให้นึกถึงน้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังละลายในขณะนี้....มันกำลังย้อนอดีตแล้ว ไม่อยากให้วันอย่างนั้นมาถึงอีก จะมีเวลาเหลืออีกนานเท่าไร....คุณ MEAD ผู้มีบารมีช่วยหยุดมันได้ไหม.....อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก.
.........................

สัณญาญ เก่า ที่ยังตรึงในดวงจิต ทั้งความคิดตอกย้ำซ้ำเสมอ มีวิธีไหน เล่าที่ท่านจะเฝ้า วันเพลา เนื่อนนานนับพัน ล้านปี ขอให้มีผู้ มีจิต ผูกพัน พลัง เบื้องฟ้า ทยานสู่ ใต้พิภพ นำสู่พลังธรรม หยุดยั้งภัยเฉกเช่นนี้ หนอ.....

 

ครับคุณนาคา สัญญาณเตือนจากธรรมชาติคล้ายบอกเป็นนัยๆครับ
ในรอบ 2000 กว่าปี ยังไม่เคยมีเหตุจากภัยธรรมชาติที่มากมายและรุนแรงขนาดนี้

ก็หวังเข่นนั้นครับ สาธุขอผู้มีบารมี พลังจากฟ้าเมตตาให้ภัยจากที่มันจะหนักให้เป็นเบาลงครับ แต่คงหยุดไม่ได้แล้วครับ มันจะหยุดต่อเมื่อถึงมัน Peak รุนแรงสูงสุดแล้ว มันจะสงบลงเองครับ ถึงเวลานั้นโลกของเราใบนี้ ต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอนครับ

 

นำเสนอต่อครับ

เกี่ยวกับการวางจิตเราให้อยู่ในแนวเดียวกับ"พลังงานต้นกำเนิด" เพื่อการเชื่อมต่อกับพลังงานสากลในจักรวาล
(เนื้อหานี้มาจากหญิงผู้หนึ่งที่ติดต่อกับพลังงานต้นกำเนิดได้แล้ว จากการฝึกสมาธิโดยใช้เวลา 9 เดือน ผมจะดัดแปลงเล็กน้อยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ)

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจเรื่องธรรมชาติของความเป็นมนุษย์เสียก่อนครับ
เราทุกคนคือตัวตนที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งแผ่ขยายออกมาจากพลังงานต้นกำเนิด มาสู่โลกที่สมบูรณ์แบบ ที่แผ่ขยายออกไปในจักรวาลที่สมบูรณแบบซึ่งแผ่ขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด

*เราคือส่วนที่แผ่ขยายทางรูปกายของ "พลังงานจากต้นกำเนิด"

*สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ของโลก มีไว้ให้เราได้สร้างสรรค์

*ความหลากหลายบนโลกที่มีอยู่จะช่วยให้เราเพ่งความสนใจไปยังสิ่งทีปรารถนาหรือความชอบ

*เวลาที่มีการเพ่งความสนใจ ไปยังความปรารถนาสักอย่าง พลังชีวิตในการสร้างสรรค์ (Creative Life Force) ที่รวบรวมมาก็จะเริ่มหลั่งไหลไปสู่จุดที่คุณปรารถนาในทันที - แล้วจักรวาลก็จะแผ่ขยายออกไป (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีตามกฎธรรมชาติ)

*การตระหนักถึงการสร้างอย่างมีสติรู้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่ากับการทำให้มันดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง

*ทุกๆความปรารถนา และทุกๆความชอบ ไม่ว่ามันจะดูเล็กหรือใหญ่ในสายตาเรา ต่างก็เป็นที่เข้าใจ และได้รับการขานตอบจาก"สรรพสิ่งที่มีอยู่"ทั้งสิ้น

*เมื่อทุกๆความปราถนาจากผู้ที่ตระหนักรู้ทุกคนได้รับการขานตอบ จักรวาลก็จะแผ่ขยาย

*เมื่อจักรวาลแผ่ขยาย ความหลากหลายก็จะแผ่ขยายไปด้วย

*เมื่อความหลากหลายแผ่ขยายออกไป ประสบการณ์ของเราก็จะแผ่ขยายออกไปด้วย

*แต่ละครั้งที่เราร้องขออะไรก็ตาม การได้มาซึ่งสิ่งที่เราร้องขอ เราก็จะบรรลุถึงมุมมองใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งเราก็จะร้องขออีกตามธรรมชาติ

*ฉะนั้น การแผ่ขยายของจักรวาลและการแผ่ขยายของตัวเราจึงเป็นไปตามกฎเหล่านี้เสมอ

- เราอยู่ในจักรวาลที่มีการแผ่ขยาย
- เราอยู่ในโลกที่เป็นรูปธรรม ซึ่งมีการแผ่ขยาย
- เราคือตัวตนที่มีการแผ่ขยาย


และทั้งหมดนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่ว่าเราจะเข้าใจมันอย่างมีสติรับรู้หรือไม่ก็ตาม จักรวาลนี้จะแผ่ขยายไปตลอดกาล ตัวเราก็เช่นกัน

*จงมีส่วนร่วมในการแผ่ขยายอันงดงามของตัวคุณเองอย่างมีสติรับรู้*

 

การกำหนดทิศทางความคิด (ความคิดคือตัวชี้นำ)
มันไม่ใช่เรื่องของการควบคุมความคิด
แต่เป็นเรื่องของการกำหนดทิศทางความคิดต่างหาก

อารมณ์ของเราไม่ได้ทำหน้าที่สร้าง แต่มันจะบ่งบอกว่าคุณกำลัง"ดึงดูด"อะไรเข้ามาในขณะนั้น
จงเติมพลังความเชื่อมโยงของเราให้เต็มขึ้นมาใหม่ ด้วยการเลือกคิดในสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

เรามีระบบชี้นำ ที่ติดตั้งอยู่ในตัวและเข้าใจง่ายๆอยู่แล้ว
ความรู้สึกของคุณ คือตัวแทนของระบบชี้นำของคุณ

พูดอีกอย่างก็คือ ความรู้สึกของคุณเป็นตัวบ่งชี้ที่แท้จริงว่า คุณอยู่แนวเดียวกับ "พลังงานต้นกำเนิด" หรือเปล่า

อารมณ์เป็นตัวบ่งชี้ ถึงการปรับแนวระหว่างคุณกับพลังงานจากต้นกำเนิด

 

คุณเป็นทั้งตัวส่ง และตัวรับที่มีการสั่นสะเทือน

คุณคือตัวส่งการสั่นสะเทือน (Vibrational Being) แล้วคุณก็กระจายสัญญาณของตัวเองออกไปในทุกๆ เวลานาทีที่คุณดำรงอยู่ด้วย

ขณะที่คุณเพ่งความสนใจ คุณจะส่งสัญญาณที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันจะถูกรับไป ผ่านการทำความเข้าใจ และขานตอบกลับมาในทันที

สถานการณ์รอบตัวเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน เพื่อตอบสองสัญญาณที่คุณปล่อยออกไป ดังนั้น ในตอนนี้จักรวาลจึงได้รับผลกระทบจากทุกสิ่งที่คุณปล่อยออกไปด้วย

ความสนใจที่คุณมีต่อมันนี่แหละที่จะเชื้อเชิญมันเข้ามาทุกสิ่ง

 

คุณคือตัวตนที่มีการสั่นสะเทือน อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือน

เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองเสมอว่า เรายอมให้มีการเชื่อมโยงอย่างเต็มที่ระหว่าง พลังงานต้นกำเนิด หรือเปล่า?

ยิ่งคุณรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยอมให้มีการเชื่อมโยงมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณรู้สึกแย่ลงเท่าไหร่ คุณก็จะยอมให้มีการเชื่อมโยงน้อยลงเท่านั้น

ความรู้สึกที่ดีๆ เท่ากับคุณ ยอมให้มีการเชื่อมโยง ในขณะที่
ความรู้สึกไม่ดี เท่ากับคุณ ต่อต้านการเชื่อมโยง กับ "ต้นกำเนิด" ของคุณนั่นเอง

การให้ความสนใจกับความรู้สึกของตัวเอง จะทำให้เราเติมเต็มเหตุผลที่ตัวเองอยู่ ณ จุดนี้ได้ชัดเจนขึ้น และทำการแผ่ขยายตามที่ตั้งใจต่อไปอย่างเปี่ยมไปด้วยความสุขดังที่มุ่งหมายไว้ และยังจะเข้าใจถึง ตัวตน อื่นๆที่มีชีวิต ซึ่งเรามีปฎิสัมพันธ์ด้วย

และคุณจะไม่มีคำถามเกี่ยวกับโลกของตัวเองโดยไม่ได้รับคำตอบอีกเลย แล้วคุณก็จะเข้าใจ...ในระดับที่ลึกซึ้งมากๆ จากมุมมอง "อันไร้รูป" ที่กว้างขึ้น..และจากประสบการณ์ส่วนตัวในทางรูปธรรมของคุณ..ถึงทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับว่า คุณเป็นใคร? ทั้งในตอนนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา และที่กำลังจะเป็น

*จงไข่วคว้าความคิดที่ดี ที่ให้ความรู้สึกที่ดีที่สุด เท่าที่คุณจะเข้าถึงได้*