ชีวิตหลังความตายแบบชาวจีนแบบชาวพุทธและเเบบชาวตะวันตก

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 12 มกราคม 2011.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ชีวิตหลังความตายแบบจีนนี้ รวบรวมจากข้อมูลของกลุ่มอนุตตรธรรม (เป็นกลุ่มปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง ที่มาจากประเทศจีน/ใต้หวัน ซึ่งหลักคำสอนจะค่อนข้างแกงโฮะหลายศาสนาเข้าด้วยกัน จนหลายๆ คนสับสน เพราะคำสอนเขาระบุว่าเขามี "พระเจ้า" แต่ว่าพุทธศาสนาแท้ๆ ไม่มีพระเจ้า เลยไม่สามารถเรียกว่าพุทธศาสนาได้ (ถึงคำสอนจะคล้ายๆ กันก็เหอะ) ยกเว้นจะเป็นพุทธแบบมหายาน ก็อาจจะพอถูพอไถได้บ้าง... เนื่องจากไม่มีข้อมูลของจีนสายอื่น จึงใช้ของกลุ่มนี้ไปพลางก่อน) ผู้เขียน (หยางเซิง) ได้เล่าว่า เขาได้รวบรวมจากประสบการณ์ ที่พระจี้กงได้พาวิญญาณเขา ไปเที่ยวในโลกหลังความตาย ด้วยบัวอาสน์เป็นเวลาหลายปี เนื่องจากเป็นคำสั่งจากเบื้องบน
    พวกเขาได้กล่าวว่า ในขั้นแรกนั้น ในจักรวาลไม่มีอะไรเลย แต่มีเพียงพลังงานกลุ่มใหญ่ ซึ่งไม่มีรูปร่างอยู่ ต่อมา พลังงานกลุ่มใหญ่นี้ ได้แตกพลังงานย่อยๆ ออกมา และพลังงานย่อยๆ เหล่านั้นก็ได้กลายเป็นวิญญาณของมนุษย์ หลังจากนั้น พลังงานตัวแม่ก็ได้สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้น เช่น แดนนิพพาน เพื่อเป็นที่อยู่สำหรับวิญญาณลูกทั้งหลาย และอื่นๆ ดังนั้น พวกเขาจึงเรียกพลังงานแม่นี้ว่า "เหลาหมู่" หรือพระแม่เจ้า และเรียกแดนนิพพานว่า "บ้านเดิม"
    วิญญาณของเรา ได้ลงมาเกิดบนโลกนี้ (มีการบอกเหตุผลประมาณว่า ที่ต้องลงมาเกิดก็เพื่อมาปกครองโลกมนุษย์ อะไรประมาณนั้น) เป็นเวลาประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ทำให้วิญญาณของเราสกปรก เนื่องจากบาป กิเลส ตัณหาที่มีอยู่ในโลก มันทำให้เราหลงลืมหนทาง ซึ่งจะนำเรากลับคืนสู่บ้านเดิมด้วย ดังนั้น เราจึงหลงทาง อยู่ระหว่าง นรก กับโลกมนุษย์อยู่เป็นเวลานานแล้ว และมีมนุษย์อยู่น้อยมาก ที่สามารถตื่น และค้นหาหนทางที่ถูกต้อง ในการกลับบ้านได้
    เมื่อมนุษย์ตายลง วิญญาณเขาอาจใช้เวลาประมาณ ๗ วัน จึงจะรู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว (ถ้าหากตายเพราะอุบัติเหตุ) หรืออาจจะรู้ตัวทันทีก็ได้ เขาอาจจะวนเวียนอยู่ในบ้าน เป็นเวลา ๔๙ วัน ก่อนจะไปต่อตามทางของตนเอง หรืออาจจะมียมทูตมาพาตัวไปทันทีก็ได้ ช่วงเวลา ๔๙ วันนี้ อาจเรียกได้ว่า "ช่วงเวลาแห่งความกตัญญู" เพราะทุกสิ่งที่คนข้างหลังทำ ในช่วงเวลานี้ จะเป็นของผู้ตายทั้งหมด ไม่ว่าบาปหรือบุญ ดังนั้น เราควรจะถือศีลกินเจ ในช่วงนี้ เพื่อลดหย่อนบาปให้แก่ผู้ตาย (ฟังดูแปลกๆ เหมือนกัน เพราะสายนี้เขาเชื่อว่า บุญบาปถ่ายทอดให้กับบรรพบุรุษได้ ซึ่งผิดกฎแห่งกรรมอย่างชัดเจน แต่ถ้าจะถือศีลกินเจ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะอย่างน้อยก็ดีกับผู้ปฏิบัติเอง)


    นรก

    สถานที่สำหรับตัดสิน และลงโทษวิญญาณ มีทั้งหมด ๑๐ ตำหนัก และด่านสำหรับลงโทษย่อยๆ อีกมากมาย ในแต่ละตำหนัก
    เขาซันโถว

    เป็นภูเขาที่อยู่ในช่วงต้นๆ ทางของโลกหลังความตาย มีถ้ำ และเหวที่ลึกมากอยู่ เมื่อวิญญาณผ่านมาถึง หากเป็นวิญญาณบาป จะถูกแสงจ้าสะท้อนเข้าตา และทำให้ตกลงไปในเหว ลงสู่นรก แต่ถ้าเป็นวิญญาณที่ดี จะมีสะพานสายรุ้งทอดผ่าน เพื่อนำวิญญาณนั้นขึ้นสู่สวรรค์
    สระน้ำชิงซิน

    สำหรับล้างวิญญาณ เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตเท่านั้น
    ทางสามแพร่ง

    เป็นทางแยกระหว่างมนุษย์ กับผี (โลกมนุษย์ นรก และสวรรค์)
    แดนสนธยา

    เป็นพรมแดนระหว่างคนกับผี
    แผนกบัญชี

    ตรวจสอบบาปบุญของวิญญาณ ถ้าทำบุญไว้มาก จะพาชมนรก
    ด่านมรณะ และสำนักพระศาสดา

    เป็นทางเข้าสู่นรกจริงๆ
    ตำหนักที่ ๑

    หอกระจกทิพย์

    เป็นกระจก ที่จะแสดงพฤติกรรมทั้งหมด ของวิญญาณที่ดื้อด้าน ทำให้ ไม่สามารถปฏิเสธบาปได้
    สถานสวดมนต์

    สำหรับลงโทษ พระที่รับจ้างสวดมนต์ตามงาน และได้สวดผิดอย่างจงใจ จะต้องสวดมนต์ซ้ำๆ กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกต้อง ตามจำนวนที่ระบุ โดยมีเพียง เทียนเล่มเดียว เป็นแหล่งแสงสว่าง
    เมืองผีตายโหง

    สำหรับเก็บวิญญาณ ที่ตายโดยที่ยังไม่ถึงอายุไว้ชั่วคราว จนกว่าจะครบกำหนด จึงจะนำมาพิจารณา
    ตำหนักที่ ๒

    สถานแสดงธรรม

    สำหรับแสดงธรรม โปรดวิญญาณที่มีบาปน้อย
    หนองอาจม

    สำหรับลงโทษ วิญญาณที่มีชีวิตโสโครก เช่น โสเภณี มือปืน มิจฉาชีพ คอรัปชั่น โดยจะต้องแช่ จนกว่าเนื้อจะเน่า
    นรกอดอยาก

    สำหรับลงโทษ วิญญาณที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ร่ำรวยแต่ขี้เหนียว จะได้รับอาหารเพียง อาทิตย์ละมื้อเท่านั้น
    สะพานมรณะ

    เป็นสะพานแคบๆ ไม่มีราว ใต้สะพานเป็นงู วิญญาณบาปจะตกลงไป ด้วยความหวาดกลัว หรือถูกผลักตกลงไปเอง เมื่อขึ้นมาบนสะพาน
    นรกเวทีลีลาศ

    สำหรับลงโทษ วิญญาณพวกพาร์ทเนอร์ หรือพวกที่ชอบดิ้น และขายตัวให้กับผู้ชายกลัดมัน พื้นจะเป็นเหล็กเผาจนแดง และวิญญาณจะถูกผลักเข้าไป "ดิ้น" บนพื้นนั้น
    นรกน้ำแข็ง

    สำหรับลงโทษ วิญญาณที่ชอบอวดเรือนร่าง ทำซ่อง อวดรวย ยักยอก พวกนี้จะถูกแช่แข็งจนกว่าจะพ้นโทษ
    ตำหนักที่ ๓

    นรกควักลูกตา

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่น ถ้ำมอง ทุจริต ดูหนังโป๊ หนังสือโป๊
    นรกเฉือนใบหน้า

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่หน้าด้าน ไร้ยางอาย จะถูกเฉือนใบหน้าด้วยมีด โดยพวกผีนรก
    นรกแขวนห้อยหัว

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เนรคุณ มีพฤติกรรมเหมือนสัตว์ จะถูกแขวนเท้าไว้กับราว โดยราวจะแทงทะลุเท้าด้วย
    เมืองสัตว์กลับชาติ

    สำหรับสัตว์ที่กลับมา หลังจากตายแล้ว จะมีศาลากลับชาติ ซึ่งมีน้ำกลับชาติ สำหรับให้สัตว์ดื่ม เพื่อกลับสู่ร่างเดิมครั้งเป็นมนุษย์
    ตำหนักที่ ๔

    นรกกรอกยา

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ทำยาปลอมขาย จะถูกกรอกยาเข้าปาก
    นรกราดน้ำร้อนลวกมือ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เป็นขโมย ต้มตุ๋น โจร เซ็นเช็คเด้ง โกง จะถูกราดน้ำร้อนลงบนมือ
    นรกแทงปาก

    สำหรับลงโทษ พวกปากไม่ดี จะถูกแทงปากด้วยเหล็กแหลม
    นรกบั่นมือ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่โกงตาชั่ง จะถูกตัดมือ แล้วโยนให้หมาเหล็กกิน
    นรกผึ้งพิษ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ฉ้อฉลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผึ้งเหล่านี้เป็นผึ้งศักดิ์สิทธิ์ จะไม่ทำร้ายผู้ไม่ผิด
    ตำหนักที่ ๕

    เจ้าตำหนักนี้ มีชื่อทั่วไปว่า "เปากง" หรือ "เปาบุ้นจิ้น" ที่เรารู้จักกันนั่นเอง ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม ท่านจะตรงไปตรงมา และตัดสินโทษหนักมาก

    หอดูบ้าน

    เป็นหอสำหรับ วิญญาณที่ต้องการจะดูความเป็นอยู่ ของลูกหลาน
    นรกควักหัวใจ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่มีจิตใจสกปรก เช่น ดูหมิ่นศาสนาอื่น เจ้าชู้ อิจฉาริษยา ข่มขืนผู้อื่น เล่นการพนัน จะถูกพวกปีศาจเฉือนหน้าอก แล้วควักหัวใจออกมา
    ตำหนักที่ ๖

    นรกหนูกัดตัดอวัยวะเพศ

    สำหรับลงโทษ ผู้ชายที่ใช้จำปีในการสร้างบาป เช่น ข่มขืน หรือความผิดทางเพศ จะถูกหนูเข้ามากัดจำปี จนกว่าจะขาด
    นรกลากรถ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ทำผิดกฎจราจร แล้วทำให้เกิดอุบัติเหตุ พวกนี้จะต้องลากรถ ซึ่งมีหินหนักๆ บรรจุอยู่เต็ม จากยอดเนินลงมาสู่ทางราบ โดยใช้ถนนแคบๆ เป็นเวลาหลายเที่ยว ต่อวัน
    นรกงัดปากให้อมเข็ม

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ทำผิดด้วยวาจา ติดยาเสพติด หน้าเลือด จะถูกงัดปากให้เปิด แล้วเอาลูกหนามใส่ลงไป
    นรกตาข่ายลวดหนาม ตั๊กแตนกินสมอง

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่อยุติธรรม ผู้รักษากฎทำผิดกฎเสียเอง มิจฉาชีพ จะอยู่ในตาข่ายลวดหนาม โดนข่วน แล้วมีตั๊กแตนมาเจาะ กินสมองอีกด้วย
    ศาลตุลาการ

    สำหรับรับวิญญาณ
    ตำหนักที่ ๗

    นรกอิฐเผาร้อนมหาโหด

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่บ้าชื่อเสียง เกียรติยศ ขี้โมโห รั้น จะต้องเดินผ่านอิฐเผา ยาว ๓๐๐ ลี้ (ประมาณ ๙๐ กม.) ก็เป็นอันพ้นโทษ
    นรกรางเหล็กเผาลวกนิ้วมือ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ลวนลามผู้อื่น ใช้มือทำความผิด เปิดบ่อน โกงพนัน ใช้เช็คเด้ง ชอบชกต่อย จะต้องถูกเอานิ้วนาบบนรางเหล็กร้อน
    นรกผ่าท้อง

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่คอรัปชั่น ใจดำ อำมหิต บังคับคนอื่นขายตัว เอาแต่ได้ ไม่คิดถึงผู้อื่น
    นรกย่อตัวทูนหิน

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่หัวแข็ง โอหัง เป็นครูชั่ว จะถูกบังคับให้ย่อตัวลง แล้วทูนหินไว้บนหัว
    นรกกระทะทองแดง

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เป็นโจร ปล้น ฆ่าคนตาย เนรคุณ ใช้ไสยศาสตร์ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จะถูกจับใส่ในกระทะ ที่มีน้ำมันเดือดๆ อยู่
    นรกตัดลิ้นเจาะแก้ม

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ปากเสีย จะถูกดึงลิ้นออกมา แล้วตัดลิ้นออก แล้วเอาเหล็กแหลมมาเจาะแก้มด้วย
    ตำหนักที่ ๘

    นรกรถทับร่าง

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เป็นอาชญากรทางเพศ ฆ่าคน อกตัญญู รถจะมีล้อขรุขระ เทียมด้วยล่อ ๔ ตัว วิ่งเข้ามาทับร่างให้บี้แบน
    นรกตัดแขนขา

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ใจคด อกตัญญู ฆ่าคน ประทุษร้ายคน
    ตำหนักที่ ๙

    มีถนนสำหรับแสวงบุญ (ผู้ที่จะไปเป็นเจ้าที่) และมีน้ำตกของนาค ๙ ตัว (จิ่วฉวน)

    นรกเคี่ยวน้ำมันกระเซ็นร่าง

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่เขียนหนังสือโป๊ ถ่ายรูปโป๊ จะถูกบังคับให้ยืนอยู่ข้างๆ กระทะน้ำมันเดือดๆ แล้วพวกผีนรกจะสาดให้น้ำมันกระเซ็นใส่
    ขุมอสรพิษ

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ทุจริต คดโกง งูจะเจาะเข้าออกจากตัว
    นรกอเวจี

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่บาปหนักที่สุด (อนันตริยกรรม) เช่น อกตัญญู ข่มขืน ทำเหล้าปลอม ยาปลอม ค้าของเถื่อน ติดยาเสพติด ขายชาติ ฯลฯ เป็นถ้ำขนาดใหญ่ มืดสนิท มี ๑๘ ชั้น ข้างในมีดงเหล็กแหลม นองด้วยเลนร้อน ผู้ที่ถูกลงโทษอาจไม่ได้ผุดได้เกิด อย่างไรก็ตาม บางส่วนจะถูกส่งไปเกิด เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นช่วงๆ (ขึ้นกับการพิพากษา) เมื่อไปเกิดแล้ว ก็จะถูกคนฆ่า หลังจากนั้นก็กลับมายังอเวจีอีกครั้ง นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้บอกด้วยว่า ผู้ยิ่งใหญ่ และจักรพรรดิในอดีตหลายคน ก็ยังคงอยู่ในนรกขุมนี้
    ตำหนักที่ ๑๐

    เป็นทางออกของนรก

    หอดูการกำเนิด

    เป็นหอที่สูงมาก มีบันได ๓๖๐ ขั้น ขึ้นไปยังยอด เพื่อดูภาพบนโลกได้
    สถานพิจารณาบาป

    สำหรับตรวจสอบครั้งสุดท้าย ก่อนส่งวิญญาณไปเกิดใหม่ มีหน่วยย่อยมากมาย

    • หน่วยตรวจสอบ
    • หน่วยตรวจบุญกุศล
    • หน่วยตรวจบาป
    • หน่วยสนองกรรม
    • หน่วยอายุขัย
    • หน่วยควบคุมทดแทนคุณโทษ
    • หน่วยพิจารณาวาสนา
    • หน่วยให้กำเนิด
    ศาลาเมิ่งผอ

    ศาลานี้ จะมีน้ำล้างความจำ เพื่อให้วิญญาณทุกดวงได้ดื่ม สำหรับลบล้างความจำ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันความสับสน
    วัฏจักร ๖ วิถี (หอจักรผัน)

    ตั้งอยู่ที่ "แม่น้ำแดง" (เกิดจากหยาดเหงื่อและเลือด ของวิญญาณบาป) จะหมุนตลอดเวลา โดยมีสะพานทอดไปหา ๖ สะพาน
    • สะพานทอง: สำหรับผู้มีบุญมาก จะทอดไปสู่สวรรค์โดยตรง โดยไม่ผ่านหอ
    • สะพานเงิน: สำหรับผู้มีบุญปานกลาง นำวิญญาณไปเป็นเจ้าที่ จะไม่ผ่านหอ
    • สะพานหยก: สำหรับผู้ที่ทำบุญพอควร จะเข้าหอจักรผัน ไปเกิดเป็นคนร่ำรวย
    • สะพานหิน: สำหรับผู้ที่ทำบุญบ้าง ไปเกิดเป็นสามัญชน
    • สะพานไม้: สำหรับผู้ที่ทำชั่วมากกว่าดี ไปเกิดเป็นคนยากไร้
    • สะพานไม้ไผ่: สำหรับผู้ที่บาปหนา ไปเกิดเป็นสัตว์
    หอจะเป็นรูป ๘ เหลี่ยม ข้างในเป็นภาพโลก มีช่องทางออกอยู่ ๖ ช่อง

    1. ทั้ง ๖ ช่องจะส่งวิญญาณไปเป็น
    2. เจ้านาย
    3. สามัญชน
    4. สัตว์ออกลูกเป็นตัว
    5. สัตว์ออกลูกเป็นไข่
    6. สัตว์น้ำ
    7. แมลง
    ที่อยู่อาศัยสามัญชน

    สำหรับผู้ที่มีบาปบุญปานกลาง (บาปไม่หนัก และบุญไม่พอขึ้นสวรรค์) จะอยู่อาศัยแบบชนบท ไม่มีเครื่องทุ่นแรงใดๆ มาช่วย แต่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ก็ได้ เมื่อเวลาหมดลง ก็จะถูกส่งไปเกิดอีกครั้ง
    รวมกุศลสถาน

    สำหรับอบรม ผู้ที่จะไปเป็นเจ้า หรือขึ้นสวรรค์ จะมีการสอบโดยใช้ภาพนิมิต เช่น ของตก หรือหญิงสาวสวยมายั่วยวน
    หน่วยงานเชิดชูคนดี

    สำหรับเป็นที่อยู่ชั่วคราวของคนดี ก่อนจะสอบประวัติ
    หน่วยงานลงโทษคนชั่ว

    สำหรับเก็บวิญญาณคนชั่วชั่วคราว ก่อนจะตรวจสอบประวัติ นอกจากนั้น ยังมีงานอื่นๆ อีกคือ จับวิญญาณของคนชั่ว ที่ยังไม่ตายมาลงโทษ ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่หลับ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ และสามารถลดบาปได้บ้าง
    บ่อน้ำเลือด

    บ่อนี้อยู่ข้างล่างของสะพานมรณะ เป็นที่รวมเลือดของวิญญาณบาป ใช้สำหรับแช่วิญญาณที่ลามกอนาจาร
    ตำหนักตงยู่

    ใช้สำหรับควบคุมวิญญาณจรจัด ( สัมภเวสี)

    <CENTER>ที่มา: หนังสือ ท่องนรก</CENTER>สวรรค์

    ที่อยู่สำหรับวิญญาณดี จะมีประตูทางเข้าเพียง ๑ ช่องทาง ซึ่งจะมี ไฟเป็นวงขวางอยู่ วิญญาณที่มีบุญไม่เพียงพอ จะถูกเผา แล้วตกลงในนรก สวรรค์มีสถานที่สำคัญๆ ประมาณ ๑๙-๒๐ แห่ง ต้นฉบับของเรื่อง สวรรค์แบบจีนนี้ หนามาก ทำให้ผมไม่สามารถแสดงรายละเอียดได้ เนื่องจากเนื้อที่และเวลาจำกัด ผมสามารถแสดงได้เพียง ชื่อของแต่ละที่เท่านั้น ซึ่งผมว่า รายละเอียดของทุกที่ก็คงคล้ายๆ กัน เพราะเท่าที่อ่านดู ไม่ค่อยต่างกันนัก คือ เป็นที่ที่เงียบสงบ สวยงาม

    1. นี่คือชื่อของสถานที่ทั้งหมดในสวรรค์
    2. ด่านทักษิณ ทางเข้าออกเพียงทางเดียวของสวรรค์
    3. พระที่นั่งหยก สวรรค์ทักษิณ
    4. มหาวิสุทธิปราสาท
    5. พระวรวิสุทธิปราสาท
    6. ไตรวิสุทธิคงคา
    7. นพดลวิสุทธิปราสาท
    8. ปราสาทบูรพมังคลาวิหาร และต้นไม้วิญญาณเดิม
    9. ปราสาททักษิณมังคลาวิหาร
    10. ปราสาทประจิมมังคลาวิหาร
    11. ปราสาทอุตรมังคลาวิหาร
    12. ปราสาทมัชฌิมามังคลาวิหาร
    13. ดอยนพเทพคีรี และคูหาสวรรค์
    14. สิทธาลัยมหาปราสาท
    15. อัครมหาวิหารทิศตะวันตก ( พระพุทธเจ้า)
    16. โพธาคีรีแห่งทะเลใต้
    17. แดนสุขาวดีแดนพุทธเกษตร
    18. ปราสาทตรีรัชภพ
    19. ปราสาทวีรชน และปราสาทบุตรกตัญญู
    20. วังสระทิพย์
    ก่อนจะเข้า ประตูนิพพาน จะมีด่านอยู่ ๙ ด่าน สำหรับตรวจสอบ ว่า วิญญาณนั้นๆ มีความดีเพียงพอ สำหรับเข้าสู่นิพพาน ได้หรือยัง หากยัง จะต้องถูกดัดนิสัย ที่ด่านเหล่านี้ จนกว่าเทพที่คุมอยู่ จะแน่ใจ หรือเหวี่ยงลงไปข้างล่างใหม่
    จากข้อมูลที่น้อยนิด (มากๆ) ได้ว่า นิพพานของเขาเป็นสถานที่ๆ สวยงามและอลังการมาก มีถนนทำด้วยทองคำ, สระน้ำที่สวยงามและสัตว์มหัศจรรย์, อีกทั้งตำหนักอันใหญ่โตมากมาย สำหรับ "สมเด็จธรรมมารดา" และบรรดาทวยเทพอีกมากมาย.....ฯลฯ แต่ว่าเท่าที่อ่านมา ผมไม่รับประกันนะครับ ว่าที่นั้นจะเป็น "อมตะ" ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ


    <CENTER>ที่มา: เที่ยวเมืองสวรรค์. แปลโดย ทพ. บัญชา ศิริไกร</CENTER>
     
  2. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ชีวิตหลังความตาย แบบตะวันตก ได้รวบรวมมาจาก ผู้เชี่ยวชาญ จำนวนมาก จาก SPR (Society for Psychical Research) และ College for Psychic Studies ในอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักจิตศาสตร์ นักปรัชญา และนักสังคมศาสตร์ พวกเขากำลังพยายามค้นหา รูปแบบของชีวิตหลังความตาย จากข้อมูล ที่ได้รวบรวมไว้กว่า ๑๐๐ ปี ข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ จากบุคคลที่สามารถติดต่อ กับวิญญาณผู้ที่ตายไปแล้ว โดยมีความแตกต่างกันทั้งเวลา สถานที่ ภาษา
    ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปความเห็นว่า คนส่วนใหญ่ จะคิดว่าข่าวสาร จากโลกหลังความตาย ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่สามารถ ตรวจสอบย้อนหลัง ไปยังต้นตอของข่าวนั้นได้ โดยไม่ทันได้คิด ว่ายังมีบุคคลบางคน ซึ่งได้ตายไปแล้ว ยังพยายามจะส่งข่าวสาร เกี่ยวกับมิติใหม่ ที่พวกเขาได้เข้าไปอยู่ กลับมายังพวกเรา และพวกเขาได้พบว่า ข้อมูลจำนวนมาก รายงานสิ่งที่เหมือนกัน เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ผ่านการแก้ไขใดๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น มีความแตกต่างกันมาก ในการบันทึก (เวลา สถานที่ ภาษา) เราไม่อาจสรุปได้ว่า มันเป็นอุบัติเหตุ หรือเหตุบังเอิญ เนื่องจากมันไม่ได้พ้องกัน เพียง ๑ หรือ ๒ ข้อมูล แต่มันอาจจะเป็น ๑๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ข้อมูล ซึ่งนั่นหมายความว่า ข้อมูลเหล่านั้นทั้งหมด หรือบางส่วนเป็นความจริง
    จากผลสรุปเหล่านี้ พวกเขาพบว่า โลกหลังความตาย ไม่ได้มีแบบเดียว มันแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตามระดับจิตใจ ผู้ที่จะได้เลื่อนระดับ จะต้องเข้าใจองค์สัจธรรม ที่มีอยู่ของระดับที่ตัวเองอยู่ ถ้าไม่สามารถเข้าถึงองค์สัจธรรม ก็จะต้องติดอยู่ในระดับนั้น จนกว่าจะสูญเสียศักยภาพ ในการดำรงอยู่ และไปเกิดใหม่

    คุณพร้อมจะตายหรือยัง?

    นี่ไม่ใช่การสาปแช่ง แต่เป็นสัจธรรม ที่ว่าทุกคนจะต้องตาย ความตายเป็นแค่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของปีศาจ ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ผู้ที่ไม่สามารถยอมรับได้ ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป จนกว่าจะยอมรับ
    ออกจากร่างเดิม

    เมื่อคนตายลง ความรู้สึกในร่างเดิม จะดับลง เขาจะพบว่า ร่างกายของตนยังอยู่ แต่เป็นร่างใหม่ ไม่ใช่ร่างกายเนื้อ ความรู้สึกจะสบาย และอิสระมากกว่าสมัยมีชีวิต ร่างเดิมจะดูเหมือนกับ เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ได้ถอดออกไปแล้ว ถ้าเขารับความตายได้แล้ว เขาก็อาจจะพบกับ ใครบางคน ซึ่งได้ตายไปก่อนหน้า และจะมานำทางไปยังโลกใหม่
    บางคน ที่ไม่อาจยอมรับความตายได้ เนื่องจาก พวกเขายังมีความผูกพัน กับโลกมนุษย์อย่างแน่นหนามาก จนไม่อาจเข้าใจสัจธรรมได้ "อัตตา" ในตัวเขา เป็นสิ่งที่อันตรายมาก มันจะป้องกัน ไม่ให้พวกเขาเข้าสู่ระดับสูงได้ พวกเขาไม่สามารถจับต้อง หรือใช้งานสิ่งใดๆ ที่ผูกพันอย่างแน่นหนานั้นได้เลย พวกนี้อาจเรียกได้ว่า "สัมภเวสี"

    เริ่มออกผจญภัย!

    เมื่อวิญญาณนั้น ยอมรับความตายแล้ว เขาจะเข้าถึง ระดับแรกแห่งวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ ๒ แดนด้วยกัน เราอาจเรียกได้ว่า "ดินแดนอบอุ่น" กับ "ดินแดนเยือกเย็น" ในทุกแดนจะมี ความแปลกประหลาดมาก จินตนาการของจิต จะเป็นใหญ่ เมื่อวิญญาณคิดอะไร จะเกิดสิ่งนั้นขึ้นทันที ตราบเท่าที่ เขายังคิดอยู่ และจะหายไปเมื่อเลิกคิด มันไม่ใช่เพียงภาพธรรมดา แต่สามารถจับต้องได้ ดังนั้น ในระดับนี้ จะเต็มไปด้วย สิ่งต่างๆ มากมาย เกิดขึ้น และหายไป ตลอดเวลา ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่อง ชีวิตหลังความตาย ก็ยังคงคิดว่า นี่เป็นความฝันอันยาวนาน และพวกเขายังไม่ตื่นเสียที สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ บนโลกมนุษย์ และความคิดของเขา ว่าจะดีหรือร้าย
    ในดินแดนเยือกเย็น เป็นที่อยู่ของวิญญาณที่ชั่วร้าย เปี่ยมไปด้วยอัตตา มีจิตใจมืดบอด และอุดมบาป เป็นพื้นที่ทรงกลม สำหรับวิญญาณทุกดวง ทุกพื้นที่จะแบ่งแยกด้วย ความมืด ความเยือกเย็น และกาลเวลา ไม่มีใครอาจหาญเข้าไปได้ นอกจาก วิญญาณระดับสูงบางดวง ซึ่งต้องการจะมาชี้นำทาง ให้เห็นสัจธรรม แต่ว่าส่วนใหญ่ จะปิดใจไม่รับ และเปี่ยมไปด้วยอัตตา เช่นเดียวกับตอนมีชีวิต
    ส่วนในดินแดนอบอุ่น เป็นที่อยู่ของวิญญาณที่ดี สภาพแวดล้อม จะสว่างไสว และสวยงาม วิญญาณเหล่านั้น จะสร้างดินแดนของตน ตามความคิดฝัน และเมื่อพลังการสร้างสรรค์หมดลง ถ้าพวกเขายังไม่พบสัจธรรม ก็อาจจะต้องไปค้นหาประสบการณ์ใหม่ โดยการไปเกิดใหม่อีกครั้ง
    ข้อมูลบางส่วน กล่าวว่า บางคนจะพบกับ บางสิ่งบางอย่าง คล้ายกับสะพานสายรุ้ง ทอดลงมาข้างหน้า และมีสภาพแวดล้อมสวยงาม บางคนเห็นอุโมงค์ หรือประตู ซึ่งมีแสงอยู่ที่ปลาย พวกเขารู้สึกว่า หากเข้าไปแล้ว จะไม่ได้กลับออกมาอีก (ถ้ายังไม่ตาย) ผู้ที่พบประตูกล่าวว่า มีสวนที่สวยงามมาก อยู่หลังประตูนั้น แต่ว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าไป
    บางคนพบประสบการณ์ที่น่ากลัว เช่น ไฟนรก และสัตว์ร้าย ซึ่งจะคอยทำร้ายเขา ทั้งนี้เนื่องจาก พวกเขามีบาปมาก หรือพยายามฆ่าตัวตาย
    วิญญาณที่ค้นพบสัจธรรม จากดินแดนอบอุ่น หรือดินแดนเยือกเย็น ก็จะได้เลื่อนระดับ ไปยังดินแดนต่อไป ซึ่งเป็นดินแดนที่ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น อาจเรียกได้ว่า "ดินแดนแห่งความว่างเปล่า" วิญญาณที่เข้ามาแล้ว จะเป็นพวกที่ปลดปล่อยจิตใจ จากรูปนิมิต อันหลอกลวงแล้ว พวกเขายังคงมีตัวตนอยู่ และมีความยินดี และเข้าใจแจ่มแจ้ง ในความเป็นไปของตนเอง จากนั้น ภาพของความชั่วดีแห่งตน จะปรากฏออกมา ต่อหน้าวิญญาณอื่นๆ ณ ที่นั้น นี่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน อย่างแสนสาหัส ต่อจิตใจของผู้นั้น ช่วงนี้อาจเรียกว่า "ช่วงเวลา แห่งการพิพากษา" พวกเขาจะพบกับ ความผิดพลาดแห่งตนเอง ย้อนหลังไปยาวนานเรื่อยๆ อาจจะเป็นพัน หรือเป็นล้านปีก็ได้ จนกว่าจะพบกับความจริง และปลดปล่อยตัวเองจาก "อัตตา" จึงจะพ้นจากความทรมาน และพาตัวเองขึ้นสู่ระดับสูงขึ้น
    เมื่อวิญญาณปล่อย "อัตตา" ได้แล้ว เขาจะพบกับ "การตายครั้งที่สอง" ซึ่งจะพบกับ "ความสงัดอันยิ่งใหญ่" ความเป็นตัวตนจะสูญไป จะไม่มีความรู้สึก จะไม่รู้สิ่งใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป ไม่มีแม้กระทั่ง ทุกข์หรือสุข และจะสงบเช่นนั้นอยู่นาน จวบจนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็จะเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง เขาจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับตนเอง และความจริงเกี่ยวกับ การเกิดตาย ย้ายภพ รู้ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ และแม้แต่ เหตุแห่งการเกิดนั้นด้วย ทำให้เขาทราบว่า ตัวเองนั้น มีความเกี่ยวพันอย่างแน่นหนา และยุ่งเหยิงกับวิญญาณอื่น ทำให้สามารถ ตอบคำถามยอดนิยมที่ว่า "ทำไมถึงต้องเป็นเรา?" ได้
    ทุกๆ คนล้วนแต่ผ่าน การเวียนว่ายตายเกิด มาอย่างนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างก็ ค้นหาประสบการณ์ และบทเรียนใหม่ๆ ในการเกิดทุกครั้ง แต่ว่า การเกิดในแต่ละครั้ง เป็นความเสี่ยง ต่อความผิดพลาดซ้ำซ้อน เนื่องจาก กิเลสตัณหาจำนวนมาก คอยจะฉุดเราลงต่ำ ทำให้เราต้อง กลับมาค้นหาอีกครั้ง แถมยังต้องมาชดใช้ หนี้กรรมอีกต่างหาก
    เมื่อวิญญาณรู้ทุกอย่างแล้ว ก็จะเปลี่ยนไปเป็น "เมต้าโซล" (แปลตรงๆ ตัวก็คือ วิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หรือผู้รู้แจ้งก็น่าจะได้) และรอคอยการกลับมา ของญาติในความสงัดนั้น เวลาอาจจะยาวนานมาก แต่ว่า เมื่อทุกวิญญาณกลับมาเจอกัน ก็จะรวมกันเป็น กลุ่มของผู้รู้แจ้ง ซึ่งมีหลายกลุ่ม สมาชิกในแต่ละกลุ่ม มีอิสระเต็มที่ ที่จะแยกตัวเมื่อใดก็ได้ แต่ว่าโดยธรรมชาติ จะคอยดึงดูด ให้กลับมา รวมกลุ่มกันอยู่เสมอ แล้วทุกคนก็จะถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ที่ได้มาให้แก่กัน จะค้นพบศักยภาพร่วมกัน และสุดท้าย ทั้งกลุ่มก็จะเลื่อนระดับพร้อมๆ กัน
    มีข้อมูลน้อยมาก ที่กล่าวถึงระดับสุดท้ายนี้ และไม่ชัดเจนด้วย ส่วนใหญ่ จะกล่าวว่า ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายได้ มันเกินความคาดหมาย ของมนุษย์จะรับรู้ได้ แต่ว่า ส่วนหนึ่ง ได้กล่าวว่า กลุ่มของเมตาโซล จะอยู่ในภพนี้ ตราบเท่าที่ยังมีศักยภาพ และเมื่อพลังหมดลง ก็จะแยกตัวกัน ออกไปค้นหาประสบการณ์ใหม่ เฉพาะตน และเกิดใหม่ตามที่ต้องการ (เมต้าโซล ไม่น่าจะใช่นิพพาน เพราะยังมีการเกิดใหม่อยู่ น่าจะเทียบได้กับพรหมเท่านั้น)

    สรุป

    ความตาย ไม่ใช่จุดสุดท้ายแห่งชีวิต และไม่ใช่ผู้พิพากษา แต่ว่า ผู้พิพากษาที่แท้จริง คือความดีชั่ว ที่ทำมาต่างหาก สุดท้าย ทุกคนจะต้อง รับการพิพากษาด้วยตนเอง มันเป็น ความยุติธรรมสูงสุด ซึ่งไม่สามารถพบได้ ในชีวิตประจำวัน นี่เองที่เรียกว่า "ชีวิต" มันไม่เคยตาย และไม่ตายด้วย
    <CENTER>ที่มา: โลกพิลึก. ซีเอ็ดยูเคชั่น, กรุงเทพฯ.</CENTER>
     
  3. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    ชีวิตหลังความตายแบบพุทธ เป็นแบบพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน) ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลจาก พระไตรปิฎก และจากประสบการณ์หลังความตาย ของท่านเอง ท่านกล่าวว่า เราสามารถพิสูจน์ความจริง ของชีวิตหลังความตายได้ โดยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนได้ทิพยจักขุญาณ ก็จะสามารถใช้ญาณไปดูได้ ด้วยใจ (ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อ) แต่ผมก็ยังไม่สามารถ ได้ทิพยจักขุญาณ หรอกนะครับ นรก

    สถานที่ตัดสิน และลงโทษวิญญาณชั่ว มีนรกขุมใหญ่อยู่ ๘ ขุม ทุกขุมมีนรกบริวารอยู่ ๔ ขุม และมีนรกขุมรองอยู่ ๑๐ ขุม ซึ่งกรรมที่จะถีบส่ง ลงสู่นรกขุมใหญ่ ก็คือละเมิดกรรมบถ ๑๐
    1. กรรมบถ ๑๐ คือ:
    2. ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
    3. ไม่ลักทรัพย์
    4. ไม่ประพฤติผิดในกาม (ละเมิดของผู้อื่น ไม่ว่า ลูก เมีย ผัว ลูกจ้าง ทาสเขา โดยไม่ได้รับอนุญาต)
    5. ไม่โกหก
    6. ไม่ส่อเสียด ยุยงให้คนอื่น แตกความสามัคคี
    7. ไม่พูดคำหยาบ
    8. ไม่พูดเพ้อเจ้อ เลอะเทอะ
    9. ไม่เพ่งเล็งจะลักทรัพย์ ขโมย ปล้น แย่ง โกง ผู้อื่น
    10. ไม่อาฆาตพยาบาท
    11. ไม่เห็นผิดเป็นชอบ
    นรกขุมใหญ่ จะไม่แบ่งตามชนิดของบาป แต่จะแบ่งตามความหนักของบาป ส่วนนรกขุมรอง จะแบ่งตามประเภทของบาป
    หมายเหตุ: ผมจะไม่บอกอายุ ของนรกแต่ละขุม เนื่องจาก อายุของแต่ละขุมนั้น ยาวนานมาก (เกินกว่าที่เราคาดคิด) คุณอาจจะสติแตกไปเลยเมื่อได้เห็น ฮ่าฮ่าฮ่า!
    ทาง ๔ แพร่ง

    เป็นทางแยกระหว่าง โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ และพรหม เมื่อคนตาย วิญญาณจะมาจาก ทิศตะวันตก ทางซ้ายจะเป็น ทางไปสู่ จุฬามณีเจดีย์สถาน (เจดีย์ที่ใส่พระเกศาของพระพุทธเจ้า) ทางขวาจะไปสู่พรหม และไปตรงจะไปนรก โลกันตนรก (นรกพิเศษ)

    ทางซ้ายของทาง ๔ แพร่ง จะมีภูเขาขนาดใหญ่มาก ในภูเขาจะมีถ้ำขนาดใหญ่ และมืดสนิท ที่นี่เรียกว่า "โลกันตนรก" ข้างในถ้ำ มีน้ำกรดแรงมาก เย็นเฉียบ ผนังถ้ำเป็นหินคม บาดตัวผีนรก (ต้นฉบับเรียกว่าสัตว์นรก แต่ผมให้เกียรติเขาเสียหน่อย) ผีนรกจะปีนไปตามผนัง เมื่อไปเจอกับผีนรกตนอื่น เขาจะนึกว่าเป็นอาหาร จึงพยายามจะกัดกินกัน ในที่สุดก็หล่นลงในน้ำกรด และน้ำกรดก็จะกัดทำลาย จนเหลือแต่กระดูก แล้วก็จะฟื้นคืนมาใหม่ และปีนขึ้นผนังใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งกรรม แล้วจึงจะไปเกิดใน อเวจีมหานรก บาปที่นำมาลงสู่นรกนี้ เป็นบาปพิเศษ (หนักเป็นพิเศษ) แดนพญายม

    อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของทางแยก อยู่ในเขตแดนของสวรรค์ ไม่ใช่นรก แต่อยู่ใกล้นรก ข้างหน้าปราสาทเป็นสนามกว้าง มีวิญญาณจำนวนมาก ไปยืนรอเวลาของตนเอง วิญญาณบางส่วน จะเป็นผู้คุม คอยดูแลวิญญาณอื่นๆ พวกนี้ จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ทางขวาของสนาม (ตะวันตก) เป็นภูเขา ปราสาทหลักจะมีอยู่ ๓ หลัง ทุกหลังสวยงามมาก แต่วิญญาณชั่วร้าย จะไม่สามารถเห็นความสวยงามได้ เนื่องจากบาปมาบังตาไว้ ตอนที่พญายมจะตัดสินโทษ ท่านจะถามวิญญาณนั้น ถึงบุญที่เคยทำไว้ตอนมีชีวิต ประมาณ ๓ ครั้ง หากวิญญาณนั้นสามารถจำได้ หรือมีผู้ใดมาบอก (น่าเชื่อถือและสมเหตุผล) แม้เพียงอย่างเดียว ท่านก็จะงดการลงโทษชั่วคราว และปล่อยให้ไปรับผลของกุศลก่อน (เช่น ไปสวรรค์ แต่จะต้องกลับมารับโทษ เมื่อบุญหมด ถ้าหากยังเข้าไม่ถึงนิพพาน หรือไปเกิดใหม่เสียก่อน) แต่ถ้าจำอะไรไม่ได้เลย ด้วยฤทธิ์แห่งกรรม ท่านก็จะส่งตัวไปลงโทษ นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๑ (สัญชีพนรก)

    เป็นบ่อเหล็กขนาดใหญ่มาก ทุกพื้นที่ในบ่อนี้ มีไฟเผาอยู่ตลอดเวลา และบนพื้นมีอาวุธต่างๆ เช่น มีด หอก ดาบ ฯลฯ ผีนรกจะวิ่งไปมา และไปกระทบกับอาวุธ ทำให้ร่างกายถูกฟันขาด แต่ว่าจะคืนมาใหม่ ยมบาล (นายนิริยบาล) จะเดินไปมาได้ โดยไม่ถูกไฟเผา เพราะไม่มีบาป นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมที่เบาที่สุด ของนรกขุมใหญ่ทั้งหมด นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๒ (กาฬปุตตะนรก)

    เป็นบ่อเหล็กขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับขุมแรก มีกำแพงเหล็กกั้นทั้ง ๔ ด้าน ยมบาลจะจับผีนรก นอนลงบนพื้น เป็นแผ่นเหล็ก ที่ถูกไฟเผาจนแดง แล้วเอาสายเหล็ก ที่ถูกเผาจนแดงเช่นกัน มาตีเส้นบนตัวของผีนรก แล้วเอาเลื่อยมาเลื่อยตามเส้นนั้น นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๓ (สังฆาฏนรก)

    เป็นพื้นเหล็กที่เป็นไฟ และกำแพงเหล็กที่เป็นไฟ เช่นเดียวกับขุมที่แล้ว แต่ทั้ง ๔ ทิศจะมีภูเขาเหล็ก ที่ถูกไฟเผากลิ้งมา และทับร่างกายของผีนรก ซึ่งจะคืนสภาพตามเดิม เมื่อภูเขาผ่านไปแล้ว แล้วก็วิ่งหนีไป ก็ถูกยมบาลทำร้าย แล้วก็โดนภูเขาวิ่งมาทับอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนหมดอายุกรรม นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๔ (โรรุวนรก)

    เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า "ปทุมนรก" ลักษณะเหมือนกับขุมที่แล้ว แต่ว่าไม่มียมบาล ตรงกลางจะมี ดอกบัวเหล็กใหญ่มาก ที่ถูกไฟเผาจนแดง ผีนรกจะถูกบังคับ ให้ขึ้นไปนั่งบนดอกบัว ดอกบัวจะเปิดออก แล้วผีนรกจะก้มหัวลง จนหัวเข้าไปอยู่ในดอกบัว มือจะยันอยู่ในดอกบัวด้วย แล้วดอกบัวก็จะหุบลง จนรัดตัวผีนรกไว้ นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๕ (มหาโรรุวนรก)

    ลักษณะจะคล้ายๆ กับขุมที่ ๔ แต่ใกล้ๆ กับดอกบัวจะมีแหลนปักอยู่ เอาปลายขึ้น และมียมบาลด้วย ดอกบัวจะไม่เคลื่อนไหว แต่กลีบดอกบัวจะบาดเนื้อของผีนรก จนตกลงมาบนพื้น หมานรกก็จะวิ่งเข้าไปกัดกิน จนเหลือแต่กระดูก แล้วก็จะคืนสภาพเดิม ยมบาลก็จะบังคับ ให้กลับขึ้นไปบนดอกบัวใหม่ นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๖ (ตาปะมหานรก)

    เป็นพื้นเหล็กร้อน และมีผนังเป็นไฟเช่นเดียวกับขุมก่อนๆ แต่ว่าจะร้อนแรงกว่า ข้างในจะมีแหลนหลาว ที่มีเปลวไฟพุ่งออกมา บินไล่แทงผีนรก แล้วก็ตั้งขึ้น พอเนื้อหนังไหม้ ก็หล่นลงบนพื้น หมานรกก็จะวิ่งเข้าไปกิน จนเหลือแต่กระดูก หมานรกก็จะถอยไป และร่างกายก็จะคืนสภาพเดิม แล้วก็จะถูกบังคับ ให้ขึ้นไปบนปลายแหลนหลาวอีกครั้ง นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๗ (มหาตาปะนรก)

    มีอายุครึ่งกัป พระพุทธองค์ ทรงเปรียบเทียบเวลา ๑ กัปไว้ว่า "ถ้ามีภูเขาทรงลูกบาศก์ ทุกด้านยาว ๑ โยชน์ (ประมาณ ๑๖ กม.) เป็นภูเขาหินแข็งล้วน ทุกๆ ๑๐๐ ปี จะมีเทวดาหนึ่งองค์ เอาผ้าเนื้ออ่อน เหมือนสำลีมาปัดเขานั้นครั้งหนึ่ง เวลาจากเริ่มต้น ถึงตอนที่ภูเขานั้น เรียบสนิทเหลือแต่ดิน เรียกว่า ๑ กัป" นรกขุมนี้ มีกำแพงทุกด้าน ทุกด้านมีเปลวไฟพุ่งเข้าไป ตรงกลางมีภูเขาไฟอยู่ ผีนรกจะถูกบังคับ ให้ปีนขึ้นไปบนยอดเขา แล้วก็อาจจะตกลงมา จนเสียบกับแหลนหลาวข้างๆ ภูเขาไฟ เมื่อหล่นลงมาจากแหลนหลาว ก็จะกลับคืนสภาพเดิม แล้วถูกบังคับให้ปีนต่อไป นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๘ (อเวจีมหานรก)

    มีอายุ ๑ กัป มีกำแพงล้อมทุกด้าน ทุกด้านมีไฟพ่นเข้าหาจุดศูนย์กลาง นรกขุมนี้มีความกว้างใหญ่มาก และมีผีนรกมากกว่าขุมอื่นๆ ผีนรกจะถูกเสียบด้วยหอก ทุกด้านของร่างกายนับสิบเล่ม จนขยับตัวไม่ได้

    • จะไปอเวจีต้องทำยังไง?
    • พยายามฆ่า หรือทำร้ายพระพุทธเจ้า หรือพระอริยเจ้า
    • ฉ้อโกงของสงฆ์
    • พยายามฆ่า หรือทำร้ายบุพการี
    • อื่นๆ อีกมากมาย...
    นรกบริวารขุมที่ ๑ (คูถนรก)

    นรกขุมนี้ มีขี้ (ขออภัยที่ต้องใช้คำไทยแท้) ที่ทั้งร้อน และเหม็น แล้วยังมีหนอนปากเหล็ก ตัวใหญ่ เมื่อผีนรกเข้าไปแล้ว หนอนก็จะเข้ามากัดกิน ขี้ก็จะหดรัดตัวอีกด้วย นรกบริวารขุมที่ ๒ (กุกกุฬนรก)

    มีขี้เถ้า ซึ่งเป็นเถ้าเหล็ก ซึ่งถูกไฟเผา จะรัดตัวของผีนรกเอาไว้ และคลุมทั้งตัวของผีนรก นรกบริวารขุมที่ ๓

    นรกขุมนี้ มีสวนมะม่วงอยู่บนพื้นราบ และไม่มียมบาล เมื่อผีนรกวิ่งเข้าไป ที่ต้นมะม่วง ต้นมะม่วง ก็จะแผลงฤทธิ์ กลายเป็นต้นมะม่วงยักษ์ และร้อน ใบจะเปลี่ยนเป็นหอกดาบ ผีนรกที่ปีนขึ้นไปจะหล่นลงมา แล้วอาวุธก็จะหล่นลงมา ถูกใส่ตัวของผีนรก เมื่อพยายามวิ่งหนี จะเกิดกำแพงเหล็กกั้นไว้ทุกด้าน แล้วจะมีหมานรกขนาดยักษ์ วิ่งเข้ามากัดกินจนเหลือแต่กระดูก แล้วก็จะฟื้นคืนอย่างเดิม ผีนรกก็จะวิ่งไปมา ระหว่างต้นมะม่วงกับหมานรก จนกว่าจะหมดกรรม นรกบริวารขุมที่ ๔ (เวตรณีนรก)

    นรกขุมนี้ มีแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่ใสสะอาด เมื่อผีนรกมาถึงฝั่ง จะมีหวายเหล็กร้อนมากมาย ปรากฏขึ้นและแทงตัว หากว่าสามารถดิ้นหลุด ลงไปในน้ำได้ น้ำจะกลายเป็นน้ำกรด และกัดร่างกาย ใต้น้ำก็มีอาวุธคอยไล่แทงเช่นกัน บนผิวน้ำมีดอกบัวเหล็กซึ่งจะบาดตัวผีนรก นรกขุมรอง (ยมโลกีย์นรก) ขุมที่ ๑ (โลหะกุมภีนรก)

    สำหรับลงโทษผู้ที่ผิดศีล ปาณาติบาต (ฆ่าหรือทำร้ายผู้อื่น รวมทั้งสัตว์ด้วย) จะมีหม้อทองแดงใหญ่มหึมา มีน้ำทองแดงร้อนอยู่ข้างใน และยังสามารถปรับขนาดได้ ตามจำนวนของผีนรก ผีนรกจะถูกผลักให้ลงไปในหม้อ โดยยมบาล นรกขุมรองขุมที่ ๒ (สิมพลีนรก)

    มีชื่อทั่วไปอยู่ว่า "นรกต้นงิ้ว" สำหรับลงโทษ ผู้ที่ทำผิดทางกาม (รวมถึงกรณีมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองด้วย ท่านผู้ประพันธ์ระบุว่า นรกขุมนี้เป็นนรกยอดนิยม เพราะคนสมัยนี้นิยมชิงสุกก่อนห่ามกันมาก) จะมีต้นงิ้วยักษ์จำนวนมาก ซึ่งหนามจะพุ่งออกมาแทง ผีนรกโดยอัตโนมัติ หากเข้ามาโดนต้น ใต้ต้นงิ้วจะมียมบาล ซึ่งถือหอกยักษ์ และหมานรก บังคับให้ปีนขึ้นไปบนต้นงิ้ว บนยอดต้นงิ้วจะมี อีกาปากเหล็กขนาดใหญ่ จำนวนมากคอยจิกผีนรก หากปีนลงมาข้างล่าง จะถูกหมานรกเข้ามากัดกิน นรกขุมรองขุมที่ ๓ (อสินขนรก)

    สำหรับลงโทษผู้ที่ขโมยของ จะมีหมานรกขนาดใหญ่ คล้ายกับช้าง คอยกัดกินอยู่ตลอดเวลา ยมบาลก็จะคอยไล่แทง เมื่อวิ่งเข้ามาใกล้ นรกขุมรองขุมที่ ๔ (ตามโพทนะนรก)

    สำหรับลงโทษผู้ที่ดื่มสุราเมรัย ยมบาลจะบังคับให้นอนลง บนพื้นเหล็กแดง แล้วเอาคีมงัดปาก ก่อนจะเทน้ำทองแดงร้อนๆ ใส่ปาก ซึ่งจะทำลายร่างกายของผีนรก จากนั้นก็จะฟื้นกลับมาใหม่ วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรม นรกขุมรองขุมที่ ๕ (อาโยคุฬะนรก)

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ฉ้อโกงของสงฆ์ บนพื้นจะเป็นเหล็กร้อนแดง และมีก้อนเหล็กร้อนแดง วางอยู่ เมื่อผีนรกเห็นเข้า จะนึกว่าเป็นก้อนเนื้อ เพราะกรรมบังตาไว้ จึงหยิบใส่ปากเพราะหิว แล้วจะถูกทำลาย จากนั้น จะฟื้นขึ้นมา และจำไม่ได้ว่าเป็นลูกเหล็ก เพราะอำนาจกรรม จึงหยิบใส่ปาก ซ้ำๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นรกขุมรองขุมที่ ๖ (ปิสสกปัพพตะนรก)

    สำหรับลงโทษข้าราชการทุจริต มีกำแพงล้อมทุกด้าน และมีเปลวพ่นใส่ข้างใน ในกำแพงมีภูเขาเหล็ก ๔ ทิศ ถูกเผาจนแดงกลิ้งเข้าออกตลอดเวลา และขยี้ร่างกายของผีนรก ก่อนจะฟื้นขึ้นมา เพื่อถูกขยี้ซ้ำไปเรื่อยๆ นรกขุมรองขุมที่ ๗ (ธุสะนรก)

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ คดโกงผู้อื่น จะมีแม่น้ำขนาดใหญ่ ใสสะอาด เมื่อผีนรกเห็นเข้า ก็จะกระโดดลงไป น้ำก็จะแห้งไปทันที และกลายเป็นแกลบ ที่มีไฟกรดเผา ถ้าพยายามกลับขึ้นไป จะถูกเตะส่งลงไปอย่างเดิม นรกขุมรองขุมที่ ๘ (สีตโลสิตะนรก)

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ขาดเมตตา จะมีน้ำเย็นเฉียบ เมื่อผีนรกเห็น และโดดลงไป น้ำจะเป็นน้ำกรด และเย็นยะเยือด จะกัดตัวของผีนรก ถ้าพยายามจะกลับขึ้นมา จะถูกถีบ (หรือตื้บ) กลับลงไป นรกขุมรองขุมที่ ๙ (สุนขะนรก)

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ปากเสีย จะมีหมาใหญ่จำนวนมาก อยู่ในกำแพงไฟ จะมากัดกินร่างกาย ของผีนรก นรกขุมรองขุมที่ ๑๐ (ยันตปาสาณนรก)

    สำหรับลงโทษ ผู้ที่ใจร้าย ไม่มีความปรานีต่อคู่ครอง จะมีไฟ และมีภูเขาเหล็ก ๒ ลูก ประกบกันเพื่อบดขยี้ผีนรก ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก

    เปรต เป็นผีนรกพวกหนึ่ง มีความสูงมากกว่าตึก แต่ว่ามีปากเล็กเท่ารูเข็ม พวกนี้พ้นจากนรกมาแล้ว แต่ว่าต้องรับทุกขเวทนาต่อ ในแดนแห่งเปรต แดนของเปรตอยู่ที่ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของทางแยก ก่อนจะถึงนรกขุมรอง เปรต แบ่งออกเป็น ๑๒ จำพวก แยกตามความหนักของกรรม เปรตชั้นที่ ๑ มีบาปหนาที่สุด และเปรตชั้นที่ ๑๒ มีบาปเบาที่สุด เปรตชั้นที่ ๑-๑๑ ไม่สามารถรับบุญ จากผู้อื่นได้ แต่ชั้นที่ ๑๒ สามารถรับได้ อสุรกายและสัมภเวสี

    อสุรกาย เป็นวิญญาณที่ยังมีบาปอยู่ แต่ว่าไม่มากพอที่จะไปนรก พวกนี้จะไม่มีที่อยู่ และสามารถหากินได้ (เปรตกินไม่ได้) อสุรกายมี ๒ พวก พวกที่มีบาปหนาหน่อย จะมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์มาก สามารถหากิน สิ่งที่เขาทิ้งแล้ว หรือซากศพ ส่วนพวกที่บาปน้อยหน่อย จะมีรูปร่างหน้าตา ดีกว่าพวกแรก แต่ว่าจะมีผิวดำทมึน มีกำลังมาก ชอบรับสินบนจากคน หรือปลอมเป็นผู้วิเศษ
    สัมภเวสี เป็นวิญญาณที่ตายก่อนหมดอายุขัย (เรียกง่ายๆ ว่า "ตายโหง" นั่นเอง) เนื่องจากกรรมเก่าเรียกว่า "อุปฆาตกรรม" มาให้ผลทำให้ตายก่อนกำหนด (เช่น อุบัติเหตุ ฆาตกรรม เป็นต้น) กรรมอันนี้ ก็เนื่องมาจาก การละเมิดศีลข้อแรก (ฆ่าสัตว์ ทั้งทางตรงและอ้อม) พวกนี้จะไม่สามารถไปได้ ทั้งนรกและสวรรค์ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา และไม่มีที่อยู่และอาหาร
    สวรรค์

    ที่อยู่ของวิญญาณคนดี
    ภุมเทวดา

    พวกนี้จะมีวิมานอยู่เหนือพื้นดิน มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม สามารถไปไหนๆ ก็ได้ แม้ว่าจะเป็นบ้านคนอื่นก็ตาม และสามารถหยั่งรู้ จิตใจผู้อื่นได้
    สำหรับหนทางจะมาเป็นภุมเทวดานั้น ผมไม่ทราบครับ
    รุกขเทวดา

    พวกนี้ จะมีวิมานอยู่บนต้นไม้ ถ้าต้นไม้โดนตัดไป ก็จะย้ายไปอยู่ต้นอื่น หนทางสู่สวรรค์

    ถ้าเริ่มต้นจากทางแยก สวรรค์จะอยู่ทางซ้าย (ทิศเหนือ) ทางสู่สวรรค์ จะเป็นทางกว้าง และขึ้นไปบนภูเขาชื่อ "พระสุเมรุ" เมื่อขึ้นไปได้ครึ่งทาง จะมีดินแดนอยู่ ๔ ดินแดนของเทวดา ทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่า "สวรรค์ชั้นจาตุมหาราช" (พระราชา ๔ องค์) มีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน และสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ถัดไปอีกครึ่งทางหลัง จะเป็นทางไปสู่ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน ซึ่งจะบรรจุพระเกศา ของพระพุทธเจ้าไว้ สำหรับเทวดา และพรหม ได้สักการะบูชา ตัวเจดีย์เป็นรูปกลม ทำจากแก้ว ๗ ประการ มีธงหลากสีบนยอดเจดีย์ ทางตะวันตกของ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นที่ประทับของพระอินทร์ (บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์) กับเวชยันต์วิมาน (วิมานของพระอินทร์) และสระโบกขรณี สวรรค์ชั้นนี้เรียกว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นยามา

    ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของชั้นดาวดึงส์ บนเนินนิดหน่อย ทุกอย่างในชั้นยามานี้ จะใหญ่โตและสวยงาม กว่าชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นนี้มีสระโบกขรณี เช่นเดียวกับดาวดึงส์ กุศลที่จะนำมาชั้นดาวดึงส์คือ ๑. สวดมนต์ ด้วยความเคารพ หรือ ๒. เจริญกรรมฐาน จนจิตเป็นทิพย์บ้างเล็กน้อย สวรรค์ชั้นดุสิต

    ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของชั้นยามา ผู้ที่จะมาอยู่ชั้นนี้ได้ จะต้องเป็น พระโพธิสัตว์ พระพุทธบิดา และพระพุทธมารดา หรือผู้ที่สั่งสมบารมี เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น สวรรค์ชั้นนิมมานรดี

    ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของชั้นดุสิต ผู้ที่จะมาชั้นนิมมานรดีได้ จะต้องได้ฌาน ๔ เป็นอย่างน้อย และได้อภิญญา (มีฤทธิ์เดช) แต่ว่าตายนอกฌาน สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี

    ผู้ที่จะมาชั้นนี้ได้ จะต้องได้ฌาน ๔ เป็นอย่างน้อย และทรงฌาน ๔ เป็นปกติ แต่ว่าตายนอกฌาน พรหม

    พรหมมีอยู่ ๑๖ ชั้น สำหรับรูปพรหม และ ๔ ชั้นสำหรับอรูปพรหม
    รูปพรหม

    รูปพรหม จะแบ่งตามระดับของฌานที่ได้ ที่พรหมนี้ จะไม่มีการแยกเพศ (เพศเดียวกันหมด) มีความสงบ ผู้ที่จะเป็นพรหมได้ จะต้องได้ฌาน ระดับใดระดับหนึ่ง และจะต้องตายขณะเข้าฌาน รูปพรหมจะมีวิมานขนาดใหญ่ สำหรับอยู่ได้เพียงองค์เดียว

    • นี่คือรายชื่อของรูปพรหมทุกชั้น
    • ปริสัชชาพรหม
    • ปุโรหิตาพรหม
    • มหาพรหมมา
    • ปริตตาภาพรหม
    • อัปปมาณาภา
    • อาภัสรา
    • ปริตตสุภา
    • อัปปมาณสุภา
    • สุภกิณหา
    • เวหัปผลาพรหม
    • อสัญญีตาภูมิ
    • อวิหาสุทธาวาส: ตั้งแต่ชั้นนี้ไป จะเป็นพรหมชั้นดี
    • อตัปปาสุทธาวาส
    • สุทัสสาสุทธาวาส
    • สุทัสสีสุทธาวาส
    • อกนิษฐสุทธาวาส
    อรูปพรหม

    อรูปพรหม จะอยู่ระหว่างพรหมชั้นที่ ๘ กับ ๙ ทางทิศตะวันตก มี ๔ ชั้นคือ อากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่นี่จะไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจิตของพรหมแต่ละองค์ (ไม่มีรูป มองไม่เห็น) อรูปพรหมค่อนข้างน่าสงสาร เพราะว่าพวกท่านเหล่านี้ ไม่สามารถได้ยินคำเทศน์สั่งสอนของพระพุทธองค์ เพื่อใช้ในการพัฒนาจิตให้เข้าสู่นิพพานได้ (เทวดาและรูปพรหมทั้งหลาย สามารถรับฟังเทศน์ได้ และสามารถเข้านิพพานได้ทันทีเมื่อบรรลุแล้ว โดยไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก) นิพพาน

    ดินแดนแห่งสุดท้ายนี้ เรามีข้อมูลที่รวบรวมได้อยู่น้อยมาก (เพราะถ้าใครถามเรื่องนี้ จะต้องโดนย้อนว่า "จะถามไปทำไม? มันช่วยให้พ้นทุกข์ได้หรือ?") นิพพานเป็นเป้าหมาย ของคนส่วนใหญ่ เพื่อนำมาถกเถียงกัน ว่านิพพานมีตัวตนหรือไม่ (สูญหรือเปล่า?) ท่านพระมหาวีระ (พระราชพรหมยาน) เคยกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง" ไม่ใช่ "นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง" คือว่า พระองค์ทรงหมายถึง ผู้ที่จะเข้าถึงนิพพานได้ จะต้องมีจิตว่างจากกิเลส พระองค์ไม่เคยตรัสว่า นิพพานสูญ หรือไม่มีตัวตน (คิดเล่นๆ ได้ว่า ถ้าเรากล่าวว่า นิพพานสูญ หรือว่างเปล่า นั่นหมายความว่า อรูปพรหมเป็นสุขอย่างยิ่ง เนื่องจาก มันไม่มีอะไรเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว อรูปพรหมไม่ใช่ความสุขที่สุด พวกนี้ยังต้องลงมาเกิดใหม่ เมื่อเวลาหมดลง และที่สำคัญ อรูปพรหมไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้เหมือนเทวดา หรือรูปพรหม นั่นหมายถึงว่า "การดับสูญไม่ใช่สัจธรรม")
    ท่านพระมหาวีระกล่าวถึงนิพพานไว้ในหนังสือไตรภูมิน้อยมากๆ และให้สภาวะที่แท้จริงของนิพพานไว้ไม่ชัดเจนนัก "แต่" ท่านได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือเล่มอื่นๆ ของท่าน (ยังนับว่าดีที่ท่านได้เมตตากล่าวถึงอยู่บ้าง) และจากข้อมูลที่ผมรวบรวมได้เล็กน้อย (จริงๆ) กล่าวไว้ว่า นิพพานเป็นดินแดน ที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสิ่งสวยงาม และเหมาะสมลงตัว มากกว่าพรหมและสวรรค์ ทุกสิ่งที่เราต้องการ จะปรากฏขึ้นมาเอง โดยอัตโนมัติและทันที ทุกคนที่อยู่ในนี้ จะมีกายทิพย์เป็นแก้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ นี่คือความเป็นอมตะและชั่วนิรันดร์ ที่แท้จริง
    <CENTER>ที่มา: ไตรภูมิ โดย พระมหาวีระ ถาวโร วัดจันทาราม (ท่าซุง) อุทัยธานี</CENTER>
     

แชร์หน้านี้

Loading...