รวมคำสอนของหลวงพ่อสำราญ ธมฺธุโร (หลวงพ่อกล้วย)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย benyapa, 8 ตุลาคม 2010.

  1. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    อาทิตย์ก่อนเข้าไปอ่าน "กระทู้ที่ 3354:สำหรับมือใหม่ครับ" และเจอไฟล์เสียงของหลวงพ่อที่คุณ Tboon แปะลิงค์ไว้
    หลังจากได้ฟังแล้วอึ้งไปเลย เพราะตอบคำถามที่มีอยู่ในใจเรื่องการปฏิบัติที่ติดมาหลายปี
    (สารภาพว่า ไม่เคยเคยอ่านกระทู้มือใหม่มาก่อน เพราะคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว โธ่...ไอ้อ่อน...)

    พอลองถอดเทปออกมา ยิ่งรู้สึกทึ่งเพราะทุกคำที่หลวงพ่อใช้ล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง
    สอดคล้องกันไปหมด ไม่มีตรงไหนที่ขัดกันเลย เรียบง่ายและลึกซึ้ง
    เลยขอเอามาฝากไว้ และขอบคุณคุณ Tboon สำหรับไฟล์เสียงครับ
    ----------------------------------------


    เคยสังเกตดูตัวความคิด ตัวขันธ์ 5 เข้ามาไหม?
    ขณะมันเข้ามา จิตของเราเข้าไปร่วม ให้พยายามดูขณะที่จิตเข้าไปร่วมให้ชัดเจน
    ถ้าจิตของเราจะเข้าไปร่วมก็ให้หยุดไว้ก่อน
    ถ้าจิตกำลังจะก่อตัวก็ให้เราดับตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มก่อตัว

    รู้ทันเฉย ๆ ไม่พอ ต้องรู้ทันและทำความเข้าใจด้วย

    สังเกตดูว่าจิตเกิดบ่อยไหม ตั้งแต่เช้าคิดไปกี่เรื่อง

    ทำไมไม่เอาให้มันเด็ดขาดสักที?

    วิธีที่เร็วที่สุดในการจัดการคือ "ไม่คิด"
    หยุดคิดโดยการดูตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มก่อตัวแล้วดับมัน
    และทำความเข้าใจนิวรณ์ที่เป็นตัวทำให้สติมันอ่อนลงและหลุด เช่น เวลาจิตฟุ้งซ่าน
    ให้เราเพิ่มความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ในทุกอิริยาบถ
    แต่เดิมนั้น เวลามันเกิดแล้วถึงค่อยเอาสติไปควบคุม
    ให้หมั่นฝนสติไปใช้ตรงนี้ด้วย จิตปกติก็ให้รับรู้ว่ามันปกติ
    เวลาจิตก่อตัว ก็ให้เราดับตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มก่อตัว แล้วมันจะนิ่งมาก
    มันเกิดอีกเราก็ดับ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด
    ดับแล้วก็วางเขา เอาตรงจุดนี้ให้ชัดเจนก่อน

    มีความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดบ่อยไหม?
    นี่แหละตัวร้ายเลย เราต้องทำความเข้าใจรายละเอียดตัวนี้ให้มากที่สุด
    มันก่อตัวอย่างไร จิตเคลื่อนเข้าไปรวมอย่างไร ทำความเข้าใจมัน อย่าปล่อยโอกาสนี้

    เราตามทำความเข้าใจให้ละเอียด เพิ่มกำลังสติให้มากขึ้น
    จิตเกิด เราก็ดับแล้ววาง ตามดูความคิดที่ผุดเข้ามา
    อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง คอยตามดูอยู่ให้ต่อเนื่อง ให้เห็นว่ามันเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป
    จนเกิดความรอบรู้ในกองสังขารของขันธ์ 5 และเข้าใจไตรลักษณ์

    การฝืนไม่นอน
    การฝืนเพียงอย่างเดียวไม่ได้นะ
    ฝืนแล้วต้องทำความเข้าใจด้วยว่าสติของเรามันหลุดอย่างไร
    ถ้าฝืนเฉย ๆ แต่ไม่ทำความเข้าใจตัวนิวรณ์ มันจะทื่ออยู่เฉย ๆ
    ให้สังเกตว่า ขณะที่กำลังฝืน จิตของเรามันโล่งโปร่งอยู่ไหม

    ถ้ามันโล่งอยู่ให้ก็ให้รักษามันไว้ นั่นคือ ทรงความว่างเอาไว้
    และให้รู้ว่าสติของเรามันจะหลุดอย่างไร นิวรณ์จะเข้าครอบงำอย่างไร
    ถ้ามันจะหลุดก็กระตุ้นความรู้สึกตัวขึ้นมาบ่อย ๆ

    เวลาหิว ให้สังเกตว่า กายหิว หรือ จิตเกิดความอยาก
    ต้องดับความอยากให้เด็ดขาด
    ความอยากคือต้นตอของความคิด ความอยากไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ต้องดับให้หมด
    ดับให้หายอยากเสียก่อน แล้วจึงค่อยกินค่อยทำ

    ใหม่ ๆ สติมันอาจจะช้าบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา
    เราก็พยายามหมั่นฝนสติของเราไปใช้ เอาความปกติไว้เป็นหลัก ทั้งวันทั้งคืน
    ถ้ากำลังสติมากขึ้น จิตมันจะฉายแววมากขึ้น จะโล่งโปร่ง เกิดปีติมากขึ้น

    ดูเดี๋ยวนี้ก็รู้เดี๋ยวนี้ ดับเดี๋ยวนี้ก็ได้เดี๋ยวนี้

    จุดต่อไปที่เราต้องดูคือ อะไรเป็นตัวสั่งกาย?
    เราจะไม่ให้จิตเป็นตัวสั่ง ให้ใช้สติปัญญาเป็นตัวสั่ง

    จิตวางการยึดมั่นถือมั่น แต่การเกิดของเขาก็ยังมีอยู่
    เรามาดับความเกิด ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันไปรวมกับขันธ์ 5 อยู่

    มีสติทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก
    ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต ต้องดับให้หมด
    อยากมี อยากเป็น อยากทำบุญทำทาน ก็ช่างมันเถิด
    เราต้องดับมันเสียก่อน แล้วเอาสติปัญญาของเราเข้าไปจัดการ
    ต้องให้จิตเหนือพรหมวิหารในวิปัสสนาภูมิ ไม่ใช่มีพรหมวิหารโดยจิตยังเกิดอยู่

    ตั้งแต่บวชมา หลวงพ่อคอยสังเกตไม่ให้คลาดสายตาไปจากสติเลย
    ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิด ดับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องการอยู่การกิน ก็ดับให้หมด
    พอมันเริ่มก็ตัว ก็ดับ จนจิตมันนิ่ง รับรู้
    แล้วจิตมันก็คลายตัวกลับไปอยู่ที่ฐานของเขา
    เมื่อเราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กำลังมันก็จะไม่มี
    ถ้าเราไปดับช่วงกลาง ช่วงปลาย หรือปล่อยให้เขาเกิด กำลังของเขาก็จะเยอะ
    จิตมันก็ยังเกิดยังวิ่ง เป็นกิเลสธรรมอยู่

    ดับแล้ววาง จิตมันก็จะเป็นอิสระของเขาเอง
    แต่ถ้าขันธ์ 5 เข้ามาปรุงแต่งจิต เราก็ต้องดูว่ามันก่อตัวอย่างไร
    ช่วงที่จิตว่างจิตปกตินั้น เราต้องทำความเข้าใจกับนิวรณ์ด้วย
    ดูว่าจิตของเรามีความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยไหม สติเราพลั้งเผลอไหม
    สำรวจให้เห็นตัวจิตชัดเจนแล้วความว่าง-โล่ง-โปร่งมันจะฉายแสงออ กมาของมันเอง
    แล้วดูให้ลึกลงไปอีก จะเห็นมลทิน ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ซึ่งจะทำให้จิตเกิด เราก็ต้องดับอีก
    ดับให้หมดทั้งกุศลและอกุศล จนมันนิ่ง แล้วตัวสติจะเข้ามาทำหน้าที่แทนจิต ตรงนี้มันจะกลับกัน
    เมื่อเราฝืนไม่ให้จิตเกิดไปสักนิดหนึ่ง จิตก็จะคลายไปสู่ฐานเดิมของเขา
    ถ้าเราไม่ฝืน จิตมันก็จะเกิดอยู่อย่างนั้น จิตมันจะเป็นตัวสั่งการ
    เราต้องฝืนตัวนี้ แล้วเอาสติเป็นตัวสั่งแทน

    ทำไปเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความคิด ไม่มีปัญญา

    การเกิดของมันก็ยังมีอยู่ แต่เราไม่ไปยึด เราดับตั้งแต่มันเริ่มก่อตัว
    ทดสอบโดยการดูว่าตากระทบรูปหรือหูกระทบเสียงแล้วยังนิ่งอยู่ไหม
    ขณะทำการทำงาน ก็ดูว่าจิตของเรามันโล่งโปร่งไหม จิตได้พักผ่อนไหม
    ที่สำคัญคือ ไม่ให้จิตเป็นตัวสั่ง เราต้องฝืนมัน ฝืนไปสักพักมันก็จะคลาย
    ถ้าเราไม่ฝืน มันก็จะเกิด วิ่ง สั่งงาน อยู่อย่างนั้น

    ให้ยกระดับจิตของเราให้เป็นประธาน ให้สติลงมาทำหน้าที่แทน ให้เร็วให้ไว
    ถ้าทำตั้งแต่แรก การสะสมกำลังจิตของท่านก็จะเต็มรอบไปแล้ว
    เมื่อมีอะไรเข้ามากระทบ หวั่นไหว มีความกังวล ฟุ้งซ่าน ก็ฝืนเอาสติเข้ามาสั่งการ
    มันจะสะสมไปเรื่อย ๆ จนไม่หวั่นไหวในสิ่งต่าง ๆ แม้แต่ตอนกายจะแตกดับก็ไม่หวั่นไหว

    ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ามันเกิด แต่ท่านก็ไม่ไปดับตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มก่อตัว
    ดับความเกิดของจิต แล้วหนุนกำลังสติเข้าไปทำหน้าที่แทน
    ดับความคิดที่เกิดจากตัวจิต

    ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดเข้ามาก็ตามดู
    ถ้ามันไม่มาก็ดูจิต ควบคุมที่จิต วางจิต แล้วสำรวจดูนิวรณ์
    ดูว่าจิตตัวไหนเกิด เราก็ดับ ดูว่าสติของเราจะหลุด จะพลั้งเผลออย่างไร

    การเดิน เดินแล้วจับความรู้สึก หรือเดินแล้วรู้จิตเลย
    ถ้ารู้จิตรู้ความโล่ง เราก็เอาความโล่งเป็นเกณฑ์

    ต่อมา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ดูว่าจิตเราโล่งไหม
    ตอนเหนื่อยก็ดูว่ามีนิวรณ์ มีความเกียจคร้านเข้าครอบงำไหม
    เราต้องแยก รูป-รส-กลิ่น-เสียง ออกจากจิตของเรา
    ถ้าจิตเกิดปุ๊บ มันจะก่อตัวเรื่องอะไรก็ช่างมัน เราก็ดับ
    ถึงมันไม่ก่อตัว เราก็รู้ว่ามันไม่ก่อตัว
    เราก็เอาสติมาใช้ มาแก้ไข ไปวิเคราะห์ ไปทำหน้าที่แทน ให้มากขึ้น ๆ
    อะไรเข้ามากระทบก็จะไม่หวั่นไหว

    แม้จะเกิดกุศล เราก็ต้องดับอีก ให้ตัวสติไปเกิดไปคิดแทน
    ถ้าเป็นอกุศลเราก็ดับอีก ประหยัดสมอง ประหยัดความคิด

    ตรงนี้มันลอยมาตั้งนานแล้ว เหมือนเรือที่ไม่มีคนขับ
    จิตมันปล่อยวางมาตั้งนานแล้ว แต่ขาดกำลังสติเข้าไปดูแล พร่ำสอน อบรมเขา ให้จิตมันเต็มรอบ
    การเกิดของเขาก็มีอยู่

    ของหลวงพ่อไม่เกิดมาร่วมยี่สิบปี ขันธ์ 5 มันไม่มีมา จิตก็ไม่เกิด ไม่ต้องไปตามกังวลเรื่องจิตอะไรทั้งนั้น
    หลังจากบวชมาได้สี่ปีมันก็นิ่งเลย ไม่ยอมให้คลาดสายตาไปได้

    ให้ดับจิตขณะที่มันกำลังเริ่มก่อตัว กำลังของมันก็จะไม่มี
    ถ้าดับไม่ได้ ก็ต้องฝืนมัน แม้มันจะคิดไปเป็นเรื่องเป็นราว เราก็ฝืนมัน ไม่ทำตามมัน
    ถ้าเอาไม่อยู่ ก็ปล่อยให้มันไปจนจบเรื่อง แล้วเราค่อยเอาตัวใหม่

    ต้องดูจิตตอนที่มันเริ่มก่อตัวก่อน ส่วนมากเวลามันเกิด เราก็รู้อยู่ แต่เราปล่อยให้มันทำงาน
    ต้องเพิ่มกำลังสติเข้าไปดู
    ถ้าเราเห็นขณะมันก่อตัวและดับทันที กำลังสติมันก็จะมากขึ้น เกิดปีติเกิดสุข
    เพราะเรารู้เท่าทันมัน เราชนะมัน
    พอดับขณะที่มันก็ตัว จิตก็จะนิ่ง
    เมื่อจิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง
    ถ้าจิตยังเกิดอยู่ จิตไม่เที่ยง นิพพานก็ไม่เที่ยง

    บางคนไปเข้าใจว่าตัวจิตคือสติ ซึ่งไม่ใช่
    ต่อไปเมื่อสติเราเข้าไปควบคุม ดับเขา เขาสงบ แล้วเราก็วางเขา
    สติกับจิตก็จะรวมกัน กลายเป็นปัญญา
    แต่ไม่ให้จิตเกิด เอาสติไปเกิดแทน
    มันจะกลายเป็นผู้รู้ นั่นคือจิตกลายเป็นธาตุรู้
    ปรับสภาพจิตของเราให้เร็ว ให้ไว แต่ไม่ให้เกิด
    สติของเรารู้ว่าจิตของเรานิ่ง โล่งโปร่ง
    อะไรเข้ามากระทบ สติดู รู้ว่าจิตไม่เกิด สติมุ่งออกไปข้างนอก ไปแก้ไข รับหน้า ทำหน้าที่แทนหมด
    สติจะวิ่งเข้าไปแก้ไข
    เช่น รู้เฉย ๆ ว่าจิตว่าง สติก็จะทำหน้าที่วิ่งออกไปข้างนอก ไปแก้ไขสมมติได้ทันที

    แค่ทำภายในวันนี้คืนนี้ก็จะเห็นทันที
    มันก่อตัวปุ๊บ ดับปุ๊บ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด
    ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา โง่ก็ยอมโง่ ลองดูสิ
    ดูตัวนี้ ทำความเข้าใจกับสมมติ โลกธรรม 8 ด้วย ว่าโลกธรรม 8 ก็เป็นอย่างนั้น

    พอจิตก่อตัว เราก็ดับตอนที่มันเริ่มก่อตัว มันจะนิ่ง แล้วก็วางจิต
    พอมันเกิดแล้วเราวางจิต มันก็จะเป็นอิสระของมันอีกชั้นหนึ่ง

    เราต้องมีสติชนิดที่เกิดขึ้นเองตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ
    สติจะกลายเป็นปัญญาในการดูการรู้

    ถ้าเราดับและวาง จิตมันอยู่ในสุญญตาอีกชั้นหนึ่ง
    เราก็ปรับสภาพจิตของเราให้รับรู้ให้เร็วไว แต่ไม่ให้เขาเกิด ให้หนักแน่น
    ให้สติปัญญาไปเกิดแทน มันจะมีความสุขอีกอันหนึ่ง

    ไม่ต้องลองนะ ทำเลย

    ถ้ารถจะมาชนก็หลบหลีกด้วยสติปัญญา
    จิตว่างรับรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แล้วก็พากายหลบหลีก
    สติตัวรู้จะเป็นตัวสั่งงานแล้ว เราต้องฝึกฝนสติตัวใหม่นี้ให้ชำนาญ
    ไม่ใช่วางแล้วอะไรจะเกิดก็ช่างหัวมัน
    นั่นมันวางแบบไม่มีปัญญา สงบแบบไม่มีปัญญา
    เราต้องสงบและมีสติให้เร็วไวเอาไว้ใช้กับการทำงานจนเป็นอัตโนมั ติ

    จิตเกิดปุ๊บต้องดับทันที ต้องฝืนเขา
    ถ้าไม่ดับไม่ฝืน จิตเขาจะหาเรื่องเกิดอยู่ตลอดเวลา
    แม้ธาตุขันธ์แตกดับก็ยังไปเกิดต่อ
    ถ้าจิตมันว่างโล่งโปร่ง มันก็ไปเกิดในระดับของพรหม แต่ไม่ถึงนิพพาน

    เราต้องชำระกิเลสออกให้หมด
    อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากไป ไม่อยากมา
    เราต้องดับตัวนี้ให้หมด

    เราต้องดูว่าตัวไหนเป็นตัวสั่งกายด้วย ตัวที่พากายไปมา
    นั่งดูกายมัน มึงสั่ง แต่กูไม่ไปทำตามมัน เห็นว่ากายไม่อยู่ในอำนาจจิตของเรา
    จะปวดขี้ ปวดเยี่ยวก็ไม่ไป ลองดูซิ ดูว่าตัวไหนจะเป็นตัวสั่ง

    ให้พยายามเก็บรายละเอียด
    ไม่อย่างนั้น ถึงแม้จิตไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่การเกิดของเขายังมีอยู่
    มันก็มีตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝ่ายกุศล
    ทั้งกุศลและอกุศลต้องดับ ต้องละออกให้หมด

    พอเราดับ จิตมันจะคลายปัญญาเก่า เหมือนกับมันขาดเพื่อนเก่า
    เพราะมันเคยคิด เคยพิจารณาต่าง ๆ พอมันดับ ปัญญาตัวนั้นมันก็ไม่ได้เอามาใช้
    มันก็อยู่ที่ความว่าง เป็นสุญญาตา คือความว่าง ความโง่ บางทีก็จะรู้สึกว้าเหว่วังเวง
    เราต้องมีสติเป็นพี่เลี้ยงคอยให้กำลังใจเขาตอนที่เราดับการเกิด แล้ว
    คอยให้กำลังใจและสร้างกำลังเขาขึ้นมา สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ
    อะไรเข้ามากระทบก็ไม่หวั่นไหว เพียงแค่รับรู้ เพราะจิตมันก็เป็นธาตุรู้อยู่แล้ว
    แต่ที่มันเกิด ก็เพราะมันไปหลง ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด

    เราเอากำลังสติของเราไปทำหน้าที่แทน
    ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยจิตที่ว่าง
    แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากจิต

    แค่นิดเดียว ไปฝืนจิต ดับจิต ไม่ต้องอยากได้ อยากอะไรเลย
    มันเกิด เราดับ มันเกิด เราดับ
    ดับตั้งแต่ขณะมันก่อตัวแล้วจะนิ่ง

    ถ้ามีความคิด ถ้าไม่ใช่ตัวจิต อาการของขันธ์ 5 มันผุดขึ้นมา
    เราก็ปล่อยให้มันเกิด ดูว่ามันก่อตัวอย่างไร
    ถ้าจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ มันจะดีดตัว
    เมื่อไม่ให้เคลื่อนเข้าไปรวม จิตก็ว่างอยู่ สติก็ตามดู
    ถ้ามันไม่มา ก็ดูจิต ดับที่จิต แล้วก็วางที่จิต
    หัดฝนเอาสติไปใช้จะสนุก สติจะตื่นตัวมากกว่านี้อีก

    ถ้าจิตเกิด ดับไม่ทัน เราก็ปล่อยให้มันเกิดจนจบเรื่อง
    ที่มันเกิดเพราะกำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ
    ถ้าเราดับไม่ได้ก็ต้องหาว่าเหตุมันมาจากภายนอกหรือข้างใน
    เราต้องแก้ไขข้างนอกด้วย แล้วก็มาดับข้างใน
    แล้วเราจะเห็นความต่างทันที
    พอดับปุ๊บ มันจะอิสระอีกระดับหนึ่ง แล้วก็วางจิตอีก

    เราน่าจะเดินไปถึงจุดนี้ตั้งนานแล้ว
    มันผิดกันนิดเดียว ซ้อนกันนิดเดียว เหมือนฝ้าปิดเอาไว้

    ที่เห็นไม่ชัด เพราะกำลังสติมันอ่อน
    เราต้องฝนสติตรงนี้อยู่ตลอดเวลา
    จิตปกติ เราก็รู้ว่าปกติ
    ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จิตเกิดไหม
    เราต้องฝึกและรักษาสติตัวนี้ เพื่อจะรู้ทันขณะที่จิตเขากำลังก่อตัว
    แล้วก็ดับทันที

    จะทำอะไร อย่าให้ความอยากเกิดที่จิต มันตรงนี้นิดเดียว
    อยากอะไรก็ช่าง ดับให้หมด
    อยากคิด อยากมี อยากเป็น อยากไป อยากมา หรือไม่อยากให้มี ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากให้มา

    เราก็ดับ หยุดความเกิดของจิต แล้วเอาสติไปทำหน้าที่แทน มันก็จะเกิดเป็นปัญญา
    แต่ของท่านนี่ มันปล่อยให้จิตไปสั่งงาน มันเป็นอย่างนั้น
    ปล่อยให้มันเกิด แล้วก็ทำตามมันอยู่ แต่ก็เป็นในกองกุศล

    ถ้าดับได้ เราก็วางจิตเขาอีกนะ มันจะเด่นชัด เป็นอิสระมากกว่านี้อีก
    ที่นี้เดินไปไหนมันก็เหาะแล้ว แต่อยากไปโดดหน้าผาก็พอ

    สมัยนั้น หลวงพ่อดูจิต อดอาหารได้ตั้ง 27-28 วัน อยู่บนภู ที่อำนาจเจริญ
    เดินไปภูลูกไหน มันเหมือนจะเหาะเลย เบาวึ้ง ๆ ๆ
    ความอ่อนล้าทางกายมันก็มีเป็นธรรมดา
    แต่ความอยากมันก็ไม่มี เพราะเราดับไม่ให้จิตปรุงแต่ง

    ถ้าดูตรงนี้ได้ชัดแจ้งแล้ว ก็ต้องดูเข้าไปอีกในนิมิตร
    มันหลอกเราตรงนี้ไม่ได้ มันก็จะไปหลอกเราในนิมิตรอีก
    ถ้ามันหลอกเราในนิมิตร ตื่นขึ้นมาก็ตัดทิ้ง อย่าเก็บมาคิด
    ตัดทิ้งไปให้จิตเข้มแข็งก่อน แล้วเอานิมิตรนั้นมาวิเคราะห์พิจารณา
    ถ้าเราเอานิมิตรมาคิดพิจารณาปุ๊บ มันก็จะเริ่มได้ใจ พอสติขาดมันเข้ามาอีก
    เวลาเราหลับ มันก็เข้ามาอีก ต้องละทั้งในนิมิตรด้วย

    ความอยากเรื่องอาหารก็อย่าให้มันเกิด

    ลองดู ถ้าเห็นก็จะรู้ว่า อ๋อ เราน่าจะเอาตรงนี้ตั้งนานแล้ว มันนิดเดียว

    ถ้าเราฝืนไม่ให้จิตมันเกิด ดับมันตั้งแต่มันก่อตัว มันเข้ามาก็ฝืน
    พอดับนิ่งแล้วก็เอาสติไปวิเคราะห์พิจารณา
    ถ้าไม่ใช่ตัวจิต เป็นขันธ์ 5 เข้ามา ก็สังเกตดูว่ามันก่อตัวอย่างไร แล้วก็ดับไว้ก่อน
    ไม่ต้องไปเพ่งไประวัง ถ้ามันเข้ามา เราก็รู้ความปกติไว้เป็นหลัก

    รู้ตั้งแต่มันเริ่มก่อตัว ถ้ารู้ไม่ทันก็ดับไว้ก่อน

    ถ้าจิตจะก่อตัวปุ๊บแล้วเราดับเลย มันจะตัดตั้งแต่ต้นเหตุ
    คนทั่วไปจะไม่ค่อยเข้าไปถึงจุดนี้

    ปัญญาธรรมมันก็มีอยู่ แต่เป็นกิเลสธรรมตรงที่จิตนิ่งแต่ยังเกิดออกไปข้างนอกอยู่ มันจะอยู่ในระดับนั้น
    บางที ถ้าไม่มีสติเข้าไปควบคุม จะเอาปัญญาธรรมที่เกิดจากตัวจิตอย่างเดียว
    จิตก็เลยวิ่งเกิดออกไปข้างนอก จึงยังเป็นกิเลสธรรมอยู่
    มันดับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็เปรียบเหมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับ ลอยเคว้งคว้าง

    ถ้าจิตมันไม่เข้าไปร่วม เราก็ตามดูเฉย ๆ ไม่ต้องไปควบคุมจิต เพียงแค่รู้เฉย ๆ
    เช่น สติรู้ว่าจิตว่างโล่งโปร่ง

    ขณะที่ทำการทำงาน ก็รู้ว่าจิตของเราปกติ
    มันจะได้เอาไปใช้กับการงานชีวิตประจำวันได้
    ถ้าตัวจิตมันวิ่งไปจะไปโน้นไปนี้ ก็อย่าเพิ่งไปทำตามมัน ให้เราดับตั้งแต่มันเริ่มก่อตัว
    ถ้าเราดับไม่ได้ ก็ปล่อยให้มันเกิดไปจนมันจบเรื่องแล้ว แต่อย่าไปทำตามมัน
    มันจะก่อตัวใหม่อีก เราก็ดับอีก มันก็จะสั้นลง ๆ
    จนกระทั่งมันก่อตัวที่ฐาน เราก็ดับที่ฐาน มันก็จะนิ่ง แล้วก็วางอยู่

    กิเลสตัวใหญ่ ๆ ไม่เกิดแล้ว แต่ก็ยังมีความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากตัวจิต มันยังส่งมา เพราะสติยังอ่อนอยู่
    บางทีก็หลงในความรู้ บางทีก็ลงในขันธ์ 5 แต่ไม่ยึด บางทีก็เกิดจากตัวจิตส่งออกไปโดยตรง
    มันจะสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
    พอดับได้แล้วยังไม่พอนะ ให้วางจิตอีกทีหนึ่ง มันจะอิสระไปอีกซึ่งเหนือกว่าของเก่า
    เราจะละได้เด็ดขาดก็เมื่อมันเข้ามาและเราดับให้มันเด็ดขาด

    ถ้าดับแล้ววาง มันจะอิสระไปในระดับสูงขึ้น
    ถ้าเราไม่วางจิต มันก็จะอึดอัด พอเราวาง จิตของเราก็จะเป็นอิสระ นั่นเป็นธรรมชาติของจิตที่แท้จริง

    ไปดูเลย ตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปเอาตรงไหนหรอก
    เกิดขณะนี้ ก็ดับมันขณะนี้

    เวลาหิวข้าว อยากเข้าห้องน้ำ ก็ลองดูซิ อย่าให้ตัวจิตมันสั่ง ต้องเอาสติเป็นตัวสั่ง ทำด้วยสติปัญญา
    ลองฝืนดูมันก่อน แล้วจะรู้ว่ากายไม่อยู่ในอำนาจของจิตของเรา
    ต่อไปภายหน้า สติกับจิตจะทำงานร่วมกัน
    กลายเป็น สติเป็นตัวเกิด จิตเป็นตัวรับรู้ เป็นธาตุรู้

    ไม่เหลือวิสัยหรอก อานิสงฆ์ขนาดนี้แล้ว ทำให้มันได้สูงขึ้นไปอีก
    ก็จะรู้ว่า อ้อ เราน่าจะทำตรงนี้ตั้งนานแล้ว แต่มันคงยังไม่ถึงเวลา มันก็เลยเอาไม่ได้
    ถ้าได้ตัวนี้ปุ๊บ สภาพร่างกายมันก็จะปรับของเขาเองด้วย จิตจะไม่มากังวลกับเรื่องร่างกายเลย

    เอาตรงนี้ให้ได้นะ แล้วก็ตรวจดูนิวรณ์ มลทินต่าง ๆ
    จิตมันว่าง พออะไรเข้ามากระทบมันก็รับรู้หมด
    เราจะเข้าใจความหมายของคำว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง ตรงนี้ทันที
    จิตของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม
    จิตของเราโล่งโปร่ง เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่างหมด
    ทีนี้ก็จะสนุกกับการสร้างบุญ สร้างด้วยสติ สร้างด้วยปัญญา

    มันมีอยู่ แต่เราไม่ชัดกับมันเท่านั้นเอง
    ต้องดับต้องฝืน มันจะนิ่งและชัดเจนมากขึ้น

    ขันธ์ 5 จะเข้ามาปรุงแต่งจิต เราก็ใช้สติตามดู
    ถ้าจิตจะเข้าไปร่วม เราก็ดับ
    ถ้าสังเกตทัน มันจะดีด จะหงายออกมา
    ถ้ามันไม่เข้าไปร่วม ก็ให้มันว่างรับรู้อยู่

    สติก็ต้องตามดู ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย
    ให้เอาออกให้มันหมดจากจิตของเรา

    ถ้าคนมีพื้นฐานอยู่แล้ว สะกิดนิดเดียวก็จะอิสระไปกว่านี้อีก

    เราอยู่ระดับนี้ พอวาง มันก็ยังมีอีกระดับหนึ่ง วางจิต มันก็ยังมีอีกไปเรื่อย
    จนจิตมันนิ่ง มันวาง อิสระ จะรู้ว่าจิตเที่ยง นิพพานเที่ยงมันเป็นอย่างนี้ ตัวนี้จะผุดขึ้นมาทันที

    เราต้องพยายามกระตุ้นความรู้สึก รักษาสติไว้ก่อน
    จะฝากสติกับลมหายใจ รู้ความปกติ ฝนสติไปใช้แล้วก็ชำเลืองดูจิตของเราบ้าง
    กระตุ้นกำลังสติให้มากไปกว่านี้อีก อย่าปล่อยเลยตามเลย
    ทีนี้จะกระปรี้กระเปร่า เป็นหนุ่มขึ้นอีกเยอะ

    ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก หาที่ตรงนี้แหละ มันมีอยู่แค่นี้เอง
    ที่มา:
     
  2. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    หลวงพ่อกล้วยท่านมีคำสอนอยู่อย่างหนึ่งที่น่าประทับใจมากคือ

    "ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ"

    สั้นๆ ได้ความหมาย และสุดยอด..........
     
  3. ต้นบุญ

    ต้นบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอกราบนมัสการหลวงพ่อกล้วย ขออนุโมทนาสาธุ กับคำสั่งสอนของหลวงพ่อ เราต้องพิจารณาสติให้ต่อเนื่องให้เป็นมหาสติ แล้วจะเห็นความเกิดดับของทุกสิ่งที่เข้ามากระทบจิตดวงนี้ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...