เรื่องเด่น MP3 เสียงบรรยาย ในงาน "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด" วันที่ ๑๙ ธ.ค.๕๓

*

เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O
ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com
<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O>
*

 

เจาะลึกภัยพิบัติ.....พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด

การสัมมนา เรื่อง เจาะลึกภัยพิบัติ.....พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด ที่ห้องประชุมอาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.- 17.00 น.


การจัดสัมมนาในครั้งนี้ ดำเนินการจัดโดยทีมงานผู้มีจิตอาสาจากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มีประชาชนให้ความสนใจมากกว่า 1.350 คน


ในการสัมมนาครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้รับเชิญไปร่วมฟังการสัมมนาในฐานะ แขกระดับ VIP ที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวมาก่อน และ ได้เคยตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องมหันตภัย ในฐานะประธานชมรมศาสนาและการกุศล บมจ.ธนาคารกรุงไทย มาตั้งแต่ปี 2534 ต่อมา ได้รับเชิญไปออกอากาศรายการ “น้ำท่วมโลก” ที่ itv กับคุณสุทธิชัย หยุ่น พร้อมนักวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยา และ นักอุตุนิยมวิทยา ที่คุณสุทธิชัย หยุ่น เชิญมาร่วมสนทนาด้วย แต่นักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านนั้น ไม่มีความเชื่อในเรื่องภัยพิบัติ พอๆกับคุณสุทธิชัย หยุ่น โดยมาช่วยคุณสุทธิชัย หยุ่น ทำหน้าที่ซักค้านการนำเสนอเรื่องการเตรียมการรับมือกับการเกิดภัยพิบัติในอนาคตของข้าพเจ้า โดยสรุป ทั้งสามท่าน เป็นฝ่ายค้าน ในการนำเสนอของข้าพเจ้า โดยทั้งสามท่านเห็นว่า การนำเสนอเรื่องดังกล่าวของข้าพเจ้า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับในข้อมูลที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอให้ประชาชนต้องเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติ ที่จะเกิดในประเทศไทยในอนาคต เช่น จะเกิดสึนามิขึ้นในภาคใต้ จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ในประเทศไทย รวมทั้งจะมีหิมะตกลงในบางพื้นที่ของประเทศไทยในภาคเหนือ และ ภาคอีสาน โดยได้ออกอากาศ 2 ตอน ในช่วงเดือนกันยายน 2539 (เมื่อ 14 ปีก่อน) จากช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้เกิดไป 1 เหตุการณ์แล้ว คือ สึนามิ เมื่อ 26 ธันวาคม 2547 หรือ หลังการนำเสนอทางทีวีประมาณ 8 ปีเศษ หรือ ที่ผ่านมาเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ส่วนน้ำท่วมใหญ่เท่าที่เกิดมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นเพียงระดับการเตือนซ้อมรับมือเท่านั้น แม้ที่เกิดในปี 2553 ก็ตาม น้ำท่วมใหญ่ที่แท้จริงนั้น ยังไม่เกิด โดยได้เคยเตือนไว้แล้วว่า ต้องระวังในปี 2560-2561 ส่วนหิมะก็ยังไม่มาถึง ซึ่งตามที่ได้เคยพูดไว้แล้ว คือ ประมาณปี 2555-2556 ระยะเวลาที่จะเกิดภัยพิบัติดังกล่าว เป็นเพียงประมาณการเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะครูบาอาจารย์จำนวนไม่น้อย ก็ได้เร่งปฏิบัติคุณงามความดีทุกๆประการ เพื่อให้ความร้ายแรงของภัยพิบัติลดลง และ เลื่อนออกไป หากไม่เกิดตามการคาดหมายที่ข้าพเจ้าได้เตือนไว้ ข้าพเจ้าย่อมมีความสุขมากกว่า ที่จะมีเหตุการณ์เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าคาดหมาย และ พร่ำเตือนเพื่อนร่วมชาติตลอดเวลาที่ผ่านมา 19 ปีเศษแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้เกิดภัยพิบัติใดๆ ที่จะสร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของเพื่อนร่วมชาติ เพียงแต่ว่า ข้าพเจ้าอยากมีส่วนเล็กๆในการช่วยลดความเสียหายในชีวิต และทรัพย์สินจากการเกิดภัยพิบัติ โดยการออกมาเตือนให้เตรียมความพร้อมเท่านั้น

(ข้าพเจ้ามิได้ใช้คำว่าเป็นผู้ “พยากรณ์ หรือ ทำนาย” เพราะ มิได้มีวิชาชีพในด้านดังกล่าว แต่ใช้คำว่าข้าพเจ้า “คาดหมาย” แทน โดยข้าพเจ้ายอมรับว่า ณ ปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวในการ “พยากรณ์ หรือ ทำนาย” อีกแล้ว เพราะพลังจิตอ่อนล้าลงค่อนข้างมาก ในปัจจุบัน จึงลดสถานะของตนเองลงมาเป็น “ผู้ร่วมสังเกตการณ์ และ ติดตามข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ และ พระอาจารย์วิปัสสนา มาบอกเล่าต่อ เท่านั้น”

สำหรับการสัมมนาในวันนี้ นอกจากเนื้อหาสาระที่ได้จากการบรรยายบนเวทีแล้ว ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากท่านวิทยากรหลังลงจากเวทีด้วย ดังนั้น เนื้อหาที่ท่านได้ทราบในวันนี้ จึงเป็นการประมวลข้อมูลของข้าพเจ้า เพื่อให้ท่านที่สนใจในเรื่องดังกล่าวได้รับทราบที่ค่อนข้างละเอียด ที่ท่านสามารถใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวก่อนการเกิดภัยพิบัติ และ การดำเนินชีวิตในช่วงที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ซึ่งหวังว่า ทุกท่านที่ได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวที่ข้าพเจ้าประมวลมานี้แล้ว จะมีความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตนับแต่นี้ต่อไป

 

<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ ถือว่า มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้ามาร่วมให้ข้อมูลและให้องค์ความรู้หลายท่าน เป็นระดับด๊อกเตอร์ ถึง 5 ท่าน ใน 5 ท่านนี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นระดับโลก ขององค์การนาซ่าถึง 2 ท่าน คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น อีก 3 ด๊อกเตอร์ คือ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ดร.เสรี ศุกราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯสิรินธร และ ดร.วัฒนา กันบัว ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเลฯ กรมอุตุนิยมวิทยา
มีพระอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐานระดับเจ้าอาวาส 1 ท่าน มาร่วมเป็นวิทยากร คือ ท่านพระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน มีเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน คือ นายแพทย์ชาตรี เจริญชีวะกุล และ มีคนรุ่นใหม่ที่มีไฟแรง ผู้ศึกษาวิเคราะห์ติดตามปัญหาภัยพิบัติและเสนอแนวทางในการรับมือกับภัยพิบัติ คือ คุณคณานันท์ ทวีโภค หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ จากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม มาร่วมเป็นวิทยากรในการให้ข้อมูลและให้องค์ความรู้ต่างๆด้วย
[FONT=&quot] สรุปอย่างสั้นๆ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] "ดร.สมิทธ" ท่านชี้อนาคตคนไทย จะตายด้วยปัญหาโลกร้อนมากขึ้น ในปี [/FONT][FONT=&quot]2553 นี้ ตายไปแล้วจำนวน 16 คน แต่ที่อินเดีย ตายมากกว่า 1,000 คน ต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในการเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติให้มากขึ้น [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]“ดร.ก้องภพ” ระบุให้ทราบว่า ระบบสุริยจักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2012 ต่อเนื่องถึงต้นปี ค.ศ. 2013 ทุกคนบนพื้นโลกต้องระวังภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจากพลังลมสุริยะ
[FONT=&quot] ส่วน[/FONT][FONT=&quot] “ดร.เสรี” ยันว่าภายใน 10 ปี ข้างหน้า กรุงเทพฯมีโอกาสน้ำท่วมหนักสูงถึง 50% แนะรัฐบาล ต้องรีบเตรียมรับมือสร้างคันกั้นน้ำ ที่พักน้ำ หรือ แก้มลิงให้มากที่สุด ตั้งแต่สิงห์บุรีลงมาถึงบริเวณปริมณฑล และ ต้องทำการลอกคูคลองทุกแห่ง เพื่อขยายเส้นทางน้ำไหล[/FONT]
[FONT=&quot] ขณะที่ [/FONT][FONT=&quot]“ดร.อาจอง” ให้ข้อมูลว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงว่า เมื่อน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายไปมากแล้ว ได้มี แก๊สมีเทนพุ่งออกมาจากพื้นโลกที่ขั้วโลกเหนือ อันเป็นตัวเร่งโลกร้อนเร็วขึ้น มีความร้ายแรงมากกว่าแก๊สคาร์บอนไดร์ออกไซต์ถึง 21 เท่า แนะนำพื้นที่เสี่ยงในภาคเหนือ ให้สร้างบ้านที่ต้องป้องกันแผ่นดินไหวอย่างน้อย 5 ริคเตอร์ขึ้นไป เผย[/FONT]จังหวัดเสี่ยงภัยพิบัติในอนาคตไม่เกิน 7 ปีนับแต่ปีนี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ ด้านองค์การนาซ่าทำแผนที่โลก เซี่ยงไฮ้ แคลิฟอร์เนีย ญี่ปุ่น จะหายไปจากโลก
[FONT=&quot] “หมอชาตรี” ยันว่า สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พร้อมช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านสุขภาพในทุกรูปแบบ ที่ต้องพึ่งพิงบุคคลากรทางการแพทย์ [/FONT]
หากผู้ใดมีปัญหาด้านสุขภาพฉุกเฉินเฉียบพลัน หรือ มีภยันตรายใดๆต่อสุขภาพ หรือ เกิดภัยพิบัติในทุกท้องที่ ไม่ว่าเกิดในจังหวัดใด ในพื้นที่ใดในประเทศไทย ไม่ว่าบนเขา หรือ ในป่า มิใช่แต่ในเมืองเท่านั้น ให้โทร.ขอความช่วยเหลือไปที่หมายเลข 1669 จะมีโครงข่ายเชื่อมโยงไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัด มูลนิธิในจังหวัดต่างๆที่พร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านบรรเทาปัญหาสุขภาพ และ สาธารณภัย พร้อมร่วมด้วยช่วยกันในการขนย้ายผู้ป่วยเจ็บ ไปทำการรักษาพยาบาลโดยเร่งด่วนต่อไป [FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]แนะประชาชนต้องเชื่อการเตือนภัย และควรซ้อมรับมือกับภัยพิบัติอย่างจริงจังบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการป้องกัน หรือ ลดความเสียหายจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้เหลือน้อยลง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] “คุณคณานันท์ ทวีโภค” แนะว่า ต้องใช้ “บวร” บ. คือ บ้าน ว.คือ วัด และ ร. คือ โรงเรียน เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ และ ใช้เป็นที่หลบภัย รวมทั้งเป็น แหล่งอาหารในยามมีภัยพิบัติมาถึง [/FONT]
[FONT=&quot] ในการสัมมนาครั้งนี้ ดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด บรรณาธิการบริหาร นสพ.เดลินิวส์ เป็นผู้กล่าวกล่าวเปิดงานสัมมนา และ บรรยายนำว่า อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันได้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นภัยพิบัติทางธรรมชาติเช่นกัน ดังเห็นได้จากข่าวสารจากสื่อมวลชนต่าง ๆ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบางอย่าง มนุษย์ก็สามารถรู้ หรือคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จนสามารถเตรียมพร้อมรับมือ หรือ อพยพคนออกจากพื้นที่ได้ทัน แต่[/FONT][FONT=&quot] ภัยพิบัติทางธรรมชาติบางอย่าง มนุษย์ก็ไม่สามารถรู้ หรือ คาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย ผลกระทบที่ตามมา จึงก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเกือบทุกครั้ง ทุกคนจึงจำเป็นต้องรับรู้ เพื่อเตรียมการป้องกัน และเพื่อลดความเสียหายจากหายนะ ที่มาจากภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆที่จะเกิดมีขึ้นในอนาคต

ต่อจากนั้น ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึง “สถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในปัจจุบัน” ว่า จากประสบการณ์การทำงานกว่า 22 ปีในตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และ เกษียณอายุมาหลายปีแล้ว ปรากฏว่าในปีนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา วัดอุณหภูมิในไทยได้สูงถึง 42.5 องศาเซลเซียส จากอดีต ประมาณ 50 ปีก่อนนี้ มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 37.5 องศาเซลเซียส เท่านั้น พบว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้ ทำให้เห็นว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลง สถิติล่าสุดไทยมีคนเสียชีวิตจากโลกร้อนในปีนี้ไป 16 คน เพิ่มจากอดีตที่มีคนเสียชีวิต เพียงปีละ 1-2 คน ปกติอุณหภูมิร่างกายมนุษย์อยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส ถ้าต้องทนอยู่ในสภาวะอากาศที่สูงถึง 42.5 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน ๆ ก็ย่อมทำให้เสียชีวิตได้ ไม่เฉพาะในไทย ในอินเดียมีคนเสียชีวิตปีละมากกว่าพันคน ดังนั้น ต้องให้ความรู้กับประชาชนในการเอาตัวรอดจากภัยพิบัตินี้ และ [/FONT]
ในปัจจุบันโลกของเรา ยังไม่มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีใดๆ ที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดภัยธรรมชาติได้ ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า เราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมตัวเราได้อย่างไร ที่จะมีความปลอดภัยมากขึ้น หรือ มีอันตรายน้อยที่สุด ก็ต้องทำความเข้าใจกับภัยธรรมชาติที่จะเกิดในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในบริเวณที่เราอยู่อาศัย หากสามารถป้องกันล่วงหน้าได้ ความสูญเสียก็จะลดลงได้อย่างมาก เพราะในปัจจุบัน มีทั้งฝนตกหนัก น้ำท่วมไหลหลาก โคลนถล่ม และ กำลังจะตามมาด้วยภัยหนาว และ ภัยแล้ง
[FONT=&quot] ดร.สมิทธฯว่า ในปีใดที่โลกร้อนขึ้นเพียง [/FONT][FONT=&quot]1 องศาเซลเซียส[/FONT][FONT=&quot] ก็จะมีพายุถี่มากขึ้น[/FONT][FONT=&quot] และ รุนแรงมากกว่าเดิมเกิดขึ้นในปีนั้นๆ


[/FONT]

 

<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot] [/FONT]ด้าน ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่จบวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโท และ เอก ทางวิศวกรรมไฟฟ้า จากจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา บรรยายในหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศกับการเปลี่ยนแปลงบนโลก” ว่าข้อมูลที่นำมาพูดในวันนี้ เป็นผลงานค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีที่มาทั้งหมด มิใช่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]ดร.ก้องภพฯ กล่าวว่า ตลอด [/FONT][FONT=&quot]20 ปีที่ผ่านมา ระบบสุริยจักรวาลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานต่าง ๆ เข้ามาในระบบสุริยจักรวาล และ มีผลกระทบกับโลกของเรา นาซ่าได้ส่งดาวเทียมขึ้นไปศึกษาดวงอาทิตย์อย่างใกล้ชิด พบความเปลี่ยนแปลงจากมวลลมสุริยะ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อดาวเคราะห์ต่าง ๆ มีทั้งรังสีคอสมิค อนุภาคขนาดเล็กในอวกาศ มีพลังงานทะลุทะลวงรูรั่วเข้ามาในโลกมากกว่าในอดีตค่อนข้างมาก[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]โดยองค์กรการบินอวกาศ ที่ทำงานเหมือนองค์กรนาซ่าของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ เรียกย่อๆว่า นาซ่าของรัสเซีย และ นาซ่าของกลุ่มอียู พบความจริงตรงกัน และ ได้พบว่า ดวงอาทิตย์ได้แผ่พลังงาน ทั้งรังสีคอสมิค อนุภาคขนาดเล็กในอวกาศ ที่มีพลังงานทะลุทะลวงรูรั่วเข้ามาในสนามแม่เหล็กรอบนอกที่หุ้มห่อโลกจำนวนมาก ซึ่ง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
ในช่วงที่ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมามาก จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงใน DNA ของสิ่งที่มีชีวิตบนพื้นโลก และ อาจมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น จะมีการเป็นมะเร็งมากขึ้น อุกกาบาตได้ตกลงมาบนโลกมากกว่าเดิม โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่าในปี 2013 จะมีอุกกาบาตตกลงมาบนโลกมากกว่าสถิติในอดีต ประมาณ 3 เท่าตัว
[FONT=&quot] อีกทั้งได้พบว่า ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมามากนั้น ปรากฏว่ามีผลกระทบต่อดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ เช่น ดาวอังคารเกิดภาวะมีความร้อนสูงมากขึ้น น้ำแข็งละลายมากขึ้น มีการก่อตัวของเมฆมากขึ้น ดาวพุธ สนามแม่เหล็กบนดาวพุธมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนตัว ดาวพฤหัส มีความสว่างเพิ่ม [/FONT][FONT=&quot]200% ความร้อนสูงมากขึ้น ส่วนดาวศุกร์ มีความสว่างมากขึ้นถึง 2,500 % ดาวเสาร์ มีการเปลี่ยนแปลงที่ออโรร่าที่ขั้วโลก และ สนามแม่เหล็กของดาวเสาร์มีการเคลื่อนตัว ความกดอากาศบนดาวพลูโต เพิ่มสูงขึ้น 300% ดาวเนปจูน มีความสว่างเพิ่มมากขึ้น 40% ดาวยูเรนัส มีความสว่างเพิ่มมากขึ้น และ เกิดการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก[/FONT]
[FONT=&quot] ส่วนโลกก็พบว่า มีปริมาณรังสีคอสมิกเข้ามามาก มีปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณฝนดาวตกมากกว่าเดิม และมีพวกอุกกาบาตเข้ามาในโลกมากขึ้น เพียงแต่ ทางราชการสั่งปิดข้อมูลเกี่ยวกับอุกาบาตที่ตกใส่โลกจำนวนมาก ต่อไปจะมีผลทำให้ดาวเทียมตกได้ง่ายๆ รวมถึง ได้มีการตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศนอกโลกด้วย[/FONT][FONT=&quot]
[/FONT]“ชั้นบรรยากาศของโลกลดลง ส่งผลให้โลกมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนอกโลก และ แกนโลกมีการเคลื่อนตัวจากทิศเหนือ ไปทางทิศตะวันออกมากขึ้น เคลื่อนตัวประมาณ 40 ไมล์ต่อปี ขั้วเหนือของแม่เหล็กขณะนี้ เคลื่อนไปถึงไซบีเรียแล้ว โดยในปี 2010 นี้ มีรายงานทางธรณีวิทยาว่า เกิดแผ่นดินไหวในสถานที่ต่างๆมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และในช่วงปลายปี 2012 ถึง ช่วงต้นปี 2013 หรือปลายปี 2555 ถึง ต้นปี 2556 ต้องระวังเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาจากพลังงานของดวงอาทิตย์ ที่จะส่งผลกระทบต่อโลก ซึ่งจะเพิ่มระดับความรุนแรงมากกว่าเดิมประมาณ 3 เท่าของอดีต เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กของโลกมากขึ้น จนทำให้โลกเกิดความร้อนเพิ่มสูงมากขึ้น และ อาจมีผลต่อระบบการสื่อสารขัดข้องใช้การไม่ได้ มีผลต่อหม้อแปลงไฟฟ้าอาจระเบิด อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด อาจใช้ไม่ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่ควรตื่นตัวและ เตรียมการป้องกัน เพื่อลดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะการเดินทางด้วยเครื่องบินในช่วงเวลาดังกล่าว[FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT](ปกติ เมื่อไรที่ดวงอาทิตย์ ปล่อยพลังลมสุริยะออกมา ระยะเวลาที่มีผลกระทบต่อโลก จะมีเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น ดังนั้น ในส่วนนี้ ข้าพเจ้าขอแนะนำว่า ควรหาเหตุมากล่าวอ้าง เพื่อเลื่อนการเดินทางด้วยเครื่องบินในช่วงเวลาดังกล่าวโดยเร็ว เพราะถ้าท่านบินขึ้นแล้ว ท่านอาจจะบินลงไม่ได้ เพราะระบบการสื่อสาร ระบบการนำร่อง อาจจะเสียหายใช้การไม่ได้ อาจบินจนน้ำมันหมด ท่านอาจโหม่งโลกได้ ดังนั้น เราควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติตลอดเวลา
ในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น อย่างน้อยที่สุด เราทุกคนต้องมีถุงยังชีพใส่อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาประจำตัว เครื่องนุ่งห่ม ต้องให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยที่สุด 3-5 วัน แต่ถ้าในช่วงใกล้เวลาเกิดภัยพิบัติ อาจต้องเตรียมเสบียงอาหาร และปัจจัย 4 ให้มากพอ 3-4 เดือน – มงคลฯ)
[FONT=&quot] ในปัจจุบันนี้ ที่เนเธอร์แลนด์ ได้สร้างบ้านลอยน้ำเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ส่วนที่ซานฟรานซิสโก เริ่มสร้างหมู่บ้านลอยน้ำ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี [/FONT][FONT=&quot]2012 ส่วนทางการนอร์เวย์ ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดิน สำหรับรัสเซีย สร้างที่หลบภัยขนาดใหญ่ใต้ดิน 5,000 แห่ง จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2012 ซึ่งสามารถป้องกันนิวเคลียร์ และ พายุสุริยะได้ สำหรับประเทศไทย เท่าที่ได้ทราบมา รัฐบาลยังไม่สนใจในเรื่องการเตรียมการเพื่อรับมือกับภัยพิบัติมากนัก [/FONT]
[FONT=&quot] อนึ่ง ดร. ก้องภพฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในวันที่ [/FONT][FONT=&quot]24 กุมภาพันธ์ 2553ปรากฏว่าดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานออกมามาก และต่อมา อีก 3 วัน [/FONT]
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขนาด 8.6 ริกเตอร์ ที่ชิลี มีความเสียหายหนัก ซึ่งตามตำรานั้น นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า สถานที่ใดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวตั้งแต่ 9 ริกเตอร์ขึ้นไป โอกาสจะเกิดครั้งใหม่ได้ จะต้องมีการสะสมพลังงานเป็นเวลามากว่า 600 ปีขึ้นไป จึงจะมีแผ่นดินไหวในบริเวณนั้นซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง แต่ ก็มีปรากฏการณ์แตกต่างจากตำราของนักวิทยาศาสตร์สาขาธรณีพิบัติภัยหลายครั้ง เช่น กรณีที่ชิลีนี้ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่ต้องฉีกตำราเรียนสาขาธรณีพิบัติภัยทิ้ง เพราะในปี 2503 หรือ เมื่อ 50 ปีก่อน ได้เคยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.5 ริกเตอร์มาแล้วที่ชิลี ผ่านมาเพียง 50 ปีเท่านั้น ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกที่จุดเดิม
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]หลังจากเกิดแผ่นดินไหวที่ชิลีเมื่อต้นปี [/FONT][FONT=&quot]2553 [/FONT][FONT=&quot]แล้ว นักวิทยาศาสตร์พบว่า แกนโลกเกิดการเอียงตัวไปมากกว่าเดิมอีก[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]และ ในกรณีนี้ ก็เป็นสัญญาณให้ทราบว่า หากมีการปลดปล่อยพลังสุริยะออกมาเมื่อไร ภายใน [/FONT][FONT=&quot]3 [/FONT][FONT=&quot]วัน จะมีผลกระทบต่อสิ่งต่างๆบนโลกของเรา แต่จะมีผลกระทบในบริเวณใดมากกว่ากันนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]แต่ต้องระวังให้มากในการเดินทางด้วยเครื่องบินในช่วงที่มีการปลดปล่อยพลังสุริยะออกมาเมื่อไร ภายใน [/FONT][FONT=&quot]3 [/FONT][FONT=&quot]วัน จะมีผลกระทบต่อระบบการนำร่อง ระบบการสื่อสารทางดาวเทียม ทางคมนาคม และ ทางอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงที่ขึ้นบินแล้ว อาจไม่มีโอกาสบินลงสู่พื้นดินอีกเลยตลอดชีวิตก็มีความเป็นไปได้สูง จึงขอเตือนไว้ก่อน[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]

[/FONT]

 

<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot] ขณะที่ ดร.วัฒนา กันบัว ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวบรรยายในหัวข้อ[/FONT][FONT=&quot] “พายุหมุนเขตร้อน คลื่นพายุกระทบฝั่ง และน้ำท่วม” ว่า [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]1. พายุหมุนเขตร้อน เป็นพายุที่อยู่ในทะเลเขตร้อน ตามตำราทางวิชาการ เขาสอนว่า มีปัจจัยจากอุณหภูมิของน้ำทะเล อยู่ที่ 26-27 องศาเซลเซียสเมื่อไร พายุหมุนเขตร้อนก็จะเริ่มฟักตัวแล้ว แต่ความเป็นจริงนั้น เป็นจริงเฉพาะในทะเลแถบแอตแลนติค หรือ เมืองในแถบที่มีความหนาวเย็นเท่านั้น มิใช่ทะเลในแถบแปซิฟิค และ พายุหมุนเขตร้อน จะเกิดในน้ำทะเลลึก หรือ ค่อนข้างลึกมาก และเคลื่อนตัวเข้าฝั่ง กลายเป็นคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซอจ โดยเส้นทางการเกิดพายุ จะเกิดไม่ซ้ำที่กัน ขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงเดือน ปัจจุบันกรมอุตุนิยมวิทยาใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท วางเครื่องมือเตือนภัยพิบัติทางทะเล ซึ่งสามารถเตือนภัยได้ล่วงหน้า 7 วัน ก่อนพายุจะเคลื่อนเข้ามายังชายฝั่ง ซึ่งในทะเลไทยนั้น มีความลึกไม่มาก โดยเฉลี่ยมีความลึกประมาณ 50 เมตร บางแห่งอาจลึกถึง 100 เมตร โอกาสที่จะเกิดพายุ 2 ลูกติดกันนั้น แทบไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น[/FONT]
[FONT=&quot] พายุดีเปรสชั่น จะมีความเร็วของลมประมาณ 66 กม.ต่อชั่วโมง หากมีความเร็วที่มากกว่า ก็จะเป็นพายุโซนร้อน หรือพายุหมุนเขตร้อน ปกติจะพัดเข้าไทย[/FONT]
[FONT=&quot]ในภาคเหนือ [/FONT][FONT=&quot] ประมาณเดือนสิงหา-กันยา[/FONT]
[FONT=&quot]พัดเข้าภาคกลาง ประมาณเดือนตุลา-พฤศจิกา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]พัดเข้าภาคใต้ ประมาณเดือน พฤศจิกา-ธันวา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]พายุโซนร้อน เกิดที่ประเทศไทยมักเรียกว่า ไต้ฝุ่น เข้าทางพม่า เรียกว่า ไซโคลน เข้าในอเมริกา เรียกว่า เฮอริเคน ปกติก่อนเข้าไทย จะรู้ล่วงหน้าก่อนประมาณ[/FONT][FONT=&quot] 7 วัน[/FONT]
[FONT=&quot]2. คลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ ปกติจะมีน้ำท่วมบริเวณชายฝั่งก่อน จากนั้นจะเกิดคลื่นสูงใหญ่ซัดที่อยู่อาศัยที่อยู่ชายฝั่งอย่างรุนแรง แล้วดึงเอาทรัพย์สินต่างๆพังทลายลงทะเลไป ความเร็วลมประมาณ 100 กม.ต่อ ชั่วโมง ก็เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จแล้ว พื้นที่ชายหาดแบบบางแสน และ พัทยา หากมี คลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จแล้ว ย่อมเกิดความเสียหายมาก[/FONT]
[FONT=&quot]3. คลื่นกระฉอก (Seiche) มีลักษณะคล้ายนำน้ำใส่ในอ่าง แล้วแกว่งไปมา จะเกิดสภาวะน้ำกระฉอก เคยเกิดขึ้นที่ชายทะเลแถวปัตตานี จะเกิดอย่างฉับพลัน และทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินที่อยู่บนชายฝั่ง แต่จะไม่มีน้ำท่วมนำก่อน ไม่เหมือนคลื่นพายุซัดฝั่ง หรือ สตอร์มเซิร์จ[/FONT]
[FONT=&quot]4. น้ำท่วม อาจเกิดได้จาก มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน มีน้ำป่า น้ำทะเลหนุน น้ำเหนือบ่าลงมา เขื่อน ทำนบ หรือฝายกั้นน้ำ พังทลาย และ/หรือ เกิดจากแผ่นดินไหว ทำให้มีผลต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำท่วมก็ได้ [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT](สำหรับสถานที่อยู่อาศัยที่อยู่ในจังหวัดแถบแถวที่สูง เช่น ทางเหนือ หรือ ทางภาคอีสาน ไม่ว่า แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ ก็ตาม หากสถานที่ปลูกสร้างบ้านพักอยู่อาศัยนั้น ถ้าไปปลูก หรือ ก่อสร้าง ในบริเวณที่ราบลุ่ม หรือ ที่แย่มากกว่านั้น หากไปปลูก หรือ ก่อสร้าง ที่อยู่อาศัยในบริเวณที่เป็นแอ่งกระทะ ของพื้นที่โดยรอบ แม้จังหวัดนั้น จะเป็นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร หรือ จะสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงใดก็ตาม ท่านย่อมต้องยอมรับในชะตากรรมว่า เมื่อมีฝนตกหนักในพื้นที่ที่ท่านอยู่อาศัย ท่านต้องถูกน้ำท่วมแน่ๆ เพราะสถานที่อยู่อาศัยของท่านนั้น เป็นแอ่งรับน้ำนั่นเอง ท่านจะละเลยเพิกเฉยไม่ใส่ใจในการสร้างที่พักอาศัย โดยไม่ป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าวไม่ได้ – มงคลฯ)

 

<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot] [/FONT]“การหลีกเลี่ยง หรือ ไม่เผชิญกับภัยพิบัติต่าง ๆ นั้น
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]1. เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภัยพิบัติให้ได้ ที่สำคัญที่สุดนั้น [/FONT]
“ต้องรับฟังคำเตือนภัย และ ลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่เคยฝึกซ้อมมาในทันที มิใช่คอยดูจากทีวี ต้องเปลี่ยนจากการดู มาเป็นการฟังวิทยุใช้ถ่านแทน ทำกิจสำคัญเร่งด่วนไป ก็สามารรับฟังข่าวสารคำเตือนภัยพิบัติได้โดยตลอด ต้องจัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังไว้ล่วงหน้า การขนย้ายคน การขนย้ายทรัพย์สินสำคัญๆที่มีความจำเป็น และมูลค่าสูง ก็ต้องจัดลำดับความสำคัญก่อน เป็นต้น ต้องจัดระบบที่ไม่ขัดแย้งกัน ต้องจัดให้มีระบบการกระจายคำเตือนการเกิดภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อเตือนทุกคนภายในครอบครัว เพื่อนบ้าน และประชาชนทั่วไป รวมทั้ง ต้องมีการลงมือก่อสร้างที่หลบภัยในพื้นที่ ในบ้าน และ ในหมู่บ้าน เมื่อเกิดภัยพิบัติจะได้ลดความเสียหายลงได้ และ ต้องมีการซ้อมอพยพภัยพิบัติอย่างจริงจังเป็นครั้งคราวด้วย”[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]โดยเฉพาะในปัจจุบัน ปริมาณน้ำในทะเลสูงมากขึ้น ประชาชนอยู่กันแออัดมากขึ้น ฝนตกหนักมากขึ้น และ แผ่นดินทรุดตัวมากขึ้น มีการสร้างสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำมากขึ้น ส่วนประชากรในกรุงเทพฯนั้น บริโภคน้ำสะอาดวันละ [/FONT][FONT=&quot]5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ในอนาคตจะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำบริโภคอย่างแน่นอน [/FONT]
[FONT=&quot] นอกจากนั้น สิ่งที่กังวลใจคือ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]ถ้ารอยเลื่อนสะแกง ในพม่าเกิดแผ่นดินไหวเพียงขนาด 8 ริคเตอร์เท่านั้น เขื่อนศรีนครินทร์ และ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ที่กาญจนบุรี จะไม่สามารถทนอยู่ในสภาพปัจจุบันแน่ บริเวณใต้เขื่อนจากกาญจนบุรีลงมา ถึงกรุงเทพฯและปริมณฑลย่อมจมอยู่ในน้ำ ในปัจจุบันนั้น ตามข้อมูลทางธรณีวิทยา บริเวณรอยเลื่อนสะแกง เกิดแผ่นดินไหวประมาณปีละ 200 ครั้ง แต่แผ่นดินไหวในขนาด 5-6 ริคเตอร์เท่านั้น หากวันใดมีขนาดแผ่นดินไหวถึง 8 ริคเตอร์ ความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยจะมีจำนวนมหาศาลทีเดียว เพราะอาจส่งผลทำให้เขื่อนแตกได้
[FONT=&quot] [/FONT]อนึ่ง หากในทะเลใกล้ฟิลิปปินส์ มีการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลขนาด ประมาณ 8.5 ริคเตอร์ ย่อมเกิดสึนามิ และ สึนามิจะเข้ามาทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างชายฝั่งทะเลในประเทศไทย โดยคลื่นสึนามิจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 14-16 ชั่วโมง ก็จะมาถึงที่สมุย และ ภูเก็ต และ จะมาถึงพัทยา ภายใน 18 ชั่วโมงนับจากเวลาเกิดแผ่นดินไหวที่ฟิลิปปินส์ หากคนไทยเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ย่อมลดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินได้ในปริมาณมาก
[FONT=&quot] สำหรับแผนรับมือป้องกันปัญหาน้ำท่วมนั้น เดิมนักวิชาการ เคยวางแผนสำหรับรับมือในอนาคตได้ถึง 200 ปีล่วงหน้า แต่เวลาผ่านมาเพียง 15 ปี ปรากฏว่าถึงจุดตั้งรับ 200 ปีดังกล่าว[FONT=&quot]แล้[/FONT]ว ดังนั้น คาดหมายได้ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า กทม. จะถูกน้ำท่วมถาวรแน่ สำหรับในช่วงเวลานี้ เรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำความจุ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ ขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ที่ต้องใช้งบประมาณถึง 200,000 ล้านบาทนั้น ดร.วัฒนาฯ กล่าวว่า ไม่มีรัฐบาลใดกล้าลงทุน ดังนั้น จึงเหลืออีก 3 กิจกรรม ที่รัฐบาลสามารถทำได้ โดยใช้งบประมาณไม่มากนัก และ ต้องลงมือทำในทันที มีอยู่ 3 เรื่อง คือ[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]1. สร้างคันกั้นน้ำที่แข็งแรงทุกจุดสำคัญ ที่จะไม่ทำให้น้ำทะลักเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]2. สร้างที่พักน้ำ หรือ แก้มลิง ให้มากแห่ง ตั้งแต่ นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง ลงมาจนถึง สมุทรปราการ มีที่พักในช่วงน้ำทะเลหนุน และใช้ระบายลงทะเลในช่วงน้ำทะเลลดต่ำลง[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]3. ทำการขุดลอกคูคลองทุกแห่ง ในทุกจังหวัดที่มีความเสี่ยงในการถูกน้ำท่วมหรือ เคยถูกน้ำท่วมมาก่อน เพื่อขยายเส้นทางวิ่งของน้ำให้คล่องตัวมากขึ้น

ส่วน ดร.เสรี ศุกราทิตย์ ผอ. ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า ประเทศไทยมีข้อมูลมากมาย แต่ยังขาดการนำมาบริหารจัดการ ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น ข้อมูลตรวจจับเรดาร์กลุ่มฝน และปริมาณน้ำฝน ซึ่งต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ข้อมูลที่มีอยู่ปัจจุบันคาดการณ์ว่าอีก 2 ปีข้างหน้า จะเกิดลานินญ่า ฝนจะตกหนักมากแล้วค่อย ๆ เบาลง โดยปี พ.ศ. 2553 จะเกิดฝนตกหนัก ส่วนปี พ.ศ. 2554 ฝนจะไม่ตก จะเกิดความแห้งแล้งอย่างมาก [/FONT]
[FONT=&quot] “จากข้อมูลด้านต่าง ๆ บ่งชี้ว่า ในระยะยาวช่วง 10 ปีต่อจากนี้ ปีที่เป็นหน้าแล้ง ก็จะแล้งหนัก หน้าฝนก็จะมีฝนมาก และจากการประมวลข้อมูลปัจจุบันมี 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ [/FONT]
[FONT=&quot]ปริมาณน้ำฝน จะมีเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ [/FONT][FONT=&quot]5% และแผ่นดินจะทรุดตัวมากขึ้น เป็นต้น บวกกับฐานข้อมูลน้ำท่วม พบว่า [/FONT]
[FONT=&quot]ถ้[/FONT]าอนาคต หากเกิดน้ำท่วมอีก กรุงเทพฯ จะรับมือไม่ได้ รวมทั้งพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี ซึ่งจากการวิเคราะห์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมในอนาคตถึง 40% เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาในปีนี้ คนกรุงเทพฯรอดพ้น ด้วยความบังเอิญที่คันกั้นน้ำตั้งแต่ สิงค์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี ส่วนใหญ่พังทลาย ทำให้ปริมาณน้ำทะลักเข้าไปท่วมพื้นที่ดังกล่าวก่อนน้ำจะลงมาถึงกรุงเทพฯ ทั้งนี้ เพราะ ปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาจากเขื่อนเจ้าพระยา 3,200 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวินาที กับปริมาณน้ำที่ทะลักล้นจากเขื่อนป่าสัก อีก 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวินาที รวมกัน 4,400 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวินาที แต่ ปริมาณน้ำทั้งหมด มิได้ไหลเข้ามาในกรุงเทพฯทั้งหมด เพราะปริมาณน้ำทะลักคันกั้นน้ำออกไปประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวินาที เลยทำให้ปี 2553 น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ คราวนี้ เรียกว่า โชคช่วยไว้จริงๆ ไม่ใช่ฝีมือของ กทม. ขอยืนยัน เพราะถ้าคันกั้นน้ำตั้งแต่ สิงค์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี ไม่มีการพังทลาย ในปี 2553 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯน้ำท่วมแน่นอน
[FONT=&quot]แต่ปีต่อๆไป หากจังหวัดต่างๆที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม เร่งสร้างคันกั้นน้ำถาวร ที่มีความมั่นคงแข็งแรง ปริมาณน้ำ หากมีจำนวนมาก เชื่อว่า ภายใน [/FONT][FONT=&quot]10 ปี ความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯมีเกิน 50% ซึ่งรัฐบาลมักพอใจในการใช้งบประมาณ เพื่อการซ่อมแซม หรือ ใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่าการนำงบฯมาใช้ในการป้องกันภัยพิบัติ” ดร.เสรี กล่าว

ดร.เสรี กล่าวอีกว่า การเกิดสึนามิในประเทศไทย ในครั้งต่อไป จะเกิดเมื่อไหร่ยังคาดการณ์ไม่ได้ ต้องรอคำนวณจากการเกิดแผ่นดินไหวก่อน แต่ขณะนี้ได้ทำแบบจำลองการเกิดสึนามิว่าจะเคลื่อนตัวไปที่ไหนบ้าง เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถระบุเวลาจะเคลื่อนเข้าฝั่ง เพื่อใช้ในการหลบหนีภัยสึนามิได้ ส่วนโหรวารินทร์ฯ ได้ออกคำทำนายว่า “จะเกิดสึนามิ และ มีผลกระทบกับคนไทยในภาคใต้ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2553 นั้น ณ วันนี้ ยังไม่มีข้อมูลในทางวิทยาศาสตร์ ที่สนับสนุนในคำทำนายของโหรวารินทร์ฯ ดังกล่าว จึงไม่ควรวิตกกังวลใดๆ ถ้าปลายปีนี้ มิได้คิดจะไปเที่ยวภาคใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน


[/FONT]

 

<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <wunctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <wontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot] ส่วน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ปัจจุบัน ท่านเป็น ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งได้ทุ่มเทให้กับการสร้างเด็กให้มีคุณภาพในด้านความดีสูง ด้วยการเน้นให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่เน้นในการเป็นคนเก่ง แต่เด็กที่จบจากโรงเรียนสัตยาไส นั้น สามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหมดทุกคน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] ดร.อาจองฯ ได้กล่าวถึง [/FONT][FONT=&quot]“วิกฤติน้ำท่วม” ว่า ขณะนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้พื้นที่ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้ปัจจุบันโลกเล็กเกินไปสำหรับประชากรทั้งโลก ซึ่งมีคนในแอฟริกาตายไปปีละประมาณ 1 ล้านคน เพราะไม่มีอาหารกิน และถ้าจะให้ประชากรโลกอยู่กันอย่างเพียงพอในวันนี้ ปี 2010 ต้องใช้โลกถึงหนึ่งใบครึ่ง [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]ในทุกวันนี้ โลกไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับจำนวนมนุษย์ทั้งหมดทุกคนบนโลกแล้ว ปัจจุบัน อุณหภูมิภายในโลก สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลกระทบ อากาศแปรปรวน ร้อนจัด หนาวจัด แห้งแล้ง ปะการังมีการเปลี่ยนสีและฟอกสี และมีพายุที่รุนแรงเพิ่มขึ้นและเริ่มขาดแคลนน้ำจืด
[FONT=&quot] [/FONT]นอกจากนั้น พบว่า ประเทศไทย ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก ยูเรเซีย และ มีแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิคซึ่งอยู่ด้านขวาของประเทศไทย กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาชนกัน ซึ่งจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และ อาจมีผลทำให้เกาะญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ จมหายไปได้
[FONT=&quot] [/FONT]ภัยพิบัติที่เคยเกิดในรอบพันปีนั้น ในปัจจุบันภัยพิบัติเช่นว่านั้น จะเกิดขึ้นซ้ำโดยใช้เวลาทิ้งห่างไม่นานเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในช่วงชีวิตของคนในปัจจุบัน อาจได้พบเห็นมากกว่า 1 ครั้ง ในอนาคตจะมีสึนามิเข้ามาในไทยแน่ หากเข้ามาในอ่าวไทย เราพอมีเวลาหนีทัน เพราะจะใช้เวลาประมาณ 16 ชั่วโมง หลังการเกิดแผ่นดินไหวในทะเล และ มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับคนในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล สำหรับความสูงของน้ำทะเลในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น ก็ประมาณ 2-3 เมตร ดร.อาจองฯกล่าวว่า ทุกคนต้องไม่ประมาท อย่ามัวแต่ฟังข่าวสารแล้วไม่ทำอะไร แต่ต้องรีบเตรียมการอพยพโดยทันทีที่เกิดภัยพิบัติขึ้น
สำหรับชายฝั่งอันดามันนั้น ในคราวหน้า สึนามิจะขึ้นฝั่งไทยใช้เวลาสั้นกว่าเดิมมาก คือ อาจมีเวลาหนีภัยพิบัติดังกล่าวเพียง 2-3 ชั่วโมง หลังการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลเท่านั้น
ส่วนจะเกิดภัยพิบัติดังกล่าวเมื่อไรนั้น ดร.อาจองฯ บอกว่าไม่ทราบกำหนดการแน่นอน แต่ ณ วันนี้ บอกได้ว่า โลกของเราพร้อมที่จะเกิดแผ่นดินไหวแล้ว และ ได้บอกเพิ่มเติมว่า ผู้ใดมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ไปทำมาหากินอยู่ที่แคลิฟอร์เนียร์ สหรัฐอเมริกา ขอให้เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยได้แล้ว เพราะบริเวณที่ตั้งแคลิฟอร์เนียร์นั้น ตั้งอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลกซึ่งกำลังจะแตกหักและยุบตัว มีโอกาสทำให้พื้นแผ่นดินบริเวณนั้นจมหายไป มีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่อนข้างมาก โดยเมืองไทยยังเป็นบริเวณที่มีความปลอดภัยมากกว่า[FONT=&quot]
ดร.อาจอง กล่าวต่อว่า ต่อไปในช่วงหน้าร้อน บางเดือนน้ำในแม่น้ำโขงจะแห้งจนสามารถเดินข้ามไปประเทศลาวได้ เพราะน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัย ต้นกำเนิดของแม่น้ำโขงละลายไปในปริมาณที่มากจนหมดไปในบางพื้นที่บนภูเขาหิมาลัย และ สิ่งที่อันตรายที่สุด คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ ที่สะสมมาหลายพันปีได้เริ่มละลาย และเริ่มไหลออกจากแผ่นดินแอนตาร์กติก อีกทั้งยังมีปฏิกิริยาเร่งจากบริเวณขั้วโลกเหนือ เมื่อน้ำแข็งที่หนาหลายกิโลเมตรละลาย ปรากฏว่าแก๊สมีเทนปริมาณมากผุดขึ้นมาจากพื้นโลก ปริมาณของแก๊สมีเทนมีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเร็วกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า และ ถ้าเมื่อไร ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-7 เมตร [/FONT]
เมืองที่อยู่ติดทะเล เช่น ฟลอริดา ไมอามี เซี่ยงไฮ้ รวมถึงกรุงเทพฯด้วย ย่อมจะถูกน้ำท่วมถาวร จังหวัดต่างๆในแถบภาคกลางตอนล่าง ก็จะมีความเสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้น้ำ เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพฯ และ อยุธยา เป็นต้น[FONT=&quot] [/FONT]
[FONT=&quot]
[/FONT]“ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล พบว่า น้ำทะเลสูงขึ้นในบางพื้นที่ของโลกเท่านั้น เช่น ในมหาสมุทรแปซิฟิค ทำให้โลกขาดความสมดุล ซึ่งปัจจุบันแกนโลกมีการเคลื่อนที่เพื่อหาสมดุลใหม่ ขณะที่เปลือกโลกก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลเช่นกัน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบนรอยต่อของเปลือกโลกบ่อยมากขึ้น [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาที่รอยต่อและรอยร้าวของเปลือกโลก ที่อยู่ในประเทศพม่า ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น เช่น จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ และ อุตรดิตถ์ จึงควรสร้างบ้านให้ทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวด้วย[/FONT][FONT=&quot] อย่างน้อย 5 ริคเตอร์” ขึ้นไป ดร.อาจอง กล่าว

สำหรับ นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวถึงเรื่อง “การเตรียมการรองรับและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ว่า จุดอ่อนของคนไทยจากเหตุการณ์สึนามิ คือ ทำงานที่ไม่มีการประสานงานกัน ทำงานเอาหน้า ให้การช่วยเหลือล่าช้า ทำงานโดยขาดระบบที่ดี การให้ความช่วยเหลือไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังมีคนดี ๆ อีกมากมายที่นำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ และ พยายามทำให้มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึงขึ้นมา [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน จะเป็นตัวประสานให้เกิดการช่วยเหลือ โดยใช้เบอร์ 1669 เป็นเบอร์รับแจ้งเหตุทั่วประเทศ เพื่อสั่งการไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งเป็นบริการฟรีที่สถาบันฯ ใช้เงินทุนจากภาษีอากรของประชาชน ปัจจุบันมีรถในเครือข่าย ทั้งส่วนราชการ และ องค์กรภาคเอกชน ที่ลงทะเบียนเป็นแนวร่วม เพื่อให้การช่วยเหลือประมาณ 12,000 คัน มีเฮลิคอปเตอร์ประมาณ 100 ลำ (ปกติเฮลิคอปเตอร์จะมีค่าใช้จ่ายในการขึ้นบินชั่วโมงละ 200,000 บาท แต่ในภาคเอกชนที่มีเฮลิคอปเตอร์ ตกลงรับค่าตอบแทนช่วยเหลือเพียงชั่วโมงละ 40,000 บาท ตามงบประมาณที่รัฐบาลกำหนดให้จ่ายได้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณต่อภาคเอกชนทุกแห่งที่ให้การสนับสนุน) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน มีแพทย์พยาบาลประจำ 40 คน พ.ร.บ. การแพทย์ฉุกเฉิน แจ้งเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551
[FONT=&quot] “ถ้าเกิดภัยพิบัติใหญ่ ๆ เช่น แผ่นดินไหว ดินโคลนถล่ม น้ำท่วม และน้ำป่าไหลหลาก ทีมแพทย์ของสถาบันฯ พร้อมรับมือ และ ร่วมประสานกับแพทย์ทุกจังหวัดได้ทันที ซึ่งหลังเกิดสึนามิเมื่อ 26 ธันวาคม 2547 เป็นบทเรียนที่ดีที่ต้องนำมาทำการแก้ไข ในปัจจุบัน ทีมแพทย์ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ซ้อมรับมือกันอย่างหนัก เชื่อว่าถ้าเกิดสึนามิอีกครั้ง ทีมแพทย์จะเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที และจะทำให้เกิดการสูญเสียน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีกลไกการเตรียมพร้อมรับมือระดับสากลมากขึ้น โดยเตรียมการไว้ 4 ขั้นตอน คือ [/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]1. เตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา[FONT=&quot] โดยต้องเฝ้าระวังภัย โยงข้อมูลทุกส่วนเข้าด้วยกัน ระบบการสื่อสารต้องพร้อมและทันการ นอกจากโทรศัพท์มือถือแล้ว ต้องมีวิทยุคลื่น [/FONT][FONT=&quot]VHF มาเสริมด้วย เพราะบางครั้งระบบมือถือล่ม ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหลายๆครั้งในช่วงที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]2. ตอบสนองเมื่อภัยพิบัติมาในทันที[FONT=&quot] ในการเกิดภัยพิบัติครั้งก่อนๆนี้ มูลนิธิต่างๆที่มีผู้มีจิตอาสาจำนวนมาก ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการตอบสนอง ทุกคนล้วนทุ่มเทตั้งใจสูงมาก ซึ่งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินก็ได้ขึ้นทะเบียนองค์กร การกุศลต่างๆ เพื่อให้เข้ามาร่วมเครือข่าย ในทีมงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินในทุกพื้นที่แล้ว [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT]3. การเยียวยาแก้ไข[FONT=&quot] งานนี้รัฐบาล และ นักการเมืองทั้งส่วนกลาง และ นักการเมืองท้องถิ่นถนัด เพราะงบประมาณที่ต้องใช้มีเป็นจำนวนมาก และทำงานเอาหน้าสร้างภาพและหาคะแนนเสียงได้ง่าย อีกทั้งมีโอกาสคอรัปชั่นในงบประมาณดังกล่าวได้ในหลายรูปแบบ ซึ่งก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องกระทำฯ็[/FONT]
[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
4. ทบทวนบทเรียนเพื่อแก้ปัญหาในอนาคต ให้ดีกว่าเดิม[FONT=&quot] เพราะภัยพิบัติต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอน[/FONT]
ทั้งนี้ ที่สำคัญที่สุด ประชาชนต้องเชื่อข้อมูลการเตือนภัยจากหน่วยงานต่าง ๆ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา ต้องซ้อมเรื่องนี้อย่างจริงจังจึงจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติลงได้” นพ.ชาตรี กล่าว
[FONT=&quot] อนึ่ง [/FONT]นอกจากเรื่องภัยพิบัติแล้ว ในกรณีป่วยเจ็บกระทันหัน เป็นโรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ-ตันฉับพลัน เส้นโลหิตแตกในสมอง ตกเขา สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้เคยส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับผู้ป่วยมาทำการรักษาจำนวนหลายสิบรายแล้ว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในพื้นที่ใดในประเทศไทย หากฉุกเฉินจำเป็นให้เรียกใช้บริการได้ อย่าลืมว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาจากภาษีอากรของท่าน คนไทยหรือเทศที่มาอยู่ในเมืองไทย มีสิทธิใช้บริการนี้ฟรีทุกคน นพ.ชาตรี เจริญชีวกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวทิ้งท้าย[FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
[FONT=&quot]และ ให้ข้อมูลส่วนตัวว่า ถ้าติดต่อหมายเลข [/FONT][FONT=&quot]1669 ไม่ได้จริงๆ ยินดีให้ติดต่อที่โทรมือถือส่วนตัวได้ แต่ขอว่าให้ใช้ในคราวจำเป็นจริงๆเท่านั้น คือหมายเลข 08-1992-1669 หรือ 08-0444-1669 [/FONT]
(หากในอนาคตคุณหมอชาตรีฯ หมดวาระเป็นเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแล้ว ก็อย่ารบกวนท่าน เพราะท่านอาจหมดบารมีที่จะสั่งการแล้วก็ได้ ท่านจะอยู่ในวาระถึงปี 2555 และ อาจต่อได้อีกวาระละ 4 ปี ถ้าท่านได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงสาธารณสุขต่อไป หากท่านใดมีโอกาสอ่านบทความนี้ และ มีบารมีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ขอฝากคนดีที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ที่มีความทุ่มเทและตั้งใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นในงานช่วยเหลือสาธารณชนคนนี้ด้วย – มงคล กริชติทายาวุธ ผู้เรียบเรียง)

 

[FONT=&quot] สำหรับท่าน[/FONT]
พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานที่สำคัญในยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง
[FONT=&quot]ท่านศึกษารายละเอียดเชิงลึกจากสาส์นของชาวมายัน[/FONT][FONT=&quot] ท่านว่า ชาวมายันนั้น สืบเชื้อสายมาจากชาวแอตแลนตี๊ส ก่อนที่แอตแลนตี๊สจะล่มสลาย ชาวแอตแลนตี๊สกลุ่มหนึ่งก็อพยพออกจากแอตแลนตี๊ส เมื่อประมาณ 13,000 ปีก่อน ต่อมาได้ตั้งรกรากผสมชาติพันธุ์กับชาวอียิปต์โบราณ เพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ และ เผยแพร่อารยธรรมของชาวแอตแลนตี๊ส[/FONT]
ในปัจจุบัน ตามปฏิทินชาวมายันนั้น เข้าสู่ปลายยุคที่ 5 ดินน้ำลมไฟ จะแปรปรวนหนัก จะมีแผ่นดินไหว น้ำท่วม แห้งแล้ง เกิดลมพายุแปรปรวนผิดไปจากธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้น รวมทั้งน้ำ ทั้งลม และ ไฟ ในร่างกายมนุษย์ ก็แปรปรวน จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยง่าย ธาตุน้ำในร่างกายจะถูกดูดออกไป เส้นแม่เหล็กโลกจะแปรปรวน ท้องฟ้า จะมีสีแดงปนม่วงบ่อยครั้งขึ้น นี่คือ ปรากฏการณ์ในช่วงยุคปลายที่ 5 ของปฏิทินชาวมายัน ท่านใดที่สงสัยว่าตัวเอง ทำไม มีอาการหายใจไม่ทั่วท้อง เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยง่าย ก็ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว เพราะเป็นอาการปกติในยุคปัจจุบันนั่นเอง

[FONT=&quot]อนึ่ง สฟิงค์ในอียิปต์ ที่อยู่ใกล้ๆกับปีรามิดกีชา ผู้ที่สร้างนั้น เชื่อกันว่า เป็นคนที่ออกมาจากเกาะแอตแลนตี๊ส นั่นเอง และ [/FONT]
ณ บริเวณเท้าขวาของสฟิงค์ มีความลับที่สำคัญ ที่จะมีผลต่อการตีกลับของขั้วแม่เหล็กโลก ที่จะลดความรุนแรงของมหันตภัยให้ลดลงได้ อีกทั้งช่วยปรับสมดุลในร่างกายมนุษย์ ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง นั่นคือ ในวันที่ 2 มกราคม 2554 เวลา 19.00 น. หรือ 1 ทุ่มตรง ให้ยืนหลับตา แล้วนึกว่า เราได้ยืนบนเท้าขวาของสฟิงค์ ทุกคนจะรู้สึกว่า “ตัวหมุน” นั่นคือ การช่วยปรับสมดุลในร่างกายของตัวเรา เพื่อช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง อีกทั้ง เป็นการปรับสมดุลของขั้วแม่เหล็กโลกด้วย (สฟิงค์ ตัวที่อยู่ที่กีชา เห็นเท้าสฟิงค์ไม่ชัด จึงนำสฟิงค์ ตัวที่อยู่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของอียิปต์มาให้ท่านกำหนดจิตไปยืนบนเท้าขวาของสฟิงค์ได้ง่ายขึ้น – มงคลฯ)
[FONT=&quot]สำหรับสิ่งที่มีชีวิตนอกโลกนั้น[/FONT][FONT=&quot] พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ เชื่อว่ามีอยู่จริง และ การแสดงให้เห็นความมีอยู่จริงเท่าที่ผ่านมานั้น คือ การแสดงให้เห็นในรูปคลื่นแสง ที่อาจปรากฏมีลักษณะเป็นยานอวกาศ ที่วาบไปมา และ หักเหได้ในลักษณะข้อศอก หรือ 90 องศา โดยไม่ต้องตีโค้งเหมือนอากาศยานในโลกมนุษย์ อากาศยานในโลกมนุษย์ที่ต้องการเปลี่ยนทิศทางนั้น ต้องบินในลักษณะตีโค้งเท่านั้น ยังไม่สามารถบินหักเหแบบหักศอกด้วยความรวดเร็วได้[/FONT]
[FONT=&quot] ส่วน ศ.ดร.อาจองฯ ท่านว่า ท่านมีความเชื่อว่า มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่นอกโลกจริงเพียงแต่ ไม่เคยพบหน้าหรือ พูดคุยกันโดยตรงเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot] และ ในช่วงที่ท่านทำปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล ประเทศอังกฤษนั้น ท่านพบเห็นอากาศยานที่มีความเร็วในการบินสูงมาก แบบปรู๊ดปร๊าด และ หักเหได้แบบ 90 องศา จากนั้น จอดเรืองแสงอยู่ประมาณ 10 นาที แล้วก็บินปรู๊ดปร๊าดหายลับตาไป ในบางคราวที่ไปบรรยาย ได้กำหนดจิตสื่อสารไปในอากาศว่า หากมีสิ่งที่มีชีวิตนอกโลกจริง ให้ปรากฏอากาศยานให้เห็นด้วย ซึ่งมีสักขีพยานเห็นพร้อมกันจำนวนมากในลักษณะที่อากาศยานบนโลกของเรายังทำไม่ได้[/FONT]
[FONT=&quot] ทั้งนี้ ดร.สมิทธิ์ฯ ชี้แจงว่า ผู้ที่ติดต่อและพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้นั้น คือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ศิษย์เก่าฮาวาร์ดดีเด่น อดีตคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ [/FONT][FONT=&quot]12 ปี ท่านมีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาว อยู่ที่ดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัล[/FONT]
[FONT=&quot] ในช่วงสุดท้ายของการสัมมนาเป็นการอภิปรายหมู่ [/FONT][FONT=&quot]“พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” วิทยากรทั้ง 8 คน ขึ้นเวที พร้อมด้วย คุณคณานันท์ ทวีโภค หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ จากเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม [/FONT]
[FONT=&quot] ก่อนการตอบคำถามผู้เข้าร่วมสัมมนา คุณคณานันท์ ทวีโภค ได้นำเสนอโครงการ บ ว ร ให้เป็นทางรอดจากภัยพิบัติ เพื่อรองรับและฟื้นฟูจากภัยพิบัติ เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ และ สังคม[/FONT]
[FONT=&quot] คุณคณานันท์ฯ เสนอว่า เราต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ต้อง อาศัย ทั้ง บ้าน วัด และ รัฐบาล อันเป็นที่มาของคำว่า [/FONT][FONT=&quot]“บ ว ร” แต่ในส่วนของตัว ร.นั้น ศ.ดร.อาจองฯเสนอว่า คงหวังพึ่งรัฐบาลได้ยากมาก จึงเสนอขอเปลี่ยนตัว ร. ว่า หมายถึง โรงเรียน จะทำได้ง่ายกว่า โดยท่านได้ยกตัวอย่างของ โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ที่ท่านเป็นผู้บริหารสูงสุดอยู่ในปัจจุบัน ท่านเน้นการฝึกให้เด็กสามารถมีชีวิตอยู่รอดในอนาคตด้วยความสุข เน้นเป็นคนดี ฝึกทำสมาธิวันละ 9 เวลาทุกวัน ทำการปลูกข้าว โดยปัจจุบันที่โรงเรียนสัตยาไส สามารถผลิตข้าวได้ถึงปีละ 30 ตัน ปลูกพืชผักผลไม้ไว้กิน ไว้ขาย โดยฝึกให้อยู่กินแบบมังสวิรัติ โดยนักเรียนทุกคน เป็นนักเรียนประจำทั้งหมด มีการฝึกซ้อมหนีภัยพิบัติ หากมีปัญหาอุทกภัย หรือ ภัยพิบัติใดๆ ศูนย์เตือนภัย ที่ขอนแก่นจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบ ซึ่งทางโรงเรียนสัตยาไสย จะได้รับแจ้งล่วงหน้าประมาณ 8 นาที ก่อนภัยพิบัติจะมาถึง ดังนั้น จึงมีการฝึกซ้อมให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียนสัตยาไสยฝึกซ้อมวิ่งหนีภัยขึ้นเขา ให้ได้ภายใน 5 นาที ทั้งนี้ เป็นการโชคดี ที่ทางโรงเรียนมีภูเขาอยู่ใกล้ๆ โรงเรียน และ ได้ผลสำเร็จในการฝึกซ้อมอย่างดี โดยเด็กนักเรียนหญิงสามารถวิ่งขึ้นเขาหนีภัยพิบัติ โดยใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น [/FONT]
[FONT=&quot] สำหรับคำว่า [/FONT][FONT=&quot]“บ ว ร นั้น คุณคณานันท์ฯ ให้ความหมาย ดังนี้[/FONT]
[FONT=&quot]“บ-บ้าน” หมายถึง ที่อยู่อาศัยหลับนอน รวมไปถึง ชุมชน มูลนิธิ และ ผู้มีจิตอาสา[/FONT]
[FONT=&quot]“ว-วัด” หมายถึง สถาบันทางศาสนา สามารถใช้เป็นสถานที่พึ่งพิงได้ทั้งเครื่องอุปโภค และ บริโภค โดยศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ จะต้องไปช่วยสร้างแท๊งค์เก็บน้ำขนาดใหญ่ เครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ โรงทาน โรงอาหาร ปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อการบริโภคในยามมีภัยพิบัติมาถึง จะได้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยนอกวัดมากนัก และ ชุมชนใกล้เคียงก็จะไปอาศัยใบบุญได้ นอกจากนั้น ยังใช้เป็นสถานที่ถ่ายทอดคุณธรรม เป็นพี่เลี้ยงของชุมชน อีกทั้ง อาจให้การช่วยเหลือชุมชนอื่นที่เกิดภัยพิบัติ แต่วัดตนนั้น ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ เป็นต้น[/FONT]
[FONT=&quot]“ร-โรงเรียน” เป็นสถานที่ให้องค์ความรู้แก่เด็กนักเรียน เพื่อนำความรู้ไปถ่ายทอดให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง ในการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติในรูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละท้องที่ อีกทั้ง สามารถใช้สถานที่ของโรงเรียน เป็นที่พึ่งพิงในยามเกิดภัยพิบัติได้ ทั้งใช้เป็นที่พักชั่วคราว แหล่งสะสมเครื่องอุปโภค และ บริโภค โดยผู้มีจิตศรัทธา หรือ คนในชุมชนใกล้เคียงนั้นๆ จะต้องไปช่วยสร้างแท๊งค์เก็บน้ำขนาดใหญ่ เครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ โรงอาหาร ให้เด็กนักเรียนทุกแห่งฝึกปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อการบริโภค ให้ทำเป็นปกติตั้งแต่บัดนี้ ในยามมีภัยพิบัติมาถึง จะได้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยนอกโรงเรียนมากนัก และ ชุมชนใกล้เคียงก็จะไปอาศัยใบบุญที่โรงเรียนใกล้เคียงได้ นอกจากนั้น ก็ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทอดคุณธรรมให้แก่เด็กนักเรียน อีกทั้ง อาจให้ความช่วยเหลือชุมชนอื่นที่เกิดภัยพิบัติ แต่พื้นที่ของโรงเรียนนั้นๆ ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ เหมือนดั่งแนวดำเนินการของ โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีเยี่ยมในการเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต[/FONT]
[FONT=&quot] เพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมฟังการสัมมนาซักถามเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติ ตัวอย่างคำถามที่น่าสนใจ อาทิ ข้อถามที่ว่าระบบเตือนภัยสึนามิของประเทศไทยปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ ดร.สมิทธ[/FONT][FONT=&quot] ชี้แจงว่า ถ้าจุดที่เกิดสึนามิอยู่ในทะเลอันดามัน และมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีรอยเลื่อน ถ้าอุปกรณ์เตือนภัยไม่ทำงาน ประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณ 6 จังหวัดภาคใต้ จะมีเวลาหลบหนีสึนามิเพียง 10 กว่านาทีเท่านั้น หากระบบเตือนภัยทำงาน ก็จะมีเวลาหนีภัยพิบัติมากขึ้น จึงฝากให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติช่วยดูแลระบบและอุปกรณ์เตือนภัยให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง [/FONT]
[FONT=&quot] สำหรับคำถามเกี่ยวกับอุกกาบาตนั้น ดร.ก้องภพฯ ชี้แจงว่า นักวิทยาศาสตร์แห่งกองทัพเรือสหรัฐ ได้จัดทำรายงานในปี [/FONT][FONT=&quot]2010 (ปี พ.ศ. 2553) ว่า ได้พบอุกกาบาตจำนวนมาก ในอวกาศใกล้โลก แต่ยังไม่มีการยืนยันจากองค์กรการบินของประเทศใดๆในขณะนี้ ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า หากตรวจพบครั้งต่อไป ก็อาจลอยเข้ามาในวิถีโคจรของโลกแล้วก็อาจเป็นได้ แตกต่างจาก ศ.ชูเมคเกอร์ และ ภริยา นักดาราศาตร์ ที่ตรวจพบอุกาบาต ที่มีวิถีโคจรไปชนดาวพฤหัสบดี เมื่อหลายปีก่อน และ ทำนายถูกต้องว่า จะวิ่งเข้าชนในวันเวลาใด แต่ขนาดที่เข้าชนนั้น ประมาณการว่า ถ้าวิ่งมาชนโลก อาจทำให้โลกแตกได้ เพราะมีมวลขนาดใหญ่มากๆ อย่างไรก็ดี มีรายงานการพบอุกกาบาตทะลุชั้นบรรยากาศของโลกเข้ามาได้จำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพียงแต่เป็นลูกเล็กๆเท่านั้น ถือว่า เริ่มมีสัญญาณที่ไม่ค่อยจะดี เพราะไม่สามารถพบเห็นก่อนล่วงหน้า แต่เห็นเมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลกแล้ว[/FONT]
[FONT=&quot] ส่วนคำถามว่า แล้วแต่ละคนควรเตรียมตัวอย่างไรนั้น พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ ท่านว่า ขอให้ทุกคนจะทำอะไรก็ตาม คิด พูด และ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ และ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีสิ่งที่ดีๆเรื่องใดยังไม่ได้ทำ [FONT=&quot]ยังไม่ได้แสดงความกตัญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่ง [/FONT]จงรีบลงมือกระทำในทันทีเท่าที่สามารถกระทำได้ ถ้าจะมีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้น ซึ่งท่านพระอาจารย์ท่านว่า ต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่วันเวลานั้น ยังไม่แน่นอน เมื่อวันนั้นมาถึง หากเกินกว่าวิสัยที่จะป้องกันได้ หรือ จวนตัวไม่สามรถจะทำอย่างอื่นได้แล้ว ก็ให้นึกถีง [/FONT][FONT=&quot]“มรณานุสติ” [/FONT]
ในเรื่องของ “มรณานุสติ” นั้น ข้าพเจ้าขออนุญาตขยายความ นั่นคือ ณ เวลาในขณะนั้น ให้นึกถึงว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนทุกคนที่เกิดมา ย่อมต้องตายทุกคน ให้นึกถึงคุณความดีที่เราเคยมีส่วนร่วมกระทำ หรือ ได้เคยลงมือกระทำ เพื่อใช้เป็นพลวปัจจัย เป็นแรงอาสันนกรรมนำส่งไปสู่สุขคติภูมิ ที่มีความสุขสมบูรณ์มากกว่าในชาติภพปัจจุบัน ต้องพยายามควบคุมสติสัมปชัญญะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ต้องไปวิตกกังวลเรื่องอื่นใดอีกแล้ว ไม่ต้องไปห่วงทรัพย์สมบัติใดๆ แม้แต่คนที่เรารักที่สุด เพราะ ณ เวลานั้น เมื่อเราไม่สามารถช่วยตัวเองได้แล้ว ความห่วงใดๆก็ตาม ไม่ว่าทรัพย์สิน หรือ พ่อแม่/สามีภรรยา/ลูกหลาน มีแต่จะทำให้จิตตกต่ำ หากจิตตกต่ำก่อนตาย ท่านต้องไปทุกคติภูมิแน่ ซึ่งเรื่องนี้ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ท่านพร่ำเตือนผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นประจำว่า ในยามวิกฤติ ให้เข้าสมาธิจิตให้ได้ ให้จิตจรดจ่อกับคำภาวนาอะไรก็ได้ นึกอะไรไม่ออก ก็ใช้ “พุท-โธ” ทุกลมหายใจเข้า-ออก แล้วท่านจะไปดีแน่นอน - มงคลฯ
ท้ายที่สุดขอให้ทุกท่าน อย่าได้ประมาทในภัยพิบัติที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้เตรียมความพร้อมในทุกขณะ หากป้องกันเรื่องใดได้ อย่าได้ละเลยหรือ เพิกเฉย ทรัพย์สินเงินทอง หลักทรัพย์สำคัญ จัดให้เป็นหมวดหมู่ สำหรับหยิบฉวยติดตัวไปได้โดยง่าย ในยามเกิดภัยพิบัติ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาอีก กระจายเงินฝากให้อยู่ในหลายธนาคาร เพราะหากมีปัญหาในธนาคารที่เรามีเงินฝากอยู่ ก็จะได้มีธนาคารอื่นให้เราสามารถถอนเงินมาใช้ได้ อย่าได้ประมาทในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น บอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้า ไม่ว่า ลูกหลาน/ญาติมิตร/บิดามารดา/คู่สมรส หากในเวลามีภัยพิบัติ ไม่ต้องกลับเข้าไปในเขตภัยพิบัติ แต่ให้ทุกคนไปพบกันในสถานที่ที่นัดหมายที่อยู่ห่างไกลกับจุดที่มีภัยพิบัติ ต้องหาจุดนัดพบที่มีความปลอดภัยมากที่สุดของครอบครัวของท่าน จุดหมายปลายทางของครอบครัวใด อยู่ที่ไหน ให้ไปยังสถานที่นั้นๆ เป็นสำคัญ และ สถานที่ดังกล่าว ที่จะใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยในช่วงมีภัยพิบัตินั้น ต้องไม่ลืมเตรียมการสร้างแท๊งค์เก็บน้ำ เครื่องกรองน้ำ เสบียงอาหารกระป๋อง อาหารแห้ง ให้มากพอสำหรับทุกคนสัก 3-4 เดือน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือ ยาประจำตัวของแต่ละคน ต้องสะสมเมล็ดพันธุ์พืชผักผลไม้หลายสิบชนิด เพื่อจะมีพืชผักและผลไม้ที่หลากหลายไว้บริโภคในยามมีภัยพิบัติ อย่าลืมเสริมพืชสมุนไพร ที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคต่างๆด้วย ทั้งนี้ จะต้องฝึกปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อการบริโภค รวมทั้ง ฝึกปลูกพืชสมุนไพร ที่เป็นตัวยาในการรักษาโรคต่างๆ โดยขอให้ท่านฝึกฝนทำเป็นปกติตั้งแต่บัดนี้ ในยามมีภัยพิบัติมาถึง จะได้ไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยนอกบ้านมากนัก ไม่ว่าตลาด หรือ ร้านค้า ก็อาจไม่มีอาหารหรือ ปัจจัย 4 จำหน่ายในช่วงเวลานั้นๆ
ด้วยความปรารถนาดี จาก
นายมงคล กริชติทายาวุธ