รบกวนผู้รู้ช่วยตอบความสงสัย ว่าเราเป็นอะไรกันแน่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jaithai, 8 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตรงอาการ ผีอำ อันนั้น เป็น ภูมิจิตที่ไม่อยากเข้าภวังค์ เพราะจิตยัง
    รักรสสมาธิที่ดำเนินอยู่ เลยทำให้เกิดการต่อต้าน การยื้อแย่งระหว่าง

    "สมาธิ" กับ "นิวรณ์" จะเกิดอาการชักกะเย้อกันอยู่ วันไหนฝ่ายสมาธิ
    ชนะมันก็ดูดี "พอใจ" แต่วันไหน "นิวรณ์" ชนะกายมันก็ได้พักผ่อนบ้างแต่
    จิตกลับไม่พอใจที่มันพัก

    ดังนั้น เวลาเกิดการยื้อๆ การอำ หนักๆ หน่วงๆ เหนียวๆ ก็ให้ดูเวลา
    และเทศะ หากสถานที่เหมาะสม และพากเพียรมาสมควรแก่เวลา จะให้
    กายเขาพักบ้าง จะค่อยๆเอียงตัวลงนอนบนหมอนบ้าง ก็ไม่ต้องไปฝืนหรอก

    [ สังเกตุนะว่า กรณีของพระอานนท์ ก็เกิดการปักจิตปักใจไว้ที่สมาธิ เลย
    ทำให้เจริญกายคตาเป็นจำนวนมาก ส่วนน้อยคือ ตกภวังค์ไปบ้าง แต่พอ
    ยกการปักใจ การหมายมั่น "ความไม่เพียร ไม่พัก" มันก็พอดี ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ในเมื่อ จิตวิญญาณ ของเราที่เวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วน

    โดยอาศัย มหาภูตรูป๔ ในเวลาที่เกิดมาในโลกมนุษย์นี้แค่ชั่วคราว

    ถ้าเมื่อไรเรายังไม่ได้ เดินตามทาง ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน

    จิตวิญญาณ นี้ก็จะต้องเวียนว่ายในสงสารวัฏ ไม่รู้จบรู้สิ้น กาลนาน

    แม้จิตวิญญาณนี้ ก็ย่อมเป็นเราเป็นของเรา อยู่เช่นนี้ตลอดไป

    ในเมื่อยังไม่หลุดพ้นจาก สงสารนี้ เรานั่นแหละที่จะต้องเป็นผู้ "ทนทุกข์"

    เมื่อเรา ตัวเรา จิตวิญญาณของเรา ได้เกิดความต้องการที่จะ "หลุดพ้น"

    จึงต้องหันมาพิจารณาความจริงที่ว่า สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา (ไม่มีอะไรเหลือ)

    ที่ว่า(ไม่มีอะไรเหลือ) นั้นเป็นการสรุปกันเองตามตัวอักษร ในบางแห่งตีความว่า

    "สูญ" แต่สิ่งที่ต้อง สูญ หลังจากเห็นแจ้ง รู้จริง นั้นคือ ขันธ์๕ สูญ เมื่อใดที่เห็น ขันธ์๕

    "สูญ" เมื่อนั้นกายอรหันต์จึงจะปรากฏ ใช่ว่าในตัวเราจะมี กายอรหันต์ อยู่ก่อนไม่

    กายธรรม นี้เห็นกันได้ก็ ที่เข้าถึงซึ่ง จิตหลุดพ้น แล้วเท่านั้น
     
  3. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ดีมากเลยครับเริ่มที่จะเล่ารายละเอียดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น บรรยายออกมาเลยครับ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมกัน หรือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน บางครั้งอาจจะทำให้เราสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำไป ขออนุโมทนาบุญกับความตั้งใจดีครับ

    ศาสนาพุทธสอนให้ยึดเหตุและผลเป็นหลัก ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลหนุนนำกันอยู่ ที่ไหนมีเหตุที่นั้นย่อมมีผลตามมา เช่น เราเชื่อว่าเราถูกผีอำ(นี้คือผลของความเชื่อ) แล้วต้นเหตุของความเชื่อนี้อยู่ที่ไหน? อะไรที่ทำให้เราเชื่อแบบนี้? แล้วเราสมควรจะเชื่อแบบนั้นหรือเปล่า?

    ลองดูเรื่องของผมนะครับ
    เมื่อก่อนนั้นผมไม่เคยนั่งสมาธิเลย ไม่เคยสนใจ ไม่เคยศึกษา แต่เวลานอนหลับมักจะมีอาการหรือสภาวะ "กายหลับแต่จิตตื่น" เกิดขึ้นมาในช่วงที่เราหลับอยู่ ในช่วงนั้นเราไม่มีความรู้ เราไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เพียงแต่เคยได้ยินมาว่ามันเป็นอาการถูกผีอำ

    แต่ในทางกลับกัน ณ เวลานี้ เรามีความรู้ความเข้าใจเรื่องของการปฏิบัติธรรมมากขึ้น จึงทำให้เราหวนกลับไปพิจารณาถึงสภาวะแบบนั้นอีก ว่าอะไรคือเหตุและผลที่แท้จริงกันแน่ ถึงทำให้เกิดสภาวะเช่นนั้นได้ ที่ไหนได้หลงเชื่ออยู่นานว่าผีอำ ที่แท้เขาเรียก กายหลับแต่จิตตื่นต่างหาก

    ตรงนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผม เพราะขาดปัญญา ขาดความรู้ ไม่พิจารณาให้ดีเสียก่อน จึงทำให้เราเข้าใจอะไรแบบผิดๆ เพียงแค่คำว่า "รู้" กลับ "ไม่รู้" ทำให้เราไปโทษผีอยู่ฝ่ายเดียว แท้ที่จริงแล้วเราอำตัวเองนี้หว้า ......

    ลองตั้งสติให้มั่นนะครับเวลาเกิดอาการผีอำ แล้วพิจารณาตามอาการเหล่านั้นดู ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่? ดูให้แน่ใจไปเลยว่าเป็นผีจริงหรือผีปลอม (ถ้าตั้งสติได้ตัวรู้มันจะเกิดขึ้นทันที)

    ส่วนอาการของจิตเวลามันฟุ้ง หรือมันคิดจนอิ่มตัวนั้น สังเกตุหรือพิจารณาได้จาก การที่เรามีสติรู้ตัวขึ้นมา จากการฟุ้ง การคิดของจิต ซึ่งเกิดมาจากการเผลอของสตินั้นเอง เช่น เรานั่งสมาธิด้วยอาการที่รู้ตัว ทำใจให้สบายๆ แต่พอเรานั่งหลับตาได้สักพัก จิตที่รู้ตัวสบายๆในตอนแรก จะเริ่มคิด เริ่มฟุ้งขึ้นมา ตรงจุดนี้แหละที่เรียกว่า สติมันเผลอ

    แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสติมันเผลอ ก็ต้องอาศัยจิตที่มันคิด จิตที่มันฟุ้งจนอิ่มตัวแล้ว มันถึงจะหยุดคิด หยุดฟุ้งของมันเอง พอมันหยุดได้ชั่วขณะ เดี่ยวมันก็คิดเรื่องใหม่ ฟุ้งเรื่องใหม่อีกไปเรื่อย

    แต่ถ้าในระหว่างที่จิตมันคิด จิตมันฟุ้ง แล้วมีอาการสะดุ้งของจิตเกิดขึ้นมา แสดงว่าจะต้องมีอะไรภายนอกเข้ามากระทบจิต ลองพิจารณาดูให้ดีครับว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถึงทำให้จิตที่กำลังคิด กำลังฟุ้งไปเพลินๆ ให้หยุดอยู่ในความสงบได้

    เวลานั่งสมาธิไม่ควรมีความอยากนำ หรือตั้งความหวังไว้ เช่น อยากจะเห็นโน้น อยากจะเห็นนี้ อยากนั่งให้ถึงตรงนั้น อยากนั่งให้ถึงตรงนี้ มันเหมือนเป็นการบังคับจิตใจของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งๆที่เป็นการตั้งใจดีแท้ๆ

    ควรนั่งด้วยกิริยาท่าทางที่สบายๆ ท่านั่งที่นั่งแล้วรู้สึกว่าสบายๆ (สมาธิอยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่ท่าสวย)

    ทำจิตใจให้สบายๆ ปล่อยวางเรื่องทั้งหมดลง อย่าคิดมาก (วันไหนที่เครียดอย่านั่ง เมื่อนั่งแล้วอาจจะทำให้เราเครียดมากกว่าเดิมได้ เพราะนั่งแล้วอาจไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้)

    มีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะ รู้ตัวสบายๆ (ก่อนนั่งให้รู้สึกตัวสบายๆยังไง นั่งไปแล้วก็รักษาความรู้สึกนี้ไว้ ถ้าเรารักษาความรู้สึกนี้ได้ แสดงว่าสติเกิด สติไม่เผลอ)

    จะภาวนาอะไรก็ตาม อยู่ที่เราชอบ ภาวนาไปแล้วไม่รู้สึกขัดกับจิตใจ


    ไม่ได้ว่านะครับ เพียงแค่จะเรียกสติให้นะครับ อย่างน้อยก็ได้ผล (อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ)
    สมาปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  4. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ไม่ได้คิดมากอะไรยังงั้น...แต่เมื่อคืนเครี๊ยด เครียด เหมือนครอบครัวตัวเองเป็นเหยื่อ(ตั้งกระทู้ไว้ที่กฏแห่งกรรมเรื่องไฟไหม้ใจ)
    แต่ก็ยังนั่งสมาธิอยู่ มันร้อนที่ใจแต่ก็ช่วยให้เย็นลงได้เยอะนะ (ก็พยายามคิดซ้ำไปมาว่าเราไม่มีงั้นใครก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ มันเป็นการอุปทานของเราเอง ความคิดเรื่องนี้กับ อารมณ์โกรธก็สลับกันไปมา มันมากเลย สู้กันอยู่นาน จนจิตมันนิ่งสักพัก แล้วก็โกรธให่มอีก และก็นิ่งอีกสลับกันไปมา สุดท้ายก็พอเย็นลงได้มาก) แม้เรารู้ธรรมของพระพุทธองค์แค่ผิวเผินก็ยังช่วยเราได้เยอะ
    ก็ไม่รู้ว่าที่คิดมาถูกต้องหรือเปล่า... แต่อยากระบาย
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    บางคน มาถึงตรงนี้ ก็ตกอกตกใจนะว่า เราปฏิบัติธรรม ทำไม สภาวะกิเลส ปรากฏ
    ออกมาให้เห็น

    ฟังดีๆนะ

    คนที่ปฏิบัติธรรมถุกต้องตามคำสอนของพระพุทธองค์ จะต้องเห็น ความเป็นจริง
    ของสิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน หรือ อัตตา มาแสดงอาการดิ้น" ให้เห็นคาตา

    หน้าที่ของเรา หากปฏิบัติถูกต้อง จะเป็นผู้ดู

    ดูอะไรบ้าง ดูอัตตาสองอย่าง หนึ่งคือ ฝ่ายดำ สอง ฝ่ายขาว สู้กัน ยื้อกัน

    ธรรมทั้งสองฝ่ายนั้น มันรบกันให้ดู คนดูจริงๆอยู่ห่างๆ แต่หากจิตยังไม่ตั้งมนั่นใน
    การรู้ทุกขสัจจ(สัมมาสมาธิ)ยังไม่มี จะเกินการปรักปรำ และ เลือกข้าง

    พูดง่ายๆ กูมันจะดึงสภาวะผู้ดูให้ลงไปเล่นด้วย แล้วให้เลือกว่า ตนเป็นฝ่ายไหน

    ยามไหนโดนดึงไปเห็นว่า ตนเป็นฝ่ายธรรมดำ ก็เผลอ แล้วก็ตำหนิตัวเอง ทำไม
    กูเป็นเช่นนี้หนอ ทำไมกูเป็นนางมารร้ายเช่นนี้หนอ

    ยามไหนโดนดึงไปเห็นว่า ตนเป็นฝ่ายธรรมขาว ก็เผลอ นี่ๆกูทำสมาธิเก่ง ตัดให้
    ขาดเลยฉั๊บๆ ตัดให้ขาดเลยฉั๊บๆ คือ โดนโรงละครธรรมฝ่ายขาวหลอกไปเป็น
    กูเก่ง แล้วก็เผลอไปอยู่กับฌาณโลกีย์ ไปเอาฌาณโลกีย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย

    มะนุดจึงข้องอยู่ในกามภพ ไม่อาจหลุดออกมาได้ หากไม่ไปฝ่ายธรรมดำ ก็หลุด
    ไปข้างเป็ยนฝ่ายธรรมขาว สาระวนอยู่กับการ เกลียดทุกข์ปรุงสุข มีสุขประมาท
    ก็เผลอเข้าหาทุกข์ วนเวียนอยู่อย่างนั้น

    จริงๆแล้ว หากมีสัมมาสมาธิ มีจิตตั้งมั่น ในการรู้ ในการดู ตอนที่ มีจิตถามว่า
    แกอยู่ฝ่ายไหน หรือ กำลังมีจิตคิดปรักปรำว่าตัวยูเป็นแบบไหน ตอนนั้นให้เล็งเห็น
    เลยว่า กำลังถูกมารกระซิบหลอกให้เลือกข้าง หากเราเผลอฟังแล้วอิน เราก็จะกระ
    โจนไปเอา ข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นตน

    แทนที่จะภาวนาอยู่อย่าง ไร้อัตตา(สุญญตา-วิราคะก็เรียก) ก็ดันไปคว้า(ราคะแทรก)สิ่งที่ถูกรู้ถูก
    ดูอยู่แท้ๆ ขึ้นมาเป็นของตน

    คว้าผิด คว้าถูก แต่ไม่ว่าจะคว้าอันไหน ก็เสร็จ มันหมด

    แต่ถ้าเราตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ ยืนอยู่อย่างเป็นผู้ดู ไม่ฉวยอะไรขึ้นมา เราจะเห็นทันทีว่า

    สรรพสิ่งมันเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ มันก็ดับ "สมถะเกิดก็เพราะเหตุที่ต้องการหนีโลก(ชั่วคราว)"
    "โลกมันเกิดเพราะเราห่างจากสมถะ(ไม่อยู่กับความพอเพียง-บางครั้งเป็นเพราะสมถะเสื่อมลงด้วยสภาพ
    ธรรมที่ไม่เที่ยงในตัวมันเอง)" แต่ ผู้ดู ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจัยเหล่านั้น เป็นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ
    ชักเย้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    พอภาวนาไปอีกสักพัก มันจะแจ้งว่า ทุกสิ่งเกิดตามเหตุปัจจัยจริงๆ

    แทบจะไม่มีเราตรงไหนเลย เพราะแม้แต่การจะเข้าสมถะ สมาธิแบบฌาณโลกีย์
    ก็ถูกผลักดันโดยโลกธรรม กิเลสนิวรณ์เกิดขึ้นก็เป็นเพราะถูกผลักดันโดยโลก
    ที่พร่องธรรม ตัวจิตเป็นเพียงลูกตุ้มที่แกว่งไปแกว่งมาตามแต่แรง ผลักดัน

    สิ่งที่ผลักดัน ก็คือ ตัณหา กิเลสเกิดขึ้นก็เพราะตัณหา ฌาณโลกีย์เกิดขึ้น
    ก็เพราะตัณหา ตัณหามันปั่นหัวอยู่ มันจะนำพาไปสู่การรอดได้อย่างไร หาก
    เราหมายเอาธรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นตนอยู่อย่างนั้น

    พอภาวนาเข้าใจทุกขสัจจของจิต ก็จะเลิกปรักปรำ ไม่ปรักปรำกิเลส และไม่
    ปรักปรำฌาณโลกีย์เหล่านั้น เพราะ ทั้งสอง ปรากฏเป็นสิ่งที่ให้เราได้เรียน
    รู้ความเป็น ตัวเป็นตน ที่มันก่อขึ้น

    ตัวเราอยู่ตรงไหน ไม่ต้องไปถาม หากมี"รู้" อยู่ ก็ไม่หายไปไหนหรอก ไม่ได้
    ตายไปไหนหรอก

    หลังจากเลิกปรักปรำ ก็จะภาวนาดูไปเรื่อยๆ เนืองๆ เห็นความแปรเปลี่ยน(อนิจจัง)
    ตั้งอยู่ไม่ได้(ทุกขัง) ที่เกิดตามเหตุปัจจัยไม่ใช่เพราะมีอะไรบัญชา(อนัตตา) เกิด
    การเห็นไตรลักษณ์ญาณเป็น "บริกรรม" บริหารจิตไปตามวาสนา บารมี อิ่ม
    การเห็นเมื่อไหร่ก็จะเกิดการตัดสินในการมี จักษุธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2011
  7. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ก็พอจะเข้าใจที่คุณเอกวีร์ แต่ว่าพอโมโหทีไร ต้องเป็นผู้เล่น ทุกที แต่ครั้งนี้มันสุดทน
    เหมือนโดนปล้นแบบถูกกฏหมาย ตอนนี้เลยต้องขอดับไฟก่อน ไฟไม่ดับก็ทำอะไรไม่ได้เลย
    ขอบคุณนะคะ....
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ครับ

    ไม่มีอะไรดีเท่า "บริกรรม"

    บริหารกิจไปตามสภาวะของกรรม บริกรรมให้ถูกวิธี
    ก็เท่ากับ บริหารงานได้ถูกทาง เป้าหมายตั้งตรงไว้
    ที่พระนิพพาน ก็คงไม่ยากและคุ้มที่ได้พยายาม

    แค่พยายาม ก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ใคร

    หนี้ทางโลกอาจใช้กันไปทวงกันมาไม่จบ

    หนี้ทางธรรมนี้มีวันจบ และทุกคนได้ประโยชน์
    จากการพ้นการเป็นหนี้ที่เนื่องกันได้ในรวดเดียว
     
  9. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ดีครับระบายมันออกมาเถอะครับ จะได้สบายใจ เมื่อเราสบายใจได้ จิตมันก็จะสบายไปด้วย เพราะจิตมันอาศัยอยู่ในใจ หรือที่เรียกรวมกันว่า "จิตใจ"

    ใจก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของเรา
    ตัวเราเองก็เปรียบเสมือนเป็นจิตที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน

    แต่ ณ วันนี้ บ้านของเรากำลังจะถูกไฟไหม้ เราซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ควรจะทำอย่างไรดี?
    ตัวเราเองที่เปรียบเสมือนเป็นจิต สิ่งที่จิตจะต้องทำก็คือ "การดับไฟ" ที่มันเผาใจเราอยู่ให้ได้ มิฉะนั้นแล้วมันจะร้อนจิต ร้อนใจ

    สิ่งที่จิตจะต้องใช้ดับไฟก็คือ "พระธรรม" คำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า (พระเครื่องช่วยดับไฟในใจเราไม่ได้) ท่านทรงสอนให้ใช้ "ปัญญา" พิจารณา ไตร่ตรอง ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับใจเรา ให้ตามรู้อย่างผู้มี "สติ"

    "สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาหาย" ลองคิดพิจารณาดูครับว่าเราจะเอาหลักธรรมอะไรมาดับไฟในใจเราได้ เช่น

    "ขันติธรรม" คือ ความอดทน เราจะต้องสอนให้จิตใจมันรู้จักความอดทน เมื่อจิตเข้าถึงความอดทนแล้ว ทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยาก (ไม่ไหวจ้า ขันแตกแล้ว)

    "อุเบกขาธรรม" คือ การวางเฉย เราต้องสอนให้จิตมันรู้จักความวางเฉย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่จิตมันคิด มันฟุ้ง ถึงเรื่องนั้น ก็แสดงว่า จิตมันไม่ได้วางเฉย แต่จิตมันกลับส่ายเข้าไปหาไฟซะเอง เมื่อรู้ตัวว่าคิดก็ต้องพยายามหยุดคิด หรือพยายามปรับเปลี่ยนเรื่องคิด คิดแต่ในสิ่งที่ดีๆ

    ถ้าเราจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้นก็คือ ให้พิจารณาเหตุการณ์นั้นๆเป็นธรรมไปเลย เช่น ฉันกำลังจะคิด ฉันกำลังจะฟุ้ง เมื่อรู้ว่าคิด ก็แสดงว่าสติเกิดแล้ว แต่กว่าจะรู้ตัวได้ว่าคิด มันก็เครียดไปแล้ว ตรงจุดนี้แหละที่เขาเรียกว่า จิตมันคิดจนอิ่มตัว กว่าจะอิ่มตัวได้เล่นซะเราเครียดเลย

    เมื่อสติเกิดขึ้นมา ก็ให้ใช้ปัญญาหยิบหลักธรรมขึ้นมาพิจารณาอบรมสั่งสอนจิตใจ เช่น คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมา อบรมสั่งสอนให้จิตใจเข้าถึงความอดทน เข้าถึงการวางเฉย หรือไม่ก็ไปหาอะไรทำที่เป็นการพักผ่อนจิตใจ

    หลวงปู่ท่านสอนว่า "คนเราทุกข์มากเพราะความคิด"

    ขอให้เจริญในธรรมครับ (ผ่านมาให้ได้นะครับ สู้ สู้ สู้)
    สมาปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2011
  10. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณ...ทุกท่านที่ให้กำลังใจ และแนะนำข้อธรรมดีๆนะคะ เราอาจวิตกจริตไปก่อนก็ได้ เรื่องมันยังไม่ถึงที่สุดก็ไปตีโพรยตีพรายซะแล้ว แต่เราเริ่มปลงได้ นิดนึง
    พยายามคิดว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เราอาจเคยไปทำเค้าก่อนก็ได้เนอะ...
    ต่อไปนี้เราจะพยายามไม่ให้เป็นแต่ผู้รู้..แต่เราจะเป็นผู้เห็นด้วย
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ว้าว นี่เลยๆ เรียกว่า โยนิโสมนสิการ

    คือ เดิมเราเห็นเรารู้อย่างนี้ๆ แต่พอใคร่ครวญแล้ว มันจะเห็น มุมยกการเห็น

    การเห็น มุมยกการเห็น อันนี้เรียก "โยนิโส" (เห็นช่องดีๆ) หลังจากนั้นจะ
    เป็นเรื่อง โน้มไป น้อมไป ตามที่เห็น ที่เล็งไว้ ได้หรือไม่ได้ หากทำได้
    ก็มี "นมสิการ" อันนี้ แยกเจตสิกธรรมออกมาเป็น สองตัว ตามลักษณะ
    อภิธรรม เล่นๆ

    * * * *

    ตรงที่ปรารภกฏแห่งกรรม อันนี้ ร่องรอยของ สัมมาทิฏฐิ มันปรากฏร่วม
    ในจิต เป็นเจตสิกเหมือนกัน
     
  12. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    ไม่ได้แซวกันนะคะ...คุณเอกวีร์และหลายๆท่านที่ให้ข้อคิดเรื่องธรรมะ คือว่ามัน
    เป็นความผิดของเราเองน่ะแหละ พวกศัพท์ยากๆเราแปลไม่ออก พอแปลไม่ออกมันก็ไม่ค่อยซึ้งอะนะ พยายามที่จะเดาความหมาย แต่มันก็เกินสมองอันน้อยนิดของเรา ครั้งหน้ารบกวนช่วยแปลให้ด้วยนะคะ หรือแบบเอาที่เป็นภาษาชาวบ้านนะคะ
    ถือว่าเมตตาสัตว์โลกก็แล้วกันนะคะ เช่น ปลูกกล้วยก็ต้องได้กินกล้วย หรือ มีคนเค้าบอกว่าต้นกีวีลักษณะต้น และผลมันเป็นยังไง เราก็ได้แต่รับรู้ว่ามันมีลักษณะ
    อย่างไร แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นต้นและผลที่แท้จริงของมันซักที นอกจากเราจะต้อง
    ปลูกเองหรือ เดินทางไปดูที่สวนของมัน
    เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ (เหมือนเราบังคับกลายๆเลยเนอะ)
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ขออภัยด้วย

    เผอิญว่า ไม่มีนญบายพูดแล้วให้รับไปทันทีเมื่ออ่านจบ

    ผมยินดีเสมอที่ผู้อ่าน อ่านแล้วพบว่า เราขาดตกบกพร่องเรื่อง
    ปริยัติ(บาลีนั้นแหละ)

    เพราะผมมุ่งหมายผลักดันให้ค่อยรับ พุทวัจนะไว้บ้าง เพื่อที่ว่า
    วันไหนเจอเต็มๆกว่านี้ จะได้ไม่ด่วนปฏิเสธการฟัง

    ซึ่งมันจะไปเข้าทาง พวกที่ชอบกลบพุทธพจน์ อ้างว่า ตนบริสุทธิแล้ว
    กล่าวแม้แต่คำหยาบๆ ก็เป็นธรรม อะครับ

    ทนเอาหน่อนเนาะ หากทนไม่ไดขอเสนอ ธรรมะของกลุ่ม
    พระคึกฤทธิ์ โสดาปติผลครับ ฟังง่าย
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=pVuNnoalRKw&feature=related]YouTube - ธรรมตอบโลก 7.mpg[/ame]

    ฝ่ายมีเดีย เอกวีร์ นำเสนอ​
     
  15. Jaithai

    Jaithai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +13
    กลุ่มนี้ก็ไม่รู้จักค่ะ จริงๆ ก็ไม่รู้จักซักกลุ่ม ;9kสรุปว่าคราวหน้ารบกวนช่วยแปลให้หน่อยนะคะ
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    :cool::cool:

    จิตไม่ใช่ของๆเรา ดำเนินอยู่ได้ด้วยปัจจัยขันธ์5 อายตนะ6
    สติเป็นตัวรู้ จิตเป็นตัวถูกรู้ แต่สติก็มีการถูกกำหนดด้วยอะไร จึงได้ไปรู้ที่นั่นที่นี่ ??
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    6ม-เม็ด ไม่สอนเพิ่ม

    แหะ แหะ ขอภัยจริงๆ รบกวนค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองนะครับ

    ตอนนี้ กลุ่มที่ผมกล่าว คงพอรู้แล้วหละ

    แต่อันนี้ แนะนำให้รู้จักเฉยๆ ไม่ได้กล่าวว่า ให้เปลี่ยนอะไรนะ

    ผมต้องทำงานใช้ อาหลงเขาบ้าง กลุ่มเขามีคุณต่อผมเหมือนกัน

    [​IMG] ( ใช้เป่าไม่รู้ รู้แต่ ป่วนสนิท )
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกัีบกลุ่มนี้เหมือนกัน

    เพียงจริตตรงกัน ก็รับฟังกันได้
     
  19. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ผมคงต้องตอบความเข้าใจของผม เพราะนี่เป็นปัญหาที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างอิง
    สำหรับผมแล้วตัวรู้มันก็มีอยู่เป็นชั้นๆ ชั้นหนึ่งมันสังเกตอีกชั้นหนึ่ง อย่างอานาปา
    นสติ หมวดจิตตานุปัสสนา จะมีข้อที่ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าหรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
    คือจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าคือจิตนั้นถูกอีกตัวหนึ่งสังเกตอยุ่ และมันจะมีอยู่ชั้นหนึ่งที่มัน
    ไม่ได้ถูกสังเกตเป็นผุ้สังเกตในลำดับสุดท้ายเรียกว่าไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ซึ่งนี่คือตัวเรา
    เหมือนอย่างเวลาที่เราฝัน เรากำลังดำเนินเรื่องของเราอยู่เช่นไปเที่ยว ดูหนัง แล้ว
    ตอนตื่นมาทำไมเราถึงรู้ว่าในฝันเราทำอะไร เพราะมันมีตัวที่คอยสังเกตอยู่อีกชั้น
    หรือคนที่ระลึกชาติได้กลับไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ยังไม่รู้ความเพราะมันมีตัวที่คอยสัง
    เกตอยู่ และการมีสติก็คือการระลึกได้ ระลึกถึงตัวเราจริงๆ ผมเข้าใจว่ามันเป็นกระ
    บวนการยกระดับของเราจนถึงตัวเราจริงๆ เมื่อเรามีสติคือความระลึกได้ เราก็เหมือน
    จะกลับเป็นตัวเราจริงๆ เหมือนกับบางท่านที่ฝึกสติมากจนสามารถมีสติในขณะนอน
    หลับไม่ฝันเพราะได้ยกระดับของผู้สังเกตให้สูงขึ้นมาแบบนั้น ส่วนตัวที่กำหนดว่าให้
    มีสติตรงนั้นตรงนี้มันก็คือระดับจิตของเราขณะนั้น คือมันมีหลายระดับครับมันมีจิตใน
    ระดับที่มีสติทั่วพร้อมก็มี และตัวที่มีสติเล็กน้อย ไม่มีสติเลยก็มี คนที่ระลึกชาติได้เมื่อ
    กลับไปในอดีตนั้นบางคนจำได้แม้แต่บรรยากาศ ทั้งที่ตอนเขาเป็นคนตอนนั้นอาจจะ
    ไม่ได้สังเกตเลย และถ้าเป็นตัวรู้ลำดับสุดท้ายจริงก็มีสติทั่วพร้อมครับ
     
  20. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ค่อยๆศึกษาไปนะครับ ไม่ต้องรีบร้อน ทำใจให้สบายๆ พยายามตัดความวิตกกังวลออกไป (ทำตรงจุดนี้ได้ธรรมก็เกิดขึ้นในใจเราแล้วครับ พยายาม พยายาม คิด พิจารณา ว่าตรงจุดไหนที่เป็นธรรมให้ปฏิบัติตาม ดังคำที่ว่า "มีปัญญาก็เห็นธรรม")

    ธรรมนั้นอยู่ที่ไหน? ที่ไหนเป็นที่อยู่ของธรรม?
    หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เพราะเราลืมมองตัวเราเอง
    ลองมองดูตัวเราเอง ลองมองดูที่จิตใจของเราเอง ลองค้นหาความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเรา แล้วเราจะรู้จะเข้าใจได้ดีว่า "ธรรมมันอยู่ตรงไหน ตรงไหนที่เป็นธรรม"

    การแก้ปัญหาทั้งหมดควรใช้ "ปัญญา" เป็นตัวแก้ไข
    ใช้สมองของเรา หรือใช้หัวของเรา ค่อยๆคิดพิจารณาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    ค่อยๆแก้เชือกที่มันอยู่ในใจของเราทีละปม ทีละปม สักวันหนึ่งจะต้องแก้ได้หมดถ้าเรามีความเพียร มีความพยายาม

    แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราใช้ "อารมณ์" เป็นตัวแก้ไขปัญหา อะไรจะเกิดขึ้น?
    บางครั้งอาจทำให้ปมในใจมันมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แล้วจะแก้ยากกว่าเดิมอีก

    ปัญญาในการแก้ไขปัญหา
    ปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมจะต้องอาศัยสมาธิเป็นตัวหนุน
    แค่อุปจารสมาธิก็พอ
    อย่าเข้าสมาธิลึกไปกว่านี้ ถ้าเข้าลึกกว่านี้จะกลายเป็นสมถะ
    สมถะก็คือ นิ่ง เงียบ สงบ (นิ่ง เงียบ สงบ ช่วยแก้ปัญหาได้ไหม?)
    การที่เรา นิ่ง เงียบ สงบ เพราะเราต้องการพักผ่อนจิตใจ ให้จิตมันคลายตัว
    แต่ปัญหาในใจจะหมดไปได้เพราะ "ปัญญา"

    ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหนทางแห่งพระนิพพาน
    ตนนี้แหละเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริง เราจะต้องเป็นผู้ก้าวเท้าเองครับ
    สมาปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...