ทำกรรมดีแบบไหน...จึงทำให้เป็นผู้มีรูปงามแบบต่างๆ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย cawaii_mj, 23 มีนาคม 2011.

แท็ก: แก้ไข
  1. cawaii_mj

    cawaii_mj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +856
    นิยามของความงาม

    คนเราเห็นความงามต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องตกลงกันให้ดีว่าความสวยคืออะไร ความงามคืออะไร จะได้ไม่ต้องพูดในเชิงปรัชญา เช่นความงามเป็นสิ่งลี้ลับ ความงามเป็นสิ่งฉายให้เห็นเฉพาะคน หรือความงามของที่ฉายออกมาจากจิตใจภายใน ฯลฯ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    ต่อไปนี้เมื่อพูดถึงความสวยหรือความงาม ขอให้เข้าใจว่าเราพูดจำเพาะถึงความงามในรูปร่างหน้าตาของมนุษย์<O:p></O:p>
    ความสวยงามของมนุษย์คือลักษณะที่ตาคนส่วนใหญ่เห็นแล้วเกิดความยินดี เกิดความสุข เกิดความพึงพอใจ ตลอดจนกระทั่งเกิดความติดใจใหลหลง แน่นอนว่ามีตาของคนส่วนน้อยที่อาจเห็นแย้ง มองแล้ววิจารณ์ว่าไม่เห็นสวยเลย หรือถากถางว่าอย่างนี้เหรอหล่อ? นั่นอาจเป็นอคติหรือพื้นหลังเฉพาะตัวของแต่ละคน เครื่องชี้ที่ชัดคือเจ้าตัวผู้มีรูปร่างหน้าตาเป็นสมบัติเอง ส่วนใหญ่ไปไหนต่อไหนได้รับความชื่นชม ทำให้ปลื้มเปรมกับสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิดหรือไม่<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สำหรับเราเอง เมื่อเรารู้สึกดีกับการปรากฏตัวในแต่ละครั้ง จะเหมือนมีรัศมีแห่งความเชื่อมั่นฉายออกไปพร้อมกับพลังกระทบด้านดี ซึ่งถ้าดีจริงอย่างที่เรารู้สึก อย่างน้อยก็จะพลอยทำให้คนอื่นรู้สึกดีตามไปด้วย<O:p></O:p>
    สำหรับสายตาคนอื่น ผู้มีรูปงามชนิดแลตะลึง หรือที่เรียกว่า สวยจัด กับ หล่อจัด นั้น เป็นบุคคลประเภทที่ปลุกเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายใจ ความสวยหล่อจัดๆสามารถกระตุ้นให้เกิดความคิดหลากหลาย หรืออาจเรียกได้ว่ารบกวนให้คนเห็นกระวนกระวายใจผิดปกติ เพราะในหัวเกิดถ้อยคำพิเศษที่ไม่ค่อยปรากฏนักในการเห็นบุคคลทั่วไป เมื่อคนเราไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาเป็นคำพูดได้ถนัด ก็มักนึกถึงคำหรูๆเกินจริงเช่น ความงามที่เหมือนเวทมนต์ หรือ หยาดฟ้ามาดิน เป็นต้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แม้ในความงามแลตะลึงอาจมีความต่าง คือสวยหล่อแต่หน้า รูปร่างเอวองค์ไม่สมส่วน บางคนเตี้ยม่อต้อ บางคนสูงชะลูด บางคนผิวหยาบไม่น่ามอง บางคนโครงกระดูกมีจุดปูดโปนประหลาดๆ บางคนมีรายละเอียดใต้ร่มผ้าน่ารังเกียจ ฯลฯ หาได้น้อยที่สวยหล่อพรั่งพร้อมไปทั้งสรรพางค์กายสมคำว่า สวรรค์เสก<O:p></O:p>
    ความจริงสวรรค์ไม่ได้ทำอะไรกับความมีรูปงามของมนุษย์ แต่ความมีรูปงามของมนุษย์ทำให้คนเรานึกถึงสวรรค์ต่างหาก นั่นแหละคือคุณของความงาม ช่วยปรุงแต่งให้ผู้พบเห็น หรือแม้แต่ผู้ครอบครองความงามเองได้รู้สึกชื่นชมยินดี และเหนี่ยวนำให้เลื่อมใสไปในทางมีจิตคิดเป็นกุศล<O:p></O:p>
    น่าเสียดายในปัจจุบันคนสวยหล่อทั้งหลายเอาเครื่องหน้าและรูปร่างของตนไปเป็นสินค้าทางเพศกันมาก ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกที่เพี้ยนไป คือเห็นความสวยหล่อมีไว้ขาย มีไว้ทำเงิน มีไว้หาประโยชน์ ไม่ได้มีเอาไว้จูงใจให้เกิดความเลื่อมใสว่าบุญมีจริง สวรรค์มีจริงเหมือนในสมัยโบราณเขามองกัน<O:p></O:p>
    สรุปคือสำหรับคนราคะจัดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ความสวยอาจเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้กระตุ้นความกำหนัด สำหรับศิลปินผู้มีความละเอียดอ่อนในหัวใจ ความสวยสามารถเป็นเครื่องปลุกเร้าจินตนาการสร้างสรรค์ให้บรรเจิดจ้า และสำหรับผู้แสวงบุญ ความสวยเป็นร่องรอยหลักฐานยืนยันว่าผลบุญมีจริงและทำให้มนุษย์ต่างกันได้เพียงใด!<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กรรมหลักที่ตกแต่งให้รูปงาม

    หลักง่ายๆคือคนตามใจกิเลสจะมีรูปทราม ส่วนคนงามจะงามเพราะสละกิเลส กรรมที่ตกแต่งให้รูปงามนั้น เป็นกรรมประเภทที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความผ่องใส มีความขาวสะอาดสว่างรอบปราศจากมลทิน และกิริยาที่จะก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าว ก็ไม่พ้นเรื่องของการสละความตระหนี่ และการรักษาความตั้งใจไม่เกลือกกลั้วกับความชั่ว โดยตีกรอบความประพฤติทางกายและวาจาให้อยู่ในศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาการทางใจและวิธีคิดต่างๆประกอบอยู่ด้วย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑) ทำทานด้วยศรัทธา<O:p></O:p>
    ขอให้ดูเถิด คนส่วนใหญ่แม้ชอบทำทาน ก็มักทำทานด้วยจิตที่แห้งแล้ง ทำแล้วก็ถือว่าแล้วกัน น้อยคนนักจะทราบว่าแม้อาการทางใจในขณะทำทานก็มีผลใหญ่หลวงกับรูปร่างหน้าตาได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส ผิวพรรณงามยิ่ง<O:p></O:p>
    การทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกสวยแพรวออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน แม้รูปร่างหน้าตาในชาตินี้จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสวยแพรวที่ออกมาจากภายในนั้น จะดึงดูดให้คนพบเห็นเกิดความทึ่งกว่าเดิม และหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมไม่สวยไม่หล่อจึงน่ามองขนาดนั้น<O:p></O:p>
    และผลของการทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ จะทำให้ชาติต่อไปมีใบหน้างดงามชนิดที่ชวนเลื่อมใส ข้อนี้คนของศาสนาที่ปลูกฝังเรื่องศรัทธาเป็นหลักจะได้เปรียบ เพราะเมื่อเกิดการประชุมทำพิธีทางศาสนาแล้วมักเหนี่ยวนำกันให้เกิดจิตศรัทธา เปี่ยมปีติสุขเป็นล้นพ้นกับการคิดให้ คิดเจือจาน คิดเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งโลก<O:p></O:p>
    หลายคนคงสงสัยว่าอย่างไรจึงเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแล้ว อันนี้ใช้เกณฑ์ง่ายๆคือเมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วมีใจนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากภายใน เป็นยิ้มอันบันดาลจากความสุขความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ส่วนการฝืนยิ้มไปแกนๆ แต่จิตไม่เป็นสุขนั้นไม่นับ<O:p></O:p>
    สภาพแวดล้อมในการทำบุญมีส่วนก่อให้เกิดศรัทธาหรือเสื่อมศรัทธาได้มาก แต่หากเราเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในบุญอยู่อย่างหนักแน่น เชื่อมั่นว่าบุญมีที่ใจ ผลบุญเช่นความสุขความสว่างไสวก็เกิดทันทีที่ใจ เช่นนี้แม้สภาพแวดล้อมหรือบุคคลอันเป็นผู้รับจะไม่ดีนัก ใจเราก็คงไม่เสื่อมศรัทธาลงสักเท่าใด<O:p></O:p>
    หากให้ทานไปแกนๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาติปัจจุบันแม้ทำทานมากก็ไม่ค่อยอิ่มใจ ไม่ค่อยรู้สึกอบอุ่นอยู่กับตัวเองนัก และชาติถัดไปถึงแม้มีรูปร่างหน้าตาดีก็ไม่ถึงกับดึงดูดให้รู้สึกเลื่อมใสในความงามนั้นๆสักเท่าใด<O:p></O:p>
    หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่นแก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่คิดรวมทานกับใคร เช่นมาถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนอื่น แต่จะแยกเป็นต่างหากต้องให้พระสวดสองที แบบนี้ชาติปัจจุบันแม้โครงหน้าสวยหล่ออยู่ก่อน เห็นแล้วก็ไม่ชวนให้รู้สึกปลื้ม และชาติหน้ากรรมจะตกแต่งให้หน้าตาออกไปในทางเค็มเสียมาก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒) รักษาศีลได้สะอาดครบ<O:p></O:p>
    ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้<O:p></O:p>
    ๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็น<O:p></O:p>
    ๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วเชื่อถือ<O:p></O:p>
    ๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วอยากเป็นคู่ด้วย<O:p></O:p>
    ๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู<O:p></O:p>
    ๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี เห็นแล้วเชื่อว่าไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวายจะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย
    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง
    หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี
    และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่นขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง
    <O:p></O:p>
    ๓) อาการทางใจและวิธีคิด<O:p></O:p>
    บางคนแม้ทำทานและรักษาศีลมาดีในแบบที่จะทำให้สวยหล่อ แต่เป็นผู้ที่ฉุนเฉียวง่าย เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆมาคิดมากใหญ่โต อย่างนี้ก็มีผลกับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไปได้มาก ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะมีความข้องติดอยู่ในกรรมเช่นนั้นแม้ตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆในภายหลังก็จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม
    <O:p></O:p>
    พูดง่ายๆคือ แม้ให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธาได้เพียงใด แต่ถ้าใจไม่รู้จักให้อภัยเป็นทานเลย ก็ได้ชื่อว่าสร้างส่วนแห่งความเป็นผู้มีรูปทรามเอาไว้<O:p></O:p>
    สมมุติว่าเราเป็นผู้ให้ทานด้วยศรัทธายิ่งไปตลอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉุนเฉียวง่ายไม่รู้จักระงับอารมณ์เลยจนวันตายเช่นกัน อย่างนี้กรรมอาจปรุงแต่งให้มองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเหมือนสวยหล่อ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับดูไม่ได้เอาเลย และผิวพรรณแทนที่จะเลอเลิศจากผลของทาน ก็กลายเป็นแค่ธรรมดาๆ ไม่ถึงกับน่าดู ไม่ถึงกับน่าเกลียดไปหรือไม่บางส่วนของเนื้อหนังดูเหมือนงามละเอียด แต่บางส่วนกลับหยาบกระด้าง ครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์เสมอกันทั่ว<O:p></O:p>
    ขณะโกรธ ขณะยอมถูกโทสะควบคุมจิตใจ เราจะไม่มีมุมมองอื่นนอกเหนือไปจากความคิดเขม่นเข่นเขี้ยวอยากจองล้างจองผลาญ แต่เมื่อรู้ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะแล้วเช่นนี้ ก็อาจฝึกมองไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะเสียเวลา เสียรูปในอนาคตให้กับความโกรธเปล่าๆปลี้ๆไปทำไม อย่างไรคู่อริของเราก็ต้องตายจากกันไปเสวยวิบากของแต่ละคน<O:p></O:p>
    เพียงเห็นในขณะที่โกรธเป็นขณะแห่งความสูญเปล่า เท่ากับเอาเวลาที่ควรจะทำให้อะไรดีขึ้นสักนิดไปทิ้งเสียอีกนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่ง หากเราเห็นทุกวินาทีในโลกนี้มีค่ายิ่งกว่าทอง ก็จะปรับทัศนะได้ใหม่ เห็นว่ายิ่งเสียเวลากับสิ่งไร้ประโยชน์น้อยลงเพียงใด ก็เท่ากับมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะเป็นทาสกิเลสผู้น่าสงสาร ที่มัวหลงเสียเวลาในชีวิตไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งไร้สาระโดยแท้<O:p></O:p>
    ถ้าหากประกอบพร้อมทั้งการให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธา และการให้อภัยเป็นทานด้วยใจจริง อย่างนี้ความสมบูรณ์พร้อมในเรือนกายย่อมเป็นที่หวังได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    และบางคนแม้ทำทานรักษาศีลดี มีจิตใจเบิกบานเป็นนิตย์ แต่ก็แอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เช่นเจอใครก็จ้องจับผิดอยู่เงียบๆ นึกด่าเขาอยู่เงียบๆ หรือกระทั่งชอบสาปแช่งอยู่เงียบๆ เพราะคิดว่าคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จิตมีความโสมนัสอยู่กับความคิดร้ายๆภายในใจ ก็มีผลให้รูปร่างหน้าตาเสียความสมบูรณ์แบบ ลดหลั่นกันไปตามฐานะแห่งกรรม<O:p></O:p>
    วิธีคิดของคนนั้น เป็นมโนกรรมสำคัญที่จำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆอย่างแท้จริง เพราะเป็นของที่ตนรู้อยู่กับตัว และเป็นของที่ติดตัว ติดจิตติดวิญญาณเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงเป็นใจกลางแห่งความปรุงแต่งรูปร่างหน้าตา ถ้าความคิดมีมลทิน แม้สวยหรือหล่อจากทานและศีลก็เหมือนภาพงามที่มีรอยด่างหรือจุดตำหนิ<O:p></O:p>
    กล่าวได้เต็มปากว่าวิธีคิดนั่นเอง ทำให้ความสวยหล่อไม่ได้มีแบบเดียว ถอดพิมพ์กันเป๊ะๆไม่ได้ และรูปร่างหน้าตานั้น จะไม่ผิดแผกแตกต่างจากที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มากนักก็เพราะการสืบสายของวิธีคิดนี่เอง หากสามารถยกระดับวิธีคิดได้มาก หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปมากแบบแปรผันตรง
    <O:p></O:p>
    สรุปว่ากรรมหลักๆที่ทำให้สวยหล่อบาดตาบาดใจกันจริงๆ หรือมีรูปงามเกินใจใครต้านทานนั้น มาจากการเป็นคนที่หมั่นทำทานด้วยศรัทธา มีศีลสะอาดบริสุทธิ์หมดจด และมีอาการทางใจกับวิธีคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอๆ คือไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่คิดอกุศลหรือติดใจความคิดอัปมงคลจนปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องต่ำๆ<O:p></O:p>
    ผู้ทำกรรมในแบบที่จะส่งผลเป็นความสวยหล่อถึงขีดสุดดังกล่าวนี้ จะมีความงามออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในความเป็นมนุษย์ชาติถัดไป ก็จะเป็นผู้งามวัย วัยเด็กก็น่ารักแบบเด็ก วัยหนุ่มสาวก็หล่อสวยแบบหนุ่มสาวตามค่านิยมของยุคนั้นๆ และถ้าล่วงเข้าวัยชราก็ยังชวนพิศแบบผู้สูงอายุที่ดูไม่จืดตา<O:p></O:p>
    การผสมกันระหว่างกรรมประเภทต่างๆที่ก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตานั้น ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งระหว่างทานและศีลเป็นผู้ขึ้นรูป ทุกอย่างผสมกันเบ็ดเสร็จแล้วออกมาเป็นหน้าตาหนึ่งๆเลยทีเดียว แต่รูปทรงอาจถูกกำหนดจากน้ำหนักของทานหรือศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถ้าเคยเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางทำทานด้วยศรัทธามากกว่ารักษาศีลให้สะอาดหมดจด ชาตินี้จะดูรูปงามชวนชมเมื่อมองผาด แต่พอมองพิศแล้วเห็นความไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ หรือกระทั่งจุดลับต่างๆไม่น่าพิสมัยนัก<O:p></O:p>
    ส่วนบางคนเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางรักษาศีลพอประมาณมากกว่าทำทานด้วยศรัทธา หรือบางทีไม่ค่อยได้ทำทานเอาเลย ชาตินี้จะดูสมส่วน เครื่องหน้าทุกชิ้น อวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายดูเข้ารูปรับกันไปหมด แต่กลับสวยหล่อแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาสะดุดตานัก<O:p></O:p>
    และขอให้เข้าใจด้วยว่าสภาพจิตในชาติอันเป็นปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญยิ่ง บางคนรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับขาดเสน่ห์ เพราะปล่อยตัวปล่อยใจให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือหดหู่ทอดอาลัยตายอยาก จมอยู่กับความเศร้าชั่วนาตาปี อย่างนี้ก็ขาดความชวนชมได้เหมือนกัน เพราะแม้ตาคนเขาจะเห็นรูปโฉมดีๆภายนอก แต่ใจเขาก็จะรู้สึกแย่กับกระแสความหดหู่หรือคลื่นความปั่นป่วนในภายในจนอยากเมินมากกว่าอยากพิศให้นาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กรรมที่ตกแต่งอวัยวะเป็นต่างๆ

    ที่ผ่านมาในบทนี้จะกล่าวเพียงรูปลักษณะคร่าวๆว่าสวย หล่อ รูปร่างดี ฯลฯ แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเฉพาะเป็นจุดๆว่าอวัยวะแต่ละส่วนนั้น งาม อย่างไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งามเพราะอะไร?<O:p></O:p>
    รายละเอียดความแตกต่างระหว่างรูปพรรณสัณฐานของอวัยวะทั้งหลายนั้น เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รู้แน่ๆล่ะว่าต่าง แต่ไม่ทราบว่าต่างเพราะอะไร โดยทั่วไปจึงโยนให้กับความบังเอิญทางธรรมชาติ และกลายเป็นที่มาของคำว่า โชคดี และโชคร้าย คือใครโชคดีหน้าตาสวยหล่อก็เท่ากับมีใบเบิกทางดีๆให้ชีวิต ใครหน้าตาขี้เหร่แล้วไม่ขยันสร้างเสน่ห์ในทางอื่นก็ต้องใช้ชีวิตอับเฉากันไป ส่วนใหญ่มองเรื่องรูปร่างหน้าตากันเพียงในขอบเขตประมาณนี้<O:p></O:p>
    แต่จะมีคนอยู่พวกหนึ่งที่ศึกษาความต่างระหว่างรูปพรรณสัณฐานทั่วองคาพยพของมนุษย์ และค้นพบว่าร่างกายมนุษย์หาได้แสดงความงามหรืออัปลักษณ์กระทบตาคนเห็นอย่างเดียว ทว่ายังมีรายละเอียดน่าสนใจกว่านั้น บอกอะไรได้ยิ่งกว่านั้น อย่างพวกที่ศึกษาศาสตร์เกี่ยวกับโหงวเฮ้งจะพอทราบจากสถิติว่าชีวิตใครเป็นอย่างไรจากภาพรวมและภาพย่อยที่ปรากฏให้เห็นในกายแต่ละคน<O:p></O:p>
    ยกตัวอย่างเช่นความยากจนนั้นคล้ายบอกได้ด้วยสัญลักษณ์ทางกายหลายๆจุด ซึ่งบางทีจุดเดียวก็บอกได้แล้วว่าพ่อคนนี้หรือแม่คนนี้ต้องยากจนและรวยยากแน่ๆ แต่บางทีต้องอาศัยอวัยวะมากกว่าหนึ่งจุดขึ้นไปเป็นตัวตัดสิน ขอยกเครื่องหมายของความเป็นคนยากจนข้นแค้นมาพอสังเขปดังนี้<O:p></O:p>
    ๑) ส่วนหัวสอบแหลม<O:p></O:p>
    ๒) หัวเล็กประกอบกับคอยาว<O:p></O:p>
    ๓) คนหน้าอ้วนประกอบกับตัวเล็ก หรือคนหน้าเล็กประกอบกับตัวหยาบ<O:p></O:p>
    ๔) หูบาง<O:p></O:p>
    ๕) ตาเหมือนคนง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา<O:p></O:p>
    ๖) คอเอียง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความจริงยังมีลักษณะอื่นๆอีกมาก เช่นหลายครั้งเราบอกได้จากการมองเพียงปราดเดียวว่าคนนี้ไม่ค่อยมีอันจะกินแน่ เพราะท่าทางผอมแห้งแรงน้อย แห้งเหี่ยวไม่มีชีวิตชีวา<O:p></O:p>
    แต่หลายคนดูยาก บางคนดูน่าจะรวยแต่สืบไปสืบมาไม่เคยมีสตางค์ใช้สบายๆเลยทั้งชีวิต ต้องทำอาชีพที่ใช้แรงกายเหนื่อยยากลำบากเป็นหลัก หรือหลายคนไม่ได้มีเครื่องหมายของความยากจนเด่นชัดนัก เรียกว่าพอมีพอกินได้ หรืออาจจะเงินขาดมือได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายๆอย่าง โดยเฉพาะในแง่ของความขยันทำกิน<O:p></O:p>
    ศาสตร์เกี่ยวกับโหงวเฮ้งอาจแม่นยำได้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครล่วงรู้ทะลุไปถึงสาเหตุ ว่าทำไมแต่ละคนจึงจำเพาะมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ๆ ส่วนใหญ่บอกได้ตามตำราเพียงว่าถ้ารูปพรรณสัณฐานอย่างนี้จะมีชะตาอย่างนั้น ถ้าเค้าโครงเป็นอย่างนั้นจะมีชะตาลงเอยอย่างนี้ ซึ่งดูๆแล้วก็ไม่ได้น่าทึ่งอะไรนัก เพราะหากเก็บสถิติกันจริงจัง มีการสืบมรดกความรู้ของสำนักใหญ่ที่มีกำลังคนรวบรวมอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็สามารถจำแนกความต่างระหว่างมนุษย์ได้ว่าถ้าเค้าโครงเหมือนๆกัน ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปคล้ายกันหรือเหมือนกันดิก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้าก็เคยตรัสแสดงไว้เหมือนกันว่ารูปลักษณ์ของคนเราบ่งบอกถึงความแตกต่าง แต่ท่านจะเน้นแสดงให้เข้าใจ ว่าองคาพยพต่างๆทั่วร่างกายถูก วาดหรือ ปั้น ขึ้นโดยกระแสกรรมเก่าจากอดีตชาติทั้งสิ้น ไม่มีรูปรอยใดเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ กรรมนั่นเองคือจิตรกร กรรมนั่นเองคือประติมากร และเจ้าของกรรมนั่นเองจะต้องครองร่างอันเหมาะสมกับฐานะแห่งตน<O:p></O:p>
    แต่เวลาวิบากกรรมวาดตาหูจมูกปากนั้นไม่ง่ายเหมือนจิตรกรใช้มือวาดเอา จิตรกรแค่คิดนิดหนึ่งแล้วสะบัดปลายพู่กันทีเดียวก็ได้หู ได้ตา ได้ปาก ได้คางออกมาแล้ว ทว่าเราต้องคิดซ้ำๆหลายๆครั้ง มีวิธีพูดแบบหนึ่งๆอย่างยาวนาน และลงมือกระทำการจนติดนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอันมาก จึงรวมออกมาเป็นการปั้นแต่งรูปร่างหน้าตาขึ้นมาอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้<O:p></O:p>
    อีกประการหนึ่ง กรรมชุดเดียวกันอาจปั้นแต่งอวัยวะหลายๆส่วนในคราวเดียว เช่นผู้ที่ไม่ให้ทานเลย แถมตระหนี่ถี่เหนียว กีดกันหรือพูดจาถากถางคนที่เขาคิดทำบุญ อย่างนี้ก็อาจมีเครื่องหมายของความจนครบสูตร เช่นหัวสอบแหลม ขนาดศีรษะเล็กเมื่อเทียบสัดส่วนกับร่างกาย อีกทั้งมีคอยาว หูยาว ตาเหมือนคนง่วงนอน และมีคอเอียง ฯลฯ พร้อมเบ็ดเสร็จในตัวคนเดียว ซึ่งก็ส่อชัดว่าทั้งชาติคงต้องลำบากกับฐานะความเป็นอยู่ไปเรื่อย จะมีกินได้ต้องทำกรรมดีใหม่อย่างใหญ่หลวงต่อเนื่องยาวนาน จึงจะพอมีส่วนช่วยเอื้อให้สบายขึ้นได้บ้าง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อดีตก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ในชาติสุดท้ายนั้น พระองค์เป็นปุถุชนที่คิดเกื้อกูลมหาชนเป็นอันมากมาอย่างยาวนานนับอนันตชาติ คือแต่ละชาติกรรมของท่านหนักไปในทางช่วยคน ช่วยสม่ำเสมอ ช่วยเป็นประจำ หรือแม้พลาดพลั้งหลงก่อกรรมตามอำนาจกิเลสไปบ้าง อย่างน้อยก็ประพฤติตนในทำนองช่วยเหลืออยู่โดยมาก<O:p></O:p>
    วิบากซึ่งมีน้ำหนักดีจึงทำให้ชาติสุดท้ายของท่านได้มีลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ คือไม่ใช่แค่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเจ้า แต่ทว่าทั่วองคาพยพยังบ่งบอกถึงพื้นชะตาว่าจะประสบความเจริญรุ่งเรืองต่างๆนานาอย่างไรอีกด้วย ซึ่งสำหรับผู้มีลักษณะของมหาบุรุษครบถ้วนนั้น พระองค์ท่านตรัสว่าจะมีฐานะอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงสองประการ คือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือไม่ก็เป็นพระพุทธเจ้า (จักรพรรดิ์ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่ใช่หมายถึงจักรพรรดิ์ที่ต้องได้อำนาจมาด้วยการมีมือเปื้อนเลือด แต่ครองอาณาจักรไพศาลด้วยบุญญาธิการเป็นล้นพ้น)<O:p></O:p>
    พระพุทธเจ้ามีปกติตรัสเล่าเกี่ยวกับกรรมของพระองค์เพื่อให้เป็นแบบอย่างอยู่แล้ว เมื่อจะแสดงเกี่ยวกับมหาบุรุษลักษณะก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่าแม้รูปพรรณสัณฐานแต่ละส่วนก็ได้มาโดยกรรม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑) ฝ่าพระบาทราบเสมอกัน ตั้งอยู่ได้มั่นคง คือทรงเหยียบพระบาทเสมอกันบนพื้น ทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน ทรงจดภาคพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ถือความประพฤติมั่นคงในกุศลธรรม ไม่ย่อหย่อนในความสุจริตทางกายวาจาใจ ในการบำเพ็ญทาน ในการรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในการปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในการปฏิบัติดีต่อสมณะ ในการปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ควรเคารพเป็นอันมาก (คือมากกว่าชนทั่วไปอย่างเทียบกันอย่างไม่อาจประมาณ)<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือถ้าเลือกเป็นราชามหาจักรพรรดิ์ จะทรงมีราชอาณาจักรมั่นคง มีพระราชโอรสจำนวนมากที่ล้วนเป็นผู้แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสนาแห่งปรปักษ์ได้โดยธรรม ไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่มีข้าศึกใดข่มได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒) ลายพื้นพระบาทปรากฏเป็นรูปจักรจำนวนมาก มีซี่กำพันหนึ่ง มีกง มีดุมบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง <O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้นำความสุขมาให้แก่มหาชนเป็นอันมาก บรรเทาภัยร้ายที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความหวาดเสียว จัดการรักษาความปลอดภัยโดยธรรม และบำเพ็ญทานพร้อมด้วยวัตถุอันเป็นบริวาร<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๓) มีส้นพระบาทยาว ๔) มีนิ้วพระหัตถ์และพระบาทยาว และ ๕) พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม<O:p></O:p>
    สามข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละปาณาติบาตแล้ว เว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้ไม่จับอาวุธ มีความละอายในการเบียดเบียน มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระชนมายุยืน ดำรงอยู่นาน ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูสามารถปลงพระชนม์ชีพได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๖) ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่มและ ๗) ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าบาทมีลายดุจตาข่าย<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้สงเคราะห์ประชาชน ได้แก่การให้ทาน การกล่าวคำเป็นที่รัก การประพฤติให้เป็นประโยชน์ และความเป็นผู้ไม่ถือตัว<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารมาก ทั้งพราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท โหราจารย์ มหาอำมาตย์ กองทหาร นายประตู ผู้มีอิทธิพล เศรษฐี ราชกุมาร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๘) มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน และ ๙) มีปลายพระโลมชาติ (ขน) ทุกๆเส้นเวียนขวาเส้นช้อนขึ้นข้างบนล้วน<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมากไปในทางดี เป็นผู้นำประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้บูชาธรรมเป็นปกติ<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นประธานสูงสุด ดีกว่าหมู่ชนที่บริโภคกามทั้งปวง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๐) พระชงฆ์ (แข้ง) เรียวดุจแข้งเนื้อทราย คือเรียวไปโดยลำดับ<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ตั้งใจสอนศิลปะวิชา ข้อที่ควรประพฤติ หลักกรรมวิบาก ด้วยความครุ่นคิดว่าทำอย่างไรชนทั้งพึงรู้เร็ว พึงสำเร็จเร็ว ไม่พึงลำบากนาน<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เฉพาะซึ่งพาหนะที่ยิ่งใหญ่เช่นช้างเผือกคู่บารมี<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๑) ส่วนพระกายเป็นปริมณฑลดุจปริมณฑลแห่งต้นไทร (พระกายสูงเท่ากับวาของพระองค์) และ ๑๒) เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองสามารถลูบจับถึงพระชานุ (เข่า)<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ตรวจดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์ ย่อมรู้จักชนที่เสมอกัน รู้จักตนเอง รู้จักบุรุษ รู้จักบุรุษพิเศษ หยั่งทราบว่าผู้นั้นควรสักการะอย่างนี้ บุคคลผู้นี้ควรสักการะอย่างนั้น รวมทั้งเกื้อกูลพวกท่านเป็นพิเศษ<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีข้าวเปลือกมาก มีคลังเต็มบริบูรณ์ มีเครื่องอุปกรณ์น่าปลื้มใจมาก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๓) มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้นำพวกญาติมิตรสหายที่สูญหายพลัดพรากไปนานให้กลับมาพบกัน เมื่อทำพวกเขาให้พร้อมเพรียงกันแล้วก็ชื่นชมยินดีปรีดาอยู่ วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโอรสมาก ล้วนกล้าหาญและมีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๔) พระฉวี (ผิวกาย) ละเอียด ธุลีละอองไม่ติดพระกาย<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้เข้าหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วซักถาม (ด้วยความเคารพและน้อมนำไปปฏิบัติ) ว่ากุศลกรรมเป็นอย่างไร อกุศลกรรมเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมส่วนที่ไม่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมที่ควรเสพเป็นอย่างไร กรรมที่ไม่ควรเสพเป็นอย่างไร วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระฉวี (ผิวกาย) สุขุมละเอียด ธุลีละอองไม่อาจติดกายได้<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีปัญญามาก ไม่มีบรรดาชนผู้บริโภคกรรมใดมีปัญญาเสมอหรือประเสริฐกว่าพระองค์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๕) มีฉวีวรรณ (สีผิว) ประดุจทองคำ<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่มีความโกรธ ไม่มีความแค้นใจ แม้ถูกคนหมู่มากว่าเอาก็ไม่ขัดใจ ไม่ปองร้าย ไม่จองเวรล้างผลาญ ไม่แม้ทำความโกรธเคืองและความเสียใจให้ปรากฎ นอกจากนั้นยังมีกรรมที่ให้ผลเป็นผิวประดุจทองอื่นอีก คือเป็นผู้ให้เครื่องปูหลังสัตว์มีเนื้อละเอียดอ่อน และให้ผ้า สำหรับนุ่งห่ม คือ ผ้าโขมพัสตร์มีเนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายมีเนื้อ<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้เครื่องลาดมีเนื้อละเอียดอ่อน ทั้งได้ผ้าสำหรับนุ่งห่ม เช่นผ้าโขมพัสตร์เนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ผ้าไหมเนื้อละเอียด ผ้ากัมพลเนื้อละเอียด เป็นต้น (หมายถึงถ้าเป็นกษัตริย์จะทรงอยู่ในถิ่นที่มีช่างผู้ฉลาดในทางภูษาอาภรณ์ และทั้งชีวิตจะไม่ขาดจากเครื่องนุ่งห่มชั้นเลิศ มีความประณีตยิ่ง เข้ากันกับผิวอันงามประดุจทองคำของพระองค์ แต่ถ้าทรงผนวชและเลือกที่จะมักน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งเมื่อมีคนถวายจีวรชั้นดีท่านก็สนองศรัทธา แต่โดยมากท่านจะเป็นอยู่ด้วยจีวรปอนๆ)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๖) มีเส้นพระโลมา (ขน) เฉพาะขุมละเส้น และ ๑๗) มีอุณาโลม (ขนหว่างคิ้ว) เวียนขวา<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักเป็นฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีมหาชนยกย่องและยึดถือเป็นแบบอย่าง เป็นบุคคลในอุดมคติ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๘) มีพระมังสะ (เนื้อ) อูมเต็มในที่ ๗ แห่ง คือหลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ หลังพระบาททั้ง ๒ พระอังสา (บ่า) ทั้ง ๒ กับลำพระศอ (คอ)<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย รวมทั้งให้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะได้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีต มีรสอร่อย และได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑๙) มีส่วนพระสรีรกายบริบูรณ์ ล่ำพีดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ๒๐) พระปฤษฎางค์ (ส่วนหลัง) ราบเต็มเสมอกัน ๒๑) มีลำพระศอ (คอ) กลมงามเสมอตลอด<O:p></O:p>
    สามข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก หวังความเกษมจากโยคะ แก่ชนเป็นอันมาก ด้วยความคิดว่าทำอย่างไรชนเหล่านี้พึงเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยสละออก เจริญด้วยศีล เจริญด้วยการฟังสาระธรรม เจริญด้วยการเป็นผู้รู้แจ้งตื่นจากการหลับไหล เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยโภคทรัพย์ เจริญด้วยบุตรและภรรยา เจริญด้วยทาสและกรรมกร เจริญด้วยญาติ เจริญด้วยมิตร เจริญด้วยพวกพ้อง<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดาจากทรัพย์ บุตรภรรยา ญาติมิตร และบริวาร<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒๒) มีเส้นประสาทสำหรับรับรสพระกระยาหารอันดี มีปลายในเบื้องบนประชุมอยู่ที่ลำพระศอ สำหรับนำรสอาหารแผ่ซ่านไปสม่ำเสมอทั่วพระกาย<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ หรือศาสตรา<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระโรคาพาธน้อย สมบูรณ์ด้วยธาตุไฟ (ความเผาผลาญ) อันยังอาหารให้ย่อยดีไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒๓) มีพระหนุ (คาง) ดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบประโยชน์โดยกาลอันควร<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะไม่มีใครๆที่เป็นข้าศึกศัตรูกำจัดได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒๔) มีพระทนต์ (ฟัน) ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) และ ๒๕) พระทนต์ชิดสนิทมิได้ห่าง<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น ไม่ประสงค์ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาแตกคอกัน ตรงข้ามพยายามพูดสมานสามัคคี ทำให้คนที่เขาแตกร้าวกันกลับมาคืนดีกัน มีความเพลิดเพลินยินดีในการเห็นผู้คนปรองดองกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้ใครต่อใครปรองดองกัน<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริษัทส่วนใหญ่จะไม่แตกคอกัน (คือไม่เป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ตั้งก๊กตั้งป้อมโจมตีกันจนเสียความเป็นปึกแผ่น เสียความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจนกระทั่งพระราชบัลลังก์คลอนแคลนได้)<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒๖) พระทนต์เรียบเสมอกัน และ ๒๗) เขี้ยวพระทนต์ทั้ง ๔ ขาวงามบริสุทธิ์<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละอาชีพทุจริตแล้ว สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยอาชีพสุจริต เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม การโกงด้วยเครื่องตวงวัด การโกงด้วยการรับสินบน การหลอกลวง การทำตลบตะแลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่าการจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชกขู่เอาทรัพย์ผู้อื่น (ข้อนี้ต้องดูว่าบางชาติอาจยากจนข้นแค้น แต่แม้จนตรอกขนาดไหน มีใครชักชวนอย่างไรก็ห้ามใจไว้ ไม่ประพฤติผิดแม้มีกำลังมากพอที่จะทำได้)<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีบริวารสะอาดปราศจากมลทิน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๒๘) พระชิวหา (ลิ้น) อ่อนและยาว (อาจแผ่ปกหน้าผากได้) และ ๒๙) พระสุรเสียงยิ่งใหญ่ดุจท้าวมหาพรหม ทว่ายามตรัสมีสำเนียงเพราะพริ้งราวกับนกการเวก<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เสนาะเพราะโสตจับใจ ชวนให้รัก คนส่วนใหญ่พึงใจ<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะมีพระวาจาอันมหาชนพึงเชื่อถือ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๓๐) พระเนตร (ตา) ดำสนิท และ ๓๑) ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด<O:p></O:p>
    สองข้อนี้คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดูใครๆด้วยอำนาจความโกรธ เป็นผู้ตรง มีใจตรงเป็นปรกติ แลดูใครๆตรงๆด้วยดวงตาทอแววรักใคร่เมตตา วิบากของกรรมทำให้เกิดลักษณะของมหาบุรุษคือมีพระเนตร (ตา) สีดำสนิทและงามดุจประกายตาแห่งโค
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่อันมหาชนเห็นแล้วเคารพรัก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๓๒) มีพระเศียร (ศีรษะ) งามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์<O:p></O:p>
    ข้อนี้คือวิบากจากการเป็นหัวหน้าของมหาชนในธรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายกุศล เป็นประธานของมหาชนด้วยกายสุจริต ด้วยวจีสุจริต ด้วยมโนสุจริต ในการบำเพ็ญทาน ในการตั้งใจรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อสมณะ ในความปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล รวมทั้งเป็นผู้นำในธรรมเป็นมหากุศลอื่นๆ<O:p></O:p>
    กรรมดังกล่าวนอกจากตกแต่งอวัยวะแล้ว ยังส่งผลกับวิถีชีวิตคือเมื่อเป็นพระราชาจะเป็นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากมหาชนอย่างล้นหลาม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากความรู้เกี่ยวกับลักษณะของมหาบุรุษข้างต้นนี้ เราพอจะอาศัยบางส่วนเป็นตำราทายมนุษย์ได้เล็กๆน้อยๆ เช่นถ้าหากใครมีร่างใหญ่ ส้นเท้ายาว นิ้วมือนิ้วเท้ายาว ก็ประมาณว่าอดีตชาติเคยเป็นผู้เว้นจากการฆ่า และหวังประโยชน์ใหญ่ ทำคุณกับมหาชนมาก่อน เพราะผู้เคยกระทำการอันมุ่งประโยชน์มหาชนจะมีคุณสมบัติข้อนี้อยู่จริงๆ เรียกว่ามีลักษณะเป็นส่วนหนึ่งของมหาบุรุษ แม้จะไม่ใช่มหาบุรุษทั้งตัวก็ตามที<O:p></O:p>
    และคงเห็นชัดว่าแม้เราๆท่านๆจะไม่ได้ตั้งความปรารถนาบำเพ็ญบารมีเพื่อให้มีลักษณะมหาบุรุษ แต่ก็สามารถทราบได้ และเกิดแรงบันดาลใจว่าถ้าอยากเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ก็จะต้องพูดเพราะๆและประกอบด้วยคำอันเป็นที่รื่นหู ฟังแล้วสบายใจ เป็นต้น หากปลูกฝัง สั่งสม และประพฤติตนเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวานก็ย่อมได้รับผลเป็นแก้วเสียงคุณภาพสูงในระยะยาว<O:p></O:p>
    แต่มีข้อน่าสังเกตว่านอกจากกรรมหลักๆอันเป็นแก่นแล้ว ก็ยังมีกรรมพิเศษที่ปรุงแต่งคุณลักษณ์ซึ่งดีอยู่แล้วให้วิเศษเยี่ยมยอดเป็นทวีคูณ เช่นถ้าใครพูดเพราะ พูดแต่เรื่องดีมีสาระและความจริงรองรับ แล้วบวกเข้าไปอีก เช่นสวดมนต์สรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยใจรู้เนื้อความ มีความยินดีเลื่อมใสในการป่าวประกาศด้วยปากตนให้ญาติพี่น้องตลอดจนมหาชนรับรู้ถึงคุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยกตัวอย่างเช่นในปัจจุบันมีผู้ร้องเพลงออกเทปในแนวที่สามารถโน้มน้าวใจให้คนเกิดศรัทธาในพระรัตนตรัยได้จริง ผลเกี่ยวกับแก้วเสียงในชาติถัดๆไปย่อมเอกอุเกินประมาณได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อีกประการหนึ่ง มีกรรมหลายๆประการที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถรับรู้ด้วยจิตว่าจะออกดอกออกผลงอกเงยอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราคิดพูดดี คิดพูดจาให้เป็นที่รัก เป็นที่รื่นหู เป็นที่สบอารมณ์ของคนฟัง จิตใจเราจะโปร่งใสจนเหมือนสัมผัสประกายใสแพรวจากส่วนลึกของตนเอง และประกายใสแพรวดังกล่าวนั้นก็ปรากฏออกมาในรูปของแก้วเสียงที่เพราะพริ้งขึ้นกว่าปกติ ไม่ว่าคุณภาพแก้วเสียงเดิมของเราจะเป็นอย่างไร เราย่อมเกิดความพึงพอใจในประกายใสแพรวขึ้นกว่าปกตินั้นเสมอ<O:p></O:p>
    หรืออย่างเมื่อเราให้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้ทรงคุณใดๆ โดยพนมมือด้วยความตั้งใจไหว้สวยๆ มีการค้อมศีรษะลงด้วยจิตที่นบน้อมปราศจากมายาหรือฝืนแสร้ง เราจะรู้สึกถึงรูปศีรษะของตนขึ้นมาในขณะหนึ่ง ว่าเป็นส่วนของเครื่องบูชาอันงามได้ และจิตที่จับเครื่องบูชาอันงามนั้น ย่อมก่อให้เกิดมโนภาพทางใจเป็นนิมิตประเสริฐ มีความมน กลมกลึง ปราศจากปุ่มปมขรุขระ จิตแบบนั้นแหละที่สร้างภพของผู้มีศีรษะมนงามขึ้นมา ยิ่งทำบ่อย ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ ภพของผู้มีศีรษะมนงามก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กรรมที่มีอิทธิพลปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้กระเดียดไปในทางหนึ่งๆ

    พวกเราทำกรรมกันมาซับซ้อนหลายหลาก จึงมักเกิดคำถามว่าแล้วมีการเลือกสรรกรรมมาตกแต่งหน้าตาอย่างไร เช่นบางคนเคยร้ายมากและดีมากในชาติเดียวกัน อย่างนี้มิต้องมีหน้าตาพิลึกกึกกือขัดแย้งกันเองแย่หรอกหรือ?<O:p></O:p>
    กรรมหลายๆประการทำให้บางคนหน้ากลม บางคนหน้าแหลม บางคนหน้ารูปหัวใจ บางคนหน้ารูปไข่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้ามีบุญปรุงรูปโฉมให้ดีเสียหน่อย พอรวมเครื่องหน้าทั้งหมดก็ยังดูงามได้ทั้งนั้น ผิดกับบางคน ถึงแม้เค้าโครงหน้าตาจะดูดี เครื่องเคราบนใบหน้าก็ไม่มีชิ้นใดผิดรูปผิดทรง แต่รวมออกมาทั้งหมดกลับจืดๆ เฉยๆ ไม่เห็นเด่นสะดุดตาแต่อย่างใด เหล่านี้ล้วนเป็นเพราะการเสกการบันดาลของกรรมเก่า จะไปคิดคำนวณตีค่าความงามเป็นสัดส่วนตายตัวไม่ได้<O:p></O:p>
    กรรมที่ทำเป็นประจำจนคนสนิทใกล้ตัวเอาไปโจษกันว่า คนนี้นะ มีนิสัย…สิ่งที่สังคมพูดกันตรงกันว่าเราเป็นอย่างไรนั่นแหละ มักมีบทบาทสำคัญในการตกแต่งความงามให้เป็นไปต่างๆ เสมือนเป็นตะกร้าใหญ่ที่รวบรวมเอาผลหมากรากไม้ต่างๆมารวมไว้ในที่เดียว คนเห็นเพียงผาดย่อมเห็นทั้งตะกร้านั้นก่อนที่จะลงไปดูผลไม้เป็นลูกๆ<O:p></O:p>
    ขอจำแนกความงามที่เห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาสัก ๖ ประเภท พร้อมกรรมอันก่อไว้เป็นเหตุให้งามในประเภทนั้นๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑) งามแบบสง่า บางคนมีรัศมีงามจับตา เห็นเด่นแต่ไกลอยู่ตลอด ท่วงท่าเวลาจะนั่งจะเดินดูมีความจับตาจับใจแปลกประหลาดกว่าคนธรรมดา ในอดีตชาติพวกนี้เคยทำบุญกับผู้มีคุณวิเศษเช่นสมณะที่พยายามเพียรเพื่อละกาม เวลาทำบุญทำด้วยความเคารพลึกซึ้ง จะจัดถวายทานใดก็นิยมพิธีรีตองที่งดงามโดยมีเจตนาให้เกียรติผู้รับ ส่วนในแง่ศีลธรรมนั้น เวลาจะทำผิดอะไรเห็นแก่หน้าพ่อแม่และวงศ์ตระกูล ไม่ทำตามอำเภอใจเพียงเพราะเห็นแก่กิเลสตนเอง แต่ถ้าไม่ค่อยเป็นคนรักเกียรติ ผิดศีลผิดธรรมเก่ง อย่างนี้แม้ทำบุญด้วยความเคารพก็จะได้ผลเป็นความงามสง่าแบบแปลกๆ ไม่ดูดีเต็มร้อย คือบางมุมเหมือนหงส์ แต่บางมุมเหมือนกาก็ได้<O:p></O:p>
    ๒) งามแบบอ่อนหวาน ความอ่อนหวานดูเป็นธรรมชาติประจำเพศของผู้หญิง แต่ความจริงก็คือมีผู้หญิงไม่กี่คนที่เห็นแล้วทำให้อยากออกปากวิจารณ์ว่าหน้าหวานจริง ส่วนใหญ่จะธรรมดา เอียงไปทางจืดชืดหรือทางคมคายกัน ในอดีตชาติพวกที่หน้าหวานนั้นเคยพูดจาอ่อนโยน ใช้ถ้อยคำหวานหูโดยมีเจตนาให้คนฟังรู้สึกดี ไม่ใช่พูดหวานแต่จิตใจซ่อนแฝงความประสงค์ร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ และไม่ใช่พูดหวานในลักษณะแกล้งดัดจริต เวลาทำบุญจะทำด้วยความนุ่มนวล ผู้หญิงแสดงท่าทีชดช้อย ผู้ชายแสดงท่าทีนบนอบอ่อนน้อม<O:p></O:p>
    ๓) งามแบบฉูดฉาดจัดจ้าน บางคนสวยหรือหล่อแบบคมเข้ม ดูว่าบาดตาบาดใจก็ได้ หรือดูว่าน่าเขม่นชวนให้อยากชิงดีชิงเด่นกันก็ได้ ในอดีตชาติพวกนี้เวลาทำบุญจะมีจิตคิดออกหน้าออกตา ชอบทำให้คนเห็นเยอะๆ เป็นจุดเด่น เป็นความสนใจ ซึ่งแง่ดีคือเป็นแรงบันดาลใจให้คนเห็นอยากเอาตาม แต่แง่เสียคือเป็นที่หมั่นไส้ได้ และจิตของคนชอบเป็นจุดเด่นในงานบุญนั้น มักพ่วงเอาความโลภเข้าไปเจืออยู่ในบุญ พร้อมจะแปรจิตจากบุญเป็นบาปได้ทันทีที่มีการแก่งแย่งชิงดีทางหน้าตากัน<O:p></O:p>
    ๔) งามแบบเร้าความรู้สึกทางเพศ บางคนถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ทางเพศโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ปรากฏตัวยังไม่ทันอวดเนื้ออวดหนังสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ ในอดีตชาติพวกนี้เคยทำบุญแบบหวังผลทางรูปร่างหน้าตาโดยเฉพาะ แบบที่ดึงดูดใจเพศตรงข้ามมากๆ<O:p></O:p>
    ๕) งามแบบน่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ บางคนหน้าอ่อนเยาว์ตลอดชีวิต ดาราบางรายอายุจะ ๕๐ อยู่แล้วยังได้เล่นบทหนุ่ม ๓๐ โดยไม่ต้องอาศัยการแต่งหน้าหรือเทคนิคการถ่ายทำเข้ามาช่วย ในอดีตชาติพวกนี้เคยถวายเครื่องบำรุงสุขภาพ เครื่องชะลอความชราให้แก่สมณะหรือพราหมณ์ โดยมีเจตนาจะยืดอายุของพวกท่าน ให้พวกท่านมีความอ่อนกว่าวัย เพื่อเป็นประโยชน์กับโลกต่อไปนานๆ นอกจากนั้นยังมีศีลข้อแรกสะอาดหมดจด ไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นแม้ด้วยความคิด<O:p></O:p>
    ๖) งามแบบแปลกประหลาด บางคนมีหลายมุมมองเหลือเกิน บางมุมดูแล้วดี อีกมุมดูแล้วชอบกล เอาไปบอกต่อได้ยากว่างามหรือไม่งามกันแน่ ต้องให้ดูเอาเอง ในอดีตชาติพวกนี้มักทำทานพอประมาณ รักษาศีลพอประมาณ แต่ชอบมีความคิดแหวกแนว พิลึกกึกกือ ไม่ค่อยลงใจสนิทกับทานและศีล ยกตัวอย่างเช่นเป็นยอมใส่บาตรพระกับญาติได้ แต่ก็มักมาพูดทีหลังว่าจะทำไปทำไม น่าจะเก็บไว้กินเองมากกว่า หรือยอมรักษาศีลไม่ประพฤติผิดทางกามกับใคร แต่ก็ชอบไปยั่วเย้าให้เขามาอยากมีเพศสัมพันธ์แบบผิดๆกับตน ความคิดซ่อนแฝงที่ขัดแย้งกันกับพฤติกรรมทำนองนี้แหละ ที่ทำให้สวยหล่อแบบแปลกๆ แบบที่สมัยนี้เรียกกันว่าสวยไม่เสร็จ หล่อไม่เสร็จ คือเหมือนยังปั้นไม่ครบ หรือครบแต่เว้าแหว่ง บางส่วนเหมือนหายๆไปไม่เต็มบริบูรณ์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความงามไม่ได้มีแค่ ๖ ประเภทเท่านี้ แต่ขอยกมาพอสังเขป ขอให้ถือว่าถ้าไม่งามเลย หรือน่าเกลียดอัปลักษณ์ต่างๆนานา ก็ขึ้นอยู่กับศีลไม่บริสุทธิ์และพูดจาระคายโสตเป็นหลัก นอกจากนั้นคือไม่ค่อยทำทาน หรือทำทานด้วยความคิดอุตริไปต่างๆ เหล่านี้มีผลตกแต่งให้หน้าตาดูแย่ได้ทั้งสิ้น ยิ่งพวกชอบพูดหยาบ ชอบสาปแช่งชาวบ้านเป็นงานอดิเรก ถ้าเกิดใหม่มีวาสนาพอได้เป็นคน ก็มักเป็นประเภทสิวปรุ เตี้ยล่ำดำมิด หรือโหนกแก้มไม่เท่ากันไปโน่น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ลักษณะขัดแย้งระหว่างรูปโฉมและกรรมในปัจจุบัน

    เหมือนธรรมชาติไม่เปิดโอกาสให้พวกเราเลือกที่จะสวยหล่อด้วยกรรมดีอย่างเดียวไปตลอดกาล กิเลสคือราคะ โทสะ โมหะมักจะชักชวนเราประพฤติปฏิบัติในทางที่จะทำให้เกิดมารูปร่างหน้าตาน่าเกลียดเสียมากกว่าอย่างอื่น<O:p></O:p>
    แม้แต่คนเกิดมารูปงามจัดก็ไม่พ้นกิเลสทั้งสามข้อดังกล่าว และกลับจะยิ่งกิเลสแรงเหนือคนทั่วไปเสียอีก เพราะพวกเราเกิดมากับความไม่รู้ จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรมาถึงหน้าตาเป็นอย่างนี้ พอส่องกระจกเห็นดูดีมาแต่จำความได้ ก็เลยเกิดอาการหลงรูปหรือหลงตัว และกลายเป็นตัวแปรยั่วยุให้ทำอะไรผิดๆเมื่อเจริญวัยขึ้น<O:p></O:p>
    ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเห็นใครต่อใครมาหลงตนง่ายๆ หญิงชายก็มักใช้รูปร่างหน้าตาเป็นอาวุธ หลอกล่อให้ใครต่อใครเขามาหลงชอบเยอะๆ สะใจที่ตนมีอิทธิพลสำคัญกับการทำให้พวกหน้าโง่ซึมเศร้าผิดหวัง หรือภูมิใจที่ใครๆโจษจันกันว่าเราเป็นศูนย์รวมอกที่หักเดาะของผู้คนจำนวนมหาศาล<O:p></O:p>
    ความชอบใจที่เห็นคนมาหลงใหลได้ปลื้มตัวเองมากๆนั้น ก่อให้เกิดพฤติกรรมบิดเบี้ยวขึ้นตามลำดับ เช่นเป็นผู้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใคร เห็นแต่ความสำคัญของตัวเองอย่างเดียว คนอื่นทั้งโลกต้องเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้ตน ไม่ใช่ตนเป็นฝ่ายหยิบยื่นให้คนอื่น เรื่องศีลสัตย์ เรื่องพูดจริง เรื่องรักษาคำพูด ฯลฯ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งนั้น แล้วในที่สุดก็กลายเป็นการเอาตัวเองมาเดินบนเส้นทางกรรมใหม่ที่ส่งผลให้รูปทรามเข้าจนได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กล่าวในอีกทางหนึ่ง ตามหลักกรรมวิบากนั้น ปกติกำลังกุศลจะมีอำนาจเหนือกำลังของอกุศล หมายความว่าถ้าทำบุญและทำบาปมาในประมาณเดียวกันหรือก้ำกึ่งกัน กำลังบุญมักจะชิงให้ผลก่อน หรือตัดทอนการให้ผลของบาปจนไม่รู้สึกชัดเจน<O:p></O:p>
    นั่นหมายความว่าแม้จะเป็นผู้มีกาย วาจา ใจอันไม่ค่อยเป็นไปในทางปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้พริ้มเพราเท่าใดนัก แต่หากมีอภิมหากุศลบางประการมาเป็นตัวนำร่องการปรุงแต่งรูปโฉม ก็อาจเกิดมาสวยหล่อทุกภพทุกชาติได้ หรืออย่างน้อยถ้าเฉือนกันไม่ขาดกับอกุศลกรรมจริงๆ ก็จะไม่ทำให้มู่ทู่ดูน่าชังนัก<O:p></O:p>
    มหากุศลกรรมที่เป็นตัวอย่างได้ดีคือการเคยมีหน้าที่เป็นผู้ทำความสะอาดพระปฏิมา และทำไม่ใช่สักแต่ทำ แต่ทำแล้วเกิดความปลาบปลื้มยินดีเป็นล้นพ้นที่เห็นองค์พระปฏิมาสะอาดเอี่ยมเป็นประกายเงางามด้วยมือตน<O:p></O:p>
    เหนือยิ่งกว่านั้นคือเคยเป็นช่างปั้นพระปฏิมาหรือเป็นจิตรกรวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบเหมือนจริง หรือใกล้เคียง ในทางที่จะก่อให้มหาชนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธนิมิต เมื่อหมู่มหาชนได้กราบไหว้แล้วเกิดมหากุศลจิตติดตัวเป็นยานนำร่องไปสู่สุคติได้ พวกนี้เกิดมามักสวยหล่อระดับโลก ไม่ใช่สวยหล่อแค่เอาไว้ประกวดได้เพียงระดับท้องถิ่น<O:p></O:p>
    และแม้ไม่ได้เป็นปฏิมากรหรือจิตรกรด้วยตนเอง เพียงได้มีส่วนร่วมสร้างพระประธานองค์งาม หรือเพียงเห็นแล้วนึกปลื้มใจยินดี มีน้ำจิตอนุโมทนากับผู้สร้างอย่างแท้จริง เท่านี้ก็มีส่วนปรุงแต่งรูปให้งามเลิศได้แล้ว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    บทสำรวจตนเอง

    มีผู้คนไม่พึงพอใจมากกว่าผู้พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของตน และแม้บางคนพอใจแล้ว ก็ยังมีจุดปลีกย่อยอันเป็นที่ไม่พอใจหลงเหลืออยู่อีก ทุกวันนี้แม้มีเทคโนโลยีผ่าตัดผ่าแต่งเสริมความงามผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ยืนยันความไม่อิ่มไม่พอในรูปโฉมโนมพรรณของตนเองได้เป็นอย่างดี แต่แทนที่จะมีการสร้างเหตุแห่งความงามอย่างถูกต้อง กลับหาทางลัดราคาแพงที่ไม่จีรังกันเสียหมด<O:p></O:p>
    เพื่อเป็นผู้งามออกมาจากภายในตั้งแต่วันนี้ และเตรียมรูปโฉมดีๆไว้สำหรับอนาคตชาติ ขอให้ถามตนเองเป็นข้อๆดังนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ๑) เรายังเป็นผู้ยินดีให้ทานอยู่หรือไม่?<O:p></O:p>
    ๒) ขณะให้ทานนั้นเรายิ้มแย้มผ่องใสได้ด้วยจิตอันเปี่ยมศรัทธาในบุญหรือไม่?<O:p></O:p>
    ๓) เราเป็นผู้รู้สึกสะอาดออกมาจากหัวใจเมื่อถนอมรักษาศีลไว้ได้ตามเจตนาหรือไม่?<O:p></O:p>
    ๔) เราเป็นผู้มองด้วยสายตาใยดีมีเมตตาหรือชอบแกล้งทำตาดุให้คนกลัว?<O:p></O:p>
    ๕) เราเป็นผู้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยน้ำจิตคิดเป็นประโยชน์หรือใช้เสียงในการข่มขู่ให้คนขุ่นใจ?<O:p></O:p>
    ๖) เราเป็นผู้อ่อนน้อมหรือแข็งกระด้างต่อคนและสัตว์?<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วิญญาณที่สะอาด วิญญาณที่มีประกายสุขจากการถึงพร้อมซึ่งความสุจริตทางกาย วาจา ใจนั้น ย่อมให้ความรู้สึกบอกตัวเองว่าตนจะเป็นผู้น่าดู ไม่น่ารังเกียจในสายตาคนอื่น นับแต่การเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ถาวรในปัจจุบันชาติทีเดียว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สรุป

    พวกเรากำลังเพลินมองผลผลิตของกรรมเก่าของใครบางคนในโลก เฝ้าชมความน่าพิสมัยของคนสวยคนหล่อโดยไม่รู้กันเลยว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร พอประกวดประขันขึ้นทีหนึ่งก็ตัดสินกันเอามัน ให้คนหนึ่งฟองฟู ให้อีกหลายคนเสียใจ เช่นวิจารณ์ได้แค่ยายคนนั้นเข่าสวย ยายคนนี้เข่าเป็นปุ่มโปนน่าเกลียด ทั้งที่ไม่มีใครเจาะจงลงไปได้ถูกว่าทำไมเข่าแต่ละคนเคยปั้นเคยแต่งกันมาอย่างไรถึงต่างกันอย่างนั้น<O:p></O:p>
    คนหน้าตาไม่ดีมักมีปมด้อย ไร้ใบเบิกทาง ตอนเด็กๆพ่อแม่ไม่ค่อยอยากแสดงความพิศวาส โตขึ้นหาแฟนยาก เลยกลายเป็นชนวนให้คิดไม่ดีเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกับโลกหนักเข้าไปอีก แต่ก็มีคนหน้าตาไม่ดีบางจำพวก ที่กลับดำให้เป็นขาว พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสไปเลย คือเพียรสร้างความดีด้วยประการต่างๆ ประพฤติกาย วาจา ใจจนสุจริตพร้อม เปล่งประกายความเป็นผู้มีรูปงามออกมาจากภายในตั้งแต่ยังมีชีวิต<O:p></O:p>
    ชาตินี้เป็นมนุษย์ ได้พบพุทธศาสนาก็ถือเป็นโอกาสทองไม่เป็นรองชาติไหนๆแล้ว ขืนไม่ฉวยโอกาสทำทาน ไม่รักษาศีลเลย แถมคิดไม่ดีอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้แม้เกิดใหม่ยังได้เป็นมนุษย์อยู่ ก็จะรูปร่างหน้าตาบูดๆเบี้ยวๆไปตามยถากรรม ผู้มีโอกาสล่วงรู้เส้นทางกรรมที่จะปรุงแต่งให้รูปโฉมงามพร้อม ย่อมประพฤติกาย วาจา ใจให้เป็นกุศลด้วย และสร้างบุญสร้างกุศลพิเศษประการต่างๆไปด้วย เพื่อความไร้ที่ติแห่งการปรากฏกายในชาติภพเบื้องหน้าตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพานกัน<O:p></O:p>
    เมื่อซื้อของด้วยความตั้งใจจะไปถวายสังฆทาน หรือตั้งใจจะเอาไปให้คนอนาถา แล้วเกิดความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังซื้อของให้ตัวเอง กำลังซื้อความปลอดภัยให้ตัวเอง กำลังซื้อความอบอุ่นเป็นสุขใจให้ตัวเอง โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นรูปธรรมในทางใดทางหนึ่งทันทีทันใด อันนั้นเป็นอาการที่จิตเริ่มรู้สึกถึงผลของทานล่วงหน้าได้แล้ว และจะรู้สึกชัดขึ้นเรื่อยๆว่าการเสียสละ การเจือจานสิ่งที่ตนมีให้คนอื่นนั่นเอง เป็นหลักประกันความมั่งมีศรีสุขในภายภาคหน้าได้ยิ่งกว่าพันธบัตรของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจไหนๆทั้งสิ้น <O:p></O:p>


    จากหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ของ ดังตฤณ<SCRIPT language=JavaScript src="bottom.js"></SCRIPT>
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    (smile)(smile)(smile)(smile)(smile)

    น่าคิดสมัยนี้สวยหล่อ เลือกได้

    หมอช่วยคุณได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...